บทที่ 3
กวนอวิ๋นซีนอนหลับเต็มอิ่ม หลังจากตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่นางก็ปล่อยให้จิ่นเซียงทำผมแต่งกายให้
แม้นางจะไม่เคยใช้ชีวิตแบบคุณหนูผู้สูงส่งมาก่อน ทว่าก็ไม่ได้ยากเกินไปที่จะทำตัวเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง
นางเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ อยู่แต่ในเรือน ไม่ออกไปข้างนอก แน่นอนว่าไม่รวมถึงยามค่ำคืนที่นางแอบหนีออกไป อีกทั้งหลังจากที่เกิดเรื่องกระโดดน้ำ ทุกคนเห็นนางเงียบงันไม่พูดไม่จา พวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไร ทำให้ลดปัญหาที่นางจะต้องเผชิญไปได้ไม่น้อย
อยู่ในเรือนฝ่ายในเช่นนี้อย่างมากก็มีเพียงกวนฮูหยินผู้เป็นมารดาที่มาเยี่ยมนางอยู่บ่อยครั้ง จับมือนางพลางถอนใจ ส่วนนางก็ทำได้เพียงเผยยิ้มบางๆ
เวลาส่วนใหญ่มีเพียงกวนฮูหยินที่คอยพูดจา นางก็แค่พยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้น
“ท่านพ่อของเจ้าทำตัวน่าโมโหจริงๆ ไม่เพียงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ ไม่ยอมไปคัดค้านกับฝ่ายนั้น เอาแต่บอกว่าจะดีจะเลวอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงตระกูลเสนาบดี จะไปฉีกหน้าฝ่ายนั้นไม่ได้ น่าขำนัก เป็นพวกเขาที่ถอนหมั้นก่อน พอเจริญรุ่งเรืองแล้วก็กลัวว่าพวกเราจะไปเกาะจึงขับไสไล่ส่ง พวกเรายังต้องไว้หน้าพวกเขาอีกหรือ”
กวนอวิ๋นซีเอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ อันที่จริงข้าคิดตกแล้วเจ้าค่ะ ในเมื่อถอนหมั้นแล้วก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย…”
“ไม่ได้! จะปล่อยไปได้อย่างไร นึกถึงครานั้นหากไม่ใช่เพราะท่านปู่เจ้าไปช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามยามตกทุกข์ได้ยาก ตระกูลเขาจะมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองถึงวันนี้หรือ”
“บุญคุณที่ติดค้างกันในรุ่นท่านปู่ ให้รุ่นท่านปู่ตอบแทนก็สิ้นเรื่องแล้วเจ้าค่ะ จะให้รุ่นหลานไปตอบแทนได้อย่างไร พูดตามตรง ข้าคิดมาตลอดว่าหนี้สินในรุ่นบิดา ให้รุ่นลูกไปชดใช้ก็ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร”
นางมักแยกบุญคุณความแค้นออกจากกันอย่างชัดเจน เรื่องในรุ่นปู่ยังยืดเยื้อมาจนถึงรุ่นหลานก็เลยไม่จบไม่สิ้นสักที
กวนฮูหยินถลึงตาใส่นาง “เจ้าพูดอะไร หนี้สินรุ่นบิดาให้รุ่นลูกชดใช้อะไร พวกเราไม่ได้ติดเงินสักหน่อย นี่คือความน่าเชื่อถือ การออกเรือนของบุตรสาวเป็นเรื่องใหญ่”
กวนอวิ๋นซีฟังจนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง สตรีนางนี้เอาแต่พูดพล่ามเรื่องนี้ให้นางฟังทั้งวัน นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ตามความเห็นนางแล้วนายท่านกวนรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ เขาคิดเผื่อทั้งตระกูล สกุลกวนไม่อาจไปล่วงเกินตระกูลเสนาบดีด้วยเรื่องแค่นี้ได้ ฝ่ายนั้นมีอำนาจใหญ่โต ยังต้องคลุกคลีในแวดวงขุนนาง จะเอาเรื่องแค่นี้ไปข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร
กวนอวิ๋นซีคนเดิมไปกระโดดน้ำด้วยเรื่องแค่นี้ช่างโง่เขลาสิ้นดี
นางตรวจสอบมาแล้ว กวนอวิ๋นซีคนเดิมเคยได้เห็นฉู่เหิงจือไกลๆ เพียงครั้งเดียว แล้วนางก็หลงรักในความหล่อเหลาสง่าผ่าเผยของเขา หมายที่จะออกเรือนกับอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงขั้นสาบานว่าจะรักกันไปตลอดสักหน่อย ฉู่เหิงจือก็อยู่ที่ซีเป่ยตลอด เขาเพิ่งกลับเข้าเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังไม่ทันได้พบหน้ากับกวนอวิ๋นซีตัวจริงเลยด้วยซ้ำ
กวนอวิ๋นซีตัวจริงแค่ตกหลุมรักตัวเขาในจินตนาการของนาง ครั้นได้ยินว่าอีกฝ่ายมาขอถอนหมั้น กวนอวิ๋นซีที่เป็นคุณหนูอยู่แต่ในเรือน ไม่เคยพบเจออุปสรรคขวากหนาม จู่ๆ วันหนึ่งบุรุษในฝันจะไม่มาสู่ขอนางแล้วก็รู้สึกราวกับฟ้าถล่มดินทลาย กอปรกับนางหน้าบางจึงไปกระโดดน้ำในขณะที่คุณชายฉู่เดินทางผ่าน
และนางยังรู้มาจากปากสาวใช้ว่าอันที่จริงกวนอวิ๋นซีไม่ได้อยากตายจริงๆ เพียงแค่ฉวยโอกาสนี้มาดึงดูดความสนใจจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นหมายจะให้เขารู้ว่านางเสียใจ
แต่ที่น่าขำก็คือนางที่มีร่างกายบอบบางกลับทนไม่ไหว กว่าเขาจะเข้ามาช่วยตัวนางก็ขาดใจตายไปเสียก่อน เยี่ยเฟิงจึงได้ทีมายืมร่างใช้
กวนอวิ๋นซีจ้องมองกวนฮูหยิน ในใจคิดว่าเหตุที่บุตรสาวคิดไม่ตก มารดาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ นางมักมาสาธยายต่อหน้าบุตรสาวว่าการแต่งงานกับสกุลฉู่นั้นดีเพียงไร ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าบุตรสาวจะได้ผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ แล้วพอบุตรสาวได้ยินได้ฟังนานเข้าก็ตระหนักว่าการออกเรือนกับสกุลฉู่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ดังนั้นพอสกุลฉู่มาขอถอนหมั้นก็เท่ากับฟ้าพังทลายลงมา
กวนอวิ๋นซีอดหาวนอนไม่ได้ ในใจคิดว่าจะสกัดจุดให้สตรีนางนี้หลับไปเลยดีหรือไม่ ให้กวนฮูหยินที่ยังไม่ยอมแพ้ผู้นี้หุบปากสักที ดูท่าอีกฝ่ายยังหวังอยู่ตลอดว่าจะให้บุตรสาวมีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ สาวใช้จากด้านนอกก็เข้ามารายงาน
“ฮูหยิน คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเชิญคุณหนูไปยังเรือนหลักเจ้าค่ะ”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ยินก็ไม่รอให้กวนฮูหยินได้ทันเอ่ยปาก นางชิงเอ่ยขึ้นทันที “ท่านแม่ ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าท่านพ่อมีธุระอะไรนะเจ้าคะ”
พูดจบก็ไม่รอช้า ออกคำสั่งเองว่า “ไปกันเถิด!” นางรีบเดินจ้ำอ้าวผ่านสาวใช้ไป
ครั้นออกนอกประตูกวนอวิ๋นซีก็รีบก้าวเท้าเร็วทันที เพียงชั่วประเดี๋ยวก็ทิ้งสาวใช้ไว้ด้านหลัง ทำให้สาวใช้ต้องซอยเท้าถี่ไล่ตาม
“คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”
กวนอวิ๋นซีหยุดชะงักทันที ยืนหันหน้ามาอย่างสงบ รอจนสาวใช้ตามมาทันพลางหอบแฮกๆ นางก็เอ่ยว่า “ไปกันเถิด!”
“อ๊ะ?”
สาวใช้เบิกตากว้าง เห็นคุณหนูจะเดินจากไปไกลอีกก็รีบเดินจ้ำอ้าวตามไป
สาวใช้อดนึกประหลาดใจไม่ได้ ไยคุณหนูจึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็วเช่นนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวคุณหนูก็อยู่ห่างออกไปเสียไกลทั้งๆ ที่ไม่ได้วิ่ง
เดิมทีกว่าจะถึงเรือนหลักต้องใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ ทว่ากวนอวิ๋นซีกลับใช้เวลาเพียงครึ่งเดียว
เมื่อนางมาถึงก็เดินเข้าไปในห้องโถง พอมองไปก็ตะลึงโดยพลัน
บุคคลที่นั่งอยู่มีกวนปัง ส่วนอีกคนคือฉู่เหิงจือ
กวนอวิ๋นซีจับจ้องไปที่เขา ในใจขบคิดว่าคนแซ่ฉู่มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด อีกทั้งบุรุษสองคนนี้ยังสนทนากันอย่างชื่นมื่น สถานการณ์นี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูแปลกยิ่ง
สองตระกูลนี้ไม่ใช่แตกหักกันไปเพราะเรื่องถอนหมั้นแล้วหรือ
นางมองพวกเขาด้วยสีหน้าสงสัย ไม่ได้กล่าวทักทาย แต่เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไกลที่สุดแล้วนั่งลง นางไม่อยากขัดจังหวะพวกเขา หยิบถ้วยชาจากโต๊ะน้ำชาด้านข้างมาดื่มเอง
กวนปังหันหน้ามาหานาง เห็นบุตรสาวนั่งอยู่ตรงนั้นไม่เอ่ยแม้กระทั่งคำทักทายเลยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทว่าเป็นเพราะมีคุณชายฉู่อยู่ด้วย ไม่สะดวกที่จะตำหนิจึงจงใจเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ ยังไม่มาคารวะคุณชายฉู่อีก”
หากเป็นกวนอวิ๋นซีคนเดิม พอพบฉู่เหิงจือหัวใจนางก็คงจะว้าวุ่นไปนานแล้ว ทว่ากวนอวิ๋นซีที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่กลับไม่มีภาระทางใจเหล่านี้จึงยิ่งละเลยท่าทีของกวนปัง
นางลุกขึ้นเดินมาข้างหน้า จ้องอยู่ที่ฉู่เหิงจือ
“คุณชายฉู่เจ้าคะ ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน”
สำหรับนางแล้วนี่ก็ถือว่าเป็นการทักทาย แต่สำหรับกวนปังแล้วการทักทายนี้ไม่เป็นไปตามหลักการ สตรีที่ใดเอ่ยกับว่าที่สามีว่าได้ยินชื่อเสียงท่านมานานกัน
เสียดายที่ไม่ว่าเขาจะถลึงตาใส่บุตรสาวอย่างไรกวนอวิ๋นซีกลับทำไม่รู้ประสีประสา เพราะนางกำลังจดจ่ออยู่ที่คนแซ่ฉู่
หลังจากที่ฉู่เหิงจือได้รู้จักนางอีกด้านก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เขายืนขึ้นพลางยิ้มแย้ม เอ่ยทักทายอย่างอ่อนโยน
“น้องอวิ๋นซีร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่”
กวนอวิ๋นซีฟังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนขนลุก หลังจากที่เมื่อวานได้เห็นความมุทะลุดุดันของเขาก็ตระหนักได้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ได้สุภาพเหมือนภายนอก นิสัยของเขานั้นหัวรั้นพอตัวเลยทีเดียว
ในเมื่อเขาต้องการเล่นละครตบตานางก็จะให้ความร่วมมือ
นางตอบอย่างยิ้มแย้ม “ขอบคุณพี่ฉู่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เช้าวันนี้ข้าเพิ่งกินข้าวไปสามชาม แทะน่องไก่ไปสองชิ้น สบายดีอย่างที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”
“แค่ก…แค่กๆ…”
กวนปังไม่ทันระวัง สำลักน้ำชาจนกระแอมกระไออย่างแรง
“ท่านพ่อต้องระวังหน่อยนะเจ้าคะ” กวนอวิ๋นซีจงใจเอ่ยด้วยความห่วงใย
กวนปังถลึงตาจ้องนางแวบหนึ่งอย่างดุดัน ฟังสิ นางพูดอะไรของนาง อยู่ต่อหน้าว่าที่สามี นึกไม่ถึงว่าจะเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ นี่นางจงใจหรือ
กวนอวิ๋นซีเพียงกะพริบตาอย่างใสซื่อที่โดนบิดาถลึงตาใส่ นางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ฉู่เหิงจือยิ่งเผยยิ้มกว้างขึ้น “ดูท่าน้องอวิ๋นซีคงจะหายดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็สามารถออกไปล่องทะเลสาบได้ ช่างประเสริฐโดยแท้”
กวนอวิ๋นซีมองเขาราวกับเห็นผี “ล่องทะเลสาบ? เอ่อ…กลางวันแสกๆ เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
ความหมายจากวาจานั้นคือ ‘คุณชาย…ท่านจะออกไปทั้งๆ ที่ยังมีรอยช้ำอยู่บนใบหน้าหรือ ไม่กลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงคุณชายผู้สูงศักดิ์หรืออย่างไร’
กวนปังกระแอมกระไอเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพี่ฉู่มาเชิญเจ้าไปล่องทะเลสาบด้วยกัน เจ้าก็ควรออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
กวนอวิ๋นซีเลิกคิ้ว มองไปทางกวนปังแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายส่งสายตาให้นางเป็นเชิงบอกให้ตกลง แล้วมองไปทางฉู่เหิงจืออีกคราก็เห็นเขาอมยิ้มอยู่ตลอดด้วยสีหน้าจริงใจ
นี่คืองานเลี้ยงที่ประตูหงเหมินหรือ
นางแย้มยิ้มแล้วย่อกายคารวะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะปฏิเสธความหวังดีของพี่ฉู่ได้อย่างไร ดังนั้นข้าขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะเจ้าคะ”
ฉู่เหิงจือยิ้มแย้มตอบ “เชิญน้องอวิ๋นซีตามสะดวก พี่จะรอน้องอยู่ตรงนี้”
นางเผยยิ้มด้วยความรักลึกซึ้ง เขาก็ยิ้มแย้มอย่างออกนอกหน้า ดูคล้ายทั้งสองมีใจต่อกัน ไม่มีปมเรื่องการถอนหมั้น สองตระกูลเป็นเหมือนในช่วงเริ่มแรกราวกับไม่เคยฉีกหน้ากันมาก่อน
กวนอวิ๋นซีกลับเรือนไปเปลี่ยนอาภรณ์สำหรับออกไปข้างนอก หลังจากแต่งกายเกล้าผมเรียบร้อยแล้วนางก็เดินไปยังเรือนหลัก รถม้าจอดรออยู่ในลานบ้านรอให้นางขึ้นไป
ครั้นกวนอวิ๋นซีปรากฏกาย ฉู่เหิงจือยืนมือไพล่หลังรออยู่ที่ระเบียงหน้าประตูห้องโถง พอเห็นโฉมงามที่แต่งกายทำผมเรียบร้อย แววตาที่อมยิ้มนั้นก็ดูลึกล้ำราวท้องทะเล แสงดาวที่ประดับอยู่ตรงกลางนั้นสะท้อนเพียงแต่เงาของนาง
“น้องอวิ๋นซีงดงามยิ่งนัก” เขากระซิบเอ่ยชม
กวนอวิ๋นซีถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ เอ่ยอย่างเหนียมอาย “พี่ชายชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
กวนปังมองดูคนทั้งคู่ก็รู้สึกพอใจอย่างที่สุด เขาลูบหนวดเคราและพยักหน้ายิ้มๆ ทว่าก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงขมวดคิ้วมุ่น
“จิ่นเซียงเล่า”
กวนปังตีหน้าขรึม คุณหนูจะออกจากบ้าน สาวใช้ก็ต้องคอยติดตาม ใครจะไปนึกว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงา
เพิ่งพูดอยู่ก็เห็นสาวใช้นางหนึ่งรีบวิ่งมาจากเรือนฝ่ายใน นั่นก็คือจิ่นเซียงสาวใช้คนสนิทของกวนอวิ๋นซี นางหอบแฮกๆ หายใจไม่ทัน
กวนปังถลึงตาใส่จิ่นเซียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทว่านางกลับมีความลำบากใจที่เอ่ยออกมาไม่ได้
เห็นชัดว่าใต้เท้าโทษนางที่ไม่คอยติดตามคุณหนู อันที่จริงเป็นเพราะคุณหนูเดินเร็วเกินไปต่างหากทำให้นางต้องไล่ตามจนหายใจแทบไม่ทัน หอบหายใจจนพูดไม่ออกสักคำ
“ท่านพ่อ ข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”
พอกวนอวิ๋นซีพูดจบก็เหยียบลงไปบนม้านั่งเพื่อขึ้นรถม้าด้วยท่วงท่าสุขุม
ครั้นจิ่นเซียงเห็นสถานการณ์ หลังจากที่ถูกใต้เท้าถลึงตาใส่ก็เลยต้องรีบตามขึ้นรถม้าไป
หลังจากคารวะกวนปัง ฉู่เหิงจือก็ขึ้นรถม้าไปด้วยท่วงท่าสง่างาม หลังจากนั่งลงเรียบร้อยเขาก็เห็นสาวใช้ที่เหงื่อไหลท่วมตัว พอหันไปมองทางกวนอวิ๋นซีเขาก็ยกมุมปากยิ้ม แววตาแสดงความสนใจขึ้นมา
กวนอวิ๋นซีใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้จิ่นเซียง เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ดูเจ้าสิ รีบร้อนอะไรกัน ค่อยๆ เดินก็ได้ ข้าจะไม่รอเจ้าหรืออย่างไร”
จิ่นเซียงทำปากจู๋อย่างไม่สบอารมณ์ มองไปทางคุณหนูอย่างอยากจะฟ้องร้อง
คุณหนูไม่เพียงเดินเร็ว นางเพิ่งกะพริบตาคุณหนูก็หายวับไปแล้ว นางยังนึกสงสัยว่าคุณหนูกางปีกบินไปแล้วใช่หรือไม่
ครั้นรถม้าออกจากจวนสกุลกวน เพียงเลี้ยวไม่กี่ทีก็เข้าสู่ถนนใหญ่ที่ปูทางด้วยหิน ทว่าก็มุ่งหน้าไปสู่ทะเลสาบจริงๆ
“พี่ฉู่ วันนี้ไยอารมณ์ดีชวนข้าออกมาล่องทะเลสาบเช่นนี้เจ้าคะ”
ฉู่เหิงจือเอ่ยยิ้มๆ “วันนี้อากาศดี คิดว่าถ้าร่างกายน้องหายดีแล้วจะต้องอยากออกมาเปิดหูเปิดตาแน่ วันนี้พี่จึงมาชวน”
“พี่ชายเกรงใจไปแล้วเจ้าค่ะ หากมีธุระสำคัญจะต้องไปจัดการก็อย่าเสียเวลาเพราะข้าเลย”
“ที่ใดกัน พี่ไม่ยุ่ง การที่พี่ออกมาผ่อนคลายอารมณ์เป็นเพื่อนน้องได้ถือเป็นเกียรติยิ่ง”
นางยิ้มบางๆ เขาเองก็เช่นกัน นางอ่อนโยนมีมารยาท เขาก็เช่นกัน จิ่นเซียงที่อยู่ด้านข้างมองสองคนนี้สลับไปมา อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูกับคุณชายฉู่เปลี่ยนเป็นดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ก่อนหน้านี้คุณชายฉู่เอาแต่คอยหลบเลี่ยงคุณหนู ไม่พูดคุยกับคุณหนูมากนัก ไม่เหมือนวันนี้ที่เขานั่งรถม้าตั้งใจมาเยี่ยมเยียนและเชื้อเชิญอย่างเป็นทางการ
จู่ๆ กวนอวิ๋นซีก็หันไปเอ่ยกับจิ่นเซียงว่า “เอ๊ะ? เจ้าลองมองนอกหน้าต่างสิ นั่นอะไรน่ะ”
จิ่นเซียงไม่สงสัยเลยสักนิด นางหันไปมองนอกหน้าต่างตามคำบอก กวนอวิ๋นซีก็ฉวยโอกาสสกัดจุดนอนหลับของนาง ร่างจิ่นเซียงอ่อนยวบ ศีรษะพิงไปด้านหลัง หลับไปในทันที
หลังจากจัดการเรื่องสาวใช้แล้วกวนอวิ๋นซีก็เอามือไขว้กันที่หน้าอก ยกขาไขว้กัน จ้องตรงไปที่ฉู่เหิงจือ ไม่พูดมากความอีก ถามอย่างตรงไปตรงมา
“ว่ามา! ไยท่านจึงพาข้าออกมา”
หลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนฉู่เหิงจือก็ไม่ประหลาดใจอีก แต่กลับรู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นเรื่องที่นางจะทำ
ครั้นนางเผยความเป็นตัวตนออกมาแล้วยังจะเหลือคราบสตรีที่สุภาพอ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่ได้อย่างไรกัน นางกลับตรงไปตรงมา เฉียบขาด ยามอยู่เบื้องหน้าเขานางไม่ปิดบังนิสัยตนเองเลยสักนิด อีกทั้งยังไม่แสดงความอ่อนโยนอ่อนหวานออกมาด้วย
“เจ้าดูเป็นคนใจกว้าง ตรงไปตรงมา ไม่ยึดติดกับความรักระหว่างบุรุษสตรี ข้าอดสงสัยไม่ได้ ครานั้นไยเจ้าจึงไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อข้า”
“อันที่จริงวันนั้นข้าเพียงไม่ระวังพลัดตกลงไปในน้ำก็เท่านั้น จะไปรู้ได้อย่างไรว่าชาวบ้านจะลือเรื่องนี้ออกไปเสียยกใหญ่ ทำให้ท่านเดือดร้อน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
หลังจากทำให้สาวใช้สลบไปกวนอวิ๋นซีก็ไม่ต้องพะว้าพะวังอีก ยามอยู่ต่อหน้าฉู่เหิงจือก็ไม่ต้องปิดบังความเป็นตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็รู้อยู่แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร
นางเริ่มคลำหาอะไรบางอย่าง ในตู้บนรถม้ามีสุราอยู่ไหหนึ่งตามคาด นางดึงจุกไหนั้นออก วางตรงจมูกสูดดมเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นพลันเป็นประกาย
จากนั้นนางก็นำจอกสุราออกมาวาง เทสุราออกมาเอง นางปฏิบัติราวกับที่นี่เป็นรถม้าของตระกูลนาง ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย
“ตอนนั้นข้าอารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่ระวังชกหน้าคุณชายเข้า ต้องขออภัยจริงๆ มิสู้ให้ข้าดื่มสุราคารวะท่านจอกหนึ่งเพื่อแสดงการขอขมา” นางชูจอกสุราขึ้นพลางหัวเราะคิกๆ ไม่เกรงกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉู่เหิงจือจ้องนางอย่างเย็นเยียบ เอ่ยอย่างเนิบช้า “นี่คือสุราของข้า”
นางดื่มสุราลงไปรวดเดียวแล้วเอ่ยชมยกใหญ่ “เป็นสุราชั้นยอดจริงๆ!” นางแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตั้งใจจะกินและดื่มของของเขา
“เจ้าดื่มลงไปเอง ถ้าโดนพิษก็อย่ามาโทษข้าล่ะ”
กวนอวิ๋นซีมีสีหน้าบึ้งตึงโดยพลัน ถลึงตาใส่เขา “ในสุรามีพิษ?”
ทว่าฉู่เหิงจือกลับตอบพลางยกมุมปากขึ้นเผยยิ้มอันน่าหลงใหล
“ช่วยไม่ได้ เพื่อทำลายหลักฐานเมื่อคืน หนทางที่ดีที่สุดก็คือทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจพูดได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่”
กวนอวิ๋นซีหน้าถอดสี นางจ้องไปที่สุราแล้วก็มองไปที่เขา จากนั้นก็คล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ร้องฮึออกมาเสียงหนึ่ง
“สุรานี้ไม่มีพิษสักหน่อย”
“เจ้าแน่ใจหรือ”
“หากท่านอยากฆ่าข้าจริงไยต้องทำให้มันยากลำบากเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ท่านไม่มีเหตุผลที่จะต้องสังหารข้า ดูไม่ออกเลยว่าคุณชายฉู่เป็นคนชอบพูดเล่น”
กวนอวิ๋นซีเทสุราอีกจอก ดื่มรวดเดียวหมด
ฉู่เหิงจือจ้องภาพนางที่ถลึงตาด้วยโทสะนั้น มุมปากพลันยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ยกไหสุราขึ้นมาเทให้ตัวเองจอกหนึ่ง
“ใช่ หากข้าอยากจะฆ่าเจ้าไม่ต้องทำให้มันยากเย็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทั้งยังเป็นคู่หมั้นกันด้วย!”
ครั้นกวนอวิ๋นซีฟังถึงตรงนี้ เดิมทีนางอยากบอกเขาว่าตัวนางจะไม่บังคับให้เขามาสู่ขอ เขาอยากจะแต่งงานกับใครก็เป็นเรื่องของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดความคิดนี้ไว้ก่อน ความเจ้าเล่ห์แวบผ่านดวงตานาง
“เหตุที่คุณชายฉู่พาข้าออกมาคงเพราะต้องการจะสืบเรื่องโจรภูเขากระมัง! มิเช่นนั้นเมื่อคืนท่านคงไม่ไปสืบที่อี้จวงหรอก และวันนี้ก็คงจะไม่พาข้าออกมาเป็นการเฉพาะ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
“แล้วเจ้ารู้อะไรบ้างเล่า”
“ข้ารู้มามากอยู่”
“ไยข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย”
“ท่านไม่ต้องเชื่อข้าตอนนี้ แต่ท่านสามารถใช้ตาดูหูฟังเองได้”
“จะให้ข้าใช้ตาดูอะไร แล้วจะให้ข้าใช้หูฟังอะไร”
“ง่ายนิดเดียว ข้าจัดการเอง” พูดจบแล้วนางก็ดึงสาบเสื้อตนเองออก
“เจ้าจะทำอะไร” ฉู่เหิงจือถามด้วยเสียงเข้ม พัดในมือเขากดที่หลังมือนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงตักเตือน ท่าทางราวกับกลัวว่านางจะขืนใจเขา
กวนอวิ๋นซีมองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะกระจ่างแจ้งแก่ใจ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“ถึงท่านอยากดูข้าก็ไม่มีทางให้ดูหรอก!” นางดันพัดของเขาออกไป มือหนึ่งถอดเสื้อตนเองเผยให้เห็นชุดรัดกุมที่อยู่ด้านใน
ที่แท้ด้านในนางสวมชุดรัดรูปอีกตัวหนึ่งไว้ นางไม่เพียงถอดเสื้อนอก แม้แต่ปิ่นปักผมก็ดึงออก รวมถึงต่างหูและกำไลด้วย
ครั้นถอดเสื้อนอกออก สตรีงดงามหยาดเยิ้มนางหนึ่งก็กลายเป็นวีรสตรีหญิงที่ปราดเปรียวในทันใด
นางยกมุมปากขึ้น ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยกับเขาว่า “ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ถึงคราวท่าน”
“ข้า?”
“สถานที่ที่ข้าจะให้ท่านดูให้ท่านฟังนั้นทางที่ดีท่านควรเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียก่อน หรือไม่ก็เปลี่ยนท่วงท่า อย่าให้คนอื่นรู้ว่าท่านเป็นคุณชายจากตระกูลเสนาบดี” แล้วถือโอกาสปกปิดรอยช้ำนั่นด้วยจะดีมาก
“ถ้ามีคนจำได้แล้วอย่างไร”
“สถานที่ที่ข้าจะพาท่านไปอันตรายยิ่ง หากเกิดเรื่องขึ้นจะเผยถึงฐานะของท่านไม่ได้เด็ดขาด”
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้ว “ข้าเข้าใจแล้ว นำทางเถิด”
“ท่านไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า?”
“ไม่จำเป็น”
นางเลิกคิ้วขึ้นสูง “พอถึงเวลานั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ”
ครั้นเห็นเขาไม่ทุกข์ร้อนนางก็ไม่โน้มน้าวอีก นางชี้ไปยังทิศทางที่จะมุ่งหน้าไป หลังจากรถม้าออกจากเมืองแล้วก็มุ่งหน้าไปยังเนินเขาเล็กๆ
จนกระทั่งไปถึงเนินเขารถม้าก็วิ่งต่อไปไม่ได้
หลังจากที่ทั้งสองคนลงจากรถม้ากวนอวิ๋นซีก็ชี้ไปทางยอดเขาพลางเอ่ยว่า “เริ่มตั้งแต่ตรงนี้ พวกเราทำได้เพียงเดินขึ้นเขาเท่านั้น” ครั้นพูดจบนางก็หันมาและอดตะลึงไม่ได้
ยามนี้ฉู่เหิงจือที่ยืนอยู่เบื้องหลังนางสวมหน้ากากสีขาวเงินเสียแล้ว
ฉู่เหิงจือเห็นนางจ้องมาที่ตนเองอย่างอึ้งๆ ก็ยกมุมปากยิ้มน้อยๆ “รบกวนคุณหนูกวนนำทางด้วย”
กวนอวิ๋นซีเม้มริมฝีปาก หันหน้ากลับไปแล้วเริ่มเดินไปข้างหน้าแต่ก็อดพึมพำไม่ได้
นางลืมไปเลยว่าเขามีหน้ากาก! เขาเตรียมตัวมาพร้อม นางกลับเป็นห่วงเกินความจำเป็น
จะไม่พูดก็ไม่ได้ว่าการสวมหน้ากากสีขาวเงินนั้นทั้งดูลึกลับและดูมีอำนาจ เมื่อเทียบกับเขาแล้วนางดูกระจอกไปถนัดตา นางเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนาน เขาแค่มีหน้ากากก็ดูมีอำนาจกว่านางเสียอีก ถ้ารู้เช่นนี้นางจะได้เตรียมหน้ากากมาเพื่อสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญบ้าง
“อีกครู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านก็หลบอยู่หลังข้านะ เข้าใจหรือไม่”
“หลบอยู่หลังเจ้า?”
เขาเอ่ยเพียงประโยคนี้นางก็เข้าใจได้ถึงความหมายแฝงในวาจา หากจะกล่าวถึงวรยุทธ์นางไม่มีทางสู้เขาได้
“ข้าเคยชินกับภูมิประเทศที่นี่ มีข้านำทางไม่มีทางหลงหรอก ยิ่งไปกว่านั้นอีกสักครู่สถานที่ที่เราจะไป ผู้คนที่นั่นหวาดกลัวคนของทางการยิ่ง เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรา แต่ข้ารู้วิธีเกลี้ยกล่อมพวกเขา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าถึงจะไม่เกิดเรื่อง เข้าใจหรือไม่”
เขาพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้ว”
ครั้นเห็นเขาตกลงนางก็ถอนหายใจโล่งอก
เห็นด้วยก็ดี นางทำไปเพื่องานใหญ่ที่ยังไม่สำเร็จในชีวิตก่อน นางต้องการยืมอำนาจจากคุณชายตระกูลเสนาบดีผู้สูงศักดิ์เพื่อจะเบิกทางให้กับเหล่าพี่น้องบนภูเขา มิเช่นนั้นนางจะเปลืองน้ำลายอธิบายให้เขาฟังด้วยเหตุใดกัน คงคิดว่านางชอบอวดเก่งล่ะสิ! ฮึ!
ทางบนภูเขาขรุขระยิ่ง หากเดินเท้าขึ้นไป ท้องฟ้ามืดแล้วก็ยังเดินไม่ถึง จะต้องพึ่งวิชาตัวเบา ดังนั้นนางจึงแสดงวิชาตัวเบาออกมา กระโดดจากต้นไม้ต้นนี้ไปยังต้นนั้น กระโดดจากก้อนหินก้อนนี้ไปยังเนินเขา
ครั้นไม่มีคนอื่นอยู่ที่นั่นด้วยนางก็แสดงนิสัยเดิมออกมา นางสวมชุดรัดกุม กระโจนไปมาในป่าเขา ครั้นฉู่เหิงจือที่ตามมาอยู่ด้านหลังเห็นร่างนางลอยเบาหวิวราวกับนกนางแอ่น กระโดดไปมาอย่างรวดเร็วในป่าไม้ ในใจก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
แม้จะรู้จักอีกด้านหนึ่งของนางแล้ว แต่สำหรับเขา ยิ่งเข้าใกล้นางยิ่งรู้สึกว่านางคล้ายปริศนา ทุกครั้งที่ได้พบหน้าก็มีความประหลาดใจเพิ่มขึ้นทุกครั้ง
นางที่อยู่เบื้องหน้านี้กับนางที่เป็นแม่นางกวนที่ทุกคนวาดภาพไว้อย่างวิจิตรงดงามนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะเกินความคาดหมายแต่เขาก็รู้ดีแก่ใจ อันที่จริงเขาดีใจมากที่ได้รู้ว่ากวนอวิ๋นซีตัวจริงไม่ใช่คุณหนูผู้เปราะบางใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือน
เขายกมุมปากขึ้น จ้องเงาร่างอันงดงามของนางอย่างไม่วางตา คอยตามฝีเท้านางไป
เงาร่างทั้งสองกระโจนอย่างรวดเร็วท่ามกลางป่าไม้ หากมองมาจากที่ไกลก็เห็นเพียงเงาดำตะคุ่มๆ สองร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดูคล้ายห่านป่าคู่หนึ่งกำลังเริงระบำเคียงคู่กันไป
หลังจากที่กวนอวิ๋นซีกระโดดผ่านยอดเขามาแล้วก็ร่อนลงสู่พื้นดิน เดินเข้าไปในทางแคบๆ สายหนึ่ง
หนทางในที่แห่งนี้ ถึงหลับตานางก็เดินได้
กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามรังตอนที่ตัดสินใจจะสวามิภักดิ์ต่อทางการนางยังมีหนทางหนีเอาตัวรอดอีกสองวิธี ค่ายที่ทางการโจมตีและเข้ายึดไม่ใช่ค่ายใหญ่ของพวกเขา แต่เป็นเพียงที่พักชั่วคราว ด้วยเหตุนี้ครั้นพบว่านี่คือกับดัก บรรดาพี่น้องจึงมีโอกาสคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนได้
ยามนี้สถานที่ที่นางพาฉู่เหิงจือมาเป็นเพียงที่หนึ่งเท่านั้น อันที่จริงนางจงใจอ้อมมา ที่แห่งนี้หากไม่มีคนนำทางจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเดินทางอย่างไร
หลังจากเข้าสู่ทางเล็กๆ ที่วกไปวนมาก็เกือบถึงอาณาเขตของโจรภูเขาแล้วซึ่งจะดึงดูดความสนใจจากคนเฝ้าภูเขาได้
ครั้นเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวจู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ กำลังคิดจะหันไปกำชับฉู่เหิงจือ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงดังมาจากด้านหลัง
ในใจนางนึกว่าแย่แล้ว รีบหันกลับไป พลันเห็นเขาตกลงไปในโพรงตามคาด
“ฉู่เหิงจือ!” นางตะโกนเรียก
ในโพรงนั้นดำมืด นางมองเห็นไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่นางอยากจะบอกคือเตือนเขาให้ระวังกับดัก ขณะที่กำลังคิดว่าจะกระโดดลงไปช่วยกลับมีเสียงเอ่ยมาจากด้านข้างอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“ข้าอยู่นี่”
กวนอวิ๋นซีตะลึงงัน หันไปมองด้านข้าง ฉู่เหิงจือยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย
ฉู่เหิงจือเอ่ยว่า “ยังอึ้งอะไรอยู่ ไปกันเถิด!” เขาเอ่ยพลางหมุนกายก้าวเท้านำหน้า ไม่มีทีท่าตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คล้ายว่าออกมาเดินเล่นชมนกชมไม้อย่างไรอย่างนั้น
กวนอวิ๋นซีเม้มริมฝีปาก
เฮ้อ ข้ากังวลมากเกินไป แค่กับดักเล็กๆ เช่นนี้คนอย่างเขาคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ประเมินเขาต่ำเกินไปจริงๆ
นางลุกขึ้นยืน ออกเดินตามก้าวย่างของเขา ทั้งสองคนเคียงบ่าเคียงไหล่
หนทางข้างหน้าฉู่เหิงจือไม่ถามสักคำว่าที่ใดมีกับดักบ้าง คล้ายว่าไม่กังวลใจเลยสักนิด
ในเมื่อเขาไม่ถาม กวนอวิ๋นซีก็ไม่จู้จี้ ดูซิว่าเขามีฝีมือสักเท่าใดกัน
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเข้าใกล้กับดักอีกอันหนึ่งนางก็จงใจก้าวเท้าให้ช้าลง ปล่อยให้เขาเดินไปก่อน ส่วนนางก็รอชมเรื่องสนุก
นางจ้องดูอยู่ด้านหลังพลางนับในใจ หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…ตามองเท้าของเขาที่กำลังจะแตะเส้นที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า จู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้า หันมาเหลือบมองนาง
กวนอวิ๋นซีมองเขาด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ถึงขนาดมองเขาเป็นเชิงถามด้วยสายตาที่สงสัย จงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทว่าในใจกลับตะลึงงัน หรือว่าเขาสังเกตเห็นอะไร?
เพียงชั่วพริบตาจู่ๆ มือหนึ่งของเขาก็กอดเอวนางไว้ แฉลบกายไปด้านข้าง หลบตาข่ายเหล็กที่ปกคลุมลงมาจากด้านบนได้ทันท่วงที
น่าหวาดเสียวจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็นได้ทันเวลา นำตัวนางหลบออกมา ทั้งสองคนคงถูกขังอยู่ด้านในแล้ว
เนื่องจากสถานการณ์คับขัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดมาก โอบร่างนางมาหลบ ยามนี้จึงพบว่าร่างของทั้งสองแนบชิดสนิทกัน ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นนุ่มนวลอย่างน่าประหลาด ไม่แข็งแกร่งเหมือนคนที่ฝึกวรยุทธ์ แล้วเอวของนางก็คอดยิ่งกว่าที่มองด้วยตาเสียอีก
ฉู่เหิงจือรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาก้มหน้าลงมองนาง เดิมทีนึกว่าจะเห็นนางเป็นเช่นเดียวกัน แต่กลับผิดคาด เขาเห็นดวงหน้าน้อยๆ นั้นจ้องตาข่ายเหล็กอย่างใจจดใจจ่อราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
กวนอวิ๋นซีรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างมาก นางจำได้ว่าที่นี่ไม่ได้วางตาข่ายเหล็กไว้ หรือว่าหลังจากที่นางตายไปแล้วน้องรองและน้องสามจะเพิ่มกับดักขึ้นมาใหม่?
นางจ้องไปที่ตาข่ายเหล็กนั่นแล้วก็พบว่าด้านบนยังแขวนหนามเล็กๆ เอาไว้จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
หากเมื่อครู่ถูกขังเอาไว้ด้านในก็จะถูกหนามตำร่างกายแทงไปบนเนื้อหนัง คนที่อยู่ภายในถ้ายิ่งดิ้นรนผิวหนังก็จะยิ่งฉีกขาด
แววตานางหม่นลง นี่เป็นความคิดของใครกันแน่
ฉู่เหิงจือสังเกตได้ว่านางจ้องตาข่ายเหล็ก สีหน้าดูผิดปกติจึงกระซิบถาม “มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือ”
“กับดักนี้เพิ่มขึ้นมา แต่ก่อนไม่มี” นางเอ่ย
เขาตะลึงชั่วครู่ ชี้ไปที่เชือกเส้นนั้นที่สามารถทำให้สะดุดได้ “เส้นนั้นเล่า เพิ่มขึ้นมาเหมือนกันหรือ”
“ไม่ใช่ อันนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว…” กวนอวิ๋นซีชะงักโดยพลัน ดวงตาเหลือบไปมองด้านข้าง สบกับเขาพอดี
“ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าตรงนั้นมีกับดัก” น้ำเสียงของเขาแฝงความนัยไว้
นางร้องจุ๊ๆ อย่างประหลาดใจ “ไยท่านสวมหน้ากากแล้วยังมองเห็นอย่างชัดเจนเช่นนั้นเล่า”
ยามนี้นางจะมาถกเถียงปัญหาเรื่องหน้ากากหรือ ควรจะมาถกปัญหาที่ว่านางรู้แต่ไม่ยอมบอกกล่าวกระมัง!
ฉู่เหิงจือถลึงตาใส่นางด้วยโทสะที่พุ่งพรวด “เจ้า…”
“ชู่!” นางปิดปากและผลักเขาล้มลงในทันใด
ดวงตาเบื้องหลังหน้ากากนั้นถลึงมองสตรีที่ผลักตนเองจนล้มลง นางนอนทับอยู่บนแผ่นอกเขา ลมหายใจของนางเข้ามาใกล้อย่างคลุมเครือ ทว่านางกลับเตือนเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บอกเขาว่าอย่าส่งเสียง
ครานี้ร่างของคนทั้งสองแนบชิดกัน ร่างของนางทับร่างเขา แล้วมือของเขาก็ยังโอบเอวนางอยู่ ท่วงท่าที่คลุมเครือเช่นนี้ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
ฉู่เหิงจืออยากจะลุกขึ้น ทว่ากลับถูกนางทับไว้จนขยับไม่ได้
ถึงขนาดที่นางถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ยามนี้ท่านก็ไม่ดูสถานการณ์บ้าง สงบเสงี่ยมหน่อยสิ”
“…” สตรีนางนี้ เขาเห็นว่าไม่สมควรจึงอยากจะหลบไป ใครกันแน่ที่ไม่สงบเสงี่ยม
ทว่าเมื่อมองดูสถานการณ์นี้แล้วก็เป็นเขาที่คิดมากเกินไป สตรีที่นอนทับอยู่บนร่างเขากลับไม่รู้สึกรู้สาถึงท่วงท่าที่ใกล้ชิดกัน แววตาของนางจ้องไปเบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
ในสภาพนี้นางดูคล้ายกับสัตว์ป่าที่งดงามหมอบอยู่ในที่ลับ รอให้เป้าหมายในการล่าปรากฏตัวขึ้น
เขาจ้องมองนางที่ใจจดใจจ่อและเด็ดขาดเช่นนั้น ทำให้เค้าโครงดวงหน้าที่งดงามอยู่แต่เดิมกลับเพิ่มเสน่ห์อย่างหนึ่งขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่าฝ่ามือที่ปิดปากเขาไว้ก็นุ่มนวลเช่นกัน
ท่าทางแนบสนิทกันอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้นางกลับแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติมาก แม้แต่ความรู้สึกอึดอัดระวังตัวก็ไม่มีสักนิด มีเพียงสีหน้าเอาจริงเอาจัง
‘มีคนกำลังมา’
นางทำปากบอกเขา เขาจึงทำได้เพียงจำเป็นต้องอยู่นิ่งชั่วคราว รักษาท่วงท่าใกล้ชิดของทั้งสองคนไว้ จับตาดูไปโดยรอบ ขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจ หากมีคนมาไยเขาจึงไม่รู้สึกเล่า
บางทีอาจเป็นสีหน้านางที่มั่นใจยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดทนรอ ผ่านไปสักครู่ก็มีคนปรากฏตัว
มีคนมาตามคาด แต่คนผู้นี้กลับโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน
ฉู่เหิงจือพลันประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนโผล่มาจากใต้ดิน และยิ่งคิดไม่ถึงว่าตรงนั้นมีทางใต้ดินอยู่ด้วย
สองคนนั้นย่องมาที่ตาข่ายเหล็ก ดูท่าพวกเขาจะสังเกตเห็นว่ากับดักมีการเคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้จึงได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบดู
เหตุที่กวนอวิ๋นซีสัมผัสได้ก่อนเป็นเพราะนางคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก ครั้นได้ยินเสียงดังมาจากใต้ดิน แม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบา ทว่าคนนอกไม่มีทางฟังออก มีเพียงโจรภูเขาที่คุ้นเคยเท่านั้นถึงจะรู้
แผ่นอกเขาเบาลงในทันใด ไม่มีใครนอนทับบนนั้นแล้ว เพราะสตรีนางนั้นพุ่งออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แม้แต่เขายังห้ามนางไม่ทัน
บทที่ 4
ครั้นสองคนนั้นที่โผล่ออกมาจากใต้ดินเห็นกวนอวิ๋นซีเข้าก็กำดาบยักษ์เล็งมาที่นางทันที
ฉู่เหิงจือหลบอยู่ในที่ลับ จ้องสองคนนั้นอย่างไม่วางตาพลางลอบเดินพลัง ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามลงมือ เขาก็จะเข้าโจมตีทันที
เดิมทีควรจะเป็นการเผชิญหน้าที่ตึงเครียด แต่ก็ไม่รู้ว่าสตรีนางนั้นกล่าวอะไรกับสองคนนั้น จู่ๆ ก็พบว่าพวกเขาเก็บดาบลง กำหมัดคารวะนางด้วยรอยยิ้ม ฉู่เหิงจือมองภาพนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
กวนอวิ๋นซีหันหน้ามา จู่ๆ ก็โบกมือมาทางเขา ฉู่เหิงจือจึงต้องเดินไปหา
เขาเดินขึ้นหน้ามา ฝ่ายตรงข้ามก็มองตรวจสอบ กวนอวิ๋นซีไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากนางก็เแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“สองคนนี้คือโซ่วโหวและพั่งหู่ พวกเขาสองพี่น้องมีฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขา ลงทะเล ปีนต้นไม้ หรือกระโดดลงแม่น้ำ ความเร็วไม่มีใครเทียบได้ บนพื้นดินพวกเขาวิ่งเร็วปานลมกรด พอลงน้ำก็กลายเป็นมังกรคะนองน้ำ ทรงอำนาจไปทั่วทุกหัวระแหง”
ครั้นสองพี่น้องได้รับคำชมเชยจากสตรีงดงามนางนี้ก็แสดงท่าทางถ่อมตนออกมา ทว่ากลับเบิกบานใจยิ่งนัก รีบกำหมัดคารวะอีกครา
“ชมเกินไปแล้ว…ชมเกินไปแล้ว”
กวนอวิ๋นซีชี้ไปทางฉู่เหิงจือ “ท่านนี้เป็นจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว เขามีนามว่า ‘คุณชายเถี่ยซั่น’ พวกเจ้าต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนี้เป็นแน่”
ครั้นสองพี่น้องได้ฟังก็คารวะด้วยสีหน้าเลื่อมใสทันที
“คุณชายเถี่ยซั่น ได้ยินชื่อเสียงมานาน…ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
ฉู่เหิงจือทำได้เพียงฝืนยิ้มตอบกลับไปพลันเหลือบมองนาง เห็นนางอมยิ้มพลางเอ่ยว่า “อย่ามองเขาเป็นคนนอกเลย เรียกพี่เถี่ยซั่นแล้วกัน ดูใกล้ชิดหน่อย”
ครั้นสองพี่น้องฟังแล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกทันที “พี่เถี่ยซั่น”
“…” เขากำมือคารวะตอบพลางฝืนยิ้มต่อไป
โซ่วโหวเอ่ยว่า “เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเราสองพี่น้องจะนำทาง น้องเฟยอิง พี่เถี่ยซั่น เชิญทางนี้”
“รบกวนพวกเจ้าด้วย” กวนอวิ๋นซีคารวะตอบพลางขอบคุณ
โซ่วโหวและพั่งหู่สองพี่น้องหมุนกายนำทางไป กวนอวิ๋นซีและฉู่เหิงจือเดินตามอยู่ด้านหลัง รอให้ห่างกันสักเล็กน้อยฉู่เหิงจือก็ก้มหน้ากระซิบถามข้างหูนาง
“น้องเฟยอิง?”
กวนอวิ๋นซีชี้มาที่ตนเองพลางขยิบตา กระซิบเอ่ยว่า “ก็คือข้าอย่างไรเล่า”
“ไยเจ้าจึงชื่อเฟยอิง แล้วข้าคือเถี่ยซั่น?”
“เพราะข้าชอบนกอินทรีที่โบยบินอยู่บนฟ้าก็เลยชื่อว่าเฟยอิงส่วนท่านก็ชื่นชอบพัดเป็นชีวิตจิตใจ ข้าก็เลยช่วยท่านตั้งชื่อเป็นเถี่ยซั่นท่านคงพอใจกระมัง”
ท่าทางเขาดูพอใจหรือ ทั้งนางยังเอ่ยราวกับว่าเขาหลงใหลพัดอย่างไรอย่างนั้น
“เมื่อพูดถึงพัด ข้าอยากถามเจ้าว่าพัดที่เจ้าแย่งข้าไปเมื่อครั้งก่อนเล่า” ไม่เห็นว่านางจะพกติดตัวมาด้วยเลย
“ข้าให้คนทำกล่องเก็บสมบัติเพื่อเก็บรักษาอย่างดีแล้วก็เก็บพัดไว้ด้านใน” นางหัวเราะคิกๆ พัดเล่มนั้นเป็นจุดอ่อนของเขา นางไม่มีทางคืนให้หรอก!
เขาเหลือบมองรอยยิ้มเอาอกเอาใจของนางแล้วโพล่งออกไปประโยคหนึ่ง “เก็บรักษาแทนข้าให้ดี ห้ามทำหายเด็ดขาด”
“วางใจได้ ข้าถือว่ามันเป็นยันต์คุ้มภัย เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า!”
ครั้นนางเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะเอาคืน นางก็ตบอกรับรองทันที โดยไม่รู้สักนิดว่าลักยิ้มของนางนั้นมีเสน่ห์งดงามจนตรึงใครบางคนเอาไว้ นางไม่มีจริตของบุตรสาวขุนนางเลย กลับมีท่วงท่าสบายๆ ตรงไปตรงมาซึ่งทำให้คนอยากเข้าใกล้จนอดยิ้มไม่ได้
มีสองพี่น้องโซ่วโหวและพั่งหู่คอยนำทาง ตลอดทางนี้พวกเขาก็ไม่พบเจอกับดักอีก
“เจ้าจะให้ข้าไปดูอะไรกันแน่” ฉู่เหิงจืออดสงสัยไม่ได้
“ค่ายอูเจียง”
นางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย ทว่าเขากลับฟังด้วยความตกตะลึง
ค่ายอูเจียงก็คือกลุ่มโจรภูเขาที่ถูกทหารปราบปรามในครั้งนั้น ทว่าค่ายอูเจียงเป็นเพียงชื่อเรียก อันที่จริงจนถึงป่านนี้พวกทหารยังหาสถานที่ตั้งค่ายไม่พบ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพวกโจรจะถูกปราบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกปราบเสียราบคาบ
ฉู่เหิงจือจ้องนางอย่างแปลกใจ เขารู้เพียงว่านางติดต่อกับพวกโจรภูเขาในค่ายอูเจียง แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะรู้แม้กระทั่งสถานที่ตั้งค่าย
ครั้นกวนอวิ๋นซีเห็นเขาตะลึงนางก็ยิ้มยั่ว
“ไม่กล้าไปหรือ”
ผู้คนภายนอกลือกันว่าโจรภูเขาในค่ายอูเจียงชั่วช้าสามานย์ กินเลือดคน ควักอวัยวะภายใน ข่มขืนสตรี เผาคน ปล้นชิง ล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจไร้หัวใจ หากใครหลุดเข้าไปในค่ายอูเจียงก็จะไม่เหลือแม้กระทั่งศพและโครงกระดูก ดังนั้นพอนางเห็นสีหน้าเขา นางจึงถามเขาอย่างเย้าแหย่
“ปากว่าไม่เท่าตาเห็น” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบ
นางยกนิ้วโป้งให้ทันที
“มิเสียแรงที่เป็นคุณชายใหญ่ของเสนาบดีกรมอาญา รู้ว่าข่าวที่ลือออกไปไม่เป็นความจริง ไม่ใช่ใครว่าเป็นลมเป็นฝนก็เชื่อไปเสียหมด ปัญญาเฉียบแหลมยิ่ง”
หลังจากฉู่เหิงจือเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เขาก็มองไปเบื้องหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
พวกเขามาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง กำแพงหินที่ล้อมรอบหุบเขาเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ละแวกนั้นยังมีน้ำตก ด้วยเหตุนี้จึงมีไอน้ำรวมตัวกันทำให้มองไม่เห็นทางเข้าออกของถ้ำหรือประตูหิน จนกระทั่งโซ่วโหวและพั่งหู่ผิวปาก กำแพงหินที่เดิมทีไม่มีร่องรอยอะไรเลยนั้นกลับเคลื่อนตัวออก
เขาเห็นศีรษะโผล่ออกมาท่ามกลางกำแพงหินที่มีหญ้าและต้นไม้นานาชนิด แต่ละคนกำหอกหลาวและธนูไว้ ใบหน้าทาสีเขียวคล้ายต้นหญ้า แววตาราวเพลิงลุกโชนกำลังจ้องมาที่พวกเขา
ที่แท้พวกเขาก็เข้ามาในอาณาเขตของค่ายอูเจียงนานแล้ว
ฉู่เหิงจือแอบประหลาดใจ ที่แท้ที่ตั้งของค่ายอูเจียงก็ไม่มีประตู พวกทหารจึงหาประตูไม่พบ
โซ่วโหวยื่นมือทั้งสองข้างออกไป ทำไม้ทำมือไปทางคนเฝ้าประตูด้านบนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา
ฉู่เหิงจือกระซิบถามนาง “พวกเขาทำไม้ทำมืออะไร”
เดิมทีเขาถามเป็นการหยั่งเชิง คิดไม่ถึงว่านางจะตอบได้
“รออีกสักครู่ให้คนที่ชื่อว่าสยงไห่ออกมารับพวกเรา”
“เขาคือใคร”
“เป็นคนดูแลทุกอย่าง ตำแหน่งเขาอยู่รองจากหัวหน้าลงไป”
รอเพียงชั่วประเดี๋ยวก็มีคนไต่เถาวัลย์ลงมา บุรุษผู้นี้มีหนวดเคราเฟิ้ม รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดัน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พอเขาลงมาถึงพื้นดินก็ถีบโซ่วโหวและพั่งหู่ไปคนละทีโดยไม่พูดไม่จาอะไร
“ให้พวกเจ้าไปตรวจสอบ แต่พวกเจ้ากลับพาคนนอกเข้ามาตามอำเภอใจ สารเลว!”
โซ่วโหวและพั่งหู่ถูกถีบจนร้องโอ๊ย พอเห็นสยงไห่ก็ตัวลีบลงราวกับหนูเจอแมว ไม่กล้าที่จะเอาคืน
หลังจากที่บุรุษหนวดเคราเฟิ้มถีบสองคนนั้นแล้วก็ถลึงตาอย่างดุดันมาทางพวกเขาทันใด ตะโกนสั่งเสียงดังก้อง “จับพวกเขาเสีย!”
ฉู่เหิงจือตีหน้าขรึม เขาแผ่อำนาจออกมาทั่วร่างจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“อาสยง จนกระทั่งยามนี้ท่านยังคงอารมณ์ร้อนเหมือนหมี ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด!” กวนอวิ๋นซียิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่เกรงกลัวอำนาจอีกฝ่ายสักนิด
สยงไห่ตะลึงโดยพลัน ถลึงตามองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า
“อย่านึกว่าเจ้าเรียกข้าว่าอาสยงแล้วจะเชื่อมสัมพันธ์ได้ สองคนนี้โดนเจ้าหลอกด้วยคำหวานเพียงไม่กี่ประโยค แต่ข้าไม่ไร้เดียงสาเช่นนั้น นึกว่าเรียกชื่อพวกเราถูกแล้วจะหลอกกินหลอกดื่มได้หรือ”
กวนอวิ๋นซีส่ายหน้า “อาสยง อย่าอารมณ์ร้อนอย่างนั้นสิ ระวังโรคเก่าจะกำเริบ หมอเหวินเคยบอกไว้ว่าห้ามท่านกินของเผ็ด ห้ามดื่มสุรา แล้วก็ห้ามใจร้อนด้วย!”
สยงไห่อึ้งไปในทันใด หน้าตาดุดันนั้นเผยสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา เขามองตรวจสอบสตรีที่อยู่ตรงหน้าใหม่อีกครั้ง เดินขึ้นหน้ามองลงมาที่นางอย่างคนที่มีอำนาจเหนือกว่า
“เจ้าว่าเจ้าเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้า มีอะไรมาพิสูจน์”
กวนอวิ๋นซีกอดอก มองตรงไปยังอีกฝ่ายที่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เอ่ยยิ้มๆ “ข้าสามารถหาที่นี่เจอ รู้เรื่องของพวกท่าน ล้วนเป็นเพราะหัวหน้าใหญ่บอกข้าทั้งนั้น นี่คือข้อพิสูจน์”
สยงไห่ถลึงตาใส่นาง จู่ๆ ก็แสยะยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว
“เรื่องพวกนี้หากจะสืบให้ละเอียดก็ไม่ใช่เรื่องยาก นางตัวแสบ เจ้านึกว่าพูดมาแค่ไม่กี่ประโยคก็จะหลอกข้าได้หรือ หากวันนี้เจ้าไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ พวกเจ้าทั้งสองคนก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับออกไปได้”
ฉู่เหิงจือขมวดคิ้ว หันไปมองกวนอวิ๋นซี เขาเห็นว่านางยังคงใจเย็นอยู่และยิ้มอย่างมีเสน่ห์มากขึ้น น้ำเสียงแฝงไปด้วยความซุกซน
“ท่านเป็นคนบอกให้ข้าพิสูจน์เองนะ ข้ายังรู้ว่าทุกสองสามวันท่านจะต้องไปยังทะเลสาบหลังเขา มองผิวเผินนึกว่าท่านไปอาบน้ำ แต่อันที่จริงเพราะภายในทะเลสาบนั้นมีถ้ำเล็กๆ ท่านซ่อน…”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” สยงไห่ตะโกนเสียงดังลั่น เดิมทีเสียงเขาก็ใหญ่อยู่แล้ว พอตะโกนก็ทำให้คนรอบด้านตกใจไปหมด มีเพียงกวนอวิ๋นซีที่ยังยิ้มอย่างสงบอยู่ได้ราวกับคาดเดาถึงท่าทีของเขาก่อนหน้าแล้ว
สยงไห่ในยามนี้หน้าถอดสีไปนานแล้ว เขาถลึงตามองนางด้วยความหวาดกลัวราวกับเห็นผี มองซ้ายทีมองขวาที มีคนมากมายอยู่รอบด้าน เขาจึงส่งสัญญาณให้นางไปคุยกันด้านข้าง
กวนอวิ๋นซีเดินตามเขาไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าอยู่ห่างจากคนอื่นสยงไห่จึงกระซิบถามพลางกัดฟันกรอด “สาวน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไร” คนที่รู้ว่าเขาซ่อนสุราไว้ในทะเลสาบหลังเขามีเพียงหัวหน้าใหญ่เท่านั้น
“ข้ายังรู้ว่าหากน้าหลิ่วรู้เรื่องท่านผิดคำสาบาน แอบนางไปดื่มสุรา นางก็จะเลิกกับท่านแล้วพาลูกหนีไป”
สยงไห่ถลึงตามองนางราวกับเห็นผี นางรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้?
ครั้นเห็นนางยิ้มอย่างพิเรนทร์ รอยยิ้มนั้นละม้ายคล้ายกับหัวหน้าใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้วทำให้เขารู้สึกดีอย่างน่าประหลาด คราวนี้เขาคงจะต้องเชื่อแล้วล่ะ สตรีนางนี้อาจจะเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่จริงๆ มิเช่นนั้นจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
สยงไห่มองนางด้วยอารมณ์ซับซ้อนแล้วค่อยมองไปทางคนอื่น คนพวกนั้นก็กำลังจ้องมาทางพวกเขาอย่างแปลกใจ เขาอดรนทนไม่ไหว เพียงกระแอมกระไอแล้วเอ่ยเสียงดังลั่น “เข้าใจแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่ก็ถือว่าเป็นแขกพิเศษของพวกเรา ตามข้ามา”
สยงไห่หมุนตัวนำพวกเขาทั้งสองเข้าไปในค่าย คนอื่นเห็นว่าสยงไห่อนุญาตแล้วก็เก็บหอกและหลาวถอยไปด้านข้าง ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในค่าย ขณะเดียวกันก็มองตรวจสอบพวกเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
ฉู่เหิงจือเดินไปกับนางพลางกระซิบถาม “เขาซ่อนสุราไว้ในทะเลสาบหลังเขาจริงๆ หรือ”
กวนอวิ๋นซีค้อนเขาขวับหนึ่ง เกลียดคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งนัก หูดีเกินไป ซุบซิบอะไรเขาก็ได้ยิน
นางจึงทำได้เพียงกระซิบบอกกับเขา “เรื่องนี้ท่านจะต้องเก็บเป็นความลับ อย่าพูดออกไปเชียวนะ”
“เจ้าจะใช้อะไรมาซื้อข้าหรือ”
เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะเอ่ยไปเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่านางจะมองสยงไห่ที่อยู่เบื้องหน้าแวบหนึ่งแล้วหันกลับมาเอ่ยกับเขาอย่างจริงจัง “ขอเพียงท่านรับปากว่าจะไม่พูด ข้าก็จะให้ท่านดื่มสุราหูจงเซียน”
“สุราหูจงเซียน?”
“สุราที่เขาแอบซ่อนไว้ในทะเลสาบ”
เจ้าจะขโมยสุรามาติดสินบนข้า?
ครั้นเห็นเขาจ้องนางอย่างเงียบงัน นางนึกว่าเขาไม่เชื่อจึงเอ่ยเสริมอย่างจริงจังอีกครั้ง “ท่านวางใจ ข้ารู้ตำแหน่งที่เขาซ่อนสุราไว้”
“เจ้ามาจัดการเรื่องสำคัญหรือจะมาปล้นพวกโจรกันแน่”
“นี่ข้ามาทำกุศลนะ ถ้าหมีตัวนั้นดื่มสุรามากไปจะเป็นผลเสียต่อร่างกาย พวกเราไปดื่มสุราของเขาบ้าง เขาก็จะได้มีชีวิตรอดอีกหลายปี พวกเราเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้นะ”
“…” เขาพูดไม่ออกในทันใด
ฉู่เหิงจือรู้สึกประหลาดใจยิ่งที่นางสามารถเข้ามาในค่ายอูเจียงได้ ครั้นเห็นนางเข้ามาในค่าย ไม่ว่าจะพบใครนางก็สามารถเปลี่ยนจากสงครามเป็นสันติภาพได้เสมอ ทำให้เขายิ่งไม่อยากเชื่อ
นางมีวรยุทธ์ เป็นคนไม่เรื่องมาก ซ้ำยังเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่ค่ายอูเจียงอีกด้วย นางรู้เส้นสนกลในของหลายคนในค่ายเป็นอย่างดี นางรู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่เขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวนางเลย
ยังมีอีกกี่เรื่องของนางที่เขาไม่รู้
หลังจากที่สยงไห่นำพวกเขาเข้าไปในค่ายก็พาพวกเขาไปยังเรือนหลังหนึ่งแล้วจากไป
มีคนเฝ้าอยู่รอบด้าน พวกเขารอราวหนึ่งเค่อลูกสมุนคนหนึ่งก็พาพวกเขาไปพบหัวหน้ารองของค่าย
กวนอวิ๋นซีเดินเหินอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตน ขณะเดียวกันพอพบกับคนคุ้นเคยมากมายนางก็เบิกบานใจยิ่งนักแต่กลับไม่อาจแสดงออกทางสีหน้าได้ ดวงตาคู่งามเป็นประกายนั้นได้แต่กลอกไปมา
“คล้ายว่าเจ้าจะไม่กังวลเลยสักนิดที่เข้ามาในถ้ำโจร?”
นางหันไปสบตาอันเฉียบคมของใครบางคนที่กำลังสืบเสาะอยู่
นางยกมุมปากพลางหรี่ตา ยิ้มตอบกลับไปอย่างงามหยาดเยิ้ม
“มีท่านอยู่ทั้งคน ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว”
นางจงใจส่งสายตาหยาดเยิ้มจนใครบางคนตะลึงไป จากนั้นนางก็หันหน้ากลับไปมองนั่นมองนี่อย่างไม่คิดจะรับผิดชอบ
ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากของใครบางคนนั้นแดงระเรื่ออย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาแอบนึกดีใจที่ตนเองสวมหน้ากากไว้
หลังมาถึงห้องโถงในค่าย หัวหน้าทั้งสองคนก็นั่งรอพวกเขาอยู่แล้ว
ครั้นหัวหน้าสามไฉหลางพบนางก็ยืนขึ้น เดินก้าวยาวๆ มาหานางทันที มองตรวจสอบทั่วร่างแล้วเริ่มซักถาม
“เมื่อคืนเป็นเจ้าหรือ น้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่?”
กวนอวิ๋นซีก็มองตรวจสอบทั่วร่างอีกฝ่าย นางไม่ตอบแต่ถามกลับ “นำร่างหัวหน้าใหญ่กลับมายังค่ายอย่างปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่”
ครั้นได้ยินน้ำเสียง ไฉหลางก็แน่ใจว่าเป็นนางจริง
“พี่รอง นางเป็นคนช่วยข้าเมื่อคืน”
เมื่อคืนหัวหน้ารองสือโม่เฉินและหัวหน้าสามไฉหลางไปขโมยศพของหัวหน้าใหญ่ที่อี้จวง สือโม่เฉินรับผิดชอบขัดขวางทหารที่ตามไล่ล่า ไฉหลางแบกร่างหัวหน้าใหญ่หนีไป หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นสือโม่เฉินก็รู้ว่าได้รับความช่วยเหลือจากสตรีนางนี้
สือโม่เฉินมองตรวจสอบนาง แม้เขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเยี่ยเฟิงมีน้องสาวร่วมสาบาน ทั้งยังสงสัยในฐานะของผู้มาใหม่ทั้งสองยิ่ง ทว่าที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนผลีผลามแสดงความคิดเห็น
“ยินดีที่ได้พบ”
ไม่เหมือนกับน้องสามที่เป็นคนร่างใหญ่ใจร้อน เขามีนิสัยสุขุมเก็บความรู้สึก คนอื่นถูกสตรีนางนี้เกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ ทว่าแววตาเขากลับจับจ้องอยู่ที่บุรุษสวมหน้ากากผู้ที่ไม่พูดไม่จามาตลอด
“ได้ยินว่าท่านคือจอมยุทธ์ผู้โด่งดัง คุณชายเถี่ยซั่น?”
ฉู่เหิงจือมองไปทางเขาพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “มิกล้า”
สือโม่เฉินลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินขึ้นหน้า เดินวนรอบตัวฉู่เหิงจือพลางมองตรวจสอบอย่างละเอียด
“ขออภัยด้วยที่ข้ามีความรู้ตื้นเขิน ข้าไม่เคยได้ยินฉายานี้ในยุทธภพมาก่อนเลย” ครั้นพูดออกไป ทันใดนั้นสือโม่เฉินก็ลอบโจมตีไปบนใบหน้าเขาหมายกระชากหน้ากากออก
แทบจะในขณะเดียวกันฉู่เหิงจือก็แฉลบกายหลบพ้นจากพลังฝ่ามือที่ถาโถมมา ทั้งสองคนประมือกันไม่เกินสิบกระบวนท่าก็แยกจากกันอีกครา
“นี่คือวิธีต้อนรับแขกของหัวหน้ารองหรือ” ฉู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็น
สือโม่เฉินหุบยิ้มทันที จับจ้องไปที่ฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาเย็นยะเยือก
“หากข้าจำไม่ผิด ท่านก็คือคนที่ประมือกับข้าเมื่อคืน” เขาตะโกนออกคำสั่งเสียงดังลั่นไปทางลูกสมุน “จับตัวพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้!”
ครั้นหัวหน้ารองออกคำสั่งไปทุกคนต่างก็ชักดาบขึ้นมา บรรยากาศตึงเครียดในฉับพลัน
กวนอวิ๋นซีอยากตะโกนร้องให้หยุด ทว่าภาพเบื้องหน้าก็มืดมนลงโดยพลัน เงาร่างสูงใหญ่มาขวางไว้เบื้องหน้าทำให้นางตะลึงงัน หลังจากที่ฉู่เหิงจือออกมาปกป้องนางโดยไม่พูดไม่จาอะไร รังสีอำมหิตอันเย็นยะเยือกก็พลันแผ่ออกมาทั่วร่าง
นางคิดไม่ถึงว่าในยามคับขันเขาจะมาปกป้องอยู่เบื้องหน้านางเป็นอันดับแรก ทว่านางอึ้งไปเพียงชั่วพริบตาแล้วก็ได้สติกลับมาโดยเร็ว
ครานี้ที่นางมาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อสู้รบ
“ช้าก่อน!” กวนอวิ๋นซีชะโงกหน้ามาจากด้านหลังฉู่เหิงจือพลางเอ่ย “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด”
สือโม่เฉินเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้องพูดให้มากความ ฐานะของพวกเจ้าน่าสงสัยยิ่ง เขาเองก็สวมหน้ากากปกปิดฐานะ น้องสามอาจจะหลอกง่าย แต่ถ้าคิดจะมาหลอกข้าคงไม่ง่ายเช่นนั้น”
“หรือว่าท่านไม่อยากดูจดหมายก่อนตายของหัวหน้าใหญ่”
ครั้นกวนอวิ๋นซีกล่าววาจานี้ออกไปทุกคนล้วนตะลึงงัน แม้แต่ฉู่เหิงจือที่อยู่ข้างกายยังมองนางอย่างคาดไม่ถึง
สือโม่เฉินอึ้งโดยพลัน “จดหมายก่อนตาย?”
“ใช่ ยามที่หัวหน้าใหญ่ตัดสินใจจะสวามิภักดิ์ต่อทางการ เพื่อความไม่ประมาทเลยทิ้งจดหมายเหล่านี้ให้ข้าเก็บไว้ อีกทั้งยังกำชับข้าว่าหากนางโชคร้ายเสียชีวิตไปก็ให้นำจดหมายก่อนตายมาให้เหล่าพี่น้อง” นางหยิบจดหมายออกมาจากเสื้อพลางชูขึ้นสูง
สือโม่เฉินจับจ้องพลางขมวดคิ้ว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจดหมายนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม”
“จะเป็นของจริงหรือของปลอม ท่านดูเองก็รู้” นางเอ่ยพลางโยนจดหมายไป
สือโม่เฉินรับจดหมายนั้นอย่างทันควันพลางแสดงสีหน้าสงสัย ทว่าก็ยังฉีกจดหมายออก
กวนอวิ๋นซียังหยิบจดหมายฉบับที่สอง “จดหมายฉบับนี้ของอาสยง”
ครั้นสยงไห่ได้ยินก็ตะลึงงัน “ของข้าก็มีหรือ”
“แน่นอน อาสยงเป็นคนที่มีความยุติธรรม หัวหน้าใหญ่เห็นแก่ความรอบคอบจึงทิ้งจดหมายอีกฉบับหนึ่งไว้ให้ท่าน และหวังว่าอาสยงจะยอมเป็นพยานด้วย”
พอสยงไห่ได้ฟังก็กระจ่างแจ้งแล้วรับจดหมายไป
ยามนี้ไฉหลางก็ถามขึ้นอย่างใคร่รู้ “แล้วของข้าเล่า” เขาเป็นหัวหน้าสาม ในเมื่อของอาสยงยังมีก็ควรจะมีของเขาด้วย
กวนอวิ๋นซีเอ่ยว่า “ไม่มี”
เขาเบิกตากว้าง “ไม่มีหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”
“หัวหน้าใหญ่บอกไว้ว่าเจ้าไม่รู้หนังสือ ให้ไปก็เหมือนกับไม่ได้ให้”
ครั้นเอ่ยวาจานี้ออกไปก็มีคนหัวเราะพรวดออกมา ไฉหลางรู้สึกอับอายเหลือเกิน เขาถลึงตาใส่คนผู้นั้น ทว่ากลับแสดงสีหน้าผิดหวัง หัวหน้าใหญ่ไม่ยอมทิ้งจดหมายไว้ให้เขา
พอสือโม่เฉินอ่านจดหมายจบก็แสดงสีหน้าลังเล
ครั้นสยงไห่อ่านจดหมายจบก็แสดงสีหน้าเช่นเดียวกัน พยักหน้าไปทางหัวหน้ารองพลางเอ่ย “นี่เป็นลายมือของหัวหน้าใหญ่ไม่ผิดแน่ ตราประทับบนจดหมายก็ถูกต้อง” นอกจากนี้ภาษาที่ใช้ในจดหมายล้วนเป็นสำนวนของหัวหน้าใหญ่ทั้งสิ้น
ในจดหมายกล่าวถึงสองสามเรื่อง เรื่องเหล่านี้มีเพียงหัวหน้าใหญ่ตัวจริงเท่านั้นถึงจะรู้ ทำให้พวกเขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ นี่เป็นจดหมายก่อนตายของหัวหน้าใหญ่จริงๆ
“พี่รอง ในจดหมายเขียนอะไรไว้บ้าง”
สือโม่เฉินช้อนตามองน้องสามแล้วก็มองไปที่สตรีนางนั้นแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเนิบช้า “ในจดหมายเขียนไว้ว่าเฟยอิงที่มาส่งจดหมายเป็นน้องสาวร่วมสาบานของนาง ทั้งยังย้ำว่าทุกคนในค่ายต้องเชื่อนาง ห้ามกลั่นแกล้งนาง จะต้องเห็นนางเป็นคนกันเอง เพราะนางจะช่วยพวกเรารับมือกับทางการต่อไป ทำตามแผนของหัวหน้าใหญ่ที่ยังไม่สำเร็จ”
ครั้นไฉหลางได้ฟังก็ดีใจยิ่งนัก อันที่จริงเขารู้สึกถูกชะตากับกวนอวิ๋นซีอยู่แล้ว
“ประเสริฐนัก พวกเรามีพวกเพิ่มมาอีกคนแล้ว”
สือโม่เฉินเหลือบมองน้องสาม “เจ้าเชื่อนาง?”
“เชื่อสิ”
ไฉหลางตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด เมื่อเห็นพี่รองยังสงสัยอยู่เขาก็โน้มตัวไปด้านหน้า กระซิบข้างหูพี่รอง
“พี่รอง นางรู้เรื่องที่ข้าแพ้พนันแล้วถอดกางเกงกระโดดลงน้ำด้วย เรื่องนี้มีเพียงท่านและหัวหน้าใหญ่เท่านั้นที่รู้ นางกลับเล่ามาได้อย่างละเอียด แสดงว่าหัวหน้าใหญ่บอกนางหมดทุกอย่าง อีกอย่างค่ายนี้ลึกลับซับซ้อนนางก็หาทางมาได้ เห็นชัดว่าหัวหน้าใหญ่ไว้วางใจนางอย่างมาก แล้ว…”
“มีอะไรอีก”
ไฉหลางยิ้มแย้ม “ท่านอย่ามองว่านางงามหยาดเยิ้มเพียงอย่างเดียว นิสัยนางยังเหมือนหัวหน้าใหญ่ด้วย แม้แต่สำเนียงการพูดก็เหมือน”
ครั้นสยงไห่ที่อยู่ด้านข้างได้ฟังก็รู้สึกเห็นพ้อง
“หัวหน้ารอง ข้าก็มีความรู้สึกนี้เช่นกัน สตรีนางนี้พูดจาคล้ายหัวหน้าใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงหรือแววตาล้วนเหมือนหัวหน้าใหญ่ไม่มีผิดเพี้ยน บอกว่านางเป็นน้องสาวร่วมสาบานกับหัวหน้าใหญ่ก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก”
จู่ๆ สือโม่เฉินก็แสดงสีหน้าเย็นยะเยือก
“ถึงจะเลียนแบบให้เหมือนอย่างไรนางก็ไม่ใช่เฟิงเอ๋อร์”
ครั้นสยงไห่ได้ฟังก็หุบปากทันควัน
ไฉหลางที่อยู่ด้านข้างพอเห็นพี่รองไม่พอใจก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมให้จบลงด้วยดี “แน่นอน บนโลกนี้มีหัวหน้าใหญ่เพียงผู้เดียวเท่านั้น สตรีนางใดก็เทียบนางไม่ได้”
เขารู้ว่าพี่รองหลงรักหัวหน้าใหญ่ เขาเองก็เช่นกัน ในใจพวกเขาพี่น้องสองคนคิดถึงแต่สตรีนางเดียวกัน เพียงแต่พี่รองยึดมั่นในเรื่องนี้มากกว่าเขา คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก มีเพียงเขาและสยงไห่
สือโม่เฉินแสดงสีหน้าเย็นยะเยือกเพียงชั่วพริบตาแล้วก็กลับมาสู่ความสุภาพดังเดิม หันไปกล่าวขออภัยกับสยงไห่ “อาสยงอภัยให้ข้าด้วยที่ข้าพลั้งปากไป”
“พูดอะไรของท่าน หัวหน้ารองพูดถูกอยู่แล้ว ข้าเห็นด้วยทั้งหมด” สยงไห่รีบเอ่ย แต่ในใจกลับถอนใจ หัวหน้ารองยึดมั่นในตัวหัวหน้าใหญ่เพียงใดเขาย่อมรู้ดี เพียงแต่น่าเสียดายที่หัวหน้าใหญ่จากไปแล้ว
สือโม่เฉินลังเลชั่วครู่ เขาเงยหน้ามองสตรีที่เรียกตัวเองว่าเฟยอิง เอ่ยกับนางอย่างชัดเจน “ข้าจะเชื่อเจ้าก็ได้ แต่ข้าไม่ไว้ใจเขา”
เขาในที่นี้หมายถึงฉู่เหิงจือ
“แค่ท่านเชื่อใจข้าก็พอ ส่วนเขา ข้าขอรับรอง เมื่อคืนเป็นเรื่องเข้าใจผิด เขาไม่รู้ถึงฐานะของท่านจึงออกมาขัดขวางเป็นการเฉพาะ”
สือโม่เฉินเงียบงันไม่พูดไม่จา
ยามนี้สยงไห่ยืนขึ้น เอ่ยว่า “ถ้าจะให้พวกเราเชื่อใจเขา เช่นนั้นให้เขาถอดหน้ากากออก จงใจปกปิดใบหน้าเช่นนี้มีเจตนาอะไรกัน”
“เอ่อ…”
กวนอวิ๋นซีแสดงสีหน้าลังเล เหตุที่ให้ฉู่เหิงจือปกปิดใบหน้าไว้ก็เพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงฐานะคุณชายตระกูลเสนาบดีก็เท่านั้น
ฉู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็น “ท่านยังไว้หนวดเคราปกปิดใบหน้าส่วนล่างไว้เลย ไยข้าจะใช้หน้ากากปกปิดใบหน้าส่วนบนไว้ไม่ได้เล่า”
สยงไห่ตะลึงงัน ทุกคนยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่ ตามมาด้วยเสียงระเบิดหัวเราะ โดยเฉพาะน้องสาม
“ฮ่าๆๆ! ฟังดูมีเหตุผล! อาสยง ท่านไว้หนวดเคราจนรกรุงรังเกินไปแล้ว”
ไฉหลางตบไหล่ของสยงไห่อย่างแรง เมื่อพูดถึงหนวดเคราของสยงไห่ นั่นเป็นสิ่งที่โจษขานมานานแล้ว หนวดเคราเฟิ้มจนคล้ายไม้กวาด ไม่โกนมาหลายปี แม้แต่น้าหลิ่วที่เป็นภรรยาเขาก็ต่อต้าน
สยงไห่แสดงสีหน้าอึดอัด ทำตัวไม่ถูก “จะเหมือนกันได้อย่างไร”
กวนอวิ๋นซีก็หัวเราะออกมา บรรยากาศที่เดิมทีตึงเครียดผ่อนคลายลง นางจึงแอบถอนหายใจโล่งอก
“ทุกท่าน ข้าขอบอกตามตรง สหายของข้าคนนี้มีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดใบหน้าไว้ แต่ข้าขอรับรองด้วยชีวิต เขาไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกท่าน ไม่เพียงไม่มี แต่ต่อไปภายภาคหน้าเขาจะช่วยเหลือโจรภูเขาด้วย ขอทุกท่านโปรดอย่ามองเขาเป็นคนนอก”
ทุกคนล้วนมองไปทางหัวหน้ารอง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะตัดสินใจเช่นไร
สือโม่เฉินลังเลอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าเอ่ย “ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า ในเมื่อลงเอยเช่นนี้ ผู้มาเยือนก็คือแขก ขอเชิญทั้งสองท่าน”
ในที่สุดก็จัดการได้สำเร็จ กวนอวิ๋นซีถอนหายใจอย่างโล่งอก ยามที่ไม่มีผู้อื่นฉู่เหิงจือก็กระซิบข้างหูนาง “ข้าไปตกลงกับเจ้าเมื่อไรว่าจะช่วยเหลือพวกโจรภูเขา”
นางช้อนตามองเขา กระซิบตอบว่า “ท่านจะต้องช่วยอยู่แล้ว”
“อ้อ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“สุภาษิตว่าไว้ อยู่ใต้ชายคาเรือนผู้อื่น ย่อมต้องก้มหัวยามนี้พวกเราอยู่ในบ้านของคนอื่นนะ!”
“ควรกล่าวว่าคนที่รู้จักปรับตัวถึงจะเป็นวีรบุรุษแทนกระมัง”
นางเอ่ยคล้อยตามทันที “คุณชายมีความคิดเหนือชั้น ข้าจะเชื่อฟังท่าน”
“…” เขาพูดไม่ออกในทันใด
นางหัวเราะคิกๆ พลางเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทางการรับพวกโจรภูเขาไว้ นอกจากจะแก้ปัญหาการปล้นชิงทรัพย์ได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มกำลังทหาร มีแต่ผลดีไม่มีผลร้ายต่อใต้เท้าเสนาบดีกรมอาญา ทั้งยังเป็นการสร้างผลงานชิ้นใหญ่ หากปราบศัตรูโดยไม่ต้องสูญเสียทหารสักคน ยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ใต้เท้าเสนาบดีก็จะได้หน้า ศัตรูในราชสำนักก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ ได้แต่ประโยชน์ไม่มีเสีย งานที่ได้ผลประโยชน์เช่นนี้ไยจึงจะไม่ทำเล่า ท่านคงเห็นด้วยกับที่ข้าพูดกระมัง”
กวนอวิ๋นซีเอ่ยพลางเทสุราให้เขาราวกับสุนัขรับใช้ ดวงตานางกลอกไปมาอย่างรวดเร็วคล้ายจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังส่ายหาง ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกว่านางน่ารักน่าเอ็นดู
“ไยข้าจึงไม่เคยรู้เลยว่าเจ้ามีฝีปากคมคายเช่นนี้”
“ท่านเพิ่งรู้ในยามนี้ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป อีกทั้งที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริง เพียงแจกแจงผลได้ผลเสียเท่านั้น”
ฉู่เหิงจือจับจ้องนาง เพ่งพินิจรอยยิ้มของนางพลางดื่มสุราที่นางเทให้
เหตุที่เขายอมมากับนางก็เพราะต้องการสืบหาความจริง และคาดเดาไว้ว่านางคงรู้จักกับพวกโจรภูเขา แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่านางจะสามารถพาเขาเข้ามาในค่ายและได้พบเหล่าหัวหน้าด้วย
นางพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง ท่านพ่อสงสัยว่าเรื่องปราบโจรจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่จึงสั่งให้เขามาตรวจสอบ หากพบอะไรที่น่าสงสัยก็รับโจรภูเขาพวกนี้เข้าราชสำนัก ไม่เพียงเป็นการกำจัดการปล้นชิงทรัพย์ ทั้งยังเพิ่มกำลังทหารให้กับทางการด้วย เป็นผลงานใหญ่ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
อีกทั้งครานั้นท่านพ่อก็เคยได้ยินเรื่องที่ขุนนางบีบคั้น ชาวบ้านต่อต้าน เพียงแต่ไม่มีหลักฐาน จึงส่งเขามาสืบหา
ยามนี้หัวหน้าสามไฉหลางยกจอกสุราขึ้นดื่มคารวะ
“ข้าขอพูดตามตรง แม่นางเฟยอิง พอข้าได้พบเจ้าก็มีความรู้สึกคล้ายสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น”
กวนอวิ๋นซียิ้มน้อยๆ ในใจคิด นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าก็คือหัวหน้าใหญ่อย่างไรเล่า เพียงแต่รูปร่างภายนอกเปลี่ยนไปเท่านั้น ภายในยังคงเดิม
“พอข้าได้พบท่านก็คล้ายได้พบสหายเก่าเช่นกัน เห็นท่านขโมยร่างของหัวหน้าใหญ่ ปกป้องนางปานนั้น ทำให้ข้ารู้สึกนับถือท่านจากใจจริง”
“ในเมื่อเจ้าเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่ก็หมายความว่าเป็นน้องเล็กของข้าไฉหลางด้วย ต่อไปข้าจะคอยดูแลเจ้า” เขาเอ่ยพลางตบอก
“น้องเล็ก? ไยจึงไม่ใช่พี่เล่า”
“เจ้าดูตัวเองสิ เห็นอยู่ว่าเจ้าอายุน้อยกว่าข้า แน่นอนว่าจะต้องเป็นน้องเล็ก ข้าคือพี่สาม เขาคือพี่รอง”
กวนอวิ๋นซีอึ้งไปชั่วครู่ ต่อมาก็นึกได้ว่าจริงสิ ยามนี้ข้าคือกวนอวิ๋นซี อายุน้อยกว่าตัวข้าคนก่อนตั้งสามปี
เสียเปรียบโดยแท้ ชีวิตก่อนถูกเรียกว่าพี่ เรียกว่าหัวหน้าใหญ่ ยามนี้กลับกลายต้องเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่’
“น้องเล็ก มา พี่สามดื่มสุราคารวะเจ้า!”
ไฉหลางยกจอกขึ้น อีกมือหนึ่งก็วางบนบ่านาง
ในค่ายบนภูเขาทุกคนล้วนใจคอกว้างขวางเปิดเผย ไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย ชีวิตก่อนของกวนอวิ๋นซีกอดคอกับน้องสามอยู่บ่อยครั้ง ความเคยชินแต่เดิมยังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าในสายตาของฉู่เหิงจือนั้นการกระทำนี้ดูไม่เหมาะสมยิ่ง
เขาเหลือบมองมือข้างนั้นอย่างไม่พอใจ หยิบจอกสุราขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยกับไฉหลาง “ได้ยินว่าหัวหน้าสามคอแข็งยิ่งนัก ข้าเองก็เลื่อมใสมานาน”
ไฉหลางได้ยินว่ามีคนเลื่อมใสเขา อีกทั้งยังกล่าวว่าเขาคอแข็งก็ต้องได้ใจเป็นธรรมดา ไม่มีบุรุษคนใดจะบอกว่าตัวเองคออ่อน
“ได้ พวกเรามาดื่มกัน!”
หลังจากที่ทั้งสองคนดื่มหมดจอกหนึ่งฉู่เหิงจือก็ยื่นจอกไปทางกวนอวิ๋นซี
“เทสุรา”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงคิดว่าตัวเองโน้มน้าวฉู่เหิงจือสำเร็จแล้ว นางต้องการจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกคนในค่าย จึงรีบเดินขึ้นหน้ามาเทสุราทันที หลุดออกจากวงแขนของไฉหลาง
“ท่านหาถูกคนแล้ว หัวหน้าสามของพวกเราคอแข็งนัก ดื่มสุรากับเขาสบายใจที่สุด”
เดิมทีไฉหลางก็เป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ครั้นได้ยินน้องเฟยอิงชมเชยก็ยิ้มไม่หุบ สายตาที่มองไปยังกวนอวิ๋นซียิ่งเป็นประกาย
ฉู่เหิงจือเพ่งพินิจ ยกมุมปากยิ้มอย่างสงบ “อ้อ ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ข้าจะดื่มกับหัวหน้าสามเอง ไม่เมาไม่เลิกรา”
“ไม่มีปัญหา!” ไฉหลางหัวเราะฮ่าๆ ยื่นจอกสุราให้กวนอวิ๋นซี “มา เทสุรา!”
“ได้เลย!”
กวนอวิ๋นซียิ้มตอบ นางกำลังจะเดินกลับไป คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ มือจะว่างเปล่า ไหสุรานั้นถูกฉู่เหิงจือคว้าไปแล้ว
“มา ข้าเอง!” เขาเอ่ยพลางตบที่นั่งข้างๆ เขา โพล่งออกไปด้วยท่วงท่าไม่ยี่หระ “นั่งลง”
กวนอวิ๋นซีตอบรับเสียงหนึ่ง นางไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งลงข้างกายเขาอย่างว่าง่าย ไม่ได้สังเกตว่าตำแหน่งนี้แยกนางกับไฉหลางเพื่อไม่ให้มือของบุรุษผู้นั้นมีโอกาสมากอดคอนาง
กวนอวิ๋นซีไม่รู้ว่าฉู่เหิงจือคอแข็งเพียงใด เมื่อเห็นเขาดื่มกับไฉหลางจอกแล้วจอกเล่าทั้งยังเล่นทายนิ้ว ก็อดแปลกใจไม่ได้
มองไม่ออกว่ายามดื่มสุรา คุณชายตระกูลเสนาบดีคนนี้จะมีด้านที่องอาจผึ่งผายเช่นกัน
ครั้นเห็นพวกเขาดื่มสุราก็ทำให้นางเกิดความกระหายขึ้นมาบ้าง กำลังจะหยิบไหสุราขึ้น จะดื่มแค่อึกเดียว ทว่ากลับถูกอีกมือหนึ่งแย่งไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าดื่มอันนี้” ฉู่เหิงจือส่งอีกไหหนึ่งให้นาง
นางมองดูไหนั้นแล้วรับมา นี่เป็นสุราอ่อนไว้ให้สตรีดื่ม สำหรับนางแล้วก็เหมือนดื่มน้ำเปล่า รสชาติจะเหมือนสุราแรงได้อย่างไรกัน
นางวางไหสุราอ่อนนั้นลง ยื่นมือจะไปหยิบอีกไหหนึ่ง พอดึงจุกไม้ออกความหอมหวนอันเข้มข้นก็โชยมาปะทะจมูก
นี่สิถึงจะเรียกว่าสุรา นางยิ้มแย้มอย่างพอใจ กำลังจะเทจอกหนึ่งให้ตนเองกลับมีอีกมือหนึ่งมาคว้าจอกนั้นไป คำสั่งอันเรียบเฉยดังมาจากด้านข้าง
“ห้ามดื่มสุราแรง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.