บทที่สาม
วันนี้ลู่ซื่อตระเตรียมเนื้อสัตว์ห้าชนิดเป็นเครื่องถวายบูชา นำพาผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งพร้อมด้วยมู่ฝูหลันออกนอกเมืองไปลงเรือ แล้วมุ่งหน้าสู่เขาจวินซานเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตำหนักศาล เป็นการแสดงความขอบคุณที่คุ้มครองให้สามีของตนพ้นเคราะห์ในวันนั้นมาได้
เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วพี่สะใภ้กับน้องสาวสามีก็ออกมาแล้วลงเขา มู่ฝูหลันเอ่ยถามขึ้น “พี่สะใภ้ อาจารย์อยู่บนเขาหรือไม่เจ้าคะ ถ้าอยู่ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านผู้อาวุโสสักหน่อย”
อาจารย์ของนางแซ่หลี่เป็นหมอชื่อดังในแผ่นดิน ใครๆ ล้วนเรียกขานเขาว่า ‘เฒ่าโอสถหลี่’ เมื่อครั้งวัยหนุ่มเคยเป็นหมอหลวงในพระราชวัง ภายหลังเขาออกจากวังหลวงแล้วออกท่องไปทั่วทุกสารทิศ ทางหนึ่งแต่งตำราแพทย์ ทางหนึ่งเป็นหมอรักษาชาวบ้าน หลายปีก่อนเขารอนแรมมาถึงทะเลสาบต้งถิงแล้วชื่นชอบทิวทัศน์ธรรมชาติของที่แห่งนี้ จึงปลูกกระท่อมอาศัยอยู่บนเขาจวินซาน
บิดาของมู่ฝูหลันเลื่อมใสในความสามารถของเขา เดินทางมาเยี่ยมคารวะด้วยตนเองและเริ่มไปมาหาสู่ เฒ่าโอสถเห็นธิดาอ๋องอายุน้อยๆ ก็แสดงความสนใจต่อยาสมุนไพรของตน ทั้งพึงใจที่นางฉลาดเฉลียว จึงรับเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัว สอนวิชาแพทย์ให้นางบางส่วนยามว่าง
ตอนมู่ฝูหลันออกเรือน อาจารย์ของนางยังอยู่ที่เขาจวินซาน
ลู่ซื่อพูดยิ้มๆ “เจ้าออกเรือนได้ไม่นาน เฒ่าโอสถก็ลงเขาไปเช่นกัน ไม่รู้จะกลับมาวันใด”
มู่ฝูหลันกล่าว “พี่สะใภ้กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ ข้าจะไปดูแปลงสมุนไพรที่เรือนของอาจารย์สักหน่อยเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อรู้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างน้องสาวสามีกับเฒ่าโอสถดี นางจึงพยักหน้า “ก็ดี เช่นนั้นข้ากลับเข้าเมืองก่อน เจ้าก็กลับมาเร็วๆ นะ”
มู่ฝูหลันรับคำแล้วมองส่งลู่ซื่อลงเขา ส่วนตนเองลัดเลาะไปตามเส้นทางบนภูเขาจนมาถึงที่พำนักของอาจารย์ เป็นเรือนที่ซ่อนตัวอยู่กลางเขา ใช้ไม้ไผ่สานเป็นรั้วล้อมกระท่อมหลายหลัง มีแปลงสมุนไพรขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง
แม้อาจารย์ลงเขาไปแล้ว แต่ยังทิ้งเด็กรับใช้คนหนึ่งนามว่า ‘อาต้า’ คอยอยู่เฝ้าที่นี่ดูแลแปลงสมุนไพร
อาต้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกอาจารย์เก็บมาเลี้ยงจนโต นิสัยซื่อตรงหัวอ่อน เขาทำงานง่วนอยู่ที่หลังเรือน เมื่อเห็นธิดาอ๋องมาถึงก็ตื่นเต้นดีใจเหลือจะกล่าว รีบวางจอบลงแล้ววิ่งออกมาต้อนรับ
มู่ฝูหลันบอกเขาว่าไม่ต้องสนใจตนแล้วไปที่แปลงสมุนไพรช่วยจัดเรียงต้นสมุนไพรที่เพิ่งเด็ดใหม่ๆ วางผึ่งแดด นางง่วนอยู่กับงานจนผ่านไปครึ่งวันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แม่นมมู่เริ่มพูดเร่งให้นางกลับเมือง
ดวงตะวันคล้อยลงทางทิศตะวันตก มู่ฝูหลันก็รู้ว่าสมควรกลับได้แล้ว นางพูดกำชับอาต้าให้ดูแลแปลงสมุนไพรให้ดี จากนั้นล้างมือออกจากกระท่อม ยกขบวนลงเขาไป ตอนเดินผ่านต้นสนเก่าแก่ต้นหนึ่ง จูอวี๋สาวใช้ของนางพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิง พวกเขาพูดกันว่าต้นสนเก่าแก่นี้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีคนดั้นด้นมากราบไหว้มันถึงที่นี่มากมาย ในเมื่อพวกเราผ่านมาแล้วก็ไปไหว้กันเถอะเจ้าค่ะ”
รากของต้นสนต้นนี้หยั่งลึกลงพื้นตรงริมผาเลื้อยพาดพันกันไปมา แผ่กิ่งก้านสาขาผลิใบดกดื่น แม้ลมภูเขาพัดกระหน่ำ มันก็ยังยืนตระหง่านมั่นคงข้ามผ่านกาลเวลามานับร้อยนับพันปี
มู่ฝูหลันหยุดฝีเท้าทอดสายตามองอยู่ไกลๆ ครู่หนึ่ง
“เย็นมากแล้ว ลงเขาเถอะ”
นางพูดจบแล้วดึงสายตากลับ หมุนกายก้าวลงบันไดสู่เชิงเขาต่อไป
ที่นี่มีตำนานท้องถิ่นเล่าขานว่าต้นสนเก่าแก่ซึ่งขึ้นอยู่ตรงริมผาบนเขาจวินซานต้นนี้มีอายุเท่ากับเขาจวินซาน เป็นท่านเซียงจวินกับเซียงฮูหยินลงมือปลูก ช่วยประทานพรเรื่องคู่ครองให้ผู้คน
สาวใช้วัยเยาว์หลายคนที่มาด้วยกันล้วนเชื่อถืออยู่บ้าง ไม่คิดว่าธิดาอ๋องจะไม่สนใจเลยจำต้องล้มเลิกความคิดแล้วติดตามนางลงเขา
กว่าองครักษ์ตรงเชิงเขาจะพายเรือส่งกลุ่มของมู่ฝูหลันขึ้นฝั่งแล้วนั่งรถม้ากลับเข้าเมืองก็เป็นเวลาจุดโคมแล้ว
หญิงสาวเพิ่งก้าวเข้าวังอ๋องก็ได้รู้ข่าวเรื่องหนึ่ง
เซี่ยฉางเกิงที่ปราบปรามกบฏเจียงตูอ๋องได้แล้วส่งคนถือสารมามอบให้มู่เซวียนชิง แจ้งว่าเขาจะมาถึงแคว้นฉางซาเร็วๆ นี้
ลู่ซื่อได้รับรายงานว่าน้องสาวสามีกลับถึงวังแล้วก็นำสารไปยังห้องส่วนตัวของอีกฝ่ายอย่างว่องไว พอได้พบมู่ฝูหลัน นางถึงกับมีรอยยิ้มบนหน้า
“หลันเอ๋อร์ น้องเขยเขียนมาในสารว่าเขาเดินทางมาครั้งนี้เพื่อเซ่นไหว้ท่านพ่อ แน่นอนว่านอกเหนือจากนั้นแล้วคงจะมารับเจ้ากลับไปด้วย”
น้องสาวสามีเพิ่งออกเรือนได้ครึ่งปีกว่าก็กลับแคว้นฉางซาตามลำพังโดยไม่คำนึงถึงระยะทางที่ห่างไกล แม้จะพูดว่าเพราะท่านเทพจวินซานมาเข้าฝัน ทำให้นางเป็นห่วงพี่ชายจึงได้เร่งรุดกลับมาเอง ทว่าหลายวันมานี้ลู่ซื่อได้รู้จากปากของพวกสาวใช้เช่นจูอวี๋ว่านายหญิงเซี่ยมิใช่คนที่อยู่ร่วมด้วยง่ายๆ วันที่มู่ฝูหลันจากมายังเกิดเรื่องหมางใจกัน จนมารดาสามีถึงขั้นเอ่ยเรื่องรับอนุ
หลังแต่งงานได้ไม่นาน สามีไม่อยู่เรือน ภรรยาก็ดึงดันกลับสกุลเดิมโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของมารดาสามี ถึงเรื่องนี้มีสาเหตุ แต่ในสายตาของผู้คนก็มองว่าเป็นฝ่ายภรรยาที่ไร้เหตุผล
สามีของนางรอดชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย อาการบาดเจ็บก็ไม่หนักหนาเท่าใด แต่น้องสาวสามีกลับไม่เอ่ยสักคำว่าจะกลับไป
ลู่ซื่อนึกสงสัยว่ามู่ฝูหลันอาจโกรธเคืองอยู่ในใจที่นายหญิงเซี่ยเอ่ยเรื่องรับอนุ
ด้วยกลัวน้องสาวสามีจะคิดมาก ถึงลู่ซื่อไม่พูดกับมู่ฝูหลันตรงๆ แม้แต่ครึ่งคำ แต่ในใจยังวิตกกังวลแทนนางเป็นอันมาก หวาดหวั่นว่านางจะเป็นที่ชังน้ำหน้าของสกุลเซี่ยเพราะเหตุนี้ ส่งผลให้สามีหมดรัก
เมื่อเซี่ยฉางเกิงกลับเรือนมาแล้วเกิดถือโทษโกรธเคืองจนไม่มารับนาง ถึงตอนนั้นเกรงว่าน้องสาวสามีจะวางตัวลำบากอยู่บ้าง
จะไม่กลับ…ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ากลับไปเองก็เสียศักดิ์ศรีอีก อีกทั้งช่วงเวลาหลังจากนี้ยามอยู่ในสกุลเซี่ย หวั่นใจว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่ลง
ลู่ซื่อลอบกลัดกลุ้มใจ ตอนไปเซ่นไหว้ขอบคุณท่านเทพจวินซานยังตั้งใจขอพรให้น้องสาวสามีเป็นพิเศษ
ไม่คาดว่าจะสมดังใจปรารถนา ทันทีที่กลับมาก็ได้รับข่าวดีนี้ จะไม่ให้นางสำราญบานใจได้อย่างไร
นางยื่นสารที่เซี่ยฉางเกิงเขียนถึงมู่เซวียนชิงส่งให้
“หลันเอ๋อร์ เจ้าอ่านสิ”
มู่ฝูหลันกลับไม่รับสารไว้ ใบหน้าก็ปราศจากร่องรอยปีติยินดีใดๆ ให้เห็น
ลู่ซื่อเอ่ยถามอย่างกังขา “เจ้าเป็นอะไรไป น้องเขยจะมารับเจ้าแล้ว นี่มิใช่เรื่องดีหรือ”
มู่ฝูหลันบอกให้สาวใช้ออกไป รอจนในห้องเหลือเพียงตนเองกับลู่ซื่อถึงกล่าวขึ้น “พี่สะใภ้ ข้าไม่กลับไป ข้าอยากจะหย่า และตัดความสัมพันธ์กับสกุลเซี่ยเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อตกตะลึงพรึงเพริดไปหมด ทีแรกนางนึกว่าตนเองหูฝาด แต่เห็นน้องสาวสามีทำสีหน้าเคร่งขรึมไม่คล้ายพูดส่งเดช นางก็กล่าวอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้น เจ้าเพิ่งออกเรือนได้ครึ่งปีกว่า กลับคิดจะหย่าร้างแล้ว? เมื่อก่อนเจ้ามีจิตปฏิพัทธ์ต่อบุรุษสกุลเซี่ยเพียงผู้เดียวมิใช่หรือ อีกอย่างหลังพวกเจ้าแต่งงานกัน เกรงว่ายังไม่ได้พูดจากันสักคำด้วยซ้ำ ไยจู่ๆ ก็จะตัดความสัมพันธ์กันแล้วเล่า”
ระหว่างที่มู่ฝูหลันนิ่งเงียบ ลู่ซื่อพลันฉุกคิดถึงคำพูดของสาวใช้ นางรีบพูดหว่านล้อมต่อ “หลันเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพูดเพราะกลัวเจ้าคิดมาก ข้าเคยได้ยินสาวใช้ของเจ้าเล่าให้ฟังบ้างว่าแม่สามีเจ้ามีความคิดจะรับแม่นางชีเข้าเรือน หากเจ้าไม่เต็มใจ รอพบหน้าน้องเขยแล้วพูดจาดีๆ กับเขาก็ได้ พวกเจ้าเพิ่งแต่งงานกัน ถ้าเจ้าไม่พยักหน้า ต่อให้เขากับสตรีสกุลชีมีอดีตลึกซึ้งปานใด ก็ไม่อาจหักหน้าแคว้นฉางซาเราด้วยการเอาเกี้ยวรับคนเข้าเรือนให้ได้”
นางจับมือของน้องสาวสามีไว้ ทอดเสียงอ่อนลง “หลันเอ๋อร์ เจ้าฟังคำข้านะ เจ้าเป็นประมุขหญิงของสกุลเซี่ย เรื่องนี้ขอแค่เจ้าไม่รับปาก นางก็เข้าเรือนมาไม่ได้ อาศัยรูปโฉมของเจ้าและใช้มารยาหญิงบ้าง ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะมัดใจน้องเขยไม่อยู่ ยิ่งกว่านั้นยังมีแคว้นฉางซาอยู่อีก แม้เป็นแคว้นเล็กๆ แต่ฐานะท่านหญิงของเจ้าก็เป็นที่รับรู้กันอยู่ แค่สตรีนางเดียวทำให้เจ้าท้อแท้สิ้นหวังถึงขั้นนี้ได้เช่นไรกัน”
มู่ฝูหลันกล่าว “พี่สะใภ้ ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด แต่ที่ข้าอยากตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเซี่ย มิใช่เพราะสตรีสกุลชี แต่ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว ข้าหมดความพึงใจต่อคนแซ่เซี่ยผู้นั้น ทั้งไม่ปรารถนาจะปล่อยชีวิตให้สูญเปล่าอยู่ในสกุลเซี่ยต่อไป ข้ากลับมาหนนี้ก็ไม่คิดจะหวนกลับไปอีก และจะไม่เปลี่ยนใจด้วย พี่สะใภ้ได้โปรดให้อภัยในความดื้อรั้นของข้า ช่วยส่งเสริมข้า อย่าเกลี้ยกล่อมข้ากลับไปอีกเลย”
น้ำเสียงของนางสงบนิ่งดังเก่า แต่ท่าทางแน่วแน่อย่างยิ่งยวด
ลู่ซื่อจ้องมองมู่ฝูหลันอย่างตกตะลึง ท่ามกลางความสับสนงุนงง นางถึงกับบังเกิดความรู้สึกว่าเหมือนอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า
นี่ไม่เหมือนความคิดอ่านของเด็กสาวอายุสิบหกปีคนหนึ่ง!
ภาพของน้องสาวสามีที่ประทับอยู่ในใจนางเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อย
จำได้ว่าในคืนก่อนที่มู่ฝูหลันจะออกเรือน ตนเองนอนอยู่เป็นเพื่อนนาง ความประหม่าตื่นเต้น วาดหวังและขลาดอายของนางยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
ลู่ซื่อไม่รู้จริงๆ ว่าในเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีกว่านี้เกิดเรื่องใดขึ้นกับนางกันแน่ ถึงทำให้นางตัดสินใจเยี่ยงนี้
ราวกับว่านางเติบโตเป็นผู้ใหญ่กะทันหัน ไม่ใช่ธิดาอ๋องสกุลมู่ที่ตนรู้จักมักคุ้นอีกต่อไป
“หลันเอ๋อร์…”
ลู่ซื่อลำบากใจเสียแล้ว นางลังเลตัดสินใจไม่ได้
“เจ้าอยากตัดความเกี่ยวข้องกับสกุลเซี่ย เดิมก็ไม่เป็นปัญหาอะไร และหากไม่เต็มใจรั้งอยู่ในสกุลเซี่ยต่อไปจริงๆ พี่สะใภ้ย่อมไม่บังคับให้เจ้ากลับไปเป็นธรรมดา แต่ว่านี่มิใช่เรื่องเล็ก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพียงนั้น ถึงพูดว่าแม่สามีเจ้าเอ่ยเรื่องรับอนุ แต่คนยังไม่เข้าเรือนมาเลย หรือต่อให้เข้ามาแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่พวกเราจะขอหย่าร้างได้ เหนืออื่นใดนี่เป็นการแต่งงานที่ท่านพ่อจัดการให้เจ้าในตอนนั้น มันเกี่ยวพันถึงความสุขสงบทั้งสี่ทิศของเขตแดนแม่น้ำฉางเจียงและทะเลสาบต้งถิงของเรา อยู่ดีๆ พวกเราจะเอ่ยปากกับเขาอย่างไร”
ปัญหากบฏเจ้าแคว้นของทางราชสำนักที่ต่อเนื่องยืดเยื้อมานานหลายปีจนบัดนี้ยังไม่ยุติลงโดยสิ้นเชิง เริ่มต้นขึ้นในสมัยหลิวไทเฮากุมอำนาจ พอเกิดการสู้รบชุลมุนก็ระส่ำระสายไปทุกหย่อมหญ้า บรรดาเจ้าแคว้นต่างๆ บ้างมักใหญ่ใฝ่สูง บ้างถูกความจำเป็นบังคับ ถูกดึงเข้ามาพัวพันต่อๆ กันคนแล้วคนเล่า ครั้งที่มากที่สุดมีรวมกันถึงสิบกว่าแคว้น
สองฟากฝั่งของแม่น้ำฉางเจียงมีกองโจรออกปล้นสะดมมาแต่โบราณ ส่วนทะเลสาบต้งถิงนั้นทิศเหนือติดกับแม่น้ำฉางเจียง ทิศตะวันตกเชื่อมกับลำน้ำเซียง จือ หยวน หลี่สี่สาย รวมถึงแม่น้ำมี่หลัว ทำให้การสัญจรทางน้ำสะดวกไปได้ทุกทิศทางยิ่งเอื้อต่อการเลี้ยงโจร พอภายนอกมีสงคราม เขตทะเลสาบต้งถิงก็เกิดความไม่สงบไปทุกหย่อมหญ้าอย่างไม่หยุดหย่อน
สามปีก่อนอดีตฉางซาอ๋องสังหรณ์ใจว่าตนเองอาจมีชีวิตอยู่บนโลกได้อีกไม่นาน ตอนเขายังอยู่สามารถอาศัยอำนาจบารมีในกาลก่อนกำราบสี่ทิศได้ แต่หากตนเองไม่อยู่แล้วเกิดความชุลมุนวุ่นวาย เกรงว่าสักวันต้องลุกลามมาถึงแคว้นฉางซาในตอนท้าย มู่เซวียนชิงผู้เป็นบุตรชายคงไม่อาจประคับประคองสถานการณ์ไว้ด้วยกำลังคนเดียว
ยามนั้นเซี่ยฉางเกิงในวัยสิบเก้าก็รวบรวมสมัครพรรคพวกพิชิตแม่น้ำฉางเจียงที่ชุกชุมไปด้วยโจรผู้ร้าย ยึดครองพื้นที่ตอนบนของเส้นทางน้ำทั้งหมดจนคุมการขนส่งลำเลียงเสบียงอาหารของราชสำนักไว้ได้
ก่อนหน้านั้นตอนอดีตฉางซาอ๋องกวาดล้างกลุ่มโจรที่ก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านตามลุ่มน้ำแถบพรมแดนแคว้นฉางซามานานปี ก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากเซี่ยฉางเกิง
ตอนทั้งคู่มีโอกาสได้พบหน้ากันคราหนึ่ง ชายหนุ่มที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำหากความสามารถล้ำเลิศ และเป็นคนเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ผู้นี้ก็สร้างความประทับใจให้แก่ฉางซาอ๋องอย่างลึกซึ้งแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าวันข้างหน้าอีกฝ่ายจะต้องมิใช่คนสามัญธรรมดาเด็ดขาด
เขาหมายตาไปที่ตัวเซี่ยฉางเกิงในที่สุด
ราวกับส่งกระแสจิตถึงกันได้ ในเวลานี้เองเซี่ยฉางเกิงก็เป็นฝ่ายมาเยือนเพื่อสู่ขอบุตรสาวเขาพอดี
การแต่งงานจึงถูกกำหนดขึ้นอย่างราบรื่นด้วยดีเฉกนี้เอง
ฉางซาอ๋องยกมู่ฝูหลันธิดาวัยสิบสามปีให้แก่เซี่ยฉางเกิงหัวหน้าโจรแห่งฉางเจียงวัยสิบเก้าปี
หลังจากนั้นไม่นานนัก เพราะฉางซาอ๋องทูลเสนอชื่อเซี่ยฉางเกิงกับราชสำนัก เขาจึงถูกดึงตัวมาทำงานรับใช้แผ่นดิน สลัดคราบโจรทิ้งเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการเจียงหลิง
ต่อมาฉางซาอ๋องล้มป่วยจากไป นับจากนั้นเซี่ยฉางเกิงก็อาศัยความชอบจากการรบไต่เต้าถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาสั้นๆ เพียงสามปี เขาได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์จนเป็นที่เกรงขามของผู้คน
ไม่ต้องเอ่ยถึงอื่นใด เพียงเรื่องการแต่งงานนี้ ไม่ว่าสำหรับเซี่ยฉางเกิงหรือแคว้นฉางซาล้วนเป็นการผูกดองที่ต่างฝ่ายต่างได้รับผลดี
ฝ่ายเซี่ยฉางเกิงได้เข้ารับราชการ ส่วนแคว้นฉางซาก็สันติสุขไร้ทุกข์ภัยทั่วทุกทิศดั่งที่อดีตฉางซาอ๋องวาดหวังไว้
ด้วยเหตุนี้มู่ฝูหลันจะไม่เข้าใจว่าพี่สะใภ้กริ่งเกรงในจุดนี้ได้อย่างไร
นางกล่าว “พี่สะใภ้ พวกท่านไม่ต้องเอ่ยปาก ข้าจะเป็นคนบอกกับเขาเอง ถ้าหากตัวเขาเห็นพ้องก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสงบของดินแดนลุ่มน้ำรอบทะเลสาบต้งถิงเรา พวกท่านจะส่งเสริมข้าหรือไม่”
เวลานี้มีคนผลักประตูเปิดออก
มู่ฝูหลันหันหน้าไปเห็นพี่ชายมู่เซวียนชิงนั่งบนเสลี่ยงหามหยุดอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าเขาฉายรอยโทสะเต็มเปี่ยม
“น้องพี่ สกุลเซี่ยรังแกกันมากเกินไปแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปเท่าไรกัน ถึงกับกล้าหยามเกียรติเจ้าเช่นนี้ คนแซ่เซี่ยเดิมเป็นจอมโจรชื่อเสียงฉาวโฉ่คนหนึ่ง ไหนเลยจะคู่ควรกับเจ้า ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงพี่ของเจ้าจะไม่ได้ความปานใดก็ไม่ปล่อยให้เจ้าทนอัปยศอดสูเยี่ยงนี้!”
“เซวียนชิง…”
ลู่ซื่อเรียกสามีอย่างห่วงใย
“ความประสงค์ของน้องข้าก็คือความประสงค์ของข้า!”
มู่เซวียนชิงตวาดเสียงกร้าว ไม่เปิดช่องให้ต่อรองแม้สักนิด
แต่ไรมาพวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กันดี เป็นคราแรกที่มู่เซวียนชิงกล่าววาจากับภรรยาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน
ท่านอ๋องกริ้วโกรธ ส่งผลให้คนรับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างมีสีหน้าเกรงกลัว พากันคุกเข่าลงหมอบราบกับพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ลู่ซื่อรู้ว่าสามีเดือดดาลปานนี้คงเพราะรู้เรื่องที่สกุลเซี่ยคิดจะรับอนุแล้ว ถึงได้มาที่นี่โดยไม่ใส่ใจว่าขายังไม่หายสนิท
นางรู้นิสัยใจคอของสามีดี
เขาชิงชังฝังใจอยู่แต่เดิมที่ตนเองไร้ความสามารถ ครั้งนั้นเพราะบิดาไม่ไว้วางใจเขาถึงได้ยกน้องสาวให้จอมโจรคนหนึ่ง
สำหรับน้องสาวของท่านอ๋องคนหนึ่ง นี่ถือเป็นการลดศักดิ์ศรีอย่างที่สุดแล้ว
ตอนนี้สกุลเซี่ยยังกล้าทำเช่นนี้กับนาง เขาจะอดกลั้นต่อไปได้อย่างไรไหว
มาตรว่าลู่ซื่อรู้สึกตามสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้หาได้ง่ายดายอย่างที่น้องสาวสามีบอกต่อหน้าแค่นั้น บางทีอาจมีเบื้องหลังซุกซ่อนอยู่
ทว่าสามีของตนเป็นฉางซาอ๋อง เขาแสดงท่าทีเช่นนี้แล้วลู่ซื่อจะโต้แย้งอีกได้เช่นไร
ยิ่งกว่านั้นทีท่าของน้องสาวสามีก็แน่วแน่ถึงเพียงนี้ อีกทั้งนางยังเพิ่งช่วยสามีของตนไว้
ถึงแม้จะสามารถคาดการณ์ไปในทางร้ายที่สุดว่าการหย่าร้างอย่างกะทันหันนี้จะเป็นต้นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นฉางซากับเซี่ยฉางเกิง ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเหอซีที่บัดนี้กำลังเรืองอำนาจดุจดวงตะวันกลางฟ้าต้องขาดสะบั้นลง อาจถึงขั้นตั้งตนเป็นศัตรูกัน
แต่ยังมีเรื่องอะไรอีกเล่าที่จะเกิดผลลัพธ์น่ากลัวยิ่งไปกว่าแคว้นฉางซาสูญเสียท่านอ๋องไป และตามมาด้วยการสิ้นแคว้น?
ถ้าหากมิใช่ท่านเทพเข้าฝันน้องสาวสามีแล้วนางส่งสารมาช่วยชีวิตคนได้ทันท่วงที เกรงว่าตอนนี้ตนเองคงไม่มีสามี แคว้นฉางซาไม่มีท่านอ๋อง และแคว้นนี้ก็จะดำรงคงอยู่ไปอีกได้ไม่นาน
ปกติลู่ซื่อเป็นคนจิตใจกว้างขวาง เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วก็สงบอารมณ์ลงได้
นางไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“ก็ดี ถ้าหลันเอ๋อร์ตกลงใจแน่วแน่ว่าจะตัดความเกี่ยวข้องกับสกุลเซี่ยจริงๆ พี่สะใภ้จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน เหมือนพี่ชายของเจ้า”
“ตราบเท่าที่มีแคว้นแห่งนี้อยู่ เจ้าก็คือธิดาอ๋องของแคว้นฉางซาเรา”
มู่เซวียนชิงมองภรรยาปราดหนึ่ง ในเวลานี้แววตาของเขาถึงอ่อนแสงลง เขาออกคำสั่งให้คนรับใช้รอบข้างออกไปทั้งหมด
“น้องพี่ เจ้าจำเมื่อสิบปีก่อนได้หรือไม่ เรื่องที่อาหญิงสวรรคตในวังหลวงตอนเจ้าหกขวบ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อน ตอนนั้นทั้งที่ท่านพ่อเคยได้รับข่าวว่าการตายของอาหญิงมีเงื่อนงำอย่างมาก และไทเฮาชั่วผู้นี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนีไม่พ้น แต่ก่อนสิ้นลม อาหญิงกลับส่งคนสนิทนำคำสั่งเสียมาบอกต่อท่านพ่อ…ตอนนั้นข้าอายุสิบสองแล้ว ยังจำคำสั่งเสียของอาหญิงได้อย่างแม่นยำจนทุกวันนี้ อาหญิงบอกว่าเป็นตายฟ้าลิขิต ล้วนเป็นไปตามกรรมของตน นางไม่คับแค้นโกรธเคืองแม้สักกระผีก เดิมทีราชสำนักหมายจะกำจัดท่านอ๋องต่างสกุล นางไม่อยากให้แคว้นฉางซาเกิดความวุ่นวายเพราะนาง อาหญิงบอกกับท่านพ่อว่าหลังจากนั้นจะต้องซ่อนคมงำประกายมากยิ่งขึ้น และถือความสันติสุขของแคว้นฉางซาเป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่ง”
เขาหยุดคำพูดครู่หนึ่ง แววตาคล้ายหวนรำลึก
“น้องพี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้อยคำนี้ของอาหญิงมีความหมายใด วันนั้นข้าไม่เข้าใจเลยถามท่านพ่อ แต่ท่านพ่อไม่ตอบ ภายหลังข้าขบคิดด้วยตนเอง จนกระทั่งสองปีมานี้ถึงกระจ่างแจ้งในที่สุด…
น้องพี่ เจ้าคิดว่าเหตุใดตอนนั้นราชสำนักถึงเลือกสตรีสกุลมู่เราเป็นฮองเฮา ดูคล้ายเชิดหน้าชูตา แต่แท้จริงแล้วเป็นเหยื่อล่ออาบยาพิษ! อาหญิงต้องจบชีวิตในวังหลวงโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว บางทีสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารออยู่ก็คือแคว้นฉางซาเราบังเกิดความโกรธแค้น ทันทีที่ท่านพ่อมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอันใดก็จะกลายเป็นข้ออ้างชั้นดีให้พวกเขาโจมตีสกุลมู่เรา”
มู่เซวียนชิงยิ่งพูดก็ยิ่งแค้นเคือง
“ท่านพ่ออดทนข่มกลั้นไว้เพื่อปกปักรักษารากฐานของสกุลมู่ ยังตอบตกลงการสู่ขอของคนแซ่เซี่ยผู้นั้น ยกเจ้าให้กับเขา ในเวลาเดียวกันนั้นท่านพ่อยังผลักดันเขาเข้าสู่เส้นทางขุนนาง คาดหวังจะอาศัยกำลังของเขาคุ้มครองอาณาเขตรอบแคว้นฉางซาให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ตอนนี้คนแซ่เซี่ยกลับถูกไทเฮาชั่วดึงตัวไปเป็นพวก และมีความใกล้ชิดกับนาง ไทเฮาชั่วยังอ้างเหตุผลกวาดล้างเจ้าแคว้นที่แข็งข้อเพื่อให้แคว้นฉางซาเราโดดเดี่ยวไร้พันธมิตรมาโดยตลอด เป็นการกำราบนัยๆ ท่านพ่ออาจทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหว ความแค้นของอาหญิงช้าเร็วข้าต้องสะสางให้ได้สักวัน คำพูดเมื่อครู่ของข้าก็มิใช่อารมณ์ชั่วครู่อย่างแน่นอน”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนมู่เซวียนชิงจะเอ่ยต่อว่า
“ตอนนั้นคนแซ่เซี่ยต้องการหลุดพ้นจากฐานะโจรร้ายถึงมาขอเกี่ยวดองกับสกุลมู่ ตอนนี้ยังยินยอมพร้อมใจเป็นสุนัขรับใช้ของไทเฮาชั่วเพื่อยศถาบรรดาศักดิ์อีก เขาไม่มีทางเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับสกุลมู่เราได้แน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายามนี้ถึงกับไม่ให้เกียรติเจ้าแล้ว เมื่อก่อนเป็นเพราะเจ้าอยากแต่งงานกับเขา ในเมื่อขณะนี้เจ้าเปลี่ยนใจแล้ว ต่อให้ข้ามู่เซวียนชิงจะไร้ความสามารถเพียงใด ก็จะไม่บังคับให้เจ้าฝากชีวิตไว้กับคนไร้สำนึกพรรค์นั้น!”
ในตอนท้ายเขาเอ่ยขึ้นว่า
“น้องพี่ เจ้าวางใจได้ รอคนแซ่เซี่ยมาถึง พี่จะพูดกับเขาให้รู้เรื่องแทนเจ้าเอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพี่จะใช้กำลังความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่สร้างความเกรียงไกรให้แคว้นฉางซา ปกป้องน้องสาวข้าไม่ให้ได้รับความคับข้องหมองใจใดๆ อีก”
ท่านอ๋องหนุ่มมีสีหน้าฮึกเหิม สองตาฉายประกายแรงกล้ายามลั่นวาจาอย่างฉะฉานหนักแน่น แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวอย่างหาที่เปรียบมิได้ของเขา รวมถึงความหยิ่งทะนงและกล้าหาญเฉพาะตัวของลูกหลานเชื้อพระวงศ์ให้ปรากฏชัดยิ่งขึ้น
กระแสอุ่นไหลรินผ่านกลางอกมู่ฝูหลันระลอกหนึ่ง
เซี่ยฉางเกิงมีอายุเท่ากับพี่ชายของนาง เพียงแก่กว่าไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่จิตใจลึกล้ำขั้นใด มีความอดทนข่มกลั้นปานใด และเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงไร บนแผ่นดินนี้อาจจะไม่มีใครคนใดชัดแจ้งไปมากกว่านางแล้ว
ไม่สำคัญว่าถึงเวลามู่เซวียนชิงจะช่วยไล่เซี่ยฉางเกิงกลับไปให้นางได้จริงๆ หรือไม่ เพราะแค่ความรักใคร่ทะนุถนอมที่พี่ชายกับพี่สะใภ้มีต่อนางก็ถือเป็นสิ่งทดแทนแสนล้ำค่าหลังจากสูญเสียลูกในไส้ที่รักยิ่งไปตลอดชาติ
นับแต่นี้นางจะทุ่มเทแรงกายแรงใจปกป้องสิ่งที่สำคัญและมีค่าต่อนางเหล่านี้ไว้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่เซวียนชิง พี่สะใภ้”
นางเพ่งมองพี่ชายกับพี่สะใภ้เบื้องหน้าพลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ครึ่งเดือนต่อมา ขุนนางกรมพิธีการของแคว้นฉางซาได้รับข่าวอีกครา
เซี่ยฉางเกิงผู้บัญชาการกองทัพเหอซี หรือสามีของท่านหญิงจะเดินทางมาถึงเมืองเยวี่ยในอีกสามวันให้หลัง
ตอนกรมพิธีการเริ่มลงมือจัดเตรียมพิธีต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติ กลับได้รับบัญชาจากท่านอ๋อง
ท่านอ๋องมีบัญชาให้พวกเขาไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น
ไม่ยับยั้งการมาเยือนของเซี่ยฉางเกิง แต่ก็ไม่เตรียมการต้อนรับใดๆ
ขุนนางกรมพิธีการฉงนใจยกใหญ่
มิต้องเอ่ยถึงว่าเพลานี้เซี่ยฉางเกิงเป็นขุนนางคนสำคัญทรงอำนาจยิ่ง ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเหอซีประจำการเหลียงโจวนี้ ยามมอบหมายหน้าที่จะต้องประทานตราประกาศิต ให้สิทธิ์สั่งประหารในกองทัพ ปักธงผู้บัญชาการหน้าจวน อำนาจบารมีล้นเหลือ
และต่อให้เขาเป็นสามัญชน แต่ในฐานะสามีของท่านหญิงที่มาเยือนแคว้นฉางซาเพื่อเซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับ การแสดง ‘มารยาท’ เฉกนี้ก็มิชอบด้วยประการทั้งปวง
แต่บัญชาของท่านอ๋องไม่อาจขัดขืนได้
ขุนนางกรมพิธีการไต่ถามท่านเสนาบดี แต่ตัวลู่หลินเองก็งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกดุจเดียวกัน เขาสอบถามจากชายาอ๋องก็ไม่ล่วงรู้ว่ามีเบื้องหลังอะไร ครั้นจะเกลี้ยกล่อมมู่เซวียนชิง อีกฝ่ายกลับไม่ให้เข้าพบ เขาได้แต่สะกดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ดำเนินการไปตามคำสั่ง
เมื่อถึงวันที่สิบห้า ลู่หลินขอเข้าเฝ้ามู่เซวียนชิงอีกครั้ง พร่ำเตือนเขาว่าเซี่ยฉางเกิงป่าวประกาศว่าจะมาที่นี่เซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับ เขาไม่ควรล่วงเกินคนปานนี้ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไรก็ตาม
ทว่ามู่เซวียนชิงไม่รับฟังคำพูดของเขา สะบัดแขนเสื้อจากไป
ลู่หลินจนปัญญา ได้แต่ออกคำสั่งให้เปิดประตูเมืองรับคน ส่วนตนเองนำพาขุนนางใต้บังคับบัญชาไปยังศาลบูชาอดีตเจ้าแคว้นรอคอยเซี่ยฉางเกิงอยู่ที่นั่น
ด้านเซี่ยฉางเกิงเดินทางมาถึงเมืองเยวี่ยหลังเที่ยงวัน
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีคราม รองเท้าทรงสูงสีดำพื้นรองเท้าขาว เป็นเครื่องแต่งกายที่แสนธรรมดา มีผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนอยู่ด้านหลังซึ่งสวมชุดสามัญเฉกเดียวกัน ส่งผลให้ตอนควบม้ามาถึงประตูเมือง ทหารยามก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มท่าทางสุภาพสง่างามตรงหน้าผู้นี้คือสามีของธิดาอ๋องแคว้นฉางซา ผู้บัญชาการกองทัพหัวเมืองชื่อดังที่หนุ่มแน่นที่สุดของราชวงศ์ เพียงเห็นผู้ร่วมทางของเขาดูเหมือนพกอาวุธติดกาย จึงสกัดพวกเขาไว้เพื่อไต่ถามความเป็นมา
พวกผู้ติดตามของเซี่ยฉางเกิงล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยผาดโผนไปทั่วแม่น้ำฉางเจียง ดิ้นรนต่อสู้มากับเขาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม แม้ดูท่าทางเหมือนชาวบ้านทั่วไป ยามอยู่รวมในฝูงชนจะมองไม่เห็นตัว หากแท้จริงแล้วแต่ละคนล้วนเป็นโจรดุร้ายฆ่าคนตาไม่กะพริบ หลังเข้าสู่แคว้นฉางซา พวกเขานึกแปลกใจกับการรับรองแขกของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก พอใกล้ถึงเมืองหลวงรอมร่อก็ยังไม่มีคนมาต้อนรับตามธรรมเนียมพื้นฐานที่สุด ซ้ำร้ายยังโดนทหารยามขวางหน้าซักไซ้อย่างไร้มารยาทอีก เป็นเหตุให้ความอดทนขาดผึง จะชักดาบปรี่เข้าใส่ด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ถูกเซี่ยฉางเกิงห้ามไว้
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนหลังอาชามองผ่านช่องประตูกำแพงเมืองหนาแข็งแกร่ง ภาพถนนหนทางของเมืองหลวงแคว้นฉางซาสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุ สีหน้าเขาสงบนิ่งยามบอกนามตน
ทหารยามได้ยินว่าเขาคือเซี่ยฉางเกิงแล้วตระหนกตกใจ ลนลานถอยหลบไปด้านข้างพลางเปิดทางให้
ตอนมาสู่ขอเมื่อสามปีก่อน เขาเพียงไปเยือนวังอ๋องเท่านั้น ไม่เคยไปถึงศาลบูชาเจ้าแคว้น จึงไถ่ถามเส้นทางจากทหารยาม
เขาทอดสายตาไปยังทิศทางที่ได้รับการชี้บอก หรี่ตาลงน้อยๆ แล้วชักม้าเข้าเมือง
ตอนลู่หลินนำขุนนางใต้บังคับบัญชามาเฝ้ารอที่เชิงบันไดทางเข้าศาลบูชา หยวนฮั่นติ่งก็มาถึงแล้วเช่นกัน
เขายืนตระหง่านแน่วนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาทั้งคู่มองตรงไปเบื้องหน้า ดุจดั่งเสาหินมั่นคงแข็งแรง
ลู่หลินอยู่ในขั้นยศสูงกว่าหยวนฮั่นติ่ง นับตามอายุก็เป็นผู้อาวุโส แต่วันนี้เขากลับไม่อาจเยือกเย็นหนักแน่นดุจขุนเขาเช่นเดียวกับอีกฝ่ายได้เลย
เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดมู่เซวียนชิงต้องวางท่าเย่อหยิ่งถือตนกับน้องเขยซึ่งเดินทางไกลมาเยือน
เขายังกังวลใจว่าถ้าเกิดล่วงเกินเซี่ยฉางเกิงด้วยเหตุนี้ จะไม่เป็นผลดีอันใดต่อแคว้นฉางซาในวันหน้าเป็นแน่แท้
ขณะที่เขาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างกระสับกระส่ายวุ่นวายใจ พลันเห็นร่างคนผู้หนึ่งไกลๆ เป็นจุดดำเล็กๆ เคลื่อนมาจากสุดปลายทางเดินอีกฟากหนึ่ง
คนผู้นั้นเดินใกล้เข้ามาทีละน้อย เงาร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ลู่หลินจดจำได้ในแวบแรกว่าเป็นเซี่ยฉางเกิงที่เคยพบหน้าหนหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว
ไม่พบกันสามปี รูปโฉมโนมพรรณของชายหนุ่มกลับมิได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าใดเมื่อเทียบกับในความทรงจำ
ชะรอยว่าการต่อสู้ฟาดฟันในราชสำนักคงไม่ต่างจากสมัยเป็นโจรในอดีต เพียงเปลี่ยนสมรภูมิใหม่เท่านั้น จึงไม่อาจทิ้งรอยอำมหิตไว้ในดวงตาของเขาเพิ่มจากตอนนั้นนัก
เพียงเห็นเขาเดินตรงเข้ามาตามลำพังด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะจะโคน ชายเสื้อคลุมปลิวตามลม
ลู่หลินเร่งฝีเท้าพาคนเข้าไปคารวะทักทายอย่างว่องไว เขากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะว่า “จากกันไปเนิ่นนานหลายปี ได้ยินได้ฟังแต่ชื่อเสียงอันเลื่องลือระบือไกลของผู้บัญชาการเซี่ย วันนี้ได้กลับมาพบกันอีกคราในที่สุด เห็นมิตรเก่ามีสง่าราศียิ่งกว่าในกาลก่อน รู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกิน”
น้ำเสียงของเขาเคารพนับถืออย่างยิ่ง
เซี่ยฉางเกิงหยุดฝีเท้าคำนับตอบ หยักยิ้มน้อยๆ “ท่านเสนาบดีกล่าวหนักไปแล้ว ท่านต้องเหนื่อยยากตรากตรำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร ทั้งมีงานราชการรัดตัว เป็นเพราะข้ามาช้า ทำให้ท่านรวมถึงคนอื่นๆ ในที่นี้ต้องรอนาน ข้าละอายแก่ใจนัก”
ทั้งที่มู่เซวียนชิงเป็นฝ่ายล่วงเกินอย่างรุนแรง คิดไม่ถึงว่าพอพบหน้ากัน เซี่ยฉางเกิงกลับทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดโต้ตอบด้วยวาจาสุภาพเข้าทีคล้ายไม่ถือสาแม้แต่น้อย
ลู่หลินถอนหายใจโล่งอกขึ้นเล็กน้อย
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แคว้นฉางซากระทำผิดธรรมเนียมมารยาท ลู่หลินย่อมไม่เบาปัญญาถึงกับพูดขึ้นมาเอง เขากุลีกุจอแนะนำหยวนฮั่นติ่งให้เซี่ยฉางเกิงรู้จัก
“แม่ทัพหยวนเป็นบุตรชายบุญธรรมของเสนาบดีหยวนที่ล่วงลับไปแล้วของแคว้นฉางซาเรา วันนี้รู้ว่าท่านผู้บัญชาการมาเยือน จึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อต้อนรับ”
หยวนฮั่นติ่งเป็นเพียงแม่ทัพคนหนึ่งของแคว้นฉางซา ห่างชั้นจากตำแหน่งของเซี่ยฉางเกิงหลายขุม
เขาทำสีหน้านิ่งขรึม ท่าทางไม่โอหังไม่ต่ำต้อย แสดงคารวะต่อเซี่ยฉางเกิงพลางกล่าว “ข้าขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการขอรับ”
ดวงตาทั้งคู่ของเซี่ยฉางเกิงหยุดอยู่ที่ใบหน้าเขา เพ่งมองนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะนิดหนึ่งแล้วย่างเท้าผ่านข้างกายเขาเดินไปข้างหน้าต่อ
ลู่หลินรีบไล่ตามไปเป็นผู้นำทาง พาเขาไปยังด้านหน้าศาลบรรพชน
ประตูศาลบรรพชนเปิดออกแล้ว เซี่ยฉางเกิงล้างมือแล้วถือธูปก้าวเข้าไปด้วยหน้าตาเคร่งขรึม คุกเข่าลงกราบไหว้เหล่าบรรพชนสกุลมู่ที่อยู่ในนั้นไปทีละคน จากนั้นแสดงคำนับต่อป้ายวิญญาณของฉางซาอ๋องผู้ล่วงลับไปเมื่อสามปีก่อนซ้ำอีกทีด้วยความเคารพนบนอบตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด
เมื่อกราบคำนับเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นจากพื้นเสียบธูปลงในกระถางธูป ก้าวถอยหลังสิบกว่าก้าวแล้วหมุนกายจะเดินออกจากศาลบรรพชน แต่กลับต้องชะงักฝีเท้า
ฉางซาอ๋องมู่เซวียนชิงผู้เป็นพี่ชายภรรยาของเขาเข้ามาในศาลบรรพชนตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ กำลังยืนอยู่กลางโถงขวางทางเขาไว้
พวกคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ทั้งสองฝั่งนอกธรณีประตูหายตัวไปหมดแล้ว
มู่เซวียนชิงสวมหมวกเหมี่ยนกวนหยกขาว บนศีรษะกับเสื้อคลุมเจ้าแคว้นปักลายงดงาม รัดสายคาดเอวหยกประดับทอง ดวงหน้าขาวกระจ่างราวหิมะ สีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขามองเซี่ยฉางเกิงอย่างปึ่งชา
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัดวังเวง
ละม้ายมีดวงตาของวิญญาณคนตายล่องลอยอยู่บนเพดานศาล จ้องมองลงมาที่คนทั้งสองซึ่งยืนประจันหน้าอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ
“เซี่ยฉางเกิง เจ้ายังมาที่นี่ทำอะไรอีก ถ้าหากมิใช่เห็นแก่ท่านพ่อ วันนี้ข้าไม่ยอมให้เจ้าเหยียบย่างเข้าแคว้นฉางซาของข้าอีกแม้สักก้าวเดียวเด็ดขาด”
เสียงพูดของมู่เซวียนชิงคล้ายสะท้อนก้องอยู่ตรงเพดานโถงสูงลิบกว้างขวาง
เซี่ยฉางเกิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาแสดงคารวะต่ออีกฝ่ายตามธรรมเนียมขุนนางต่างเมืองเข้าเฝ้าเจ้าแคว้นแล้วกล่าวขึ้น “ท่านอ๋องเอ่ยแต่เพียงผลลัพธ์ กลับไม่เอ่ยถึงต้นสายปลายเหตุของมัน ท่านบอกให้ทราบได้หรือไม่ว่าเป็นสาเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของมู่เซวียนชิงฉายแววโกรธเกรี้ยวเสมือนธนูคมกริบพุ่งใส่เซี่ยฉางเกิงที่อยู่ตรงหน้า
“เดิมเจ้าเป็นโจรผู้ร้ายคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นท่านพ่อชื่นชมในตัวเจ้าโดยไม่ถือเรื่องศักดิ์ฐานะ ยกน้องสาวของข้าให้แก่เจ้า แคว้นฉางซาเราได้ทำตามคำสัญญาด้วยการให้น้องสาวข้าออกเรือนไปต่างเมืองตอนต้นปี ไม่เอ่ยถึงว่านางเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาไปแต่งงานกับเจ้าในที่ที่โรคภัยชุกชุมอย่างขุยโจว เจ้ายังจากเรือนไป ทอดทิ้งนางไว้ตามลำพังในคืนเข้าหอ หลังจากนางไปอยู่ที่สกุลเซี่ย ไม่ว่าเรื่องการปรนนิบัติดูแลผู้อาวุโส ดูแลงานบ้านงานเรือน ให้ความเมตตาปรานีต่อบ่าวไพร่ นางเคยกระทำผิดธรรมเนียมแม้สักนิดหรือ เคยปริปากบ่นสักคำหรือไม่ น้องสาวของข้าทำผิดเรื่องใดกันแน่ แต่งเข้าสกุลเซี่ยของเจ้าครึ่งปีกว่ากลับโดนหมิ่นหยามเพียงนี้ แล้วสกุลเซี่ยเป็นวงศ์ตระกูลชั้นใดกัน ถึงกล้าลบหลู่ท่านหญิงของแคว้นฉางซาเยี่ยงนี้!”
มู่เซวียนชิงกำสองมือเป็นหมัดแน่นจนเส้นเอ็นที่แตกแขนงคล้ายร่างแหหลังฝ่ามือปูดโปน
“เซี่ยฉางเกิง!”
เขากัดฟันกรอดๆ เรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเกลียดชังอย่างสุดแสน
“อันใดเรียกว่าหน้าเนื้อใจเสือ เดรัจฉานในคราบมนุษย์ ก็คือพวกไร้ยางอายเฉกเช่นเจ้านี่เอง เจ้าสรรหาทุกวิถีทาง ทำได้ทุกอย่างกระทั่งใช้อุบายสกปรกเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สามปีที่แล้วเจ้ามาสู่ขอที่แคว้นฉางซาด้วยมีใจหมายอาศัยบารมี ถ้าหากไม่ใช่ท่านพ่อข้าถูกเจ้าหลอกลวงปิดบัง คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนเจ้า มีหรือเจ้าจะได้เป็นขุนนางและได้ดิบได้ดีมียศศักดิ์”
เขายังคงไม่หยุด ยิ่งด่ายิ่งรุนแรงขึ้น
“เจ้าคนชั่วช้าต่ำทรามอกตัญญู! ที่เจ้าหมางเมินน้องสาวข้าเพียงนี้ หรือดูแคลนที่แคว้นฉางซาของข้าไม่มีใครให้พึ่งพาแล้ว ผู้บัญชาการเซี่ย จริงอยู่ว่าตอนนี้เจ้ามากอำนาจสูงศักดิ์ เย่อหยิ่งจองหอง แคว้นฉางซาของข้าก็เป็นแคว้นเล็กๆ กระจ้อยร่อยเท่านี้ หากแต่บรรพชนสกุลมู่องอาจห้าวหาญปานใด ข้าซึ่งเป็นลูกหลานต่อให้ไร้ความสามารถเพียงใดก็จะไม่นั่งนิ่งดูดายปล่อยให้น้องสาวข้าโดนเจ้าเหยียดหยามเช่นนี้เป็นอันขาด
เจ้ามากราบไหว้ดวงวิญญาณอดีตเจ้าแคว้น ข้าไม่ขัดขวาง ในเมื่อกราบไหว้เสร็จแล้วก็เชิญกลับไปเถอะ ศาลบรรพชนแคว้นฉางซาคับแคบ ไม่มีที่ว่างสำหรับท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่เช่นเจ้า!”
เขาหยุดเว้นจังหวะแล้วโยนหนังสือฉบับหนึ่งลงไปบนพื้น
“เจ้าฟังให้ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสกุลมู่ของข้ากับสกุลเซี่ยของเจ้าไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน น้องสาวข้าก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าอีก ฝ่ายชายจะตบแต่งภรรยาหรือฝ่ายหญิงจะออกเรือนก็สุดแท้แต่” ว่าแล้วก็หมุนกายสะบัดแขนเสื้อจะออกไป
บทที่สี่
“ช้าก่อน”
เซี่ยฉางเกิงที่เมื่อครู่นิ่งเงียบไม่พูดจาโดยตลอดอ้าปากพูดในฉับพลัน
มู่เซวียนชิงหยุดฝีเท้า ทว่าไม่หันกลับไป
เซี่ยฉางเกิงมิได้มองดูสิ่งที่อยู่บนพื้น เขาเดินผ่านมันไปทางด้านข้าง
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านอ๋องแล้ว ทุกถ้อยทุกคำที่ดุด่าว่ากล่าวล้วนถูกต้องอย่างที่สุด ข้าไม่คิดจะแก้ตัว อีกทั้งก็แก้ตัวไม่ได้ แต่เรื่องนี้มีความเข้าใจผิดกันอยู่บ้างจริงๆ ถ้าไม่พูดอธิบายให้กระจ่างจนทำลายไมตรีต่อกันไปเช่นนี้ เกรงจะผิดต่อคำสั่งสอนที่ท่านพ่อตาเอ่ยกับข้าในตอนประทานสมรสให้”
มู่เซวียนชิงผินหน้าไปช้าๆ มองเขาอย่างเย็นชา
“ขอเอ่ยตามตรงว่าข้าออกเดินทางมาที่นี่ทันทีที่กลับถึงเรือน นอกจากเพื่อเซ่นไหว้บรรพชนของสกุลมู่กับท่านอ๋องผู้ล่วงลับของแคว้นฉางซาแล้ว ยังต้องการรับตัวท่านหญิงกลับ…”
“ยังจะรับกลับไปไย” มู่เซวียนชิงเดือดดาลอย่างหนัก “หรือว่าหยามเกียรติกันขั้นนี้แล้ว เจ้ายังมองว่าไม่พอ?”
เซี่ยฉางเกิงมีสีหน้าเยือกเย็น
“หากข้าคิดไว้ไม่ผิด การที่ท่านอ๋องโกรธมากเช่นนี้ ต้นเหตุน่าจะมาจากมารดาของข้าเคยพูดเรื่องรับอนุกับท่านหญิง แต่ท่านอ๋องกลับทราบเพียงครึ่งๆ กลางๆ เพราะเรื่องนี้เกิดความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ข้าถึงจำเป็นต้องอธิบาย”
มู่เซวียนชิงแค่นเสียงแล้วไม่กล่าวคำใด
“เดือนที่แล้วข้ากลับถึงเรือน รู้ว่าท่านหญิงกลับสู่แคว้นฉางซาแล้ว ได้ยินจากคำบอกเล่าของบ่าวไพร่ในเรือนว่าครึ่งปีกว่ามานี้ท่านหญิงช่วยปรนนิบัติดูแลมารดาแทนข้าทุกเช้าเย็นโดยไม่ถือตัว ทั้งยังมีกิริยาดีเป็นแม่ศรีเรือนสมกับเป็นผู้ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ได้รับเสียงชมเชยจากบ้านใกล้เรือนเคียงไม่ขาดปาก มาตรว่าการกลับสกุลเดิมจะกะทันหันไปบ้าง แต่เห็นทีว่าต้องมีเหตุผลที่ให้อภัยกันได้ขอรับ
ต้นเหตุของเรื่องนี้เกิดมาจากมารดาของข้า เมื่อครั้งเป็นเด็กหนุ่ม ข้าอกตัญญูจนเป็นเหตุให้มารดาต้องเดือดร้อนลำเค็ญ ในยามอับจน ท่านได้รับน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากคนผู้หนึ่ง บัดนี้อีกฝ่ายสูญเสียทั้งบิดามารดา ตกอยู่ในภาวะยากลำบาก มารดาของข้าเห็นแก่ไมตรีในหนหลัง ทำให้ใคร่ครวญไม่รอบคอบไปชั่วขณะ ถึงได้ผลีผลามเอ่ยต่อหน้าท่านหญิงว่าจะรับสตรีคนนั้นเข้าเรือน แต่ตามคำบอกของมารดาข้า ตอนนั้นท่านหญิงก็ตกปากรับคำทันที”
เซี่ยฉางเกิงหยุดพูดเล็กน้อย
“มารดาของข้าไม่รู้หนังสือ วันๆ เก็บตัวอยู่ในเรือนหลัง ไม่ใคร่รู้จักโลกภายนอก ประกอบกับมีนิสัยเถรตรง พอเห็นท่านหญิงตอบตกลงก็มัวแต่ปีติยินดี คิดเพียงว่าท่านหญิงใจกว้างสนับสนุนตนให้สมหวัง ไหนเลยจะไตร่ตรองการกระทำนี้อย่างรอบคอบ วันที่ข้ากลับเรือนถึงได้รู้เรื่องนี้จากปากมารดา มิใช่ว่าข้าจะแก้ต่างให้ตนเอง ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกไม่เหมาะสม แต่หักใจขัดอารมณ์ของมารดาไม่ได้ ทั้งได้ยินว่าท่านหญิงรับคำอย่างใจกว้างแล้ว เลยคิดว่ารับนางกลับไปก่อนค่อยหารือกันอีกทีในวันหลัง”
เขาเอ่ยต่ออย่างสงบ
“หากเรื่องนี้เป็นเหตุให้ท่านอ๋องขุ่นเคือง คนผิดผู้นั้นก็คือข้าเอง เดิมทีได้ภรรยาเยี่ยงนี้เป็นวาสนาของข้าเซี่ยฉางเกิง เหนืออื่นใดยังมีบุญคุณของท่านพ่อตาที่เห็นความสามารถของข้า จนบัดนี้ข้ายังทดแทนได้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนเลย ท่านอ๋องวางใจได้ ต่อจากนี้สมควรทำอย่างไรข้ารู้แก่ใจดี รอเมื่อรับท่านหญิงกลับไปแล้ว ข้าจะขอขมาต่อนางแทนมารดาเองขอรับ”
เขาเพ่งมองมู่เซวียนชิงด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
มู่เซวียนชิงกล่าวเน้นทีละคำ “เซี่ยฉางเกิง! เจ้าหาใช่คู่ครองที่เหมาะสมกับน้องสาวข้า ในเมื่อนางกลับมาเองแล้ว เจ้าจะเล่นลิ้นคารมอย่างไรก็อย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้น้องสาวข้าตามเจ้ากลับสกุลเซี่ยอีก”
“คำกล่าวนี้ของท่านอ๋องข้าไม่อาจเข้าใจได้แล้ว การแต่งงานเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูล มิใช่เรื่องเล่นสนุก”
เขาเหลียวมองไปรอบศาลบรรพชนสกุลมู่แล้วหยุดสายตาที่ป้ายวิญญาณของอดีตฉางซาอ๋อง
“ไม่สำคัญว่าท่านอ๋องจะคิดเห็นเช่นไรกับข้า แต่การแต่งงานระหว่างข้ากับน้องสาวของท่านถือเป็นการตัดสินใจโดยท่านพ่อตา ธรรมเนียมสามแม่สื่อหกพิธี* ก็ไม่ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว พูดว่าจะตัดขาดก็ตัดขาดดูเป็นวิสัยของเด็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ จริงอยู่ว่ามารดาของข้ามีส่วนผิดที่ล่วงเกินท่านหญิงให้ขุ่นเคืองใจ แต่ก็เป็นแค่วาจาไม่เหมาะสม ยังไม่ได้กระทำเรื่องใดๆ ที่ออกนอกลู่นอกทางจริงๆ คนมิใช่เทวดา ใครบ้างไม่เคยทำผิด เหนืออื่นใดมารดาข้าก็เป็นแค่หญิงชราในชนบทคนหนึ่ง ท่านอ๋องมาไล่เลียงคาดคั้นเช่นนี้ ออกจะเป็นการไม่เห็นใจผู้อื่นกระมัง”
เขายังคงยกยิ้มน้อยๆ ดุจเก่า ทว่าเน้นน้ำเสียงหนักขึ้นหลายส่วน แฝงด้วยอำนาจ
มู่เซวียนชิงทำสีหน้าขึงตึงสุดจะเปรียบ สายตาเขาจับจ้องบุรุษในชุดดำที่ยืนอย่างสง่าผ่าเผยเบื้องหน้า นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เซี่ยฉางเกิง เจ้าหน้าหนาประจบสอพลอเพื่อยศตำแหน่งได้ก็ช่างเถิด แต่ยังเอาตัวลงไปเกลือกกลั้วมั่วสุมสมคบกับคนชั่วอีก! เจ้าพึ่งบารมี…”
“ท่านอ๋องเจ้าคะ”
ในเวลานี้เอง เสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังมาจากนอกศาลบรรพชนตัดบทมู่เซวียนชิง
เซี่ยฉางเกิงเบนสายตาไป
ตรงบันไดด้านนอกมีสตรีวัยสาวซึ่งออกเรือนแล้วในชุดหรูหรายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ โฉมงามเฉิดฉัน ท่วงท่าสง่าภูมิฐาน นางคือลู่ซื่อชายาของเจ้าแคว้นฉางซานั่นเอง
ลู่ซื่อยับยั้งคำพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวของสามีไว้ได้ทันการณ์ สาวเท้าเดินมาพลางลอบส่งสายตากับสามี จากนั้นก้าวข้ามธรณีประตูไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซี่ยฉางเกิง อมยิ้มกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยเดินทางมาไกล แคว้นฉางซาของเราให้การต้อนรับไม่ทั่วถึง หากมีสิ่งใดเสียมารยาทไป โปรดอภัยด้วย”
เซี่ยฉางเกิงยกยิ้มบางๆ คำนับทักทายลู่ซื่อ
“ได้พบหน้าชายาเจ้าแคว้นฉางซาก็ถือเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงของข้าแล้ว จะพูดว่าเสียมารยาทได้อย่างไรเล่าขอรับ”
ลู่ซื่อค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการคารวะตอบ
“ผู้บัญชาการเซี่ยใจคอกว้างขวางเช่นนี้เป็นที่เลื่อมใสของข้านัก ท่านตรากตรำเดินทางมา เห็นทีคงเหนื่อยล้าแล้ว เชิญท่านไปพำนักที่จุดพักม้าชั่วคราว ราตรีนี้ท่านอ๋องเตรียมจัดงานเลี้ยงในวังเพื่อต้อนรับการมาเยือนของท่าน สำหรับเรื่องของน้องสาวท่านอ๋อง…”
นางหยุดเว้นจังหวะ
“ผู้บัญชาการเซี่ยโปรดใจเย็นก่อน ไว้ค่อยหารือกันทีหลัง ไม่ทราบว่าท่านเห็นเป็นเช่นไร”
เซี่ยฉางเกิงยิ้มบางๆ “ขอบคุณมากจริงๆ เช่นนั้นก็ขอรบกวนแล้วขอรับ”
ชายหนุ่มหุบยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาหมุนกายไปคุกเข่าลงคำนับป้ายวิญญาณของฉางซาอ๋องผู้ล่วงลับอีกครั้งแล้วลุกขึ้นก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเดินดุ่มๆ จากไป
ลู่ซื่อกลับถึงวังอ๋อง นางไม่แม้แต่จะผลัดชุดถอดมงกุฎก็รีบร้อนไปที่ห้องของมู่ฝูหลัน บอกให้คนรับใช้ด้านข้างออกไปแล้วปิดประตู
“หลันเอ๋อร์ เคราะห์ดีข้าทำตามที่เจ้าบอก รุดไปที่ศาลบรรพชนตระกูลถึงหยุดยั้งไม่ให้พี่ชายของเจ้าพลั้งวาจาด้วยความโกรธจัดได้ทันเวลา เขายังคงหุนหันพลันแล่นเกินไป ถ้าเกิดให้เซี่ยฉางเกิงได้ยินเขาพูดจาลบหลู่หลิวไทเฮาแล้วนำความไปฟ้องนาง หวั่นใจว่าวันหน้าแคว้นฉางซาเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมยิ่งขึ้น”
มู่ฝูหลันนิ่งเงียบ
“เซี่ยฉางเกิงผู้นี้ ตอนมาสู่ขอเจ้าเมื่อสามปีก่อน ข้าแอบมองเขาจากที่ไกลๆ แค่แวบเดียว ยามนั้นเพียงรู้สึกว่าเขาสง่าองอาจผิดจากคนทั่วไป วันนี้ได้เผชิญหน้ากับเขา ถึงรู้ว่าเขากลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพทั้งที่ยังอายุน้อยได้เพราะอะไร เขาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชายของเจ้า แต่ว่ากันถึงเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงกลับลึกล้ำเหนือชั้นกว่าอย่างที่พี่ชายเจ้าเทียบไม่ติด”
นางขมวดคิ้วแน่นอย่างกลัดกลุ้มใจ
“ข้าฟังน้ำเสียงเขาแล้วไม่ยินยอมปล่อยเจ้ากลับสกุลเดิมนะ เจ้าแต่งเข้าไปแล้ว คำพูดของเขาก็ไร้ช่องโหว่ใด ปัดเรื่องรับอนุให้พ้นตัวได้อย่างหมดจด ถ้าหากเขาดึงดันไม่ยอมวางมือแล้วตอแยไม่ลดละ เกรงว่าความปรารถนาของเจ้ายากจะเป็นจริงได้ในตอนนี้”
มู่ฝูหลันกล่าว “พี่สะใภ้ หลังงานเลี้ยงคืนนี้ ท่านให้เขามาหาข้าที่นี่เถอะ”
ลู่ซื่อกล่าวเสียงรัวเร็ว “หลันเอ๋อร์ เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้ารับปากจะช่วยเจ้าก็ย่อมไม่ผิดสัจจะ ความหมายของข้าคือคนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่าย อยากบอกให้เจ้าระวังตัวไว้ก่อน เผื่อว่าเรื่องนี้ไม่อาจยุติโดยเร็วแล้วเจ้าจะผิดหวัง เจ้าวางใจได้ ต่อให้เขาไม่พยักหน้าตกลง ในเมื่อตัวเจ้ากลับมาแล้ว ขอแค่พี่ชายเจ้าอ้างเรื่องสกุลเซี่ยรับอนุโดยไม่ไว้หน้ากัน ยืนกรานไม่ปล่อยเจ้าไป ที่นี่คือแคว้นฉางซา เขาจะกล้ากระทำเรื่องใช้กำลังชิงคนรึ”
มู่ฝูหลันเอ่ยอย่างเข้าใจ “เซี่ยฉางเกิงรับมือได้ไม่ง่ายดายจริงๆ เจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นี่เอง เรื่องราวยืดเยื้อคาราคาซังต่อไปล้วนไม่เป็นผลดีอันใดต่อพี่เซวียนชิงรวมถึงแคว้นฉางซาเรา ปัญหานี้เกิดขึ้นจากข้า แล้วก็เป็นเรื่องของข้ากับเขา ถึงพี่เซวียนชิงกับพี่สะใภ้พูดกับเขามากเพียงใดก็เป็นดังเช่นการเกาไม่ถูกที่คัน ข้ามิสู้พูดกับเขาเองให้แจ่มแจ้ง ให้มันจบลงเร็วที่สุดดีกว่า”
ลู่ซื่ออึ้งไป
“หลันเอ๋อร์ เซี่ยฉางเกิงผู้นี้มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายจริงๆ ข้ากลัวเจ้าต้านทานไม่ไหว”
“พี่สะใภ้วางใจได้ ข้ากับเขาถือได้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว จำต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ไม่ว่าจะสมดังใจหมายหรือไม่ ข้าล้วนอยากลองดูสักตั้งเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อมองดูน้องสาวสามีที่ยิ้มน้อยๆ มองตนด้วยแววตากระจ่างใส
นางลังเลใจชั่วครู่ก่อนพยักหน้า “ก็ดี เช่นนั้นข้าไปบอกกับพี่ชายเจ้าเอง เจ้ามีเรื่องใดก็พูดกับเขาซึ่งๆ หน้าให้แจ่มแจ้ง หากเขายอมรับฟัง ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
มู่ฝูหลันกล่าวยิ้มๆ “ขอบคุณพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”
ไม่นานม่านรัตติกาลก็คลี่คลุมลง
โถงงานเลี้ยงในวังอ๋องของแคว้นฉางซากำลังจัดโต๊ะสุราเลี้ยงรับรองแขกอยู่
เทียนเล่มใหญ่เท่าท่อนแขนเด็กตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวอยู่สองฝั่งซ้ายขวาเสมือนมังกรไฟสองตัว เปล่งแสงโชติช่วงส่องทั่วทั้งโถงตำหนักให้สว่างไสวดุจยามกลางวัน ใต้ชายคาด้านหน้าตำหนักแขวนเครื่องดนตรีไว้ทั้งสองมุม ส่วนด้านในวางกลองใหญ่บรรเลงประกอบพิธีการไว้ตรงเสาทิศใต้ จอกสุราฝังทองบนโต๊ะหยกเขียวด้านหน้าแถวแท่งเทียนยักษ์ทอประกายวิบวับล้อแสงไฟ
การตกแต่งประดับประดาทั้งหมดล้วนด้อยกว่าของเจ้าแผ่นดินขั้นเดียวเท่านั้น
ความโอ่อ่าหรูหราเฉกนี้มีก็แต่ในเรือนอาศัยของเชื้อพระวงศ์จึงจะได้เห็น
เบื้องหน้าแท่นที่นั่งเจ้าภาพทางทิศตะวันออก ตั้งรูปปั้นเต่าสำริดทางซ้าย รูปปั้นกระเรียนสำริดทางขวา ปล่อยไอควันหอมของอำพันทะเลออกมาทางปากไม่ขาดสาย
มู่เซวียนชิงนั่งอยู่ตรงนี้
ด้านเซี่ยฉางเกิงผู้บัญชาการกองทัพเหอซีอยู่ตรงที่นั่งแขกคนสำคัญ]
ขุนนางน้อยใหญ่ของแคว้นฉางซาซึ่งมารับรองแขกก็ต่างนั่งประจำที่ลดหลั่นกันไปตามลำดับตำแหน่งสูงต่ำ
ค่ำคืนนี้ขณะโถงหน้าของวังอ๋องสว่างเจิดจ้าไปด้วยแสงโคม เคล้าคลอเสียงบรรเลงดนตรีอย่างรื่นเริง ทางเรือนหลังกลับสงัดวังเวงไปทั่วบริเวณ
มวลพฤกษาหลบเร้นใต้ผืนความมืดเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ โคมไฟสองสามดวงแผ่แสงเหลืองสลัวเรื่อเรืองทาทาบทางเดินคดเคี้ยวที่เชื่อมสู่เรือนพำนักของธิดาอ๋อง
รอบด้านเงียบเชียบไม่ได้ยินสรรพเสียงใด
มู่ฝูหลันหลับตาสนิทแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่น ราวกับมีมืออันอ่อนโยนนับไม่ถ้วนแย่งกันลูบไล้นาง พาไอร้อนกำซาบเข้าสู่ทุกอณูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย ปลุกปลอบร่างกายที่ขดเป็นก้อนกลมของนาง
สุดท้ายนางค่อยๆ เหยียดแขนขาออกอย่างผ่อนคลายเต็มที่
นางลืมตาลุกขึ้นจากน้ำ เกาะขอบถังอาบน้ำก้าวออกมาเช็ดเนื้อตัวจนแห้ง สวมเสื้อผ้าย่างเท้าเดินไปข้างประตูก่อนดึงกลอนประตูออก
ในห้องมีแม่นมมู่เพียงผู้เดียว
นางรอคอยอยู่นอกห้องชำระกาย หัวคิ้วย่นเข้าหากันแน่น ดวงตาฉายแววกลัดกลุ้ม พอเห็นมู่ฝูหลันออกมาในที่สุด นางก็เดินรี่เข้าไปยื่นมือประคองแขนของผู้เป็นนาย
“ท่านหญิง ท่าน…”
“ข้าไม่เป็นไร”
มู่ฝูหลันยืนอยู่กับที่อย่างมั่นคงพลางส่งยิ้มให้นาง
“เรียกพวกนางเข้ามาผลัดชุดให้ข้าเถอะ”
แม่นมมู่สะกดความวิตกกังวลไว้ มองนางปราดหนึ่งแล้วหมุนกายเปิดประตูร้องเรียกสาวใช้ด้านนอกเข้ามา
พวกสาวใช้เข้าห้องมาแล้วล้อมวงรอบตัวหญิงสาวช่วยกันแต่งกายให้นาง
เมื่อสวมอาภรณ์เสร็จ มู่ฝูหลันยังไม่ลุกขึ้น นางนั่งอยู่หน้าคันฉ่องดังเดิม แลมองเงาสะท้อนตนเองในนั้นนิ่งนาน
สีหน้าของนางเฉยเมยคลับคล้ายเริ่มใจลอย
ปกติพวกสาวใช้ล้วนสนิทสนมกับนาง แต่ชั่วขณะนี้กลับยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าเปล่งเสียง
เนิ่นนานพักใหญ่ พลันมีเสียงฝีเท้ากระชั้นดังลอยมาจากระเบียงทางเดินนอกประตูระลอกหนึ่ง
ประตูถูกผลักเปิด ตันจูก้าวเข้ามา
แม่นมมู่รีบออกไป
ตันจูบอกเสียงเบาๆ คำหนึ่งแล้วแม่นมมู่ก็ย้อนกลับเข้าห้องด้านในไปหยุดอยู่ข้างหลังมู่ฝูหลัน โน้มตัวลงไปกระซิบพูดชิดริมหูนาง “งานเลี้ยงเลิกแล้ว เขาน่าจะใกล้มาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ”
พระพายราตรีลอดทะลุประตูพัดผ่านม่านโปร่งบางเบาที่คลี่ลงกางกั้นเข้ามาในห้องอย่างไร้สุ้มเสียง
มู่ฝูหลันเบือนหน้าไป สายตาของนางจับจ้องโคมไฟซึ่งแกว่งไกวไปมาตามแรงลมไม่ใกล้ไม่ไกลดวงนั้นพลางกล่าว “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ”
ในห้องเหลือมู่ฝูหลันอยู่ตามลำพัง ข้างใบหูนางสงบเงียบ
เสียงสะเก็ดไฟแตกเปรี๊ยะดังมาจากเทียนไขที่ปักบนฐานแก้วสีสลักลายดอกบัวข้างคันฉ่องกะทันหัน
เปลวเทียนไหววูบหนึ่ง จากนั้นรอบตัวก็นิ่งเงียบลงทันที
แสงไฟส่องสะท้อนกับนัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกายรำไร สายตาของนางจับอยู่ที่มันนิ่งๆ นานสองนานถึงยกมือขึ้น ปลายนิ้วเรียวยาวขยับเข้าไปใกล้เปลวเทียนช้าๆ ราวกับไม่รู้ตัว
ผิวเนื้อโดนเปลวไฟแลบเลียทีหนึ่ง
ความเจ็บปวดปนแสบร้อนน้อยๆ แผ่ลามจากปลายนิ้วไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว แต่คล้ายว่ามู่ฝูหลันปราศจากความรู้สึกใดๆ มีเพียงแววปวดร้าววาบผ่านดวงตาหม่นแสงของนางไป
นางคิดถึงซีเอ๋อร์ของนางอีกแล้ว
ลูกคนเดียวของนางที่นางรักมากที่สุด ตอนนางจบชีวิตเขาเพิ่งสามขวบเท่านั้น
ไยนางจะหักใจทอดทิ้งเขาได้ลงคอ ด้วยความห่วงหาอาลัย วิญญาณของนางจึงไม่ยอมไปที่ใด สิงสถิตอยู่ในดวงประทีปที่ไม่มีวันดับหน้าป้ายวิญญาณเหนือแท่น
สิบปีอันยาวนานมีเพียงความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด และความโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวคอยกัดกินหัวใจ
นางมองดูเขาสมปรารถนาได้ก้าวขึ้นครองแผ่นดิน มองดูเขาเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ โดดเด่นทั้งในฐานะนักปกครองและนักรบ แล้วก็มองดูเขามีเหล่าสนมชายาโฉมงามละลานตา
แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางโดยสิ้นเชิงแต่แรก จิตใจของนางเป็นดั่งผิวน้ำนิ่งสนิทมานานแล้ว
การที่นางดึงดันไม่ยอมจากไปเพราะความอาวรณ์เพียงประการเดียว เพื่อว่าวันหนึ่งนางจะได้เห็นซีเอ๋อร์เติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยตาตนเอง เมื่อนั้นนางก็จะจากไปอย่างหมดห่วง
ทว่าท้ายที่สุดสิ่งที่รอนางอยู่กลับเป็นภาพที่ทำให้หัวใจนางแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ไหนเลยความเจ็บปวดจากการโดนไฟร้อนลวกที่ปลายนิ้วนี้จะเทียบได้กับความปวดร้าวยามเห็นซีเอ๋อร์ปาดคอตายต่อหน้าต่อตา
ตรงกลางอกคล้ายถูกบีบรัด นางรู้สึกว่าตนเองหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
นางลุกพรวดขึ้นยืน ยกมือผลักบานหน้าต่างเปิดออก
สายลมหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกพัดกรูมาปะทะใบหน้า
นางยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางหลับตาลง แหงนคอมองท้องนภาที่มืดมิด สูดอากาศเย็บเฉียบเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง
ทั้งที่จงใจไม่ยอมคิดเรื่องอดีตมากเกินไปอีก แต่ราวกับว่าพอความเจ็บตรงปลายนิ้วแทรกลึกถึงกลางใจก็พลันแตกทะลักทลายออกมา
ทุกเรื่องราวทุกเหตุการณ์ประหนึ่งเข็มมากมายที่กระหน่ำทิ่มแทงตามอวัยวะภายในของนางโดยไม่ยั้ง
การพบกันครั้งแรกของมู่ฝูหลันและเซี่ยฉางเกิงเกิดขึ้นตอนนางเดินทางสู่เขาจวินซานในฤดูใบไม้ผลิปีที่อายุสิบสามปี
หลังจากมารดาของนางล่วงลับไปหลายปี สุขภาพของบิดาก็ทรุดลงเรื่อยๆ สร้างความกังวลใจให้เด็กสาวตัวน้อยเสมอ
วันนั้นนางนั่งเรือไปหาอาจารย์ที่เขาจวินซานเพื่อถามไถ่เรื่องอาการป่วยของบิดา และถือโอกาสขอคำชี้แนะเกี่ยวกับสมุนไพรด้วย
นางมาถึงกระท่อมโอสถของอาจารย์ กลับได้รู้จากอาต้าว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือนอาจารย์อยู่
ตามคำบอกเล่าของอาต้า ผู้มาเยือนเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนตอนอาจารย์ออกไปท่องโลกเคยประสบอันตรายแล้วได้เขาช่วยไว้ ทั้งสองถูกชะตากันอย่างยิ่ง ผูกไมตรีเป็นสหายต่างวัยคอยไปมาหาสู่กัน
เรื่องของนางไม่นับว่าเร่งด่วนรอไม่ได้ กอปรกับแขกเป็นชายหนุ่ม เด็กสาววัยสิบสามเริ่มรู้ประสีประสา ไม่นับเป็นเด็กหญิงอายุน้อยแล้ว นางบอกอาต้าว่าไม่ต้องรายงานให้อาจารย์ทราบ ตนเองจะมาใหม่วันพรุ่งนี้
ระหว่างเดินลงเขา ยามผ่านข้างต้นสนเก่าแก่ในตำนานต้นนั้น นางก็หยุดฝีเท้าลง
วันนั้นบนภูเขาลมแรงมาก ลูกนกตัวหนึ่งถูกพัดตกจากรังหล่นลงบนซากเถาวัลย์แก่ที่เลื้อยเกาะหน้าผาเถาหนึ่ง
เพราะสุสานบรรพชนของสกุลมู่ถูกสร้างไว้ที่นี่ ดังนั้นนอกจากวันที่สิบห้าของทุกเดือนที่อนุญาตให้ชาวบ้านขึ้นเขาจวินซานสักการะท่านเทพได้แล้ว ปกติจะห้ามมิให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องขึ้นเกาะปีนเขา
ตอนนางขึ้นเขา ทิ้งพวกองครักษ์ให้รออยู่ที่เชิงเขา เพลานี้มีแต่สาวใช้ไม่กี่คนอยู่ข้างกาย
มู่ฝูหลันอยากช่วยลูกนก แต่เถาวัลย์แผงนั้นอยู่ห่างจากขอบหน้าผาเกินไป ลึกลงไปหนึ่งจั้งเศษเห็นจะได้ ถึงเป็นสาวใช้ที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วก็ไม่มีทางเอื้อมถึง
ลูกนกยังเล็กมาก จะงอยปากสีเหลืองแหลมกระจิริด มีขนปุกปุยตามตัว ขนปีกสองข้างยังขึ้นไม่ครบ มันเกาะอยู่ตรงเถาวัลย์แล้วกระพือปีกเล็กๆ อ่อนแอพึ่บพั่บไม่หยุดเหมือนพยายามจะโผบิน ทว่าทุกครั้งที่มันตีปีก มีแต่ทำให้ตัวมันขยับออกไปมากขึ้น ดูท่าทางใกล้จะร่วงหล่นจากหน้าผาขอแค่มีลมภูเขาพัดมาอีกระลอกหนึ่ง
ส่วนแม่นกบินวนตรงข้างหน้าผาอย่างร้อนรน กู่ร้องเสียงแหลมเล็กเป็นระยะ
มู่ฝูหลันรีบให้คนลงเขาไปตามองครักษ์ แต่องครักษ์ยังไม่ขึ้นมา เจ้าลูกนกซึ่งกระเสือกกระสนอย่างเสียแรงเปล่าก็ลื่นไถลมาถึงปลายเถาวัลย์เจียนร่วงตกลงไปรอมร่อ
ขณะที่มู่ฝูหลันร้อนใจเต็มที ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลังนาง
นางหันหน้าไปเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าสาวเท้ามาตามทางลงเขา
คนผู้นั้นกับพี่ชายของนางมีวัยไล่เลี่ยกันราวสิบแปดสิบเก้าปี ร่างผอมเพรียวสวมเสื้อคลุมสีคราม ปลิวพะเยิบพะยาบตามแรงลม
ราวกับเขาไม่ได้สังเกตเห็นเหล่าเด็กสาวที่กำลังร้อนรุ่มใจอยู่ใต้ต้นสนเก่าแก่กลุ่มนั้น สองตาเพียงมองตรงไปข้างหน้า เดินดุ่มๆ ลงบันไดหินผ่านไปทางด้านข้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มู่ฝูหลันแลมองตาม ในตอนที่เขาเดินสวนไปแล้วนี่เอง นางก็ตั้งสติได้ฉับพลัน ตะโกนไล่หลังเขา ‘รอประเดี๋ยว! ท่านหยุดก่อน!’
คนผู้นั้นชะงักฝีเท้า หันศีรษะมาช้าๆ มองหน้านาง
‘มีลูกนกตัวหนึ่งตกลงไป ท่านรีบคิดหาวิธีช่วยมันขึ้นมาทีเถิด ได้หรือไม่’
นางขอร้องเขาแล้ว
คนผู้นั้นนิ่งชะงักครู่หนึ่ง แต่ยังคงเดินเข้ามาหา เขาก้าวเท้าไปตรงริมหน้าผาที่แทบจะตัดตรงลงสู่ที่ราบเบื้องล่าง ชะโงกตัวมองแวบหนึ่งก่อนจะยื่นมือจับเถาวัลย์เส้นใหญ่เส้นหนึ่งแล้วออกแรงกระตุกดึง จากนั้นม้วนชายเสื้อเหน็บตรงเอวสอบ ก้มตัวลงชักกริชสีเงินส่องประกายวาววับด้ามหนึ่งจากรองเท้า
เขาเอากริชปักเข้าไปในรอยแยกของหินผา สองเท้าเหยียบบนเถาวัลย์ที่เกาะยึดผนังผาไต่ลงไปใกล้ๆ ลูกนกแล้วพามันขึ้นมาอย่างว่องไว
แม่นกเหินบินตามขึ้นมาวนเวียนรอบรังนกตรงยอดไม้ เปล่งเสียงร้องกรุ๊กกรู๊
เขาหยุดยืนแหงนคอมองก่อนจะปีนขึ้นต้นไม้ นำลูกนกกลับไปวางในรังแล้วกระโดดจากบนนั้นทิ้งตัวลงพื้นอย่างมั่นคง
ตอนเขาไต่ผาเมื่อครู่นี้ มู่ฝูหลันกลั้นหายใจยืนดูอยู่ด้านข้างตลอดด้วยความตื่นเต้นเหลือจะกล่าว ครั้นเห็นเขาพาลูกนกขึ้นมาอย่างราบรื่น ทั้งยังเอามันกลับไปวางในรัง นางถึงโล่งอกได้เต็มที่ ยกชายกระโปรงวิ่งไปหาเขา
เรือนกายของเขาสูงมาก ส่วนนางเพิ่งอายุสิบสามปีเต็ม แม้ว่าเรือนร่างจะอ้อนแอ้นอรชร มีเค้าของสาวงามทรงเสน่ห์ตัวน้อยอยู่หลายส่วน แต่ตอนยืนอยู่เบื้องหน้าเขา นางกลับสูงเรี่ยๆ หน้าอกของชายหนุ่มเท่านั้น เหมือนเป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่ง
นางต้องแหงนคอตั้งบ่าถึงสบตากับเขาได้
เด็กสาวเงยดวงหน้างามละไมดุจบุปผาขึ้น สองตาเป็นประกายระยับจับจ้องเขาพร้อมกล่าวคำขอบคุณอย่างดีอกดีใจ
คล้ายว่าชายหนุ่มนิ่งงันไป เขามองนางปราดหนึ่ง อาจเพราะความปีติยินดีจากใจจริงของนางถ่ายทอดมาถึงเขา จึงเรียกรอยยิ้มบางๆ ให้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเขาในที่สุด
เขาพยักหน้าให้นางแล้วเสียบกริชกลับเข้ารองเท้า ปล่อยชายเสื้อคลุมลงหมุนกายออกเดินไป
ตลอดเวลาตั้งแต่ถูกเรียกไว้จนจากไป เขามิได้เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
ทว่าเสี้ยวขณะที่เขาส่งยิ้มให้นาง ราวกับทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งไปในพริบตา ข้างหูไร้เสียงอื่นใดปะปนนอกจากเสียงใบไม้ร่วง ซึ่งกำลังปลิดปลิวตามลมอยู่ตรงบันไดทางลงเขาที่ชายหนุ่มจากไปสายนั้นและลอยคว้างเหนือศีรษะของนางเนิ่นนานไม่จางหาย
ผ่านไปหลายวัน มู่ฝูหลันได้รับข่าวข่าวหนึ่ง
มีคนมาเยือนวังอ๋องเพื่อสู่ขอนาง และบิดาตอบตกลงแล้ว
แม่นมมู่สั่งกำชับสาวใช้ทั้งหลายไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้านางแม้สักครึ่งคำ พี่สะใภ้ปลอบใจนางว่าตนเองเห็นหน้าผู้มาสู่ขอคนนั้นแล้ว แม้ชาติกำเนิดไม่อาจเทียบเคียงกับศักดิ์ฐานะธิดาอ๋องได้ แต่นับว่ารูปงามหนุ่มแน่น และเป็นคนเก่งกาจมากความสามารถอย่างยิ่ง
แม้แต่บิดาเอง หลังกลับมาก็มองนางด้วยสายตาขอลุแก่โทษ บอกนางว่าตนเองมิใช่บิดาที่ดี ทำให้นางต้องคับข้องหมองใจแล้ว
มู่ฝูหลันคลี่ยิ้ม พูดว่าเรื่องแต่งงานของบุตรสาวย่อมต้องให้บิดาตัดสินใจ นับประสาอะไรกับนางที่เป็นธิดาของเจ้าแคว้น การออกเรือนเพื่อแคว้นฉางซาถือเป็นหน้าที่ของผู้เป็นธิดาอ๋องดุจเดียวกัน
บิดารับรองกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความอิ่มเอมใจว่าเหตุผลที่ตอบรับการสู่ขอของอีกฝ่าย ไม่เพียงคำนึงถึงส่วนรวม หากยังพึงใจในตัวคนผู้นั้นด้วย มั่นใจว่ายามบุตรสาวครองคู่กับเขา ก็ไม่ต้องพบกับความลำบากไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
มู่ฝูหลันกล่าวขอบคุณบิดาของตนเอง
ฉางซาอ๋องมิล่วงรู้ว่าราตรีนั้นบุตรสาวของตนจะแอบหลั่งน้ำตาคนเดียว
น้ำตาของนางไหลรินให้กับเจ้าของแผ่นหลังเสื้อคลุมสีครามที่เข้ามาประทับอยู่กลางใจเงียบๆ เมื่อหลายวันก่อน ทว่ายังไม่ทันได้ประจักษ์ชัดในความรู้สึกก็จำต้องลบมันทิ้งไปเสียแล้ว
เด็กสาวมีความในใจเต็มอกจนข่มตานอนไม่หลับทั้งคืน กลับไม่คาดฝันว่าวันถัดมาเรื่องราวจะพลิกเปลี่ยนกะทันหัน
บิดาจัดงานเลี้ยงต้อนรับขับสู้คู่หมั้นคู่หมายของนาง
พี่สะใภ้อยากให้นางสบายใจ จึงลอบพานางไปที่ด้านข้างของโถงงานเลี้ยง
นางมองเห็นว่าที่สามีของตนจากหลังม่านกั้น
เขานั่งอยู่ข้างกายบิดาด้วยสีหน้าเป็นปกติ พูดคุยยิ้มหัวอย่างสำราญใจ
นับแต่แวบแรกที่มองเห็นคนผู้นั้น พื้นปฐพีก็คล้ายมีเสียงสกุณาขับขานเคล้ากลิ่นหอมบุปผาอบอวล ดอกไม้ในหัวใจบานสะพรั่งอย่างอิสรเสรี
ว่าที่สามีของนางก็คือบุรุษชุดสีครามซึ่งพบกันโดยบังเอิญที่ข้างต้นสนบนเขาจวินซานวันนั้น
ลมดึกกรูเข้ามาทางหน้าต่างพัดพาชายเสื้อนางปลิวพะเยิบดุจเริงระบำ แสงเทียนข้างหลังเต้นระริกวับแวม เงาของนางก็ไหววูบวาบตามไม่หยุด
เสียงกระแอมกระไอของแม่นมมู่ดังมาจากข้างนอกโดยพลัน ตามมาด้วยเสียงสนทนาแว่วๆ ระลอกหนึ่งเหมือนว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้
มู่ฝูหลันลืมตาพรึบ ปิดหน้าต่างแล้วหมุนกายไป
แคว้นฉางซาจัดงานเลี้ยงรับรองเซี่ยฉางเกิงครั้งนี้มีผู้มาร่วมงานอย่างน้อยร้อยคน แต่บรรยากาศกลับต้องใช้คำว่า ‘อึมครึม’ มาพรรณนา
หลังมู่เซวียนชิงเข้านั่งประจำที่แล้วไม่ใคร่ปริปากพูด เพียงปั้นหน้าปึ่งชาไม่มองหน้าเซี่ยฉางเกิงตรงๆ เลย
ในบรรดาขุนนางของแคว้นฉางซา ยกเว้นเสนาบดีลู่หลินที่มีรอยยิ้มเต็มหน้าคอยผ่อนคลายบรรยากาศอยู่ด้านข้างตลอดเวลา คนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าล่วงเกินท่านอ๋องของพวกตน และแน่นอนว่าคงไม่กล้าล่วงเกินเขาเช่นกัน ส่วนใหญ่ทุกคนจะก้มหน้าก้มตากินดื่ม บางครั้งเปล่งเสียงหัวร่อผสมโรงบ้างในยามจำเป็น
งานเลี้ยงในราตรีนี้น่าจะเป็นงานรื่นเริงผิดสามัญที่สุดตั้งแต่ที่เคยพบประสบมาในชีวิตของเซี่ยฉางเกิง
เขาเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ หากเปรียบกับคำกล่าวว่า ‘เลียเลือดบนคมดาบ’ ก็ออกจะผิวเผินเกินไป คลื่นลมมรสุมแบบใดบ้างที่ไม่เคยผจญผ่านมา มีหรือจะเก็บท่าทางมึนตึงของมู่เซวียนชิงมาใส่ใจ
ท่านอ๋องหนุ่มของแคว้นฉางซาผู้นี้ไม่เพียงไม่อาจเทียบเคียงได้กับท่านอ๋องผู้ล่วงลับได้โดยสิ้นเชิง ในสายตาของเซี่ยฉางเกิงแล้ว อีกฝ่ายยังเป็นเพียงลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลคนหนึ่งเท่านั้น
ความห้าวหาญล้นเหลือ แต่ความสามารถกลับมีไม่พอ
ว่ากันตามสัตย์จริง เขากลับถึงเรือนหนนี้คิดไม่ถึงว่ามู่ฝูหลันจะไม่รอเขากลับมาก็จากไปโดยไม่ลา และคิดไม่ถึงว่าตนเองเดินทางมาแคว้นฉางซาคราวนี้จะติดขัดไม่ราบรื่นปานนี้
กระทั่งจะเจอหน้าภรรยาที่แต่งงานกันสักครั้งก็มีอุปสรรคนานัปการ
มู่ฝูหลันยกเรื่องเขารับอนุเป็นข้ออ้าง หมายจะหย่าร้างเป็นการตัดความสัมพันธ์กับเขา
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่คิดไปคิดมาอาจไม่ใช่เพียงเท่านี้จริงๆ ก็ได้
ชายหนุ่มในวันนี้ก้าวหน้ามาไกลเกินกว่าตัวเขาเมื่อสามปีที่แล้วจะทาบเทียบได้ ส่วนแคว้นฉางซาในวันนี้ก็มีความหมายต่อเขาเหลืออยู่ไม่กี่มากน้อย
หากไม่พินิจถึงสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวง เพียงว่ากันถึงจุดประสงค์ที่เขามาขอเกี่ยวดองในตอนนั้นอย่างตรงไปตรงมาที่สุด อันที่จริงใช่ว่าเขาจะยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้
วันหน้าถ้าเกิดเหตุพลิกผันในแคว้นฉางซา เขาย่อมให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ เช่นนี้นับว่าไม่ผิดต่อเป้าหมายที่ฉางซาอ๋องผู้ล่วงลับตอบตกลงยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเขา หรือไม่สำนึกในบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยส่งเสริมเกื้อหนุน
ถึงกระนั้นใครๆ ล้วนล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแคว้นฉางซา รวมถึงหลิวไทเฮาและชาวสกุลหลิวเบื้องหลังนาง กลุ่มอำนาจทุกฝ่ายต่างคานอำนาจซึ่งกันและกันไว้อย่างลับๆ ขณะที่เขาเวียนว่ายอยู่ใจกลางวังวน และเป็นช่วงเวลาสำคัญของการวางแผนเตรียมการ ดังนั้นพึงสงวนท่าทีและใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวดีกว่า
ถ้ามีข่าวระหองระแหงระหว่างสามีภรรยาแพร่ออกไป ต้องก่อให้เกิดการคาดเดาและคลางแคลงใจต่างๆ นานา ส่งผลให้อำนาจที่คานกันอยู่นี้ถูกทำลายลงอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับเขาแล้วนี่จะสร้างความยุ่งยากให้ไม่น้อย
ด้วยเหตุฉะนี้หลังจากตรองดูแล้ว เขายังคงตัดสินใจรักษาการแต่งงานนี้ไว้ รีบสางปัญหาโดยไวแล้วพามู่ฝูหลันกลับไป
เซี่ยฉางเกิงมาถึงหน้าห้องนอนของธิดาอ๋องแห่งแคว้นฉางซาหรือภรรยาที่ไม่ได้พบหน้าอีกเลยนับจากวันเข้าพิธีมงคลคนนั้น เขาตวัดตามองหญิงรับใช้ด้านข้างที่เอ่ยอ้างว่าเป็นคนนำทาง แต่มาถึงที่แล้วยังคงไม่ยอมถอยไป
แม่นมมู่คาดเดาได้เลาๆ แล้วว่าธิดาอ๋องต้องการทำสิ่งใด
แต่นางก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นแค่เพราะสกุลเซี่ยแสดงเจตนาจะรับอนุเท่านั้น มิเช่นนั้นธิดาอ๋องก็ไม่น่าจะถึงกับตกลงปลงใจอย่างเด็ดขาดถึงขั้นนี้
นางยังเป็นห่วงว่าธิดาอ๋องจะทำร้ายตนเอง
หากถึงคราวจำเป็น ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อธิดาอ๋อง นางก็ไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยนิด
ทว่านับแต่ยามเช้าของวันที่ออกจากเรือนสกุลเซี่ย ราวกับว่าธิดาอ๋องไม่ต้องการการปกป้องจากนางแล้ว
และนางกระจ่างแจ้งเช่นกันว่าตนเองก็ไร้กำลังไปปกป้อง
แม่นมมู่สบสายตาของชายหนุ่มที่มองมายังตนเอง ความรู้สึกทุกข์ใจแกมกระวนกระวายพลุ่งขึ้นกลางอกระลอกหนึ่ง
นางสงบอารมณ์ก่อนจะขานบอกเข้าไปในห้องเสียงดังว่า “ท่านเขยมาแล้วเจ้าค่ะ”
ถึงจะถอยหลังสองสามก้าว
เซี่ยฉางเกิงยกมือผลักบานประตูที่แง้มไว้ตรงหน้าบานนั้น ย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป
ข้างในอุ่นสบาย แสงไฟสว่างไสว ตรงมุมห้องด้านนอกมีของตั้งประดับส่งกลิ่นหอมทั้งสองฝั่ง มุมซ้ายเป็นเตากำยานพ่นควันลอยอ้อยอิ่ง มุมซ้ายเป็นแจกันหยกเสียบดอกเหมยเดือนสิบสอง* ไว้กิ่งหนึ่ง
กลิ่นเครื่องหอมกับกลิ่นหอมอ่อนของดอกเหมยผสมกันชวนให้สดชื่นปลอดโปร่งใจลอยมาปะทะหน้า
เซี่ยฉางเกิงหยุดยืนข้างประตูชั่วครู่ ยังคงไม่ได้ยินสุ้มเสียงผู้ใด
เขาเบือนหน้าทอดสายตาข้ามซุ้มประตูโค้งที่แบ่งกั้นห้องเป็นสองส่วนเบื้องหน้าเข้าไปด้านใน
ในนั้นแขวนม่านสีน้ำตาลแดงคลี่ลงปิดฝั่งหนึ่ง บดบังห้องด้านในไว้ให้เห็นได้เพียงเลือนรางรำไร
ยังไม่เห็นวี่แววใครดุจเก่า มีแต่แสงเทียนสลัวๆ ดวงหนึ่งเต้นระริกอยู่หลังม่านละม้ายเชิญชวนให้เขาเข้าไป
เซี่ยฉางเกิงสาวเท้าเดินไปหน้าม่าน ยกมือแหวกออกตั้งท่าจะเข้าไป แต่แล้วเขาพลันชะงักฝีเท้าหยุดยืนนิ่งเป็นคำรบที่สอง
นี่เป็นห้องส่วนตัวของสตรีที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสุดแสนวิจิตรประณีต
ด้านตรงข้ามกับเตียงมีตั่งคนงามปูลาดด้วยพรมขนสัตว์สีขาวราวหิมะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง ด้านข้างวางโคมเงินไว้หนึ่งดวง
สตรีนางหนึ่งรูปโฉมปานหยกสลัก ข้อมือขาวนวลดุจน้ำค้างแข็ง นางกึ่งนั่งกึ่งเอนหลังบนตั่งคนงาม ถือหนังสือในมือพลิกอ่านอย่างสบายอารมณ์อยู่ใต้แสงโคม
รูปโฉมภายนอกของนางแลดูเป็นสาวน้อยวัยสิบห้าสิบหก แต่แต่งกายแบบสตรีออกเรือนแล้ว คล้องผ้าต่วนบางเบาผืนหนึ่งไว้หลวมๆ ตรงข้อพับแขน สวมกระโปรงรัดเอวสีแดงทับทิม เกล้าผมเป็นมวยหลวมๆ ปักปิ่นทองที่ตกห้อยลงคล้ายรับน้ำหนักไม่ไหว เรือนผมยาวสลวยดำขลับบางส่วนก็ทิ้งตัวลงปรกข้างลำคอระหง
คลับคล้ายนางไม่สังเกตเห็นว่าเซี่ยฉางเกิงมาเยือน กระทั่งเขาแหวกม่านเปิดยืนอยู่ข้างซุ้มประตูโค้งก็ไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ไม่แม้แต่ช้อนตาขึ้นมองเขาสักแวบหนึ่ง
นางเพียงพลิกหนังสือหน้าถัดไป กำไลสองวงบนข้อมือก็กระทบกันเบาๆ ตามแรงขยับ บังเกิดเสียงกรุกกริกเสนาะหู
เซี่ยฉางเกิงไม่คาดคิดว่าตนจะได้พบกับการต้อนรับนี้ และยิ่งคาดไม่ถึงว่ามู่ฝูหลันจะอยู่ในอากัปกิริยาเช่นนี้
สายตาของเขาเลื่อนจากใบหน้าของนางไล่ลงไปตามร่างกายแล้วหยุดที่เท้าของนางในที่สุด
สองเท้าของนางโผล่พ้นชายกระโปรงสีทับทิมออกมา
นางถึงกับมิได้สวมถุงเท้า เท้าเล็กๆ น่ารักเปลือยเปล่าขาวกระจ่างทั้งสองข้างวางบนพรมโดยไร้สิ่งปกปิด ละม้ายลูกนกพิราบนอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นหิมะคู่หนึ่ง นอกจากจะงดงามแล้ว สำหรับมวลหมู่บุรุษยังแอบแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ชวนวาบหวามใจในอีกทางหนึ่ง
ประกายตาของเซี่ยฉางเกิงแรงกล้าขึ้น เขาจ้องมองสองเท้าของนางครู่หนึ่งถึงดึงสายตาคืนกลับมา เดินเข้าไปยื่นมือหยิบหนังสือในมือนางมาวางลงด้านข้าง
“เจ้าก็คือมู่ซื่อ?”
เขาก้มลงมองหญิงงามบนตั่งพลางไต่ถาม
มู่ฝูหลันยังนั่งพิงอยู่ที่เดิม ช้อนตาขึ้นสบกับเขาทว่าไม่พูดตอบ
กิริยาท่าทางของนางเมินเฉยสุดจะเปรียบทำนองเดียวกับพี่ชายของนางคนนั้น
หลังจากมาถึงแคว้นฉางซา แม้เซี่ยฉางเกิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาต่างๆ นานา ถึงขั้นโดนมู่เซวียนชิงบริภาษด่าทอจนกระทั่งน้ำลายแทบกระเด็นใส่หน้า แต่เขาก็รักษาความเยือกเย็นไว้ได้ มิได้บันดาลโทสะสักน้อยนิด
มีเพียงชั่วขณะนี้ที่มองเห็นสตรีสกุลมู่ผู้นี้แสดงท่าทีเช่นนี้กับตน ในใจเขาพลันบังเกิดความไม่สบอารมณ์ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาเพิ่งกลับถึงเรือนแล้วได้รู้ว่าภรรยาที่แต่งงานกันได้ไม่กี่เดือนจากไปโดยไม่บอกกล่าว
กระนั้นสีหน้าของเขากลับดูอ่อนละมุนลง
เขาเพ่งมองดวงตาคู่งามของหญิงสาวพลางนั่งลงข้างกายนางอย่างช้าๆ
“มู่ซื่อ ในคืนเข้าหอข้าไม่สมควรทอดทิ้งเจ้าแล้วจากไป แต่เจ้าก็รู้ว่าพระบัญชาของฮ่องเต้ขัดขืนไม่ได้ ข้าไม่อาจกระทำตามใจตน เดือนก่อนยามที่ข้ากลับเรือนมา เจ้ากลับไม่อยู่…”
เซี่ยฉางเกิงหยุดเว้นจังหวะแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้ารู้ว่าท่านแม่ข้าทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องถือสาเรื่องของสตรีสกุลชีถึงเพียงนี้เลย ถ้าเจ้าไม่ยินยอม เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะขัดใจเจ้า ดึงดันรับคนเข้าเรือน เหนืออื่นใดเดิมทีข้าก็ปราศจากความคิดนี้ เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ต่อให้เจ้าไม่พอใจปานใด เพียงรอข้ากลับเรือนแล้วจะมีอะไรพูดคุยกับข้าไม่ได้เล่า”
มู่ฝูหลันคลี่ยิ้ม แต่ไม่พูดตอบเขาดังเก่า
รอบห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
เซี่ยฉางเกิงยื่นมือไป เอาฝ่ามือที่ผิวสากกร้านน้อยๆ วางทาบบนหลังเท้าเปลือยเปล่าข้างหนึ่งที่อยู่นอกชายกระโปรงผ้าไหมของนาง
เขาค่อยๆ บีบฝ่ามือเข้าหากัน กุมเท้าขาวกระจ่างแล้วบีบเบาๆ ทีหนึ่ง
“หลันเอ๋อร์…”
เขาเรียกขานอีกชื่อหนึ่งของนางด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างสนิทสนม
มู่ฝูหลันพับขาแล้วหดเท้าเปลือยเปล่ากลับไป เท้าหลุดออกจากฝ่ามือชายหนุ่มเสมือนลูกปลาที่ลื่นไหลตัวหนึ่ง
นางดึงชายกระโปรงลงปิดคลุมสองเท้าไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้โผล่ออกมาแม้แต่น้อย
เซี่ยฉางเกิงเห็นกิริยาอาการของนางแล้วนัยน์ตาก็เป็นสีเข้มขึ้น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงเบาๆ คราหนึ่ง เขาชักมือกลับ เปลี่ยนเป็นยกแขนดึงปิ่นทองที่ปักบนมวยผมนางออก
เรือนผมยาวสลวยทั้งศีรษะแผ่สยายลงมาดุจน้ำตก
เขาจับปอยผมดำลื่นๆ เย็นๆ ของนางไว้พร้อมกับโอบร่างนุ่มนิ่มที่นั่งหันข้างอยู่เข้ามาในวงแขน ใบหน้าคมคายขยับเข้าไปใกล้จนริมฝีปากชิดใบหูของนาง เขากล่าวเสียงกระซิบ “หลันเอ๋อร์ อย่าโกรธเลยนะ ครั้งนี้เป็นข้าทำผิดต่อเจ้าจริงๆ ข้าเพิ่งกลับถึงเรือนก็มาที่นี่ทันที ตั้งใจจะมารับเจ้าโดยเฉพาะ พรุ่งนี้ตามข้ากลับไปเถอะ หลังจากนี้ไม่ว่าเรื่องใดล้วนหารือกันได้”
มู่ฝูหลันออกแรงผลักเขาออกกะทันหัน นางแค่นเสียงเยาะแล้วอ้าปากพูดเป็นคำแรกในคืนนี้
“เซี่ยฉางเกิง ท่านไม่ส่องคันฉ่องบ้างรึ ท่านนึกว่าตนเองมีดีอะไรนักหนา ข้าถึงต้องอยากเป็นสามีภรรยากับท่านถึงเพียงนั้น!”
ชายหนุ่มนั่งหมิ่นๆ ตรงริมตั่งคนงามอยู่แต่เดิม เขาไม่ทันระวังตัวก็โดนนางใช้สองมือผลักตกจากตั่งจนล้มลงไม่เป็นท่า
เขาเงยศีรษะขึ้นช้าๆ เห็นนางหันหน้ามามองดูตนทางหางตา
ดวงหน้างามดุจหยกสลักลวงคนทุกผู้นามให้ลุ่มหลงงมงาย ง่ายดายประหนึ่งเป่าเศษธุลี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 03 มี.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.