บทที่ 64
จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และถึงปลายทางในตอนเที่ยงวัน บนเขาสงบวิเวก ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เขาเดินขึ้นบันไดหินใต้ร่มไม้ในป่ามาถึงหน้าตำหนักสมถะที่ตั้งอยู่กลางเขา แลเห็นมุมตำหนักโผล่วอมแวมกลางแมกไม้อยู่เหนือขอบกำแพง หมู่สกุณาขับขานเสนาะหู ข้างตำหนักคืออารามชีที่มีเสียงระฆังดังทั้งเช้าเย็น เป็นสถานที่ที่จวงไท่เฟยใช้ปฏิบัติธรรมในยามปกติ
ทหารยามเปิดประตูให้ ชายหนุ่มก้าวเข้าตำหนักแล้วเดินไปยังเรือนทิศใต้อันเป็นที่อยู่ของมารดา โดยสั่งให้หลิวเซี่ยงและผู้ติดตามคนอื่นรออยู่ข้างนอก ส่วนตนเองก้าวไปตามทางเท้าลัดเลาะสวนขนาดย่อมที่ปลูกต้นล่าเหมยไว้ห่างๆ กัน มาหยุดเท้าตรงเชิงบันไดหน้าเรือน
ข้ารับใช้นำความไปแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าเขามา แต่ผิดคาดตรงคนที่เดินออกมาจากในเรือนกลับเป็นขันทีที่เป็นพ่อบ้านผู้เคยติดตามมารดาไปตำหนักแปรพระราชฐานคราวก่อน ฝ่ายนั้นคำนับเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะถ่ายทอดคำพูดของมารดาให้ฟังโดยไม่มีผิดเพี้ยน “ข้ารับน้ำใจเจ้าไว้แล้ว กลับไปเถิด”
ซู่เซิ่นฮุยชะงัก แล้วมองไปทางประตูเรือน ขันทีถ่ายทอดคำพูดจบก็รู้ว่าเขาต้องมีเรื่องถาม จึงรีบเดินลงบันไดมารออยู่ข้างๆ อย่างพินอบพิเทาโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก และแล้วก็ได้ยินชายหนุ่มถามขึ้นจริงๆ “เสด็จแม่มิได้ตรัสอะไรอื่นหรือ”
ขันทีค้อมกาย “ไม่มีแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟยตรัสประโยคนี้แค่ประโยคเดียวเท่านั้น”
“ทรงยุ่งอยู่หรือ”
ขันทีค้อมกายอีกครั้ง “ทูลท่านอ๋อง ข้อนี้กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ จวงหมัวมัวเป็นผู้อัญเชิญรับสั่งของไท่เฟยมาถ่ายทอดอีกที”
ซู่เซิ่นฮุยมุ่นหัวคิ้วยืนอยู่หน้าบันไดสักพัก “เจ้านำคำพูดของข้าไปกราบทูลที…” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ลูกไปครานี้ไม่รู้เมื่อไรจะได้กลับมาทดแทนบุญคุณเสด็จแม่อีก ลูกอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน ขอเสด็จแม่โปรดปลีกพระองค์จากธุระที่ติดพันอยู่ เสด็จออกมาให้ลูกได้เห็นพระพักตร์ด้วยเถิด”
ขันทีผู้นั้นรับคำแล้วหมุนตัวรีบเดินกลับเข้าไป
ซู่เซิ่นฮุยยืนรออยู่ตรงลานเรือนตามลำพัง ครู่หนึ่งให้หลังขันทีคนเดิมก็ซอยเท้าเดินออกมาอย่างว่องไว แค่เห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้าตัว บุรุษหนุ่มก็รู้ผลแล้ว ไม่ผิดจากที่คิด พอเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายก็ค้อมกายคำนับแล้วรายงานอึกๆ อักๆ “ไท่เฟยตรัสว่าไม่อยากทำให้ท่านอ๋องทรงเสียเวลา ขอให้ท่านอ๋อง…ทรงกลับไปพ่ะย่ะค่ะ…”
อ๋องผู้สำเร็จราชการเงียบไป ยืนอยู่ตรงบันไดอย่างนั้นได้สักพักก็รั้งชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้นอิฐโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว หันหน้าไปทางประตูบานนั้น
“ท่านอ๋อง…” ขันทีผู้นั้นร้องเรียกด้วยความตกใจพลางทำท่าจะเอื้อมมือมาประคองเขาไว้ แต่ก็ชะงักไปด้วยความลังเล ก่อนจะชักมือกลับแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง
คราวนี้ร่างของขันทีหายลับไปหลังประตูแล้วไม่ออกมาอีกเลย หน้าเรือนเหลือแต่ซู่เซิ่นฮุยเพียงผู้เดียว
ดวงตะวันเปลี่ยนมุมทีละนิด รอบตัวสงัดเงียบไร้สรรพเสียงใดๆ เงาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นค่อยๆ เคลื่อนจากแผ่นอิฐทางด้านขวาของเขามาซ้อนกันสนิทอยู่ที่ใต้เข่า ก่อนจะเคลื่อนไปทางซ้ายทีละน้อยแล้วทอดยาวออกไปเรื่อยๆ
ตกบ่าย พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตก
ครั้นพอย่ำเย็นเสียงตีระฆังก็ลอยมาจากสิ่งปลูกสร้างข้างๆ เขานั่งคุกเข่ามาราวสามชั่วยามแล้ว
เชิงบันไดหน้าเรือนไร้แมกไม้ให้ร่มเงา แรกสุดตะวันแรงแผดแสงเหนือกระหม่อมจนเขาเหงื่อไหลโกรกหน้าผาก เสื้อผ้าเปียกชุ่มแนบลู่กับแผ่นหลัง จากนั้นหยาดเหงื่อค่อยๆ เหือดหาย แห้งสนิทไปกับเนื้อผ้า ริมฝีปากแห้งผากของชายหนุ่มปิดเข้าหากัน เอาแต่คุกเข่านิ่งอย่างนั้นไม่ขยับ สองตาทอดตรงไปยังบานประตูข้างหน้า
หญิงสกุลจวงแอบเดินกลับไปกลับมาไม่รู้กี่รอบแล้ว รอบสุดท้ายนางออกมายืนตรงมุมลับตาหลังประตู มองร่างที่ยังคุกเข่าใต้แสงอาทิตย์อัสดงด้วยความสงสารปานจะขาดใจ ก่อนจะจ้ำเท้าเดินกลับมาหน้าห้องจวงไท่เฟยแล้วคุกเข่าอ้อนวอนผ่านบานประตู “ไท่เฟย! ท่านอ๋องทรงคุกเข่ามาครึ่งวันแล้วนะเพคะ! น้ำสักหยดก็ไม่ได้เสวย! หากไท่เฟยไม่ทรงยอมให้เข้าเฝ้า ท่านอ๋องก็ไม่ทรงลุกขึ้นมาหรอกเพคะ พระอุปนิสัยเป็นเช่นไร ไท่เฟยก็ทรงทราบ ปล่อยให้ทรงคุกเข่าเช่นนั้นต่อไป พระวรกายไหนเลยจะรับไหว ช่วงที่ผ่านมาท่านอ๋องทรงเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทกายใจ ตรากตรำเพื่อบ้านเมือง ใช่ว่าทรงอยู่สบาย พอเสด็จกลับเมืองหลวงก็ต้องทรงงานต่อ หม่อมฉันใคร่ขอวิงวอนไท่เฟย ทรงเรียกท่านอ๋องเข้ามาเถิดเพคะ…”
นางพูดด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
ข้างในเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงตอบกลับมาในที่สุด “เรียกเขาเข้ามา”
คนสนิทรีบโขกศีรษะขอบคุณแล้วลุกขึ้นจากพื้น เช็ดหางตา จากนั้นก็หมุนตัวซอยเท้าเดินออกไป
ซู่เซิ่นฮุยคุกเข่านิ่งๆ อยู่บนพื้นอิฐใต้แสงตะวันรอน หัวเข่าทั้งสองข้างต้องรองรับน้ำหนักตัวทั้งหมด แรกสุดแค่เจ็บ จากนั้นเหมือนถูกเข็มแทง สุดท้ายกลายเป็นชาดิก จนตอนนี้ไร้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่หัวเข่าของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ประตูตรงหน้าเปิดออกอีกครั้ง เขาเห็นหญิงสกุลจวงเดินลิ่วๆ ลงบันไดมาหา
“ท่านอ๋องทรงลุกขึ้นเถิดเพคะ! ไท่เฟยทรงมีรับสั่งให้ท่านอ๋องเสด็จเข้าไปข้างในแล้ว!”
หัวไหล่ซู่เซิ่นฮุยขยับไหวทีหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ
เนื่องจากคุกเข่านานเกินไป ตอนลุกขึ้นยืนใหม่ๆ จึงทรงตัวไม่อยู่ หญิงสกุลจวงรีบยกมือขึ้นประคองเขาไว้แล้วตะโกนเรียกคนให้ออกมาช่วยกันพยุง
หลิวเซี่ยงรออยู่นอกตำหนักมาครึ่งวันแล้ว เขามองผ่านช่องว่างระหว่างบานประตูที่หับไว้หมิ่นๆ เข้าไปเห็นแต่แรกว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการคุกเข่าอยู่หน้าบันได ไหนเลยจะกล้าเข้าไปข้างใน ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ เดินกลับไปกลับมาอยู่ข้างนอกระหว่างรอด้วยความร้อนใจ กระทั่งในที่สุดก็มีคนออกมาจากในเรือนเสียที พอเห็นภาพนั้นหลิวเซี่ยงใจหายวาบ ครั้นจะวิ่งเข้าไปหาเจ้านาย ขันทีกับนางกำนัลจำนวนหนึ่งก็กรูออกมาจากหลังประตูบานนั้นเสียก่อน ต่างกุลีกุจอช่วยกันประคองและนวดเข่าให้อ๋องผู้สำเร็จราชการ
เขาพลันชะงักเท้า แล้วถอยกลับไปที่เดิม
ซู่เซิ่นฮุยหลับตายืนนิ่งอยู่สักพัก จนอาการเหน็บชาเริ่มทุเลาลงทีละน้อย จึงก้มหน้าลงผงกศีรษะให้หญิงสกุลจวง ก่อนจะดันกลุ่มคนที่ช่วยประคองออกห่าง ก้าวเท้าขึ้นบันไดเดินเข้าไปข้างใน
หญิงสกุลจวงตามมาติดๆ เพื่อนำทาง แล้วรับน้ำชาจากนางกำนัลสูงวัยคนหนึ่งมาส่งให้เขาดื่มก่อน ทว่าซู่เซิ่นฮุยไม่รับ กลับเดินเข้าเรือนทันที
ประตูเปิดอยู่ แสงอาทิตย์อัสดงสีทองอร่ามส่องผ่านหน้าต่างทิศตะวันตกเข้ามาข้างในเป็นแนวทแยง จวงไท่เฟยนั่งอยู่บนตั่งเตี้ย ชายหนุ่มเดินเข้าไปตรงหน้ามารดา คุกเข่าลงอีกครั้งแล้วโขกศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนจะพูดเสียงแผ่วว่า “ลูกอกตัญญู ลูกผิดเองที่สร้างความขุ่นเคืองให้เสด็จแม่อีกแล้ว ขอเสด็จแม่โปรดอย่าได้กริ้ว”
จวงไท่เฟยเหลือบมองบุตรชาย แล้วย้อนถามเนิบๆ “เจ้ามีความผิดอันใด”
ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบประสานสายตากับผู้เป็นมารดาที่มองมาจากบนตั่ง
เขาจะไม่รู้เหตุผลที่นางไม่ยอมให้เขาเข้าพบได้อย่างไร หลังนางจากไปในวันนั้น เขากับเจียงหานหยวนอยู่ที่ตำหนักแปรพระราชฐานต่อหลายวัน ภายหลังเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคนบ้าง ต่อให้มารดาไม่ล่วงรู้ทุกอย่างโดยละเอียด ย่อมต้องมีระแคะระคายบ้างไม่มากก็น้อย
นางทำโทษเขาแทนเจียงหานหยวน
นับแต่ความสัมพันธ์แตกหักในคืนฝนกระหน่ำคืนนั้นจนถึงวันนี้ ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวเหมือนปกติทุกประการ สะสางงานแต่ละอย่างที่ตนเองควรทำในฐานะอ๋องผู้สำเร็จราชการ ยุ่งตัวเป็นเกลียว ทำงานออกมาได้อย่างมีระเบียบแบบแผน ทว่าหัวใจแสนจะอัดอั้น เหมือนมีเส้นเอ็นขึงรั้งไว้จนตึงแน่น เขาคิดว่าตนเองสามารถควบคุมเส้นเอ็นดังกล่าวได้อยู่มือ จวบจนวันที่ได้รับรายงานจากเจียงจู่วั่ง มันก็ขาดผึงลงทันที
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ และเขาก็ยินดีรับไว้
ความขมขื่นและความเจ็บปวดที่กำลังโบยตีเขานี้ตรงใจเขาพอดี เพราะเหมือนสามารถปลดปล่อยหัวใจให้เป็นอิสระจากความรู้สึกที่พันธนาการอยู่ได้
แต่เมื่อได้ยินมารดาตั้งคำถามว่า ‘เจ้ามีความผิดอันใด’ ความคิดของเขากลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
หลังคืนฝนตกคืนนั้น ความเดือดดาล ความผิดหวัง หรืออาจมีความกลัดกลุ้มใจอันไร้ทางออกและความคั่งแค้นที่เขาไม่มีวันยอมรับปะปนอยู่ด้วย ความรู้สึกต่างๆ นานาเหล่านั้นหมดความสำคัญลงโดยสิ้นเชิงในพริบตาที่ได้อ่านฎีกาของเจียงจู่วั่ง ในอกเหลือเพียงความเสียใจและความห่วงใย เขานึกเสียใจว่าคืนนั้นตนเองไม่น่าขาดสติชั่ววูบแล้วลองใจนาง รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีวันได้ผลลัพธ์ดังที่หวัง แต่ก็ยังจะทำอีก
หากคืนนั้นเขากดข่มอารมณ์เอาไว้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บอกนางไปตรงๆ ว่าฐานะที่แท้จริงของภิกษุรูปนั้นน่าสงสัยอย่างไร ตอนนี้แม้ต้องอยู่ไกลกันสุดหล้า แต่อย่างน้อยๆ นางก็ยังเป็นของเขา…
เดิมทีเขาควรมั่นคงในความตั้งใจเมื่อแรกที่สู่ขอนาง ตอนนั้นเขาใช้เรือนฝานจื่อเป็นเรือนหอ เพื่อรักษาพื้นที่สุดท้ายที่สามารถอยู่คนเดียวลำพังเอาไว้ หากสถานการณ์อำนวยไปเรื่อยๆ และนางเองไม่มีความเห็นเป็นอื่น เขาก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกับนางอย่างปรองดองและให้เกียรติต่อไป
ทว่าเรื่องกลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ถ้าจะถามว่าใครผิดก็ต้องบอกว่าผิดที่คืนนั้นเขาดันลองใจนางอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ ผิดที่เขาลุ่มหลงนางเข้าเต็มเปา ผิดที่เขาใส่ใจนางเกินไป ปรารถนาให้นางชอบเขามากกว่าที่เป็นอยู่ หัวใจมีแต่เขาเหมือนอย่างที่หัวใจเขามีแต่นาง และมีเพียงเขาคนเดียว ไม่ใช่หลับฝันคิดถึงคนอื่นทั้งที่นอนร่วมเตียงกับเขา
แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจว่าร้ายนางให้มารดาฟังว่านางทรมานเขาซ้ำๆ อย่างไรบ้าง นางออกเรือนกับเขา แต่ยังฝันถึงชายอื่น และเพราะใครคนนั้น นางตอบสนองรุนแรงใส่เขาถึงขั้นคุกเข่าให้และตัดผมตนเอง
เขามีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้องให้นางเป็นอย่างที่ต้องการ เพียงเพราะในตอนแรกเขาแต่งงานกับนางเพื่อต้าเว่ยน่ะหรือ
ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ หุบปาก สัมผัสได้ว่าความเจ็บแล่นปราดมาจากกลางฝ่ามืออีกครั้ง เจ็บสะท้านอย่างรุนแรงจนแทบทนรับไม่ไหว
จวงไท่เฟยเห็นบุตรชายไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่คุกเข่าเงียบด้วยท่าทางดึงดัน ตอนแรกยังนึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่พอมองอีกทีแล้วเห็นเขาหน้าซีดเผือดเหมือนไม่สบายก็นึกขึ้นได้ว่าเขาคุกเข่าตากแดดเปรี้ยงๆ อยู่ข้างนอกมาครึ่งวัน อย่าบอกนะว่าจะเป็นลมแดด? นางทั้งอ่อนใจทั้งสงสาร เรียกให้ลุกขึ้นมา เขาก็ไม่หือไม่อือ คราวนี้จวงไท่เฟยชักร้อนรน ไม่มีอารมณ์จะโมโหต่อ รีบลุกไปเรียกหญิงสกุลจวงให้มาดึงบุตรชายขึ้นจากพื้น สั่งให้เขานั่งลง ป้อนน้ำให้ดื่ม จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำอุ่นเองกับมือแล้วนั่งลงข้างๆ เพื่อเช็ดหน้าให้
ซู่เซิ่นฮุยเบือนหน้าหนีมือที่เอื้อมมาหาตัวของมารดา ก่อนจะรับผ้ามาเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าเอง แล้วบอกเบาๆ “ลูกไม่เป็นไร เสด็จแม่ไม่ต้องทรงห่วง”
ผู้เป็นมารดาชักมือกลับมา จ้องมองเขาสักพักก็ถาม “ซื่อซื่อกลับถึงเยี่ยนเหมินโดยปลอดภัยแล้วสินะ ระยะนี้มีข่าวคราวจากนางบ้างหรือไม่”
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย “ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เสียงตอบเงียบหายไปเพียงเท่านั้น ขณะที่สายตาเบนออกไปมองตะวันตกดินนอกหน้าต่าง
จวงไท่เฟยทอดถอนใจเบาๆ
“ข้าจะไม่ถามว่าอยู่ดีๆ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ทะเลาะกันอีก ต่อให้ถาม เจ้าก็ไม่เล่าให้ฟังหรอก”
นางมองบุตรชายที่เอาแต่เงียบ
“อย่าหาว่าข้าลำเอียงเลยนะ เรื่องอื่นข้าไม่รู้ จึงพูดไม่ได้ แต่ได้ยินมาว่าคืนนั้นเจ้าทิ้งนางไว้ในตำหนักแปรพระราชฐานแล้วจากไปคนเดียวโดยไม่รอให้ฝนหยุดด้วยซ้ำ เจ้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ถือว่าผิดมหันต์ ไม่ว่าคืนนั้นพวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันด้วยเรื่องใด แต่ตอนสู่ขอนางมาเป็นชายาเจ้าไม่เคยถามไถ่ว่านางยินดีหรือไม่ ต่อให้ในใจนางมีคำว่า ‘ไม่ยินดี’ สักหนึ่งหมื่นคำก็ต้องออกเรือนมาฉางอันอย่างไม่มีทางเลือก ตัวเจ้าสมประสงค์แล้ว ตอนนี้ต่อให้ไม่พอใจนางสักเพียงใด ยามโกรธเคืองนาง ข้าหวังว่าเจ้าจะตรองดูให้มากว่าเหตุใดนางถึงมาเป็นชายาเจ้า! อะไรควรพูด คราวก่อนตอนอยู่ในตำหนักแปรพระราชฐานข้าก็ได้พูดไปแล้ว ข้ายังยืนยันคำเดิม ซื่อซื่อเป็นหญิงที่ดี หากเจ้าดีต่อนาง นางไม่มีวันทรยศเจ้าแน่”
ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ ดึงสายตาจากนอกหน้าต่างมามองมารดา ก่อนค้อมศีรษะตอบยิ้มๆ “ครานี้ลูกจดจำขึ้นใจแล้ว นี่เป็นความผิดของลูกจริงๆ ลูกจะขออภัยซื่อซื่อ เสด็จแม่โปรดวางพระทัยเถิด!”
จวงไท่เฟยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
เขาถูกผู้เป็นมารดารั้งตัวให้อยู่กินอาหารด้วยกัน ก่อนจะคำนับลานางอย่างอาวรณ์ภายใต้แสงโคมสำหรับถือส่องทาง จวงไท่เฟยออกมาส่งที่หน้าตำหนัก ยืนมองร่างที่จากไปของบุตรชายจากบนบันได
ท่านอ๋องลับตัวไปแล้ว จวงไท่เฟยก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นนาน ถึงค่อยหมุนตัวเดินกลับเข้าข้างในด้วยความอาลัย
หญิงสกุลจวงที่ติดตามรับใช้เงียบๆ พลันได้ยินเจ้านายพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าพอเข้าใจว่าตอนนั้นซื่อซื่อเข้าฉางอันมาด้วยความรู้สึกเช่นไร เพราะเหตุนี้ถึงได้สงสารนาง แต่ข้าก็ยังเห็นแก่ตัวจริงๆ เพื่อบุตรชายตัวเองแล้ว ข้าหวังว่าซื่อซื่อจะ…”
นางเงียบไป ได้แต่ทอดสายตามองไปทางขอบฟ้าเบื้องพายัพที่เวลานี้ถูกแสงตะวันรอนอาบย้อมจนสุกปลั่ง ภายใต้แสงสุดท้ายของวันคือเมืองหลวงที่ไกลลิบจนมองไม่เห็น
“…ไม่ว่าวันข้างหน้าเป็นเช่นไร หากซื่อซื่อสามารถครองคู่กับเขาโดยไม่ทอดทิ้งกันได้ ข้าก็จะเบาใจอย่างแท้จริง…”
หญิงสกุลจวงพยุงเจ้านายพลางตอบอย่างอ่อนโยน “ท่านอ๋องกับแม่ทัพหญิงเป็นคู่สร้างคู่สม ซ้ำยังเป็นคนมีปัญญากันทั้งคู่ แม้เกิดเหตุกระทบกระทั่ง แต่ไม่นานก็จะคิดได้เองเพคะ ไท่เฟยทำพระทัยให้สบายเถิด คราวหน้าเมื่อท่านอ๋องทรงพาแม่ทัพหญิงมาเยี่ยม รับรองว่าบรรยากาศจะไม่เหมือนเดิมแน่นอนเพคะ”
จวงไท่เฟยเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกของเจ้า ข้าจะรอแล้วกัน”
เมื่อซู่เซิ่นฮุยออกจากตำหนัก หลิวเซี่ยงก็ตามเจ้าตัวลงเขา รอยยิ้มบนใบหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการเลือนหาย ตรงหว่างคิ้วเหมือนมีเงาทะมึนทาบทับ เขาเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่นำผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามอารักขามาตลอดทาง ทุกคนขี่ม้ากลับเมือง กว่าจะมาถึงเชิงเขาใต้ตำหนักแปรพระราชฐานก็ดึกมากแล้ว
“ออกเดินทางเช้าวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าร้อนนิดหน่อย จะยืนรับลมอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวค่อยตามขึ้นไป ไม่ต้องเป็นห่วง”
อยู่ๆ ซู่เซิ่นฮุยก็พูดอย่างนั้นแล้วลงจากหลังม้า โยนบังเหียนให้ผู้ติดตาม ก่อนจะเดินไปทางริมทะเลสาบคนเดียว
หลิวเซี่ยงเห็นเจ้าตัวยืนอยู่ริมตลิ่ง ก้มหน้านิดๆ จ้องมองผิวทะเลสาบ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ น้ำในทะเลสาบเวลานี้เป็นสีดำเมื่อมดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ไหนเลยเขาจะกล้าทำตามคำสั่ง ได้แต่บอกให้คนอื่นๆ แยกย้าย ส่วนตนเองยังติดตามอารักขา โดยยืนห่างออกมาสิบกว่าก้าว ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไปนัก
อ๋องผู้สำเร็จราชการเงยหน้ามองท้องฟ้าทางทิศเหนือ แผ่นหลังนิ่งงันราวกับรูปสลัก
ระหว่างที่รอหลิวเซี่ยงนึกถึงภาพอ๋องผู้สำเร็จราชการคุกเข่าอยู่ครึ่งวันเพราะจวงไท่เฟยที่ไม่ยอมให้เข้าไปข้างใน ก่อนจะนึกไปถึงสีหน้าเคร่งเครียดแข็งตึงของเจ้าตัวในคืนนั้น ตอนกุมมือที่ถูกกระบี่บาดจนเลือดไหลชุ่มเดินออกมา
แม้จนบัดนี้เขาก็ยังคิดไม่กระจ่างใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เห็นชัดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการกับชายามีเหตุกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีต้นตอมาจากคืนที่เขาไปรายงานอ๋องผู้สำเร็จราชการเรื่องภิกษุอู๋เซิงนั่น
หลิวเซี่ยงระงับความรู้สึกผิดในใจ เหลือบมองท้องฟ้า แล้วเดินเข้าไปบอกว่า “ท่านอ๋อง ดึกมากแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสด็จไปพักผ่อนเถิด”
อีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับ ระหว่างที่เขากำลังจนใจอยู่นั้นก็พลันได้ยินเจ้าตัวถามขึ้นว่า “แต่ก่อนเจ้าเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงจู่วั่ง เห็นว่าพระชายาเติบโตขึ้นในกองทัพตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเจ้าเคยเห็นนางหรือไม่”
ชายหนุ่มไม่ได้หันมา
หลิวเซี่ยงผงะไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็ได้สติ ก้าวเข้าไปตอบว่า “ทูลท่านอ๋อง เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ พระชายายังทรงพระเยาว์นัก จำได้ว่าทรงเข้ามาอยู่ในค่ายตั้งแต่พระชันษาได้เพียงหกเจ็ดขวบ”
พูดจบก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันมามองเขา “อายุน้อยถึงเพียงนั้นเลย?”
หลิวเซี่ยงค้อมศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ายตรงข้ามเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะถามต่อ “สมัยเด็กๆ นางเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาตอบ “สมัยเด็กๆ พระชายาทรงไม่ชอบพูด ตอนมาอยู่ในค่ายใหม่ๆ ทรงดูราวกับตุ๊กตาหิมะอย่างไรอย่างนั้น แม้จะพระชันษาน้อยๆ แต่ก็ทรงขอมาร่วมฝึกกับพลทหารราบด้วยพระองค์เอง ตอนแรกไม่มีใครมองว่าจริงจัง นึกว่าทรงนึกสนุกแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ปรากฏว่าพระชายาตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จะเสด็จกลับกระโจมก็ต่อเมื่อฟ้ามืด เป็นเช่นนี้ทุกวัน ฝนจะตกแดดจะออกก็ไม่เว้น กระหม่อมไม่เคยเห็นผู้ใดมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเช่นนี้มาก่อนเลย ยิ่งเป็นเด็กหญิงด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ขอทูลตามตรงโดยไม่ปิดบัง เวลานั้นพระชายาทรงอยู่ในกองทหารราบที่กระหม่อมคุมอยู่ บ่อยครั้งที่ทรงเป็นแผลฟกช้ำตามแขนขาจากการฝึกต่อสู้ บางครั้งกระหม่อมเห็นแล้วยังสงสาร แต่พระชายากลับไม่ใส่พระทัย ภายหลังกระหม่อมเข้ามาเป็นขุนนางในฉางอัน ไม่ได้ติดต่อกับทางเยี่ยนเหมินอีก มาได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระชายาอีกครั้งก็ตอนที่ทรงยกทัพไปตีที่ราบชิงมู่กลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังประโยคนั้นเขาเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการค่อยๆ หันกลับไปหลุบตามองผืนน้ำตรงปลายเท้าดังเดิม สักอึดใจใหญ่ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ที่แท้เจ้ากับนางก็รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน…”
เสียงพูดหยุดลงเท่านั้น
หลิวเซี่ยงมองแผ่นหลังหม่นขรึมของอีกฝ่ายอย่างละล้าละลังอยู่นาน สุดท้ายก็บอกว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมใคร่ขอบังอาจเอ่ยวาจาละลาบละล้วงสักหน่อย ไม่ทราบว่าสมควรพูดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา” สายตาชายหนุ่มยังคงตรึงอยู่บนผิวทะเลสาบ
“คืนนั้นหลังจากท่านอ๋องเสด็จไปแล้ว กระหม่อมอยู่ส่งเสด็จพระชายา พระชายาทรงเป็นคนใจกว้าง หากท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะตรัสแต่ติดที่อยู่ไกลกัน ทรงเขียนจดหมายหาพระชายาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าเป็นเรื่องใด พระชายาน่าจะไม่ทรงติดใจขุ่นเคือง ถึงอย่างไรที่พระชายาทรงแต่งเข้าจวนก็น่าจะเพราะทรงชื่นชมท่านอ๋อง”
ซู่เซิ่นฮุยหันมามอง “หมายความว่าอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่านางชื่นชมข้า”
ด้วยความละอายแก่ใจ หลิวเซี่ยงหวังจะให้ชายหนุ่มหญิงสาวคืนดีกัน ตนเองจะได้ไม่กลายเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉาน เมื่อครู่จึงเผลอโพล่งประโยคนั้นออกไปอย่างห้ามไม่อยู่ พอถูกถามถึงได้เพิ่งตระหนักว่าพลั้งปาก หัวใจเต้นผิดจังหวะทีหนึ่ง เขารีบถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว แล้วค้อมศีรษะตอบไปว่า “กระหม่อมคาดเดาส่งเดชน่ะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงหล่อเหลาสง่างาม พระชายาจะไม่มอบพระทัยให้ได้อย่างไร”
ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เอามือไพล่หลัง จ้องฝ่ายตรงข้ามชั่วอึดใจ ก่อนจะบอกว่า “เจ้ารู้บางเรื่องเกี่ยวกับนาง กล้าปิดบังข้าอย่างนั้นหรือ!”
บทที่ 65
ในสายตาหลิวเซี่ยง อ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่ในฐานะสูงส่ง ทั้งยังเจ้าความคิด เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่ก็ดีกับคนรอบข้างเสมอมา ไม่เคยยกฐานะข่มใคร ไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ที่วัดฮู่กั๋วเมื่อปีกลายเลย เพราะหลังเหตุการณ์ครานั้นหลิวเซี่ยงก็มอบความจงรักภักดีให้เจ้าตัวแบบยอมตายแทนได้
เพราะเหตุนี้เอง พอเห็นชายหนุ่มมายืนนิ่งริมทะเลสาบกลางดึกเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ ระหว่างที่ตอบคำถามเกี่ยวกับวัยเยาว์ของนายหญิงน้อย ลึกๆ ในใจเขาจึงอยากพูดคุยด้วยแบบเปิดอก จนเผลอลดความระมัดระวังลงแล้วหลุดปากเอ่ยประโยคนั้นออกมา
บรรยากาศเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
หลิวเซี่ยงตื่นตระหนกเสียไม่มีดี พออีกฝ่ายพูดจบประโยค เขาก็ได้สติแล้วรีบทิ้งตัวลงคุกเข่า
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาหลันไทเฮาเมื่อปีกลาย อย่าว่าแต่ตอนหลังเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แก่ราชสำนักขึ้นในวัดฮู่กั๋วเลย ต่อให้วันนั้นไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น เขาก็บอกให้ใครรู้ไม่ได้ว่าตนลอบปล่อยคนเข้าไปในอารามเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ต่อให้คนผู้นั้นเป็นบุตรสาวนายเก่าที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่านางจะไม่มีเจตนาร้าย
สำหรับตำแหน่งหน้าที่ของเขาแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นข้อห้ามร้ายแรง ไม่นึกเลยว่าตนเองจะพลั้งเผลอแย้มพรายออกไปเพราะอยากปลอบโยนคู่สนทนา ทั้งอีกฝ่ายยังสะกิดใจจนคาดคั้นถามเช่นนี้
กับเจ้านายที่เกิดความสงสัยคลางแคลงใจ หลิวเซี่ยงไม่อาจหาญทำปากแข็งปฏิเสธ ทว่าในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้ ได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาด้วย
ซู่เซิ่นฮุยมองกิริยาเช่นนั้นของฝ่ายตรงข้าม แล้วหวนนึกถึงประโยคเมื่อครู่ที่ว่า ‘ถึงอย่างไรที่พระชายาทรงแต่งเข้าจวนก็น่าจะเพราะทรงชื่นชมท่านอ๋อง’ ก็ให้รู้สึกว่ามีนัยซ่อนเร้น
ในเมื่อเกี่ยวกับนาง หากไม่เค้นถามให้รู้เรื่อง เขาไหนเลยจะยอมเลิกรา
ชายหนุ่มมองคนที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้น “เงยหน้าขึ้นมา”
เสียงพูดไม่ดังมาก ทั้งยังไม่มีโทสะแฝงอยู่ ทว่าการคุกคามกลับแผ่อวลออกมาจากน้ำเสียง หลิวเซี่ยงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบประสานนัยน์ตาที่จ้องมองมาของอ๋องผู้สำเร็จราชการ
“พูด!”
จะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่พ้นอีกแล้ว หลิวเซี่ยงกัดฟันแน่น ทำได้แค่เล่าเรื่องที่แม่ทัพหญิงมาขอร้องให้ตนปล่อยนางเข้าไปในวัดฮู่กั๋ว ระหว่างที่ตนปฏิบัติหน้าที่ที่นั่นในวันเฉลิมพระชนมพรรษาหลันไทเฮา
“…ตอนนั้นกระหม่อมได้ยินข่าวการสู่ขอของท่านอ๋องแล้ว เมื่อแรกไม่คิดจะตอบรับ แต่พระชายาตรัสว่าทรงอยากเห็นพระพักตร์ท่านอ๋องสักครั้ง กระหม่อมเห็นว่าพระชายาทรงยอมดั้นด้นเดินทางเข้าเมืองหลวงคนเดียวลำพังจนเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่น เพียงเพราะเรื่องแต่งงานอย่างเดียว นึกถึงหัวอกหญิงสาวนางหนึ่งก็เกิดความสงสาร เชื่อว่าจะต้องไม่มีเจตนาร้าย นอกจากนั้นยังเพราะสายสัมพันธ์ในอดีต กระหม่อมจึงเลอะเลือนชั่วขณะ ให้พระชายาทรงปลอมตัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อมลอบเข้าวัด ภายหลังเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นข้างใน ท่านอ๋องทรงกวาดล้างกบฏ เวลานั้นกระหม่อมแค่จะเอาตัวรอดยังยาก จึงไม่ได้ออกตามหา พระชายาก็เสด็จกลับไปเอง…”
ในความคิดของหลิวเซี่ยง นายหญิงน้อยขี่ม้ารอนแรมมาเมืองหลวงตามลำพังเพราะอยากยลโฉมอ๋องผู้สำเร็จราชการสักครั้ง…ข้อนี้นางเป็นคนพูดออกมาเอง…หลังจากนั้นเมื่อกลับเยี่ยนเหมินนางก็ยอมออกเรือนโดยไม่อิดออด
หากไม่พอใจในตัวฝ่ายชายจะเรียกว่าอะไรเล่า
จะโทษก็ต้องโทษที่เมื่อครู่เขาพลั้งปากนี่ล่ะ หลิวเซี่ยงมองอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ยืนใต้แสงจันทร์ เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเขาแล้ว สีหน้าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่นุ่มนวลขึ้น ยังดูเหมือนจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าเก่า เห็นแล้วให้เหงื่อออกเต็มหน้าผากอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านอ๋องโปรดทรงอภัยด้วย! กระหม่อมเองก็ทราบว่าการกระทำของตนในวันนั้นถือว่าบกพร่องในหน้าที่อย่างรุนแรง ท่านอ๋องจะทรงลงทัณฑ์อย่างไร กระหม่อมยินดีรับโทษทุกประการพ่ะย่ะค่ะ!”
พูดจบก็ตรึงศีรษะกับพื้น ไม่กล้าลุกขึ้นมา รออยู่สักพักก็ยังไม่ได้ยินอ๋องผู้สำเร็จราชการเอ่ยอะไรเสียที หลิวเซี่ยงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นฝ่ายนั้นยืนหลับตานิ่ง สีหน้าเย็นชา ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับ
หลิวเซี่ยงนึกว่าอีกฝ่ายทั้งผิดหวังทั้งเดือดดาลตนถึงขีดสุด ถึงได้มีอาการตอบสนองเช่นนี้ ในใจพลันหนาวเยือก พร้อมกันนั้นยังรู้สึกละอายแก่ใจจนต้องโขกศีรษะอีกครั้งแล้วถอดหมวกขุนนางลงมาวางกับพื้นเองโดยไม่ต้องให้เจ้านายเอ่ยปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้า “กระหม่อมผิดต่อความไว้วางพระทัย ขอท่านอ๋องโปรดอย่าได้กริ้ว! กระหม่อมจะขอรับโทษทัณฑ์เอง…”
“หลิวเซี่ยง!”
เสียงกัดฟันคำรามพลันดังเข้าหู แทรกคำพูดของเขากลางคัน
เจ้าของชื่อสะท้านเฮือก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการลืมตาขึ้นมาแล้ว กำลังมองเขาผ่านเพลิงโทสะที่ลุกโชติช่วงในดวงตา
“วัดฮู่กั๋วฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย?!” ชายหนุ่มเปล่งเสียงออกมาอย่างเคียดแค้น “วิเศษ! หลิวเซี่ยง เจ้าวิเศษมาก!” ดูเหมือนเจ้าตัวจะโมโหเสียจนเสียงสั่น “พระชายามาเมืองหลวงตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย! เจ้าปิดบังข้ามานานถึงเพียงนี้?”
หลิวเซี่ยงชะงัก
เดิมทีเขานึกว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะตำหนิตนเองที่แอบปล่อยคนเข้าวัด แต่เท่าที่ดูตอนนี้ เหตุใดถึงฟังเหมือนอีกฝ่ายโกรธจัดที่เขาไม่รีบบอกให้รู้เรื่องแต่แรกมากกว่า
เขาตอบกลับไปหวาดๆ “ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องโปรดอย่าได้กริ้ว…ที่กระหม่อมไม่กล้าทูลให้ทรงทราบเป็นเพราะประการแรกกระหม่อมเองก็ทราบว่าไม่ควรทำ จึงกลัวจะมีโทษ ประการที่สองพระชายาทรงแอบดูท่านอ๋องก่อนเข้าพิธี เชื่อว่าจะต้องไม่ประสงค์ให้ใครล่วงรู้…”
คราวนี้สีหน้าของอ๋องผู้สำเร็จราชการถมึงทึงจนดำคล้ำ
หลิวเซี่ยงพูดต่อไม่ออก ได้แต่หมอบกรานลงกับพื้นอีกครั้ง รู้สึกเสียวสันหลังวาบเป็นระลอก สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร็วรัวดังห่างออกไปเรื่อยๆ ทุกที เมื่อลุกขึ้นแล้วหันไปมองก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการเดินไปทางตำหนักแปรพระราชฐานแล้ว กำลังก้าวพรวดๆ ผ่านองครักษ์เวรกลางคืนจำนวนหนึ่งขึ้นไปตามบันได ก่อนจะลับตัวไปในความมืดมิดของรัตติกาล
หากจะบอกว่าตั้งแต่เกิดมายี่สิบสามสิบปีซู่เซิ่นฮุยไม่เคยเดือดดาล อับอาย และกระอักกระอ่วนเท่าคืนนี้มาก่อนเลยในชีวิตก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในวัดฮู่กั๋วฤดูใบไม้ร่วงปีกลายวันนั้นนอกจากจะเกิดเหตุสังหารเกาอ๋อง เขาบอกลาเวินวัน และพูดเรื่องเหล่านั้นกับฮ่องเต้น้อยแล้ว ยังมีคนอีกคนซ่อนตัวอยู่ในวัดด้วย
ในเมื่อนางมาเมืองหลวงเพราะเขา วันนั้นย่อมต้องอยู่ใกล้ๆ เขาตลอด เพียงแต่เร้นกายได้ยอดเยี่ยมจนเขาไม่ทันรู้ตัว
ถูกนางเห็นตอนกำจัดเกาอ๋องน่ะช่างเถิด ปัญหาคือต่อมาเขายังพบเวินวันแล้วเอ่ยลาฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด
เชื่อว่าตอนนั้นนางก็ต้องซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ยินถ้อยคำที่เขาพูด ข้อนี้ซู่เซิ่นฮุยมั่นใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว
ตอนที่หลิวเซี่ยงคุกเข่าขอรับโทษด้วยสีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาหลับตาลง หวนนึกถึงถ้อยคำทุกประโยคที่วันนั้นได้พูดกับบุตรสาวอาจารย์ที่ตนรู้สึกติดค้าง เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าสตรีผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนเยี่ยงเวินวันจะต้องเข้าใจความหมายแท้จริงของถ้อยคำที่เขาสื่อออกมาอย่างละมุนละม่อมเพื่อไม่ให้กระทบใจนางมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อดีตไม่อาจหวนคืน เขาไม่ใช่อันเล่ออ๋องหนุ่มน้อยผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว นางจะได้ตัดใจอย่างแท้จริงเสียที เวินวันเป็นบุตรสาวของอาจารย์ที่เคยมีบุญคุณสอนสั่ง เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทั้งรูปโฉม สติปัญญา และความอ่อนหวานที่เขาเคยชื่นชมในวัยหนุ่ม นางคู่ควรที่จะได้รับการตัดรอนอย่างอ่อนโยนจากเขา
แต่สำหรับคนนอก น่ากลัวว่าสถานการณ์และบทสนทนาในตอนนั้นคงดูเหมือนเขาจำใจแยกจากหญิงที่รักเพื่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์…
ซู่เซิ่นฮุยไม่เหลือแรงจะสนใจหลิวเซี่ยงแล้วจริงๆ เขาพยายามข่มใจไม่เงื้อเท้าถีบฝ่ายตรงข้ามตกทะเลสาบแล้วหมุนตัวเดินจ้ำออกมา ระหว่างขึ้นบันไดบนเขา มือทั้งสองข้างของเขากำแน่น เหงื่อผุดซึมออกมาจากแผ่นหลัง ประเดี๋ยวก็เย็นเฉียบ ประเดี๋ยวก็ร้อนรุ่ม หัวใจเต้นถี่รัว ลมหายใจสั้นกระชั้น ราวกับเป็นไข้ป่าก็ไม่ปาน
จวบจนชั่วขณะจิตในราตรีนี้เองที่เขาเพิ่งได้คิดว่าเหตุใดหลังแต่งงานกันนางถึงได้มีท่าทีกระตือรือร้นอยากเป็นแม่สื่อให้เขากับเวินวันได้ครองคู่กันถึงเพียงนั้น เหตุใดพอแต่งเข้าฉางอันนางถึงไม่คิดจะใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยากับเขานาน กระทั่งดาบที่เป็นสินสอดก็ยังไม่อยากเอาไปด้วย
เขาจะต้องอธิบายกับนางให้กระจ่าง!
ต้องเขียนจดหมายหานางเดี๋ยวนี้ แล้วส่งไปด้วยความเร็วสูงสุดของม้าเร็วแปดร้อยหลี่ แม้ต้องสิ้นเปลืองและใช้กำลังคนมากเพียงใดก็ช่าง ขอเพียงได้บอกให้นางเข้าใจว่าของบางอย่างบนโลกนี้ต่อให้เห็นกับตาได้ยินกับหู บางครั้งก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไป เขาจะปล่อยให้นางเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้
“ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้ว วันนี้มีฎีกาส่งมาพอสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ! นอกจากนั้นยังมีจดหมายจากฝ่าบาทฉบับหนึ่ง กระหม่อมนำไปวางบนโต๊ะทรงงานให้แล้ว…”
ตามกำหนดการเดิมอ๋องผู้สำเร็จราชการต้องกลับถึงที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็น ปรากฏว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ จางเป่าออกมายืนชะเง้อคอมองหน้าตำหนักแปรพระราชฐาน ทันใดนั้นก็เห็นเจ้านายเดินขึ้นมา เขารีบถลาไปต้อนรับพลางบอกอย่างนั้น ทว่าสองตาของเจ้านายเอาแต่มองตรงไปข้างหน้าขณะเดินลิ่วๆ ผ่านร่างเขาขึ้นบันไดหน้าตำหนักเข้าไปข้างในอย่างเร่งร้อน
ซู่เซิ่นฮุยตรงดิ่งมาที่ห้องหนังสือ ปัดจดหมายบนโต๊ะให้พ้นทางแล้วจุ่มปลายพู่กันแต้มน้ำหมึก ยกพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนจดหมายทันที แต่เพิ่งจะเขียนไปได้ไม่กี่คำว่า
‘ภรรยาของข้า ขอให้จดหมายฉบับนี้เป็นตัวแทนข้า…’
ปลายพู่กันก็หยุดชะงัก เขาเหลือบมองเปลวเทียนอย่างเหม่อลอย
เขียนจดหมาย…มีประโยชน์หรือ
นางจะเชื่อคำอธิบายที่ข้าเขียนไปในจดหมายหรือไม่
มิหนำซ้ำป่านนี้นางน่าจะทำศึกอยู่ที่แปดดินแดน ตามที่เขาคำนวณ ต่อให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยราบรื่น อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนนางจึงจะกลับถึงเยี่ยนเหมิน และแม้จดหมายของเขาจะถูกส่งไปด้วยความเร็วสูงสุด กว่าจะถึงก็อีกหกเจ็ดวันให้หลัง ครั้นจะสั่งให้คนส่งต่อไปที่สมรภูมิเขาก็ทำไม่ได้
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการศึก เขาจะเอาเรื่องส่วนตัวพรรค์นี้ไปทำให้นางเสียสมาธิได้อย่างไร
ชายหนุ่มวางพู่กันลงช้าๆ
เช่นนั้น…ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ ฉวยโอกาสที่เขายังอยู่ที่นี่หาข้ออ้างเปลี่ยนเส้นทางไปเยี่ยนเหมินทันที รอนางกลับมาพร้อมชัยชนะแล้วอธิบายให้นางฟังด้วยตนเอง?
หลายปีเต็มทีนับแต่เสด็จพ่อจากไปที่เขาไม่เคยทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้อีกเลย ตอนฮ่องเต้องค์ก่อน เสด็จพี่ไว้วางใจและยึดเขาเป็นที่พึ่งพาทุกเรื่อง หากเขาไม่สะสางงานในราชสำนักก็ต้องตระเวนเดินทางออกตกเหนือใต้เพื่อบรรเทาทุกข์ให้ราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ยิ่งสองสามปีมานี้ที่ฮ่องเต้น้อยขึ้นสืบราชสมบัติ เขายิ่งถูกราชกิจและฎีกาต่างๆ โถมถั่งเข้าใส่จนไม่มีเวลาว่างแม้ชั่วขณะจิต
เขาเคยบอกหลานชายว่าในสายตาเขาวังหลวงไม่ใช่กรงขัง หากแต่เป็นความรับผิดชอบ เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ สำหรับฮ่องเต้น้อยที่ถูกลิขิตมาให้ปกครองวังหลวงในภายภาคหน้ายิ่งไม่สมควรมองว่าสถานที่แห่งนี้คือกรงขังเข้าไปใหญ่ เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ จำต้องทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างเพื่อชี้นำฮ่องเต้น้อยไปตามครรลองที่ถูกควร
ทว่าในความเป็นจริงความรับผิดชอบ…ก็เป็นสิ่งผูกมัดรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือ
สลัดความรับผิดชอบทุกอย่างที่ผูกตรวนข้าไว้ทิ้งไปให้หมด แล้วไปหานางที่เยี่ยนเหมินตอนนี้…เดี๋ยวนี้เลย!
ความคิดนั้นกระตุ้นเลือดในกายให้สูบฉีดแรงขึ้น จังหวะหัวใจถี่รัวคอยเร่งเร้าสองเท้าไม่หยุดหย่อน แต่…เขาทำเช่นนั้นได้จริงหรือ
ซู่เซิ่นฮุยนั่งไม่ติดอีกต่อไป ต้องลุกพรวดขึ้นเดินไปเดินมาในห้องหนังสือของตำหนักแปรพระราชฐาน ภาพที่นางจะได้เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าอย่างเหนือความคาดหมายหลังกำชัยชนะกลับมาที่นึกไว้ทำให้เลือดในกายร้อนฉ่า เขาสาวเท้าออกไปข้างนอก หมายจะบอกให้คนเรียกหลิวเซี่ยงมาสั่งการเรื่องที่ต้องตระเตรียม แต่แล้วอยู่ๆ ปลายเท้าก็พลันชะลอลงเสียก่อน
ข้อเท็จจริงที่เมื่อครู่มองข้ามไปเพราะมัวแต่ตื่นเต้นวาบขึ้นมากระทบความคิด
เหตุใดนางถึงได้ลอบเข้าฉางอันตามลำพังคนเดียวเพื่อมาดูเขา
หลิวเซี่ยงบอกว่านางดั้นด้นเดินทางพันหลี่เพราะอยากเห็นหน้าเขาสักครั้งตามวิสัยสตรี…เหตุผลพรรค์นี้คงมีแต่หลิวเซี่ยงเท่านั้นที่คิดได้ ซู่เซิ่นฮุยไม่คล้อยตามแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มชะงักเท้า หลับตาลง ทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับเวินวัน รวมถึงฮ่องเต้น้อยในวันนั้นอีกครั้ง
เขาบอกเวินวันว่าตอนอายุสิบเจ็ดตนเองตั้งปณิธานไว้ว่าจะช่วงชิงมณฑลทางเหนือคืนมาให้จงได้
จากนั้นก็แจกแจงผลได้ผลเสียที่ตนแต่งงานกับบุตรสาวเจียงจู่วั่งให้ฮ่องเต้น้อยฟัง
ซู่เซิ่นฮุยคิด…แล้วก็คิด เลือดที่แต่เดิมร้อนระอุอยู่ในตัวเริ่มคลายอุณหภูมิลง จนความเยือกเย็นค่อยๆ กลับคืนมา
เขาเข้าใจแล้ว
หลังจากที่เสียนอ๋องกลับจากเยี่ยนเหมินได้พูดว่านางเหมือนจะต่อต้านการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงหายตัวไประยะหนึ่ง ตอนนี้ลองตรองดู นางน่าจะเข้าเมืองหลวงนั่นล่ะ เดิมทีนางไม่อยากแต่งงาน แต่ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา คงเพราะวันนั้นได้รู้จุดประสงค์ที่เขาสู่ขอนาง ซึ่งเชื่อว่าคงสอดคล้องกับความต้องการของนางพอดี ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจ เมื่อกลับไปเยี่ยนเหมินก็ยอมให้ความร่วมมือแต่งงานเข้าฉางอันมาเป็นชายาของเขาแต่โดยดี
เมื่อเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่ลึกลงไปอีกชั้น ความกล้าหาญที่เกิดจากอารมณ์พลุ่งพล่านในใจเมื่อครู่ก็หายวับ
ต่อให้ตามไปอธิบายเรื่องตนเองกับเวินวันให้นางฟังถึงที่ หรือต่อให้โลกนี้ไม่มีหญิงที่ชื่อเวินวันอยู่เลยก็ตาม จะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความทรมานใจตอนนี้ได้หรือ
นางมองเห็นทุกอย่างกระจะตา อ่านเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแต่งงานกันแล้ว ขณะที่เขาไม่ทันเฉลียวใจแม้แต่น้อย ดูท่าสารพัดวิธีที่เขาพยายามเอาใจนางเพื่อรักษาชีวิตคู่ให้ราบรื่นคงเป็นปาหี่โง่เง่าในสายตานางเท่านั้น นางเคยแยแสเรื่องระหว่างเขากับเวินวันด้วยหรือ…ก็ไม่เคย ชายในใจนางไม่ใช่เขาแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะเขาและนางมีปณิธานต้องตรงกัน นางถึงได้ออกเรือนมาอย่างเยือกเย็น ยอมทำให้เขาสมปรารถนาเพราะยึดความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ด้วยนิสัยอิสรเสรีอย่างนาง วันข้างหน้าเมื่อเป้าหมายกลายเป็นจริงย่อมไม่มีความจำเป็นต้องรักษาความเป็นสามีภรรยานี้ต่อไปอีก
สู้ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยยังดีเสียกว่า! รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา นอกจากรู้สึกอับอาย กระอักกระอ่วน และหดหู่อย่างที่สุด
แต่ถ้าจะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้นแล้วทนข่มอารมณ์ต่อไป เขาก็ไม่เต็มใจ…ไม่เต็มใจเอามากๆ ด้วย
ตกลงจะไปหรือไม่ไปดีนะ
ครึ่งคืนหลังซู่เซิ่นฮุยหมดไปกับความละล้าละลังตัดสินใจไม่ขาด โอนเอนไปมาระหว่างตัวเลือกสองทางนี้ เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือ กระทั่งเทียนไขบนโต๊ะไหม้จนหมดแล้วก็ยังไม่ยอมลุก สุดท้ายมาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูเรียก เมื่อลืมตาขึ้นถึงได้รู้ว่าตนเองเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ตอนนี้นกกากำลังร้องเจื้อยแจ้วอยู่ข้างนอก ท้องฟ้าสว่างโร่
เขาค่อยๆ หยัดตัวขึ้นนั่งตรง ความกลัดกลุ้มต่างๆ นานาเมื่อคืนผุดกลับขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง ชายหนุ่มนวดหน้าผากบวมคัดของตนพลางร้องเรียกข้ารับใช้
จางเป่าเปิดประตูชะโงกหน้าเข้ามามองเขาพลางรายงาน “ท่านอ๋อง แม่ทัพหลิวให้กระหม่อมมาทูลถามพ่ะย่ะค่ะว่าท่านอ๋องประสงค์จะออกเดินทางตามกำหนดเดิมหรือจะให้เลื่อนออกไป…”
ซู่เซิ่นฮุยนึกออกโดยพลัน เขาลุกเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก
ทหารตั้งขบวนชูธงเป็นระเบียบอยู่ตรงเชิงเขา บริเวณนั้นเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน นอกจากผู้ติดตามในขบวนของเขา ยังมีขุนนางท้องที่ ชนชั้นสูง คหบดี และบัณฑิตแถบอาคเนย์มากมายที่มารอส่งเพื่อเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย
คนเหล่านี้บริจาคเงินและทองคำให้ราชสำนักอย่างเต็มอกเต็มใจ รวมเป็นจำนวนมหาศาล
ซู่เซิ่นฮุยหลับตาลง พยายามระงับความปั่นป่วนว้าวุ่นในใจอย่างสุดความสามารถ พอหันมาอีกทีก็เห็นฎีกากับจดหมายของฮ่องเต้น้อยที่ส่งมาเมื่อวานยังวางอยู่บนโต๊ะ
เขาเดินกลับไปหยิบฎีกามาอ่านก่อนเป็นอันดับแรก ทุกฉบับเกี่ยวกับการศึกที่แปดดินแดนทั้งนั้น เสียนอ๋องและที่ปรึกษาราชการคนอื่นช่วยตอบแทนฮ่องเต้น้อยแล้วส่งให้เขาดูอีกที ชายหนุ่มเปิดดูคร่าวๆ ก็วางลง ก่อนจะหยิบจดหมายของหลานชายมาดึงออกจากซอง แววตาพลันไหววาบเมื่อได้อ่าน หัวคิ้วขมวดมุ่น
ซู่เซิ่นฮุยสิ้นลังเล ตั้งสติสะกดอารมณ์ความรู้สึกพลุ่งพล่านของตนอย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้าขึ้นมาสั่ง “เปลี่ยนเสื้อผ้า! ออกเดินทางกลับเมืองหลวงทันทีตามแผนการเดิม!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ส.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.