X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 66

ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านของวังหลวง ขันทีตามตำหนักต่างๆ ใช้ไม้ไผ่ลำยาวไล่จุดตะเกียงทีละดวงเมื่อได้ยินเสียงนั้น

หลันไทเฮามาเยือนตำหนักตุนอี้เพื่อกินอาหารเป็นเพื่อนหลี่ไท่เฟยอีกแล้ว หลังมื้ออาหารยังยกชาปรนนิบัติหญิงสูงวัยด้วยตนเอง อันเป็นกิจวัตรที่นางทำอยู่เสมอในช่วงที่ผ่านมา ไท่เฟยรับชามาจิบอึกหนึ่งแล้วว่า “พักนี้ไทเฮาแวะมาบ่อย มีเรื่องอันใด”

หลันไทเฮาไล่ข้ารับใช้ออกไป แล้วจึงตอบยิ้มๆ “วันนี้หม่อมฉันมาด้วยธุระเรื่องหนึ่งจริงๆ เกี่ยวกับการแต่งตั้งฮองเฮาที่หม่อมฉันเคยพูดถึงอย่างไรเล่า”

ไท่เฟยไม่ว่ากระไร หลันไทเฮาจึงกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม “หลังหารือกับไท่เฟยคราก่อน ช่วงที่ผ่านมาหม่อมฉันเฝ้ามองหาตัวเลือกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามคำแนะนำของไท่เฟยตลอด นี่คือรายชื่อเพคะ ไท่เฟยโปรดทอดพระเนตรและช่วยหม่อมฉันเลือกทีเถิด” พูดพลางหยิบรายชื่อชุดหนึ่งส่งไปให้ ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามไม่รับ กลับนั่งเอนกายพิงหมอนอิงข้างหลังแล้วเอ่ยว่า “ให้ข้าดูไปไยกัน เจ้าถูกใจตระกูลใดก็ว่ามา”

หลันไทเฮาเก็บรายชื่อแล้วยิ้มเอาใจ “เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูล หม่อมฉันเปรียบเทียบโดยละเอียดแล้ว สุดท้ายถูกใจอยู่คนหนึ่ง อุปนิสัยสุขุมเยือกเย็น รูปโฉมอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย มีชาติตระกูล เพียบพร้อมทุกด้าน เรียกได้ว่าทั้งนิสัยใจคอ กิริยาท่าทาง ความเป็นกุลสตรี ตลอดจนรูปโฉมไม่มีที่ติแม้แต่อย่างเดียว เสียก็แต่…” เจ้าตัวเว้นช่วงไปครู่สั้นๆ “แก่วัยกว่าฮ่องเต้อยู่สักหน่อย ปีนี้อายุสิบแปด แต่ฮ่องเต้นิสัยเป็นอย่างไรไท่เฟยก็ทรงทราบ หากฮองเฮาสุขุม รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะเป็นผลดีต่อฮ่องเต้ด้วยซ้ำ”

ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยที่นั่งเอกเขนกบนตั่งถามว่า “บุตรสาวตระกูลใดกัน”

หลันไทเฮาเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ช่วยทุบต้นขาให้พลางสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย “ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ใด เป็นบุตรสาวของหลันหรง พี่ชายหม่อมฉันเอง ที่สุดท้ายหม่อมฉันเลือกนางเพราะพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ฮ่องเต้รู้จักกับญาติผู้พี่คนนี้มาแต่เด็ก สนิทสนมกันดี ต่อไปหากฮ่องเต้และฮองเฮารักใคร่ปรองดองกันย่อมเป็นผลดีต่อทั้งฝ่ายในและต้าเว่ยอย่างมหาศาล แน่นอนว่านี่เป็นเพียงดุลยพินิจของทางหม่อมฉันเท่านั้น การแต่งตั้งฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ จำต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ คืนนี้หม่อมฉันจึงมาทูลถามความเห็นจากไท่เฟยเพคะ”

ไท่เฟยนั่งปรือตาอยู่สักพักก็ตอบว่า “เรื่องครอบครัวของโอรสสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เจ้าเป็นไทเฮา เป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ ต่อให้เป็นครอบครัวของโอรสสวรรค์ก็ต้องเคารพหลักความสัมพันธ์ระหว่างคน สิทธิ์การตัดสินใจเลือกฮองเฮาย่อมเป็นของเจ้า อีกทั้งเจ้ายังคัดคนมาแล้ว ขอเพียงนางสร้างประโยชน์ให้ต้าเว่ยและเป็นกำลังค้ำจุนฮ่องเต้ได้ ข้าจะมีอะไรให้โต้แย้งได้เล่า”

หลันไทเฮาตั้งใจจะแต่งตั้งหลานสาวตนเองเป็นฮองเฮาแต่แรกแล้ว แต่กลัวจะถูกคัดค้าน สตรีสูงวัยเจ้าของตำหนักตุนอี้ผู้นี้ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้หมิงตี้ก็จริง ทว่าฮ่องเต้หมิงตี้ยกย่องเสมือนผู้ให้กำเนิด คำพูดย่อมมีน้ำหนักเป็นพิเศษ ถือเป็นกำลังหนุนแสนสำคัญในแผนการของนาง พอได้ยินเจ้าตัวเอ่ยปากเช่นนี้หลันไทเฮาก็ยินดีปรีดานัก นั่งเป็นเพื่อนต่ออีกครู่หนึ่ง จนเห็นว่าไท่เฟยเริ่มมีสีหน้าอ่อนเพลียก็ขอตัวกลับ ก่อนไปยังพูดว่า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้นะเพคะ อีกสองวันจะเป็นการประชุมราชสำนัก เสียนอ๋องกับพวกฟางชิงอยู่กันครบ ในวันประชุมหม่อมฉันจะแจ้งพวกเขาให้รับรู้ แล้วมอบหมายให้กรมพิธีการไปจัดการ!”

ไท่เฟยไม่ตอบ คล้ายหลับไปแล้ว

หลันไทเฮาออกจากตำหนักตุนอี้กลับตำหนักบรรทมตนเอง ในหัวครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา อยากให้การประชุมราชสำนักมาถึงโดยเร็วเสียเหลือเกิน

นางรู้แล้วว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการได้สิ้นสุดการเสด็จประพาสแดนใต้ เวลานี้กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง จะมาถึงในเดือนหน้า

หลันไทเฮาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่งกับการแต่งตั้งฮองเฮาให้โอรสเป็นอันขาด หากปล่อยเรื่องนี้ไว้เนิ่นนานจนเกิดความไม่แน่นอนและมีเหตุไม่พึงประสงค์สอดแทรกเข้ามากลางคัน สู้ฉวยโอกาสจัดการให้เสร็จสิ้นไปเสียดีกว่า เช่นนี้เมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการกลับมา ต่อให้มีความเห็นเป็นอื่นก็ยื่นมือเข้ามาไม่ได้ เว้นเสียแต่ต้องการจะแตกหักกับครอบครัวมารดาของฮ่องเต้อย่างโจ่งแจ้ง การทำเช่นนั้นหมายถึงอะไร เชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะรู้ดี

ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ทันใดนั้นข้าหลวงก็รายงานว่าฮ่องเต้เสด็จ พอหลันไทเฮาเงยหน้าขึ้นก็เห็นโอรสเดินเข้ามา

นางคลี่ยิ้มอารีบนใบหน้าขณะนั่งรอให้เด็กหนุ่มเดินเข้ามาคำนับตน

เขายังสวมชุดราชสำนัก คงเพิ่งออกมาจากห้องทรงพระอักษร นางกำลังจะขยับปากถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก็ได้ยินเด็กหนุ่มถามขึ้นมาก่อน “เสด็จแม่ไปตำหนักตุนอี้อีกแล้วหรือ ไปด้วยเรื่องใดกัน”

เมื่อได้ยินความห้วนในน้ำเสียง รอยยิ้มก็เลือนหายไปจากดวงหน้าหลันไทเฮา “เหตุใดถึงพูดจากับข้าเช่นนี้”

ก่อนหน้านี้ซู่เจี่ยนพอจะได้ยินมาแล้วว่าหลังเสด็จอาสามออกจากเมืองหลวงไทเฮาก็แอบยุ่งง่วนวางแผนแต่งตั้งฮองเฮาให้ตน ช่วงแรกทางไทเฮาปิดข่าวเงียบ ไม่มีข่าวใดหลุดลอดออกมาทั้งสิ้น เขาจึงไม่รู้ว่านางต้องตาบุตรสาวตระกูลใด ประกอบกับเสด็จอาสามไม่อยู่ งานในแต่ละวันของเขาเพิ่มมากขึ้นจนไม่มีเวลามาสนใจ จนเดือนที่แล้วเขาสังเกตเห็นว่าไทเฮามักเรียกบุตรสาวของหลันหรงเข้าวังหลวงบ่อยครั้ง จึงเริ่มสะกิดใจสงสัยว่ามารดาหมายตานาง

ญาติผู้พี่คนนี้อายุมากกว่าเขาหลายปี ธรรมดาสามัญทั้งรูปโฉมและความสามารถ มิหนำซ้ำคราวก่อนที่นางเข้าวังหลวงเขาเคยเจอโดยบังเอิญ เห็นนางตามไทเฮาต้อยๆ ไม่ว่าไทเฮาว่าอย่างไรก็พยักพเยิดเออออตามทุกอย่าง

เกณฑ์การคัดเลือกฮองเฮาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนตัวของเขา ข้อนี้ซู่เจี่ยนรู้ดีแต่แรกแล้ว แต่หากแต่งตั้งญาติผู้พี่คนนี้เป็นฮองเฮา เขาคิดภาพตนเองกับนางแต่งงานเป็นสามีภรรยากันไม่ออกเลย เด็กหนุ่มคัดค้านสุดตัว ทว่าเรื่องเช่นนี้เขาไม่รู้จะไปพูดกับใคร พอเห็นว่าระยะนี้ไทเฮาไปตำหนักตุนอี้ทุกวันก็ร้อนรนอยู่ในใจ หวังให้เสด็จอาสามกลับเมืองหลวงโดยเร็ว ตนเองจะได้พอมีกำลังใจให้ยึดเหนี่ยว เขาลอบส่งจดหมายให้เสด็จอาสามที่บัดนี้ยังอยู่ระหว่างเสด็จประพาสแดนใต้ฉบับหนึ่ง บอกว่าดูเหมือนไทเฮาคิดจะแต่งตั้งบุตรสาวสกุลหลันเป็นฮองเฮา ขอให้เสด็จอาสามช่วยออกหน้าทัดทานเจตนารมณ์ไทเฮาแทนเขาด้วย เท่าที่คำนวณเวลา จดหมายตอบกลับจากเสด็จอาสามน่าจะใกล้ส่งมาถึงแล้ว ระหว่างรอด้วยความร้อนรน ค่ำวันนี้เขาเพิ่งจะเสร็จจากงานในห้องทรงพระอักษรก็มีคนมากระซิบบอกว่าวันนี้ไทเฮาไปตำหนักตุนอี้อีกแล้ว ซ้ำยังอยู่ที่นั่นนานกว่าปกติ และกลับออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น

สัญชาตญาณทำให้ซู่เจี่ยนสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงจนทนอยู่เฉยไม่ไหว ต้องเดินเลี้ยวมาตำหนักไทเฮาแล้วถามถึงเรื่องนี้ไปตรงๆ พอได้ยินน้ำเสียงตำหนิของนาง เขาก็ค้อมคำนับขอขมามารดาทีหนึ่งแล้วกล่าวถามใหม่ว่า “ทูลถามเสด็จแม่ ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เสด็จไปตำหนักตุนอี้ด้วยเรื่องอันใด”

หลันไทเฮาค่อยยิ้มออกอีกครั้ง แล้วเรียกโอรสเข้ามาใกล้ เห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับก็กระแอมเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก แค่ไปปรนนิบัติดูแลไท่เฟยระหว่างมื้ออาหาร และคุยกันเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ได้ยินว่าช่วงนี้พวกเป่ยตี๋ก่อปัญหาขึ้นที่แปดดินแดนจนรบพุ่งกันอีกแล้วหรือ เจี่ยนเอ๋อร์คงจะทุกข์ใจมากกระมัง แม่เห็นเจ้าใบหน้าซูบเชียว หิวหรือไม่ แม่จะสั่งให้คนเตรียมอาหารให้ พอดีเลย พวกเราแม่ลูกไม่ได้กินอาหารด้วยกันนานเต็มทีแล้ว…”

พูดจบก็หันไปร้องสั่งให้คนเตรียมอาหาร ซู่เจี่ยนบอกว่าตนกินมาจากห้องทรงพระอักษรแล้ว หลังจากจ้องหน้านางทีหนึ่งก็ขอตัวแล้วกลับตำหนักบรรทมด้วยหัวใจหนักอึ้ง

กลุ่มขันทีและนางกำนัลประจำตัวต้อนรับเขาเข้าไปในตำหนักแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ระหว่างแก้แถบรัดเอวและถอดเสื้อคลุมเด็กหนุ่มพลันสังเกตเห็นว่าหนึ่งในคนที่กำลังปรนนิบัติตนอยู่เป็นนางกำนัลหน้าใหม่ แต่เดิมคนที่ทำหน้าที่นี้เป็นอีกคน พอถามถึงได้รู้ว่านางกำนัลคนก่อนเพิ่งถูกไทเฮาเรียกตัวไปวันนี้ บอกว่าจะให้ทำหน้าที่อื่น จากนั้นก็ส่งคนนี้มาให้แทน

ตั้งแต่ปีกลายเป็นต้นมานางกำนัลในตำหนักเขาที่หน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลาหน่อยเริ่มหายหน้าหายตาไปทีละคนสองคน ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต ต่อมาถึงค่อยๆ เอะใจ พอรู้ว่าเป็นคำสั่งของหลันไทเฮา แม้จะรู้สึกไม่พอใจก็ยังข่มอารมณ์ไว้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้ฝักใฝ่ทางนี้อยู่แล้ว

วันนี้นางกำนัลน้อยคนนั้นก็ถูกเรียกตัวไปอีก แต่เดิมนางรับใช้เขาในห้องทรงพระอักษร ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจ เพิ่งมารู้โดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อนว่านางเป็นคนเยี่ยนเหมิน เขานึกถึงเสด็จอาสะใภ้สามทันที เลยรู้สึกถูกชะตากับนางกำนัลน้อยคนนั้น แล้วสั่งให้นางเปลี่ยนมาทำงานในตำหนักบรรทมแทน บางทีเวลากลับมาถึงตำหนักก็ชวนนางคุยเรื่องเยี่ยนเหมินบ้าง

ไม่คิดเลยว่าเพียงเท่านี้หลันไทเฮาถึงกับยื่นมือเข้ามาดึงนางออกไป

ซู่เจี่ยนเดือดดาลอย่างหนัก สะบัดแขนสลัดชุดราชสำนักที่เพิ่งถอดออกจากตัวลงบนพื้นแล้วหมุนตัวสาวเท้าเดินออกไป ขันทีกับนางกำนัลรอบตัวพากันคุกเข่าอย่างพรั่นพรึง

เด็กหนุ่มเดินดุ่มมาถึงประตูตำหนักบรรทม ขันทีคนหนึ่งจ้ำเท้าเดินลิ่วเข้ามาพอดี เห็นเขาเดินปึงปังออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียวก็รีบหลบไปอีกทางแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท! จดหมายจากอ๋องผู้สำเร็จราชการมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบก็ประคองส่งให้ด้วยสองมือ

ระยะนี้ซู่เจี่ยนเฝ้ารอจดหมายอย่างร้อนใจ ได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย รีบปรี่ไปรับจดหมายมา หมุนตัวเดินเข้าไปข้างในแล้วเปิดออกอ่านทันที ทว่าเมื่ออ่านจนจบก็ผิดหวังอย่างรุนแรง

เสด็จอาสามของเขาตอบกลับมาว่าออกเดินทางกลับแล้ว จะถึงฉางอันเดือนหน้า สำหรับเรื่องที่เขาเขียนไปในจดหมาย เสด็จอาสามปลอบโยนเขาว่าอย่าได้กลัดกลุ้มร้อนใจ และอย่าปะทะกับไทเฮาหรือใครเด็ดขาด สุดท้ายบอกให้เขาทำใจให้สบาย รอให้ตนกลับมาเมื่อไรค่อยคุยกันโดยละเอียดอีกที

ตอนแรกซู่เจี่ยนนึกว่าเสด็จอาสามจะตอบกลับมาด้วยท่าทีชัดเจน ซึ่งก็คือคัดค้านการแต่งตั้งบุตรสาวของหลันหรงเป็นฮองเฮา เช่นนี้ตัวเขาจะได้งัดข้อกับไทเฮาอย่างมั่นใจ ไม่คิดเลยว่าเสด็จอาสามจะใช้คำพูดคลุมเครือที่ตีความได้สองอย่าง แค่บอกให้เขาทำใจให้สบายเท่านั้น

เขาจะทำใจให้สบายได้อย่างไรเล่า

ซู่เจี่ยนผงะอึ้งขึ้นมา

ในวัดฮู่กั๋วฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าแม่ทัพหญิงเป็นคนเช่นไร ได้เอ่ยวาจาลบหลู่นางอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังด้วยความโง่เขลา เสด็จอาสามจึงบอกเขาว่าตนแต่งงานกับแม่ทัพหญิงเพื่อแผนการของต้าเว่ย

เสด็จอาสามเป็นคนเช่นนี้ ในเมื่อทำกับการแต่งงานของตนเองได้ คราวนี้ก็ถึงตาฮ่องเต้อย่างเขาบ้างแล้ว หากเสด็จอาสามเห็นว่าเขาแต่งงานกับบุตรสาวสกุลหลันจะเป็นผลดีต่อราชสำนัก จะต้องบังคับเขาให้ยินยอมอย่างแน่นอน

ซู่เจี่ยนรู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ ชั่ววูบในระหว่างความคิดกำลังฟุ้งซ่าน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงแม่ทัพหญิงขึ้นมา

จำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียวว่าตอนไปส่งเสด็จอาสามกับนางออกจากเมืองหลวงเมื่อเดือนสี่ นางรับปากเขาไว้ว่าจะประชันฝีมือยุทธ์กัน ตอนนั้นเขาคิดไว้เต็มหัวใจว่าหลังเสร็จจากการเสด็จประพาสแดนใต้นางจะกลับเมืองหลวงพร้อมเสด็จอาสาม คิดไม่ถึงว่าหลังจากเยี่ยมไท่หวงไท่เฟยสกุลจวงที่เฉียนถังเสร็จแล้วนางจะตรงกลับเยี่ยนเหมินทันที อีกทั้งเวลานี้ยังทำศึกอยู่ที่แปดดินแดน

คงเพราะคืนนี้จิตใจห่อเหี่ยว พอคิดถึงตอนจากลากันขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์จึงหม่นหมองเป็นเท่าทวี

ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเสด็จอาสะใภ้สามถึงพูดทำนองว่า ‘หากมีโอกาสจะลับฝีมือด้วย’ ไม่ใช่ ‘หลังกลับจากเดินทางคราวนี้จะลับฝีมือด้วย’ เห็นชัดว่านางกำหนดแผนการไว้แต่แรกแล้ว

เสด็จอาสะใภ้สามไม่พูดให้เขาฟังน่ะช่างเถิด เพราะไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมากนัก แต่เสด็จอาสามจะต้องรู้แน่ๆ ทว่าก็ยังปิดบังเขา จนเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวแม้แต่นิดเดียว ต่อเมื่อมีข่าวการศึกทางแปดดินแดนส่งมาฉางอันนั่นล่ะ เขาถึงเพิ่งรู้ว่านางกลับเยี่ยนเหมินแล้ว

เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดนิดๆ เหมือนถูกคนที่ไว้ใจที่สุดปิดบัง ความรู้สึกหลากหลายที่ประเดประดังขึ้นมาในใจเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรกในชีวิต จนได้แต่นอนพลิกตัวกระสับกระส่าย ข่มตาหลับไม่ลงทั้งคืน

 

วันรุ่งขึ้นครบกำหนดประชุมใหญ่ราชสำนัก หัวข้อการประชุมที่พูดกันมากที่สุดระยะนี้ย่อมหนีไม่พ้นการศึกที่แปดดินแดน บังเอิญว่าเมื่อคืนเพิ่งมีรายงานความคืบหน้าส่งเข้ามา แจ้งว่ากองทหารม้าลาดตระเวนภายใต้การนำของแม่ทัพฉางหนิงลอบเดินทางผ่านอาณาเขตศัตรูขึ้นไปทางเหนือจนถึงเมืองเฟิงเยี่ยอย่างราบรื่น บัดนี้กำลังช่วยทำศึกอย่างสุดกำลัง

เหล่าขุนนางใหญ่พากันยิ้มแย้มแช่มชื่น ต่างก้าวออกมาพูดทำนองว่าที่กองกำลังเส้นทางทิศเหนือประสบความสำเร็จราบรื่นตั้งแต่ยกธงรบเป็นเพราะปรีชาญาณของฮ่องเต้กับอ๋องผู้สำเร็จราชการ หลังเลิกประชุมเสียนอ๋องกับขุนนางสำคัญก็ตามฮ่องเต้น้อยไปที่หอตะวันตก

ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานับแต่อ๋องผู้สำเร็จราชการไปจากเมืองหลวง หลังเลิกประชุมราชสำนักฮ่องเต้น้อยจะเรียกขุนนางผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งมาหารือราชกิจที่นี่ทุกครั้ง ปฏิบัติตามกิจวัตรที่อ๋องผู้สำเร็จราชการทำเวลาอยู่ในเมืองหลวงทุกประการ เขาร่วมหารือด้วยตนเองอย่างขยันขันแข็งเสมอมา ทว่าวันนี้เขาเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สีหน้าก็ดูอิดโรย เสียนอ๋องไม่ถือสาเพราะเข้าใจดีว่าเขายังอายุน้อย ตั้งใจทำงานติดต่อกันมาหลายเดือนคงเหนื่อยมาก หารือกันเฉพาะเรื่องสำคัญไม่กี่เรื่องก็บอกให้แยกย้าย ฮ่องเต้น้อยลุกเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

หลังส่งฮ่องเต้น้อยแล้วเสียนอ๋องกับฟางชิงก็ทำท่าจะกลับบ้าง ทว่าข้าหลวงจากตำหนักไทเฮามาแจ้งว่าไทเฮาต้องการคุยด้วย ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ในเมื่อไทเฮาสั่งจึงรีบไปทันที เมื่อมาถึงก็คารวะเจ้าของตำหนักที่นั่งรออยู่แล้ว ไทเฮาสั่งให้คนยกเก้าอี้ให้พวกเขา แล้วยิ้มแย้มชื่นชมว่าโชคดีที่ฮ่องเต้น้อยได้ทั้งคู่คอยช่วยแบ่งเบาราชกิจในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งสองเอ่ยขอบคุณอย่างถ่อมตัว หลังปราศัยกันตามมารยาทพอเป็นพิธีแล้วก็ได้ยินไทเฮาพูดขึ้นว่า “ท่านทั้งสองนั้น ท่านหนึ่งเป็นผู้อาวุโสในราชวงศ์ อีกท่านหนึ่งเป็นแขนขาของราชสำนัก ที่เชิญทั้งสองท่านมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากมอบหมายให้ช่วยรับไปจัดการ”

เสียนอ๋องกับฟางชิงลุกขึ้นยืน “ไทเฮาโปรดตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

นางอธิบาย “เกี่ยวกับการแต่งตั้งฮองเฮาให้ฮ่องเต้นั่นล่ะ ฮ่องเต้อายุสิบสี่พรรษาแล้ว การแต่งตั้งฮองเฮามีผลต่อบ้านเมือง จำต้องจัดการโดยเร็ว ข้าตรองแล้วตรองอีกกว่าจะเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดได้คนหนึ่ง เป็นบุตรสาวของหลันหรง…”

หลันไทเฮามองเสียนอ๋องกับฟางชิงที่อยู่ตรงหน้า เว้นช่วงไปเล็กน้อย เมื่อพูดต่ออีกครั้งก็เพิ่มความเคร่งเครียดในน้ำเสียง “บุตรสาวของหลันหรงเป็นเลิศในทุกด้าน ไม่ว่าจะนิสัยใจคอ กิริยามารยาท รูปโฉม หรือความเพียบพร้อมของกุลสตรี เป็นคนที่ข้าพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว เห็นว่าเป็นตัวเลือกฮองเฮาที่เหมาะสมเพียงหนึ่งเดียวของต้าเว่ย! ข้อนี้ข้าไม่ได้พูดเองเออเองคนเดียว ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยก็ทรงเห็นด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าตกลงตามนี้เถิด ขอให้พวกท่านทั้งสองไปสั่งการกรมพิธีการให้เร่งมือจัดการโดยเร็ว ประกาศให้ราษฎรรู้กันทั่วทั้งแผ่นดิน”

หลันไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดหนักแน่น ยกผู้อาวุโสในตำหนักตุนอี้มาอ้าง ซ้ำหญิงที่เลือกก็ยังมาจากสกุลหลัน เป็นบุตรสาวหลันหรงซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของฮ่องเต้ เรียกว่าผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองกันสองชั้น

ตัดปัจจัยเหล่านี้ออกไป พิจารณาแค่ตัวเลือกฮองเฮาเป็นบุตรสาวสกุลหลันก็มองไม่เห็นแล้วว่ามีอะไรไม่เหมาะสมตรงที่ใด เวลานี้หลันหรงเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก วางตัวดี ทั้งด้านนิสัยใจคอและความสามารถก็ไม่เลว ที่ผ่านมาสกุลหลันก็มีแต่ชื่อเสียงในแง่บวกมาโดยตลอด

ดังนั้นแม้ฟางชิงจะรู้สึกว่าเร่งรีบเกินไปก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามท้วงติง ได้แต่เหลือบมองเสียนอ๋องที่อยู่ข้างๆ

อ๋องสูงวัยตอบว่า “ไทเฮาตรัสถูกต้องยิ่งนัก ควรพิจารณาแต่งตั้งฮองเฮาถวายฝ่าบาทได้แล้วจริงๆ ทว่าจะรีบร้อนเกินไปไม่ได้ เวลานี้ทางแปดดินแดนยังมีการศึกติดพันที่ราชสำนักต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ยังไม่ใช่วาระเหมาะสมในการแต่งตั้งฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างไรรอจนการศึกเสร็จสิ้น แนวหน้าส่งข่าวแจ้งชัยชนะเมื่อไรค่อยมาหารือกันอีกที เช่นนี้เท่ากับมีเรื่องน่ายินดีซ้อนยินดี จะไม่ประเสริฐยิ่งกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าหลันไทเฮาเลือนหาย เอ่ยถามเสียงเรียบ “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการศึกที่แนวหน้าด้วย ข้าเองก็ใช่ว่าจะให้จัดงานอภิเษกสมรสขึ้นในทันที แค่อยากให้กรมพิธีการกำหนดตัวฮองเฮาไว้ก่อนเท่านั้น!”

เสียนอ๋องตอบ “ไทเฮาตรัสมีเหตุผล แต่เมื่อครู่ไทเฮาก็ตรัสเช่นกันว่าการแต่งตั้งฮองเฮาเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงที่เกี่ยวพันถึงบ้านเมือง กระหม่อมจึงเห็นว่ารอให้อ๋องผู้สำเร็จราชการกลับถึงเมืองหลวงก่อนค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีจะเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าไทเฮาเปลี่ยนไปทันควัน น้ำเสียงก็ห้วนขึ้นผิดหู “เรื่องนี้แม้แต่ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยยังทรงเห็นชอบแล้ว! อีกอย่างข้าก็เป็นไทเฮา เป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ ไม่มีสิทธิ์จะเลือกฮองเฮาให้โอรสตนเองหรืออย่างไร หรือพวกท่านเห็นว่าพวกข้าเป็นหญิงม่ายกับลูกกำพร้าไร้คนคุ้มครอง เลยจะรังแกกัน!” พูดจบก็ร้องสั่ง “เรียกหูป๋อหมินเข้ามา!”

เสนาบดีกรมพิธีการที่ถูกไทเฮาเรียกตัวมารออยู่ก่อนแล้วรีบเข้ามาข้างใน รับฟังเรื่องที่นางต้องการให้เขาเร่งจัดการทันที

ที่ปรึกษาราชการทั้งสองคนนั้น ฟางชิงไม่เอ่ยอะไร ส่วนเสียนอ๋องคัดค้านอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำเหนือขึ้นไปกว่านี้ยังมีอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ยังกลับไม่ถึงเมืองหลวง หูป๋อหมินไม่กล้ารับคำสั่ง ทว่าก็ไม่กล้าไม่รับด้วยเช่นกัน ระหว่างกำลังก้มหน้าอึกอักอยู่นั้น เสียนอ๋องก็ก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไทเฮาโปรดอย่าได้กริ้วไป กระหม่อมไหนเลยจะกล้ารับโทษฐานนี้ ก่อนอ๋องผู้สำเร็จราชการจะเดินทางออกจากเมืองหลวงได้มอบหมายให้กระหม่อมเป็นที่ปรึกษาราชการ กระหม่อมถึงได้บังอาจแสดงความเห็น เรื่องนี้จะรวบรัดจัดการอย่างปุบปับไม่ได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าต้องยึดพระดำริไทเฮาเป็นหลัก แต่รออ๋องผู้สำเร็จราชการกลับมาก่อนค่อยจัดพิธีจะเป็นอะไรไปเล่า เรื่องสำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะรีบร้อนทำส่งเดชไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเท่ากับไม่ให้เกียรติทั้งฝ่าบาทและบุตรสาวสกุลหลันนะพ่ะย่ะค่ะ”

เสียนอ๋องมิได้ใช้น้ำเสียงขู่เข็ญแม้แต่นิดเดียว ทว่าแสดงท่าทีชัดเจน นั่นคือคัดค้านหนักแน่นว่าไม่ควรกำหนดตัวฮองเฮาเสียตั้งแต่ตอนนี้

หลันไทเฮาไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสในราชวงศ์ที่ปกติอยู่เงียบๆ ไม่ออกสิทธิ์ออกเสียงวันนี้จะแสดงความเห็นแน่วแน่อย่างเหนือความคาดหมาย โทสะนางพลุ่งพล่านขึ้นมา จนเกือบตบโต๊ะสั่งเสนาบดีกรมพิธีการให้ดำเนินการตามความประสงค์ของตนทันทีอยู่รอมร่อ ทว่าถึงอย่างไรนางก็ยังไม่มั่นใจพอ ด้วยรู้ว่าตอนนี้ตนยังไม่มีอำนาจชี้ขาดความเป็นไปในราชสำนัก จึงพยายามสะกดกลั้นโทสะ กัดฟันกรอดพลางถลึงตามองเสียนอ๋องแล้วพูดอย่างเย็นชา “ความหมายโดยนัยของท่านก็คือหากอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่เห็นชอบ หญิงม่ายเช่นข้าก็แต่งตั้งฮองเฮาให้โอรสตนเองไม่ได้อย่างนั้นสินะ”

คำพูดนั้นเพิ่งสิ้นเสียง ประตูตำหนักที่อยู่ตรงหน้าก็พลันเปิดผางจนกระแทกผนังดังโครม ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นฮ่องเต้น้อยเดินดุ่มๆ เข้ามาข้างในแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง “เสด็จแม่! ต่อให้อ๋องผู้สำเร็จราชการเห็นชอบ เราก็ไม่มีทางตอบตกลงเรื่องนี้หรอก!”

เสียนอ๋องหันไปค้อมกายคารวะ ส่วนฟางชิงกับหูป๋อหมินเห็นเจ้าตัวออกหน้าเอง ซ้ำยังพูดถึงขั้นนี้ พวกตนไม่ต้องแสดงจุดยืนอย่างเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว…ต้องตระหนักว่าหากคัดค้านก็เท่ากับผิดใจกับหลันหรงอย่างเปิดเผย หลันหรงผู้นี้เป็นลุงแท้ๆ ของฮ่องเต้น้อย เป็นญาติใกล้ชิดที่ฮ่องเต้น้อยสนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี ตัวพวกเขาเองเล่าก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสในราชวงศ์เหมือนอย่างเสียนอ๋อง ถึงอย่างไรก็ต้องยำเกรงความสัมพันธ์ที่บิดาฝ่ายหญิงมีกับฮ่องเต้น้อย แต่ในเมื่อเจ้าตัวพูดเช่นนี้ พวกเขาก็ลอบพรูลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก แล้วรีบถวายคำนับบ้าง

เมฆดำทะมึนทาบเงาบนใบหน้าหลันไทเฮา บุตรชายเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า เชิดคางขึ้น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ไม่คิดจะไว้หน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว นางพยายามสะกดอารมณ์เต็มที่เพื่อรักษาท่าทีอันสง่าของตนแล้วเอ่ยว่ากลับไปก่อน ไว้ค่อยหารือกันวันหลัง เมื่อทุกคนกลับออกไปหมดจนเหลือแค่สองคนแม่ลูก เพลิงโทสะร้อนเร่าในใจก็พลุ่งพล่านสุดระงับ นางตบโต๊ะข้างตัวโดยแรงหลายทีจนกำไลหยกที่สวมอยู่แตกเป็นหลายส่วนก่อนร่วงกราวลงบนพื้น

ดวงตาทั้งสองข้างของหลันไทเฮาถลึงกว้าง ปีกจมูกกระพือพะเยิบพะยาบ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ลุกพรวดขึ้นก้าวปราดเดียวถึงตัวซู่เจี่ยน จากนั้นเสียงเพียะดังขึ้น นางสะบัดมือตบหน้าบุตรชายเต็มแรง

“เจ้าเด็กอกตัญญู! ข้าให้กำเนิดเจ้า เลี้ยงดูเจ้ามา แต่เจ้ากลับแข็งข้อใส่ข้าต่อหน้าผู้อื่น! เรื่องนี้ข้าไม่ได้ตัดสินใจเองคนเดียว! ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยก็พยักหน้าเห็นชอบแล้ว! อย่ามาถือดีว่าเป็นฮ่องเต้แล้วต่อต้านข้าไปเสียทุกอย่างนะ ข้าจะบอกอะไรให้ ทั้งแผ่นดินนี้มีเพียงข้าคนเดียวที่มีสิทธิ์กำหนดเรื่องคู่ครองของเจ้า! สกุลหลันชื่อเสียงดีงาม คุณธรรมสูงส่ง นอกจากบุตรสาวสกุลหลันก็ไม่มีใครดีพอสำหรับตำแหน่งฮองเฮาอีกแล้ว! ต่อให้อ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังเป็นคนนอก มาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคู่ครองเจ้าไม่ได้หรอก!”

ซู่เจี่ยนยืนเอามือกุมแก้มสักพักก็ลดมือลงช้าๆ นางถึงเพิ่งเห็นว่าที่แท้เมื่อครู่แหวนบนนิ้วตนเองครูดแก้มบุตรชายจนเลือดไหลซิบ

หลันไทเฮาตื่นตระหนกทันที รีบถลาเข้าไปเอื้อมมือจะแตะแก้มบุตรชาย แต่เขาถอยหลังหลบก้าวหนึ่ง โทสะยังโชนแสงวาววับอยู่ในดวงตา ขณะกัดฟันกรอดเค้นเสียงออกมาทีละคำ “อยากแต่งตั้งใครเป็นฮองเฮาก็แต่งตั้งตามใจชอบเลย! ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ข้าเป็นมาจนเกินพอแล้ว!” พูดจบก็หมุนตัวสาวเท้าเดินลิ่วๆ ออกไป

“เจี่ยนเอ๋อร์!” ผู้เป็นมารดาร้องเรียกพลางวิ่งตาม แต่วิ่งออกไปนอกตำหนักก็พบว่าเขาหายไปแล้ว นางรีบเรียกข้ารับใช้มาสั่งให้ตามไปดูว่าเขาอยู่ที่ใด สักพักข้ารับใช้ก็กลับมารายงานว่าฮ่องเต้กลับตำหนักบรรทมเรียบร้อยแล้ว หลันไทเฮาได้ยินดังนั้นถึงค่อยเบาใจ

เมื่อครู่นางโมโหจนเผลอตบบุตรชายอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ ซ้ำยังครูดแก้มเขาเป็นแผลโดยไม่ได้ตั้งใจ หลันไทเฮารู้สึกเสียใจยิ่งนัก แต่พอคิดว่าแผนการที่วางไว้ไม่ราบรื่น นอกจากตนจะข่มเสียนอ๋องไม่ลง ยังถูกบุตรชายฉีกหน้าให้คนนอกเห็น ความหงุดหงิดขุ่นมัวก็ผุดขึ้นในหัวใจอีกครั้ง จนได้ยินเสียงวิ้งๆ ดังก้องในหัวคล้ายมีผึ้งบินอยู่ในนั้นทั้งรัง หลังถูกข้ารับใช้ประคองกลับเข้าไปในตำหนัก นางนั่งเหม่อได้สักพักก็สั่งให้คนไปสืบดูที่ตำหนักบรรทมของซู่เจี่ยนอีก พอได้ยินว่าทางนั้นเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ทำแผลบนแก้มแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ค่อยเบาใจไปเปลาะหนึ่ง ก่อนสั่งให้คนสนิทลอบออกจากวังหลวงเพื่อนำความไปแจ้งสกุลหลัน

เดือนก่อนหลันหรงพี่ชายนางไปกำกับดูแลการบำรุงซ่อมแซมสุสานหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลี่ เวลานี้ยังไม่กลับ

คืนนี้หลันไทเฮาปวดศีรษะทั้งคืน ข้าหลวงช่วยนวดคลึงให้ก็ไม่เป็นผล

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลันไทเฮาปลุกแรงใจลุกไปตำหนักบรรทมซู่เจี่ยนด้วยตนเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตั้งใจจะพูดจาหว่านล้อมเขาให้ดี ตอนที่มาถึงประตูตำหนักยังปิดสนิท ข้าราชบริพารรายงานว่าก่อนเข้านอนเมื่อคืนฮ่องเต้สั่งว่าเช้าวันนี้จะไม่ไปประชุมราชสำนัก ให้เหล่าขุนนางใหญ่จัดการงานกันเอง ตนเองจะนอนตื่นสายหน่อย หากไม่เรียก ใครก็ห้ามเข้ามารบกวนทั้งนั้น

หลันไทเฮากำลังวิตกอยู่พอดีว่าพวกขุนนางจะเห็นรอยแผลบนใบหน้าบุตรชาย กลัวว่าหากมีคนเอาไปพูดว่าตนเป็นคนทำจะไม่งาม สิ่งที่ข้ารับใช้รายงานสอดคล้องกับความต้องการของนางพอดี นางสั่งให้ทุกคนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก หากฮ่องเต้ตื่นแล้วให้รีบนำความไปแจ้งตน จากนั้นก็กลับไปรอที่ตำหนัก ทว่ารอแล้วรอเล่าจนถึงเที่ยงวัน ส่งคนไปถามทางนั้นไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ฮ่องเต้ก็ยังไม่ตื่นนอนเสียที นางอดเป็นห่วงไม่ได้จึงไปดูด้วยตนเองอีกครั้ง เมื่อเคาะประตูเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบก็เปิดประตูเสียเอง โดยสั่งให้ทุกคนรออยู่ข้างนอก จากนั้นก็เดินเข้าไปถึงหน้าเตียงนอนบุตรชายตามลำพัง

มองผ่านม่านเตียงเข้าไปก็เห็นได้รำไรว่าเขานอนตะแคงนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อย เชื่อว่าคงยังไม่หายโกรธขึ้ง นางกระแอมดังๆ ทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจี่ยนเอ๋อร์ แม่ผิดไปแล้ว แม่นึกเสียใจตั้งแต่ที่ตบเจ้าเมื่อวานแล้ว เจ้าเป็นลูกของแม่ มีหรือแม่จะประสงค์ร้ายต่อเจ้า การแต่งงานครานี้แม่คิดเพื่อประโยชน์ของเจ้าทั้งสิ้นนะ วันข้างหน้าเมื่อเจ้าจัดการงานราชกิจด้วยตนเอง ใครเล่าจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้เจ้า จงรักภักดีต่อเจ้าสุดหัวใจ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

พูดมาจนถึงตรงนี้ ฮ่องเต้น้อยก็ยังไม่หือไม่อือ หลันไทเฮาแหวกม่านเดินเข้าไปประชิดเตียงพลางพูดเอาใจ “เจ้านึกตำหนิที่แม่ย้ายนางกำนัลคนนั้นไปที่อื่นใช่หรือไม่ แม่ผิดเอง หากเจ้าถูกใจนางล่ะก็ แม่จะส่งนางกลับมาให้คอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าก็ได้…”

ระหว่างที่พูดก็เอื้อมมือไปค่อยๆ ดึงผ้าห่มที่บุตรชายคลุมโปงไว้ลงมา ทันใดนั้นมือของนางก็ชะงัก ดวงตาเบิกกว้างจนปูดโปน ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

อึดใจต่อมาเหล่าข้าราชบริพารที่รอรับใช้อยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงแผดตะเบ็งปานปอดจะฉีกดังออกมาจากข้างใน “ใครก็ได้!”

เป็นเสียงของไทเฮา

ทุกคนกรูกันเข้าไป แล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพตรงหน้า

บนเตียงมังกรไม่มีร่างของฮ่องเต้น้อยนอนอยู่ มีแต่หมอนข้างกับเสื้อผ้าที่ยัดไว้ใต้ผ้าห่ม หลันไทเฮาใช้มือข้างหนึ่งเกาะเสาเตียงพยุงตัวยืนอย่างยากลำบาก ใบหน้าซีดเผือด มืออีกข้างสั่นระริก “เร็ว! รีบไปตามหาฮ่องเต้…” ความร้อนรนเข้าจู่โจมหัวใจ ร่างของนางอ่อนยวบ หมดสติไปทั้งอย่างนั้น

บทที่ 67

ซู่เซิ่นฮุยรู้ข่าวระหว่างทางกลับเมืองหลวงในวันที่เจ็ดหลังเกิดเรื่อง นอกเหนือจากความตกตะลึงคือความร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา เขารีบปลีกตัวจากขบวนใหญ่ ขี่ม้ากลับเมืองหลวงโดยมีผู้ติดตามและสัมภาระไม่มาก ครั้นพอวันที่เก้าซึ่งก็คือสองวันให้หลัง ระหว่างหยุดพักและเปลี่ยนม้าที่จุดพักม้ากลางทางก็ได้พบเฉินหลุนที่เร่งรุดออกจากเมืองหลวงมาหาตน

เฉินหลุนเล่าว่าตอนแรกที่ฮ่องเต้น้อยหายตัวไปหลันไทเฮาปิดบังแม้กระทั่งเสียนอ๋อง บอกแค่ว่าฮ่องเต้น้อยไม่สบาย จะงดเข้าร่วมประชุมราชสำนักชั่วคราว ระหว่างนั้นก็แอบส่งคนออกไปตามหาเองเป็นการลับทั้งในวังหลวงและในเมืองหลวง ทว่าฉางอันกว้างใหญ่ไพศาล มีคนอยู่อาศัยเป็นร้อยหมื่นคน จะหาเจอในเวลาอันสั้นอย่างไรได้ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยอยู่ที่ใด ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะกลับมาเอง พอตกเย็นของวันที่สองนางรู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว จำต้องขอความช่วยเหลือจากเสียนอ๋องเพราะหวาดกลัวลนลานจับใจ หลังสืบดูโดยละเอียดก็คาดเดาได้ว่าคืนนั้นฮ่องเต้น้อยลอบหนีออกจากตำหนักบรรทมแล้วซ่อนตัวบนรถที่ขนถังปฏิกูลออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครระแคะระคาย แม้แต่ทหารองครักษ์ก็ไม่เห็น จนสามารถออกจากวังหลวงไปคนเดียวอย่างราบรื่น

ฮ่องเต้น้อยหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยหลังออกจากวังหลวงโดยไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว นับเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงขั้นสูงสุด เสียนอ๋องตื่นตระหนกตกใจเสียไม่มีดี สั่งให้ปิดข่าวต่ออย่างแน่นหนา ระหว่างนั้นก็สั่งให้คนสนิทที่เชื่อใจได้ขยายขอบเขตการค้นหาโดยละเอียดเป็นวงกว้าง นอกจากในตัวเมืองฉางอันก็นึกได้ว่าฮ่องเต้น้อยอาจจะออกจากเมืองหลวงมาหาอ๋องผู้สำเร็จราชการ จึงให้เฉินหลุนตามมา

“ท่านอ๋องอย่าได้วิตกกังวลจนเกินไปเลย ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จออกจากวังหลวงตามลำพังเลยสักครั้ง เชื่อว่าจะต้องเสด็จไปที่ใดไม่ไกลหรอก ไม่แน่ว่าช่วงที่ข้าออกจากเมืองหลวง ทางนั้นอาจพบฝ่าบาท หรือไม่พระองค์ก็ทรงคิดตกแล้วจึงเสด็จกลับเข้าวังด้วยพระองค์เองก็ได้…”

เฉินหลุนเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการมีสีหน้าเคร่งเครียด กลัวว่าเจ้าตัวจะเป็นทุกข์เพราะห่วงหลานชาย หลังรายงานสถานการณ์ทางฉางอันและวังหลวงจบจึงปลอบโยนไปอย่างนั้น ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว กลับก้าวพรวดๆ ออกจากจุดพักม้าแล้วตวัดตัวขึ้นอาชา ดูก็รู้ว่าจะเดินทางต่อ เขาจึงรีบตามไปด้วย

ระยะทางที่เหลือหมดไปกับการอาบดาวห่มจันทร์ เร่งทำเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ในที่สุดขบวนเล็กของพวกเขาก็เข้าฉางอันในวันนี้ของเดือนเก้า

ตอนนี้ฮ่องเต้น้อยหายตัวไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ซู่เซิ่นฮุยตรงเข้าวังหลวงในสภาพมอมแมมด้วยฝุ่นทั้งตัว ผู้ที่เฝ้ารอเขาอยู่คือเสียนอ๋อง ฟางชิง และขุนนางอาวุโสไม่กี่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางและกำลังวิตกกังวลสุดแสน ส่วนฮ่องเต้น้อยซู่เจี่ยนนั้นนับแต่หายตัวไปก็เหมือนก้อนหินจมลงในมหาสมุทร จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อยว่าอยู่ที่ใด วังหลวงปิดข่าวเงียบ สิ่งที่แจ้งกับคนนอกคือฮ่องเต้น้อยออกจากตำหนักไม่ได้เพราะอาการเจ็บป่วย

ผ่านมานานเนิ่นโอรสสวรรค์ก็ยังไม่หายป่วยและเยี่ยมหน้าออกจากตำหนักเสียที เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขุนนางใหญ่ทั่วไปเกิดความรู้สึกต่างๆ กัน บ้างเป็นห่วงเจียนจะขาดใจ บ้างนึกคลางแคลงสงสัย จึงเริ่มมีเสียงลือต่างๆ นานาอย่างห้ามไม่ได้

เสียนอ๋องเล่าว่าครึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาพวกตนได้ค้นหาทั่วทุกแห่งที่เป็นไปได้ในเมืองหลวงแล้ว เวลานี้กำลังขยายการค้นหาออกไปยังพื้นที่ของเมืองรอบนอกทั้งสี่ทิศของฉางอัน

เดิมทีความหวังที่เป็นไปได้มากที่สุดคือฮ่องเต้น้อยหนีออกไปหาอ๋องผู้สำเร็จราชการ ทว่าการคาดการณ์นี้ไม่เป็นจริงเสียแล้ว ได้แต่หวังว่าฮ่องเต้น้อยจะออกจากเมืองหลวงด้วยความโมโห ตอนนี้กำลังผ่อนคลายอารมณ์อยู่รอบๆ ฉางอัน เพราะนอกเหนือจากนี้ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าตัวยังจะสามารถไปที่ใดได้อีก

อ๋องผู้ชราโทษตนเองอย่างรุนแรงว่าไร้ความสามารถ ผิดต่อการฝากฝังของอ๋องผู้สำเร็จราชการก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวง จนทำให้เกิดปัญหาใหญ่ร้ายแรงที่กระทบกับความมั่นคงของบ้านเมืองเช่นนี้ พูดพลางก็ยักแย่ยักยันจะทรุดตัวลงคำนับขอรับโทษจากซู่เซิ่นฮุย

นับแต่เกิดเหตุหลันไทเฮาก็ป่วยซมมาโดยตลอด เรื่องในวังหลวงและงานราชสำนักจึงกดลงบนบ่าของเสียนอ๋องทั้งสองทาง ผู้สูงวัยต้องประคับประคองราชสำนัก ปลอบขวัญเหล่าขุนนางใหญ่ ระหว่างนั้นยังต้องตามหาฮ่องเต้น้อย สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ทั้งยังถูกความกังวลรุมเร้าทุกคืนวัน แต่เดิมก็อายุมากอยู่แล้ว ยังต้องตรากตรำถึงขั้นนี้ กว่าซู่เซิ่นฮุยจะกลับมา ร่างกายก็แทบทนรับไม่ไหว ระหว่างที่ย่อตัวลงยังหวุดหวิดจะทรงตัวยืนไม่อยู่ ซู่เซิ่นฮุยรีบปราดเข้าไปประคองผู้เป็นลุงให้ยืนอย่างมั่นคง จากนั้นก็ปลอบโยนอย่างนุ่มนวล แล้วสั่งให้เฉินหลุนส่งเสียนอ๋องกลับไปพักผ่อนที่จวน เรื่องที่เหลือตนจะรับช่วงต่อเองทั้งหมด

เมื่อเสียนอ๋องและขุนนางอาวุโสคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ในหอตะวันตกของตำหนักเซวียนเจิ้งตามลำพังด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น ระหว่างกำลังใจลอย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นข้างนอก

หลันไทเฮาพยายามฝืนสังขารลุกจากเตียงโดยมีข้าหลวงช่วยประคอง รุดมาหาเขาถึงที่นี่

นางเป็นคนให้ความสำคัญกับรูปโฉมภายนอก ปกติหากต้องปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นจะสวมอาภรณ์งามหรู แต่งหน้าทำผมวิจิตรประณีต แม้แต่นัยน์ตายังต้องเป็นประกายวาววามดุจทองทา แต่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนกว่านางกลับเปลี่ยนไปจนดูผิดหูผิดตา กินอะไรไม่ลงมาหลายวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นกระเซิง ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำและบวมเป่ง นับตั้งแต่เดินเข้ามาข้างใน ริมฝีปากคู่นั้นสั่นสะท้านตลอดเวลาอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ อาภรณ์บนร่างยังหรูหรางดงามก็จริง ทว่าไร้ชีวิตชีวาราวกับสิ้นวิญญาณ เหลือแค่เพียงเปลือกกายกลวงเปล่าเท่านั้น

“ท่านอ๋อง! น้องสาม!” ยามที่ร้องเรียกซู่เซิ่นฮุย น้ำตานางก็พรั่งพรูลงมาเป็นสาย “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที! ข้าน่ะตั้งตารออยู่ทุกคืนวัน ช่วยข้าคิดทีเถิด รีบคิดเร็วเข้า! เจี่ยนเอ๋อร์ยังจะไปที่ใดได้อีก! ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรขัดใจเขาเลย! แต่ข้าทำไปเพื่อตัวเขานะ ข้าหวังดีกับเขาจนหมดหัวใจจริงๆ! เหตุใดเขาถึงไม่ยอมเข้าใจความหวังดีที่ข้ามีต่อเขาบ้าง…”

หยาดน้ำตาไหลทะลักจากดวงตาบวมแดงของไทเฮา นางปัดข้าหลวงที่ช่วยพยุงให้พ้นทางแล้วถลาเข้าไปหาซู่เซิ่นฮุยโดยไม่ห่วงหน้าตา กางนิ้วมือทั้งสิบที่เรียวบางราวกับกิ่งไม้ขยุ้มท่อนแขนเขาไว้แน่นเหมือนเป็นฟางช่วยชีวิตทั้งที่ป่วยซมเหมือนใกล้ตายแล้วแท้ๆ เวลานี้กลับเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ปลายนิ้วจิกผ่านเนื้อผ้าลงบนท่อนแขนแข็งแรงกำยำของบุรุษหนุ่มตรงหน้าโดยแรง

“น้องสาม คิดเร็วเข้าสิ! เจ้าช่วยข้าคิดเร็วเข้า เจ้าต้องช่วยข้าตามหาเจี่ยนเอ๋อร์ให้เจอ! ถือว่าพี่สะใภ้ขอร้องเจ้าแล้ว! เจ้าจะต้อง…” นางชะงักไปเพียงเท่านั้น ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงพลันสะท้อนออกมาทางสายตา “น้องสาม เจ้าว่า…จะเกิดอะไรขึ้นกับเจี่ยนเอ๋อร์หรือไม่! เขาออกนอกวังหลวงไปเพียงคนเดียวนะ! ไม่มีใครติดตามไปด้วยเลย! จะเจอคนชั่วช้าสารเลวหรือไม่ เขาอายุยังน้อย จะเกิดคิดสั้นขึ้นมาหรือไม่…”

นางสั่นเทิ้มไปทั้งตัวจนแทบยืนไม่อยู่

ซู่เซิ่นฮุยข่มความรังเกียจแล้วดึงแขนตนเองออกจากนิ้วที่จับไว้แน่นของอีกฝ่าย สั่งให้คนพาสตรีนางนี้กลับไปพักฟื้นที่ตำหนัก หลันไทเฮาเหมือนได้สติขึ้นเล็กน้อย รีบบอกเขาว่า “น้องสาม เจ้าอย่าได้เข้าใจหลันหรงผิดเด็ดขาด! ทุกอย่างเป็นความคิดของข้าเอง เขาจงรักภักดีต่อราชสำนักอย่างสุดหัวใจ เชื่อฟังน้องสามอย่างยินดีถวายชีวิตให้ ตอนเกิดเรื่องเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงด้วยซ้ำ เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น…”

ซู่เซิ่นฮุยผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทคนหนึ่งของหลิวเซี่ยงกำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้ จึงทิ้งหลันไทเฮาที่ยังละล่ำละลักแก้ต่างเอาไว้แล้วเดินออกจากหอตะวันตก

หลิวเซี่ยงเพิ่งจะตามเขากลับถึงฉางอันก็เข้าร่วมการสืบหาร่องรอยฮ่องเต้น้อยทันที เวลานี้ได้เบาะแสล่าสุดว่ามีคนพบศพที่ตายมาหลายวันลอยขึ้นอืดอยู่ทางตอนเหนือของเมืองที่เป็นปลายน้ำของแม่น้ำเว่ย ทั้งส่วนสูงและอายุใกล้เคียงกับคนที่พวกเขาตามหา แต่เนื่องจากอากาศเริ่มมีความระอุอบอ้าวของฤดูร้อน ศพแช่อยู่ในน้ำมาหลายวัน จึงขึ้นอืดจนใบหน้าบวมเป่งและเสียหาย พวกนั้นไม่กล้าชี้ชัด จึงรีบปิดข่าวทันที แล้วเชิญเขาไปดูด้วยตนเอง

ซู่เซิ่นฮุยเหมือนถูกทุบด้วยค้อน เขารู้สึกหน้ามืด เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาจนชุ่มฝ่ามือ เขาออกจากวังหลวงทางประตูข้าง จากนั้นก็ออกไปนอกเมืองอย่างเงียบเชียบแล้วควบม้าสุดความเร็วมายังจุดที่พบศพลอยน้ำ

กระโจมมิดชิดหลังหนึ่งตั้งรออยู่ตรงริมฝั่ง ทหารกันกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดูอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวออกไป หลิวเซี่ยงคุมคนตั้งแถวรักษาการณ์ตามความยาวของฝั่งน้ำ พอเห็นเขาควบม้ามาแต่ไกลก็วิ่งออกมารับหน้า

ซู่เซิ่นฮุยก้าวเข้าไปในกระโจมริมน้ำ ศพที่มีผ้าคลุมปรากฏสู่สายตาทันที

เขาหยุดชะงักตรงประตูกระโจม รู้สึกเหมือนก้าวขาต่อไม่ออก จ้องมองอยู่สักพัก ในที่สุดก็สามารถตั้งสติขยับเท้าเดินต่อไปจนถึงศพนั้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งยองๆ เอื้อมมือไปเลิกผ้าคลุมศพขึ้นอย่างเชื่องช้า

หลิวเซี่ยงรออยู่ข้างนอกด้วยหัวใจหนักอึ้ง นึกไม่ออกเลยว่าหากศพในกระโจมตอนนี้เป็นฮ่องเต้น้อยจริง สถานการณ์ในราชสำนักจะดำเนินไปสู่ทิศทางใด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในรูปแบบใด…ระหว่างความคิดกำลังฟุ้งซ่านก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกมาจากในกระโจม

ร่างคุ้นเคยเดินออกมาจากข้างใน เขารีบก้าวเข้าไปหา แต่ไม่กล้าถามอะไรทั้งสิ้น ได้แต่มองฝ่ายตรงข้าม

อ๋องผู้สำเร็จราชการส่ายศีรษะให้นิดๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลิวเซี่ยงเห็นดังนั้นก็เข้าใจ เขาพรูลมหายใจยาวเหยียด จากนั้นก็ยืนส่งเจ้านายเดินออกไป ก่อนจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาถอนกระโจม พร้อมกันนั้นยังให้ผู้ว่าการฉางอันมารับช่วงจัดการศพลอยน้ำนิรนามต่อ

ซู่เจี่ยนได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เกิด ผิวกายจึงขาวผ่องเนียนละเอียด ทว่าบนขามีรอยแผลเป็นถูกไฟคลอกอยู่จุดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากตอนเล่นไฟแล้วเผลอทำไหม้ตัวสมัยเด็กๆ ศพนั้นขึ้นอืดจนจำสภาพเดิมไม่ได้ แช่น้ำมานานจนผิวบวมเป่งก็จริง แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียดก็หารอยแผลเป็นนั้นไม่เจอ

ศพนั่นไม่ใช่หลานชายเขา

ซู่เซิ่นฮุยเดินกลับไปที่อาชา ใครบางคนกำลังเร่งควบม้ามาจากทิศทางตรงข้ามในจังหวะนั้น พอเห็นเขาก็รีบตวัดตัวลงมาทั้งที่ม้ายังหยุดไม่สนิทแล้ววิ่งเต็มเหยียดมาหาเขาต่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะโดยแรง

“กระหม่อมมีความผิดมหันต์! ผิดจนควรตายสักหมื่นครั้งพ่ะย่ะค่ะ!”

หลันหรงตามมาถึงที่นี่

พอได้รู้ข่าวว่าฮ่องเต้น้อยหายตัวไปเขาก็รีบกลับจากสุสานหลวงที่ตนควบคุมงานอยู่ทันที ช่วงที่ผ่านมาเขานำกำลังคนออกค้นหาทั้งเหนือใต้ออกตก ไม่ได้หลับตานอนติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว เวลานี้สีหน้าจึงหมองคล้ำอิดโรย ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าหน้าผากถลอกเลือดไหลเพราะโขกลงกับก้อนกรวดริมตลิ่งเมื่อครู่

“กระหม่อมมีความผิดมหันต์…”

เขาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงสั่นเครือระหว่างคุกเข่าตรงหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการ พอสายตาเหลือบมองไปเห็นกระโจมริมน้ำ ความพรั่นพรึงก็ฉายขึ้นในแววตา “ท่านอ๋อง ข้างในนั้น…”

หลันหรงเงียบไป ไม่มีความกล้าจะถามต่อให้ครบประโยค

ซู่เซิ่นฮุยมีสีหน้าสงบเยือกเย็นลึกล้ำดุจห้วงน้ำลึก หลังจากที่ยืนหลุบตามองฝ่ายตรงข้ามได้สักพัก ในที่สุดก็ขยับปากตอบเสียงเรียบ “ไม่ใช่”

หลันหรงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเหมือนทรงตัวไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อได้ยินคำตอบ ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเดินผ่านร่างตนเองไป จึงรีบปลุกปลอบใจลุกขึ้นไล่ตามไปคุกเข่าขวางหน้าชายหนุ่มไว้อีกครั้ง

“ท่านอ๋อง! เรื่องมาถึงขั้นนี้ กระหม่อมทราบดีว่าโทษทัณฑ์ของตนร้ายแรงนัก ทุกอย่างเป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมจะไม่ขอแก้ต่างให้ตนเองแต่อย่างใด เพียงแต่อยากทูลคำเดียว นั่นคือกระหม่อมไม่เคยบังอาจคิดเห่อเหิมอยากให้บุตรสาวตนเองเป็นฮองเฮาเลย หากท่านอ๋องไม่ทรงเชื่อ กระหม่อมยินดีสาบานว่าแม้นกระหม่อมกล่าววาจาเท็จเพียงครึ่งคำ…”

พูดมาถึงตรงนี้ก็หันหน้าเข้าหาแม่น้ำเว่ย ลั่นสัตย์สาบานต่อสายน้ำที่ไหลเชี่ยวไปข้างหน้า “ขอให้หลันหรงตายตกอยู่ใต้ลำน้ำเว่ยแห่งฉางอันนี้ ถูกปลากัดกินศพ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดชั่วกัลปาวสาน!”

ซู่เซิ่นฮุยผินหน้ามาสบตาฝ่ายตรงข้ามครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “แม่ทัพหลันลุกขึ้นเถิด เรื่องสำคัญเร่งด่วนยามนี้คือต้องหาคนให้เจอก่อน”

หลันหรงรีบโขกศีรษะอีกครั้งแล้วลุกขึ้นรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”

ซู่เซิ่นฮุยกลับเข้าวังหลวงตอนฟ้ามืด วันนี้มีข่าวส่งมาจากที่ต่างๆ ไม่ขาดสาย ทว่ายังคงไร้ความคืบหน้าเหมือนเดิม ทางตำหนักหลันไทเฮาแจ้งมาว่าเนื่องจากนางตรอมใจสิ้นหวังและไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวัน พอกลับไปถึงตำหนักอารมณ์ก็พลุ่งพล่านจนหมดสติไปอีกครั้ง หมอหลวงกำลังรักษาอยู่ จากนั้นก็มีรายงานว่าเหล่าขุนนางใหญ่รู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาถึงวันนี้ก็พากันมาขอพบ ทั้งที่เวลานี้ประตูวังหลวงปิดไปนานแล้วก็ยังรวมตัวกันอยู่ข้างนอก เสียนอ๋องกับฟางชิงที่รู้ข่าวมาช่วยพูดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเพิ่งกลับมาจากเสด็จประพาสแดนใต้ ยังเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ขอให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปก่อน แต่ไม่มีใครยอมฟัง ยังคงรวมตัวกันหน้าประตูวังหลวงที่ปกติใช้เข้ามาประชุมช่วงเช้า

ซู่เซิ่นฮุยสั่งให้เปิดประตูปล่อยคนเหล่านั้นเข้ามา

หลี่เสียงชุนกับจางเป่าเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ซู่เซิ่นฮุยหลับตายืนหน้าคันฉ่องทองคำบานใหญ่ที่ขัดเสียจนเงาวับ เขายืนนิ่งงันไม่ขยับ สุดท้ายหลี่เสียงชุนใช้สองมือประคองหมวกขึ้นวางบนศีรษะเขาอย่างมั่นคง

“ท่านอ๋อง เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสูงวัยบอกเบาๆ

เขาลืมตาขึ้น แล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที ไม่ได้มองเงาสะท้อนของตนเองในบานคันฉ่องด้วยซ้ำ

แม้จะดึกมากแล้ว ตำหนักเซวียนเจิ้งในวังหลวงเวลานี้ก็ยังจุดตะเกียงสว่างไสว ขุนนางฝ่ายปกครองส่วนกลางและขุนนางเมืองหลวงขั้นสี่ขึ้นไปหลายสิบคนกำลังรวมตัวกันที่นี่ บ้างหลับตายืนตรงที่ของตนตามลำพัง บ้างจับกลุ่มเล็กถกประเด็นกันเบาๆ

“อ๋องผู้สำเร็จราชการเสด็จ” เมื่อขันทีร้องประกาศ เสียงต่างๆ ที่ดังอึงมี่อยู่ภายในตำหนักก็สงัดเงียบลงทันควัน ทุกคนรีบแยกย้ายกลับประจำที่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย พอหันไปมองก็เห็นร่างคุ้นตาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูตำหนัก

อ๋องผู้สำเร็จราชการที่เพิ่งกลับเมืองหลวงเมื่อตอนกลางวันมาถึงแล้ว เขาสวมชุดราชสำนัก เดินเข้ามาในตำหนักด้วยย่างก้าวหนักแน่นมั่นคงเหมือนปกติ แล้วก้าวขึ้นนั่งประจำตำแหน่งท่ามกลางสายตามากมายที่มองมาจากรอบด้าน

เหล่าขุนนางคำนับเขาอย่างพร้อมเพรียง

ชายหนุ่มนั่งตัวตรงสง่าใต้แสงตะเกียงที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวัน สีหน้าสุขุมเคร่งขรึม ท่าทางกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา

ฮ่องเต้น้อยไม่ปรากฏตัวติดต่อกันหลายวัน แม้วังหลวงจะให้เหตุผลว่าเจ้าตัวป่วยเป็นโรคร้ายจนไม่อาจออกมาพบเจอผู้คน ทว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาข่าวโคมลอยก็ยังเริ่มแพร่สะพัดในราชสำนักอย่างลับๆ มีคนสงสัยกันว่าบางทีอาจเกิดเหตุเหนือความคาดหมายที่ไม่อาจพูดออกมาได้ขึ้นกับฮ่องเต้น้อย และเหตุเหนือความคาดหมายนี้อาจส่งผลต่อความมั่นคงของแผ่นดิน

นั่นเพราะมีการเรียกใช้ทหารหกกองกำลังเป็นจำนวนมาก ความเคลื่อนไหวระดับนี้ต่อให้อยากเก็บเป็นความลับโดยอ้างว่า ‘ออกมาลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยตามปกติ’ ก็ไม่มีทางที่จะไม่สร้างความแตกตื่น ทุกคนอดตระหนกไม่ได้ ที่ยิ่งกว่านั้นคือนึกหวาดกลัวขึ้นมา

แต่บัดนี้เมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการกลับเมืองหลวงและปรากฏตัวให้เห็น ราชสำนักเวลานี้นอกจากฮ่องเต้น้อยซึ่งอยู่ในฐานะสูงกว่าเจ้าตัวก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากปกติทั้งสิ้น รูปการณ์เช่นนี้เป็นเสมือนยาสงบจิตใจที่ถูกเหล่าขุนนางจำนวนมากในตำหนักกินเข้าไป ความร้อนรนและความหวาดวิตกที่มีมาก่อนหน้าเบาบางลงทันที…

บางคนใจกล้าหน่อย พอรู้สึกโล่งใจแล้วก็คิดต่อไปว่าหากเกิดเหตุร้ายแรงปานฟ้าถล่มดังที่คาดไว้ แล้วอ๋องผู้สำเร็จราชการได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างราบรื่น ความจริงก็ไม่มีผลกระทบต่อราชสำนักแม้แต่นิดเดียว

หลายต่อหลายคนในที่นี้เคยได้ยินข่าวลือในอดีตว่าดูเหมือนสมัยฮ่องเต้เซิ่งอู่ยังมีพระชนม์ชีพได้เคยพิจารณาจะยกราชสมบัติแก่อันเล่ออ๋องอยู่เช่นกัน ทว่าในตอนนั้นฮ่องเต้หมิงตี้ซึ่งยังดำรงศักดิ์เป็นรัชทายาทชนะใจผู้คนได้อย่างล้นหลาม ทั้งยังรักใคร่สมัครสมานกับน้องชายคนนี้ดี ไม่มีจุดบกพร่องใดๆ ฮ่องเต้เซิ่งอู่จึงล้มเลิกความคิดนั้น

ถึงจะพูดจาจาบจ้วงสักหน่อย ต่อให้เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข่าวลือไม่มีมูล แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับฮ่องเต้น้อยผู้ครองบัลลังก์ในปัจจุบันแล้ว หากแผ่นดินตกอยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการอาจเป็นผลดีแก่ต้าเว่ยยิ่งกว่าด้วยซ้ำ…

เดิมทีเหล่าขุนนางล้วนแต่รู้สึกกระสับกระส่ายคลางแคลงใจ จึงแห่กันมาขอเข้าเฝ้า แต่บัดนี้หลังจากคำนับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องบนแล้วได้ยินเจ้าตัวถามว่ามาชุมนุมกันกลางดึกด้วยเรื่องใด ทุกคนก็เหลียวมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครยอมพูดอะไรสักคน สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้า

ซู่เซิ่นฮุยกล่าว “ข้ารู้ว่าเหตุใดขุนนางผู้ใหญ่ทุกท่านถึงได้มารวมตัวกัน ระหว่างทางกลับเมืองหลวงข้าเองก็ได้ข่าวว่าฝ่าบาทประชวร ด้วยความเป็นห่วงพระอาการจึงได้เร่งเดินทางกลับมา เวลานี้ยังรักษาพระอาการของฝ่าบาทให้หายไม่ได้ หมอหลวงบอกว่าโรคนี้อาจติดคนรอบตัว ฝ่าบาทจึงมิได้เสด็จออกว่าราชการต่อเนื่องกันหลายวัน จนบัดนี้ก็ยังทรงพักฟื้นพระวรกายอยู่”

เขาพูดต่อไป “ขุนนางใหญ่ทุกท่านเป็นห่วงพระอาการ ข้อนี้ข้าเข้าใจได้ เพียงแต่…”

ดวงตาคมกวาดมองกลุ่มคนที่ยืนเงียบอยู่เบื้องหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนไปทันควันโดยไม่เว้นช่วง “เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าที่พวกท่านมารวมตัวกันในคืนนี้ไม่ใช่เพราะห่วงใยอาการประชวรของฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุอื่นด้วย”

ยังคงไม่มีใครส่งเสียง ทว่าแต่ละคนใจคอไม่ดีไปตามๆ กัน นอกจากเสียงของเขาแล้ว ภายในตำหนักโอ่โถงก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก

“จริงอยู่ว่าฝ่าบาทประชวรจนมิอาจสะสางราชกิจ ทว่าในราชสำนักยังมีเสียนอ๋องกับราชเลขาธิการที่ข้าได้มอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาราชการก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวง ทั้งสองทุ่มเทแรงกายแรงใจเกื้อกูลฝ่าบาท ประคับประคองราชสำนัก เท่าที่ข้าดูวันนี้ก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาทำให้งานสำคัญระดับแผ่นดินของทุกท่านล่าช้า หรือราชสำนักจ่ายเบี้ยหวัดให้น้อยลงหรืออย่างไร ทุกท่านถึงได้ทำตัวหูหนวกสายตามืดบอด หลงเชื่อข่าวลือที่ไม่รู้ว่ามาจากคนใจต่ำทรามคิดร้ายหรือไม่ จนถึงกับมารวมตัวหน้าวังหลวง รบกวนฝ่าบาทในยามวิกาล หรือว่าพวกท่านแต่ละคนอยากเป็นตัวก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมืองกันเล่า”

น้อยครั้งจะได้เห็นเขาทำหน้าเคร่งขรึม วิพากษ์วิจารณ์ขุนนางด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้ พูดจบก็ลุกขึ้นยืน กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเฉียบขาด “หากคืนนี้ข้าไม่ออกมา ขุนนางใหญ่ทุกท่านคิดจะอาศัยความเป็นคนหมู่มากปักหลักยืนอยู่หน้าวังหลวงเพื่อปั่นป่วนราชสำนักใช่หรือไม่”

นอกจากจะละอายแก่ใจเพราะคำติเตียนของเขา ทุกคนยังพรั่นใจเสียไม่มีดี พอสิ้นเสียงชายหนุ่มขุนนางทั้งตำหนักก็ทิ้งตัวคุกเข่าขออภัยโทษเป็นทิวแถว แจกแจงว่าพวกตนมิได้มีเจตนาร้าย ที่มาขอเข้าเฝ้าในยามวิกาลคืนนี้ นอกจากจะเป็นห่วงอาการประชวรของฮ่องเต้ ยังร้อนใจอยากรู้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเสด็จประพาสแดนใต้ครานี้ได้ผลเช่นไร

ซู่เซิ่นฮุยเก็บความเคร่งเครียดบนใบหน้าลงไป ปล่อยให้เหล่าขุนนางแสดงจุดยืนจนเสร็จ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ กลับไปนุ่มนวลดังเดิม “การประพาสแดนใต้ครานี้ราบรื่นอย่างมาก รายละเอียดเป็นเช่นไร เมื่อขบวนใหญ่กลับถึงเมืองหลวงแล้วย่อมเขียนออกมา เมื่อถึงตอนนั้นทุกท่านก็จะได้ทราบกันถ้วนหน้า หากคืนนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้วก็แยกย้ายเถิด นี่ก็ดึกเต็มที พรุ่งนี้ยังมีประชุมราชสำนักอีก”

เหล่าขุนนางใหญ่สงบเสงี่ยมปานจักจั่นกลางฤดูเหมันต์ ส่งเสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็คำนับเขา แล้วออกจากตำหนักเซวียนเจิ้ง ระหว่างเดินออกจากวังหลวงไม่มีใครเอียงหน้าซุบซิบกันอีกเลย แต่ละคนปิดปากเงียบ พอเดินพ้นประตูวังก็แยกย้ายทางใครทางมัน มุ่งหน้ากลับจวนตนเอง

วังหลวงใต้ม่านรัตติกาลกลับคืนสู่ความเงียบสงบตามปกติอีกคำรบ

ซู่เซิ่นฮุยยืนอยู่ในตำหนักโอ่อ่าเวิ้งว้างตามลำพังพักใหญ่ ก่อนจะเดินไปห้องทรงพระอักษรของหลานชาย

ปกติหลังเลิกประชุมราชสำนักซู่เจี่ยนจะมานั่งตรวจอ่านฎีกาในนี้ หลังข้าหลวงจุดตะเกียงให้ เขาก้าวเข้าไปข้างในช้าๆ กวาดตามองตามโต๊ะ เก้าอี้ ตั่ง หนังสือ หมึกและพู่กัน ภาพอดีตสมัยที่หลานชายเพิ่งสืบราชสมบัติใหม่ๆ ผุดขึ้นตรงหน้า เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือเงยหน้าขึ้นมาโอดครวญกับเขาว่าเบื่อหน่ายงานราชกิจเต็มที ภาพความทรงจำนั้นทำให้หัวใจของซู่เซิ่นฮุยหนักอึ้ง

เป็นความผิดของเขาเอง การอบรมเลี้ยงดูของเขาผิดพลาด

หากตอนตอบจดหมายเขาลดการสั่งสอนแบบผู้ใหญ่ลง พยายามเข้าใจถึงความร้อนรนกังวลใจของเด็กหนุ่มให้มากกว่านี้ แล้วบอกไปตรงๆ ว่าจะไม่ยอมให้การแต่งตั้งบุตรสาวสกุลหลันเป็นฮองเฮาเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ไม่แน่หลานชายอาจไม่ฟุ้งซ่านจนวู่วามทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไป

ซู่เซิ่นฮุยระงับความรู้สึก ตั้งสติเริ่มสำรวจห้องทรงพระอักษร หวังจะได้พบเบาะแสที่บ่งชี้ว่าเจ้าตัวไปที่ใด ทว่าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ตอนนั้นฮ่องเต้น้อยหนีไปด้วยความโกรธ ไม่ได้ทิ้งข้อความใดๆ ไว้ทั้งสิ้น

แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ซู่เจี่ยนหนีไปตามลำพังคนเดียว แต่ไม่ได้ไปหาเขา ยังจะไปที่ใดได้อีกนะ

ระหว่างยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ใครคนหนึ่งพลันวาบเข้ามาในความคิด ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน

หรือเด็กหนุ่มจะกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นดั้นด้นเดินทางคนเดียวถึงเยี่ยนเหมินเพื่อไปพึ่งพานาง?

หลังจากหญิงสาวกลับมาอยู่ในเมืองหลวงช่วงก่อนไปแดนใต้ ท่าทีที่ซู่เจี่ยนมีต่อนางก็ผิดกับตอนแรกราวกับเป็นคนละเรื่อง

เขาสะกดความคิดเหลวไหลที่ผุดขึ้นในใจเอาไว้แล้วหลับตาทบทวนความทรงจำตอนที่หลานชายไปส่งตนและนางออกจากวังหลวง จำได้ว่านางอยู่บนรถม้าแล้วอยู่ๆ ซู่เจี่ยนก็เดินไปหาถึงหน้ารถ นัดแนะว่าเมื่อนางกลับเมืองหลวงให้มาลับฝีมือกับตนเองสักตั้ง ตอนนั้นเขายืนอยู่อีกด้าน เห็นชัดถนัดตาว่าหลานชายมีท่าทางอาลัยอาวรณ์เพียงไร

หัวใจเขาพลันเต้นตึกตัก เลือดเย็นเฉียบในกายเหมือนถูกอะไรปั่นป่วนให้ฉีดพล่านโดยแรง แม้แต่โคนผมยังแผ่ไอร้อนวูบวาบ

ซู่เซิ่นฮุยลืมตาขึ้น เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของฮ่องเต้น้อย ฎีกาที่เพิ่งส่งเข้ามาวันที่เจ้าตัวหนีไปยังวางกองอยู่ตรงนั้น เขาพลิกดูอย่างว่องไว เพิ่งจะเปิดดูเล่มแรก สายตาก็ตรึงนิ่งอยู่กับที่

เป็นรายงานการศึกจากเยี่ยนเหมิน! บอกว่าแม่ทัพฉางหนิงใช้เส้นทางเดินทัพทางเหนือทะลุผ่านอาณาเขตศัตรูสำเร็จ เวลานี้เคลื่อนพลถึงเมืองเฟิงเยี่ยอย่างราบรื่น

“ใครก็ได้ เข้ามาซิ!”

ชายหนุ่มพลันหันไปตะโกนเรียกเสียงดัง

 

วันรุ่งขึ้นมีความคืบหน้าจากหลิวเซี่ยง บอกว่าคนของตนเร่งไปสอบถามจุดพักม้าตามรายทางจากฉางอันไปเยี่ยนเหมิน จุดพักม้าทุกแห่งในเขตเมืองหลวงไม่พบเหตุผิดปกติ แต่พอพ้นรัศมีฉางอันเข้าเขตหัวเมืองทางเหนือกลับพบเบาะแสบางอย่าง เมื่อสิบกว่าวันที่แล้วมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งควบม้าเข้ามาในจุดพักม้าอู่พัวกลางดึก พร้อมหนังสือคำสั่งจากวังหลวงให้จุดพักม้าตามรายทางดูแลและสนับสนุนม้ารวมถึงข้าวของจำเป็นอย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มอ้างว่าตนได้รับมอบหมายงานสำคัญจากราชสำนัก ต้องเร่งควบม้าขึ้นเหนือ เจ้าหน้าที่ประจำจุดพักม้ารู้สึกว่าคนผู้นี้อายุน้อยไปหน่อยก็จริง ทว่าบุคลิกมีสง่าราศี ซ้ำตราประทับในหนังสือก็ถูกต้องทุกประการ ไม่มีทางปลอมแปลงขึ้นมาได้ จึงคิดว่าเป็นคนที่ราชสำนักส่งมาทำภารกิจลับจริงๆ และไม่กล้าถามซอกแซก ได้แต่รีบจัดเสบียงและเปลี่ยนม้าฝีเท้าเยี่ยมให้ตามคำขอ แล้วส่งเด็กหนุ่มจากไป

สุดท้ายหลิวเซี่ยงบอกว่ารูปร่างหน้าตาตามคำบรรยายของเด็กหนุ่มที่เดินทางขึ้นเหนือคนนั้นตรงกับฮ่องเต้น้อยจริงๆ

ซู่เซิ่นฮุยตั้งสติแล้วออกจากวังหลวงไปจวนเสียนอ๋องโดยไม่รอช้า

เขากลับเข้าวังหลวงอีกครั้งในครึ่งคืนหลัง ตระเตรียมการเล็กน้อย จากนั้นในยามโฉ่วก็นำผู้ติดตามควบม้าออกจากวังหลวงโดยไม่หยุดพัก ย่ำแสงจันทร์มุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มความเร็ว

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: