บทที่ 9
หลังจากพักผ่อนตอนกลางวันแล้ว หลิวไทเฮาท่องบทสวดที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจนจบก็เกือบถึงยามเซินการปฏิบัติธรรมในวันนี้เป็นอันเสร็จสิ้น พอหยุดพักผ่อนอีกพักหนึ่งก็เตรียมตัวออกเดินทางกลับเข้าเมือง
เมื่อวัดฮู่กั๋วตีระฆังทำวัตรเย็น พระกลด ขบวนเกียรติยศ และทหารรักษาพระองค์ก็เข้าประจำที่ ตั้งแถวอยู่สองฝั่งของบันไดขึ้นเขาจากซุ้มประตูทางเข้าไปถึงเชิงเขา เจ้าอาวาสยังนำหมู่ภิกษุออกมาส่งเสด็จหลิวไทเฮาลงเขา
หลังวุ่นวายมาทั้งวัน ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เหล่านายหญิงตราตั้งในขบวนเสด็จล้วนอยากลงเขาไปนั่งรถม้ากลับเข้าเมืองโดยเร็วใจแทบขาด ไม่มีใครส่งเสียงพูด มีเพียงเสียงอาภรณ์หรูหราเสียดสีกันดังสวบสาบๆ แผ่วเบาตามการเคลื่อนกายลงบันได
จากเชิงเขาถึงประตูทางเข้าสร้างบันไดจำนวนหนึ่งร้อยแปดขั้นตามความเชื่อทางคติพุทธเรื่องหนึ่งร้อยแปดมรรคาแห่งการพ้นทุกข์ บันไดหนึ่งขั้นเปรียบได้ดั่งวิถีในการหลุดพ้นตัณหาหนึ่งประการ
มู่ฝูหลันก้าวลงบันไดหินนอกประตูทางเข้าตามคนอื่นๆ ไปทีละขั้นจนถึงขั้นสุดท้ายแล้วย่ำเท้าลงบนพื้นราบเบื้องล่าง
ผู้ดูแลสืบเท้าเข้ามาพานางเดินไปถึงข้างรถม้าประจำตัวนาง ขณะกำลังจะก้าวขึ้นไปทันใดนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดที่บังเกิดขึ้นตอนเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้ก็เข้าเกาะกุมกลางใจอีกครา
ประหนึ่งว่าในห้วงอันลี้ลับมีพลังบางอย่างดลใจให้นางเหลียวหลังกลับไป
นางหันหน้ามองไปทางซุ้มประตูวัดที่ถูกตนเองทิ้งไว้เบื้องหลัง
แสงสนธยาอาบย้อมผืนป่าเขาลดหลั่นเป็นชั้นๆ ประตูวัดตรงสุดปลายบันไดหนึ่งร้อยแปดขั้นละม้ายทาทาบด้วยสีทองอมแดง
ฝูงวิหคคืนรังยามอาทิตย์อัสดงที่ตกใจกับเสียงระฆังทำวัตรเย็นกำลังกระพือปีกโผบินวนเวียนอยู่เหนือหลังคาซุ้มประตู
ณ เสี้ยวเวลาที่เหลียวหลังกลับไปนั่นเอง สายตาของมู่ฝูหลันพลันนิ่งขึงไป
ท่ามกลางแสงโพล้เพล้นางมองเห็นร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นหลังซุ้มประตูที่เปิดอ้ากว้าง
นั่นเป็นเด็กชายผู้หนึ่งในวัยราวสองสามขวบ ดูเหมือนความวุ่นวายที่นอกประตูจะดึงดูดให้เขาออกมายืนอยู่มุมหนึ่งข้างธรณีประตูอย่างเงียบๆ
ชั่วขณะที่เงาร่างเล็กๆ นั่นสะท้อนเข้าคลองจักษุ หัวใจของมู่ฝูหลันเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเต็มแรงคราหนึ่งจนปริแตกกะทันหัน
นางคล้ายจะมองเห็นซีเอ๋อร์ของนาง! ซีเอ๋อร์ที่อยู่เคียงข้างนางทุกเช้าค่ำในเรือนเก่าที่เยือกเย็นวังเวงหลังนั้นในอำเภอเซี่ยตอนยังเป็นเด็ก
ข้าต้องตาฝาดไปแน่ๆ!
นางเพียรเบิกตากว้างๆ อยากมองให้ชัดขึ้นอีกสักนิด
ภิกษุรูปหนึ่งกลับออกมาจูงมือเด็กชายพาเข้าไปข้างใน
เด็กชายผู้นั้นถูกพากลับเข้าไปแล้ว แต่ราวกับเขารับรู้อะไรได้กระนั้น ตอนหมุนกายหันกลับมา เขาก็ชะเง้อมองมาทางมู่ฝูหลันแวบหนึ่ง
ร่างเล็กๆ ร่างนั้นหายลับไปหลังประตูอย่างรวดเร็วจนมองไม่เห็น
ดวงตาของมู่ฝูหลันเบิกกว้างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นางขยับตัวไม่ได้ กระทั่งจะหายใจก็หายใจไม่ออก
นางบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าแม้ตรงเชิงเขามีคนตั้งมากมายเพียงนั้น แต่เด็กชายหน้าตาประพิมพ์ประพายซีเอ๋อร์ที่เหลียวหลังชะเง้อชะแง้ก่อนจากไปคนนั้นกำลังมองหานางอยู่แน่นอน
เขากำลังมองหาข้าอยู่!
ชั่วพริบตานี้นางลืมเลือนทุกสิ่งรอบด้าน หันหลังวิ่งทะยานกลับไปท่ามกลางสายตาแปลกใจระคนสงสัยของคนรอบตัว ยกขาก้าวขึ้นบันไดไล่กวดตามไปทางซุ้มประตู
หลิวไทเฮาขึ้นไปบนรถม้าพระที่นั่งแล้ว เริ่มแล่นเอื่อยๆ จากไปโดยมีทหารรักษาพระองค์และขันทีทั้งหลายถวายอารักขา
เซี่ยฉางเกิงรับสายบังเหียนม้าจากมือของผู้ติดตาม ขณะจะขึ้นม้า เขาเอี้ยวคอชำเลืองมองไปข้างหลังอีกที ไม่คิดว่าจะเห็นนางผละจากคนอื่นวิ่งย้อนกลับไปตามลำพัง อึดใจเดียวก็ขึ้นบันไดไปแล้วสิบกว่าขั้น แผ่นหลังของหญิงสาวดูลุกลนละม้ายว่าข้างบนนั้นมีเรื่องเร่งด่วนอันใดรอคอยนางอยู่
เขาทอดสายตาไกลไปที่ซุ้มประตูใต้แสงสุดท้ายของวัน นอกจากพวกภิกษุที่ยังยืนส่งอยู่ที่เดิมแล้วก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลิกกายลงจากม้าเดินปราดๆ ไล่ตามไปทันที เขาสาวเท้าก้าวยาวขึ้นบันไดตามหลังมู่ฝูหลัน ยื่นมือไปคว้าข้อมือนางไว้
“ทุกคนกลับกันหมดแล้ว เจ้ายังจะขึ้นไปทำอะไร”
เขาถามนางเสียงห้วนที่ได้ยินแค่นางกับเขา
มู่ฝูหลันซึ่งหายใจหอบถี่ไม่หยุดหันหน้ากลับไป พอปะทะเข้ากับสายตาดุดันเต็มไปด้วยความไม่พอใจของบุรุษเบื้องหลัง นางดึงสติคืนมาในฉับพลัน
นางหลับตาสงบอารมณ์ พยายามสะกดอาการหัวใจเต้นรัวแรงเพราะเลือดในกายที่พลุ่งพล่านไว้สุดกำลังแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ
“ดูเหมือนปิ่นจะหายไปอันหนึ่ง ข้าคิดว่าคงทำหล่นอยู่ตรงแถวๆ ห้องพักผ่อนตอนกลางวัน เลยเกิดใจร้อนชั่ววูบอยากกลับไปหา…”
เซี่ยฉางเกิงกวาดสายตาผ่านมวยผมดำสนิทของนางแล้วค่อยๆ คลายมือที่ยึดข้อมือนางออก กล่าวว่า “ข้าจะเรียกคนกลับไปหาให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมาก”
มู่ฝูหลันพึมพำคำหนึ่งโดยไม่มองหน้าเขา หลุบตาลงหมุนกายเดินลงบันไดทีละก้าวไปขึ้นรถม้า ปล่อยม่านผืนหนาแล้วนั่งลงด้านใน
ราตรีนี้เซี่ยฉางเกิงกลับมาถึงก็ส่งเสียงบอกหญิงสาวที่อยู่บนเตียงผ่านม่านกั้น “ข้าส่งคนไปค้นหาทุกๆ ที่ที่เจ้าเคยไปมา แต่ก็หาปิ่นไม่เจอ”
เขากล่าวเสริมขึ้นอีกคำด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเฉยอย่างข่มใจ หากแต่ความไม่เป็นมิตรแสดงออกอย่างชัดแจ้ง
“เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกทีว่าอาจมิใช่หล่นหายไป แต่อยู่ในมือใครบางคนมากกว่ากระมัง”
เสียงตอบแผ่วเบาดังลอดจากหลังม่าน
“ตอนเย็นกลับมาถึงรู้ว่าจำผิดไป เมื่อเช้าข้าไม่ได้ปักปิ่นออกไป ปิ่นยังอยู่ในกล่องเครื่องประดับ รบกวนท่านแล้ว”
เซี่ยฉางเกิงอึ้งไป
ม่านหน้าเตียงคลี่ลงคลุมมิด จนแล้วจนรอดนางที่อยู่ข้างในก็ไม่ยอมออกมา
เขามุ่นคิ้วทำหน้าตึง หมุนกายออกจากห้อง
มู่ฝูหลันไม่กล้าให้เขาเห็นตนเอง
นางหวั่นกลัวว่าแววตาหรือสีหน้าของตนจะเปิดเผยอารมณ์ที่สับสนว้าวุ่นจนสุดระงับของนางในยามนี้
เงาร่างเล็กๆ ที่เห็นตรงซุ้มประตูทางเข้าวัดผุดขึ้นในห้วงความคิดนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางบอกตนเองว่านั่นเป็นแค่ภาพลวงตา
เพราะนางคิดถึงซีเอ๋อร์มากเกินไป ถึงเห็นเด็กคนอื่นเป็นซีเอ๋อร์ของนาง ยังทึกทักเอาเองว่าเด็กคนนั้นเหลียวหลังมามองหาตนเอง
กระนั้นในใจนางลึกๆ กลับเชื่อไปอีกทางหนึ่ง มันเปรียบดั่งไฟแผดเผาที่ทำให้นางพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย อยากให้ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นเร็วๆ แทบใจจะขาด
นางจะไปที่วัดฮู่กั๋วอีกครั้ง ไปตามหาเด็กคนที่นางมองเห็นเพียงแวบเดียวเมื่อตอนเย็นคนนั้น
เช้าวันต่อมาหลังเซี่ยฉางเกิงออกไปแล้ว มู่ฝูหลันแต่งกายเป็นชาวบ้านสามัญชนนั่งรถม้าออกนอกเมืองไปที่วัดฮู่กั๋ว
แม่นมมู่นึกว่าเมื่อวานผู้เป็นนายบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ถึงตั้งใจไปสวดมนต์ไหว้พระคนเดียวในวันนี้อีก นางกับสาวใช้จึงเตรียมของเช่นธูปเทียนแล้วติดตามออกจากเรือน
รถม้าแล่นมาถึงด้านล่างของประตูทางเข้าวัดฮู่กั๋ว มู่ฝูหลันบอกให้สารถีรออยู่ตรงนี้แล้วขึ้นบันไดไป
วันนี้ด้านนอกของที่นี่สงบเงียบเชียบ ต่างจากเมื่อวานที่พลุกพล่านขวักไขว่ไปด้วยรถม้าหรูหราและอาชาพันธุ์ดี บนบันไดหินที่พาดตรงขึ้นไปถึงซุ้มประตูไร้วี่แววผู้คน แสงแดดสาดส่องกระทบยอดไม้และเถาไม้เลื้อยร่มครึ้ม ได้ยินเสียงนกร้องใสกังวานดังมาจากป่าลึก
เมื่อมู่ฝูหลันไปถึงประตูวัดก็มีภิกษุออกมาต้อนรับ เพราะคนที่มาเมื่อวานมากมายเหลือเกินจริงๆ กอปรกับนางสวมอาภรณ์ธรรมดาๆ และไม่ได้แสดงฐานะของตน จึงถูกพาไปยังอุโบสถพระโพธิสัตว์กวนอินดุจเดียวกับแขกสตรีทั่วๆ ไปที่มาไหว้พระ
นางคุกเข่าบนเบาะหมอบตัวลงกราบไหว้และอธิษฐานด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นแน่วแน่ นางผละจากแม่นมมู่และสาวใช้ ก้าวออกจากอุโบสถไปไต่ถามเรื่องเด็กน้อยคนนั้นจากภิกษุผู้ต้อนรับ
“เด็กคนนั้นตัวสูงเท่านี้ สวมจีวรแต่ไม่ได้ปลงผม…”
นางบรรยายลักษณะเท่าที่เห็นในชั่วแวบนั้นกับภิกษุอย่างละเอียดที่สุด
“เขาเป็นฆราวาสที่อยู่กับพระอาจารย์ใหญ่ ท่านเคยกำชับข้าตั้งนานมาแล้วว่าหากมีคนมาเสาะหาผู้เยาว์ผู้นี้ ให้ข้าพาไปหา สีกาเชิญตามข้ามา”
ภิกษุกล่าว
ตลอดทั้งคืนจนถึงตอนเช้าวันนี้ ระหว่างทางมามู่ฝูหลันจะนั่งจะนอนล้วนไม่เป็นสุข ใจหนึ่งคาดหวัง ใจหนึ่งก็กลัวผิดหวัง นางกลัวตนเองจะได้ยินว่าไม่มีเด็กคนนั้นในวัด ทั้งหมดเป็นจินตนาการของนางเท่านั้น
แต่บัดนี้เพราะถ้อยคำของภิกษุรูปนี้ ความหวังบางอย่างที่แม้จะแสนริบหรี่ได้ครอบงำจิตใจของนางไว้ ดูท่าทางคล้ายว่ามันยังคงอยู่ต่อไปได้ ชั่วพริบตานี้นางตื้นตันใจจนแทบน้ำตารินแล้ว
นางสะกดอารมณ์ที่แผ่ซ่านไปทั้งอกนี้ไว้ กล่าวขอบคุณภิกษุรูปนั้นแล้วตามเขาไปที่หมู่เจดีย์หลังเขา
ภิกษุเดินนำทางพลางเล่าความเป็นมาของเด็กคนนั้นให้นางฟัง
เด็กชายผู้นั้นเป็นเด็กกำพร้า ลืมตาดูโลกได้ไม่นานก็ถูกทิ้งไว้ตรงหมู่เจดีย์หลังเขาพร้อมแผ่นดวงแปดอักษร อยู่บนตัว บอกว่ามีชะตาเป็นกาลกิณีพิฆาต คาดว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเขาหวาดกลัวว่าเด็กคนนี้จะนำพาความโชคร้ายและเภทภัยมาสู่ตนถึงนำเขามาทิ้งไว้ พระอาจารย์ใหญ่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาก็เลยเก็บมาเลี้ยงไว้ข้างตัวหลังจากนั้น
ภิกษุบอกว่าเด็กคนนั้นใกล้จะสามขวบแล้วยังไม่ค่อยยอมอ้าปากพูด แต่พระอาจารย์ใหญ่เอ็นดูเขาเป็นอันมาก และไม่รู้ด้วยเหตุใดเหมือนจะให้ความสำคัญกับเขาเป็นพิเศษ ถึงขั้นแหวกกฎเรียกเขาเป็นลูกศิษย์ ซึ่งนับตามศักดิ์แล้วเทียบเท่ากับท่านเจ้าอาวาสเลยทีเดียว กระนั้นก็ไม่เคยทำพิธีปลงผมบวชพระให้ เพียงพูดว่า ‘เด็กคนนี้ยังติดอยู่ในบ่วงกรรมทางโลก’
หลังอุปถัมภ์เลี้ยงดูเขาไม่นาน พระอาจารย์ใหญ่ก็พูดสำทับเขาไว้เช่นนี้
ภาพที่เด็กคนนั้นเหลียวหลังมามองตนเองตอนเย็นเมื่อวานปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของหญิงสาวซ้ำอีกครั้ง พาให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเป็นคำรบที่สองอย่างห้ามไม่อยู่
“ถึงแล้ว ที่นี่ก็คือหมู่เจดีย์ พระอาจารย์ใหญ่อยู่ข้างใน สีกาเดินเข้าไปตามทางได้เลย”
ภิกษุหยุดฝีเท้าชี้ทางเดินปูหินสายหนึ่งข้างหน้า จากนั้นประนมมือคำนับมู่ฝูหลันแล้วหมุนกายจากไปทันที
มู่ฝูหลันสาวเท้าเอื่อยๆ ผ่านสถูปเจดีย์ข้างทางที่ขรึมขลังองค์แล้วองค์เล่ามุ่งหน้าสู่หมู่เจดีย์ลึกเข้าไป สุดท้ายตอนเดินถึงข้างเจดีย์องค์หนึ่ง นางชะลอฝีเท้าลงหยุดยืนมองภาพเบื้องหน้าที่ทำให้นางลืมหายใจ
ท่ามกลางหมู่เจดีย์ห่างไปไม่ไกล ภิกษุชราหนวดเคราขาวโพลนรูปหนึ่งอยู่กับเด็กน้อยคนหนึ่ง พวกเขาถือไม้กวาดคนละอันกำลังกวาดเศษใบไม้บนพื้นรอบหมู่เจดีย์
เด็กน้อยรวบผมขึ้นเป็นมวยเดี่ยวเล็กๆ กลางกระหม่อม สวมจีวรตัวเก่าที่แก้ให้เล็กลง ถือไม้กวาดอันเล็กในมือกวาดพื้นทีแล้วทีเล่าตามอย่างภิกษุชรา
ใบหน้าของเขาอ่อนเยาว์ ทว่าอากัปกิริยาเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังสุดจะเปรียบ พื้นด้านหลังเขาถูกกวาดจนสะอาดสะอ้าน ไม่มีใบไม้หล่นอยู่สักใบเดียว
มู่ฝูหลันแลมองเด็กน้อยตรงหน้าโดยไม่กะพริบตา ความรู้สึกใกล้ชิดอันแสนคุ้นเคยซึ่งมีเพียงนางผู้เดียวจึงจะรู้ได้ก็เอ่อท้นขึ้นมา
ในเสี้ยวเวลานี้เอง หัวใจที่เหมือนโดนเชือดเฉือนจนแหว่งวิ่นนับแต่แรกที่นางลืมตาแล้วพบว่าตนเองฟื้นคืนมา พลันกลับมาครบสมบูรณ์อีกคราด้วยความรู้สึกยินดีเจียนคลั่งระคนสุขใจอย่างเหลือเชื่อ
นางรู้ เขาก็คือซีเอ๋อร์ของนาง
เขากลับชาติมาเกิดใหม่ หวนคืนมาอยู่เคียงข้างนางเฉกเช่นที่เคยบอกนางไว้ในอดีต
ดวงตาทั้งคู่ของนางแดงก่ำ ลำคอตีบตัน อยากจะวิ่งเข้าไปกอดร่างเล็กๆ ของเขาไว้ในอ้อมอกเดี๋ยวนี้แล้วไม่ปล่อยมืออีก นางจะบอกเขาว่าตนคือมารดาของเขา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่พรากจากกันอีก นางจะปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถจวบจนเขาเติบใหญ่และเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ของตัวเขาเอง
แต่นางก็หวั่นกลัวว่าทำเช่นนั้นจะทำให้เขาตกใจ
“ซีเอ๋อร์!”
นางสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ลองเรียกขานชื่อเขาด้วยเสียงสั่นเครือ
เด็กคนนั้นชะงักมือที่จับไม้กวาดอันเล็กไว้ เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวโฉมงามที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าตนอย่างกะทันหัน
ชั่วครู่ต่อมาเขาลังเลใจนิดหนึ่งก่อนเอ่ยถามเนิบๆ ดวงตาไร้เดียงสาเบิ่งโต “ ‘ซีเอ๋อร์’ คือข้าหรือ ท่านก็คือแม่ของข้า? เป็นแม่แท้ๆ ที่มารับข้าใช่หรือไม่”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาอ้าปากพูดเป็นครั้งแรก เขาจึงออกเสียงอย่างยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ชัดถ้อยชัดคำเหลือหลาย
ยามที่ได้ยินเขาไต่ถามคำนี้ด้วยสุ้มเสียงเล็กใส มู่ฝูหลันก็หลั่งน้ำตาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ใช่ ซีเอ๋อร์ของข้า! ข้าคือท่านแม่ของเจ้า แม่แท้ๆ ที่มารับเจ้าแล้ว”
นางพยักหน้าแรงๆ กล่าวตอบเสียงแกมสะอื้น
นางสร้างสมบุญกุศลจากที่ใดกัน สวรรค์ถึงเมตตานางเพียงนี้ ถึงแม้ต้องเจ็บปวดคับแค้นจนตายในชาติก่อน แต่ชาตินี้ยังให้นางกับซีเอ๋อร์ได้พบกันและเป็นแม่ลูกกันอีกด้วยวิธีนี้
นางวิ่งถลาเข้าไปหาร่างเล็กๆ แล้วสวมกอดเขาแนบอก ประทับจูบไปทั่วดวงหน้าน้อยๆ ของเขาไม่ขาดสายดุจหยาดฝนพร่างพรม
ตอนแรกซีเอ๋อร์ซึ่งถูกนางโอบไว้ในวงแขนยืนนิ่งๆ ปล่อยให้นางจูบตัวเองไม่หยุดอย่างว่าง่าย ต่อมาดวงตาของเขาค่อยๆ ทอประกายปีติยินดีอย่างเปี่ยมล้น
“ข้าเคยฝันเห็นแม่มารับข้า หน้าตาท่านเหมือนกับแม่ข้าในฝันเลย เมื่อวานซีเอ๋อร์ก็เห็นท่านแล้ว แต่ไม่กล้าเรียก ที่แท้ท่านเป็นแม่ข้าจริงๆ…”
เขายื่นปากเล็กๆ มาชิดริมหูมู่ฝูหลัน กระซิบบอกนางอย่างดีใจปนเขินอายหลายส่วน
น้ำตาของมู่ฝูหลันไหลพรั่งพรูมากกว่าเดิม นางกอดเขาแน่นขึ้นอีก
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้…”
ซีเอ๋อร์ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้นาง
“ได้ แม่ไม่ร้องไห้”
มู่ฝูหลันรีบห้ามน้ำตาไว้แล้วส่งยิ้มให้เขา
“อาจารย์! ข้ามีชื่อแล้ว” ซีเอ๋อร์ตาเป็นประกาย เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้น “นางก็คือแม่ข้า แม่แท้ๆ ของข้ามารับข้าแล้ว”
มู่ฝูหลันเพิ่งดึงสติคืนมาได้ในเวลานี้ นางรีบเช็ดน้ำตาแล้วปล่อยตัวซีเอ๋อร์อย่างนุ่มนวล หันไปทางภิกษุชราที่ยืนมองเงียบๆ อยู่ด้านข้างตลอด
นางแสดงคำนับต่อผู้ทรงศีลซึ่งถือไม้กวาดไว้ในมือเบื้องหน้าด้วยความยกย่องและเต็มตื้นล้นเหลือ
“พระอาจารย์ใหญ่ ซีเอ๋อร์เป็นบุตรชายของข้า ข้ารับเขาไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลังกล่าวขอบคุณแล้วนางเอ่ยถามขึ้น
ภิกษุชราเพ่งมองมู่ฝูหลันด้วยสายตาสงบนิ่งทว่าลึกล้ำชั่วครู่ก่อนกล่าว “เดิมทีเด็กผู้นี้หาใช่ผู้เข้าสู่ทางธรรม แต่เพราะบุญนำกรรมแต่งถึงได้ขออาศัยอยู่ที่นี่ในตอนนั้น บัดนี้สีกามาตามหาแล้ว สายเลือดเดียวกันกลับมาพบกัน วิถีแห่งฟ้า สายสัมพันธ์ของมนุษย์ อาตมาจะกล้าไม่ปล่อยเขาหรือ”
มู่ฝูหลันคำนับขอบคุณจากส่วนลึกของใจ นางค่อยๆ สงบจิตใจลง ไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วตกลงปลงใจอย่างรวดเร็ว พูดกับซีเอ๋อร์ “เรือนของแม่อยู่ที่ที่มีชื่อว่าแคว้นฉางซา ที่นั่นไกลจากที่นี่มาก ตอนนี้แม่ยังมีธุระ ไม่อาจพาเจ้ากลับไปด้วยกันตอนนี้ แม่จะให้คนส่งเจ้ากลับเรือนก่อน เจ้าอยู่ที่นั่นรอจนกว่าแม่กลับไป…ได้หรือไม่”
ซีเอ๋อร์อึ้งไป ดวงตาฉายแวววิตกกังวล สองแขนเล็กโอบรอบคอนางแน่น เขาลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเบา “ท่านแม่ ท่านจะไม่กลับมาหรือ จะทอดทิ้งข้าอีกหรือไม่”
ในใจมู่ฝูหลันทั้งขื่นขมทั้งร้อนผะผ่าว นางโอบบุตรชายเข้าสู่อ้อมอกอีกครา กดจูบบนหน้าผากของเขาทีหนึ่งแรงๆ
“ซีเอ๋อร์วางใจได้ ซีเอ๋อร์เป็นคนที่แม่รักมากที่สุดในโลกนี้ แต่ก่อนแม่เสาะหาเจ้าไม่เจอ ตอนนี้ตามหาเจ้าพบแล้ว แม่จะทอดทิ้งเจ้าได้เช่นไร ซีเอ๋อร์เชื่อฟังแม่นะ รอเมื่องานทางนี้เสร็จสิ้น แม่จะกลับเรือนทันที หลังจากนั้นพวกเราจะไม่พรากจากกันอีก ได้หรือไม่”
ซีเอ๋อร์ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ใบหน้ากลับมามีรอยยิ้มชื่นบานดังเก่า
“ได้ ซีเอ๋อร์เชื่อฟังท่านแม่ จะอยู่ที่เรือนรอท่านแม่กลับมา”
มู่ฝูหลันกอดบุตรชายแนบแน่นอยู่นานครู่หนึ่งถึงปล่อยตัวเขา นางกลับไปอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ฮุ่ยจี้อีกครั้ง กล่าวขึ้น “พระอาจารย์ใหญ่ วันนี้ข้าจะส่งคนขึ้นเขามาพาซีเอ๋อร์ไปโดยไวที่สุด”
พระอาจารย์ใหญ่ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงกวักมือเรียกซีเอ๋อร์
เด็กน้อยวิ่งไปหาเขา
พระอาจารย์ใหญ่อมยิ้มลูบศีรษะเขาอย่างเมตตารักใคร่ ชี้ไปที่หมู่เจดีย์ข้างหน้าพลางพูด “บุญกรรมเริ่มขึ้นที่นี่ มีเริ่มก็ต้องมีจบ ซีเอ๋อร์เต็มใจจะกวาดพื้นตรงนี้กับอาจารย์จนเสร็จแล้วค่อยไปหรือไม่”
“ซีเอ๋อร์เต็มใจ”
เขาพยักหน้าทันทีแล้ววิ่งไปหยิบไม้กวาดอันเล็กที่วางลงอันนั้นขึ้นมาอีก จากนั้นผินหน้าไปพูดกับมู่ฝูหลันด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ซีเอ๋อร์ช่วยอาจารย์กวาดพื้นเสร็จแล้วถึงไปได้”
มู่ฝูหลันน้ำตารื้น นางคลี่ยิ้มพยักหน้าตกลง
นางยืนมองแผ่นหลังเล็กๆ ที่กวาดพื้นอย่างขยันขันแข็งของซีเอ๋อร์อยู่ด้านข้าง ซับคราบน้ำตาที่ติดอยู่บนหน้าออกแล้วหมุนกายกลับไปด้านหน้าวัดเริ่มมอบหมายงานต่างๆ
นางเข้าเมืองหลวงมาหนนี้ มู่เซวียนชิงจัดเตรียมนักรบเดนตายฝีมือดีของสกุลมู่ให้นางสองคน พวกเขาเดินทางมากับขบวนทูตในฐานะผู้ติดตาม
เมื่อทูตของแคว้นฉางซาถวายเครื่องบรรณาการแล้วไม่อาจรั้งอยู่ต่อไปได้และต้องกลับไปภายในสามวัน แต่นักรบเดนตายสองคนนั้นยังคงแอบซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงเพื่อรอรับคำสั่งจากนาง
มู่ฝูหลันรู้ว่าวันข้างหน้าของตนนั้นยากคาดเดา อาจถึงขั้นเคราะห์ร้ายมากกว่าโชคดี
แต่ด้วยเหตุนี้นี่เองนางถึงต้องส่งซีเอ๋อร์กลับแคว้นฉางซาโดยไว
ขอแค่ซีเอ๋อร์กลับถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย นางจึงจะรับมือกับคนที่เผชิญหน้าอยู่เหล่านั้นได้อย่างสบายใจ
นางต้องหลุดพ้นไปให้เร็วที่สุดโดยไม่คำนึงถึงวิธีการและไม่นำพาว่าต้องแลกด้วยอะไร
บทที่ 10
ขณะนี้นางก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยู่แล้ว จะให้เซี่ยฉางเกิงเคลือบแคลงสงสัยพฤติกรรมของนางไม่ได้ และยิ่งให้เขารู้เรื่องของซีเอ๋อร์ไม่ได้ เพื่อไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายลงหรือลุกลามบานปลายอีก
ถึงแม้จะหักใจไม่ได้ปานใด แต่นางกับซีเอ๋อร์ต้องแยกจากกันชั่วคราวอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางเตือนสติตนเองไว้ว่าตอนนี้สมควรทำสิ่งใด
หลังจากมอบหมายงานเรียบร้อย หญิงสาวก็ไม่กล้าโอ้เอ้นานเกินไป นางสะกดความอาวรณ์เต็มอกเอาไว้ จำใจแยกกับซีเอ๋อร์ที่เพิ่งหวนกลับมาอยู่ข้างกายตนวันนี้
นางยืนตรงหน้าประตูฝั่งหลังเขาซึ่งเป็นทางเข้าสู่หมู่เจดีย์ มองตามเงาร่างเล็กๆ ที่ถูกส่งลงเขาอย่างไม่ละสายตา
ทั้งที่เขาไม่อยากแยกจากนางชัดเจน แต่เด็กน้อยอายุแค่นี้กลับช่างน่ารักรู้ความ ไม่ร้องไห้งอแงสักนิด เพียงเหลียวหลังชะเง้อมองไม่หยุด ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าเปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อนาง
มู่ฝูหลันยืนอยู่ตรงนั้นมองส่งบุตรชายจวบจนร่างของเขาลับสายตาไปแล้วถึงหันหลังกลับ
ยามที่นางเข้าเมืองกลับถึงคฤหาสน์เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว เซี่ยฉางเกิงยังไม่กลับมาเฉกเดียวกับหลายวันก่อน ทว่าพอก้าวเข้าประตู ผู้ดูแลก็บอกข่าวเรื่องหนึ่งให้นางรู้
ทางเขตเหอซีส่งข่าวด่วนมาว่าพวกชาวเหนือมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ดังนั้นวันตรุษปีนี้ท่านผู้บัญชาการไม่อาจรั้งอยู่เมืองหลวงได้เช่นเคย สามวันให้หลังเขาก็ต้องเดินทางกลับไปที่นั่น
มู่ฝูหลันไม่แสดงสีหน้าใด บอกแต่เพียงว่าให้เรียกคนเก็บสัมภาระให้เขาโดยเร็ว ทว่าในใจกลับเริ่มตึงเครียดขึ้นทันใด
ตอนแรกนางนึกว่าต้องหลังวันตรุษเป็นอย่างเร็วเขาถึงจะจากไป ตนเองยังมีเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนกว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกะทันหันจนเหลือเวลาแค่สามวัน
ในเมื่อเขากำลังจะไปแล้ว ส่วนนางต้องไปที่ใดต่อ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือนางต้องเผชิญกับ ‘ชะตากรรม’ ในทิศทางใด จะกลายเป็นปัญหาจวนตัวที่มิอาจประวิงเวลาได้แม้สักเศษเสี้ยว
โชคดีที่วันนี้นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จัดการเรื่องของซีเอ๋อร์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว มู่ฝูหลันใคร่ครวญเรื่องที่เริ่มขบคิดพลางชั่งน้ำหนักอยู่ในใจมานานหลายวันทันที
เวลาเหลืออยู่ไม่มาก นางจำเป็นต้องลงมือทำอะไรสักอย่างโดยเร็วที่สุด
คืนนี้เซี่ยฉางเกิงกลับเรือนช้ากว่าปกติ ดูทีว่าผู้ดูแลคงรายงานเขาเรื่องที่มู่ฝูหลันไปไหว้พระที่วัดฮู่กั๋วตอนกลางวันแล้ว ตอนเข้ามาในห้องเจอหน้านาง เขาไม่พูดอะไร เพียงมองนางแวบเดียวอย่างเฉยเมยแล้วไปที่ห้องหนังสือจนดึกดื่นถึงกลับห้อง ตอนนั้นมู่ฝูหลันขึ้นเตียงคลี่ม่านลงปิดนอนหลับไปแล้ว
เขาก็นอนอยู่บนตั่งไม่ต่างจากก่อนหน้านี้
เช้าวันรุ่งขึ้นพอเซี่ยฉางเกิงออกจากเรือนแล้ว หลิวไทเฮาก็เรียกตัวมู่ฝูหลันเข้าวัง บอกว่าเขตเหอซีไม่สงบ เซี่ยฉางเกิงต้องกลับเหลียงโจวแล้ว และไต่ถามว่านางตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป
มู่ฝูหลันแสร้งตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวดังเดิม บอกว่าสองสามวันนี้เขามีงานยุ่งมาก ออกเช้ากลับค่ำยังมิได้เอ่ยเรื่องนี้กับนาง นางก็ไม่แน่ใจเช่นกัน จะให้ตามเขาไปเหลียงโจวหรือกลับอำเภอเซี่ยดูแลปรนนิบัติมารดาสามีอย่างไรก็ได้ สุดแท้แต่สามี
หลิวไทเฮาไม่รั้งตัวมู่ฝูหลันไว้นานนัก นางจับจ้องมองตามหญิงสาวจนลับตาไปแล้วจึงเอ่ยถามหยางกงกงด้านข้าง “เจ้ามีความเห็นเช่นใด”
หยางกงกงกล่าวตอบ “ผู้บัญชาการเซี่ยจวนจะไปจากเมืองหลวงแล้ว มู่ซื่อกลับยังไม่รู้ว่าจะไปที่ใด เห็นได้ว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของนางนัก”
หลิวไทเฮาผงกศีรษะ “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน มู่ซื่อผู้นี้มีรูปโฉมงดงามเสียเปล่า นิสัยใจคอกลับหัวอ่อนเหลาะแหละ ซ้ำเป็นคนน่าเบื่อไร้เสน่ห์ เมื่อแรกคงจะอาศัยว่ารูปโฉมเป็นที่ถูกตาต้องใจของท่านเซี่ย แต่เกรงว่าจะไม่อาจยั่งยืนยาวนานกระมัง”
หยางกงกงกล่าวยิ้ม “จริงแท้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงกังวลพระทัยว่านางจะยุแยงท่านผู้บัญชาการเซี่ยแล้ว”
หลิวไทเฮาหัวร่อ “จริงอยู่ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องห่วง แต่ข้าอุตส่าห์เรียกตัวนางเข้าเมืองหลวงมาแล้ว ย่อมต้องเหนี่ยวรั้งนางไว้อีกสักพักอย่างช่วยไม่ได้”
หยางกงกงงุนงงในทีแรกก่อนจะแจ่มแจ้งในบัดดล
มาตรว่าแคว้นฉางซาเป็นแคว้นเล็กมีแสนยานุภาพอ่อนแอ แต่ก็เป็นดินแดนซึ่งแต่งตั้งท่านอ๋องไปปกครอง ถึงตอนนี้ไทเฮาไม่คิดจะลงมือ ทว่ารับรองไม่ได้ว่าแคว้นฉางซาจะไม่แข็งข้อสบช่องชุลมุนก่อความวุ่นวายขึ้น ทั้งมีข่าวว่ามู่เซวียนชิงรักใคร่น้องสาวอย่างมาก ฉะนั้นจับมู่ซื่อไว้เป็นตัวประกันย่อมมีประโยชน์
“นี่พระองค์จะทรงใช้นางเป็นตัวประกันข่มขู่มู่เซวียนชิงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเห็นว่าอย่างไรเล่า”
หยางกงกงละล้าละลังครู่หนึ่งถึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไทเฮา กระหม่อมไม่เข้าใจมาโดยตลอด เหตุใดทรงไม่รับมารดาของท่านผู้บัญชาการเซี่ยมาที่เมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งผู้บัญชาการมีกำลังทหารในมือจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้บัญชาการเซี่ย แม้พูดว่าเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ แต่ใจคนยากหยั่งถึง ถ้าเกิด…”
เขาหยุดเว้นจังหวะ ก่อนเอ่ยต่อ
“ได้ยินว่าเขาเป็นบุตรกตัญญู ไยไม่หาข้ออ้างรับตัวแม่เขาเข้าเมืองหลวง เช่นนี้การที่มู่ซื่อต้องอยู่ดูแลปรนนิบัติแม่สามีก็ล้วนถูกต้องชอบธรรมดี พระองค์จะทรงมีตัวประกันของทั้งผู้บัญชาการเซี่ยและแคว้นฉางซาอยู่ในพระหัตถ์ จะมิใช่ยิงทีเดียวได้นกสองตัวหรือไร”
หลิวไทเฮาส่ายหน้า
“ข้ายกข้ออ้างดึงตัวมู่ซื่อไว้ ท่านเซี่ยคงไม่ถึงกับคัดค้าน แต่ถ้ารับตัวมารดาของเขามาอีก เขาต้องแคลงใจว่าข้าไม่ไว้วางใจเขา ถึงใช้มารดาเขาเป็นตัวประกัน”
นางนิ่งใช้ความคิดชั่วครู่
“หากต้องเอาแม่เขามาเป็นตัวประกัน ก็ยังมิใช่เวลานี้หรอก บัดนี้เกิดความไม่สงบทั้งภายนอกภายใน เป็นช่วงที่ต้องการเขาพอดี จะให้มีปัญหาแทรกขึ้นอีกไม่ได้”
หยางกงกงรีบค้อมกายลง “พ่ะย่ะค่ะๆ ไทเฮาทรงดำริได้สมเหตุสมผล กระหม่อมกล่าววาจาเลื่อนเปื้อนแล้ว”
หลิวไทเฮาเหยียดยิ้ม “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เหนี่ยวรั้งมู่ซื่อไว้เป็นตัวประกันที่เมืองหลวง รอเขามาเข้าเฝ้า ข้าจะพูดเรื่องนี้กับเขาให้เข้าใจเอง”
หยางกงกง “ไทเฮาทรงพระปรีชาปราดเปรื่องหาผู้ใดเทียบเทียมมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
มู่ฝูหลันออกจากวังหลวงกลับถึงจวนสกุลเซี่ย พอเลยเที่ยงวันนางก็ออกไปข้างนอกโดยบอกเหตุผลว่าตนเองจะไปเยี่ยมคารวะตอบฮูหยินขุนนางเมืองหลวงท่านหนึ่ง แต่ถึงกลางทางกลับหาข้ออ้างไล่ผู้ดูแลที่ติดตามมากลับไป จากนั้นผลัดอาภรณ์เป็นชุดที่ไม่เด่นสะดุดตาในรถม้า นางลงจากรถม้าแล้วเปลี่ยนไปขึ้นเกี้ยวที่เตรียมไว้ล่วงหน้า บ่ายหน้าไปที่หอสุราแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกของเมือง
ด้านมุขมนตรีจางปันได้รับสารลับที่ลงนามว่ามาจาก ‘ลู่หลิน เสนาบดีแคว้นฉางซา’ นัดพบเขาที่หอสุราแห่งนี้ตอนปลายยามเว่ย
ในใจจางปันงุนงงสงสัยเป็นกำลัง
ครั้งที่แล้วเขารับสินบนก้อนใหญ่จากลู่หลิน ช่วยพูดโน้มน้าวใจหลิวไทเฮาเพื่อแคว้นฉางซา วันนี้จู่ๆ ได้รับสารลับจากอีกฝ่ายก็สร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมาก ไม่รู้ว่าเหตุใดลู่หลินถึงใจกล้าขนาดลักลอบเข้าเมืองหลวง และไม่รู้ว่านัดเขาออกมาด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ ดังคำกล่าวว่ารับของผู้อื่นมือต้องสั้น บันดาลให้เขารู้สึกกระวนกระวายและไม่ชอบใจอย่างช่วยไม่ได้
แต่ในเมื่อได้รับการนัดหมายแล้ว จางปันรู้ว่าถ้าตนเองไม่ไปอีกฝ่ายต้องไม่เลิกราเพียงเท่านี้เป็นแน่ เขาได้แต่จำยอมถอดชุดขุนนางออกแล้วปลอมตัวไปที่ห้องส่วนตัวของหอสุราแห่งนี้ตามที่เอ่ยถึงในสารโดยไม่ให้ใครรู้เห็น
ยามจางปันมาถึงหน้าประตูห้องแล้วมองไปข้างหลังปราดหนึ่ง จนแน่ใจว่าไม่มีคนน่าสงสัยจับตาดูอยู่ถึงผลักประตูเข้าไป
ภายในห้องเงียบเชียบไม่เห็นคนอื่น ยกเว้นเงาร่างรำไรที่ปรากฏอยู่หลังฉากกั้น
จางปันหยุดฝีเท้า จ้องมองเงาร่างนั่นพร้อมพูด “ข้ามาถึงแล้ว ท่านมีเรื่องใดหรือ”
เงาร่างสายนั้นขยับตัวเดินออกมาจากหลังฉากกั้น
เป็นหญิงสาวที่แต่งกายแบบสตรีออกเรือนแล้ว ดูอายุราวสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่ง โฉมงามล้ำเลิศ นางอมยิ้มค้อมศีรษะให้เขา
สายตาของจางปันเลื่อนไปที่ตัวอีกฝ่ายแล้วนิ่งขึงไปชั่วอึดใจ นานครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้ เขาตกใจอย่างที่สุด
“ท่านเป็นใคร ไฉนมาอยู่ที่นี่ได้!”
มู่ฝูหลันกล่าว “ข้าคือน้องสาวของฉางซาอ๋อง วันนี้ข้าอ้างชื่อเสนาบดีลู่นัดหมายท่านมุขมนตรีจางมาพบที่นี่เอง”
จางปันประหลาดใจยิ่งขึ้น
น้องสาวของมู่เซวียนชิงแต่งงานกับเซี่ยฉางเกิงแล้ว นางมาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า เขาย่อมรู้เรื่องเป็นธรรมดา แต่เขาไม่นึกไม่ฝันว่านางถึงกับกล้าอ้างชื่อลู่หลินหลอกตนมาที่แห่งนี้
มีจุดประสงค์ใดแอบแฝงกันแน่
เขาหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มองไปข้างหลังนางอย่างรวดเร็ว
มู่ฝูหลันสาวเท้าเอื่อยๆ ไปหาเขา กล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ท่านมุขมนตรีจางไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้ข้านัดท่านมาที่นี่มิได้มีเจตนาร้ายใด หากแต่มีเรื่องจะหารือกับท่านต่างหาก”
จางปันถึงสงบใจลงได้ในตอนนี้ เขาลอบถอนหายใจเฮือก ปั้นหน้าขรึมเอ่ยเสียงเย็นโดยไม่มองหน้านางตรงๆ “เรื่องใดกัน”
มู่ฝูหลันกล่าว “คราวก่อนต้องขอบคุณที่ท่านมุขมนตรีจางมีน้ำใจไมตรีให้ความช่วยเหลือด้วยน้ำใสใจจริง แคว้นฉางซาถึงได้สงบปลอดภัย พี่ชายของข้าซาบซึ้งใจมาก ตอนข้ามาที่นี่ยังกำชับเป็นพิเศษว่าถ้ามีโอกาสได้พบหน้าท่านมุขมนตรี ต้องขอบคุณท่านแทนเขาด้วย”
“ช่างเถอะ ท่านเป็นสตรีนางหนึ่งกลับแอบอ้างชื่อของลู่หลินนัดพบข้าที่นี่ เห็นทีว่าคงไม่ได้แค่เพื่อพูดขอบคุณ ท่านยังมีเรื่องอะไรอีก”
มู่ฝูหลันพูดยิ้มๆ “ข้าได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าท่านมุขมนตรีจางไม่เพียงเป็นขุนนางผู้เก่งกาจ ยังเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาด้วย วันนี้ได้พบกันแล้วก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าชมชอบคบหากับคนแบบเดียวกับท่าน ในเมื่อท่านเอ่ยปากถามแล้ว ข้าก็ไม่แสร้งอมพะนำอีก ขอบอกตามสัตย์จริงโดยไม่ปิดบัง วันนี้ที่ละลาบละล้วงเชิญท่านมาเพราะมีเรื่องจะขอร้อง”
ครั้นจางปันได้ยินว่านางมีเรื่องจะขอร้องตน เขาอดชำเลืองมองนางแวบหนึ่งมิได้ เห็นดวงตาคู่งามเพ่งมองเขาอยู่โดยไม่กะพริบแล้วรู้สึกลำพองใจโดยพลัน เขาเชิดหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เรื่องใดหรือ”
“ท่านมุขมนตรีจางอยู่ในตำแหน่งสำคัญ เป็นขุนนางใหญ่คนสนิทของไทเฮา ดูท่าคงรู้เช่นกันว่าเพราะข้ามาจากแคว้นฉางซา ส่งผลให้สภาพการณ์ของข้าตอนนี้มิง่ายดายเลย อีกสองวันเซี่ยฉางเกิงก็จะออกจากเมืองหลวง ข้ากลัวว่าไทเฮาจะเหนี่ยวรั้งข้าไว้ในเมืองหลวงโดยใช้เป็นตัวประกัน วันนี้ถึงทำใจกล้าเชิญท่านมุขมนตรีจางออกมา ด้วยหวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าพี่ชายช่วยข้าอีกแรงหนึ่ง หากสามารถทูลเกลี้ยกล่อมให้องค์ไทเฮาทรงล้มเลิกความคิดนี้ปล่อยข้าไปจากเมืองหลวงได้ นอกจากพี่ชายข้าต้องแสดงความขอบคุณแน่นอนแล้ว ข้าก็จะซาบซึ้งใจต่อท่านอย่างไม่สิ้นสุด”
จางปันมองนางซ้ำอีกที
“มู่ซื่อ นี่ข้าไม่อาจเข้าใจได้เลย ท่านกับเซี่ยฉางเกิงเป็นสามีภรรยากัน ย่อมจะมีความผูกพันกัน เรื่องพรรค์นี้ท่านไม่ไปหาเขา ไยกลับมาขอร้องคนนอกเช่นข้าเล่า”
มู่ฝูหลันกล่าว “หรือว่าท่านไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร แล้วเขากับข้าจะมีความผูกพันฉันสามีภรรยามาจากที่ใดกันเล่า ขอเพียงไทเฮาตรัส อย่าว่าแต่จับข้าเป็นตัวประกันของแคว้นฉางซาเลย ต่อให้เอาชีวิตข้า เกรงว่าเขาคงไม่ขมวดคิ้วด้วยซ้ำไป”
จางปันส่ายหน้าทอดถอนใจ “ท่านตระหนักถึงจุดนี้ได้แสดงว่าไม่ใช่คนเลอะเลือน น่าเสียดายนัก ตอนนั้นพ่อของท่านเลือกคู่ครองให้ท่านผิดคน ในเมื่อท่านมาขอร้องข้าแล้ว มิใช่ว่าข้าไม่เต็มใจช่วย แค่ว่าเรื่องนี้เกรงว่าช่วยได้ยากอยู่สักหน่อย”
สายตาของเขาตรึงอยู่ที่ใบหน้าหญิงสาว
จางปันผู้นี้ดูภายนอกไว้เนื้อถือตัว หากแท้ที่จริงก็เป็นพวกมากตัณหา ไหนเลยมู่ฝูหลันจะดูไม่ออกว่าสายตาของเขาที่มองตนฉายแววแปลกไปทีละน้อย นางผลิยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดาย หากท่านมุขมนตรียอมช่วย หลังงานลุล่วงข้าต้องตอบแทนท่านแน่นอน”
จางปันรู้ดีว่าภรรยาของเซี่ยฉางเกิงนั้นไม่ควรแตะต้องตามใจชอบ แต่ว่ากับหญิงงามที่มาขอความช่วยเหลือจากตนเช่นนี้ เขาก็ไม่อยากตัดรอนในทันที อีกทั้งฟังจากถ้อยคำของนางดูเหมือนแฝงนัยอื่นไว้ เขากระแอมกระไอทีหนึ่งแล้วพยายามปั้นหน้าขรึมยิ่งขึ้น
“ท่านหมายความว่าอะไร”
มู่ฝูหลันสืบเท้าสองสามก้าวเข้าไปหาเขา พูดเสียงเบาลง “เห็นทีท่านมุขมนตรีจางยังไม่รู้กระมังว่าเซี่ยฉางเกิงมีใจคิดคดกบฏ เรื่องนี้คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยากัน ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกค่ำคืน เขาจะปิดบังข้าได้เยี่ยงไร”
จางปันตะลึงงัน รอยกรุ้มกริ่มบนหน้าเลือนหายไปฉับพลัน สองตาจ้องมู่ฝูหลันเขม็ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดสุดจะเปรียบ
“มู่ซื่อ คำกล่าวนี้ของท่านเป็นความจริง?”
มู่ฝูหลันพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน! ข้าเคยได้ยินเขาละเมอหลุดปากพูดเรื่องก่อกบฏ ถ้ามิใช่กลางวันคิด กลางคืนจะเก็บไปฝันได้ฉันใด เขามักใหญ่ใฝ่สูง มีหรือจะยินยอมอยู่ใต้อำนาจคนอื่น โดนควบคุมบงการตลอดไป แต่ถึงข้าไม่ได้ยินเขาพูดละเมอโดยบังเอิญ ทว่าผู้มีสายตาเฉียบแหลมเฉกท่านมุขมนตรีจางก็คงประจักษ์แจ้งแก่ใจดี”
จางปันกับเซี่ยฉางเกิงนั้นคนหนึ่งดูแลงานในราชสำนัก คนหนึ่งประจำการอยู่นอกราชสำนัก ล้วนแต่เป็นคนที่หลิวไทเฮายกให้เป็น ‘มือขวาคู่พระทัย’ ยามนี้เซี่ยฉางเกิงมีอำนาจเพิ่มขึ้นมากจนมีทีท่าว่าจางปันจะหมดความโปรดปราน ด้วยนิสัยใจคอของเขาเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่รู้สึกโอนเอนแม้แต่น้อยนิด
นางเห็นจางปันไม่เปล่งวาจา จึงกล่าวต่อไป “ความตั้งใจแรกของท่านพ่อที่ยกข้าให้เซี่ยฉางเกิงในครั้งนั้นก็เพื่อหาพันธมิตรให้แคว้นฉางซา ไหนเลยจะคิดว่าเขากลับเป็นคนแล้งน้ำใจ ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตนเองก้าวขึ้นเป็นใหญ่ เคยคำนึงถึงแคว้นฉางซาของพวกข้าสักเศษเสี้ยวเมื่อไรกัน แคว้นฉางซาแค่ต้องการปกป้องตนเอง แทนที่จะอาศัยเขา มิสู้พึ่งบารมีของท่านมุขมนตรีจางเสียดีกว่า หากท่านช่วยให้ข้ารอดพ้นไปได้ ไม่ต้องอยู่เป็นตัวประกันที่เมืองหลวง ข้าเต็มใจช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเซี่ยฉางเกิง เมื่อพบหลักฐานแน่นหนาก็จะมอบให้ท่านทันที”
ใบหน้าของจางปันดูคล้ายสงบนิ่งไร้รอยกระเพื่อมใด หากแต่ความคิดในหัวพลิกตลบไปมามากเพียงไรก็สุดรู้แต่แรก
ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีเซี่ยฉางเกิงไต่เต้าก้าวหน้าอย่างพุ่งพรวดรวดเร็ว ซ้ำยังสร้างความชอบครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้นับวันก็ยิ่งเป็นที่โปรดปรานของหลิวไทเฮามากขึ้น ย่อมคุกคามต่อฐานะของเขา จางปันอาจไม่แสดงออกทางสีหน้าใดๆ ยามทั้งคู่พบหน้ากันก็กลมเกลียวปรองดองกันดี ทว่าในใจเริ่มร้อนรนไม่เป็นสุข ถึงขั้นริษยาเกลียดชังอย่างยิ่งมานานแล้ว
ตอนต้นปีนี่เองเขาเคยลอบยุยงให้ขุนนางใหญ่คนหนึ่งไปแจ้งหลิวไทเฮา ชี้เป็นนัยๆ ว่าเซี่ยฉางเกิงมีกำลังที่จะก่อกบฏได้ และพูดเตือนให้ไทเฮาระวังป้องกันมากขึ้น ไม่คิดว่านอกจากไทเฮาจะไม่คล้อยตาม ยังลงโทษคนผู้นั้นฐานปรักปรำแม่ทัพนามกระเดื่อง นับแต่นั้นในราชสำนักก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงอีกสักครึ่งคำ
จางปันเพียงคับข้องใจที่ตนเองไม่อาจหาหลักฐานก่อกบฏของเซี่ยฉางเกิงมาโดยตลอด วันนี้จู่ๆ โอกาสก็มาถึงเช่นนี้
มู่ซื่อเป็นคนข้างหมอนของเซี่ยฉางเกิง ต่อให้เซี่ยฉางเกิงจะระแวดระวังตัวปานใดก็ไม่มีทางคิดว่านางเป็นคนของเขา
ด้วยสภาพการณ์ของแคว้นเล็กขุมกำลังอ่อนแอที่ต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจเฉกแคว้นฉางซาในขณะนี้ ประกอบกับเซี่ยฉางเกิงที่ฝากความหวังไม่ได้ ถ้าเขายอมยื่นมือช่วยเหลือในเวลาอย่างนี้ อีกฝ่ายย่อมต้องยินดีอย่างยิ่งยวดเป็นแน่ คะเนว่ามู่ซื่อผู้นี้คงมิกล้าถีบหัวเรือส่ง เห็นตนเป็นพวกโฉดเขลายอมให้หลอกใช้เปล่าๆ หากสามารถใช้ประโยชน์จากนาง ให้เป็นสายสืบที่แทรกซึมอยู่ใกล้ตัวเซี่ยฉางเกิง วันหลังได้หลักฐานอะไรที่มัดตัวเซี่ยฉางเกิงได้จริงๆ เมื่อนั้นค่อยฟ้องร้องกับหลิวไทเฮา ไยต้องวิตกว่านางจะไม่เชื่อ
จางปันสะกดความตื่นเต้นพลุ่งพล่านในอกไว้ เผยรอยยิ้มบนหน้าช้าๆ
เขามองมู่ฝูหลันพร้อมกับพยักหน้า
“มู่ซื่อ เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ ต่อไปนี้เรื่องของแคว้นฉางซาก็คือเรื่องของข้าจางปัน ส่วนปัญหาในตอนนี้ของท่าน ข้าย่อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ดุจเดียวกัน”
มู่ฝูหลันออกมานั่งเกี้ยวกลับไปยังจุดที่จอดรถม้าแล้วขึ้นไปเปลี่ยนใส่อาภรณ์ชุดเดิม นางสำรวจดูว่าไม่มีอะไรผิดปกติถึงสั่งให้กลับจวน
รถม้าแล่นกลับไปจอดหน้าคฤหาสน์สกุลเซี่ย นางก้าวออกมาให้สาวใช้ประคองลงไป ขณะกำลังจะเข้าประตูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง “ท่านหญิง โปรดหยุดฝีเท้าขอรับ”
มู่ฝูหลันเหลียวหน้าไปมอง เห็นคนแปลกหน้าซึ่งแต่งกายแบบบ่าวไพร่ของตระกูลใหญ่วิ่งทะยานจากปากตรอกหนึ่งใกล้ๆ มาตรงหน้า ค้อมกายบอกว่าตนเองถูกชายาฉีอ๋องส่งมา “บ่าวมาที่นี่เพื่อนำสารของพระชายามอบให้ท่านขอรับ”
คนผู้นั้นพูดพลางสอดมือล้วงหาสารในอกเสื้อ ในเวลานี้เองเสียงฝีเท้าม้าระลอกหนึ่งพลันดังมาจากด้านหลัง เขาหันศีรษะไปก็เห็นเซี่ยฉางเกิงที่กำลังกลับจวนได้แต่ไกล ฉุกคิดถึงคำกำชับกำชาของผู้เป็นนายได้ก็ลุกลนชักมือกลับ กล่าวอย่างขอลุแก่โทษว่าหาสารไม่พบ คงจะทำหล่นกลางทางโดยไม่ระวัง ขอกลับไปตามหาก่อน ว่าแล้วก็หมุนกายจากไปอย่างเร่งรีบ
มู่ฝูหลันจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วอึดใจ ข้อแรกคือนางไม่รู้ว่าจู่ๆ ชายาฉีอ๋องส่งสารให้ตนเองเพราะอะไร และต้องการบอกอะไร ข้อสองคือนางรู้สึกอยู่ไม่วายว่าวาจาท่าทางของคนส่งสารผู้นี้แปลกชอบกลอยู่สักหน่อย แต่เขากลับไปแล้วจึงมิได้ใส่ใจ นางมองเซี่ยฉางเกิงที่ขี่ม้ากลับมาปราดหนึ่งก่อนหมุนกายเดินเข้าจวน
เซี่ยฉางเกิงมาถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็วแล้วลงจากม้า คนเฝ้าประตูก็เข้าไปต้อนรับ
เขามองไปยังทิศทางซึ่งคนที่เห็นตนกลับมาก็หันหลังวิ่งหนีไปทันใดเมื่อครู่นี้ ก่อนจะเอ่ยถามคำหนึ่ง
คนเฝ้าประตูกล่าวตอบ “เห็นบอกว่าชายาฉีอ๋องส่งเขาถือสารมาให้ท่านหญิง เขามาถึงนานแล้ว พอรู้ว่าท่านหญิงออกไปก็จะรอท่าเดียว ไม่ยอมฝากสารไว้กับบ่าว ครั้นท่านหญิงกลับมาถึง เขากลับหาสารไม่เจอขอรับ”
เซี่ยฉางเกิงมองไปยังทิศทางนั้นอีกครา เขาส่งเสียงเรียกผู้ติดตามคนหนึ่งมาสั่งกำชับสั้นๆ ส่วนตนเองเข้าจวนไปรออยู่หลังกำแพงบังตา ชั่วครู่หนึ่งผู้ติดตามของเขาก็กลับมารายงาน
“เมื่อครู่ไล่ตามคนผู้นั้นทันแล้วก็สยบเขาได้อย่างง่ายดาย ค้นตัวเขาพบสารฉบับนี้ขอรับ” พูดจบก็ยื่นสารให้
เซี่ยฉางเกิงรับมาแกะเปิดอ่าน
ไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้ สารนี้มิใช่ชายาฉีอ๋องเป็นคนส่งแต่อย่างใด แต่มาจากมือของจ้าวซีไท่แห่งวังฉีอ๋อง
เพียงเขาไล่สายตาอ่านถ้อยความในสารแวบเดียว ใบหน้าก็พลันขุ่นเคืองเต็มที เขาร้องเรียกหญิงรับใช้ที่เดินผ่านมาคนหนึ่ง สั่งให้นำสารไปให้มู่ฝูหลัน
“บอกนางว่าข้าใช้ให้เจ้าถือไปให้”
หญิงรับใช้เห็นนายท่านมีสีหน้าบูดบึ้งก็หวาดกลัวอยู่บ้าง นางรับสารมาแล้วหมุนกายออกเดินไปอย่างรีบเร่ง ทว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงดังไล่หลังมาอีก
“หยุดก่อน”
นางหยุดทันที หันหลังกลับไปเห็นท่านผู้บัญชาการสาวเท้ามาหาตน ขอสารคืนไปกำไว้ในมือแล้วก้าวปราดๆ ไปทางข้างใน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มี.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.