X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 93-94

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 93

ที่ฉางอัน ม่านราตรีโรยตัวลงแล้ว

สายลมรำเพยเข้ามาทางหน้าต่างห้องหนังสือ พัดเปลวเทียนให้เต้นไหว ทาบแสงวูบวาบลงบนรายงานหลายฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะ

ฉบับแรกซู่เซิ่นฮุยได้รับก่อนฉบับอื่น เป็นข่าวชัยชนะอันหมดจดงดงามของทัพกลาง เจียงหานหยวนกับแม่ทัพสูงวัยทำงานเข้าขากันได้อย่างยอดเยี่ยม ทำลายการคุมเชิงที่เป็นดั่งปราการหินลงได้ เข้าควบคุมมณฑลเยียนโจวสำเร็จ

ตอนได้รับรายงานแจ้งชัยชนะนี้ ซู่เซิ่นฮุยภาคภูมิใจอย่างไร้ที่เปรียบ

เขาไม่อาจไปที่สมรภูมิด้วยตนเอง และยิ่งไม่มีวาสนาจะได้ทำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางกลางสนามรบ แต่แม้ตัวจะอยู่ในเมืองหลวง มีกำแพงรายล้อม เพียงแค่หลับตาลงเขาก็ยังสามารถนึกภาพนางถือกระบี่ควบขี่อาชาอย่างองอาจหาใครเสมอเหมือนได้อย่างแจ่มชัด ราวกับว่าเห็นมาเองกับตา

หญิงสาวทำให้เขารู้สึกเป็นเกียรติเหลือล้น นางกำลังทำสิ่งที่คิดให้กลายเป็นความจริง และนำความปีติอันหาที่สุดมิได้มาให้เขา จนเขาได้ตระหนักว่าทุกอย่างที่ทำไปนั้นคุ้มค่า

ทว่ายังไม่ทันได้ละเลียดความอิ่มเอมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งในหัวใจให้มากกว่านี้ รายงานฉบับที่สองก็ส่งมายังฉางอันติดๆ

อวิ๋นลั่วหักหลังต้าเว่ย ด่านซีกวนอยู่ในภาวะคับขัน

ราชสำนักทุ่มกำลังทหารมากมายไปกับด่านซีกวนและนึกว่าที่นั่นแข็งแกร่งมั่นคงดุจปราการโลหะน้ำแกง ทว่าทุกอย่างกลับพังทลายในชั่วข้ามคืน

เรื่องนี้หมายถึงอะไรเล่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คนทั้งราชสำนักตื่นตระหนกไปตามๆ กัน เจียงจู่วั่งตกเป็นจำเลยคนแรก เสียงแสดงความเคลือบแคลงและเสียงเอาผิดแม่ทัพใหญ่ดังกระหึ่มไปทั่ว เรื่อง ‘วิกฤตฉางอัน’ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่แต่ในราชสำนัก ยังสะพัดออกไปนอกวังหลวงด้วย ชาวบ้านร้านตลาดโจษจันกันตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน ผ่านไปไม่นานก็มีข่าวลือว่าด่านซีกวนแตกแล้ว ทัพใหญ่ของเป่ยตี๋กำลังยาตรามาประชิดด่านเซียวกวนอันเป็นประตูใหญ่ทางเหนือของฉางอัน ด่านเซียวกวนเตรียมรับศึกไม่ทัน เวลานี้ใกล้ถูกตีแตกเต็มที ทหารม้าเป่ยตี๋ที่ฆ่าคนเป็นผักปลากำลังจะลงใต้มาถึงฉางอันแล้ว

ข่าวลือแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าเป็นเพราะแรกสุดมีคนเห็นต้าจ่างกงจู่แอบย้ายออกจากสวนกวางซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ การกระทำนี้เหมือนจุดชนวน ตระกูลชนชั้นสูงที่อยู่ใกล้เคียงพากันเลียนแบบ ต่างเก็บทรัพย์สินของมีค่าในบ้านขนขึ้นรถม้าเตรียมหนีออกจากฉางอัน ยิ่งตอกย้ำว่าข่าวลือเป็นความจริง ผ่านไปไม่กี่วันทางออกจากเมืองก็เนืองแน่นด้วยรถม้าจนสัญจรไม่ได้ หลังจากนั้นแม้แต่สามัญชนเล็กๆ ยังใช้ชีวิตไม่เป็นสุข เที่ยวสืบถามข่าวคราวไปทั่ว ภายหลังกองทหารประตูนภากาศออกโรงปฏิเสธข่าวลือและสั่งห้ามออกจากเมืองอย่างเฉียบขาด ถึงจะพอระงับการกระจายข่าวลงได้ แต่ทุกคนในเมืองก็ยังอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญผวา

หลังจากนั้นรายงานฉบับที่สาม ฉบับที่สี่ และฉบับอื่นๆ ที่เกี่ยวกับความคืบหน้าของการศึกก็ปลิวว่อนสู่ฉางอันราวกับเกล็ดหิมะ

เจียงจู่วั่งตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ใช้แผนการที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่ตำแหน่งของตนจะอำนวยมารับมือ และผลที่ตามมาก็ช่วยพิสูจน์ว่ากลยุทธ์เหล่านั้นทันท่วงทีและได้ผล

เจียงหานหยวนปราบปรามความไม่สงบในอวิ๋นลั่ว คลี่คลายวิกฤต พาด่านซีกวนกลับมาสู่มือต้าเว่ยอีกครั้ง

เสียงโจษจันเรื่องวิกฤตฉางอันจึงเงียบลงได้เสียที ทว่าก็ไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใด

นี่เป็นเพียงการชดเชยเท่านั้น เป็นการชดเชยที่พวกเขาต้องทำ ไม่ได้ทำให้โทษทัณฑ์ที่พวกเขาต้องรับลดลงเลยสักนิด

ผลกระทบทางลบที่อวิ๋นลั่วหักหลังต้าเว่ยจนสร้างความเสียหายมากมายถึงเพียงนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ

แรกสุดปลายหอกชี้ไปหาเจียงจู่วั่ง เขาซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดต้องรับผิดชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ภายหลังปลายหอกค่อยๆ เบนไปหาอ๋องผู้สำเร็จราชการคนปัจจุบันอย่างเงียบเชียบ

ตอนนั้นอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ฟังเสียงทัดทานของขุนนางผู้ใหญ่ ยืนกรานจะแต่งตั้งเจียงจู่วั่งมารับหน้าที่สำคัญ ให้ยาตราทัพออกจากเยี่ยนเหมิน ถึงได้เกิดผลเสียเลวร้ายเช่นนี้ตามมาอย่างยากจะลบล้าง

ความคิดนี้ไม่เพียงคุกรุ่นอยู่ในราชสำนักเงียบๆ ยังกระจายออกไปข้างนอกด้วยเช่นกัน

มิหนำซ้ำเทียบกับขุนนางในราชสำนักที่เก็บปากเก็บคำ ไม่มีใครกล้าออกเสียงติติงเขาตรงๆ คำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องเดียวกันกลับทำได้อย่างไม่ต้องพะวักพะวนเมื่ออยู่ข้างนอก

หากบอกว่าแต่ก่อนราษฎรทั้งแผ่นดินเห็นเขาเป็นเสมือนกระดูกต้นแขนของอดีตฮ่องเต้ เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ช่วยประคับประคองค้ำจุนฮ่องเต้น้อยได้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ บัดนี้เขาเหมือนร่วงตกลงมาจากแท่นบูชาก็ไม่ปาน

ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตเพราะอวิ๋นลั่วทรยศต้าเว่ยล้วนยังหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่หาย อารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจจำต้องมีที่ระบาย…และอาจเป็นไปได้ว่ามีคนคอยชักจูงอยู่เบื้องหลัง…เสียงของราษฎรจึงกระจายตัวอย่างรวดเร็วแล้วเกิดปะทุขึ้นจนระเบิดออกมา

ในเวลาอันสั้นซู่เซิ่นฮุยได้กลายเป็นที่ระบายความโกรธแค้น ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ที่ได้รับฝากฝังจากอดีตฮ่องเต้อีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนผู้คนมองว่าเขาประเสริฐดีงามมากเท่าไร ตอนนี้ก็มองเป็นคนใจคดลุ่มลึกอ่านยากมากเท่านั้น ราษฎรที่เคยเคารพเลื่อมใสเขา ชื่นชมเขาไม่ขาดปาก มองเขาเป็นเทพเจ้าด้วยซ้ำ มาตอนนี้ต่างพากันปลงอนิจจังว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ

ลองว่าใช้มือผลักเทวรูปลงมาได้ ใช้เท้ากระทืบซ้ำจะยากอะไรเล่า

รัศมีที่เรืองรองอยู่รอบศีรษะเขาหายไปแล้ว เขากลายเป็นขุนนางสำคัญที่มีอำนาจเกินขอบเขตทั้งในและนอกราชสำนัก เจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมช่างวางแผน ทรยศต่อความไว้วางใจที่อดีตฮ่องเต้มีให้ หมวก ‘พระพุทธองค์ใจคด’ ถูกสวมลงบนศีรษะเขาอย่างแน่นหนา คำถามที่ว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงยืนกรานจะเปิดศึกให้ได้โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน บัดนี้จุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังก็กระจ่างชัดขึ้นมาอย่างไม่อาจปิดบังอำพรางได้อีกต่อไป

ลือกันว่าเขาอยากก้าวขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของยอดอำนาจ ขาดแค่เพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้น และสงครามครั้งนี้ก็เป็นหินก้อนสุดท้ายในแผนการที่เขาจะเหยียบย่างขึ้นไปสู่เป้าหมาย ที่ด่านซีกวนเกิดความวุ่นวายก็เพราะสวรรค์เบื้องบนต้องการจะหยุดยั้งเขา คนก่อกรรมทำเข็ญคือเขา แต่ผู้คนทั้งใต้หล้าต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย

เพราะเหตุนี้การคาดเดาต่างๆ นานาที่ชาวบ้านมีต่อการย้ายตำแหน่งของดวงดาวและเหตุแผ่นดินไหวก่อนหน้าจึงเริ่มหวนกลับมาใหม่

แม้จะปรากฏนิมิตมงคลขึ้นในสุสานหลวงขององค์เกาจู่ ยืนยันว่าฮ่องเต้น้อยองค์ปัจจุบันเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์อันชอบธรรมที่สวรรค์กำหนดมา เช่นนั้นปรากฏการณ์อย่างดาวหางบนฟากฟ้าฝั่งตะวันตกและดาวอิ๋งฮั่วครอบงำกลุ่มดาวหัวใจที่เป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นกับฮ่องเต้ก็ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าฮ่องเต้น้อยมีภัยร้ายอยู่ใกล้ตัว

แล้วใครกันเล่าที่เป็นภัยร้าย

รู้ๆ กันอยู่…

ลือกันไปเรื่อยๆ ฮ่องเต้น้อยในวังหลวงที่แต่เดิมถูกผู้คนติฉิน คาดหวังจะเห็นเขาลงจากบัลลังก์ให้ผู้ที่เหมาะสมกว่าขึ้นนั่งแทนที่ บัดนี้กลับกลายเป็นหุ่นเชิดน่าสงสารที่ไร้อิสระในชีวิต

กล่าวกันว่าเขาถูกบังคับและกดดันจากอ๋องผู้สำเร็จราชการ ทุกคำพูด ทุกการกระทำหาได้เกิดจากความต้องการของตัวเขาเอง รวมทั้งสงครามทางเหนือที่ล้างผลาญทรัพย์สินแผ่นดินและสร้างความลำบากให้ราษฎรก็ไม่ใช่ความต้องการของเขาเช่นกัน

ขุนนางทั้งราชสำนักถูกกดข่มอยู่ใต้อำนาจอ๋องผู้สำเร็จราชการ ไม่มีใครกล้าแข็งข้อ

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวลือในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดนอกวังหลวงเท่านั้น

ขุนนางใหญ่และเจ้าหน้าที่ในราชสำนักย่อมไม่เหมือนราษฎรทั่วไปที่หูตาคับแคบ ทำตัวเป็นคนตาบอดคลำช้าง ว่าอะไรว่าตามกัน ถูกจูงจมูกได้ง่าย

ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ แม้ภายนอกอ๋องผู้สำเร็จราชการกับฮ่องเต้น้อยจะดูสมัครสมานกลมเกลียวกันเหมือนเก่า แต่ความจริงแล้วระยะห่างระหว่างทั้งคู่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันก็ยังเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน

ในช่วงที่ผ่านมาเหตุพลิกผันที่ด่านซีกวนทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ที่แต่เดิมยืนกรานให้เปิดศึก เช่น ฟางชิง หรือแม้กระทั่งเสียนอ๋อง ล้วนเจอเสียงตั้งข้อสงสัยและกล่าวโทษจนต้องเงียบไปอย่างช่วยไม่ได้

แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับพวกที่ปิดปากเงียบก่อนเปิดศึก เวลานี้ได้ก้าวออกมาเคลื่อนไหว ลอบวิ่งหาเสียงสนับสนุนอีกครั้ง

ยังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีไม่ประสงค์จะก้าวออกมา…หรือต้องบอกว่าไม่กล้าก้าวออกมา เช่น กลุ่มขุนนางที่มีราชครูติงเป็นตัวแทน แต่สุดท้ายก็ถูกลากเข้าไปมีเอี่ยวด้วยจนได้ คนกลุ่มนี้ล้วนแต่กลัดกลุ้มและกระสับกระส่ายไปตามๆ กัน

เวลานี้ปัญหาที่ว่าควรยืนข้างใดกันแน่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็นคำถามใหญ่ที่พวกเขาต้องตัดสินใจ

ท่ามกลางคลื่นใต้น้ำที่ไหลเร็วรี่ บรรยากาศเช่นนี้เขม็งเกลียวถึงจุดสูงสุดเมื่อสามวันก่อน

สามวันที่แล้วราชสำนักได้รับรายงานฉบับล่าสุดจากเยี่ยนเหมิน

ระหว่างที่ด่านซีกวนตกอยู่ในภาวะคับขัน เยี่ยนเหมินที่เป็นชายแดนเหนือก็ต้องเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชื่อซูฉวยโอกาสที่เยี่ยนเหมินส่งกำลังทหารไปช่วยด่านซีกวนจนการป้องกันทางนี้หละหลวมลง ระดมไพร่พลโดยรอบเท่าที่จะระดมได้ในเวลานั้น แต่งทัพใหญ่ขนาดสิบหมื่นกว่านายเคลื่อนพลรุกตีเยี่ยนเหมินอย่างบ้าคลั่ง

กองทัพทหารม้าเป่ยตี๋ที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่ารุกเข้ามาประชิด เจียงจู่วั่งดำเนินกลยุทธ์ป้องกัน ยกทัพไปปักหลักบนที่ราบชิงมู่ แล้วสวมเกราะนำเหล่าทหารหาญออกต้านศึกอยู่หน้าสุดด้วยตนเอง อาศัยไพร่พลไม่ถึงสามหมื่นนายต้านการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าของศัตรูอยู่ที่นั่น รักษาที่ราบชิงมู่ไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมถอยแม้เพียงก้าวเดียว จวบจนกำลังพลทัพกลางที่ถอนทัพจากด่านซีกวนเร่งรุดมาสมทบ ผนึกกำลังโรมรันจนทัพเป่ยตี๋ต้องถอยร่นกลับไปตั้งหลักบริเวณมณฑลเหิงโจว

ศึกปกป้องเยี่ยนเหมินครานี้สร้างชื่อในฐานะเทพสงครามให้เจียงจู่วั่งอย่างแท้จริง

แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเยี่ยนเหมินจะเกิดศึกสงครามอยู่เสมอ แต่ส่วนใหญ่เป็นการปะทะกันเพียงบางส่วน ยังไม่ลุกลามถึงขั้นที่เขาต้องออกหน้านำทัพเอง การศึกก็สิ้นสุดลงก่อนแล้ว ทหารในกองทัพรู้ว่าสมัยหนุ่มๆ เขามีฉายาว่า ‘เทพสงคราม’ แต่ก็เพียงเท่านั้น

เพิ่งจะครานี้เองที่ผู้คนได้ประจักษ์ชัดกับสองตาว่าคำกล่าวที่ว่า ‘ทำศึกง่ายดายราวกับสมรภูมิไม่มีคน’ หมายความว่าอย่างไร หลายต่อหลายครั้งที่เขาบุกตะลุยทัพศัตรูในสถานการณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน อาศัยความเหี้ยมหาญที่ไม่มีใครต้านทานได้เด็ดหัวแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามท่ามกลางทหารนับหมื่น ทุ่มเทสุดตัวจนพลิกสถานการณ์กลับมาได้ จนในภายหลังธงประจำตัวแม่ทัพของเขาปรากฏขึ้นที่ใด ทัพเป่ยตี๋จะพากันถอยหนีอ้อมไปใช้ทางอื่น ไม่มีผู้ใดเหิมหาญต่อกรด้วย

แต่แม้จะเก่งกาจสามารถถึงขั้นจับเสือสยบมังกร เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

จังหวะที่เยี่ยนเหมินพ้นภัย ใครต่อใครพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก็ล้มลงอย่างฝืนทนต่อไปไม่ไหว

เห็นว่าตอนนั้นการศึกเพิ่งสิ้นสุดลง ชัยชนะครั้งนี้ได้มาอย่างยากเย็น ทั้งค่ายกึกก้องด้วยเสียงโห่ร้องยินดีเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ขาดแต่เพียงแม่ทัพใหญ่เท่านั้น เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาไปตามก็เห็นเขานอนฟุบอยู่บนพื้นคนเดียวในกระโจมใหญ่ ทุกคนถึงเพิ่งตระหนักตอนนั้นเองว่าที่แท้แผลเก่าของเขากำเริบตั้งแต่วันที่ได้รับข่าวจากด่านซีกวน เพียงแต่เขาฝืนทนมาโดยตลอด ไม่แสดงออกให้ใครเห็น

กว่าจะถึงตอนนั้นอาการของเขาก็เพียบหนักเต็มที นอกจากกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง ยังนอนไม่ได้สติเสียส่วนมาก

รายงานฉบับนี้เขาอาศัยช่วงสุดท้ายที่ยังมีสติพูดออกมาให้เสมียนเขียนแทน

เขาตำหนิตนเองที่เลือกใช้คนไม่ดี และขอรับโทษจากราชสำนักที่เกิดเหตุขึ้นกับด่านซีกวน นอกจากนั้นยังละอายแก่ใจสุดซึ้งที่ตนผิดต่อความไว้วางใจที่ฮ่องเต้มีให้ เพราะไม่อาจเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในสงครามใหญ่ทางเหนือนี้ต่อไปได้ เพื่อไม่ให้การศึกที่แนวหน้าชะงักงัน เขาได้แต่งตั้งให้แม่ทัพฉางหนิงสืบทอดตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อกำกับควบคุมการศึกแทนตนชั่วคราว

สุดท้ายเจียงจู่วั่งบอกมาในรายงานว่าเขาไม่ได้เสนอชื่อแม่ทัพฉางหนิงเพราะนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงสงครามระดับแผ่นดิน เขาไม่มีทางกล้าทำเช่นนั้นเด็ดขาด แต่ในขณะเดียวกันเพราะคำนึงถึงสงครามเป็นหลัก เขาจึงไม่อาจมองข้ามนางเพราะอยากเลี่ยงคำครหา และไม่ใช่เพียงแค่เขาที่เสนอชื่อนาง แม่ทัพนายกองทั้งกองทัพก็ล้วนแต่สนับสนุนนางเป็นเสียงเดียว ดังนั้นเขาจึงอาจหาญเขียนรายงานเสนอราชสำนัก หวังว่าราชสำนักจะแต่งตั้งนางตามที่ขอ

ตอนที่ราชสำนักได้รับรายงานฉบับนี้เมื่อสามวันก่อน เกาเฮ่อออกเสียงคัดค้านเป็นคนแรก

เขาให้เหตุผลมีน้ำหนักว่าแม้เจียงจู่วั่งจะรับความผิดทุกอย่างไว้เอง แต่ลำพังแค่ประสบการณ์และอายุของแม่ทัพฉางหนิง การแต่งตั้งนางให้ดำรงตำแหน่งสำคัญระดับนี้จะต่างอะไรกับการละเล่นของเด็กน้อย ไม่มีทางชักจูงทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ บัดนี้ด่านซีกวนแคล้วคลาดปลอดภัยเพราะโชคช่วย สงครามใหญ่ของเยี่ยนเหมินนี้ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่ ราชสำนักยังต้องหารือกันก่อนด้วยซ้ำ หากแม้นจะรบต่อให้ได้ก็ต้องคัดเลือกคนที่เหมาะสมและสุขุมกว่า ไม่ใช่ปล่อยให้กลุ่มทหารเยี่ยนเหมินที่ไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตาออกเสียงกันเองตามอำเภอใจ

การแสดงความเห็นของเขาพูดแทนความกังวลของเหล่าขุนนางที่คิดเห็นคล้ายกัน แม้แต่พวกฟางชิงยังลังเลนิดๆ ส่วนพวกที่มีจุดยืนเป็นกลางไม่ได้พูดอะไรในท้องพระโรง เพราะติดที่เกรงอ๋องผู้สำเร็จราชการ

ทุกคนคิดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะต้องแย้งกลับมาทันที ปรากฏว่าเจ้าตัวเพียงแค่ตอบเรียบๆ ว่าในการประชุมใหญ่ราชสำนักอีกสามวันให้หลังค่อยถกเรื่องนี้กันใหม่

เขาพูดประโยคนั้นด้วยท่าทางสบายๆ หลังเลิกประชุมขุนนางหลายคนแอบรวมตัวกันวิเคราะห์ท่าทางของเขาโดยละเอียด สุดท้ายก็ปักใจเชื่อว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการต้องการกดดันให้พวกที่มีจุดยืนตรงกลางเลือกข้าง

ที่ให้เวลาสามวันก็เพราะต้องการให้ทุกคนไตร่ตรองให้ดีว่าการเป็นปฏิปักษ์กับเขาจะมีผลเช่นไร

จริงอยู่ว่าหลิวเซี่ยงไปแล้ว คนของฮ่องเต้น้อยขึ้นเป็นแม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์แทน แต่การยอมถอยให้ของอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ดูเหมือนเป็นการปลอบโยนฮ่องเต้น้อยกลับถูกมองว่าเสแสร้งแกล้งทำให้ผู้อื่นดูเท่านั้น

กำลังพลของเฉินหลุนยังอยู่ในมืออ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างเหนียวแน่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารฝีมือดีทั้งแผ่นดินที่บัดนี้รวมตัวกันอยู่ที่เยี่ยนเหมิน

แล้วจะไม่ให้กลัดกลุ้มกังวลใจอย่างไรไหว

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายก่อนเปิดประชุมใหญ่ราชสำนักในวันรุ่งขึ้น

บทที่ 94

ดึกสงัด ซู่เซิ่นฮุยเดินออกจากห้องหนังสือกลับเข้าเรือนฝานจื่อไปพักผ่อน

ค่ำคืนนี้สงบเงียบ เขานอนหลับสนิท พอหัวถึงหมอนก็ไม่แม้แต่จะพลิกตัวสักครั้ง

ครั้นพอยามอิ๋น ในช่วงเวลาที่เข้มข้นที่สุดของคืน ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังนอนหลับสบาย แต่เขาตื่นขึ้นมาแล้ว

จางเป่าเห็นแสงตะเกียงสว่างวอมแวมอยู่หลังประตูหน้าต่างเรือนนอนก็รู้ว่าเจ้านายตื่นแล้ว จึงนำข้ารับใช้สองคนไปเคาะประตูแล้วก้าวเข้าไปข้างใน

นับแต่ขึ้นปีใหม่อ๋องผู้สำเร็จราชการก็ไม่ได้ค้างคืนในวังหลวงอีกเลย แม้จะดึกดื่นเพียงใดก็ต้องกลับมานอนที่จวนอ๋อง

เช่นเดียวกับปกติ เมื่อล้างหน้าบ้วนปากและแต่งตัวเสร็จเขาจะกินอาหารเช้าง่ายๆ แล้วขี่ม้าไปวังหลวงเพื่อเข้าประชุมราชสำนัก

วันนี้ดูเหมือนวันปกติธรรมดาวันหนึ่ง ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร

ปีนี้บิดาของจางเป่าร่างกายถดถอยลงอย่างรวดเร็ว อ๋องผู้สำเร็จราชการจึงไม่อนุญาตให้มาปรนนิบัติรับใช้ จางเป่ารับหน้าที่ทุกอย่างแทนผู้เป็นบิดา ไม่เพียงเท่านั้นเดี๋ยวนี้เขาเองก็เลี้ยงบุตรบุญธรรมสองคนแล้วเช่นกัน

ในสายตาข้ารับใช้สองคนนี้เขาเป็นคนเงียบขรึม ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย ทำงานรอบคอบ เหมือนเป็นตัวตายตัวแทนของท่านปู่ขันทีสูงวัยผู้นั้นก็ว่าได้ ทั้งสองเคารพยำเกรงเขาอย่างมาก แต่จางเป่ารู้ดีว่าเนื้อแท้ตนเป็นเช่นไร

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด อาจนับจากพระชายาจากไปกระมังที่จางเป่ารู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิมทีละนิด เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักทุกข์ร้อนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเลิกแอบอู้หรือแอบงีบระหว่างอยู่เวรตอนกลางคืน ไม่อยากพูดจา แม้กระทั่งจะยิ้มยังยิ้มไม่ออก เขากลายเป็นคนเงียบขรึมเหมือนบิดามากขึ้นทุกที ทว่าขณะเดียวกันก็รู้แจ้งแก่ใจดีว่าตนไม่มีทางมองความผันแปรของสรรพสิ่งบนโลกด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนอย่างบิดาได้ โดยเฉพาะระยะนี้เขารู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือเกิน บางครั้งโมโหจนอยากกระอักเลือดด้วยซ้ำ กลับไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้แม้แต่นิดเดียว

ตอนนี้เขาพาข้ารับใช้เข้าไปในเรือนฝานจื่อ ปรนนิบัติรับใช้อ๋องผู้สำเร็จราชการให้ล้างหน้าแต่งตัว เสร็จแล้วก็หลบไปยืนอีกทาง มองเจ้านายนั่งก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าที่ถูกยกเข้ามาให้คนเดียว

ซู่เซิ่นฮุยกินเพียงผัดต้นอ่อนถั่วมู่ซวี* ที่วางอยู่ใกล้ที่สุดกับโจ๊ก พอวางตะเกียบลง เงยหน้าขึ้น เตรียมจะลุกจากโต๊ะก็เห็นจางเป่ามองตนเองอยู่ เปลือกตาของฝ่ายนั้นบวมนิดๆ พอประสานสายตากับตนก็เหมือนเพิ่งได้สติ วอนขอให้เขากินอีกสักนิด

ชายหนุ่มไม่หิว ทั้งยังไม่รู้สึกอยากอาหาร “ข้าอิ่มแล้ว จานอื่นไม่ได้กินเลย พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันเถิด”

แต่จางเป่ายังคงวิงวอนต่ออย่างไม่ยอมฟัง “กระหม่อมทราบว่าท่านอ๋องต้องเสด็จไปเข้าประชุม จึงเตรียมเครื่องเสวยถวายนิดเดียวเท่านั้น ท่านอ๋องทรงซูบผอมลงกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ ท่านพ่อกำชับกระหม่อมว่าต้องถวายปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดี แล้วยังพระชายาอีก! หากคราวหน้าพระชายาทรงได้พบท่านอ๋อง จะนึกว่ากระหม่อมแอบเกียจคร้าน ไม่ตั้งใจถวายปรนนิบัติอีกแล้วได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบก็เห็นเจ้านายเหลือบมองตนเอง ก่อนจะยิ้มแล้วยอมหยิบตะเกียบขึ้นมากินต่อจริงๆ

ได้เห็นอย่างนั้นจางเป่าควรยินดีถึงจะถูก ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียได้ เขารีบเบือนหน้าไปกะพริบตาถี่ๆ เพราะกลัวจะถูกเห็น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ๋องผู้สำเร็จราชการดังเข้าหู “เป็นอะไรถึงได้ทำหน้าอมทุกข์”

เขารีบหันกลับมา “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมดีใจต่างหาก”

ซู่เซิ่นฮุยเหลือบตาขึ้นมองหน้าคนสนิทแล้วเลิกคิ้ว “ดีใจจะร้องไห้ไปไย”

เจ้าตัวพูดถูกเผง แต่จางเป่าก็ยังพยายามบ่ายเบี่ยง “กระหม่อมดีใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ! ช่วงนี้มีแต่เรื่องดีๆ ติดกัน พระชายาทรงสร้างผลงานทางการศึกอีกครั้ง ด่านซีกวนก็แคล้วคลาดปลอดภัย เช้าวันนี้ท่านอ๋องยังเสวยได้เยอะกว่าทุกวัน…”

จางเป่านึกโมโหความไม่เอาไหนของตนเองนัก ปากบอกว่าดีใจ แต่ตาแดงเรื่อขึ้นมาอีกแล้ว พอเห็นเจ้านายยังเอาแต่มองมานิ่งๆ ก็สุดที่จะระงับอารมณ์ความรู้สึกต่อไปไหว เขาทิ้งตัวลงคุกเข่า พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “กระหม่อมสมควรตายที่ทำลายความรื่นรมย์ของท่านอ๋อง! กระหม่อมเศร้าใจนิดหน่อย แล้วก็รู้สึกอึดอัดคับแค้นแทนท่านอ๋อง…เหตุใดพวกคนข้างนอกจึงได้พูดถึงท่านอ๋องเช่นนี้!”

ซู่เซิ่นฮุยเพียงแต่ร้องว่าอ้อเรียบๆ “พูดถึงข้าว่าอย่างไรบ้าง”

คนภายนอกต่างหาว่าเขาปิดหูปิดตาฮ่องเต้ที่ยังเยาว์วัย นอกจากจะกุมอำนาจในราชสำนัก นอกราชสำนักยังบังคับแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ พยายามใช้สงครามสร้างผลงาน เลวร้ายไม่ต่างจากเป็นเกาอ๋องคนที่สอง…

ศัตรูในราชสำนักยังพอว่า แม้แต่ราษฎรผู้โง่เขลาก็ช่างเถิด เพราะอธิบายความจริงให้ฟังไม่ได้ ผู้อื่นน่ะไม่เท่าไร แต่ที่จางเป่าไม่เข้าใจคือเหตุใดกระทั่งฮ่องเต้น้อยยังเหมือนเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ยอมปล่อยให้การโจมตีที่ไร้หลักฐานเช่นนี้เป็นดังลูกศรอาบยาพิษยิงใส่อ๋องผู้สำเร็จราชการดอกแล้วดอกเล่า

แต่เล็กจนโตฮ่องเต้น้อยเชื่อใจและยึดท่านอ๋องเป็นที่พึ่งมากกว่าใครทั้งนั้นไม่ใช่หรือ

เป็นเพราะอะไรกันแน่…

ขันทีน้อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ พอสบประสานกับสายตาสงบนิ่งที่ทอยิ้มบางๆ ของเจ้านายก็พลันชะงักแล้วบรรลุวาบ

เขาเป็นอะไรไปนะ ถึงได้แสดงความโง่เขลาออกมาจนถึงขั้นนี้

เกลี้ยกล่อมให้กินอาหารก็เกลี้ยกล่อมไป แต่ดันเอ่ยเรื่องไม่เป็นมงคลที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าเจ้านายเสียได้

เขารีบปาดน้ำตา แล้วงัดเอาความสามารถในการเล่นตลกชวนหัวแต่เก่าก่อนมาใช้ แสร้งตบหน้าตนเองฉาดหนึ่ง จากนั้นก็เอามือกุมแก้มพูดว่า “กระหม่อมนึกออกแล้ว เมื่อคืนกระหม่อมนอนไม่พอนี่เอง เมื่อครู่ถึงได้ละเมอพูดจาเลอะเทอะ! เพิ่งจะได้สติตื่นขึ้นมาด้วยแรงตบฉาดนี้นี่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องรีบเสวยเร็วเข้าเถิด หากสายประเดี๋ยวจะเสด็จเข้าประชุมราชสำนักไม่ทัน!”

ซู่เซิ่นฮุยกินอาหารต่อโดยไม่พูดอะไรอีก พอกินเสร็จก็กลั้วปากอย่างไม่รีบร้อน รับผ้าที่จางเป่ากระวีกระวาดส่งให้มาเช็ดปากอย่างเบามือ สุดท้ายก็มองขันทีคนสนิทยิ้มๆ “ยังเช้าอยู่มาก พอข้าไปแล้ว เจ้ากลับไปนอนต่อสักงีบไป”

หลังพูดอย่างนั้นก็วางผ้าลงบนถาดดังเดิมแล้วหมุนตัวเดินออกไป

หวังเหรินนำกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชามารออยู่แล้วที่นอกประตูใหญ่หน้าจวน พอเจ้านายขึ้นม้าก็ขี่ตามไปอารักขา ทั้งหมดฝ่าความมืดมิดของท้องฟ้าเบื้องบนออกจากจวนอ๋อง พร้อมเสียงเกือกม้ากระทบกระเบื้องหินดังกุบกับๆ เป็นกังวานก้อง มุ่งหน้าสู่วังหลวงดังเช่นปกติ

ในมุมหนึ่งของตรอกลึกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล สายตาคู่หนึ่งจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของเขา โดยมีม่านดำมืดอันเข้มข้นของรัตติกาลช่วยอำพราง จวบจนเขาหายลับไปในความมืด คนผู้นั้นถึงค่อยออกจากที่ซ่อนอย่างเงียบเชียบ ลัดเลาะเข้าตรอกเล็กตรอกน้อยข้างเคียงที่ตัดกันเป็นตารางเหมือนกระดานหมากของฉางอัน เพียงครู่เดียวก็นำข่าวไปบอกยังจุดที่นัดแนะไว้

สำหรับซู่เซิ่นฮุยแล้วตลอดคืนที่ผ่านมาเป็นคืนสงบสุขธรรมดาคืนหนึ่ง แต่สำหรับคนบางกลุ่มกลับเป็นคืนที่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน

ยิ่งสถานการณ์สงครามทางเหนือผันผวนเท่าไร ข้อโต้แย้งในราชสำนักก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเท่านั้น แม้ฮ่องเต้น้อยจะยังเอาแต่รักษาท่าทีคลุมเครือจนคาดเดาความคิดไม่ได้มาจนบัดนี้ แต่ขอเพียงมีความเงียบของเจ้าตัวก็พอแล้ว

ในบางมุมความเงียบก็คือการเห็นชอบที่ดีที่สุด

ทุกอย่างถูกวางแผนการไว้อย่างรัดกุม

พวกเขากำลังกลั้นหายใจอยู่ในความมืด รอคอยการมาถึงของช่วงเวลาสุดท้ายด้วยใจระทึก

ดาบนั้นคืนสนอง…เหมือนอย่างที่อ๋องผู้สำเร็จราชการเคยทำกับเกาอ๋องในอดีต ฉวยโอกาสที่ไม่ทันระวังตัวเล่นงานให้ถึงชีวิต

คนสามร้อยคนมาซุ่มซ่อนริมทางที่เจ้าตัวต้องผ่านเวลาเข้าวังหลวงแล้ว

นับแต่ขึ้นปีใหม่ วันใดมีประชุมราชสำนักซู่เซิ่นฮุยจะปฏิบัติกิจวัตรตายตัวอย่างเคร่งครัด นั่นคือออกจากจวนยามอิ๋นตรงเป็นประจำ ใช้เวลาระหว่างทางไม่ถึงสองเค่อก็มาถึงวังหลวงแล้วเข้าไปทางประตูทักษิณ

ในยามนี้ขุนนางราชสำนักยังไม่มา หลังเข้าวังหลวงเขาจะไปหอเหวินหลินก่อน นั่งสะสางงานราชกิจที่นั่นอยู่สักพัก ครั้นพอใกล้ยามเหม่าเหล่าขุนนางเริ่มทยอยกันมาแล้ว เขาถึงค่อยออกจากหอเหวินหลินไปร่วมประชุมราชสำนักที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง

ไม่ว่าสภาพอากาศเป็นเช่นไร ฝนจะตกฟ้าจะร้อง ชายหนุ่มก็ปฏิบัติกิจวัตรดังนี้ไม่มีเปลี่ยน

คนสามร้อยคนนี้ซ่อนตัวอยู่สองข้างชายคาตำหนักอันทอดตัวไปสู่ประตูทักษิณ เขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด กำลังคนทั้งหมดจะลุกขึ้นมาระดมยิงธนูใส่พร้อมกัน ต่อให้ซู่เซิ่นฮุยเป็นเทพสวรรค์จากชั้นฟ้าก็ต้องถูกยิงตายอย่างหนีไม่พ้น

ตอนที่ซู่เจี่ยนรู้ว่ามีเหตุผิดสังเกตที่ประตูทักษิณก็เป็นยามอิ๋นตรง ซู่เซิ่นฮุยออกจากตำหนักแล้ว กำลังอยู่ระหว่างทางมาวังหลวง

คนที่มารายงานเหตุให้เขารู้คือแม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์คนปัจจุบัน…จย่าซิว อดีตหัวหน้าราชองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งให้ไปทดสอบฝีมือเจียงหานหยวนในสวนเหมยที่จวนเสียนอ๋องวันนั้น เขาเป็นคนสนิทของฮ่องเต้น้อย

เส้นทางที่อยู่นอกวังหลวงอยู่ใต้การกำกับดูแลของทหารองครักษ์กะกลางคืน พอเข้ารุ่งสางทหารองครักษ์ตัวเล็กๆ นายหนึ่งก็แอบส่งข่าวมาบอกว่าผู้บังคับบัญชาของตนอ้างเรื่องการศึกทางเหนือ บอกว่าต้องเพิ่มกำลังป้องกันกะทันหันไม่ให้สายลับของเป่ยตี๋แฝงตัวเข้ามาในฉางอันได้อีก

อันที่จริงไม่มีอะไร แต่ประตูทักษิณของวังหลวงเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของเขา อยู่ดีๆ ผู้บังคับบัญชากลับสั่งย้ายเขาไปที่อื่น เพราะเป็นคำสั่งจากเบื้องบน เขาจึงต้องปฏิบัติตาม ให้เวรยามชุดใหม่เข้าแทนที่ ทว่าหลังจากนั้นก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา

ต้องตระหนักว่าตามปกติแล้วการเปลี่ยนผลัดเวรยามกะทันหันในยามวิกาลเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยนักในพื้นที่เช่นประตูทักษิณ หากเกิดขึ้นเมื่อใดมักเป็นสัญญาณนำไปสู่เหตุอื่นเสมอ เขาเป็นทหารยามที่ทำงานมาหลายปี จึงแอบส่งข่าวเข้ามาบอกพร้อมถามว่าวังหลวงมีคำสั่งเช่นนี้จริงหรือไม่ จย่าซิวไม่รู้เรื่องเลยสักนิด พอได้รับข่าวก็รีบนำความมารายงานฮ่องเต้น้อยโดยไม่รอช้า

“เพราะฝ่าบาทไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติงานสำคัญ เมื่อกระหม่อมมีวาสนาได้รับตำแหน่งใหม่ก็ทำตามที่ทรงพระบัญชา ลอบจับตามองสองกองกำลังของเฉินหลุนและหลันหรง รวมทั้งกองทหารองครักษ์กะกลางคืนต่างๆ นอกวังหลวงเป็นการลับ พร้อมกันนั้นยังติดต่อกับพวกเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาแต่ดั้งเดิม ให้พวกเขาช่วยสอดส่องเป็นหูเป็นตา พบเห็นเรื่องผิดปกติเมื่อไรก็สามารถใช้ช่องทางลับส่งข่าวมาบอกได้ทุกเมื่อ ทหารนายนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นพ่ะย่ะค่ะ แม้ประตูทักษิณจะเป็นพื้นที่นอกวังหลวง แต่ก็เป็นทางที่เหล่าขุนนางต้องผ่านเวลาจะเข้าราชสำนัก องครักษ์กะกลางคืนผลัดเปลี่ยนเวรยามกะทันหันในครึ่งคืนหลัง ซ้ำวันนี้ราชสำนักยังมีประชุมใหญ่ กระหม่อมเกรงว่าจะเกิดเหตุ จึงรีบนำความมากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

ซู่เจี่ยนตื่นนอนนานแล้ว กำลังเตรียมตัวสำหรับการประชุมราชสำนักในวันนี้เช่นกัน ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้ากราดเกรี้ยว สั่งให้จย่าซิวนำตัวหัวหน้าเวรยามประจำประตูทักษิณที่อยู่เวรเมื่อคืนมาสอบถามทันทีโดยไม่ต้องคิด

จย่าซิวหมุนตัวเดินออกไปปฏิบัติตามคำบัญชาอย่างเร่งด่วน ทันใดนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้น้อยร้องเรียก “ช้าก่อน”

เขาชะงักเท้าทันควัน แล้วหันกลับมา เห็นผู้เป็นนายยืนนิ่งอยู่กับที่สักพักด้วยสีหน้าอ่านยาก จากนั้นก็โพล่งขึ้นว่า “เราจะออกไปดูเอง! อยากรู้นักว่าคนพวกนี้คิดจะทำสิ่งใดกันแน่!”

จย่าซิวรับคำสั่ง

ซู่เจี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าลวกๆ จังหวะที่กำลังจะเดินออกจากตำหนักบรรทมก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาเข้าหู “อีกนานกว่าจะถึงยามเหม่า ฟ้ามืดออกอย่างนี้ พวกขุนนางยังไม่ทันได้เข้าวังหลวงด้วยซ้ำ ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดกัน”

เด็กหนุ่มเงยหน้า คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา มีข้าราชบริพารสองคนถือโคมส่องทางนำหน้า ข้างหลังคือหลี่ไท่เฟยที่ให้ข้ารับใช้ประคองมาที่ตำหนักของเขา

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: