บทที่ 5
กวนอวิ๋นซีตะลึงงัน ช้อนตามองฉู่เหิงจือ
เขาไม่ได้มองมาที่นาง ยังคงพูดไปยิ้มไปกับไฉหลาง ทว่าราวกับฝ่ามือเขามีตา กำจอกนั้นไว้แน่น
นางนิ่งอึ้งไป จู่ๆ ก็กระจ่างแจ้ง กระซิบกับเขาด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “ท่านวางใจ ข้าคอแข็งมาก ไม่มีทางเมาหรอก”
นางนึกว่าฉู่เหิงจือห้ามนางไว้เพราะกลัวว่านางจะเมา
จะต้องรู้ว่าตอนที่นางยังเป็นหัวหน้าใหญ่นั้น สุราแรงที่ใช้เผาดาบนางสามารถดื่มสามไหได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน แม้แต่สุราหูจงเซียนของอาสยงนางก็ยังดื่มจนหมดไหได้โดยไม่เมา
“ห้ามดื่ม” เขาออกคำสั่งด้วยเสียงเรียบ ยังคงเอ่ยประโยคนี้
กวนอวิ๋นซีกะพริบตาปริบๆ ในใจคิดว่าบุรุษผู้นี้ไม่วางใจนางจริงๆ หรือ
ทว่านางจะยอมเชื่อฟังเขาหรือ ชาติก่อนมีเพียงนางที่สามารถห้ามผู้อื่นได้ จะมีใครกล้ามาห้ามนางดื่มบ้าง
กว่านางจะมาถึงค่ายบนภูเขาได้ไม่ง่ายเลย ที่นี่คืออาณาเขตของนาง เหล่าพี่น้องล้วนเป็นสหาย ราวกับได้ย้อนไปสู่อดีต ถ้านางไม่ได้ดื่มสักสองสามจอกนางจะยอมได้อย่างไร
นางตัดสินใจจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่านางดื่มได้และไม่มีทางเมา
นางเมินเฉยต่อคำสั่งของใครบางคน ออกแรงเล็กน้อยจะแกะมือของเขาออก ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่ยอมขยับสักนิด ดูราวกับไม่ได้ออกแรงแต่แข็งแกร่งราวฝ่ามือเหล็ก แกะนิ้วไม่ออกสักนิ้ว ไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อย
นี่คือการที่คนแข็งแกร่งรังแกคนที่อ่อนแอกว่า รังแกนางที่วรยุทธ์สู้เขาไม่ได้ ในขณะที่นางกำลังหงุดหงิดก็มีบ่าวยกไหสุราเดินผ่านมาพอดี นางรีบยื่นมือไปคว้ามาทันที
นางเพิ่งจะขยับ มือที่แต่เดิมกำจอกไว้ก็อ้อมมาใช้แขนหนีบคอนางแทน ดึงนางไปทางด้านหลัง ทำให้มือเรียวยาวของนางพลาดจากไหสุราไหนั้นพอดี นางเบิกตามอง ‘พี่น้องสุรา’ ที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่นแล้ว
ไฟโทสะของกวนอวิ๋นซีพุ่งพรวด ช้อนตาขึ้นมอง ฉู่เหิงจือใช้แขนหนีบคอนางไว้ ห้ามไม่ให้นางดื่ม ส่วนเขากลับดื่มสุรากับไฉหลางอย่างมีความสุข
นางลองยื่นมือไปดึงแขนของเขาแต่ก็ยังไม่หลุด เขาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวนางไป
บุรุษผู้นี้ประสาทไปแล้ว! ไม่มีอะไรทำก็มายุ่มย่ามว่านางจะดื่มสุราหรือไม่ ไม่แน่นางอาจจะคอแข็งกว่าเขาก็เป็นได้! ยังกล้ามาห้ามนางอีก!
ในเมื่อเอาแขนไม่ออก ดังนั้นนางจึงไปจักจี้ที่รักแร้และเอวของเขา ดูซิว่าเขาจะทนได้นานสักเพียงใด
หน้าผากของฉู่เหิงจือกระตุก เขาใช้การดื่มสุรามาปิดปาก ก้มหน้าเอ่ยกับนาง “ทำตัวดีๆ หน่อย นอกเสียจากว่าอยากให้ข้าสกัดจุดเจ้า”
เขาสัมผัสได้ว่าร่างนางแข็งทื่อไป มือก็ไม่มากวนเขาอีก เขาเม้มริมฝีปากยิ้ม ชนจอกกับคนอื่นต่อไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไฉหลางกรอกสุราไปอึกใหญ่ เช็ดคราบสุราออกจากมุมปาก ครั้นเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามใช้แขนหนีบคอน้องเฟยอิงแล้วนางก็พิงเขาอย่างว่าง่าย ท่าทางใกล้ชิดเช่นนี้เห็นแล้วอดตาร้อนผ่าวไม่ได้
เหล่าบุรุษกำลังเสพสุรากันได้ที่ แสดงท่าทีออกไปตามใจ มีอยู่ไม่น้อยที่คอยโอบกอดสตรี ด้วยเหตุนี้ไฉหลางจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้
“พี่เถี่ยซั่น นางเป็นสตรีของท่านหรือ”
ฉู่เหิงจือไม่ตอบ แต่กวนอวิ๋นซีกลับตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่ พวกเราเป็นเพียงสหายกัน”
ฉู่เหิงจือดื่มสุราของตนอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
ไฉหลางได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนออกนอกหน้าแล้วเหลือบมองฉู่เหิงจือแวบหนึ่ง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โต้แย้งก็วางใจ เพียงคิดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย ทำตัวตามสบายจนเคยชิน ในเมื่อเป็นเพียงสหาย นี่ก็แสดงว่าเขามีโอกาส
ฉู่เหิงจือเพ่งพินิจรอยยิ้มของไฉหลางด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง ส่วนกวนอวิ๋นซีรู้ตั้งนานแล้วว่าฉู่เหิงจือไม่ได้สนใจนาง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนก็ต่างถอนหมั้นแล้ว นางเองก็เป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย แน่นอนว่านางย่อมไม่คิดมาก
ไฉหลางเริ่มวางแผนอย่างกระตือรือร้น เขาไม่ใช่คนขี้อาย ซ้ำโฉมงามยังเป็นคนปราดเปรียวอีกด้วย จึงหัวเราะฮ่าๆ “น้องเล็ก ไยไม่ดื่มเล่า มานั่งตรงนี้ ดื่มกับพี่สามจอกหนึ่ง!” ไฉหลางเอ่ยพลางตบที่นั่งด้านข้าง แสดงออกให้นางมานั่งด้วย
แน่นอนว่ากวนอวิ๋นซีอยากไปดื่มสักจอก ทว่ายามนี้นางโดนบางคนหนีบคอไว้เป็นการข่มขู่
ไฉหลางขมวดคิ้ว ชี้ไปที่มือฉู่เหิงจือ
“พี่เถี่ยซั่น อย่ากอดคอน้องเล็กเช่นนั้นเลย นางลุกไม่ขึ้นแล้ว”
ฉู่เหิงจือกลับยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าสามปรักปรำข้าแล้ว หากนางอยากดื่มจริงใครก็ขวางนางไม่ได้ หากนางไม่อยากดื่ม เอาดาบมาบังคับก็ไม่มีประโยชน์” จากนั้นก็หันมาถามยิ้มๆ “น้องอิง เจ้าอยากไปดื่มสุราหรือไม่”
กวนอวิ๋นซีอยากตอบว่าอยาก แต่เมื่อสบตาของฉู่เหิงจือที่ซ่อนดาบไว้ภายใต้รอยยิ้มหัวใจก็กระตุกทีหนึ่ง พอนึกได้ว่าตัวนางเองยังคงต้องพึ่งคุณชายจากตระกูลเสนาบดีให้ไปจัดการเรื่องราวต่างๆ นางก็ไม่อาจล่วงเกินเขาได้ จึงเผยรอยยิ้มลำบากใจ
“พี่เถี่ยซั่น ข้าคอไม่แข็ง ท่านช่วยข้าดื่มคารวะหัวหน้าสามจอกหนึ่งแล้วกัน!”
ฉู่เหิงจือส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เอาใจเจ้าไม่ถูกเลย ได้! หัวหน้าสาม ข้าขอคารวะท่านแทนน้องอิงแล้วกัน ได้โปรดอย่ารังเกียจเลย”
“ไม่เลย ท่านพูดอะไรเช่นนั้นเล่า น้องอิงดื่มไม่ได้ก็อย่าดื่มเลย” ไฉหลางเอ่ยยิ้มๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเรียกนางว่าน้องอิง
แม้ไฉหลางจะเรียกนางมานั่งใกล้ๆ ไม่สำเร็จ ทว่าเขาคิดในใจว่าวันหน้ายังอีกยาวไกล ค่อยหาโอกาสใกล้ชิดนางแล้วกัน
ฉู่เหิงจือเพียงยิ้มน้อยๆ ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่ากับเขาอย่างสุขุม ฝ่ายตรงข้ามดื่มมากเท่าใด เขาก็ดื่มมากเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามดื่มหนึ่งไห เขาก็ดื่มหนึ่งไห
เขาเหลือบมองดวงหน้าสตรีในอ้อมกอดที่ยังคงดื้อดึง ลมหายใจเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้นาง เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าแฝงไปด้วยการปลอบโยนอย่างล่อใจ
“ตอนออกไปจากที่นี่ เอาสุราหูจงเซียนไปด้วยสองไห”
สตรีในอ้อมกอดสบตากับเขาทันที แววตาอันงดงามเป็นประกายแวววาวในทันใด มันสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา
ครั้นเห็นโทสะของนางเลือนหายไป ฉู่เหิงจือก็ยกมุมปากขึ้น
พวกเขาอยู่ในค่ายบนภูเขามาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็สร้างสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องในค่ายได้สำเร็จ สัญญากันว่าวันข้างหน้าค่อยมาปรึกษาหารือถึงรายละเอียด
กระทั่งใกล้ถึงเวลาพลบค่ำพวกเขาจึงออกจากค่าย ยามที่พวกเขาทั้งสองจากมายังนำสุราหูจงเซียนขึ้นรถม้ามาด้วย
กวนอวิ๋นซีนั่งอยู่บนรถม้ายิ้มไม่หุบ
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้ว “เจ้าดีใจถึงเพียงนี้เชียว?”
“ท่านไม่เห็นตอนที่ข้าเอาสุราสองไหมาด้วย สีหน้าของอาสยงบึ้งตึงเพียงใด แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าสุราสองไหนั้นเขาซ่อนเอาไว้ ยังต้องแสร้งทำเป็นใจกว้างเหมือนคนอื่น พอนึกได้ว่าเขาจะต้องรักษาท่าทีไว้ก็น่าขำนัก”
ฉู่เหิงจือมองไปทางนาง ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดไม่จา
“จริงสิ ตามที่สัญญาไว้ สุราไหนี้ข้าขอมอบให้ท่าน”
ฉู่เหิงจือก็ไม่เกรงใจนาง เก็บสุราไหนั้นไว้แล้วมองไปทางอีกไหหนึ่ง “เจ้าจะนำสุรากลับไปหรือ”
“แน่นอนสิ”
“หากเจ้าเอาสุรากลับไปจะเหมาะสมหรือ ไม่กลัวว่าจะต้องแบ่งให้คนอื่นหรืออย่างไร ข้าได้ยินว่าใต้เท้ากวนชื่นชอบสุรานัก”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ฟังก็ตระหนักถึงฐานะของตนในจวนสกุลกวน
หากนางนำสุรากลับไปแล้วนายท่านกวนรู้เข้า ไม่แน่อาจจะมาขอแบ่ง หากนางแอบดื่ม สุราหูจงเซียนหอมหวนเช่นนี้จะต้องปิดบังจมูกของใต้เท้ากวนไม่ได้แน่ พอถึงเวลานั้นถ้าเขาซักถามนาง…แล้วยังมีสาวใช้ แม่นมอะไรอีก ทุกครั้งที่อยากจะดื่มอย่างสบายใจต้องไล่คนเหล่านี้ออกไป ย่อมไม่ใช่วิธีที่ดี
“มิสู้ให้ข้าช่วยเจ้าเก็บเอาไว้”
ฉู่เหิงจือไม่พูดไม่จา คว้าไหสุราในมือนางมาทันที ทำให้นางตกใจจนเบิกตากว้าง
“ไม่ต้อง”
นางอยากจะแย่งกลับมา ทว่าเขากลับหลบทัน
“กลัวว่าข้าจะขโมยดื่มหรือ” เขาถามอย่างยั่วยุ
หรือว่าไม่ใช่กันเล่า
สีหน้านางแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากลัวเขาจะขโมยดื่ม
ฉู่เหิงจือถอนใจ “ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ใครกันแน่ที่รับรองต่อหน้าทุกคนในค่ายว่าเชื่อมั่นในตัวข้ายิ่งนัก ที่แท้ก็แค่พูดขอไปที แค่สุราไหเดียวก็สงสัยในตัวข้าแล้ว ทำให้ข้าไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะร่วมมือกันได้อย่างไร”
เขาเอ่ยด้วยใจจริง ทว่ากวนอวิ๋นซีกลับฟังแล้วหนังตากระตุก นางรีบฉีกยิ้มเอาใจเขาทันที
“ท่านพูดอะไรเช่นนั้นเล่า ข้าแค่ล้อเล่นเอง ทำเป็นจริงจังไปได้! ข้าก็ต้องเชื่อใจท่านอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะพาท่านขึ้นเขาเหลียงซานไปพบกับวีรบุรุษทั้งร้อยแปด* หรือ หากลือออกไปนี่เป็นโทษประหารเชียวนะ!”
“อ้อ แค่ล้อเล่นเท่านั้นหรือ” ฉู่เหิงจือแสดงสีหน้าสงสัย
กวนอวิ๋นซีพยักหน้าทันที “แค่ล้อเล่นเท่านั้น สุราไหนั้นก็ให้ท่านเก็บไว้!” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงองอาจผึ่งผาย แต่ในใจกลับเอ่ยว่า หากท่านกล้าขโมยดื่มสุราของข้าล่ะก็ ข้าจะเอาเรื่องท่านให้ถึงที่สุด!
ฉู่เหิงจือเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะเก็บสุราไหนี้ไว้ ไม่ให้บุบสลายแน่นอน”
เขาเก็บสุราพลางเพ่งพินิจแววตานางที่พยายามอดกลั้นความอาลัยอาวรณ์ไว้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไยนางจึงน่ารักเช่นนี้
ยามนี้สาวใช้จิ่นเซียงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น นางอดตะลึงไม่ได้
“คุณหนู?”
“ดูเจ้าสิ นอนหลับเสียสบาย ไปกันเถอะ! ถึงจวนแล้ว”
ถึงจวนแล้ว? ไม่ใช่เพิ่งออกมาหรือ
“ยังจะขี้เซาอยู่อีก เจ้าหลับไปทั้งวันแล้วนะ อีกครู่พอถึงบ้านเจ้าลำบากแน่”
“คุณหนู ขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ ครั้งหน้าบ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ”
กวนอวิ๋นซีส่ายหน้า “ก็ได้! ข้าจะช่วยเจ้าปิดบังเรื่องนี้ เจ้าเองก็อย่าพูดออกไปล่ะ”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
ครั้นรถม้ามาถึงจวนสกุลกวน องครักษ์ที่ประตูก็ไปแจ้งนายท่านและฮูหยิน ฉู่เหิงจือลงจากรถม้าแล้วหันไปยื่นมือเข้าไปด้านใน
“น้องอวิ๋นซี ถึงแล้ว” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก
เขาพยุงกวนอวิ๋นซีที่แสร้งทำเป็นเหนียมอายลงจากรถม้า
“วันนี้ขอบคุณพี่ฉู่มากนะเจ้าคะ”
ยามนี้ใต้เท้ากวนและกวนฮูหยินมาถึงแล้ว ฉู่เหิงจือก็เดินขึ้นหน้ามาคารวะ ทักทายกับทั้งสองท่านไม่กี่ประโยค มารยาทครบพร้อม ดูเหมือนบุตรเขยมาเยี่ยมเยียนพ่อตาแม่ยาย ราวกับเรื่องถอนหมั้นไม่เคยเกิดขึ้น
กระทั่งฉู่เหิงจือกล่าวลาใต้เท้ากวนและฮูหยิน ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วจากไป กวนฮูหยินก็ลากบุตรสาวกลับเรือนไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวทันที
“เขาปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ฟังก็รู้ทันทีว่ากวนฮูหยินกำลังจะสืบอะไร นางจงใจเอ่ยว่า “เขามีมารยาท สุภาพเรียบร้อยยิ่งนัก คล้ายกับพี่ชายปฏิบัติต่อน้องสาวอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
กวนฮูหยินขมวดคิ้ว “อะไรคือพี่ชายปฏิบัติต่อน้องสาว เขาเชิญเจ้าไปล่องทะเลสาบ เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ”
กวนฮูหยินเบิกตากว้าง ตาโปนยิ่งกว่าปลาเสียอีก “เกิดอะไรขึ้น”
“ก็พบสหายบางคนระหว่างทาง จึงไปล่องทะเลสาบชมนกชมไม้ด้วยกันเจ้าค่ะ”
กวนฮูหยินเบิกตากว้าง “ยังมีคนอื่นอีก?”
“ใช่สิเจ้าคะ มีคนมากมายครื้นเครงดี ทุกคนดื่มสุราด้วยกันอย่างเริงร่า!” นางจงใจเอ่ยเช่นนี้เผื่อกวนฮูหยินจะได้กลิ่นสุราจากร่างนาง
“ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะไปชำระร่างกายพักผ่อน ไม่คุยกับท่านแล้วนะเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้าไปด้านในเสียเอง
กวนฮูหยินยังไม่ตายใจ ลากจิ่นเซียงมาซักถามถึงรายละเอียด ทว่าจิ่นเซียงหลับไปทั้งวันจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อีกทั้งยังไม่กล้าให้ฮูหยินรู้ว่านางหลับไปจึงต้องทำตามที่คุณหนูกำชับไว้ นางรีบตอบไปว่า
“คุณชายสุภาพกับคุณหนูมาตลอดทาง ทำถูกต้องตามประเพณี คล้ายพี่ชายปฏิบัติต่อน้องสาว…”
ยิ่งพูดมากก็ผิดมาก พูดน้อยก็ผิดน้อย จิ่นเซียงทำไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเองจึงเก็บความลับเป็นอย่างดี เอาเป็นว่านางจะไม่พูดให้มากความแล้วกัน
ขณะที่กวนฮูหยินกำลังพะวงในเรื่องการออกเรือน อีกด้านหนึ่งฉู่ฮูหยินก็กังวลใจในการแต่งงานของบุตรชายเช่นกัน
ครั้นรถม้ากลับมาถึงจวนสกุลฉู่ ฉู่เหิงจือเพิ่งเข้ามาในลานบ้านได้ไม่นานบ่าวก็มารายงานว่าสาวใช้ของฉู่ฮูหยินมาแจ้งว่าฉู่ฮูหยินต้องการพบหน้าเขา ให้เขาไปหาที่เรือนฝ่ายในทันทีที่กลับมา
“ข้ารู้แล้ว อีกครู่ข้าค่อยไป”
ฉู่เหิงจือสั่งให้บ่าวไปแจ้งข่าว แล้วเขาก็ให้คนปรนนิบัติชำระร่างกายและเปลี่ยนอาภรณ์ หลังจากที่เปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่หลวมสบายแล้วเขาก็ไปเยี่ยมเยียนมารดา
“ท่านแม่ขอรับ”
ครั้นฉู่เหิงจือเข้าไปในเรือนก็คารวะฉู่ฮูหยิน
ฉู่ฮูหยินรอบุตรชายคนโตมานาน พอเห็นว่าเขามาจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กลับมาสักทีนะ” พูดจบก็ขมวดคิ้วโดยพลัน ย่นจมูกดมกลิ่น “เจ้าดื่มสุรามาหรือ”
วันนี้ฉู่เหิงจือดื่มไปเยอะจริงๆ เขาใช้กำลังภายในขับสุราออกมาทำให้ดื่มได้เป็นพันจอกโดยไม่เมา ทว่าก็ยังคงมีกลิ่นสุราติดตัวอยู่บ้าง ถึงจะชำระร่างกายแล้วก็ยังคงมีกลิ่นติดอยู่ ไม่อาจปิดบังจมูกของฉู่ฮูหยินได้
ฉู่ฮูหยินสั่งแม่นมทันที “ไปต้มน้ำแกงสร่างเมามาให้คุณชายใหญ่ที”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” แม่นมรีบออกไปจัดการที่ห้องครัวทันที
ฉู่เหิงจือเอ่ยยิ้มๆ “ขอบคุณขอรับท่านแม่”
ฉู่ฮูหยินลากบุตรชายมานั่งลง เอ่ยปากถามเขาในทันทีทันใด “วันนี้เจ้าออกไปข้างนอกกับใคร”
ฉู่เหิงจือแสดงสีหน้าสงบเยือกเย็น เขาคาดเดาไว้ในใจตั้งนานแล้ว เหตุที่ท่านแม่เรียกเขามาจะต้องเป็นเพราะได้ยินว่าวันนี้เขาออกไปหาแม่นางกวนแน่
เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้สั่งบ่าวให้ปิดปากเงียบ ดูท่าหลังจากที่เขาออกจากเรือนไปไม่นานก็มีคนเอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านแม่ ด้วยเหตุนี้พอเขากลับมาท่านแม่จึงให้คนเรียกเขามาทันทีเพื่อจะซักถามเรื่องนี้
“วันนี้ข้าเชิญแม่นางกวนออกไปล่องทะเลสาบชมนกชมไม้มาขอรับ”
“อะไรนะ” ฉู่ฮูหยินตื่นตระหนกเป็นการใหญ่ กล่าวตำหนิอย่างลุกลี้ลุกลน “เป็นความจริงหรือ เหลวไหล! ไยเจ้าจึงไปหาสตรีนางนั้น!”
ฉู่ฮูหยินไม่รอให้บุตรชายเอ่ยปาก นางเอ่ยต่อด้วยความเดือดดาลว่า “บุตรสาวสกุลกวนผู้นั้นกระโดดน้ำ ทำเรื่องให้ใหญ่โตเพราะอยากบังคับให้ตระกูลเราไปหมั้นหมายด้วยมิใช่หรือ เรื่องมันแล้วก็แล้วไป เจ้าหวังดีไปช่วยชีวิตนางขึ้นมา นางยังมีหน้ากล้าชกเจ้าหมัดหนึ่ง ไร้เหตุผลสิ้นดี! ใครจะอยากได้ลูกสะใภ้เช่นนี้”
“ท่านแม่ เรื่องถอนหมั้นมิสู้เลื่อนออกไปก่อนจะดีกว่านะขอรับ”
ครั้นฉู่ฮูหยินได้ฟังก็ลุกขึ้นยืนอย่างตะลึงงัน
“หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าอยากจะไปสู่ขอบุตรสาวสกุลกวนนั่น ไม่ได้นะ ข้าไม่ยอม!”
“ท่านแม่ ครานั้นที่ถอนหมั้นท่านควรจะปรึกษากับข้าก่อนนะขอรับ”
ฉู่ฮูหยินเอ่ยอย่างโกรธแค้น “ยามนั้นท่านปู่เพียงพูดเล่น ไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร ข้อแรก สองตระกูลไม่ได้แลกหนังสือกัน ข้อที่สอง ไม่ได้แลกของแทนใจกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ฐานะของสองตระกูลก็ต่างกันลิบลับ ท่านพ่อของเจ้าเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสอง ส่วนสกุลกวนเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ขั้นหก สองตระกูลไม่เหมาะสมกันด้วยนานาประการจะหมั้นหมายกันได้อย่างไร พวกเขาแค่อยากเกาะตระกูลพวกเราเท่านั้น”
ในครานั้นทั้งสองตระกูลเหมาะสมกันจริง ทว่าพอมาถึงรุ่นบิดา ใต้เท้าฉู่อยู่ในตำแหน่งเสนาบดี ส่วนใต้เท้ากวนเป็นเพียงผู้ตรวจการ หากตระหนักถึงฐานะของตนก็ควรจะรู้ว่าวันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว การหมั้นหมายเป็นเพียงลมปาก ฉู่ฮูหยินจึงส่งคนไปส่งข่าวเป็นการส่วนตัวทั้งยังส่งของขวัญไปมากมาย หากอีกฝ่ายเข้าใจก็ควรจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าจะทำให้เกิดเรื่องบุตรสาวสกุลกวนกระโดดน้ำฆ่าตัวตายขึ้นมา
ครั้นเรื่องนี้ลือออกไปบรรดาฮูหยินผู้สูงศักดิ์ต่างก็หัวเราะเยาะนาง สามีก็ได้รับการประณามจากขุนนางในราชสำนักมากมาย ฉู่ฮูหยินจึงเดือดดาลยิ่งนัก
“ท่านแม่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ข้าจะไปตรวจสอบก่อน”
ครั้นฉู่ฮูหยินได้ฟังก็ตกใจแทบแย่ จึงรีบถามไปว่า “ตรวจสอบอะไร หรือว่าเรื่องนี้เป็นแผนร้าย”
“เรื่องนี้จะใหญ่หรือเล็กข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น สรุปแล้วเรื่องถอนหมั้นขอให้เลื่อนออกไปก่อน พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คอยดูท่าทีไปสักระยะเพื่อไม่ให้ท่านพ่อกลายเป็นขี้ปากคนอื่นขอรับ”
พอฉู่ฮูหยินได้ฟังก็ตระหนักได้ว่าบุตรชายคนโตเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองมาตลอด จะไม่กระทำการด้วยความหุนหันพลันแล่น เขาต้องใคร่ครวญมาอย่างดีแล้วจึงมีข้อสรุปเช่นนี้ นางจึงเอ่ยพลางกัดฟันกรอด “ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็รีบไปตรวจสอบให้เรียบร้อย พอตรวจสอบเสร็จแล้วข้าจะหาภรรยาที่ดีกว่านี้ให้เจ้าเอง”
ฉู่เหิงจือรู้ถึงความคิดของท่านแม่ดี พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงไม่คิดจะพูดมากอีก
หลังจากปลอบโยนมารดา เขาก็อยู่กินข้าวกับนางแล้วค่อยกลับไปที่เรือนของตน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนเขาก็สั่งพวกบ่าวออกไปให้หมด ส่วนตัวเองนั้นนั่งลงนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ประสบมาในวันนี้
เขาเข้าใจถึงความคิดของท่านแม่ ทว่าเขาก็มีแผนการของตัวเอง พอมองไปที่ไหสุราหูจงเซียนสองไหที่วางอยู่บนโต๊ะเขาก็อดคิดถึงกวนอวิ๋นซีไม่ได้
หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็กอดสุราไหหนึ่งด้วยมือข้างเดียว ก้าวออกจากห้อง พอปลายเท้าแตะพื้นดินแล้วก็หายใจเข้าลึกๆ พุ่งทะยานไปทางจวนสกุลกวน
เพียงชั่วครู่เงาร่างสูงเพรียวก็มาถึงจวนสกุลกวน กระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็พบห้องนอนของนางได้อย่างง่ายดาย
เสียงสตรีที่ใสกังวานดังมาจากภายในห้องนอน
“จิ่นเซียง! ข้าว่าไม่ใช่ข้าที่เดินเร็วเกินไป แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เดินช้า”
“คุณหนูอย่าหลอกบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวรู้ดี คุณหนูวิ่งเอา บ่าวยังไม่ทันเดินพ้นระเบียงคุณหนูก็ไปถึงริมสระบัวแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ” อันที่จริงนางใช้วิชาตัวเบาทะยานไปต่างหากเล่า
“บ่าวไม่โง่นะเจ้าคะ คุณหนูไม่อยากให้ใครรู้ บ่าวก็จะไม่พูด แต่ว่าคุณหนูอย่าวิ่งบ่อยๆ เลยเจ้าค่ะ บ่าวตามไม่ทัน”
“ตามไม่ทันก็อย่าตามสิ!”
“คุณหนู บ่าวเป็นห่วงคุณหนูนะเจ้าคะ! กลัวว่าคุณหนูจะเป็นอะไรไป…”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“บ่าวไม่ได้คิดมากไปเจ้าค่ะ บ่าวกลัวว่าถ้าคิดน้อยไปคุณหนูจะทิ้งบ่าวแล้วไปทำเรื่องโง่ๆ อีก”
“ยังจะมาพูดอีกว่าไม่โง่ ตอนนี้ข้ามีชีวิตดีอยู่ ข้าดูคล้ายคนคิดไม่ตกหรือ”
“คุณหนูพูดก็ถูกเจ้าค่ะ วันนี้กูเหยียมาเชิญคุณหนูไปนั่งเรือล่องทะเลสาบ คุณหนูดูเบิกบานขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ”
“จิ่นเซียงจอมโง่ คุณหนูของเจ้าไม่ได้ดีใจเพราะเรื่องนี้ แล้วเจ้าอย่าเรียก ‘กูเหยีย’ สุ่มสี่สุ่มห้านะ พวกเราสองตระกูลถอนหมั้นกันแล้ว”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ! หากกูเหยียไม่อยากมาสู่ขอคุณหนู ไยจึงมาหาคุณหนูเล่าเจ้าคะ”
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าถ้าเขาไม่มีธุระก็ไม่มาหรอก วันนี้ที่เขามาย่อมมีสาเหตุ”
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้ว ยื่นมือไปดึงจุกไหสุรา
“เอ๊ะ?”
“คุณหนู มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าได้กลิ่น…”
“ได้กลิ่นอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร เจ้าไปนอนก่อนเถิด”
จากนั้นภายในห้องก็เงียบกริบ ฉู่เหิงจือรออย่างสงบบนหลังคา เป็นไปตามคาด เพียงชั่วประเดี๋ยวเงาร่างบอบบางก็กระโจนขึ้นมา ครั้นพบหน้าเขา ดวงตาอันงดงามก็เป็นประกายในทันใด
กล่าวให้ถูกต้องก็คือครั้นเห็นเขานำสุราหูจงเซียนติดตัวมาด้วย ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็ปลดปล่อยความตะกละตะกลามออกมา
บทที่ 6
กวนอวิ๋นซีคุ้นเคยกับกลิ่นหอมหวนของสุราหูจงเซียนยิ่ง แม้แต่ในความฝันนางยังจำกลิ่นได้
ครั้นได้กลิ่นหอมหวนของสุรา โลหิตทั่วทั้งร่างนางก็พลุ่งพล่าน นางแสดงวิชาตัวเบากระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่แล้วมองไปรอบตัว แค่ชั่วขณะเดียวก็แลเห็นเป้าหมาย
คนแซ่ฉู่นั่งอยู่บนหลังคา กอดไหสุราของนางเอาไว้ กำลังดื่มอย่างสบายใจ
นางกระโจนตัวไปทันที ปลายเท้าแตะกิ่งไม้ สูดหายใจลึกๆ พลางพุ่งทะยานไปตามที่มาของกลิ่น
ครั้นฉู่เหิงจือเห็นว่านางกระโจนร่างมาทางนี้ มุมปากก็โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขารู้ดีว่าขอเพียงเปิดจุกไห กลิ่นอันหอมหวนนี้ก็จะหลอกล่อแมวที่ตะกละตะกลามได้
เรือนผมนางยาวสยายไปตามสายลม ดวงตาสุกสกาวราวดวงดารา อาภรณ์ปลิวสะบัดราวกับอาภรณ์หลากสีของเทพธิดา
ครั้นมองร่างที่งดงามปราดเปรียวของนาง จะไม่พูดก็ไม่ได้ว่ายามนางเดินเหินภายใต้แสงจันทร์นั้นชวนให้เขาตะลึงยิ่งนัก
ครั้นกวนอวิ๋นซีเหยียบลงบนหลังคา จู่ๆ นางก็ลื่น
“ว้าย…”
นางก้าวพลาด กำลังจะกลิ้งตกลงไปอยู่แล้ว ทว่ามีคนที่ว่องไวกว่าคว้ามือนางได้ทันเวลา ช่วยให้ร่างนางไม่กลิ้งลงไป แต่กลับแกว่งไกวอยู่กลางอากาศ
กวนอวิ๋นซีแหงนหน้าขึ้น ฉู่เหิงจือคว้ามือนางไว้แน่น นางก็ยืมแรงนั้นพยายามปีนขึ้นไป ในที่สุดก็ขึ้นไปบนหลังคาได้สำเร็จ
“ขอบคุณนะ”
นางก็ไม่เกรงใจ หย่อนก้นลงนั่งข้างกายเขา ยื่นมือไปคว้าชามของเขาแล้วตักสุราในไหกรอกใส่ปากอึกใหญ่เพื่อปลอบโยนความตะกละตะกลามของตนเอง
ครั้นสุราแรงไหลลงสู่ลำคอนางก็รู้สึกชื่นใจยิ่งนัก ความร้อนแรงแผดเผาไปจนถึงในท้อง นางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถึงอกถึงใจจริงๆ!” หลังจากที่นางถอนหายใจก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วโอดครวญ “ไยไม่มาให้เร็วหน่อย ข้าคิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
ฉู่เหิงจือพลันตะลึงงัน เหลือบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางดื่มแต่สุราด้วยสีหน้ากระหาย ในใจคิดว่าหากคนอื่นได้ยินวาจานี้จะต้องเข้าใจผิดแน่
แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใครอื่น แล้วเขาก็รู้ดีว่าที่นางคิดถึงคือสุราไม่ใช่เขา
“ดื่มช้าๆ หน่อยจะได้ไม่เมา”
กวนอวิ๋นซีโบกมือ “วางใจ ข้าคอแข็งมากนะ ไม่แน่อาจจะคอแข็งกว่าท่านด้วยซ้ำ!”
“อ้อ ร้ายกาจเช่นนั้นเชียว?”
“นึกถึงตอนที่ข้า…” นางชะงักโดยพลัน เดิมทีนางอยากกล่าวว่าครานั้นนางแข่งกับพี่น้องในค่ายว่าใครคอแข็งกว่ากัน นอกจากน้องสามที่คอแข็งพอๆ กันกับนางแล้วก็ไม่มีใครสู้นางได้
ยามนั้นนางเป็นหัวหน้าใหญ่ในค่ายอูเจียง ทว่าในยามนี้นางคือกวนอวิ๋นซี บุตรสาวของผู้ตรวจการ จึงไม่อาจเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกไปได้
ครั้นนางเห็นฉู่เหิงจือยังคงเลิกคิ้วรอให้นางกล่าวต่อไปอยู่ นางก็แก้คำโดยพลัน “ไม่มีอะไร ดื่มสุราเถอะ” ครั้นกล่าวจบนางก็ตักสุราอีกชาม กลืนคำลงไปพลางพึมพำอยู่ในลำคอ
ฉู่เหิงจือคว้าชามมาจากมือนางแล้วก็ตักสุราดื่มชามหนึ่ง ขณะที่กำลังจะดื่มนั้นก็ได้ยินนางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “เอ๊ะ? ท่านไม่ใช่มาส่งสุราให้ข้าหรือ ไยจึงดื่มของข้าเล่า”
ฉู่เหิงจือชะงัก เหลือบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางกำลังจ้องมาที่ชามของตนราวกับว่าเขาดื่มสุราของนางไปอึกหนึ่ง คล้ายกับนึกเสียดายที่ส่วนของนางน้อยลงไป
“ไม่ใช่ ที่ข้าเอามาคือสุราของข้าต่างหาก สุราไหนั้นของเจ้าเก็บอยู่ในห้องของข้า”
กวนอวิ๋นซีถอนหายใจโล่งอก “ได้ยินท่านเอ่ยเช่นนี้ข้าก็วางใจ เช่นนั้นพวกเราก็ดื่มกันต่อเถิด!” นางคว้าชามมาจากมือเขาอีกครา จะตักสุรามาดื่มอีกชาม
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้น เลียนแบบน้ำเสียงของนาง “รอเดี๋ยว นี่คือสุราของข้า ไยเจ้าจึงมาดื่มของข้าล่ะ”
“อย่าตระหนี่นักเลย ข้าเชิญท่านดื่มแล้ว ทำดีมาก็ต้องทำดีตอบ ท่านมาเชิญข้าดื่มก็เป็นเรื่องสมควร”
“…” เขาพูดไม่ออกไปในทันใด
ฉู่เหิงจือพบว่ายิ่งนานตนเองยิ่งเคยชินกับนางที่เป็นเช่นนี้ ครั้นนึกถึงสถานการณ์ในค่ายบนภูเขายามกลางวัน เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงเรียบ “ทางที่ดีเจ้าควรระวังหัวหน้ารองไว้”
มือของกวนอวิ๋นซีที่คว้าชามอยู่ชะงักค้างแล้วก็หันไปมองเขา “หมายความว่าอย่างไร”
ครั้นฉู่เหิงจือพบหน้าสือโม่เฉินก็จำเขาได้ในทันที ยามนั้นบุรุษผู้นี้กอดศพของสตรีผู้นั้นไว้ แสดงสันดานเยี่ยงเดรัจฉานออกมา แววตานั้นคล้ายปีศาจที่กำลังคลั่ง ดูผิดปกติยิ่งนัก
แม้ในยามกลางวันหัวหน้ารองผู้นั้นจะมีท่าทางสุขุมและเก็บความรู้สึก ทว่าฉู่เหิงจือเชื่อว่าบุรุษผู้นั้นต้องมีอีกด้านที่คนอื่นไม่รู้แน่ๆ โชคดีที่ตนเองสวมหน้ากากไว้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจำไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าหากหัวหน้ารองจำเขาได้แล้วล่ะก็จะต้องฆ่าเขาแน่
เขามองไปทางกวนอวิ๋นซี เห็นนางแสดงสีหน้าสงสัยจึงเตือนนางด้วยเสียงเข้ม “บุรุษผู้นั้นอันตรายนัก”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ฟังก็ยิ้มอย่างกระจ่างแจ้ง
“นั่นมันแน่นอน น้องรองเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มีวรยุทธ์สูงที่สุดในค่าย”
เขานึกสงสัยโดยพลัน “เจ้าเรียกเขาว่าน้องรอง?”
“ข้าเป็นพี่ แน่นอนว่าต้องเรียกเขาว่าน้องรองสิ!”
กวนอวิ๋นซีไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญจึงกรอกสุราไปอีกชามหนึ่ง ท่าทางเช่นนั้นคล้ายสตรีขี้เมานัก กระหายสุราจนไม่ยอมปล่อยมือ
ฉู่เหิงจือเอ่ยอย่างนึกขำ “พี่เฟยอิง เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว แล้วเขาอายุเท่าไร”
“ข้าอายุยี่สิบปี น้องรองอายุสิบเก้าปี น้องสามอายุสิบแปดปี ข้าโตที่สุดไง!”
เขาตะลึงงันอีกครา จับจ้องดวงหน้านางภายใต้แสงจันทร์ นางหน้าแดงก่ำนานแล้ว
“เจ้าเมาแล้วหรือ”
กวนอวิ๋นซีร้องฮึเสียงหนึ่ง เหลือบมองเขา
“ข้าเพิ่งดื่มไปครึ่งไหจะเมาได้อย่างไร ท่านสิเมาแล้ว”
ฉู่เหิงจือขมวดคิ้ว กำลังคิดจะห้ามไม่ให้นางดื่มต่อ ทว่าพอคิดอะไรได้ก็ชะงัก มิสู้ฉวยโอกาสนี้ลองหยั่งเชิงนาง
“ที่เจ้าพาข้าไปที่ค่ายบนภูเขามีจุดประสงค์อันใด”
“แน่นอนว่าข้าอยากให้ท่านไปดูให้เห็นกับตาว่าเหล่าพี่น้องในค่ายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ภายนอกลือกัน หลายคนในนั้นใสซื่อและจงรักภักดียิ่ง เพียงแต่พวกเขายังต้องเลี้ยงดูครอบครัวจึงมาเป็นโจรภูเขา”
ฉู่เหิงจือถามอย่างหยั่งเชิง “เจ้าอยากให้พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อทางการ?”
“ใช่!”
“เพราะเหตุใด”
นางมองเขาอย่างแปลกใจ “หากมีข้าวกิน มีที่นาไว้เพาะปลูก ใครจะอยากมาเป็นโจรบ้าง”
“แต่ว่าครั้งนี้ที่โดนทางการปราบ พวกเจ้าสูญเสียมากมาย เจ้าไม่แค้นทางการหรือ”
“แค้นสิ แต่ว่าแค้นแล้วช่วยอะไรได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องสืบหาความจริง ดูว่าใครเป็นคนก่อเรื่อง”
“เจ้าคิดว่ามีใครในนั้นก่อเรื่องขึ้นหรือ”
“ใช่สิ!”
“ใคร”
นางร้องฮึอีกครั้ง “ถ้าข้ารู้ข้าคงไม่มานั่งดื่มสุรากับท่านที่นี่หรอก”
เขาเลิกคิ้ว สัมผัสได้ว่าวาจานี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล
“หรือว่าถ้าเจ้ารู้ก็ไม่คิดที่จะมาดื่มสุรากับข้า?”
“แน่นอนอยู่แล้ว หากไม่มีเรื่อง ไยข้าต้องมาเสียเวลาขลุกอยู่กับท่านด้วย แน่นอนว่าข้าจะต้องมีเรื่องขอร้องท่าน”
ฉู่เหิงจือสีหน้ามิแปรเปลี่ยน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับเพิ่มความอันตรายอันเย็นเยียบอีกหลายส่วน
“อ้อ ที่แท้เจ้ามาเอาใจข้าก็เพราะมีเรื่องจะขอร้องข้า?”
“แน่นอน ท่านเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเสนาบดี บิดาอยู่ในกรมอาญา มีทั้งกำลังและอำนาจ สามารถสืบคดีได้สะดวกที่สุดแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังนึกว่าเจ้าหลงรักข้า จะแต่งงานกับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อข้าหรือ”
“คนที่กระโดดน้ำคือกวนอวิ๋นซี ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
เขาอึ้งไปทันที “เจ้าว่าอะไรนะ”
นางไม่สนเขา คว้าสุราขึ้นมาดื่ม แต่กลับถูกเขาจับมือไว้แล้วถามด้วยเสียงเข้ม “เจ้าไม่ใช่กวนอวิ๋นซี?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว” นางขมวดคิ้ว อยากจะดึงมือออก แต่กลับถูกเขาจับไว้เสียแน่น
“เจ้าเป็นใครกันแน่” แววตาเขาดูอันตรายยิ่งนัก สีหน้าน่าสะพรึงยิ่งขึ้น
“ข้ามีนามว่าหลี่ซื่อ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลหวัง อยู่ในลำดับที่แปด ปกติขายไข่เป็นอาชีพ”
เขาตะลึงงัน ตอนที่พบนางในอี้จวงนางก็กล่าวเช่นนี้ เพียงแต่ตอนนั้นเขานึกว่านางแต่งเรื่อง
“เจ้ามีนามว่าหลี่ซื่อจริงหรือ”
กวนอวิ๋นซีหันไปมองเขา จู่ๆ ก็ฉีกยิ้ม หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ชวนให้เขาแปลกใจอยู่พักหนึ่ง อดขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจไม่ได้
“เจ้าหัวเราะอะไร”
นางหัวเราะร่าพลางชี้ไปทางเขา เอ่ยว่า “หลี่ซื่อ สกุลหวัง อยู่ในลำดับที่แปด ขายไข่!”
ฉู่เหิงจือไม่เข้าใจ ทว่าพอไตร่ตรองวาจาของนางให้ดี…
หลี่ซื่อ สกุลหวัง อยู่ในลำดับที่แปด ขายไข่? ครั้นนำมารวมกันโดยตัดหัวตัดหางออกก็คือ…เจ้าโง่*
ใบหน้าอันหล่อเหลาด้านชาโดยพลัน
“ฮ่าๆๆ…” กวนอวิ๋นซีตบไหล่เขา หัวเราะไม่หยุด
ฉู่เหิงจือหนังตากระตุก เขาแน่ใจมากว่าสตรีนางนี้ไม่เพียงเมาแล้ว ยังน่าตียิ่งนัก
เขานวดขมับที่ปวดตุบๆ ไม่เข้าใจว่าคืนนี้ตนเองเป็นอะไรถึงกับคิดจะมาหานางเพื่อดื่มสุรา ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมีเวลาว่างหรือไม่มีอะไรทำ นี่เป็นการหาเรื่องชัดๆ เลย
“พอแล้ว ข้าไม่คุยเรื่องไร้สาระกับท่านแล้ว เชิญท่านตามสบายนะ…” หืม?
เขาพลันรู้สึกว่าหัวเข่าหนักอึ้ง พอก้มลงมองก็เห็นนางนอนอยู่บนตักเขา หลับตานอนอย่างสบายใจ
“…” เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก นี่หรือที่เรียกว่าคอแข็ง เพิ่งดื่มไปไม่กี่ชาม ทั้งยังไม่ถึงครึ่งไหด้วยซ้ำก็เมาจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว
ฉู่เหิงจือคลายมือที่กำหมัดออก ระงับความหุนหันพลันแล่นที่จะโยนร่างนางลงไป จะดีจะเลวอย่างไรยามนี้นางก็ยังได้ชื่อว่าเป็นว่าที่ภรรยาของตน ถ้าเตะนางลงไปจากหลังคาก็คงเสื่อมเสียชื่อเสียงของเขานัก
เขามองไปที่นาง สตรีนางนี้เผยอปากเล็กน้อย นอนหลับกรนเบาๆ หน้าแดงก่ำจนคล้ายกับแต้มชาดกระนั้น ดวงหน้าไร้เดียงสาไม่มีพิษมีภัย อันที่จริงดูแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดู
ดวงตาเคลื่อนไปมองเรือนร่างนาง นางสวมอาภรณ์บางเบา เพราะยามนี้นางหลับอยู่ ด้วยเหตุนี้เส้นเว้าโค้งตรงส่วนหน้าอกที่ถูกปกคลุมไว้ก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอวบอิ่มยิ่งนัก
นางไว้ใจเขาเกินไป อีกทั้งยังใจกล้ามาก จะดีจะเลวอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษเพศ นางยังไม่ระวังตัวเช่นนี้?
หากจะกล่าวว่านางจงใจยั่วเขา เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เพราะดูแล้วนางไม่มีความโศกเศร้าจากการถูกถอนหมั้นเลย แล้วก็ดูไม่ออกว่านางมีใจให้เขา นางกลับแสดงความเป็นตัวตนออกมาต่อหน้าเขาอย่างไม่เก็บงำสักนิด พูดจากำเริบเสิบสาน บางครั้งยังมาเอาใจประจบสอพลอ ฉวยโอกาสแอบด่าคน
นางก็มีฝีมืออยู่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่นางมีเรื่องจะขอร้องยังกล้าด่าเขาว่าเจ้าโง่อีก
ฉู่เหิงจือยื่นมือออกไปบีบจมูกนางทำให้เกิดเสียงสั่นๆ เสียงหนึ่ง แล้วนางก็หลับอย่างสบายต่อไป
เขาไม่อาจโยนนางลงไปได้ ทั้งไม่สามารถโบยนาง และยิ่งไม่อาจเมินเฉยต่อนาง มิเช่นนั้นวันรุ่งขึ้นก็จะมีศพสตรีนางหนึ่งแข็งตายอยู่บนหลังคา พอถึงเวลานั้นก็จะมีข่าวลือออกไปตามตรอก กล่าวว่าแม่นางกวนกระโดดน้ำไม่ตายก็เปลี่ยนมาปีนขึ้นไปดื่มสุราดับทุกข์บนหลังคา ท้ายที่สุดก็เมาตายอยู่บนนั้น
ฉู่เหิงจือส่ายหน้า ช้อนร่างนางทั้งที่ยังนอนอยู่กระโดดลงไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ส่งนางกลับห้องนอน
กวนอวิ๋นซีหลับจนกระทั่งสาย ท้ายที่สุดนางตื่นขึ้นมาด้วยเสียงร้องไห้ของสตรี
ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็เห็นใต้เท้ากวนถลึงตามองนางด้วยสีหน้าโกรธจัด กวนฮูหยินก็นั่งอยู่ด้านข้างเขามองมาที่นางทั้งน้ำมูกน้ำตา อีกทั้งบนโต๊ะยังมีสุราไหหนึ่งซึ่งก็คือหูจงเซียนของนาง
กวนอวิ๋นซีหน้าซีดเผือดทันที เห็นชัดว่าใต้เท้ากวนและกวนฮูหยินล้วนรู้เรื่องที่นางดื่มสุราจนเมาแล้ว ใต้เท้ากวนดุด่าว่ากล่าว โมโหนางยกใหญ่ด้วยเรื่องนี้ กวนฮูหยินโศกเศร้าใจแทบสลาย กล่าวว่านางไม่ควรดื่มเลย เป็นผลเสียต่อร่างกาย ส่วนจิ่นเซียงที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างยิ่งร้องไห้โฮ กล่าวโทษตัวเองว่าดูแลคุณหนูไม่ดี
กวนอวิ๋นซีด่าทอฉู่เหิงจืออยู่ในใจ เขาจะต้องจงใจแน่ๆ
นางปวดหัวเพราะอาการเมาค้าง นางจำไม่ได้แล้วว่าเมาไปตั้งแต่เมื่อไร ทว่าก็ตระหนักได้โดยพลันถึงความรุนแรงของเหตุการณ์นี้
ความสามารถของนางในการดื่มพันจอกไม่เมานั้นไม่เหลืออยู่แล้ว!
นางคนก่อนดื่มพันจอกไม่เมา ทว่าพอนางฟื้นขึ้นมาใหม่กลับไม่สามารถแตะสุราได้เลย ร่างนี้ใช้การไม่ได้ ดื่มไม่กี่จอกก็เมาเละไม่เป็นท่า
อาการเมาค้างทำให้นางปวดหัวจนแทบจะระเบิด ทว่าก็ยังต้องฟังใต้เท้ากวนตำหนิต่อไป กอปรกับกวนฮูหยินที่ร้องห่มร้องไห้ หนวกหูจนนางอยากจะโยนพวกเขาสองคนออกไปนอกเรือน ทว่านางได้สติทันควันจึงอดกลั้นเอาไว้ ทั้งสองคือบิดามารดาของกวนอวิ๋นซี หากนางโยนพวกเขาออกไปจริงแล้วมีข่าวลือออกไป นางก็อย่าคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเลย
แม้นางจะไม่แยแสต่อฐานะบุตรสาวขุนนาง ทว่าจะดีจะเลวอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ มิเช่นนั้นวันข้างหน้าจะจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างไร
แสร้งตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลยแล้วกัน
นางนอนลงไปบนเตียงอีกครั้ง ยังคงรู้สึกมึนเมา ส่วนใต้เท้ากวนที่เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟก็นำหูจงเซียนของนางไปเททิ้ง ครั้นนางได้ยินเรื่องนี้ก็ตีอกชกหัวทันที
สุราของข้า…นั่นเป็นสุราที่เก็บซ่อนเอาไว้เลยนะ ข้างนอกหาซื้อไม่ได้ด้วย!
ทว่าเพียงชั่วประเดี๋ยวนางก็นึกได้ว่าสุราไหนั้นไม่ใช่ของนางแต่เป็นของฉู่เหิงจือต่างหาก ครั้นนึกได้เช่นนี้นางก็คล้ายมีชีวิตกลับมาใหม่ ฉู่เหิงจือยังเก็บไว้ให้นางอยู่ สุราของคนอื่นถูกเททิ้ง นางจะเจ็บใจไปไย
หลังจากที่นอนพักเต็มตากวนอวิ๋นซีก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปวดหัวแล้ว นางอยากออกไปข้างนอก แต่ก็ต้องพบว่าตนเองถูกกักบริเวณ นี่คือการลงโทษจากใต้เท้ากวน เขาคงเกรงว่านางจะออกไปดื่มสุราอีก
อยากกักบริเวณก็กักไปสิ วัดเล็กแค่นี้จะขังพระพุทธรูปองค์ใหญ่อย่างข้าได้หรือ
จริงๆ นางสามารถย่องออกไปได้ ทว่ากลางวันแสกๆ เช่นนี้จะถูกคนสังเกตได้ง่าย จะสกัดจุดแม่นมกับสาวใช้ทุกครั้งก็ไม่ได้
กวนอวิ๋นซีครุ่นคิดไปมา นางตระหนักว่าคงจะต้องหายันต์ป้องกันตัวมาเสียแล้ว เพื่อแก้ปัญหาการกักบริเวณในครั้งนี้นางจึงให้จิ่นเซียงไปเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก นางตั้งใจจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแล้วสั่งให้บ่าวไปส่งที่จวนสกุลฉู่
ทางด้านสกุลฉู่ พ่อบ้านก็ได้นำจดหมายของแม่นางกวนมามอบให้คุณชายใหญ่ในห้องหนังสือ
ในจดหมายเขียนไว้อย่างเรียบง่าย กวนอวิ๋นซีกล่าวว่าตนถูกกักบริเวณ รบกวนให้เขามาเยี่ยมเยียนนางที นางจะได้ออกไปผ่อนคลายข้างนอก
ในจดหมายเขียนอย่างตรงไปตรงมา เป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเท่านั้น ไร้ซึ่งกลิ่นอายความรักระหว่างบุรุษสตรีที่มักจะส่งให้กัน
ฉู่เหิงจืออ่านจดหมายจนจบอย่างเย็นชาแล้วโยนไปด้านข้าง
ครั้นพ่อบ้านเห็นเหตุการณ์ก็เหลือบมองคุณชายปราดหนึ่ง เนื่องจากครั้งก่อนคุณชายเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนแม่นางกวนเอง ด้วยความรอบคอบของพ่อบ้านจึงถามไปประโยคหนึ่ง
“คุณชายขอรับ บ่าวจากสกุลกวนที่มาส่งจดหมายยังรอ…” จะมีจดหมายให้อีกฝ่ายนำกลับไปหรือไม่
“บอกไปว่าข้าไม่อยู่”
“ขอรับ”
พ่อบ้านเข้าใจท่าทีที่คุณชายมีต่อสกุลกวนทันควันจึงสั่งคนให้ไปแจ้งอีกฝ่ายให้กลับไปอย่างวางใจ
พ่อบ้านถอยออกจากห้อง ฉู่เหิงจือนั่งอยู่หน้าโต๊ะ มือหยิบรายงานมาอ่านอย่างละเอียด สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะคือรายงานคดีที่เกี่ยวกับค่ายอูเจียง
รายงานเหล่านี้ท่านพ่อส่งคนไปขอมาจากกรมอาญาแล้วแอบคัดลอกมาให้เขา
เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการชิงปล้นของโจรภูเขา ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ พอนำมารวมกันแล้วก็มีถึงสามสิบกว่าคดี หลายคดีในนั้นรวมไปถึงการลักขโมยเกลือ อาวุธ ข้าวสารอาหารแห้งของทางการ รวมไปถึงสินค้าและเงินทองของพวกพ่อค้าด้วย ความเสียหายเหล่านี้รวมกันแล้วมีมูลค่าสามแสนกว่าตำลึง
ขุนนางท้องที่เป็นคนส่งคดีเหล่านี้มา ล้วนชี้เป้าไปที่โจรภูเขา
โจรปล้นชิงขุนนางท้องที่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือทุกคดีล้วนทำได้สำเร็จ จับตัวคนร้ายไม่ได้ โจรภูเขาที่ค่ายอูเจียงมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว ปล้นตั้งแต่ขุนนางท้องที่ไปถึงพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ตอนแรกที่ได้ฟังก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร ทว่าพอสอบสวนอย่างละเอียดกลับพบความน่าสงสัยเต็มไปหมด
โจรภูเขาในค่ายอูเจียงร้ายกาจกำเริบเสิบสานเช่นนี้? คดีเหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าเป็นฝีมือของโจรภูเขาในค่ายอูเจียง แต่ที่น่าแปลกคือขุนนางท้องที่กลับจับตัวคนร้ายไม่ได้ หากจับได้ก็กลายเป็นศพแล้ว จับคนเป็นไม่ได้เลย
ในเมื่อคนตายแล้วก็ไม่อาจตรวจสอบได้ รายงานเหล่านี้ล้วนเขียนโดยขุนนางท้องที่ว่า ‘เป็นการชิงปล้นของโจรจากค่ายอูเจียง’ แล้วก็รายงานไปตามนี้
เขาตั้งข้อสังเกตว่าหากคดีเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของโจรภูเขาในค่ายอูเจียงทั้งหมดเล่า
หรือไม่ก็มีเพียงไม่กี่คดีที่เป็นเรื่องจริง ที่เหลือล้วนเป็นคดีที่สร้างขึ้นมา ข้าวของที่ถูกขโมยไปก็ล้วนเป็นฝีมือของโจรภูเขา ดังนั้นจึงไม่อาจสืบหาและนำข้าวของเหล่านั้นกลับมาได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล เพราะเหล่าขุนนางยังสืบหารังของพวกโจรไม่พบเลย
ฉู่เหิงจือก้มหน้าครุ่นคิด หากมีบางอย่างเป็นจริงดังที่คาดเดาไว้ เช่นนั้นก็จะมีบางคนยัดคดีชิงปล้นให้โจรภูเขา เพราะเดิมทีโจรเหล่านั้นก็เป็นที่หมายหัวของทางการอยู่แล้ว เพียงแต่พวกโจรภูเขาเอาแต่หลบซ่อนมาตลอดจึงต้องกลายเป็นคนที่แบกหม้อดำดังนั้นข้าวของที่ถูกขโมยไปก็คล้ายกับเป็นก้อนหินที่จมอยู่ในทะเลลึก
ทว่าหากมีวันใดวันหนึ่งที่ปิดบังความลับนี้ต่อไปไม่ได้แล้วเล่า
ฉู่เหิงจือนึกประหลาดใจ จู่ๆ ก็มีคำพูดของกวนอวิ๋นซีผุดขึ้นมาในความคิด
‘โจรภูเขาในค่ายอูเจียงเตรียมจะสวามิภักดิ์ต่อทางการ และในวันนั้นเยี่ยเฟิงก็นำพาเหล่าพี่น้องในค่ายไปต้อนรับทหารเข้ามาในภูเขา ใครจะไปคิดว่าทหารเหล่านี้กลับไม่ได้มารับพวกเขา แต่มาฆ่าปิดปากต่างหาก’
วันที่พวกโจรยอมสวามิภักดิ์ก็คือวันที่โดนปราบ อันที่จริงจุดประสงค์ที่แท้จริงคือมาฆ่าปิดปาก
ฉู่เหิงจือยืนขึ้นด้วยความกระจ่างแจ้งโดยพลัน “เตรียมรถม้า!”
บ่าวที่ได้ยินคำสั่งตอบรับโดยพลันแล้วรีบไปจัดการ ฉู่เหิงจือเก็บรายงาน เขาออกจากเรือนมาขึ้นรถม้าแล้วออกคำสั่งว่า
“ไปจวนสกุลกวน!”
ครั้นพ่อบ้านได้ยินว่าคุณชายจะไปจวนสกุลกวนอีกก็อดประหลาดใจไม่ได้
คุณชายไม่อยากไปพบแม่นางกวนไม่ใช่หรือ ไยพอผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็รีบร้อนจะไปจวนสกุลกวนเสียแล้ว?
คนขับรถม้าดึงบังเหียนมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลกวน พอฉู่เหิงจือจากไปก็มีคนวิ่งแจ้นไปรายงานที่เรือนฝ่ายใน
ครั้นฉู่ฮูหยินได้ยินว่าบุตรชายกำลังจะไปหาคนสกุลกวนอีกก็พลันร้อนรนไปด้วยโทสะ
“ไม่ได้นะ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงแย่แน่ ลูกชายข้าใจอ่อน แต่ข้าทนมองสตรีนางนั้นมาฉุดเขาให้ตกต่ำไม่ได้หรอก!”
แม่นมที่อยู่ข้างกายเดินขึ้นหน้ามาเพื่อทำให้ฮูหยินอารมณ์เย็นลง ขณะเดียวกันก็เอ่ยคล้อยตาม “ฮูหยินพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูสกุลกวนร้ายกาจนัก ใช้ความตายมาข่มขู่คุณชาย ส่วนคุณชายเองก็คำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูล แต่ก็กลัวนายท่านจะโดนโจมตีและแฉจุดอ่อน ด้วยเหตุนี้จึงต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม หมายจะรักษาหน้าให้แก่ทุกฝ่าย จึงไปยังจวนสกุลกวนเพื่อปลอบโยนสตรีนางนั้น ลำบากคุณชายโดยแท้”
ฉู่ฮูหยินยิ่งฟังยิ่งโมโห “สตรีหน้าด้านไร้ยางอาย! ข้าจะไม่ยอมให้นางเหยียบเข้ามาในจวนสกุลฉู่เด็ดขาด!”
“ฮูหยิน ท่านจะต้องระวังคนชั้นต่ำไว้นะเจ้าคะ!”
เพราะฉู่เหิงจือกำชับฉู่ฮูหยินไว้ เดิมทีนางไม่อยากลงมือเอง ยังคงลังเลมาตลอด ยามนี้นางรอไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจหาจุดจบให้กับเรื่องนี้
“แม่นม ไปเตรียมรถม้า สั่งให้ไปรับตัวคุณหนูเปี่ยวมาเดี๋ยวนี้ แจ้งไปว่าข้าไม่ค่อยสบาย ต้องการให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนข้า”
ครั้นแม่นมได้ฟังก็เบิกบานใจยิ่งนัก ฮูหยินกำลังจะออกโรงเองแล้ว จึงรับคำสั่งอย่างยินดี “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
รถม้าของฉู่เหิงจือออกจากจวนไปได้ไม่นาน รถม้าของฉู่ฮูหยินก็ออกจากจวนเช่นกัน
ด้านหน้าประตูจวนสกุลกวน พอคนเฝ้าประตูเห็นรถม้าสกุลฉู่เข้าก็รีบเปิดประตูเดินขึ้นหน้าไปต้อนรับ
“รบกวนเข้าไปแจ้งที ข้ามาหาแม่นางกวน อยากเชิญนางออกไปเที่ยวเล่น” ฉู่เหิงจือเอ่ย
เขารู้ว่ากวนอวิ๋นซีถูกกักบริเวณ แต่ขอเพียงเขามาเอ่ยปากเชิญนางออกไปคนในสกุลกวนจะต้องปล่อยตัวนางแน่ เพราะคนสกุลกวนคาดหวังที่จะเกี่ยวดองกับสกุลฉู่ จะต้องไม่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของเขา
ใครจะไปคิดว่าหลังจากที่คนเฝ้าประตูเข้าไปแจ้ง เพียงชั่วประเดี๋ยวก็กลับมารายงาน
“คุณชายฉู่ ต้องขออภัยด้วยขอรับ วันนี้คุณหนูไม่ค่อยสบาย ออกไปข้างนอกไม่ได้ วันหลังคุณชายค่อยมาใหม่นะขอรับ”
ครั้นฉู่เหิงจือได้ฟังก็ตะลึง พยักหน้ายิ้มๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าค่อยมาเยี่ยมใหม่วันหลังแล้วกัน”
หลังจากกล่าวลาคนเฝ้าประตู ฉู่เหิงจือก็ขึ้นรถม้า พอรถม้าออกไปแล้วเขาจึงออกคำสั่งไปยังด้านนอก
“ฉู่ซั่น”
ฉู่ซั่นเป็นบ่าวคนสนิทของเขา ครั้นได้ยินคุณชายเรียกก็เดินขึ้นหน้ามาทันที
“ขอรับคุณชาย?”
“ไปสืบมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ขอรับ”
ฉู่ซั่นรับคำสั่งไปแล้วก็หายตัววับ ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็กลับมารายงาน
“คุณชาย แม่นางกวนหายตัวไปขอรับ จวนสกุลกวนกำลังอลหม่านไปด้วยเรื่องนี้”
ครั้นฉู่เหิงจือได้ยินก็ตะลึงโดยพลัน ก่อนจะเม้มริมฝีปากยิ้ม
ใช่สินะ ด้วยนิสัยอย่างนาง การกักบริเวณจะขังนางไว้ได้อย่างไร นางจะยอมอยู่แต่ในห้องนอนอย่างว่าง่ายหรือ
“ไปที่ประตูเมือง!”
ฉู่เหิงจือออกคำสั่ง รถม้ากลับลำทันที มุ่งหน้าไปสู่ถนนใหญ่เพื่อไปยังประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.