บทที่ 62
เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แสงตะเกียงบนโต๊ะ
ดวงตาคมตรึงอยู่บนฎีกาที่ได้รับ ช่วงแรกยังกวาดตาอ่านเร็วๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ชื่อซูยังไม่ตาย กำลังชักใยสร้างความปั่นป่วนให้แปดดินแดน แม้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างปุบปับ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายมากมายนัก
ส่วนเจียงจู่วั่งเมื่อได้รับสารขอความช่วยเหลือจากต้าเฮ่ออ๋องก็เร่งจัดทัพส่งไปช่วยอย่างเร่งด่วน ข้อนี้ก็สอดคล้องตามการคาดการณ์ของซู่เซิ่นฮุยเช่นกัน
ที่ก่อนหน้านี้เขาวางอำนาจเด็ดขาดทางการทหารลงบนมือแม่ทัพใหญ่แดนเหนือ นอกจากต้องการแสดงให้เจ้าตัวเห็นถึงความตั้งใจที่จะตอบแทนผลประโยชน์จากการแต่งงานนี้ ยังเป็นเพราะเล็งเห็นว่าเป่ยตี๋อาจชิงก่อเหตุวุ่นวายก่อนที่ต้าเว่ยจะเคลื่อนพลข้ามชายแดนไปเปิดศึก
ศึกสงครามเร่งด่วนไม่ต่างจากไฟไหม้ เขามอบอำนาจทางการทหารแก่เจียงจู่วั่งมากขึ้นเพื่อให้เจ้าตัวดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที จะได้ไม่ผลาญเวลากับการส่งข่าวไปกลับจนเสียโอกาสทางพิชัยยุทธ์
แต่เมื่ออ่านต่อไปเรื่อยๆ ดวงตาของเขาก็พลันหรี่เกร็ง หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก
ซู่เซิ่นฮุยแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง เขาจ้องเนื้อความช่วงสุดท้ายของฎีกาเขม็ง พยับเมฆหม่นทะมึนก่อตัวขึ้นในดวงตาอย่างรวดเร็ว
หลังได้สนทนากับเจียงหานหยวนบนเตียงนอนจนเป็นที่แน่ใจว่าต่างฝ่ายต่างมีปณิธานเดียวกันในคืนนั้น เขาก็ให้คนนำตราพยัคฆ์และคำสั่งมอบอำนาจไปเยี่ยนเหมินในนามกองทัพ
แม้ตอนนั้นจะไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่เขาเชื่อว่าเจียงจู่วั่งย่อมมีวิจารณญาณอยู่ในใจ
ในเมื่อบุตรสาวแต่งงานกับเขาแล้ว ต่อให้เขายอมปล่อยนางกลับเข้าค่ายทหาร แต่พ่อตาของเขาน่าจะไม่มอบหมายภารกิจเสี่ยงภัยให้นางทำอีก
ข้อนี้ชายหนุ่มคิดว่าไม่จำเป็นที่ตนต้องออกปากพูดให้ชัดเจนแต่อย่างใด
เจียงจู่วั่งเป็นแม่ทัพสุขุมมากประสบการณ์ ไม่มีทางไม่เข้าใจอยู่แล้ว
ซู่เซิ่นฮุยไม่คิดเลยจริงๆ ว่าแม่ทัพใหญ่จะกล้าทำเช่นนี้!
ดูจากวันที่ในฎีกา น่าจะเป็นช่วงที่นางกลับถึงเยี่ยนเหมินได้ไม่ทันไร
นางเพิ่งกลับไปถึง ก่อนกลับยังทะเลาะกับเขาอย่างรุนแรง น่ากลัวว่ายังไม่ทันฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าระหว่างเดินทางด้วยซ้ำ กลับถูกผู้เป็นบิดาสั่งให้คุมกองทัพไปตามเส้นทางเสี่ยงอันตรายกลางถิ่นศัตรูชาวตี๋ทันที!
ต่อให้นางเป็นคนเสนอตนเอง เจียงจู่วั่งจะปฏิเสธไม่เป็นเชียวหรือ
ตนเองเป็นแม่ทัพใหญ่ ขอเพียงไม่อนุญาตเสียอย่าง แม้บุตรสาวจะดื้อรั้นสักเพียงใดก็ไม่มีทางนำตราคำสั่งยกทัพออกไปเองได้
โทสะเดือดพล่านอยู่ในใจซู่เซิ่นฮุย จนใจที่มีขุนเขาสายน้ำขวางกั้น ไม่อาจติดปีกบินไปชายแดนเหนือได้ทันที เขาโยนฎีกาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปที่หน้าประตูแล้วตะโกนเรียกเสียงเข้ม “หลิวเซี่ยง!”
สารฉบับนี้ถูกส่งด่วนมาจากเยี่ยนเหมิน ด้วยความที่เคยเป็นทหารมาก่อน หลิวเซี่ยงจึงค่อนข้างสนใจใคร่รู้ เมื่อครู่จึงได้นำมาให้เจ้านายด้วยตนเอง หลังอ๋องผู้สำเร็จราชการรับไปแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปในทันที ยังคงยืนรออยู่แถวนั้น พอได้ยินเสียงเรียกที่แฝงไว้ด้วยโทสะก็ใจเต้นแรง รีบสาวเท้าเดินไปผลักประตูเข้ามาข้างในทันที
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะบัญชา”
“ให้คนส่งคำสั่งด่วนของข้าไปเยี่ยนเหมินด้วยม้าเร็วแปดร้อยหลี่! ให้เจียงจู่วั่ง…”
อยู่ๆ คำพูดของเขาก็สะดุด เงียบไปเพียงเท่านั้น
หลิวเซี่ยงรออยู่พักหนึ่ง อ๋องผู้สำเร็จราชการยืนนิ่งอยู่กับที่ สองตาจ้องมองฎีกาบนโต๊ะที่ไม่รู้เขียนมาว่าอย่างไรด้วยสีหน้าเคร่งเครียดถมึงทึง เขาเห็นแล้วอดเป็นกังวลแทนนายเก่าไม่ได้
ต้องไม่ลืมว่าการส่งข่าวด่วนด้วยม้าเร็วแปดร้อยหลี่ต่อวันนั้นจำกัดแค่เฉพาะในกรณีที่มีเหตุกะทันหันทางการทหารหรือเรื่องสำคัญในระดับเดียวกันเท่านั้น ถึงจะสามารถส่งข่าวด้วยวิธีนี้ได้
แต่เท่าที่ดูจากสีหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการ เหมือนจะไม่ใช่เรื่องทางการทหาร…ข้อนี้หลิวเซี่ยงแน่ใจทีเดียว ไม่ว่าเป็นเรื่องทางการทหารที่สำคัญสักเพียงไร ต่อให้เวลานี้เป่ยตี๋ยกกองทัพขนาดใหญ่บุกประชิดชายแดนเยี่ยนเหมิน เขาก็คิดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่น่าจะมีสีหน้าถมึงทึงเช่นนี้ หลิวเซี่ยงอดกังขาไม่ได้ว่าสารที่เจียงจู่วั่งส่งมามีข้อความล่วงเกินชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรุนแรงหรือไม่
กลั้นหายใจรอได้สักพักเขาก็เลียบเคียงถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่เจียงมีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ายตรงข้ามยังคงไม่มีการตอบสนองต่อคำถามนั้น หลิวเซี่ยงไม่กล้าถามต่อ รออยู่อีกครู่หนึ่ง ในที่สุดอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยกแขนโบกมือให้ตนเอง
หลิวเซี่ยงเข้าใจความหมาย จึงได้แต่สะกดความสงสัยและความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในใจ ก้มศีรษะถอยกลับออกไปเงียบๆ
ซู่เซิ่นฮุยทรุดตัวลงนั่งอย่างแช่มช้า สายตาตรึงนิ่งอยู่บนข้อความช่วงสุดท้ายในสารจากแม่ทัพแดนเหนือ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
เมื่อความพลุ่งพล่านในอารมณ์ผ่านพ้น เขาก็พลันคิดได้
ต่อให้ตอนนี้นางยังไม่ออกเดินทาง ใครก็ห้ามนางไม่ได้ทั้งนั้น หากนางเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดอย่างที่ว่าไว้จริง เจียงจู่วั่งย่อมทัดทานไม่อยู่
ส่วนเขา…
ในทางส่วนรวม เขาคืออ๋องผู้สำเร็จราชการ
ในทางส่วนตัว…เขามีสิทธิ์อะไรเล่า ชายที่เพิ่งทะเลาะกับนางอย่างดุเดือดถึงขั้นนั้นเมื่อไม่นานมานี้ น่ากลัวว่าเมื่อได้กลับไปถึงเยี่ยนเหมินที่นางคิดถึงอยู่ทุกชั่วขณะจิต นางคงจะลิงโลดร่าเริงเป็นปลาได้น้ำ และปัดเขาทิ้งไปจากความคิดแต่แรกแล้ว
ชายหนุ่มสะกดความรวดร้าวอันเข้มข้นที่ถาโถมขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ยืนแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้ารัตติกาลอยู่นาน
คืนนี้เขากลับมาที่นี่อีกครั้ง ด้านนอกตำหนักแปรพระราชฐาน ดวงจันทร์แหว่งเว้าเป็นเสี้ยวคล้ายโค้งคิ้วหญิงงาม หมู่มวลบุปผชาติพราวสะพรั่ง เพลงขลุ่ยเสนาะหูลอยแว่วตามลมมาจากบนทะเลสาบ
นางเล่า…
ยามนี้นางกำลังจูงม้ากินน้ำอยู่ที่ใด หรือกำลังตวัดดาบอยู่ที่ใดกัน
ในแดนเหนือที่อยู่ไกลออกไปหลายพันหลี่ บนเนินทรายแผ่ไพศาล ใต้ฟ้าเร้นจันทร์และสายลมแรง เจียงหานหยวนกับกองทหารม้าลาดตระเวนสองพันนายเข้ามาถึงพื้นที่ตอนกลางของมณฑลโยวโจวแล้ว กำลังอาศัยความมืดพรางตัว เคลื่อนพลเลียบกำแพงหมื่นหลี่ มุ่งไปข้างหน้าเร็วรี่ปานติดปีกบินท่ามกลางทิวเขาและทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง
หลังออกจากแนวชายแดนเกาหลิ่ว ข้ามพื้นที่แนวชายแดนอันคลุมเครือไร้เส้นแบ่งเขตชัดเจน เจียงหานหยวนกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็เข้าสู่ถิ่นศัตรูโดยสมบูรณ์ในวันรุ่งขึ้น
กลางเทือกเขาที่ลดหลั่นสูงต่ำสลับกันไปและทุ่งร้างกว้างใหญ่แผ่ตัวสุดลูกหูลูกตามีทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์และเมืองกระจายตัวไปทั่วเหมือนธารดวงดาว เดิมทีบริเวณนี้เคยเป็นอาณาเขตของแคว้นจิ้นในอดีต ทว่าตั้งแต่หลายสิบปีก่อนได้ถูกพวกเป่ยตี๋กลืนดินแดนไปเรื่อยๆ จนแนวชายแดนค่อยๆ ร่นลงใต้จนมาถึงเยี่ยนเหมินในปัจจุบัน
หลังเข้ายึดครองพื้นที่ทางเหนือของจงหยวน กำแพงหมื่นหลี่ที่สร้างมาตั้งแต่แคว้นจ้าวและแคว้นเยียนในยุคโบราณ ผ่านไฟสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนก็หมดความหมายลงโดยสิ้นเชิงสำหรับพวกเป่ยตี๋ หลายสิบปีที่ผ่านมาจนทุกวันนี้นอกจากป้อมชายแดนไม่กี่แห่งที่ยังถูกรักษาไว้เป็นจุดส่งผ่านข่าวสารและสิ่งของ แนวกำแพงนอกเหนือจากนั้นก็ถูกลมทรายกร่อนเซาะจนชำรุดทรุดโทรมไปเสียมาก
กำแพงยาวเหยียดที่เคยเป็นปราการป้องกันชายแดนบัดนี้เหลือเพียงซากถูกทิ้งร้างกลางทุ่ง แต่ก็ช่วยเป็นเครื่องนำทางและเครื่องอำพรางในการเดินทัพให้เจียงหานหยวนได้พอดี
นับแต่เริ่มเคลื่อนพล คืนนี้เป็นคืนที่แปดแล้ว
ช่วงแรกเส้นทางมีแต่ทุ่งร้างและป่าเขา ควบม้าทั้งวันก็ยังไม่เห็นร่องรอยมนุษย์ เป็นโอกาสทองให้พวกนางเดินทัพได้อย่างว่องไวถึงวันละสามร้อยหลี่ ทว่าตั้งแต่สองวันก่อนตามหมุดหมายในแผนที่พวกนางเข้าใกล้หัวเมืองเยียนอันเป็นที่ตั้งของจวนหนานอ๋องในมณฑลโยวโจวขึ้นทุกที ระหว่างทางจึงเริ่มมีเหตุเหนือความคาดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ ตามคาด
เย็นวันนี้เอง ระหว่างที่เจียงหานหยวนนำทัพเคลื่อนพลเลียบแนวกำแพงร้างไปเรื่อยๆ เหมือนที่ผ่านมา จางจวิ้นที่สำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้าก็ส่งสัญญาณเตือนภัย ทหารเป่ยตี๋กองเล็กไม่กี่สิบนายปรากฏตัวขึ้นห่างจากพวกนางไปไม่กี่หลี่ กำลังมุ่งหน้าสวนมาทางนี้
สำหรับทหารม้าฝีมือดีสองพันนาย ข้าศึกแค่ไม่กี่สิบคนย่อมกำจัดทิ้งได้ง่ายดายเหมือนเป่าฝุ่น แต่เวลานี้พวกนางกำลังเคลื่อนพลไม่ไกลจากจวนหนานอ๋อง และการกำจัดทหารเป่ยตี๋ทิ้งก็ไม่ใช่เป้าหมายในการเดินทัพครั้งนี้ หากเลี่ยงการปะทะกันซึ่งหน้าได้ก็ต้องพยายามเลี่ยงให้มากที่สุด
เจียงหานหยวนตัดสินใจสั่งหยุดทัพทันที นางเรียกรวมพลทั้งกองทัพ ปลอบม้าไม่ให้ตื่นตกใจ ขณะแอบซุ่มตรงเชิงกำแพงรออย่างเงียบเชียบให้คนกลุ่มนั้นผ่านไป จังหวะที่กำลังพลทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมากที่สุดมีระยะห่างเพียงยี่สิบสามสิบจั้ง แม่ทัพหญิงได้ยินเสียงบทสนทนาของฝ่ายตรงข้ามลอยตามลมข้ามกำแพงมาด้วยซ้ำ
น่าจะเป็นทหารหน่วยย่อยที่ออกลาดตระเวนตามปกติ ไม่ได้ระแคะระคายแม้แต่น้อยว่าอีกด้านของกำแพงร้างที่อยู่ห่างจากพวกตนไม่ไกลมีกองทัพสองพันนายซ่อนตัวอยู่
หลังผ่านประสบการณ์ครั้งนั้นเจียงหานหยวนปรับแผนการเดินทัพใหม่ทันที เปลี่ยนมากบดานตอนกลางวัน เคลื่อนพลตอนกลางคืนแทน
แผนที่ระบุว่าถัดจากเมืองเยียนขึ้นไปทางเหนืออีกสองสามร้อยหลี่ยังมีเมืองอีกแห่ง พวกนางต้องทะลุผ่านพื้นที่ระหว่างกลางของเมืองทั้งสอง เดินทางตอนกลางวันจะอันตรายเกินไป
แต่ไหนแต่ไรผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเคร่งครัดเสมอ ตอนกลางวันทั้งกองกำลังแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อย กระจายตัวกันกบดานตามป่า เชิงเขา ทุ่งหญ้า และที่ซ่อนตัวใดก็ตามที่หาเจอ ในระยะที่ไม่ไกลเกินกว่าจะติดต่อกันได้ ครั้นพอฟ้ามืดก็รวมพลออกเดินทางต่อ ใช้วิธีกลางวันซุ่มกลางคืนโผล่เคลื่อนพลไปข้างหน้าอย่างใจเย็น
จริงอยู่ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวกินเวลาไปบ้าง แต่เพียงไม่นานความรอบคอบระมัดระวังนี้ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด คงเพราะกำลังทำศึกกับทางต้าเฮ่อ พื้นที่แถบนี้จึงเริ่มมีคนเดินสารและหน่วยสอดแนมให้เห็นระหว่างทางหนาตาขึ้นทุกที บางครั้งกระทั่งในยามวิกาลยังพบเจอ โชคดีที่พวกนางยึดความไม่ประมาทเป็นที่ตั้ง คืนนี้หลังจากเดินทัพมาทั้งคืน สุดท้ายตอนฟ้าสางก็สามารถทิ้งพื้นที่ระหว่างกลางซึ่งอันตรายที่สุดเอาไว้ข้างหลังได้เสียที ก่อนจะเข้าสู่เขตรกร้างอีกครั้งในช่วงกลางวันของวันที่เก้า
ด้วยความเร็วในการเดินทัพเช่นนี้ หากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายใดๆ อีกสามวันให้หลังทุกคนก็จะไปถึงแนวชายแดนอันหลง
แนวชายแดนอันหลงเป็นปราการชายแดนที่ในอดีตแคว้นจิ้นสร้างขึ้นเพื่อป้องกันเป่ยตี๋ เป็นพื้นที่สำคัญที่นางต้องผ่านในการเดินทัพด้วยเส้นทางเหนือไปยังแปดดินแดน ทั้งยังเป็นจุดที่นางไม่มั่นใจที่สุด เป็นอุปสรรคที่หนีไม่พ้น และเป็นด่านที่นางต้องพิชิตให้ได้ในแผนการครานี้ เป่ยตี๋ยกทัพไปแปดดินแดนก็คงผ่านแนวชายแดนอันหลงเช่นกัน ที่นั่นจะต้องมีกองทหารตรึงกำลังรักษาการณ์อยู่แน่นอน คะเนว่าไม่น่าจะเป็นกองกำลังขนาดใหญ่นัก แต่ก็ไม่มีทางงอมืองอเท้าปล่อยให้นางเอาชนะได้
เจียงหานหยวนกับผู้ใต้บังคับบัญชาสองพันนายเตรียมใจทำศึกอย่างดุเดือดไว้แล้ว แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือบุกโจมตีสายฟ้าแลบให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวไม่ติด นางให้เวลาตนเองสามวัน สามวันนี้จะต้องพิชิตแนวชายแดนอันหลงให้ได้ หากยืดเยื้อนานกว่านี้ ไม่เพียงแต่เมืองเฟิงเยี่ยจะตกอยู่ในวิกฤต เสบียงที่พวกนางนำมาด้วยก็จะหมดลงเช่นกัน
ขอเพียงทะลุผ่านแนวชายแดนอันหลงไปได้อย่างราบรื่น ข้างหน้าก็เป็นเมืองเฟิงเยี่ยแห่งแปดดินแดนแล้ว
ในคืนนั้นกองพลทหารม้าลาดตระเวนเคลื่อนตัวเลียบกำแพงหมื่นหลี่ที่ถูกปล่อยร้าง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกต่อ พอยามไฮ่อากาศก็แปรปรวนกะทันหัน ฝนซัดกระหน่ำลงมา
เมื่อคืนเดินทัพกันทั้งคืน วันนี้ตอนกลางวันก็ได้พักเพียงครึ่งวันเท่านั้น นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนอ่อนแรงเต็มที สมควรหาที่พักผ่อน มิหนำซ้ำฝนยังตกลงมาอย่างปุบปับ ทว่าเท่าที่มองเห็นในระยะสายตาพื้นที่แถบนี้มีแต่ทุ่งเวิ้งว้างอันเต็มไปด้วยก้อนหินกับวัชพืช แทบหาต้นไม้ไม่เจอ ไม่มีที่ใดพอจะให้หลบฝนค้างแรมได้เลย
ฝนตกหนักขึ้นทุกที ไม่ทันไรทุกคนก็เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า เกือกม้าเริ่มลื่น ทุกชีวิตอ่อนล้าเป็นกำลัง จางจวิ้นนำคนกลับมาจากสำรวจพื้นที่ บอกว่าไปดูแถวนี้มาหมดแล้ว ไม่พบจุดที่เหมาะจะให้แวะหลบฝนและพักผ่อนแม้แต่จุดเดียว
“ช่างเถิด! ท่านแม่ทัพ ไม่ต้องหาแล้วล่ะ จะไปกลัวอะไรกับฝนแค่นี้! เดินทางต่อเถิด ต่อให้หยุดพักที่นี่ฝนก็ไม่ซาลงหรอก!” หยางหู่ปาดน้ำฝนออกจากใบหน้าพลางร้องบอกเสียงดัง
คนอื่นพากันแสดงความเห็นพ้อง เพราะคิดแบบเดียวกัน
เจียงหานหยวนนิ่งใช้ความคิด ทันใดนั้นก็นึกถึงจุดหนึ่งบนแผนที่ขึ้นมาได้ นางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย มองผืนฟ้าฉ่ำฝนยามรัตติกาลที่เป็นสีดำสนิท แล้วว่า “จากที่นี่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราวสิบหลี่น่าจะมีโรงทหารของแคว้นจิ้นในอดีต สร้างไว้สำหรับกองทหารรักษาการณ์หอคอยควันสัญญาณบริเวณนี้ น่าจะถูกทิ้งร้างไปแล้ว ฝนตกหนักเหลือเกิน ไปดูกันหน่อยดีกว่า ไม่ไกลหรอก!”
ทุกคนเหนื่อยล้าเต็มที แต่ข้างหน้าไม่มีที่ให้ค้างแรม จึงต้องไปต่ออย่างไม่มีทางเลือก มาตอนนี้แม่ทัพหญิงบอกว่ามีโรงทหารตรงใจพวกเขาพอดี คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารหาญรวมพลตามเจียงหานหยวนมุ่งหน้าหาโรงทหารที่นางบอก พอใกล้ถึงที่หมายก็ให้จางจวิ้นนำคนไปดูลาดเลาก่อนเหมือนเดิม
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มรู้สึกหนาว รออยู่สักพักก็เห็นจางจวิ้นควบม้ากลับมาพลางตะโกน “ท่านแม่ทัพ! ข้างหน้ามีโรงทหารร้างจริงๆ ขอรับ ขนาดใหญ่โตโอ่โถง สามารถใช้เป็นที่ค้างแรม ข้างหลังยังมีป่า เอาม้าไปผูกได้!”
เจียงหานหยวนพรูลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟัง พวกหยางหู่ก็หน้าบาน ทุกคนเร่งควบม้าตามจางจวิ้นไปอย่างตื่นเต้นดีใจ เพียงครู่เดียวก็มาถึงโรงทหารดังกล่าว
เป็นดังที่จางจวิ้นบอก ที่นี่โอ่โถงกว้างใหญ่ สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม กั้นข้างหน้าและข้างหลังออกจากกัน เดิมทีมีกำแพงรายรอบ ทว่าขาดการบำรุงรักษา ผ่านไปนานวันเข้าจึงทรุดลงมาหลายจุด หลังคาด้านในก็มีแต่รอยรั่ว แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าตากฝนอยู่ข้างนอกเป็นไหนๆ
ทหารทุกนายผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อถึงที่พักก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างว่องไวไม่ลนลาน โดยหาที่ผูกม้าของตนและป้อนอาหารมันก่อน จากนั้นจึงค่อยดูแลตนเอง
เวลาออกมาทำศึกข้างนอกทุกคนจะมีถุงสัมภาระติดตัวหนึ่งใบ ถุงสัมภาระนี้เย็บจากผ้าเคลือบน้ำมันซึ่งมีสรรพคุณกันน้ำ ข้างในบรรจุของจำเป็นอย่างหินจุดไฟ เสบียงกรัง และเสื้อผ้า โดยจะผูกไว้บนหลังม้าของตนเอง ทว่าในสถานการณ์ที่ไม่อาจรับรองความปลอดภัยได้เต็มที่เช่นคืนนี้เจียงหานหยวนไม่อนุญาตให้นำถุงสัมภาระเข้ามาเป็นตัวถ่วง เพื่อที่ว่าหากเกิดอะไรขึ้นทุกคนจะได้ใช้เวลาตอบสนองต่อสถานการณ์ให้สั้นที่สุดและไปจากที่นี่ได้อย่างทันท่วงที
นางสั่งว่าให้นำของจำเป็นที่ขาดไม่ได้อย่างเสบียงกรังและอาวุธติดตัวไว้ได้เท่านั้น อย่างอื่นให้ทิ้งไว้บนหลังม้าทั้งหมด และเนื่องจากเกรงว่าแสงไฟจะนำภัยมาถึงตัว จึงไม่ให้ใครก่อไฟ เว้นแต่จุดให้แสงสว่างช่วงสั้นๆ เท่านั้น หลังเข้ามาข้างในโรงทหารร้างทุกคนก็บิดน้ำออกจากเสื้อผ้า กินอาหารเล็กน้อย จากนั้นก็รีบดับไฟ แบ่งกำลังพลบางส่วนมาเฝ้ายาม ส่วนคนที่เหลือล้มตัวลงนอนกับพื้น
เจียงหานหยวนจัดการกับเสื้อผ้าเปียกชุ่มบนร่างอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็นั่งพิงผนังตรงมุมด้านในสุด หยางหู่ล้มตัวนอนขวางห่างจากปลายเท้านางไปสองสามก้าว หันหลังมาทางนี้ ใช้ร่างตนเองกั้นพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ ให้ผู้บังคับบัญชา อีกด้านหนึ่งของเขาคือบรรดาสหายทหารที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากการเดินทาง เวลานี้นอนเรียงกันเป็นแถวอยู่บนพื้น ไม่ทันไรก็หลับไปทีละคน
การค้างแรมลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเจียงหานหยวน ตอนนี้นางเองก็อิดโรยเช่นกัน หญิงสาวนั่งในความมืดอยู่ครู่หนึ่ง สดับฟังเสียงกรนของทหารที่หลับไปแล้ว จากนั้นก็เอนตัวลงบ้าง จะได้หลับไปโดยเร็ว
อาฝานออกไปอยู่ยามข้างนอกด้วยตนเอง ให้นางได้พักผ่อน
หญิงสาวหลับตาลง เสียงฝนซัดซ่าไม่ขาดหู คงเพราะคืนฝนกระหน่ำที่คล้ายคลึงกันก่อกวนหัวใจไม่ขาดสาย นางถึงได้ข่มตาหลับไม่ลงเสียที
นางต้องนอนให้หลับ หากไม่หลับ วันพรุ่งนี้จะไม่มีแรงพอให้เดินทัพต่อ
เจียงหานหยวนผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ อยู่หลายครั้ง
ถัดออกไปไม่ไกลคือทหารกล้าสองพันนายที่พร้อมสู้ศึกเต็มที่ คนเหล่านี้มอบชีวิตให้นาง เชื่อมั่นในตัวนางอย่างไร้ขีดจำกัด
และในยามนี้คนทางเมืองเฟิงเยี่ยก็อาจกำลังอาบเลือดต้านศัตรู เฝ้ารอให้ทัพหนุนจากต้าเว่ยมาถึงโดยเร็ว
นางปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปจากสมองในเวลาอันสั้น หลับตานอนนิ่งต่อสักพัก ความง่วงงุนก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนผล็อยหลับไป
ราวเที่ยงคืน อยู่ๆ เสียงผิวปากทุ้มต่ำทว่าคมชัดก็ดังเข้าหู
นี่เป็นสัญญาณเตือนภัยจากคนที่เฝ้ายามข้างนอก แจ้งว่ามีสถานการณ์เร่งด่วน
เจียงหานหยวนรู้สึกตัวตื่นและลืมตาขึ้นมาในทันที หยางหู่ที่นอนตรงปลายเท้าก็ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วตวัดตัวลุกจากพื้นพลางตะโกนบอกคนอื่นๆ “มีเหตุด่วน! ตื่นเร็ว!”
ทหารที่ยืนเฝ้ายามนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอก “ท่านแม่ทัพ มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาจากข้างหลังพวกเราขอรับ ท่าทางจะเป็นพวกชาวตี๋ ข้างนอกฝนตก พวกมันไม่ได้จุดคบไฟ เราเลยรู้ตัวช้า ตอนนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงสองหลี่แล้วขอรับ! ดูท่าจะเป็นขบวนเกวียนส่งยุทธภัณฑ์ พวกมันคงตั้งใจมาค้างแรมที่นี่เช่นกัน!”
ตอนนี้ไพร่พลที่นอนบนพื้นโรงทหารรู้สึกตัวตื่นกันหมดแล้ว ต่างหยิบดาบขึ้นมาเตรียมพร้อม เจียงหานหยวนออกไปเกาะกำแพงที่พังลงมาครึ่งหนึ่งมองย้อนกลับไปทางทิศที่พวกตนเพิ่งจากมาเมื่อตอนกลางวัน
หลังม่านฝนกลางรัตติกาลอันมืดมิด กลุ่มคนที่มีลักษณะเหมือนขบวนเกวียนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้จริงๆ
“รีบไปตอนนี้เลยหรือไม่” ฝานจิ้งถาม
คะเนจากสายตา ทหารกลุ่มนั้นน่าจะมีร่วมสามร้อยนาย กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว
เจียงหานหยวนขึ้นไปยืนบนยอดกำแพงแล้วกวาดตามองรอบตัว
บริเวณนี้เป็นทุ่งโล่งกว้าง นอกจากป่าใกล้ๆ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักก็สามารถมองเห็นได้ทั่วอย่างไร้สิ่งกีดขวางสายตา ทหารสองพันนายจะขี่ม้าไปจากที่นี่โดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว โอกาสสำเร็จมีไม่มากเลย
“ไม่” นางกระโดดลงจากกำแพง
“ทุกคนจงรีบกลบร่องรอยของตนเอง แล้วถอยเข้าไปซ่อนตัวในป่า รอให้พวกมันหลับกันก่อนค่อยหาโอกาสไปต่อ”
ฝานจิ้งถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไพร่พลเร่งรุดออกจากโรงทหารภายในเวลาอันสั้น แล้วอาศัยสายฝนยามราตรีเป็นเครื่องอำพราง กระจายตัวเข้าป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งอย่างเงียบเชียบ เพียงครู่เดียวก็ไม่เหลือแม้แต่เงา
ระยะนี้พวกเป่ยตี๋กับทัพกบฏจากแปดดินแดนผนึกกำลังกันเป็นกองทัพพันธมิตรตีเมืองเฟิงเยี่ย การศึกที่ยืดเยื้อทำให้สิ้นเปลืองกว่าที่คาดไว้มากนัก คนเหล่านี้เป็นกองรถม้าขนส่งยุทธภัณฑ์ไปที่เมืองเฟิงเยี่ย โดยหลักเป็นเกาทัณฑ์และลูกธนู ทั้งคนทั้งม้าเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนติดกันมาหลายวันแล้วเพราะข้อจำกัดทางเวลา คืนนี้ยังมาเจอฝน จึงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที ด้วยรู้ว่าแถวนี้มีโรงทหารร้างอยู่ใกล้ๆ จึงอ้อมมาแวะพักชั่วคราว
เจียงหานหยวนซ่อนตัวอยู่ในป่า มีไพร่พลหมอบซุ่มอยู่ข้างหลัง ดวงตาเขม้นมองเบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างจดจ่อ
คนเหล่านั้นเคลื่อนตัวมาจนใกล้โรงทหารร้าง ผู้บังคับกองพันสั่งให้จอดขบวนเกวียนยาวเหยียดที่บรรจุยุทธภัณฑ์ไว้ด้านหน้า จากนั้นทหารหลายร้อยนายก็กรูเข้าไปในโรงทหารร้าง เพียงไม่นานแสงไฟก็ส่องสว่างออกมาจากข้างใน พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าสับสนเดินไปเดินมาลอยเข้าหูอย่างแจ่มชัด
นางเฝ้ารออย่างใจเย็น ฝนซาลงแล้ว ผ่านไปราวสองเค่อความเคลื่อนไหวในโรงทหารก็ค่อยเบาลงจนสุดท้ายเงียบไปโดยสิ้นเชิง คนข้างในคงหลับกันหมดแล้ว
มาถึงตอนนี้ฝนก็หยุดตกแล้วเช่นกัน
แม่ทัพหญิงรอต่ออีกสองเค่อ แล้วหันไปมองจางจวิ้นที่หมอบซุ่มอยู่ด้านหลัง
ฝ่ายนั้นเข้าใจ ค่อยๆ ออกไปอย่างเงียบเชียบ สักพักก็คลำฝ่าความมืดกลับมารายงานเบาๆ “แน่ใจได้ว่าข้างนอกมีทหารเฝ้ายามเพียงสองนายขอรับ ยืนอยู่หน้าโรงทหารซ้ายคนขวาคน พวกที่เหลืออยู่ข้างในกันหมด”
เจียงหานหยวนเรียกหยางหู่กับชุยจิ่ว “ไปจัดการพวกมัน”
ทั้งคู่พยักหน้า แล้วแยกกันอ้อมกำแพงที่พังลงมา คนหนึ่งไปทางทิศตะวันออก อีกคนไปทางทิศตะวันตก ย่องไปยังสองฝั่งของประตูใหญ่ที่พังหายไปนานแล้วอย่างเงียบเชียบ
หน้าประตูจุดคบไฟไว้ ทหารตี๋ร่างสูงใหญ่บึกบึนสองนายกอดดาบเดินกลับไปกลับมาจนสุดขอบสองฝั่งของหน้าชานดิน
เมื่อเข้ามาซ่อนตัวหลังซากกำแพงสองข้างเรียบร้อยแล้ว หยางหู่กับชุยจิ่วก็สบตากันไกลๆ ก่อนทำมือส่งสัญญาณให้เริ่มจัดการ ราวสามชั่วลมหายใจหลังจากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งตัวราวกับพยัคฆ์ร้ายเข้าจู่โจมทหารเฝ้ายามสองนายพร้อมกัน
หยางหู่ถือมีดสั้นรอท่าอยู่ในมือ อย่าว่าแต่ทหารตี๋จะขัดขืนเลย กระทั่งรู้สึกตัวยังแทบไม่ทันได้รู้สึก ลำคอก็ถูกมีดคมกริบที่โผล่มาจากข้างหลังปาดฉับเสียแล้ว เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด ผู้ถูกจู่โจมตื่นตระหนก ทำท่าจะอ้าปากร้องตะโกนตามสัญชาตญาณ ทว่าถูกมือแข็งแรงทรงพลังข้างหนึ่งอุดปากไว้จนส่งเสียงไม่ออกแม้แต่แอะเดียว
ทหารตี๋นายนี้ทรหดไม่ใช่เล่น ถูกปาดคอแล้วแท้ๆ ยังดิ้นสุดแรงเกิดพร้อมพยายามชักดาบ แต่จะชักออกมาอย่างไรเล่า ระหว่างดิ้นอุตลุดดาบก็ร่วงหล่น หยางหู่กระดกเท้าช้อนฝักดาบไว้ไม่ให้ตกพื้นแล้วเกิดเสียง จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างยึดศีรษะคนตรงหน้าที่ไม่ยอมตายเสียทีไว้แน่น จับบิดไปข้างหนึ่งโดยแรง
เสียงกระดูกหักกร๊อบฟังดูแน่นทึบเพราะดังออกมาจากในเนื้อ ลำคอทหารตี๋นายนั้นถูกบิดจนหัก สิ้นใจคาที่ ร่างอ่อนปวกเปียกทรุดลงไปกองกับพื้นโดยสิ้นเชิง
หลังจัดการเสร็จหยางหู่รีบลากทั้งคนทั้งดาบไปหลังซากกำแพงที่ตนซ่อนตัวเมื่อครู่ แล้วดันศพเข้าไปในมุมมืด จากนั้นก็หันไปมองสหาย เห็นว่าทางชุยจิ่วก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ทั้งคู่ทำมือส่งสัญญาณถอย ก่อนจะออกจากที่นั่นอย่างว่องไว
บทที่ 63
เหตุเหนือความคาดหมายพลันอุบัติขึ้น ไม่มีใครคาดคิดว่าอยู่ๆ คนอีกกลุ่มหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นทางด้านหน้าในจังหวะนั้นเอง
ทุกคนควบม้าศึกตัวสูงใหญ่ตะกุยดินโคลนสาดกระเซ็นมาเป็นทาง เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงหน้าโรงทหารร้างราวกับสายลม คนที่อยู่หน้าสุดมองขบวนเกวียนขนยุทธภัณฑ์ที่ถูกจอดทิ้งไว้ริมทาง แล้วหันไปแผดเสียงเอ็ดตะโรดังลั่นเป็นภาษาตี๋เข้าไปในโรงทหาร “ผู้บังคับกองพัน! ไสหัวออกมา!”
คนผู้นี้สวมเกราะครบชุด หมวกเกราะบนศีรษะวาดรูปสัตว์ร้ายดุดันน่ากลัว มีขนนกสีดำปักอยู่บนยอดหมวก อันเป็นชุดนายทหารระดับสูงในกองทัพตี๋
พอเสียงตวาดของเขาดังขึ้น ด้านในโรงทหารร้างก็เอะอะวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานผู้บังคับกองพันก็วิ่งหน้าตางัวเงียออกมาพลางตะลีตะลานสวมเสื้อผ้าไปด้วย ดูท่าเพิ่งจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเมื่อครู่ เมื่อวิ่งมาถึงเบื้องหน้าม้าของนายทหารดังกล่าว ยังไม่ทันได้ยืนเต็มสองเท้าก็ถูกแส้หวดขวับลงบนศีรษะ
“ไอ้สวะเอ๊ย! ยังส่งของไปไม่ถึงอีก! หนานอ๋องมีคำสั่งเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องพิชิตแปดดินแดนภายในหนึ่งเดือนให้ได้! เวลานี้พ่อลูกสกุลเซียวมันพากำลังคนหลบเข้าไปในเมืองเฟิงเยี่ย แนวหน้าต้องการยุทธภัณฑ์อย่างเร่งด่วน แต่พวกเจ้ากลับมัวมาอู้อยู่ตรงนี้!”
ระหว่างก่นด่า แส้ในมือไม่ยอมหยุดแม้แต่นิดเดียว เจ้าตัวน่าจะมีตำแหน่งสูงพอควร ผู้บังคับกองพันถูกโบยจนใบหน้าเป็นรอยแส้เลือดไหลอาบเป็นริ้วๆ ก็ยังทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะ ไม่กล้าอ้าปากเถียงสักคำ ได้แต่หันไปตะโกนบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวมพลออกเดินทางต่อ
หลังจากโบยไปยกหนึ่งนายทหารดังกล่าวก็กวาดตามองรอบตัวอีกครั้ง แล้วอดไม่อยู่ที่จะบันดาลโทสะจนต้องสะบัดปลายแส้ใหม่ ปากก็แผดตะเบ็งพลางชี้ไปยังเกวียนขนยุทธภัณฑ์ที่จอดอยู่บนทาง “ห่วงแต่นอน ทิ้งของหราอยู่ข้างนอก แม้แต่ทหารยามสักนายก็ไม่มี? สายลับชาวต้าเว่ยมันลอบเข้ามาสืบข่าวอยู่บ่อยๆ ไม่รู้บ้างหรือไร”
ผู้บังคับกองพันข่มความเจ็บเหลียวไปมองด้านหลัง ถึงได้รู้ว่าทหารยามของตนหายไปแล้ว ตะโกนเรียกชื่อทหารสองนายนั้นก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาสั่งให้คนไปตามหา ไม่นานพลทหารก็ลากศพออกมาจากหลังกำแพงที่พังทลายลงมา
เขาตกใจเสียไม่มีดี รีบนำคนไปตรวจตราโดยรอบ นายทหารที่มาเร่งการขนส่งยุทธภัณฑ์ก็เก็บแส้หนังแล้วลงจากหลังม้ามาตรวจตรารอยแผลบนร่างสองร่างที่ตายสนิทแล้วด้วยตนเอง จากนั้นก็ลุกขึ้นกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะหยุดสายตาที่แนวป่าในท้ายที่สุด
บริเวณนั้นมืดสนิท ลมทุ่งพลันพัดหวีดหวิวใส่ดงไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนมีทหารนับหมื่นซุ่มซ่อนอยู่ในนั้น
สัญชาตญาณทำให้นายทหารนึกกังวล เขาชะงักเท้า เรียกผู้บังคับกองพันมาสั่งให้นำกำลังคนไปตรวจดู จากนั้นก็คำรามสั่งผู้ติดตามที่สะพายที่เก็บลูกธนูยืนอยู่ข้างหลัง “ยิงเกาทัณฑ์เสียง*!”
ทหารนายนั้นไม่รอช้า คว้าคันธนู หยิบลูกธนูโหว่มาประทับ จับแหงนขึ้นฟ้าพร้อมออกแรงน้าวสาย
ลูกธนูโหว่นี้เป็นประเภทหนึ่งของเกาทัณฑ์เสียง ก้านธนูทำจากกระดูกสัตว์ ตรงกลางกลวง มีรูพรุนเล็กๆ ทั่วทั้งก้าน เมื่อยิงออกไปจะเกิดเสียงหวีดหวิวแหลมสูงผิดปกติ กองทหารตี๋มักใช้ในการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายเรียกกำลังเสริม ไม่เพียงเท่านั้นแต่ละกองพลยังมีผู้ที่ฝึกยิงธนูชนิดนี้จนเชี่ยวชาญประจำการอยู่โดยเฉพาะ เพื่อที่เวลายิงจะได้เกิดเสียงดังกังวานมากที่สุด
ยามดึกสงัดเช่นนี้ หากเกาทัณฑ์เสียงถูกยิงด้วยมือคนที่ได้รับการฝึกฝนพิเศษจะสามารถส่งเสียงสัญญาณได้ไกลถึงสิบหลี่เลยทีเดียว
เหตุเหนือความคาดหมายนี้มากะทันหันเกินไป
หยางหู่อยู่ใกล้พวกทหารตี๋มากกว่าคนอื่น กลับเข้าไปในป่าไม่ทันแล้ว ทั้งยังกลัวว่าหากกลับไปจะกลายเป็นตัวดึงความสนใจของทหารตี๋ไปที่ป่า เขาจึงระงับการล่าถอยของตนไว้ทันที แล้วหมอบลงกับพื้นเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทหารตี๋จะฉลาดถึงเพียงนี้
ไม่รู้ว่าบริเวณโดยรอบยังมีพวกมันอยู่มากน้อยเพียงใด หากถูกเรียกมาจริง ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เขาอยู่ห่างจากฝ่ายตรงข้ามสิบกว่าก้าว ไม่อาจเข้าไปหยุดยั้งในทันที ซ้ำยังไม่มีธนูติดตัวมาด้วย พอเห็นทหารตี๋กำลังจะยิงธนูส่งสัญญาณอยู่รอมร่อ หยางหู่ก็ดีดตัวพุ่งไปข้างหน้าพร้อมปามีดสั้นออกไป
มีดสั้นปักลงกลางอกพลยิงธนูดังฉึก ร่างเจ้าตัวกระตุกทีหนึ่งก่อนจะล้มลง คันธนูและลูกธนูก็ร่วงตกพื้นเช่นกัน
นายทหารชาวตี๋เงยหน้าขึ้น เห็นชายแปลกหน้าที่สวมชุดไม่ต่างจากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองกระโจนเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ทั้งที่ปามีดสั้นออกมาแล้วแท้ๆ ปลายเท้ากลับไม่ยอมหยุดแม้เพียงน้อย ยังคงวิ่งเข้าใส่ร่างทหารที่ถูกมีดปักอกและสะพายที่เก็บลูกธนูเกาทัณฑ์เสียงไว้ข้างหลัง
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความตระหนก พร้อมตะโกนสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ใกล้ๆ ยิงธนูสกัดฝ่ายตรงข้ามไว้
แต่แม้อันตรายจะอยู่ตรงหน้า นายทหารชาวตี๋ก็ไม่ลนลานแต่อย่างใด เขาก้มลงเก็บคันธนูกับลูกธนูโหว่ที่ตกอยู่บนพื้นข้างตัวขึ้นมา หมายจะยิงออกไปเอง
หยางหู่ไม่มีอาวุธใดๆ ให้ใช้ได้อีกแล้ว ภาพนั้นทำให้เขาร้อนรนปานอวัยวะภายในจะฉีกขาด
ทหารตี๋สองนายวิ่งเข้ามายิงธนูใส่เขา ลูกธนูแหลมคมพุ่งฟิ้วแหวกอากาศ ดอกหนึ่งปักลึกเข้ามาตรงหัวไหล่ หยางหู่นัยน์ตาแดงฉาน หักก้านธนูที่ปักคาอยู่บนร่างทิ้ง ปลายเท้าไม่เพียงไม่หยุดนิ่ง ยังวิ่งเร็วขึ้นกว่าเก่า ทำตัวราวกับเสือร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่ง กระโจนเข้าใส่นายทหารชาวตี๋ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ต่อให้ต้องมอดม้วยไปด้วยกัน เขาก็จะทำลายเกาทัณฑ์เสียงนี้ให้จงได้
ทันใดนั้นเองเสียงแหวกลมควับๆ ก็ดังขึ้น ดาบใหญ่หัวพยัคฆ์ยาวเท่าท่อนแขนที่ยังอยู่ในฝักเล่มหนึ่งหมุนติ้วเยื้องมาจากทางด้านหลัง จังหวะสุดท้ายที่หมุนมันหวดกระแทกเข้ากับใบหน้านายทหารตี๋ผู้นั้นโดยแรง
ดาบเล่มนี้หนักอึ้ง เมื่ออยู่ในฝักมีน้ำหนักถึงสามสิบสี่สิบจิน ซ้ำยังมีพลังจู่โจมที่รุนแรงจนน่าตกใจ ดั้งจมูกและโหนกแก้มนายทหารตี๋แตกละเอียดจนหน้ายุบลงไปครึ่งหนึ่งทันตา เจ้าตัวร้องโหยหวนขณะหงายหลังล้มลงบนพื้น คันธนูและลูกธนูโหว่กระเด็นหลุดจากมือ
หยางหู่ผงะ ยังไม่ทันได้หันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกคนข้างหลังผลักให้ล้มลงกับพื้น
ลูกธนูคมกริบหลายดอกพุ่งเฉียดศีรษะไป พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าฝานจิ้งออกหน้ามาช่วยแล้ว
ฝานจิ้งกดร่างหยางหู่ให้พ้นลูกธนูที่กำลังพุ่งทะยานมา ก่อนจะกระโจนไปข้างหน้า เก็บดาบที่เมื่อครู่รีบร้อนจนต้องขว้างทั้งฝักขึ้นมาชักออกแล้วสับลงไปยังนายทหารบนพื้นที่เจ็บปวดเสียจนลืมตาไม่ขึ้น ศีรษะคนผู้นั้นกระเด็นกลิ้งไปอีกทาง จากนั้นเขาก็หวดดาบอีกครั้ง ฟันลูกธนูโหว่ทั้งหมดให้ขาดเป็นสองท่อน
วิกฤตคลี่คลายแล้ว ฝานจิ้งยืดตัวยืนเต็มความสูงด้วยดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ในมือถือดาบชุ่มเลือด กระโจนเข้าใส่ทหารตี๋ที่ยิงธนูสกัดต่อ ชายร่างสูงใหญ่หนวดเครารกครึ้มที่สวมชุดเหมือนตนเองผู้นี้เหี้ยมหาญจนน่าตกใจ แม้แต่ผู้บังคับบัญชายังถูกตัดหัวทิ้ง ฝ่ายตรงข้ามเห็นดังนั้นก็ขวัญหนีดีฝ่อ พากันถอยหลังกรูดแล้วหมุนตัวทำท่าจะวิ่งหนี ทว่าวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ถูกทหารค่ายชิงมู่ที่ไล่ตามขึ้นมาจากข้างหลังฆ่าตาย
ทหารกล้าสองพันนายพร้อมใจกันออกจากป่า หลังการสังหารอันดุเดือดทหารตี๋หลายร้อยนายรวมทั้งผู้บังคับกองพันผู้นั้นก็ถูกฆ่าทิ้งทั้งหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
เลือดไหลนองพื้น ผสมกับดินโคลนหลังฝนห่าใหญ่ผ่านพ้น มองไปทางใดก็มีแต่ศพนอนระเกะระกะ จางจวิ้นค้นป้ายผ่านทางได้จากตัวนายทหารหัวขาด แล้วนำมาให้เจียงหานหยวน
นางรับมาพลิกดู
ป้ายผ่านทางนี้แกะสลักขึ้นจากไม้ เขียนอักษรตี๋ที่เลียนแบบมาจากอักษรจงหยวนอีกที นางอ่านออก รู้ว่าเป็นชื่อและตำแหน่งของนายทหารตี๋ผู้นี้ ‘ขุนพลชางไห่’ ซ้ำยังประทับตราเผาไฟป้องกันการปลอมแปลง
ตำแหน่งขุนพลในกองทัพเป่ยตี๋ก็เหมือนตำแหน่งแม่ทัพทั่วไปของต้าเว่ย ไม่นับว่าต่ำ ใครเลยจะคาดคิดว่าต้องกลายเป็นผีใต้คมดาบที่นี่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฝานจิ้งถาม “ท่านแม่ทัพ หลังจากนี้จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อ”
หญิงสาวมองขบวนเกวียนที่จอดอยู่บนทาง “วันนี้เป็นวันที่สิบแล้ว หากพวกเราปลอมตัวเป็นทหารขนส่งยุทธภัณฑ์กองนี้ ระหว่างทางก็จะปลอดภัยหน่อย แต่เดินทางได้ล่าช้าเกินไป ต่อให้ปลอมตัวซ่อนอยู่บนรถเปล่าๆ ก็เสียเวลาอยู่ดี ข้ากลัวว่าจะเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นกับทางเมืองเฟิงเยี่ย…”
นางนิ่งคิดครู่หนึ่ง เอ่ยต่อว่า “เดินหน้าต่อเต็มความเร็ว จะต้องไปถึงภายในครึ่งเดือนให้ได้! ที่นี่ไม่อาจอยู่นาน จัดการทุกอย่างเสร็จให้ออกเดินทางต่อทันที”
ฝานจิ้งรับคำสั่ง หันไปสั่งคนเก็บกวาดสถานที่ พร้อมกันนั้นยังดึงเสบียงของพวกเป่ยตี๋ออกมา เปลี่ยนม้าเป็นตัวที่แข็งแรงพ่วงพี แล้วขนศพทั้งหมดไปซ่อนในป่าพร้อมทั้งขบวนเกวียน
หยางหู่กับทหารอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บกำลังทำแผลกันอยู่ บาดแผลของเขาสาหัสกว่าใคร เพราะลูกธนูที่อยู่ในไหล่มีเงี่ยงแหลมแบบตะขอ เมื่อฝังลึกอยู่ในเนื้อจึงไม่อาจดึงทิ้งโดยง่าย ต้องค่อยๆ แซะเนื้อออกมา
เขานั่งอยู่บนยอดกำแพงช่วงที่ทลาย ถอดเสื้อเปลือยท่อนบนที่มีแต่มัดกล้ามตึงแน่น ให้หมอทหารที่ตามมาด้วยกรีดเนื้อเปิดออก เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายเต็มหน้าผาก ขณะกัดฟันเร่ง “เร็วหน่อย! มัวพิรี้พิไรอะไรอยู่! นี่หากคลอดลูก ป่านนี้ก็วิ่งได้แล้ว!”
หมอทหารแค่นหัวเราะ “แม่ทัพน้อยหยางของข้า! ไหนช่วยคลอดลูกหน่อยซิ คลอดให้ข้าดูสักคนที…” พูดพลางฉวยโอกาสที่คนเจ็บไม่ทันสนใจ งัดปลายมีดแซะหัวธนูชุ่มเลือดให้หล่นลงสู่ถาดโลหะที่รองรับดังแกร๊ง ตามมาด้วยเลือดสกปรกที่ทะลักออกจากรอยแผล
หยางหู่ร้องเสียงหลง รู้สึกเจ็บสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ระหว่างกำลังกัดฟันสูดปากก็พลันเห็นเจียงหานหยวนเดินมาทางนี้ เลยรีบข่มความเจ็บปวดหุบปากแทบไม่ทัน
แม่ทัพหญิงไถ่ถามอาการบาดเจ็บของทหารสิบกว่านายที่เหลือ ล้วนแต่เป็นแผลเล็กๆ ระดับผิวเนื้อทั้งสิ้น อาการไม่รุนแรง พอนางได้ฟังดังนั้นก็ค่อยเบาใจ สุดท้ายนางเดินเข้ามาตรงหน้าหยางหู่แล้วถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
หมอทหารล้างแผลเสร็จก็ใส่ยาและพันผ้าให้อย่างว่องไว พร้อมตอบยิ้มๆ “แซะหัวธนูออกได้แล้วขอรับ โชคดีที่ไม่โดนข้อต่อ แม่ทัพน้อยหนังหนา ได้พักฟื้นสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
เจียงหานหยวนพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองหยางหู่ “เจ็บมากเลยสินะ อาฝานบอกว่าเจ้าอยากหยุดเกาทัณฑ์เสียงจนไม่ห่วงตนเอง เกือบเป็นอันตรายอยู่แล้ว”
สายตาที่แม่ทัพหญิงมองมาฉายความห่วงใย เสียงที่ถามไถ่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน หยางหู่เห็นแล้วใบหน้าร้อนวาบ ใจเต้นตึกตัก ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เจ็บ ก่อนจะพูดต่อ “ต้องโทษที่ข้าไร้สามารถ หากไม่เพราะแม่ทัพฝานฆ่าขุนพลนั่นและหยุดเกาทัณฑ์เสียงไว้ได้อย่างทันท่วงที ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างยังไม่รู้เลย ข้าต้องขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตเอาไว้”
ปกติฝานจิ้งมักมีสีหน้าเย็นชาอยู่เสมอ กลุ่มทหารหนุ่มเลือดร้อนอย่างพวกหยางหู่จะทำอะไรก็คอยห้ามคอยปรามไปเสียทุกอย่าง พวกเขาจึงไม่ใคร่สบอารมณ์นัก และเรียกลับหลังเจ้าตัวว่า ‘ตาแก่ฝาน’ หาว่าอาศัยอำนาจแม่ทัพหญิงมาข่มผู้อื่น ตอนนี้พอหวนนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่หยางหู่รู้สึกเลื่อมใสจนอยากก้มลงไปหมอบกรานคารวะอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ทั้งละอายแก่ใจ ทั้งซาบซึ้งจนสุดบรรยาย
“มันเป็นเหตุเหนือความคาดหมาย ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย เจ้าทำภารกิจได้ยอดเยี่ยม ปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ พักผ่อนสักหน่อยแล้วกัน อีกเดี๋ยวจะได้เดินทางต่อ ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”
“ไม่มีปัญหาขอรับ!” หยางหู่ตอบเสียงดัง
เจียงหานหยวนตบแขนฝ่ายนั้นแล้วหมุนตัวเดินไปทางอื่น
ฟ้ายังไม่ทันสาง ทั้งหมดก็ทิ้งโรงทหารร้างเอาไว้ด้านหลัง พกสัมภาระเพียงน้อยชิ้น เร่งควบม้าไปข้างหน้าต่อโดยไม่หยุดพัก สังหารทหารตี๋กองเล็กๆ ที่พบประปรายระหว่างทาง มุ่งหน้าตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนจะมาถึงแนวชายแดนอันหลงในวันรุ่งขึ้น
ผู้ได้รับมอบหมายให้คุมทหารหนึ่งพันนายตรึงกำลังรักษาการณ์ด่านชายแดนอันหลงแห่งนี้คืออดีตนายทหารแคว้นจิ้นที่สวามิภักดิ์ต่อเป่ยตี๋ นามหวงซิว เวลานี้ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่าขุนพลชางไห่นำกองกำลังไปสมทบทางเมืองเฟิงเยี่ย ตรวจเทียบป้ายผ่านทางแล้วว่าถูกต้อง ตอนนี้กำลังรออยู่หน้าป้อมปราการ
ขุนพลชางไห่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชามากความสามารถของแม่ทัพชินหลง แม่ทัพชินหลงผู้นี้ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากหนานอ๋องชื่อซูให้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการคุมทัพตีแปดดินแดน ตัวเขาเป็นเพียงแม่ทัพชาวฮั่นที่แปรพักตร์ ปกติถูกดูแคลนในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้อีกฝ่ายรอ ได้ยินดังนั้นก็รีบจัดชุดให้เรียบร้อยแล้ววิ่งออกจากป้อมปราการไปต้อนรับด้วยตนเอง แลเห็นทหารกองหนึ่งหยุดรอห่างออกไปหลายจั้งได้แต่ไกล
คนที่อยู่ตรงกลางมีกะบังหน้าครอบหน้าผาก บดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง ใต้กะบังคือดวงตาและใบหน้าครึ่งล่าง สวมหมวกเกราะปักขนนกสีดำ วาดเป็นรูปสัตว์ร้ายดุดันน่ากลัว ใส่เสื้อเกราะสีดำทั้งชุด จับบังเหียนด้วยมือข้างเดียวนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้าศึก
เป็นชุดของขุนพลชางไห่จริงๆ
ผู้ติดตามทั้งซ้ายขวาและข้างหลังของเจ้าตัวเป็นกองทหารม้า แต่ละคนท่าทางเข้มขรึม สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
นี่คือกองทหารกล้าที่ควบม้าบุกตะลุยมานับพันหลี่ ตีฝ่าศัตรูอันแข็งแกร่งมาตลอดทาง เวลานี้แม้อยู่เฉยๆ ไม่ส่งเสียง แต่กลับแผ่บรรยากาศกดดันอย่างรุนแรง
หวงซิววิ่งรี่เข้าไปหา ก่อนจะผ่อนฝีเท้าวิ่งต่อไปอีกหลายก้าวจึงค่อยหยุดชะงัก เขม้นตามองใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่งล่างของผู้มาเยือน เมื่อเบนสายตาไปมองทวนยาวในมือขวาของอีกฝ่ายก็พลันอุทานออกมา “เจ้าไม่ใช่ขุนพลชางไห่!”
เขาเข้าสวามิภักดิ์กับพวกชาวตี๋มานานปี ปกติจะใช้ภาษาตี๋จนชิน แต่ด้วยอารามตื่นตระหนกจึงเผลอหลุดปากอุทานด้วยภาษาเดิมโดยไม่รู้ตัว
เจียงหานหยวนยกกะบังหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่ใช่”
หวงซิวมองดวงหน้าอิสตรีของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงจังงังแล้วพลันได้สติ แผดเสียงตะโกนลั่น “รีบปิดประตูเมือง! พวกต้าเว่ยบุก…” ระหว่างตะโกนก็ทำท่าจะหมุนตัววิ่งกลับเข้าเมืองไปด้วย
แขนขวาที่ถือทวนยาวของเจียงหานหยวนยกขึ้นแล้วสะบัดใส่คนข้างหน้า ทวนยาวพุ่งออกจากมือนางแหวกอากาศทะยานฉิวไปราวกับดาวตก ก่อนจะเสียบเข้ากลางอกอดีตนายทหารแคว้นจิ้นผู้นั้น ปลายทวนชุ่มเลือดทะลุออกจากแผ่นหลัง กระชากร่างของเจ้าตัวให้ถอยแซ่ดๆ ไปเจ็ดแปดก้าว สุดท้ายก็ปักตรึงไว้กับบานประตูข้างหลังที่เร่งร้อนปิดลงได้เพียงครึ่งเดียว
หลังซัดทวนออกจากมือเจียงหานหยวนก็ควบม้าตามไปติดๆ พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าประตูเมือง นางก้มตัวลงเอื้อมมือไปจับด้ามทวนดึงออกจากอกหวงซิวมากวัดแกว่งปัดพลทหารที่กำลังปิดประตูด่านออกไป ก่อนจะดันหัวทวนไปด้านหน้า กระทุ้งประตูให้เปิดออก จากนั้นก็ขี่ม้าผ่านป้อมปราการเข้าไปเป็นคนแรก
หวงซิวล้มลงบนพื้น เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกจากรูโหว่กลางอกและมีฟองฟอดไหลตรงมุมปาก ระหว่างกำลังทุรนทุรายก็ถูกเกือกเหล็กนับไม่ถ้วนของทหารที่ควบม้าตามนางเข้าเมืองเหยียบย่ำจนกลายเป็นกองเนื้อแหลกเละ
ชุยจิ่วนำพลธนูกรูขึ้นบันไดไปบนป้อมกำแพงเมือง ควบคุมพื้นที่สูงไว้อย่างว่องไว แล้วจัดกระบวนพล ระดมยิงธนูใส่ทหารตี๋ที่แห่แหนออกมาจากข้างในด่านเมื่อรู้ข่าว
บนป้อมกำแพงเมือง ลูกธนูพุ่งลงมาเป็นสายต่อเนื่องราวกับห่าฝน ศัตรูออกมาระลอกหนึ่งก็กระหน่ำยิงระลอกหนึ่ง ทหารตี๋ที่โดนยิงนอนโอดครวญระเนระนาดเกลื่อนพื้น ส่วนบริเวณประตูด่านเจียงหานหยวนนำผู้ใต้บังคับบัญชาสังหารข้าศึกอย่างดุดัน เพียงไม่นานทหารตี๋ในป้อมปราการก็ถูกฆ่าตายเรียบ ไพร่พลสองพันนายกรูเข้าด่านชายแดนอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง
แนวชายแดนอันหลงมีกำแพงหมื่นหลี่ที่สร้างทับเทือกเขาสยงหลิ่ง จริงอยู่ว่าบัดนี้ถูกปล่อยร้าง แต่ยังมีประโยชน์สำหรับนาง ตามแผนการเดิมเมื่อมาถึงที่นี่พวกนางจะฉวยโอกาสตอนกลางคืนปีนขึ้นเทือกเขาข้ามกำแพงมาโจมตีแนวชายแดนอันหลง
แต่เพราะเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นกลางทาง การโจมตีจึงสะดวกขึ้นมาก
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันแนวชายแดนอันหลงก็ถูกตีแตก ทหารตี๋ถูกฆ่าตายหลายร้อยนาย พวกที่เหลือหนีกันกระเจิดกระเจิง
มาถึงนี่แล้ว ต่อให้ทางจวนหนานอ๋องรู้ข่าวว่านางบุกก็ไม่มีทางที่จะขัดขวางได้ทัน
เจียงหานหยวนไม่ได้ตามไปฆ่าทหารตี๋ที่หนีไป หลังรวมพลพักผ่อนเล็กน้อยก็นำกองทหารม้าลาดตระเวนของตนเร่งเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงเยี่ยซึ่งบัดนี้อยู่ใกล้แค่คืบ
ซู่เซิ่นฮุยพักที่เฉียนถังอีกระยะหนึ่ง รวมกันสองรอบ เขาอยู่ในเมืองนี้ทั้งสิ้นสิบวัน
ในที่สุดสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำในการเยี่ยมเยียนมณฑลทางใต้ก็หมดสิ้นลงในวันนี้
เขาออกจากฉางอันในเดือนสี่ พริบตาเดียวก็เข้าเดือนแปดแล้ว
ตามกำหนดการที่วางไว้ วันรุ่งขึ้นเขาต้องกลับเมืองหลวง
ก่อนเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ชายหนุ่มแต่งกายเยี่ยงสามัญชน มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน แล้วไปคารวะลามารดาตนเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ส.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.