X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 91-92

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 91

หลังเปิดศึก เจียงจู่วั่งยกทัพพิชิตเมืองไต้อย่างรวดเร็วด้วยตนเอง แล้วตั้งค่ายใหญ่ขึ้นในบริเวณนี้

เขารับหน้าที่หลายตำแหน่ง ทั้งคอยต้านทัพเป่ยตี๋จากมณฑลซั่วโจวและเหิงโจวซึ่งอยู่ทางซ้าย ทัพกลางของต้าเว่ยจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งรับผิดชอบป้องกันเยี่ยนเหมิน พร้อมกันนั้นในฐานะผู้บัญชาการใหญ่ของสงครามครั้งนี้เขายังต้องคอยติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์การศึกทั้งหมดในทุกชั่วขณะ เพื่อปรับกลยุทธ์รับมืออย่างทันท่วงทีและรู้แนวทางกำกับการรบโดยรวม ทุกๆ วันจะมีหน่วยสอดแนมสามร้อยนายทำหน้าที่สืบข่าว ม้าเร็ววิ่งรอกระหว่างกระโจมจอมทัพกับกระโจมผู้บัญชาการทัพกลางและทัพขวา ให้เขาได้รับข่าวสารและถ่ายทอดคำสั่งลงไปในเวลาอันสั้นที่สุด

นับแต่เปิดศึกมา เขาทำศึกไปหลายระลอกแล้ว ทัพตี๋ในมณฑลซั่วโจวและเหิงโจวรู้ว่าเขามานั่งบัญชาการด้วยตนเองก็ไม่กล้าเคลื่อนทัพใหญ่มาประชิด สถานการณ์ยังนับว่าสงบนิ่ง

หลายวันก่อนเขาเพิ่งได้รับรายงานการศึกล่าสุดจากทัพขวา ทัพใหญ่ภายใต้การนำของโจวชิ่งกับจางมี่ที่มีแปดดินแดนเป็นกองหนุน บัดนี้การศึกกำลังคืบหน้าอย่างมั่นคง ได้เคลื่อนพลเข้ามณฑลโยวโจวแล้วอย่างราบรื่น

ถัดมาในวันนี้รายงานด่วนจากทัพกลางที่เขาเฝ้ารอมาหลายวันก็ส่งมายังกระโจมใหญ่แล้วเช่นกัน

ด้วยระยะเวลาเดือนกว่า หลังติดค้างอยู่ในขั้นตอนประจันหน้าจนหาทางออกไม่เจอ ในที่สุดทัพกลางก็ตีด่านเทียนกวนแตก ยึดก่วงหนิง และเข้าควบคุมมณฑลเยียนโจวสำเร็จ

ชัยชนะใหญ่ครานี้เป็นผลงานเชิดหน้าชูตาได้เลยทีเดียว แน่นอนว่าต้องรายงานราชสำนักทันทีเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิม ผิดกับเหล่าเสนาธิการและรองแม่ทัพที่กำลังตื่นเต้นยินดีอยู่รอบตัว เจียงจู่วั่งหวนคืนสู่ความเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว

ในฐานะแม่ทัพเก่าแก่ที่กรำศึกมาช้านาน ชัยชนะเช่นนี้ไม่อาจทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เลย

ชีวิตของเขาผ่านอะไรมาเยอะนัก

ไม่ว่าสงครามครั้งใดก็ตาม ก่อนเปิดฉากรบพุ่งจะสามารถมององค์รวมเพื่อประเมินกำลังของทั้งสองฝ่ายได้เสมอว่าฝ่ายใดได้เปรียบกว่า จากนั้นก็วิเคราะห์หาข้อสรุปว่าจะเปิดศึกได้หรือไม่ ทว่าพอถึงคราวรบจริง แต่ละศึกไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น สถานการณ์พลิกผันได้ในพริบตาเดียว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น หากเพลี่ยงพล้ำแม้เพียงนิดก็จะส่งผลกระทบต่อผลของสงครามโดยรวม ไม่ใช่ว่าเขาวิตกกังวลไปเองโดยใช่เหตุ

หลังมอบหมายให้คนนำรายงานชัยชนะไปส่งราชสำนัก เจียงจู่วั่งก็เดินมายืนหน้าแผนที่และกระบะทรายที่ใช้ในการรบตามความเคยชิน แล้วเหม่อมองจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนนั้น

เป้าหมายปลายทางของสงครามครั้งนี้คือตีเมืองหลวงใหม่ของเป่ยตี๋ให้แตก และขับไล่พวกเป่ยตี๋กลับไปสู่ราชสำนักทางเหนือดั้งเดิม มณฑลโยวโจวและเยียนโจวถือเป็นสวนดอกไม้หลังบ้านและแนวปราการของเมืองหลวงใหม่นี้ เวลานี้เป่ยตี๋เสียมณฑลเยียนโจวไปแล้ว ส่วนมณฑลโยวโจวเป็นที่ตั้งของจวนหนานอ๋องเดิมของชื่อซู เจ้าตัวปกครองที่นั่นมานานปี ถัดจากนี้จะต้องตอบโต้ทัพต้าเว่ยโดยไม่สนใจว่าจะสูญเสียอะไรบ้างเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้

สำหรับกำลังรบของเป่ยตี๋และชื่อซูที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ เจียงจู่วั่งไม่กล้าดูเบาแม้แต่นิดเดียว

ชัยชนะในเยียนโจวเป็นเพียงการเริ่มต้นอย่างสวยงามเท่านั้น หลังจากนี้ยังมีศึกแล้วศึกเล่าที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ รอให้พิชิตอย่างต่อเนื่อง

แต่แม้จะรอบคอบระมัดระวังอย่างไร เจียงจู่วั่งก็ยังมั่นใจเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่ต้น

เขาเชื่อมั่นในผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ทางราชสำนักก็ยังมีอ๋องผู้สำเร็จราชการคุมอยู่ ขอเพียงการรบที่แนวหน้าดำเนินไปอย่างมั่นคง แนวหลังคอยหนุนอย่างหนักแน่น การคาดหวังว่าจะปิดฉากสงครามนี้ได้ในช่วงกลางปีก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ไกลเกินจริง

เขาดึงธงจิ๋วที่ปักค้างอยู่ตรงตำแหน่งก่วงหนิงในกระบะทรายมาหลายวัน ย้ายไปปักตำแหน่งที่เป็นเมืองเยียนแทน ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นที่หน้ากระโจม

มือข้างที่ยังไม่ได้ดึงกลับมาของเจียงจู่วั่งค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดวาบขึ้นในใจ

เขาสัมผัสความร้อนรนได้จากเสียงฝีเท้านั้น

อึดใจต่อมาเสียงตะโกนก็ดังเข้าหู “ท่านแม่ทัพ เกิดเรื่องแล้วขอรับ! มีรายงานด่วนจากด่านซีกวน…”

หลังจากทางนี้เปิดศึก ด่านซีกวนที่ต้องคอยช่วยสนับสนุนเยี่ยนเหมินก็เตรียมงานที่เกี่ยวข้องเอาไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้า ได้สร้างแนวป้องกันอันแน่นหนาไว้ที่นอกด่านโดยใช้เมืองอวิ๋นลั่วเป็นศูนย์กลาง

เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แนวป้องกันที่เมืองอวิ๋นลั่วจะแตกก่อนก็เป็นข้อเท็จจริงที่คาดเดาได้

ทว่า…เหตุใดแนวป้องกันที่เมืองอวิ๋นลั่วถึงแตกได้ไวเพียงนี้

หากมีการรบพุ่งกัน ทางเขาย่อมต้องได้รับข่าวอยู่แล้ว ทว่าก่อนหน้านี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่นิดเดียว

เจียงจู่วั่งเดินจ้ำออกจากกระโจม เห็นองครักษ์ประจำตัวกำลังพาคนเดินสารวิ่งเข้ามา เสื้อผ้าบนร่างคนผู้นั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนเป็นสีดำ สีหน้าอิดโรย ดูตื่นตระหนกลนลาน พอเห็นเขาก็ทรุดฮวบลงคุกเข่าอย่างทรงตัวยืนไม่อยู่

“ท่านแม่ทัพใหญ่! เยียนเฉิงไปเข้ากับเป่ยตี๋! แม่ทัพหลิวบาดเจ็บสาหัสขอรับ!”

เจียงจู่วั่งหยุดยืนอยู่กับที่อย่างตะลึงงัน ก้าวขาต่อไม่ออก

คนเดินสารตั้งสติ รายงานต่อไปว่าเยียนเฉิงฉวยโอกาสในตอนกลางคืนแอบปล่อยทัพเป่ยตี๋เข้ามา ให้ซุ่มซ่อนกำลังพลอยู่นอกด่านตอนกลางดึก ซ้ำยังพยายามหลอกทหารยามให้เปิดประตูด่าน อ้างว่าจะส่งจดหมายออกไป โชคดีฝานจิ้งรีบรุดตามมาห้ามไว้ได้ทันท่วงที จึงยับยั้งหายนะไว้ได้ ทว่าด่านซีกวนถูกทัพใหญ่ปิดล้อม ประกอบกับการป้องกันเป็นไปอย่างฉุกละหุก จึงเกือบพลาดท่าถูกข้าศึกตีแตก หลิวไหวหย่วนนำทัพออกต้านศึกอย่างองอาจกล้าหาญจนสามารถชิงแนวป้องกันกลับมาได้ ทว่าตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จนบัดนี้ยังนอนไม่ได้สติ

“เวลานี้ด่านซีกวนตกอยู่ในภาวะคับขัน ได้แต่อาศัยแม่ทัพฝานกับแม่ทัพนายกองที่เหลือต้านศึกอย่างสุดกำลัง ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดออกคำสั่งช่วยเหลือโดยด่วนด้วยเถิดขอรับ!”

คนเดินสารมอบจดหมายจากฝานจิ้งให้เขา ก่อนทิ้งตัวลงไปคลานกับพื้นอย่างหมดแรง ร้องไห้สะอึกสะอื้น

เหล่ารองแม่ทัพในค่ายที่ได้ยินข่าวและมารวมตัวกันตรงนี้ล้วนแต่หันไปมองแม่ทัพใหญ่อย่างตกตะลึงพรึงเพริด

เจียงจู่วั่งเปิดจดหมายอย่างรวดเร็ว พออ่านเสร็จก็ถึงกับมือสั่น ก่อนจะตกลงไปแนบลู่ข้างลำตัวอย่างอ่อนแรง เขาหลับตาแน่นด้วยสีหน้าหม่นหมองร้าวราน ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับกลายเป็นรูปสลักไปแล้ว

ความแช่มชื่นยินดีเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นเพราะชัยชนะของทัพกลาง มาบัดนี้อันตรธานไปสิ้น

ด่านซีกวนและเยี่ยนเหมินทำงานประสานกัน เป็นดั่งเขาคู่ที่ปกป้องฉางอันเมืองหลวงของต้าเว่ยจากทางเหนือ

ทิศใต้ของด่านซีกวนคือด่านเซียวกวน ซึ่งถูกมองเป็นประตูอุดรของฉางอันมาตั้งแต่โบราณ

หากรักษาด่านซีกวนไว้ไม่ได้ ด่านเซียวกวนจะกลายเป็นปราการทางเหนือชั้นสุดท้ายของฉางอัน ที่นั่นมีระยะห่างเป็นเส้นตรงจากเมืองหลวงไม่ถึงพันหลี่

กองทัพเป่ยตี๋รุกประชิดด่านเซียวกวนเมื่อใด ย่อมสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อความปลอดภัยของฉางอัน

ในเวลาชี้ชะตาเช่นนี้ เมืองอวิ๋นลั่วที่ไม่ควรเกิดปัญหามากที่สุดกลับทรยศต้าเว่ย

ต่อให้ต้าเว่ยพิชิตโยวโจวและเยียนโจวได้ แต่หากฉางอันตกอยู่ในมือศัตรู ชัยชนะนี้จะมีความหมายอะไรเล่า

ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

เสียงร้องไห้ของคนเดินสารค่อยๆ สงบลงทีละน้อย

หน้ากระโจมเนืองแน่นด้วยทหาร ทว่าเงียบกริบราวกับป่าช้า

ระหว่างความเงียบที่น่าอึดอัดทรมานไม่ต่างจากความตายนี้ เจียงจู่วั่งพลันลืมตาขึ้น

ทันทีที่ลืมตา สีหน้าของเขาได้กลับไปเคร่งขรึมเหมือนยามปกติทุกประการ

ทหารที่อยู่รอบด้านได้ยินเขาใช้น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงเรียกชื่อแม่ทัพสองนาย เจ้าของชื่อทั้งสองรีบก้าวออกมาคุกเข่าข้างเดียวลงกับพื้น รอฟังคำบัญชา

แม่ทัพใหญ่มอบหมายให้ทั้งคู่นำกำลังพลสองในสามของทัพซ้ายเร่งรุดไปช่วยด่านซีกวนให้เร็วที่สุด

สั่งให้ทัพขวาของโจวชิ่งและจางมี่รุกตีต่อ เป้าหมายไม่ใช่การพิชิตมณฑลโยวโจว แต่เป็นการยื้อกำลังทหารเป่ยตี๋ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

สั่งให้ทัพกลางเปลี่ยนแผนจากรุกเป็นเฝ้าระวัง ระงับแผนการที่มีต่อมณฑลโยวโจวลงก่อน

สั่งให้เจียงหานหยวนรีบไปรับช่วงแทนหลิวไหวหย่วนโดยด่วน

สั่งให้จ้าวผูแบ่งกำลังทหารอย่างเหมาะสม เน้นการรักษาพื้นที่มณฑลเยียนโจวที่ชิงมาได้เป็นอันดับแรก แล้วส่งกำลังพลที่เหลือไปช่วยด่านซีกวน

“ทหารทั้งหมดฟังคำสั่ง!”

หลังสั่งการเป็นขั้นเป็นตอนติดกันหลายข้อ เขาก็เปล่งเสียงสูงขึ้น

“นับแต่นี้ไปจงเตรียมการออกรบทั้งกลางวันกลางคืน เตรียมใจพร้อมตายในสมรภูมิ ร่วมกันพิทักษ์ปกป้องเยี่ยนเหมินด้วยกันกับข้า!”

หลังเจียงจู่วั่งออกคำสั่งสุดท้าย แม่ทัพนายกองบางคนที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุโดยตลอด

ชื่อซูเดินหมากเช่นนี้ ซ้ำยังได้ผลตามที่หวัง ก็ย่อมคาดเดาการตอบสนองที่ตามมาจากทัพต้าเว่ยไว้ล่วงหน้าด้วยเช่นกัน

บัดนี้แผนการที่เจียงจู่วั่งวางไว้ก่อนเปิดศึกถูกปั่นป่วนจนยุ่งเหยิงไม่เหลือชิ้นดี

เขาจำต้องดึงกำลังทหารจากทัพใหญ่ใกล้เคียงไปช่วยด่านซีกวน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนที่กองหนุนย้อนกลับไปถึง การป้องกันของด่านซีกวนจะหละหลวมและมีช่องโหว่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ชื่อซูจะต้องรีบคว้าจังหวะก่อนทัพกลางเคลื่อนพลไปถึง ทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดตีทัพซ้ายของต้าเว่ย

ต้องบอกว่าชื่อซูเดินหมากจู่โจมจุดสำคัญให้แผนใหญ่ของทัพต้าเว่ยหยุดชะงัก ใช้ประโยชน์จากตัวแปรที่ไม่มีใครคาดคิดเช่นเยียนเฉิงพลิกสถานการณ์ที่ทัพต้าเว่ยเหนือกว่าตั้งแต่เริ่มเปิดศึกกลายเป็นสูญเปล่า ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับทัพต้าเว่ยในตอนนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จะชิงมณฑลโยวโจวได้เมื่อไรอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่จะปกป้องด่านซีกวนได้หรือไม่ จะรักษาเยี่ยนเหมินไว้ได้หรือไม่!

ทุกคนพากันเย็นวาบที่สันหลัง แต่พอเห็นเจียงจู่วั่งยืนสง่าอยู่หน้ากระโจมด้วยสีหน้าแน่วแน่และแววตาสุขุม ความฮึกเหิมองอาจก็พลันล้นปรี่ขึ้นในหัวใจ

มีท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เปรียบได้ดังเสาค้ำสมุทร อยู่ทั้งคน ย่อมไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะต้องต่อสู้กับความกดดัน ตีทัพเป่ยตี๋ที่ยกมาประชิดจนแตกพ่ายกลับไปได้อย่างแน่นอน

“ท่านแม่ทัพใหญ่วางใจเถิด! พวกข้าขอสาบานว่าจะติดตามท่าน แม้ต้องออกศึกจนตัวตายก็จะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว!”

คำสั่งของเจียงจู่วั่งถูกถ่ายทอดลงไปอย่างรวดเร็ว จุดความปั่นป่วนให้ปะทุตัวขึ้นในหมู่ไพร่พล ทหารนับไม่ถ้วนที่แห่แหนมายืนออรอบกระโจมใหญ่ส่งเสียงรับคำสั่งดังต่อเนื่องเป็นระลอกคลื่น

อดกลั้นมาถึงตรงนี้เจียงจู่วั่งก็รู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าในลำคอ ในปากอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด

หลังอ่านจดหมายฉบับนั้นจบเมื่อครู่ เลือดลมในปอดก็ตีขึ้นมาจุกอกจนเจ็บแน่นอย่างรุนแรง

เขาต้องทนอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชามองออกว่าตนมีอาการผิดปกติ

ในเวลาสำคัญเช่นนี้เขาจะเป็นอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว หาไม่หากกองทัพเสียขวัญกำลังใจ สิ่งที่รอเยี่ยนเหมินคงมีเพียงความพินาศเท่านั้น

เขาฝืนกลืนเลือดที่ทะลักขึ้นมาในลำคอลงไป จากนั้นก็กวาดตามองรอบตัวแล้วคำรามดังลั่น “ปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”

ตอนได้รับคำสั่งด่วนจากกระโจมผู้บัญชาการสูงสุด เจียงหานหยวนกำลังคุมทัพไปเมืองเยียน

หลายวันก่อนนางกับแม่ทัพสูงวัยจ้าวผูร่วมกันวางแผนทางการทหารขั้นต่อไปจนแล้วเสร็จ ตกลงกันว่าให้จ้าวผูรักษาการณ์มณฑลเยียนโจว ส่วนนางนำทัพออกรบ

หลังเคลื่อนพล จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะต้องถูกขัดขวางบ้าง กลับได้เจอกำลังทหารเป่ยตี๋แค่ประปราย แทบไม่เพียงพอจะตั้งเป็นแนวป้องกันใดๆ ให้โจมตีด้วยซ้ำ

การรุกคืบอย่างราบรื่นนี้นอกจากจะไม่ทำให้เจียงหานหยวนกระหยิ่มใจแล้ว ยังทำให้นางนึกเคลือบแคลงอยู่เงียบๆ

น่าเอะใจยิ่งนัก ตามหลักเมื่อเสียมณฑลเยียนโจวไป เหลือเพียงมณฑลโยวโจวอันเป็นฐานที่มั่นใหญ่ของชื่อซู เจ้าตัวไม่น่าเพิกเฉยจนถึงขั้นนี้ หากบอกว่าความปราชัยที่ด่านเทียนกวนทำให้ชื่อซูเกิดทดท้อ ไร้กำลังใจจะทำศึกต่อก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แน่ล่ะว่าความพ่ายแพ้คราวก่อนทำให้ฝ่ายนั้นบอบช้ำเสียหายไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่เหลือไพร่พลให้ใช้ กำลังทหารหลักของเขายังคงอยู่

เจียงหานหยวนนึกระแวงว่าชื่อซูอาจมีแผนการอื่น จึงสั่งให้หยุดทัพโดยไม่ลังเล ไม่ต้องเคลื่อนพลต่อ ให้ทหารตั้งค่ายปักกระโจมกันตรงนั้น พร้อมส่งคนไปสืบข่าว

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน

สัญชาตญาณของนางไม่ผิดจริงๆ แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือเบื้องหลังความผิดปกติจะมาจากสาเหตุเช่นนี้

เป็นการจู่โจมที่รุนแรงประหนึ่งพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ไม่ปาน!

เจียงหานหยวนแทบหายใจไม่ออก ได้ยินเสียงอื้ออึงในหู

ตั้งแต่คนรุ่นท่านตาเป็นต้นมา อวิ๋นลั่วก็เป็นฐานกำลังที่จงรักภักดีต่อต้าเว่ยที่สุดนอกเหนือจากด่านซีกวน หลายสิบปีที่ผ่านมาถึงจะเกิดมรสุมคลื่นลมหรือความเปลี่ยนแปลงใด ข้อนี้ก็ไม่เคยแปรผัน จวบจนปัจจุบันที่พื้นที่แถบนั้นผนึกกำลังเป็นปราการอันแข็งแรงโดยมีอวิ๋นลั่วเป็นศูนย์กลาง

เมื่อไม่นานมานี้ท่านน้าเพิ่งพลีชีพอย่างกล้าหาญในสงครามกับเป่ยตี๋ เหตุไฉนเยียนเฉิงถึงทำเช่นนี้ได้ลงคอ

เจียงหานหยวนไม่อยากเชื่อ ที่ยิ่งกว่านั้นคือไม่เข้าใจการกระทำของลูกพี่ลูกน้องเลย

น้องชายผู้ปวกเปียกและเงียบขรึมมาตั้งแต่เด็กของนางจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

แต่คนที่ส่งข่าวมาไม่ใช่ใครอื่น…เป็นฝานจิ้ง

นี่ย่อมเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

เรื่องราวไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว

หลังความสับสนว้าวุ่นช่วงสั้นๆ หญิงสาวตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว

ก่อนเปิดศึกมีเสียงคัดค้านในราชสำนัก บัดนี้ยังเกิดเหตุเหนือความคาดหมายเช่นนี้อีก ซู่เซิ่นฮุยเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ ความกดดันจะถาโถมใส่เขาเพียงใด ไม่ต้องบอกก็รู้

อีกอย่างเหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นจะทำให้ความเชื่อใจที่เขามีต่อบิดาและนางสั่นคลอนไปด้วยหรือไม่

ทว่าสถานการณ์คับขันเร่งด่วน เจียงหานหยวนไม่มีเวลาใคร่ครวญเรื่องพวกนี้อีกแล้ว

เจียงหานหยวนรู้ว่าเหตุใดบิดาถึงได้แต่งตั้งนางให้ไปช่วยต้านศึกที่ด่านซีกวน

เทียบกับแม่ทัพสองนายที่ออกเดินทางไปก่อน นางคุ้นเคยกับวิถีผู้คนและภูมิประเทศแถบนั้นดีกว่า

หญิงสาวสั่งให้ตนเองสงบสติอารมณ์และสลัดความคิดอื่นทิ้งอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายในหัวใจเหลือเพียงความมุ่งมั่นเดียว นั่นคือต้องรักษาด่านซีกวนเอาไว้ อย่าให้ฉางอันได้รับการคุกคามใดๆ จากทางเหนือเป็นอันขาด!

นางสั่งถอนทัพทันที ขอให้จ้าวผูดำเนินการตามคำสั่งเจียงจู่วั่ง ส่วนตนเองนำทหารม้าลาดตระเวนค่ายชิงมู่ออกเดินทางในวันนั้น มุ่งหน้าไปช่วยเมืองอวิ๋นลั่วให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แม้จะออกเดินทางช้ากว่าทัพซ้าย ระยะทางก็ไกลกว่า แต่ทัพของเจียงหานหยวนเดินทัพเร็วกว่าทัพใหญ่มาก ในวันนี้ซึ่งยังผ่านมาไม่ทันครึ่งเดือนกำลังพลส่วนของนางจึงมาถึงด่านซีกวนก่อนทัพใหญ่หลายวัน

ที่นี่ไม่ผาสุกเหมือนวันวานอีกต่อไป ทั้งในและนอกป้อมปราการสูงใหญ่อาบย้อมไปด้วยเลือด

เดิมทีด่านซีกวนในปลายเดือนสามถูกปกคลุมด้วยไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิที่ยังจางหายไปไม่หมด แต่บัดนี้ในอากาศมีแต่กลิ่นเหม็นคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน ตอนนี้เป็นช่วงพักรบ มองไปไกลๆ จะเห็นแร้งตัวเขื่องบินวนเวียนแล้วโฉบถลาลงมาจิกกินศพบนพื้นที่เริ่มเน่าเพราะไม่มีใครเก็บอย่างย่ามใจ

เป่ยตี๋ส่งทัพใหญ่เข้าประชิด ใช้ไพร่พลสิบหมื่นกว่านายรุกตีที่นี่อย่างบ้าคลั่งตลอดเวลา ไม่สนใจว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

จุดประสงค์ของชื่อซูชัดเจน ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัย

เมื่อกลยุทธ์ประสานความสัมพันธ์เพื่อประวิงเวลาล้มเหลว เขาก็เบนสายตามาหาด่านซีกวนอีกครั้ง

หากชื่อซูสามารถเคลื่อนพลสู่ด่านเซียวกวนได้ตามที่วางแผนไว้ ฉางอันจะตกอยู่ในอันตราย เมื่อถึงเวลานั้นต้าเว่ยจำต้องระดมกำลังทหารมารับมือกับภัยคุกคามที่มีต่อเมืองหลวง และวิกฤตที่มณฑลโยวโจวและเยียนโจวก็จะคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย

ไม่เพียงเท่านั้นนี่ยังเป็นการประกาศให้ต้าเว่ยตระหนักว่าการยกทัพออกจากเยี่ยนเหมินอย่างกระเหี้ยนกระหือรือนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ต้าเว่ยอย่าได้คิดจะก่อสงครามใหญ่ระดับนี้ไปอีกหลายปี

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแม้สุดท้ายแล้วต้าเว่ยจะสามารถต้านทัพใหญ่ของเป่ยตี๋ให้ถอยร่นกลับไปและปกป้องฉางอันไว้ได้ เหตุพลิกผันนี้จะทำให้คนทั้งแผ่นดินทดท้อหมดกำลังใจสักเพียงไร ไม่ต้องบอกก็รู้

ฝานจิ้งและแม่ทัพนายกองที่ด่านซีกวนอาจไม่สามารถคิดใคร่ครวญถึงเส้นสนกลในอย่างละเอียดถึงขั้นนี้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเขาทุกคนตระหนักดี นั่นคือจะเสียด่านซีกวนไปไม่ได้

นับแต่หลิวไหวหย่วนตายเพราะออกศึก ฝานจิ้งกับกองกำลังรักษาด่านซีกวนที่เหลือก็พยายามปกป้องประตูด่าน ต้านการรุกรานให้ฝ่ายตรงข้ามถอยร่นไปครั้งแล้วครั้งเล่า สงครามยืดเยื้อมาจนบัดนี้ พวกเขาป้องกันด่านซีกวนมาร่วมเดือน ไพร่พลบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก หากไม่ได้ความแข็งแกร่งกล้าหาญของกำลังพลที่ลั่นสัตย์สาบานว่าจะไม่ยอมถอยแม้ตัวตาย ผนวกกับการสนับสนุนจากราษฎรรอบด้าน เมืองหน้าด่านแห่งนี้คงถูกตีแตกไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

ตอนกลางวันวันนี้พวกเขาก็เพิ่งต้านการโจมตีอันบ้าคลั่งไปอีกระลอก ทว่าสถานการณ์ในช่วงนี้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดและสิ้นหวังในเมืองหน้าด่านพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

ถูกล่ะว่าเรื่องเสบียงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะมีพวกชาวบ้านช่วยสนับสนุนให้พอประทังต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ทว่ายุทธภัณฑ์สำหรับป้องกันศึกและอาวุธจำเป็นอยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างรุนแรง ทหารที่ผ่านการฝึกฝนและสามารถสู้รบต้านทานการฆ่าฟันของพวกเป่ยตี๋ได้ก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ

วันนี้ต้านศึกไปจนช่วงท้าย เหตุการณ์เหมือนวันแรกก็ซ้ำรอยอีกครั้ง นั่นคือกำลังพลไม่พอและขาดแคลนอาวุธ ชาวเมืองที่เพิ่งได้รับการฝึกฝนช่วงสั้นๆ ให้ขึ้นมาสู้ศึกบนกำแพงเมืองต้านการโจมตีที่ดุดันราวกับน้ำหลากไม่อยู่ การป้องกันเกิดช่องโหว่ ทหารเป่ยตี๋จึงปีนศพพวกเดียวกันที่ทับถมก่ายกองเป็นภูเขาสูงบุกขึ้นมาบนป้อมปราการสำเร็จ

โชคดีที่สุดท้ายยังไม่ถูกตีแตก เพราะฝานจิ้งนำไพร่พลมาต้านการจู่โจมชนิดอาบเลือดต่างน้ำ สู้ยิบตาจนฆ่าทหารเป่ยตี๋ที่บุกขึ้นมาข้างบนได้ทั้งหมด จึงสามารถรักษาประตูด่านไว้ได้อย่างเฉียดฉิวในเวลาฟ้ามืดพอดี

ระหว่างโรมรันกันเมื่อตอนกลางวัน แม่ทัพเป่ยตี๋ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตะโกนก้องร้องป่าวว่าทัพหนุนที่ฮ่องเต้ส่งมาเพิ่มจะมาถึงในไม่ช้า ให้พวกเขายอมแพ้เสียโดยดี จะได้ไม่ถูกฆ่าล้างเมืองเมื่อด่านแตก

ฝานจิ้งคิดว่านี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นความจริง

เวลานี้การสู้รบอันดุเดือดเพิ่งสิ้นสุดลงไม่นาน

เขายืนอยู่บนป้อมปราการที่อาบเลือดจนพื้นเป็นโคลนชื้นแฉะ ข้างๆ มีพลทหารที่รอดชีวิตมาได้จำนวนหนึ่งกำลังทำกิจวัตรที่ปฏิบัติทุกครั้งหลังจบศึกอยู่เงียบๆ นั่นคือโรยดินลงพื้นเพื่อกันลื่น เตรียมไว้สำหรับการสู้รบในครั้งถัดไป

ไม่มีใครพูดอะไร ในเวลาเช่นนี้ทุกคนรวมทั้งตัวเขาล้วนแต่เส้นประสาทตึงเครียดถึงขีดสุด ขณะที่แรงกายถูกผลาญไปจนเหือดแห้ง

ในตอนนั้นเองเขาพลันได้ยินว่าทัพหนุนที่แม่ทัพใหญ่ส่งมาช่วยมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝานจิ้งดีใจสักเพียงใด เขารีบนำไพร่พลไปต้อนรับโดยไม่รอช้า

จวบจนรู้ว่าเป็นเจียงหานหยวน ได้เห็นดวงหน้าอิดโรยที่มอมแมมไปด้วยฝุ่นของนาง ได้ยินนางเรียกตนว่า “อาฝาน” บุรุษร่างใหญ่บึกบึนที่แข็งแกร่งดุจหินผาในยามปกติเช่นเขาก็สุดที่จะสะกดอารมณ์ความรู้สึกได้อีก น้ำอุ่นไหลรินจากสองตา ขณะทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ

“ท่านแม่ทัพ! ข้าผิดต่อท่าน ข้าไม่ได้ปกป้องเมืองอวิ๋นลั่วไว้ให้ดี…” เขาพูดเสียงสั่นเครือ

“รักษาด่านซีกวนไว้ได้ พวกท่านก็มีความดีความชอบใหญ่หลวงแล้ว!”

เจียงหานหยวนตวัดตัวลงจากหลังม้าอย่างว่องไว ปราดเข้าไปประคองคนตรงหน้าขึ้นจากพื้น

บทที่ 92

เดิมทีฝานจิ้งเป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจใต้อาณัติท่านตาของเจียงหานหยวน ทั้งยังสนิทสนมกับเยียนฉงน้าชายนางประหนึ่งพี่น้อง นอกจากนั้นเขายังเป็นคนสนิทของเจียงหานหยวน มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาในเมืองอวิ๋นลั่ว ปีกลายตั้งแต่รับคำสั่งให้ประจำอยู่ในเมืองเขาก็ร่วมกันกับจงเฉิงผู้เป็นน้าชายของเยียนเฉิงช่วยแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงให้เด็กหนุ่ม

ปลายปีก่อนเยียนเฉิงกับจงเฉิงนำกำลังคนไปขี่ม้าตรวจตราชายแดนแล้วปะเข้ากับทหารม้าเป่ยตี๋กองเล็กๆ ฝ่ายตรงข้ามควบม้าหนีไป เยียนเฉิงไล่ตามอย่างไม่ลดละโดยไม่ฟังคำทัดทานของน้าชาย ปรากฏว่าไปเจอทหารม้าอีกกองเข้ากลางทาง ช่วงที่สองฝ่ายปะทะกัน เขาพลัดหลงกับกลุ่มใหญ่และไม่ได้กลับมาในวันนั้น

นับแต่ราชสำนักเปิดศึกกับเป่ยตี๋ ชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาฝานจิ้งยุ่งตัวเป็นเกลียวกับการเตรียมศึก พอรู้ข่าวก็ร้อนใจเสียไม่มีดี นำกำลังคนออกตามหาจนทั่วอยู่หลายวันก็ยังไร้ความคืบหน้า จึงนึกว่าเยียนเฉิงมีอันเป็นไปเสียแล้ว จังหวะที่เตรียมจะเขียนจดหมายบอกเจียงหานหยวน จงเฉิงก็หาเยียนเฉิงพบแล้วพาตัวกลับมา

เด็กหนุ่มได้แผลสะบักสะบอมไปทั้งร่าง เล่าว่าวันนั้นหลังพลัดหลงจากกลุ่มใหญ่ตนขี่ม้าเร็วเกินไปเพราะคิดแต่จะสลัดทหารเป่ยตี๋ที่ตามมาข้างหลังให้พ้น สุดท้ายพลาดพลัดตกจากหน้าผาทั้งคนทั้งม้าแล้วหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าทหารเป่ยตี๋ไปแล้ว ตนโชคดีรอดชีวิตมาได้ ระหว่างกินนอนกลางป่าก็ปะเข้ากับคนของตนเองกลางทางจึงได้กลับมา

ถือเป็นโชคดีนักที่เยียนเฉิงสามารถกลับมาได้โดยปลอดภัย ฝานจิ้งพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก เรื่องราวจบลงเพียงเท่านั้น เขาหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาเตรียมรบต่อ

หลังปีใหม่เมื่อต้าเว่ยสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเยี่ยนเหมิน สถานการณ์ทางด่านซีกวนก็ตึงเครียดตาม เขากับหลิวไหวหย่วนที่ปกปักรักษาด่านซีกวนอาศัยพึ่งพากัน ตัวเขาฝึกทหารอยู่ที่แนวหน้า เตรียมพร้อมทุกเมื่อ

เดือนก่อนอยู่ๆ เขาก็ได้รับข่าวในวันหนึ่งว่าเจียงหานหยวนส่งตัวแทนถือจดหมายสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการศึกมาให้ เป็นเรื่องเร่งด่วน ให้เขารีบไปพบทันที เขากลัวว่าชักช้าจะทำให้เสียการใหญ่ จึงมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วออกเดินทางกลับไปในคืนนั้น แต่ไปถึงกลางทางก็ได้เจอคนสนิทในเมืองอวิ๋นลั่วของตนเอง คนผู้นั้นบอกว่าเยียนเฉิงเข้าสวามิภักดิ์กับเป่ยตี๋แล้ว เวลานี้ได้สมคบคิดกับน้าชายแอบวางแผนลวงเขากลับเมืองอวิ๋นลั่วไปฆ่า พอตนรู้ข่าวก็รีบหนีออกมาทันที ขอให้เขาอย่าได้กลับไป

คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส พอรายงานจบก็ขาดใจตาย กลุ่มคนที่ไล่สังหารตามมาถึงพอดีในจังหวะนั้น ฝานจิ้งอาศัยวรยุทธ์อันล้ำเลิศหนีจากการไล่ล่ามาได้ เขากลัวจะเกิดเหตุขึ้นที่แนวหน้า จึงวกกลับมาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ยังไม่ทันถึงที่หมายก็เห็นทหารเป่ยตี๋จำนวนเหลือคณานับที่กลางทาง แห่แหนกันมามืดฟ้ามัวดิน กำลังมุ่งหน้าไปทางด่านซีกวน

เห็นเช่นนี้เขาก็พอปะติดปะต่อได้ว่าเยียนเฉิงคงปล่อยกองทัพเป่ยตี๋เข้ามาหลังลวงเขาออกจากแนวหน้า ตอนนี้ลองย้อนคิดดู ระยะเวลาหลายวันที่เยียนเฉิงหายตัวไปช่วงปลายปีคงถูกพวกเป่ยตี๋จับเป็นเชลยแล้วปล่อยตัวกลับมาเป็นแม่นมั่น ดีไม่ดีการปะทะกันคงเป็นแผนที่พวกเป่ยตี๋จัดฉากขึ้นเพื่อหาทางเจรจาดึงเยียนเฉิงเข้าเป็นพวก

ตอนนั้นเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว จึงเลือกใช้ทางสายเล็ก เร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน จนสุดท้ายสามารถกลับมาส่งข่าวก่อนที่เยียนเฉิงจะถึงด่านซีกวน พาด่านซีกวนรอดพ้นจากหายนะได้อย่างหวุดหวิด แล้วยืนหยัดรักษาที่นี่มาจนวันนี้

ฝานจิ้งเล่าต้นสายปลายเหตุตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นเจียงหานหยวนเอาแต่มุ่นหัวคิ้ว ไม่พูดอะไรอยู่นานก็เอ่ยผ่านแนวฟันที่ขบแน่น “เมื่อทัพหนุนมาถึง ท่านแม่ทัพโปรดให้โอกาสข้าได้ลบล้างความผิดสักครั้งเถิด!”

หัวใจของเขาอัดแน่นด้วยความรู้สึกผิด เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าจะยอมดับดิ้นไปพร้อมพวกเป่ยตี๋ ตอนที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาจึงไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว ไม่นึกว่านางกลับถามว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหล่าขุนศึกแต่ดั้งเดิมของท่านน้าเต็มใจยอมทำตามเยียนเฉิงกันหมดหรือ”

“เวลานี้เยียนเฉิงนำกลุ่มผู้จงรักภักดีมาตีเมืองร่วมกับกองทัพเป่ยตี๋ด้วย ส่วนจงเฉิงจับตาดูคนเหล่านั้นอยู่ในเมืองอวิ๋นลั่ว ครอบครัวของพวกเขาถูกคุมตัวไว้ จึงไม่มีใครกล้าแข็งข้อขอรับ”

เจียงหานหยวนปีนขึ้นป้อมปราการ ทอดสายตามองไปไกลๆ สักพักก็เอ่ยเนิบนาบ “อาฝาน กว่าทัพหนุนจะมาถึงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนเก่าคนแก่ของท่านน้าทั้งสิ้น หากท่านน้าที่อยู่ในยมโลกได้รู้คงไม่อยากเห็นพวกเขาก้าวเดินไปสู่หายนะด้วยกันกับเยียนเฉิงหรอก…ข้าอยากไปเมืองอวิ๋นลั่วเพื่อพบพวกเขาสักครั้ง”

สามวันให้หลังกองหนุนของทัพเป่ยตี๋ก็ยกทัพมาถึง โดยเคลื่อนพลผ่านช่องเขาที่แต่เดิมอยู่ในการป้องกันของเมืองอวิ๋นลั่ว มุ่งหน้าสู่ด่านซีกวน ปรากฏว่าระหว่างที่ไพร่พลเคลื่อนทัพผ่านช่องเขาเข้ามา เบื้องหน้าพลันเกิดไฟป่าปิดทางไว้ เปลวเพลิงลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ม้าศึกถอยหลังหนีกันจ้าละหวั่นด้วยความแตกตื่น มิหนำซ้ำลมยังช่วยโหมไฟให้ไหม้ลามไปยังเชิงเขาสองฝั่งที่ขนาบข้าง ทหารเป่ยตี๋จำต้องถอยทัพอย่างไม่มีทางเลือก จังหวะนั้นเองน้ำมันเพลิงจำนวนมหาศาลก็ถูกเทลงมาจากหน้าผาสองฝั่ง พร้อมไฟที่จุดตามมาในรวดเดียว ภายในเวลาชั่วอึดใจช่องเขาทั้งช่องก็ตกอยู่ใต้ทะเลเพลิงลุกท่วม ทหารม้าเป่ยตี๋ถูกไฟคลอกจนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน พวกที่เหลือก็ถอยร่นไม่เป็นกระบวน ไม่อาจไปต่อได้

ตรงนั้นเคยเป็นแนวหน้าที่ฝานจิ้งเตรียมรับศึกในตอนแรก ช่องเขาที่ง่ายต่อการป้องกัน ยากต่อการโจมตีนี้เองที่เอื้อให้เมืองอวิ๋นลั่วสามารถยืนหยัดเป็นศูนย์กลางของพื้นที่นอกด่านซีกวนมานานปี

ฝานจิ้งเคยเตรียมน้ำมันเพลิงจำนวนมากไว้ตรงนี้ เผื่อต้องใช้ระหว่างทำศึกสงคราม ตอนนั้นไม่ได้ใช้ ตอนนี้ในที่สุดก็เป็นประโยชน์

ระหว่างที่เปลวเพลิงตรงช่องเขาลุกท่วมขึ้นฟ้า เยียนเฉิงที่กำลังช่วยกองทัพเป่ยตี๋ตีเมืองหน้าด่านไม่คาดคิดเลยว่าเจียงหานหยวนพี่สาวตนได้ลอบกลับเข้าเมืองอวิ๋นลั่วอย่างเงียบเชียบ

พอนางปรากฏตัว เหล่าทหารและราษฎรทั้งเมืองก็แห่แหนกันมาต้อนรับสนับสนุน จงเฉิงหนีไปอย่างนกรู้ เหล่าขุนศึกเก่าแก่ที่ถูกข่มขู่ของสกุลเยียนล้วนแต่ก้มกรานให้แม่ทัพหญิง หลังจากนั้นกองทหารรักษาการณ์เมืองอวิ๋นลั่วก็รวมตัวกับพวกชาวบ้านลุกฮือขึ้นมา โดยมีฝานจิ้งเป็นผู้นำ ร่วมกันจุดไฟเผาไล่กองทัพเป่ยตี๋ที่รีบรุดตามมา

ทะเลเพลิงตรงช่องเขายังไม่ทันมอดดับ เจียงหานหยวนก็แอบกลับมาที่ด่านซีกวนอีกครั้ง

เวลานั้นทัพหนุนที่เจียงจู่วั่งส่งมาช่วยก็มาถึงแล้วเช่นกัน

ผ่านมานานแล้วทัพเป่ยตี๋ก็ยังตีด่านไม่แตกเสียที ในแต่ละวันต้องใช้เสบียงเลี้ยงทั้งคนทั้งม้าศึกมากมายจนน่าตกใจ หากไม่นับเรื่องอาวุธ เรื่องเสบียงก็คือปัญหาใหญ่

แต่ไหนแต่ไรพวกเป่ยตี๋ไม่มีธรรมเนียมขนเสบียงและยุทธภัณฑ์มากับกองทัพ เพราะยึดหลักไปเอาเสบียงจากเมืองที่ตีได้ หลังมาตั้งทัพที่นี่จึงอาศัยเสบียงที่อวิ๋นลั่วและเมืองใกล้เคียงส่งมาให้เท่านั้น เพียงพอให้ทั้งคนทั้งม้ามีกินมาเรื่อยๆ บัดนี้ทัพหนุนยังมาไม่ถึง ทว่านั่นเป็นเรื่องรอง ปัญหาสำคัญที่สุดคือเสบียงร่อยหรอลงแล้ว

เสบียงของคนยังพอประทังต่อไปได้สักระยะ คับขันหนักเข้าก็กินเนื้อม้าที่บาดเจ็บหรือล้มป่วยได้ แต่ปัญหาใหญ่คือเสบียงม้าต่างหาก ม้าศึกจำนวนมากเริ่มต้องกินหญ้ายาไส้เพราะได้กินไม่อิ่มท้อง

บังเอิญเหลือเกิน พอทัพหนุนของต้าเว่ยมาถึง ทางอวิ๋นลั่วก็ส่งเสบียงมาให้อย่างเร่งด่วนเช่นกัน

ปัญหาใหญ่ในกองทัพคลี่คลายลงได้ พวกเป่ยตี๋จึงเลิกรอทัพหนุน…ความจริงก็ไม่อาจรอต่อไป เพราะทัพต้าเว่ยที่รวมตัวกันเรียบร้อยแล้วเป็นฝ่ายเปิดศึกเอง

ศึกครานี้ไม่ใช่การรบเพื่อตีเมืองและป้องกันเมืองเหมือนครั้งก่อนๆ

เจียงหานหยวนนำกองทหารม้าออกจากด่านด้วยตนเอง บุกตะลุยสู้ศึกอยู่หน้าสุด

การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด เลือดและชิ้นเนื้อกระจายว่อนสมรภูมิ ระหว่างกำลังขับเคี่ยวกันอย่างร้อนระอุ ทหารเป่ยตี๋จำนวนมากก็สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อม้าศึกของพวกตนเคลื่อนไหวช้าลง แรกๆ ยังพอฝืนแรงวิ่งได้บ้าง แต่ต่อมาก็เริ่มฟุบลงไปทีละตัวสองตัว ลุกขึ้นมาใหม่ไม่ได้

ที่แท้ในฟางหญ้าชุดที่เพิ่งส่งมามียาพิษผสมอยู่ ม้ากินเข้าไปแล้วมีอาการเหมือนเมาสุรา ไม่อาจสู้ศึกต่อได้เลย

ในจังหวะนั้นเองที่มีการกระจายข่าวว่าเกิดเหตุขึ้นที่อวิ๋นลั่ว ทัพหนุนถูกเผาจนติดอยู่ที่ช่องเขา เคลื่อนพลมาที่นี่ไม่ได้

เทียบกันแล้วสภาพของทหารเป่ยตี๋กับทหารต้าเว่ยที่เปี่ยมด้วยจิตสังหารรุนแรงจำนวนนับไม่ถ้วนแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทหารต้าเว่ยแต่ละนายสู้ศึกอย่างฮึกเหิมไม่กลัวตาย ทัพเป่ยตี๋ที่ต้านศึกไม่ไหวจึงพ่ายแพ้ยับเยิน

หลังการสู้รบครั้งใหญ่กลางสมรภูมิในวันนี้ นอกด่านซีกวนยังมีศึกขนาดเล็กแบบเดี๋ยวรบเดี๋ยวหยุดดำเนินต่อไปอีกหลายวัน จนในที่สุดทัพเป่ยตี๋ก็ถอยร่นขึ้นเหนือ ศึกครานี้จึงได้สิ้นสุดลง

ตั้งแต่เริ่มเปิดฉากจนยุติ วิกฤตที่ด่านซีกวนกินเวลาเกือบสองเดือน แม้ไม่นับว่านาน และผลสุดท้ายพอจะเรียกได้ว่าน่าพอใจเพราะปกป้องด่านซีกวนไว้ได้ อีกทั้งอวิ๋นลั่วและเมืองข้างเคียงก็กลับมาอยู่ใต้อำนาจต้าเว่ยดังเดิม

ทว่าผลกระทบจากการหักหลังยังอยู่ห่างจากคำว่า ‘จบ’ ไปอีกไกล

ฝานจิ้งนำคนไปตามล่าจงเฉิงที่หนีไปอยู่หลายวัน และได้รู้จากคำสารภาพของฝ่ายนั้นว่าปลายปีกลายหลังจากเยียนเฉิงปะทะกับพวกเป่ยตี๋และพลัดหลงกับทหารกลุ่มใหญ่ก็ได้ตกอยู่ในกำมือศัตรูจริงๆ ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่พวกอ่อนหัด แต่เป็นชางอ๋องซ้ายมู่ต๋า อาของชื่อซูที่ออกหน้าด้วยตนเอง ทั้งบังคับขู่เข็ญ ทั้งเอาผลประโยชน์เข้าล่อ ซ้ำยังหาสตรีนางหนึ่งมาให้ค้างคืนกับเขา ก่อนจะปล่อยเขากลับมา

หลังจากนั้นไม่นานเมื่อต้าเว่ยยกทัพออกจากเยี่ยนเหมิน เยียนเฉิงก็แอบบอกความจริงกับจงเฉิง ให้อีกฝ่ายช่วยตนเองด้วยการสวามิภักดิ์ต่อเป่ยตี๋ ต่อไปจะได้เรืองอำนาจวาสนาด้วยกัน

สตรีในคืนนั้นก็ไม่ใช่หญิงธรรมดา แต่เป็นบุตรสาวของชางอ๋องซ้าย ชางอ๋องซ้ายรับปากว่าภายภาคหน้าจะให้ทั้งคู่แต่งงานกัน สานสัมพันธ์ให้มั่นคง ไม่เพียงเท่านั้นยังนำคำสัญญาจากชื่อซูมาถ่ายทอดว่าเมื่อการใหญ่สำเร็จ นอกจากฐานะของเขาในเมืองอวิ๋นลั่วยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ชื่อซูยังจะพิจารณายกด่านซีกวนให้เขาปกครองจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

เพราะเหตุนี้เยียนเฉิงจึงเข้าสวามิภักดิ์ต่อเป่ยตี๋อย่างสุดตัว

ไม่เพียงเท่านั้นจงเฉิงยังคายความลับอีกเรื่องหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตตนเอง

ก่อนหน้านี้หลังจากที่เยียนฉงผู้เป็นบิดาบาดเจ็บสาหัส เยียนเฉิงถูกภูตผีปีศาจดลใจให้อยากขึ้นเป็นเจ้าเมืองในเร็ววัน จึงยกความกตัญญูมาบังหน้าอาสาเคี่ยวยาให้บิดาด้วยตนเอง แต่แท้ที่จริงแอบเล่นลูกไม้กับยานั้น เขาหยิบตัวยาหลักที่มีสรรพคุณรักษาแผลตัวหนึ่งทิ้งไป

ที่สุดท้ายเยียนฉงทนพิษบาดแผลไม่ไหว จากโลกไปก่อนเวลาอันควรทั้งที่ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ น่าจะเป็นเพราะน้ำมือบุตรชายแท้ๆ

เยียนเฉิงทำเรื่องนี้อย่างเร้นลับแนบเนียน แม้แต่ตัวจงเฉิงยังเพิ่งมารู้ในภายหลังจากคำบอกเล่าของหลานชาย เยียนเฉิงบอกให้รู้เพื่อดึงเขามาติดร่างแหด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง จงเฉิงก็จะอยู่ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด

“เยียนเฉิงก็ถูกจับตัวไว้แล้วเช่นกัน จะจัดการอย่างไร เชิญท่านแม่ทัพตัดสินใจด้วยตนเองเถิด”

ฝานจิ้งมองแผ่นหลังแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหินไปแล้วของเจียงหานหยวน ก่อนพูดประโยคสุดท้ายออกมาเบาๆ

ฟ้ามืดลง ก่อนจะสว่างอีกครั้ง

เจียงหานหยวนนั่งมาทั้งคืน ในย่ำค่ำของวันต่อมานางเข้ามาในหุบเขาอันเป็นที่ฝังร่างคนสกุลเยียน

ท่านตา มารดา น้าชาย และบรรพบุรุษสกุลเยียนที่นางไม่รู้จักอีกมากมายนอนหลับใหลอยู่ในนี้ชั่วนิรันดร์

ไม่มีคนใดในพวกเขาเหล่านี้ไม่ยึดมั่นในความถูกต้อง เพื่อให้ผู้คนในดินแดนใต้ปกครองได้ใช้ชีวิตอย่างผาสุกร่มเย็น ต่อให้ต้องหลั่งเลือดในกายจนหยดสุดท้ายก็พร้อมยอมสละ

แต่แล้วบัดนี้ที่นี่กลับมีคนนอกคอกทำให้วงศ์ตระกูลมัวหมอง

เจียงหานหยวนหยุดยืนหน้าหลุมฝังศพน้าชาย จ้องมองคนที่อยู่ตรงปลายเท้า

เยียนเฉิงผู้เคยเป็นน้องชายนางนั่นเอง อีกฝ่ายผมเผ้าสยายยุ่ง เนื้อตัวมีแต่คราบเลือด ถูกมัดมือมัดเท้า คุกเข่าหมอบคู้อยู่กับพื้น ก้มหน้าคอตก ตัวแข็งทื่อไม่ขยับ ราวกับว่าตายไปแล้ว

เจียงหานหยวนรู้ว่าคนที่ดูเหมือนสุนัขจนตรอกตรงหน้านางยังไม่ตาย

นางจ้องมองแผ่นหลังอีกฝ่าย แล้วใช้เสียงแหบแห้งที่คุกรุ่นด้วยเพลิงโทสะเอ่ยว่า “ชื่อซูหมายตาเจ้าเพราะผ่านการใคร่ครวญวางแผนมาอย่างดี จัดฉากล่อลวงให้เจ้าทรยศต้าเว่ย การกระทำนี้ของเจ้าข้ายังพอพยายามทำความเข้าใจได้ว่าเจ้าอาจคิดว่าไม่มีทางเลือก แต่ท่านน้าเล่า เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของเจ้า! เจ้ากลับทำร้ายเขาเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมือง ทั้งที่ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตกเป็นของเจ้าในสักวันอยู่แล้ว! เขาไม่ดีกับเจ้าอย่างไร เจ้าถึงต้องทำร้ายเขา”

เยียนเฉิงยังคงหลับตานิ่งไม่หือไม่อือ

“พูด!” หญิงสาวตวาด

อีกฝ่ายลืมตาขึ้น พยายามยักแย่ยักยันลุกโงนเงนขึ้นมา จากนั้นก็หมุนตัวช้าๆ เงยหน้าขึ้นแค่นหัวเราะ

“อยากรู้หรือ เช่นนั้นข้าบอกให้ก็ได้! รู้บ้างหรือไม่ เวลาได้ยินเขาชื่นชมเจ้าต่อหน้าข้า เหมือนอยากให้เจ้าเป็นบุตรชายเขาใจแทบขาด ข้ารู้สึกอย่างไรบ้าง สมัยเด็กๆ เป็นเช่นนี้ โตขึ้นมา…ก็ยังเป็นเช่นนี้! ใครต่อใครเรียกข้าว่า ‘นายน้อย’ ทว่าตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงพวกชาวบ้านใครบ้างมองข้าเป็นนายน้อยจริงๆ กระทั่งทารกวัยสามขวบในเมืองอวิ๋นลั่วยังรู้จักนามแม่ทัพฉางหนิงเลย!…แม่ทัพฉางหนิง!”

เยียนเฉิงเอ่ยนามนั้นซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงชิงชังเข้ากระดูก

“ในเมื่อเขาไม่เห็นข้าเป็นบุตรชาย เหตุใดข้าจะทำเพื่ออนาคตตนเองไม่ได้ เขาน่าจะตายเสียตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ยังมีเจ้าอีกคน! ที่ข้าต้องมีวันนี้ก็เพราะเจ้า! หากโลกนี้ไม่มีเจ้าสักคน หากสมัยเด็กๆ เจ้าไม่มาอยู่บ้านข้า ชีวิตข้าจะตกต่ำเช่นวันนี้หรือ

ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! ธิดาหมาป่าตัวอัปมงคล! เจ้ามีแต่นำเคราะห์ร้ายมาให้คนรอบตัว เจ้าทำให้แม่แท้ๆ ของตนเองต้องตาย ทำให้น้าชายตนเองต้องตาย ตอนนี้ยังมาทำให้ข้าต้องตายอีกคน นึกหรือว่าจะจบลงแค่นี้ ข้าจะบอกอะไรให้ นี่มันยังห่างไกลสิ่งที่เจ้าวาดหวังนัก”

เขามองเจียงหานหยวนด้วยแววตาโกรธเกลียดที่ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป รอยยิ้มรื่นรมย์ที่แสนเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นบนริมฝีปาก

“…คนรอบตัวเจ้าทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า ทั้งพ่อเจ้า อ้อ ใช่ แล้วยังอ๋องผู้สำเร็จราชการคนนั้นอีก ไม่มีสักคนที่จะโชคดีรอดพ้นไปได้…”

เสียงพูดของเด็กหนุ่มสะดุดลงเพียงเท่านั้น

เจียงหานหยวนชักกระบี่ออกมาแทงตรงไปข้างหน้า ปักเข้ากลางอกอีกฝ่าย

แม้จะมีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน เยียนเฉิงก็ยังกระเสือกกระสนกัดฟันเอ่ยคำพูดประโยคสุดท้ายออกมาทั้งที่เนื้อตัวสั่นระริก

“พี่สาว…เจ้า…มันเป็นตัวอัปมงคลตั้งแต่เกิด…”

หญิงสาวนัยน์ตาแดงฉาน สีหน้าเย็นเยียบ

นางยืนหลุบตามองเยียนเฉิงที่ชักกระตุกอยู่ใต้คมกระบี่ตนอย่างเย็นชา แล้วออกแรงเสือกกระบี่เล่มยาวไปข้างหน้าอีกครั้ง

กระบี่แทงผ่านอกทะลุออกข้างหลัง

สุดท้ายนางดึงกระบี่ออกมาถือ ปลายกระบี่ทิ่มลงข้างล่าง ปล่อยให้เลือดไหลไปตามคมกระบี่แล้วร่วงพรูลงสู่พื้นดินตรงปลายเท้าไม่หยุด

นางยืนนิ่งๆ อย่างนั้น มองเยียนเฉิงค่อยๆ หยุดดิ้นจนขาดใจตายสนิท ถึงค่อยหมุนตัวเดินลิ่วๆ ออกมา

ฝีเท้าหนักอึ้งและหน่วงช้าในตอนแรก

เบื้องหน้าปรากฏภาพขึ้น เป็นภาพของมารดาในจินตนาการ ภาพมือเล็กนุ่มนิ่มของทารกหญิงบุตรสาวนายกองควันสัญญาณที่จับปลายนิ้วนางไว้ ภาพใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่เคยลบเลือนไปของน้าชาย ภาพแผ่นหลังว้าเหว่ทว่ายืนหยัดของบิดา

แล้วยังเขา…บุรุษผู้นั่งเด่นสง่าในท้องพระโรง กำลังแหวกคลื่นฝ่าลมช่วยคุ้มกันคนเช่นนาง…

ขอเพียงเขายังไว้เนื้อเชื่อใจ นางก็ขอตั้งสัตย์ว่าจะไม่มีวันทำให้เขาผิดหวัง

ฝีเท้าย่างก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ และมั่นคงขึ้นทุกที

เยียนเฉิงผิดเสียแล้ว แม้จนลมหายใจสุดท้ายก็ยังเอาแต่จมปลักอยู่กับความหมองเศร้าในวัยเด็ก ไม่ยอมเติบโตขึ้นเลย

นางไม่ใช่ตัวอัปมงคลแต่อย่างใด เป็นสงครามต่างหากที่สร้างหายนะ

สิ่งที่เจียงหานหยวนผู้นี้จะทำคือปิดฉากสงคราม คืนความผาสุกให้แผ่นดิน ให้ใต้หล้าไม่ต้องมีสงครามรบพุ่งอีก!

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: