– บทที่ 2 –
“เดี๋ยวแบ่งกันเป็น 5 กลุ่มนะนิสิต กลุ่มละ 3 คน แล้วเราจะแบ่งงานกันทำ”
อาจารย์ธันยมนบอก ซึ่งการแบ่งกลุ่มก็ทำได้ไม่ยากนัก กลุ่มของนลินก็ได้แก่ นลิน ปาลิตา และวรัท
“เอานั่น พี่กานต์หัวหน้าศูนย์ฯ มาแล้ว อย่าทำมารยาทแย่ๆ ออกไปให้เสียชื่อคณะเสียชื่อมหาวิทยาลัยนะ”
อาจารย์สาวสำทับเฉพาะเจาะจงไปที่ใครบางคนซึ่งนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ หญิงสาวมองค้อนลูกศิษย์ที่ไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วย แล้วหันไปยิ้มรับชายวัยเลยสี่สิบมานิดๆ ที่เพิ่งเดินเข้ามา เขาส่งยิ้มทักทายนิสิตรุ่นน้อง
“สวัสดีน้องๆ เมื่อคืนนอนหลับกันดีหรือเปล่า”
เสียงตอบรับดังแข่งกัน กานต์ยิ้มรับ
“ปีนี้มากันเยอะดีนะ สงสัยจะมีงานมาให้ไม่พอซะแล้วสิ นี่แบ่งกลุ่มกันแล้วใช่มั้ย กลุ่มแรกก็ไปลอกเลนที่บ่อกุ้งนะ อาทิตย์หน้าจะลงกุ้ง แล้วอีกกลุ่มก็ให้อาหารปลากะพง ต้องไปเอาปลาเป็ดที่สะพานปลาแต่เช้า กลุ่มที่สามขัดอวน …อวนเรามีเยอะ แล้วเพรียงก็เกาะอยู่เพียบ ขัดเพลินแน่น้องๆ กลุ่มที่ 4 วิเคราะห์น้ำ ฝึกวิเคราะห์น้ำล่ะนะ วิเคราะห์น้ำในคลองด้านหลังศูนย์ฯ นั่นล่ะ ส่วนกลุ่มสุดท้ายสนุกหน่อย ออกไปที่กระชังเลี้ยงปลาในทะเล ใกล้ๆ กับเกาะหลักน่ะ เอาล่ะ ตกลงกันเองนะว่าจะอยู่กลุ่มอะไร เดี๋ยวอีก 10 นาทีพี่จะกลับมาเอาคำตอบ”
กานต์สั่งงานเสร็จก็เดินไปยังห้องทำงานที่อยู่ใกล้ๆ กับเรือนพัก โดยมีอาจารย์ธันยมนเดินตามไปด้วย ทิ้งให้เหล่านิสิตฝึกงานตกลงลำดับการทำงานกันเอง
ผลสรุปของการจับสลาก กลุ่มของนลินได้ไปยังกระชังปลาของศูนย์ฯ คนทั้งสามเดินไปหยิบเสื้อชูชีพ แล้วไปขึ้นรถของศูนย์ฯ ที่มีเจ้าหน้าที่รออยู่เรียบร้อยแล้ว
“มีใครเมาเรือหรือเปล่าน้อง”
พี่เจ้าหน้าที่ถามอย่างอารมณ์ดี นิสิตทั้งสามส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
“ไม่เลยค่ะพี่ ทุกคนคอแข็งมากเลยค่ะ ไม่เมาง่ายๆ แน่”
คำตอบของนลินเรียกเสียงหัวเราะจากพี่เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้เป็นอย่างดี
“งั้นก็กระโดดขึ้นรถเลย เราจะไปลงเรือในเขตของทหารนะ นั่งแล้วเกาะดีๆ ล่ะ พี่ชอบซิ่ง”
“ครับผม เหาะไปเลยพี่”
นิสิตหนุ่มสาวรับคำด้วยเสียงหัวเราะ รถแล่นออกอย่างรวดเร็วตามคำขู่
เรือลำเล็กวิ่งตัดคลื่นออกไปยังทะเลกว้าง เกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ไม่ห่างนัก หนุ่มสาวสามคนมองรอบข้างอย่างตื่นตาตื่นใจ
“พี่ นั่นอะไรน่ะ”
คนช่างซักสะกิดถามพี่คนขับเรือ ขณะที่เรือลำเล็กแล่นผ่านสิ่งก่อสร้างที่คล้ายห้องเล็กๆ แต่ตั้งสูงขึ้นไปจากพื้นน้ำทะเลค่อนข้างมาก และจากห้องนั้นก็มีท่อใหญ่ๆ ต่อลงมายังพื้นทะเลด้วย
“ส้วม ทำไมน้องปวดท้องหรือ ไม่ต้องห่วง ที่กระชังเรามีห้องน้ำ”
กล้า เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของศูนย์ฯ ตอบด้วยเสียงหัวเราะ นลินยิ้มแหยส่งมาให้ สงบปากสงบคำได้พักเดียว เรือก็จอดเทียบบ้านกลางน้ำที่สร้างเป็นเหมือนกระท่อมหลังเล็กๆ กลางทะเล วรัทก้าวขึ้นไปยืนก่อน แล้วทำเท่ยื่นมือมาหมายจะให้สาวๆ จับพยุงตัวขึ้น หากสองสาวก็เมินมือเขาอย่างไม่ไยดี กระโดดขึ้นจากเรือเองอย่างคล่องแคล่ว วรัทก้มมองมือตัวเองแล้วยักไหล่ ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย หันมองเพื่อนๆ นลินก็โลดแล่นไปยังสะพานแคบๆ ที่ต่อยื่นออกไปจากตัวบ้าน ข้างๆ สะพานมีตาข่ายสีเขียวที่ถูกเย็บเป็นกระชังขนาดใหญ่สำหรับเลี้ยงปลาแขวนอยู่หลายกระชัง นลินลงไปทรุดนั่งอยู่บนสะพานไม้ ก้มหน้าลงมองพื้นน้ำสีเขียวเข้มจนตัวเกือบจะตกลงไปในน้ำทะเล
“กระชังนี้เลี้ยงปลาอะไรคะพี่”
เธอเงยหน้าขึ้นถามเจ้าหน้าที่บนกระชังที่เดินเข้ามาหวังจะต่อว่าสาวน้อย ที่อยู่ๆ ก็วิ่งมาเล่นเสียแล้ว หากพอเห็นรอยยิ้มสดใสของเด็กสาว ก็เผลอยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“กระชังนี้เลี้ยงปลาเก๋าน้อง เดี๋ยวอย่าเพิ่งซักอะไรต่อ ไปรวมกลุ่มตรงโน้นก่อน พี่จะได้แนะนำงาน”
เทพ เจ้าหน้าที่อีกคนรีบขัดคอ เมื่อเห็นสาวน้อยยังมีคำถามมาเตรียมรออยู่อีกมากมาย นลินยิ้มเขิน ยอมเดินตามพี่เจ้าหน้าที่กลับไปยังส่วนบัญชาการของกระชังปลาแต่โดยดี
“งานหลักก็ให้อาหารปลาในกระชังนะน้อง เตรียมอาหารก่อนเลย โน่น เอาปลาเป็ดนั่นมาหั่น”
เทพชี้ไปยังกองปลาหลังเขียวที่ถูกแช่เย็นจนแข็ง ซึ่งเป็นปลาที่พวกเธอแบกมาจากศูนย์ฯ นั่นเอง ปลาเป็ดที่เอ่ยถึงก็คือปลาหลากชนิดที่ไม่ได้ขนาดตามตลาดต้องการ แต่ดันติดขึ้นมากับอวนลากของชาวประมง ซึ่งปลาเหล่านี้โดยมากจะนำไปเป็นอาหารเป็ดอาหารไก่ ก็เลยถูกเรียกรวมๆ ว่าปลาเป็ดปลาไก่ แต่ก็มีบางทีเช่นกัน ที่จะถูกนำไปเข้าโรงงานทำเป็นลูกชิ้นปลาออกมาขาย
“หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นะน้อง เสร็จแล้วก็เอาไปชั่ง ไปดูในสมุดที่เขาจดไว้นั่นล่ะ ว่ากระชังหนึ่งให้ปลากี่โล อ้อ ต้องดูด้วยนะว่ากระชังไหนให้ปลาเป็ด กระชังไหนให้อาหารเม็ด”
“ทำการทดลองอยู่หรือคะ”
ปาลิตาถามอย่างสนใจ เทพพยักหน้ารับ
“ดูการเจริญเติบโตน่ะ ดูว่าอันไหนมันทำให้ปลาเจริญเติบโตดี เขาเรียกว่าอะไรน้า…”
“อัตราแลกเนื้อค่ะ” นลินช่วยตอบ
“นั่นล่ะ ไปแยกย้ายกันทำงานได้ มีอะไรก็ถามพี่หรือถามกล้าก็ได้นะ”
“ครับผม”
ทั้งสามคนตอบรับพร้อมเพรียง เทพเดินเข้าไปนอนฟังเพลงต่อในห้องห้องเดียวของกระท่อมกลางทะเลนี้ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นห้องสารพัดประโยชน์ก็ว่าได้ เพราะเป็นตั้งแต่ห้องครัวจนถึงห้องนอน
วรัทรับหน้าที่เป็นมือมีดหั่นปลา ส่วนนลินรับหน้าที่เป็นคนแกะปลามาวางเรียงให้เพื่อนหั่น ปาลิตาเป็นคนรวบเอาเนื้อปลาที่ถูกหั่นแล้วใส่ถัง เตรียมจะยกไปให้เจ้าปลาตัวใหญ่ที่ว่ายรอในกระชัง ทั้งหมดทำงานด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้สนใจกับกลิ่นคาวของปลาที่ค่อนข้างแรงเลย
เลยเที่ยงไปเพียงนิดเดียว งานหลักบนกระชังก็เสร็จสิ้น พี่ๆ ที่กระชังหุงข้าวทำกับข้าวไว้รอนิสิตฝึกงานทั้งสามเรียบร้อย
“มีปลากะพงทอดด้วย ตัวเมื่อกี้หรือเปล่าพี่ ที่มาว่ายๆ อยู่บนผิวน้ำน่ะค่ะ”
นลินถามหลังจากชะโงกหน้าดูกับข้าวที่วางเรียงหอมน่ากิน
“ตัวนั้นล่ะ ใกล้จะตายแล้ว เลยช่วยสงเคราะห์หน่อย”
กล้าตอบหน้าตาเฉย นลินทรุดลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นอย่างทะมัดทะแมง เพื่อนๆ พากันนั่งตาม เทพตักข้าวส่งให้น้องๆ
“แล้วนี่หอยแมลงภู่ที่กระชังนี้หรือครับ”
วรัทถามถึงหอยแมลงภู่ต้มหม้อใหญ่ เมื่อครู่ยังแอบไปยกพวงหอยที่ถูกผูกแขวนอยู่บนสะพานแคบนั่นดูด้วยความอยากกินกับนลินอยู่เลย พอมาถึงก็ได้กินสมใจ
“ก็นั่นล่ะ”
“เมื่อกี้เห็นเพรียงเกาะเยอะเหมือนกันนะคะ”
“ปีนี้เพรียงเยอะหน่อย หอยเลยไม่ค่อยโต แต่ปกติเพรียงไม่เยอะอย่างนี้หรอกนะ”
เทพเล่าอย่างอารมณ์ดี แล้วเริ่มลงมือกินข้าวกลางวัน โดยมีเด็กๆ ร่วมวงด้วยอย่างไม่เคอะเขิน
“ปกติพี่นอนค้างที่นี่ทุกวันหรือคะ”
“ไม่หรอก ผลัดกันแล้วแต่ใครเป็นเวร”
“แล้วหน้าพายุต้องนอนเฝ้ามั้ยพี่” นลินถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้อง พายุมาก็หลบขึ้นฝั่งหมด”
“อ้าว… แล้วพวกปลาพวกหอยล่ะพี่”
“ก็ต้องปล่อยน่ะสิ หน้าพายุออกเรือยังไม่ได้เลยน้อง”
“แล้วไม่มีใครมาขโมยหรือพี่”
“โดยปกติไม่มีนะ”
“แล้วโดยไม่ปกติล่ะพี่”
ตัวเจ้าปัญหาก็ยังหาปัญหามาถามจนได้ เทพหัวเราะ
“ถ้าโดยปกติไม่มี โดยไม่ปกติก็ต้องมีสิ”
นลินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลังจากอาหารมื้อนั้น นิสิตทั้งสามก็อุทิศตัวช่วยล้างถ้วยล้างชาม ซึ่งวิธีการล้างก็ไม่ยากเท่าไหร่นัก นอกเสียจากว่าน้ำจืดมีน้อยต้องขนมาจากบนฝั่ง เลยต้องล้างขั้นแรกและขั้นที่สองในน้ำทะเล แล้วขั้นสุดท้ายค่อยใช้น้ำเปล่าล้างกลั้วอีกที
“เดี๋ยวทำอะไรต่อพี่”
วรัทถามเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไม่ว่าจะล้างถังใส่ปลาหรือเก็บกวาดต่างๆ เทพมองหน้าน้องๆ แล้วยิ้ม
“นอน”
“อะไรนะพี่” นลินอุทานอย่างแปลกใจ
“ก็นอนกลางวันไง พักผ่อน งานบนกระชังมีเท่านี้ล่ะ นอนพักหรือจะนั่งเล่นก็ตามใจ แล้วก็รอเวลากลับเท่านั้นเอง”
กล้าช่วยขยายความ หนุ่มสาวหันมองหน้ากันก่อนยิ้มออกมาอย่างยินดี แล้วเดินไปนั่งห้อยเท้าลงไปในน้ำทะเลเล่นอย่างร่าเริง เทพมองแล้วส่ายหัวยิ้มๆ
“อย่าไปนั่งห้อยเท้าอย่างนั้นในกระชังนอกสุดโน่นล่ะ” กล้าตะโกนเตือน
“ทำไมล่ะพี่”
“ก็กระชังโน้นมันมีฉลามอยู่น่ะสิน้อง”
พี่ตอบพร้อมเสียงหัวเราะ มองหน้าแหยๆ ของทั้งสามคนแล้วก็อดขำไม่ได้
พื้นน้ำสีเขียวที่อาจจะไม่สวยเท่าพื้นน้ำทะเลทางฝั่งอันดามันใสกระจ่าง ปลาหลากสีว่ายเข้าหาร่มเงาของตัวบ้าน วรัทล้มตัวลงนอนหลบเงาแดดที่แผดแสงกล้าอย่างแสนสุข ปาลิตานั่งมองฟ้ามองน้ำมองทะเลมองปลาด้วยความเพลิดเพลิน ส่วนนลินก็นั่งเตะเท้าในน้ำทำลายความสงบเพื่อน สายตาก็มองสอดส่องไปยังกระชังอื่นๆ ที่อยู่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก เรือลำเล็กๆ กำลังแล่นตรงไปจอดที่กระชังฟากโน้น คนขับเรือหน้าคุ้นตา เธอเขม้นมอง ก่อนจะหันมาสะกิดถามเพื่อน
“นั่นพี่เมฆใช่มั้ยตา”
ปาลิตาหันมองตามมือที่เพื่อนชี้ ชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำจัดกำลังขับเรือที่มีคนโดยสารเป็นชายหนุ่มอีก 2 คนเข้าจอดเทียบที่กระชังใหญ่ตรงโน้น
“อือ ใช่”
สิ้นคำเพื่อน นลินก็ลุกพรวดขึ้นโบกมือโวยวายเรียกรุ่นพี่ทันที
“พี่เมฆ พี่เมฆ พี่เมฆสุดหล่อ”
เพราะคำสุดท้ายนั่นล่ะมั้ง ที่ทำให้คนขับเรือหันมามอง ชายหนุ่มป้องตามองหน้าคนเรียก แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล หากเพราะเสียงเรียกและท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาว ก็ทำให้ชายหนุ่มเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร
“ไอ้ลินหรือวะนั่น เฮ้ย รอเดี๋ยว เดี๋ยวจะรีบแจวไป”
เขาตะโกนตอบกลับมา แล้วเบนหัวเรือจอดเทียบกระชังใหญ่ให้คนบนเรือก้าวขึ้นไปก่อน แล้วถึงค่อยติดเครื่องเรือพุ่งตรงเข้ามาจอดอย่างเร็วที่กระชังนี้ แรงจอดทำเอาคนหลับสบายสะดุ้งตื่นแทบตกจากกระชัง วรัทลืมตามองอย่างงงๆ
“จะพังกระชังหรือไง เมฆ”
เสียงเทพดังมาจากในตัวกระท่อม เมฆหัวเราะเบาๆ
“โทษทีพี่ เครื่องมันแรงครับ พี่เทพยืมตัวน้องๆ หน่อยนะ”
เขาเอ่ยขออนุญาต
“เอาไปเหอะ พาไปดูงานหอยมุกก็ได้ ดีกว่านอนอยู่เฉยๆ”
เสียงยังดังตอบมาจากข้างใน เมฆหันมายักคิ้วให้น้องๆ กวักมือเพียงนิดเดียว คนทั้งสามก็กระโดดลงเรือไปเรียบร้อย
“ที่นี่ของบริษัทพี่หรือพี่เมฆ”
วรัทถามเมื่อลงจากเรือขึ้นมายังกระชังใหญ่ที่ดูหรูหราผิดกับกระชังของศูนย์ฯ เรียบร้อยแล้ว เมฆพยักหน้ารับอย่างอวดๆ
“นี่แค่ส่วนหนึ่ง ยังอยู่ระหว่างการทดลองนะ แต่ที่ทำงานจริงๆ อยู่ที่เกาะโน่น”
เขาชี้มือตรงไปยังเกาะเล็กๆ ที่เห็นอยู่ไกลลิบเบื้องหน้า
“แล้วทำไมพี่มาทำอยู่นี่ล่ะ อ๊ะๆๆ ถูกเขาเนรเทศมาใช่มั้ยล่า”
นลินทำหน้ารู้ทัน เดินตามสะพานแคบๆ เหมือนที่กระชังโน้น ตรงไปยังห้องบัญชาการที่เหมือนจะเป็นห้องบัญชาการจริงๆ เพราะมีประตูหน้าต่างมิดชิด
“อย่ามาทำรู้ดีเลยเอ็ง ข้าน่ะลูกน้องคนโปรดของนายหัวเลยนะเว้ย”
เมฆพูดอย่างยืดๆ นลินย่นจมูกล้อเลียน ก็รู้อยู่ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นคนจริงเอางานเอาการแค่ไหน แต่ก็อดแกล้งพูดแซวไม่ได้
“โอ้โห มีนายหัวซะด้วย ยังกะในหนังสือนิยายแน่ะพี่ แล้วเป็นไงนายหัวนี่แก่มากมั้ย สงสัยจะแก่แหงแซะเลย แก่ๆ ตัวดำๆ หนวดเคราครึ้มๆ แล้วก็ต้องดุชะมัดเลยใช่ม้าพี่เมฆ”
“บรรยายมาเกือบถูกเลยน้อง”
เสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตอบมาแทนเมฆที่ยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ นลินหันมอง พี่คนขับรถที่เจอเมื่อวานยืนหัวเราะรับสายลมแสงแดดอยู่ ข้างกันนั้นยังคงเป็นชายหนุ่มตัวสูงที่เมื่อวานใส่แว่นดำอย่างไรวันนี้ก็ยังใส่แว่นดำอย่างนั้นอยู่ นลิน ปาลิตา วรัทหันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“พี่ใจดีมาอยู่นี่ได้ไงน่ะ”
แล้วก็นลินอีกนั่นล่ะที่หลุดปากออกมา พี่ใจดีหัวเราะเก่ง หัวเราะอีกแล้ว ในขณะที่คนที่ยืนข้างๆ ยังทำหน้าเฉย
“นั่งเรือมากับนายเมฆเมื่อกี้ไง ไงเมฆ แนะนำน้องๆ ให้รู้จักหน่อยสิ”
เขาหันหารุ่นน้อง เมฆยิ้มแหยมองคนตัวโตที่ยืนเฉยอย่างเกรงๆ ก่อนจะเอ่ยแนะนำเป็นรายตัว
“ผู้ชายอ้วนกลมนั่นชื่อวรัทครับ”
“รู้จักๆ กั๊ตจัง เคยเจอกันแล้วเนอะ” เขาพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่ได้ชื่อนั้นพี่ อย่าเรียกเลย ไอ้ลินเรียกคนเดียวก็แย่แล้วครับ”
วรัทแก้ตัวอุบอิบ ก่อนจะยกมือไหว้ทำความเคารพ
“ส่วนนี่น้องตาครับ ปาลิตา”
ปาลิตายิ้มยกมือไหว้ตามคำแนะนำ ส่วนนลินยืนยิ้มเผล่รอรับการแนะนำตัวอยู่แล้ว แต่เมฆแกล้งเฉยไม่แนะนำ
“พี่ ลินล่ะ แนะนำลินบ้างสิพี่” นลินสะกิดรุ่นพี่เบาๆ
“แนะนำเองโว้ย เอ็งกับข้าไม่เกี่ยวกัน”
เมฆตอบสะบัดๆ นลินมองหน้ารุ่นพี่งงๆ
“อ้าว…ไหงงั้นล่ะพี่ ไม่เป็นไรแนะนำเองก็ได้ ชื่อนลินค่ะ เรียกสั้นๆ ว่าลินก็ได้ค่ะ”
เธอแนะนำตัวหน้าเป็น ชายหนุ่มอารมณ์ดียิ้มตอบก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวบ้าง
“พี่ชื่อเภ…เภตรา เป็นรุ่นพี่พวกน้องๆ ซัก 6-7-8 ปีได้มั้ง เป็นผู้จัดการของฟาร์มหอยมุกนี่ล่ะ เรียกพี่เภก็ได้”
เภตราเอาศอกกระทุ้งเพื่อนที่ยืนนิ่งข้างๆ ชายหนุ่มในแว่นดำยังไม่ยอมแนะนำตัว เภตราเลยเอ่ยแนะนำให้เอง ด้วยรอยยิ้มที่มากเป็นพิเศษเมื่อมองหน้านลิน
“ส่วนเพื่อนพี่คนนี้ชื่อนภนต์ เรียกสั้นๆ ว่าพี่ภนต์หรือ…นายหัวก็ได้นะ”
ประโยคสุดท้ายทำเอานลินแทบจะพลัดตกกระชัง ถ้ามือใหญ่ๆ ของคนที่ยืนนิ่งไม่มาช่วยจับไว้
“ไอ้ลินทำใจดีๆ ไว้” เมฆกระซิบบอก
“นายหัวไม่ดุ…มากเท่าไหร่หรอก”
รุ่นพี่ช่วยปลอบ แต่ยิ่งปลอบก็ดูเหมือนจะทำให้นลินยิ่งขวัญเสีย เธอยกมือไหว้ทั้งจะขอโทษและขอบคุณชายหนุ่มคนนั้น
“นายหัว ลินขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจนินทาเลยนะคะ แต่…”
“มันอดไม่ได้”
วรัทต่อเบาๆ อย่างอดใจไม่ไหว นลินเหยียบเท้าเพื่อนเบาๆ เป็นเชิงปราม
“เงียบเลยกั๊ตจัง อย่าทำให้เรื่องเสีย”
เธอหันว่าเพื่อน ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่มอย่างประจบ
“ลินเผลอไปนิดเดียวเองนะคะ นายหัวอย่าโกรธเลยนะ นะ นะคะ”
เสียงหัวเราะดังมาเบาๆ จากชายหนุ่มที่ใส่แว่นดำ เภตราหันมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“เฮ้ย ไอ้เสือ หัวเราะเป็นด้วยหรือวะ”
นภนต์ยังไม่หยุดหัวเราะ เขาถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาสีดำสนิทฉายรอยรื่นรมย์
“ไม่โกรธ เราไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมาอยู่แล้ว”
คำพูดนั้นทำเอานลินสะดุ้ง ในขณะที่เพื่อนแอบหัวเราะขำ เภตรามองคนพูดอย่างแปลกใจ ไม่ค่อยได้เห็นอารมณ์แบบนี้ของเพื่อนเท่าไหร่นัก
“ใจเย็นนลิน ใจเย็น”
นลินพึมพำกับตัวเอง เภตรามองหน้าใสๆ ของสาวน้อยแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“บ่นพึมพำแช่งอะไรนายหัวหรือไงนลิน”
นลินเงยหน้าขึ้นยิ้มก่อนจะพูดลอดไรฟัน
“ลินไม่ได้แช่งค่ะ แค่…”
วรัทเอามือตะครุบปากเพื่อนไว้ทัน เขาส่งยิ้มแหยแสนแหยมาให้สองหนุ่ม นภนต์ยังขำไม่หาย เขามองหน้านลินไว้เหมือนจะจำให้ขึ้นใจ แล้วหันไปตะโกนเรียกคนงานข้างในกระชัง
“แท่ง เอาเรือออกไปส่งบนฝั่งหน่อย”
“อ้าว ไม่ให้ผมไปส่งหรือครับนายหัว”
เมฆท้วง นภนต์ปรายสายตาไปทางตัวแสบที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างเพื่อน
“ไปส่งน้องๆ เขาเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”
นายหัวบอกกลั้วหัวเราะ อารมณ์ดีกว่าที่เคย แล้วเดินไปลงเรือที่มีลูกน้องเอามาจอดรอไว้โดยไม่ได้สนใจใครอีก เภตราหันมาส่งยิ้มให้นลิน
“ถ้าเจอกันวันหน้าจะพาไปเลี้ยงข้าวนะนลิน”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็ที่ทำให้นายภนต์หัวเราะได้ไง”
ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินตามเพื่อนไป เรือเคลื่อนออกไปแล้ว นลินถึงได้ทรุดลงนั่งบนพื้นอย่างหมดแรง เมฆก้มมองรุ่นน้องด้วยดวงตาหัวเราะ
“หมดแรง หมดท่าเลยหรือไงไอ้ลิน”
“ไม่มีทางพี่ ไม่มีทาง”
นลินกัดฟันลุกยืน สูดลมหายใจเข้าลึก มาดยวนๆ กลับมาอีก
“พี่เมฆก็เหลือเกิน ไม่ยอมสะกิดลินบ้างเลย ว่ากำลังยืนนินทาเจ้าตัวเขาอยู่”
เธอต่อว่า เมฆหัวเราะเดินนำรุ่นน้องเข้าไปนั่งด้านใน
“ยังกับแกจะเปิดโอกาสให้ฉันสะกิดนี่ ช่างเถอะน่า บอกแล้วว่านายหัวไม่ดุเท่าไหร่ แต่แปลกใจเหมือนกันว่ะ ที่เห็นหัวเราะได้อย่างนั้น”
“ปกติหัวเราะไม่เป็นหรือพี่”
นลินถามอย่างแปลกใจ เมฆพยักหน้ารับ
“ไม่ค่อยหัวเราะ”
“อยู่กับแฟนก็ไม่หัวเราะหรือพี่” นลินยังไม่หมดข้อสงสัย
“เฮ้ย นายหัวยังไม่มีแฟน เอ๊ะ หรือว่ามีวะ มีคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยหัวเราะด้วยเท่าไหร่ ยิ้มมากกว่า”
เมฆเล่า นลินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะเลิกสนใจชายหนุ่มคนนั้น
“นั่นพี่เทพตะโกนเรียกให้กลับกระชังแล้ว”
วรัทร้องบอก ชี้มือให้ดูชายหนุ่มผิวคล้ำจัดที่ยืนโบกไม้โบกมืออยู่ที่กระชังโน้น
“งั้นก็กลับ”
เมฆบอก ลุกไปเตรียมเรือ นลินเดินตามอย่างอดเสียดายไม่ได้
“ยังไม่อยากกลับหรือไง ลิน”
วรัทถามเพื่อนสาว นลินพยักหน้ารับ หากก็เดินไปขึ้นเรือแต่โดยดี
“ก็ยังไม่เห็นหอยมุกเลยสักตัวนี่หว่า”
“ไว้มาฝึกงานที่ฟาร์มหอยมุกสิ แล้วจะเห็นจนเบื่อเลย”
เมฆบอก นลินแทบจะจับแขนรุ่นพี่เขย่า
“พี่เมฆทำเรื่องให้หน่อยสินะ แล้วยื่นไปให้อาจารย์ธัน ลินไม่อยากฝึกอยู่ที่นั่นแล้วล่ะ”
“ยังไม่เลิกทะเลาะกันอีกเหรอ เอ็งกับอาจารย์น่ะ”
เมฆถามอย่างแปลกใจ นลินย่นจมูก
“ลินออกจะพูดดีกับอาจารย์นะพี่ แต่อาจารย์น่ะสิ เขม่นลินตลอดเลย”
วรัทกับปาลิตาหันมองออกนอกเรือซ่อนรอยหัวเราะ เมฆส่ายหน้าขำๆ หากก็เอ่ยรับปากรุ่นน้องอย่างดี เพราะใจหนึ่งก็รู้ดีว่า อาจารย์สาวคนนั้นมีอคติกับนลินไม่น้อยเลยทีเดียว
“เออ แล้วพี่จะลองถามพี่เภดู”
นลินส่งยิ้มหวานมาให้อย่างขอบคุณ
“ลินจะรอนะพี่”
นลินและเพื่อนฝึกงานได้อีก 2 วันเท่านั้น เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีชาวบ้านคนหนึ่งที่อาศัยอยู่หลังศูนย์ฯ มาฟ้องอาจารย์ธันยมนว่า มีนิสิตหญิงที่มาฝึกงานปีนขึ้นไปเก็บมะพร้าวในเขตบ้านเขา หญิงสาวสั่งเรียกรวมนิสิตทุกคนด่วนทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา 4 โมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน
“สารภาพมาว่าใคร”
อาจารย์สาวถามเสียงห้วน คำถามนั้นเหมือนจะถามรวมนิสิตทั้งหมด หากสายตาจับผิดนั้นจ้องมายังสาวแสบแสนห้าวประจำรุ่น นลินก็มองสบตาหญิงสาวไม่หลบเหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
“คนทำผิดจะสารภาพมั้ย หรือว่าจะให้ระบุไปว่าใคร”
“อาจารย์คะ พวกเรายังมากันไม่ครบเลยนะคะ ยังขาดจิ ไตร แล้วก็เกศอีกสามคน”
กัญฑิตาบอกเบาๆ เนื่องด้วยสามคนนั้นเป็นกลุ่มที่ไปฝึกงานบนกระชังจึงยังไม่กลับมา
“ไม่ต้องรอหรอก สามคนนั้นไม่ได้อยู่ในข่าย จิกับไตรไม่ใช่นิสิตหญิง แล้วอย่างเกศก็ไม่มีทางไปปีนต้นมะพร้าวบ้านใครเขาได้ด้วย”
ธันยมนพูดเยาะๆ ตายังเหลือบมองหน้านิสิตที่คิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องอยู่ นลินอดรนทนกับสายตาที่มองมาไม่ได้นาน ก็ต้องเอ่ยปากพูด
“อาจารย์คิดว่าใครคะที่เป็นคนปีน ถ้าอาจารย์มีใครอยู่ในใจอยู่แล้ว ก็พูดออกมาเลยดีกว่าค่ะ”
“ฉันไม่อยากจะพูด อยากจะให้คนร้ายคนนั้นยอมรับออกมาเองมากกว่า หวังว่าคงไม่ใช่คนที่ทำความผิดแล้วไม่ยอมรับผิด”
น้ำเสียงนั้นแสนดูแคลน นลินสะบัดมือของปาลิตาที่จับไว้ออก แล้วก้าวเดินไปตรงหน้าอาจารย์สาว
“อาจารย์คิดว่าหนูทำหรือคะ” เธอโพล่งออกมา
“แล้วเธอคิดว่าภาคเธอจะมีนิสิตหญิงคนไหนกล้าปีนต้นมะพร้าวนอกจากเธออีกหรือเปล่าเล่า”
“ไม่ใช่หนู”
กว่าจะหลุดคำนั้นออกมาได้ นลินก็ต้องใช้เวลาสงบใจมากมายนัก หากทั้งสีหน้าทั้งดวงตาของอาจารย์สาว ก็ทำให้นลินหมดความอดทน
“อาจารย์ไม่ได้เชื่อหนูเลย”
“เธอมีเหตุผลอะไรมาแก้ตัว”
“เมื่อวาน กลุ่มผมไปเอาปลาที่สะพานปลาครับ”
วรัทลุกขึ้นยืนเคียงข้างเพื่อน ปาลิตาเลยลุกยืนเป็นพยานอีก หากธันยมนยังไม่เลิกปักใจ
“พวกเธอไม่ต้องมาแก้แทนเพื่อนเธอเลย นลิน ฉันดูเธอผิดไปจริงๆ นะ ไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนอย่างนี้ ทำผิดทำไมถึงไม่ยอมรับผิด”
“อาจารย์”
นลินผวาเข้ามาใกล้อาจารย์สาวอย่างสุดจะทน หากปาลิตาและเพื่อนผู้หญิงอีกคนช่วยกันจับไว้มั่น
“ใจเย็นลิน ใจเย็น”
ปาลิตาพยายามจะปลอบเพื่อน หากคำพูดของธันยมนก็ทำยิ่งทำให้นลินไม่อาจสงบใจได้
“เธอจะทำอะไรฉัน นลิน อยากจะถูกพักการเรียนหรือไง”
“อาจารย์ครับ”
วรัทก็ชักจะหมดความอดทนกับอาจารย์คนนี้แล้วเหมือนกัน
“ทำไมไม่ฟังเหตุผลลินมันบ้าง แล้วชาวบ้านคนนั้นเขาเห็นหรือครับ ว่าลินเป็นคนปีน ให้เขามาชี้ตัวคนผิดเลยก็ได้”
อาจารย์สาวถึงกับอึ้งไป เพราะที่ชาวบ้านคนนั้นมาฟ้องก็เพียงบอกว่าคนที่ไปขโมยมะพร้าวบ้านเขาเป็นนิสิตหญิงเท่านั้น แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ก็ได้ ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปตามเขามาชี้ตัวเธอ แม่ผู้ร้ายปากแข็ง”
ธันยมนบอกก่อนจะเดินไปยังบ้านของชาวบ้านคนนั้น เพื่อตามพยานมาชี้ตัวคนทำผิด
ไตรภพ จิรสิน และเกศแก้ว เดินลงจากรถตรงมาหากลุ่มเพื่อนๆ ที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่หน้าบ้านพักอย่างแปลกใจ
“มีอะไรกันน่ะ เรียกประชุมด่วนหรือไง”
เกศแก้วกระซิบถามเพื่อนเบาๆ ด้วยตอนนี้เหตุการณ์ดูอึมครึมชอบกล เหมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่กำลังจะระเบิดอยู่ตลอดเวลา ทิวา…หนึ่งในไม่ชายไม่หญิงของภาค หันมากระซิบบอกเพื่อน
“มันมีเรื่องน่ะสิเธอ อาจารย์เขามาหาตัวคนร้ายที่ไปปีนต้นมะพร้าวน้ำหอมของชาวบ้านเขา”
ไตรภพสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย นั่นมันข้านี่หว่า”
“อ้าว เอ็งเองเหรอตัวต้นเหตุ” วรัทคนหูไวได้ยินชัด หันมาอย่างหาเรื่อง
“เออ ข้าเอง ข้าขอแล้วน่ะเว้ย ก่อนจะปีนน่ะ”
ไตรภพโวยวายบอก
“ขอยังไงวะ”
“ก็ยกมือไหว้ขอไง”
“ไอ้เวร ยังงั้นเขาเรียกขโมยเว้ย”
วรัทว่าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ จิรสินส่ายหัวอย่างระอาไม่แพ้กัน เมื่อวานนี้เขาก็ปรามเพื่อนแล้ว หากไตรภพก็ห้าวและห่ามเกินกว่าจะกลัวความผิด อีกทั้งยังคิดว่าแค่ลูกสองลูกเท่านั้น เจ้าของน่าจะใจดียกให้ ไม่นึกว่าจะหวงจนมาฟ้องอาจารย์แบบนี้ จิรสินมองไปทางเพื่อนจอมห้าวประจำรุ่นที่นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ ปาลิตา แล้วอดถามอย่างห่วงใยไม่ได้
“ลินเป็นไรวะ หน้าอย่างกับอยากจะฆ่าใคร”
“ก็อยากจะฆ่าอาจารย์ธันน่ะสิ นั่นอาจารย์มาแล้ว ไตร เดี๋ยวนายไปบอกอาจารย์เลยนะว่านายเป็นคนปีนมะพร้าวต้นนั้น”
ปาลิตาว่า พยักหน้าไปทางอาจารย์สาวที่เดินนำชายชรามาด้วย ไตรภพยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าทำไมนลินถึงเข้ามาเกี่ยวด้วย
“แล้วไอ้ลินเป็นไร”
“ก็มันถูกหาว่าเป็นผู้ร้ายขโมยมะพร้าวน่ะสิ”
“อ้าว ไงงั้น”
“ก็เจ้าของบ้านเขาบอกว่าเป็นนิสิตหญิงที่ไปปีนมะพร้าวบ้านเขา”
ปาลิตาเล่า ก่อนจะเงียบเสียงลงเมื่ออาจารย์ธันยมนเดินหน้าเครียดเข้ามา ไตรภพเดินเข้าไปหาจะพูดด้วย หากเธอไม่ยอมฟัง
“เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวค่อยพูด ลุงบอกไปเลยซิว่านิสิตหญิงคนไหนไปปีนต้นมะพร้าวบ้านลุง”
ลุงผู้เสียหายยืนมองนิสิตหญิง 10 คนด้วยอาการลายตา ไม่อาจแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร จนอาจารย์ธันยมนทนไม่ไหวต้องชี้นำพยาน
“คนนั้นใช่มั้ยลุง”
เธอชี้มือไปยังนิสิตสาวที่นั่งตาขวางอยู่ข้างๆ เพื่อน ลุงเขม้นมองอยู่นานตามสายตาคนแก่ ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก คนที่ไปปีนมะพร้าวที่บ้านมันผมยาว”
วรัทผลักไตรภพมายืนตรงหน้าลุง
“คนนี้ใช่มั้ยลุง นี่ไงผมยาว”
เขาจับเพื่อนยืนหันหลังให้ลุงดู ไตรภพเป็นชายหนุ่มที่ชอบไว้ผมยาว เวลามองข้างหลังจะเห็นเพียงผมยาวสลวยสวยเป็นเงางาม ลุงพยักหน้ารับติดๆ กันเป็นการยืนยัน
“ใช่ๆ คนนี้ล่ะ แหม เอ็งนี่ผมยาวดีจัง นึกว่าผู้หญิง ไม่มีตังค์ตัดผมหรือไงวะ”
ลุงพูด ทำเอาอาจารย์ธันยมนหน้าเสีย ด้วยเพราะปักใจเชื่อไปร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มแล้วว่าคนร้ายคือนลิน
“ลุงผมขอโทษ เห็นมะพร้าวบ้านลุงมันเยอะ เลยขอปันมาแค่ลูกสองลูกเอง”
ไตรภพยกมือไหว้ขอโทษท่วมหัว ผู้เสียหายหัวเราะจนเห็นเหงือกแดง
“เออ ถ้าสำนึกผิดก็ไม่ว่าอะไรหรอกเว้ย แต่ทีหลังถ้าอยากกินก็ขอ อย่าขโมย แหมตอนแรกนึกว่าผู้หญิงที่ไหนมาปีนมะพร้าวบ้านลุง ใจหายหมด”
ลุงยังไม่วายบ่น แล้วเดินกลับบ้านไปง่ายๆ ไม่สนใจจะติดใจเอาความอีก ไตรภพยิ้มอย่างยินดี ที่เรื่องราวซึ่งคิดว่าจะเลวร้ายจบลงอย่างง่ายดายเกินคาด
“อย่าเพิ่งยิ้มนายไตรภพ เธอยังมีความผิดนะ”
เสียงเรียบเย็นของอาจารย์ธันยมนดังมา ไตรภพหัวหดหันมายิ้มแหยให้อาจารย์ ก่อนจะรับคำอ่อยๆ นลินเดินมาหยุดตรงหน้าอาจารย์สาว
“อาจารย์ต้องขอโทษหนู”
คำพูดนั้นทำเอาหลายคนหยุดชะงักอย่างตกใจ โดยเฉพาะอาจารย์ต้นเหตุ
“ทำไมฉันต้องขอโทษเธอ”
“หนูไม่ได้เป็นคนขโมย แต่อาจารย์ก็มากล่าวหาว่าหนูทำ อย่างนี้อาจารย์ไม่ผิดหรือคะ”
นลินถามเรียบๆ หากดวงตาเอาเรื่องจริง ปาลิตาพยายามจะห้ามเพื่อน แต่นลินไม่ได้ยินอะไรแล้ว
“เธอก็ทำตัวเองด้วยล่ะนลิน ถ้าเธอไม่เคยมีประวัติมาก่อน ฉันก็จะไม่คิดว่าเป็นเธอหรอก”
หญิงสาวบอกหน้าตาเฉย นลินหูอื้อตาลายเพราะความโกรธจนขาดความเกรงใจไปแล้ว
“ทำไมอาจารย์พูดหมาๆ อย่างงี้ล่ะ รู้อยู่ว่าไม่ใช่คนเรียบร้อย แต่คนเราก็ใช่ว่าจะเฮี้ยวจะแผลงได้ตลอดเวลานี่จารย์ แล้วคนอย่างนลินคนนี้นะจารย์ ถ้าทำผิดก็จะยอมรับว่าทำผิด แต่ถ้าไม่ผิดยังไงก็อย่าคิดจะมาโยนความผิดใส่กัน”
อาจารย์สาวหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัดกับคำพูดของลูกศิษย์ตัวดี ในขณะที่เพื่อนๆต่างยืนนิ่งอย่างตกตะลึงไปแล้ว
“นลิน เธอก้าวร้าวฉันมากไปแล้วนะ ฉันหักคะแนนความประพฤติเธอ ถ้าเธอไม่ขอโทษฉัน ฉันจะไม่ให้เธอผ่านฝึกงาน”
“อาจารย์!”
เสียงเพื่อนๆ อุทานอย่างตกใจ ส่วนนลินยังยืนนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ถ้าอาจารย์คิดว่าที่ทำถูก อยากจะทำก็ทำ แต่บอกแล้วว่า ถ้านลินคนนี้ไม่ผิดให้ตายก็ไม่ขอโทษเด็ดขาด”
เธอหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างมั่นใจในตัวเอง ปาลิตารีบวิ่งตาม ทิ้งให้อาจารย์ธันยมนมองตามอย่างโมโหสุดขีด
“ลิน แกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ”
ปาลิตาพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อน หากนลินยังลงมือเก็บของลงเป้อย่างไม่สนใจอะไร
“ลิน ถ้าแกไม่ผ่านฝึกงานคราวนี้ แกเรียนไม่จบนะเว้ย”
มือที่เก็บของอยู่หยุดชะงักไปเพียงนิด ก่อนจะทำต่ออย่างไม่รับรู้อะไร ปาลิตาคว้ามือเพื่อนไว้
“ลิน แค่ขอโทษเองนะ”
“เราไม่ผิดนะตา”
นลินเงยมองหน้าเพื่อน ปาลิตาเห็นชัด ดวงตาคู่สวยคลอด้วยหยาดน้ำตาอย่างอัดอั้น
“เราเข้าใจ ลิน เราเข้าใจ แต่เราเป็นเด็ก แล้วที่ลินพูดมันก็ก้าวร้าวไปนิด”
“แล้วที่อาจารย์พูดกับเราล่ะ ไม่ก้าวร้าวหรือไง”
เธอเถียง ปาลิตาพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ไม้อ่อนให้เพื่อนยอม
“อาจารย์เขาเป็นผู้ใหญ่นะลิน แกก็ต้องเข้าใจหน่อย แล้วเราเป็นเด็กเราก็ต้องยอมนิดหนึ่ง ไม่ได้หรือไงลิน”
นลินอึ้งไปนาน จนเพื่อนคิดว่าตัวเองเกลี้ยกล่อมสำเร็จ หากคำตอบจากปากเพื่อนก็ทำเอาปาลิตาแทบจะหมดแรง
“เราไม่ผิด เราจะไม่ขอโทษอย่างแน่นอน”
“ลิน ฉันอยากรับปริญญาพร้อมแกนะ”
นลินยิ้มออกมากับคำพูดเพื่อน
“อือ ฉันก็อยากรับปริญญาพร้อมแก แต่ยังไงถ้าช้าไปหน่อยก็อย่าว่ากันแล้วกันนะ”
“นลิน”
ปาลิตาอุทาน นลินยกเป้ที่เก็บของลงเรียบร้อยขึ้นสะพาย เตรียมจะกลับบ้านโดยไม่ได้สนใจเพื่อน หากยังไม่ทันก้าวพ้นห้องดี วรัทก็วิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน
“พี่กานต์ให้หาว่ะลิน วางของไว้ก่อน”
เขาบอก ปลดเป้เพื่อนส่งให้ปาลิตา แล้วลากมือนลินให้วิ่งตามไป
“พี่รู้เรื่องหมดแล้วนะนลิน”
กานต์บอกเสียงเรียบๆ อดมองหน้าเด็กสาวอย่างหนักใจไม่ได้ ไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่มาฝึกงานเลยสักครั้ง
“ใครเล่าให้ฟังล่ะคะ อาจารย์ธัน หรือว่าใคร”
กานต์ลอบถอนหายใจกับคำถามนั้น ก็เพราะแข็งอย่างนี้นี่เล่า ถึงได้ไม่ลงรอยกับอาจารย์คนนั้นถึงขนาดนี้
“จะใครก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพี่ไม่ฟังความข้างเดียวก็แล้วกัน นลิน…”
“คะ”
“ขอโทษอาจารย์เขาไม่ได้หรือ เราเป็นลูกศิษย์นะ”
กานต์เกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน นลินเงยมองอย่างเจ็บช้ำ
“แล้วอาจารย์เขาเคยมองว่าหนูเป็นลูกศิษย์หรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปกับคำถามนั้น
“เอาเถอะๆ พี่พอจะมีทางออกให้ ก็รู้อยู่ว่าตอนนี้นลินคงโกรธมาก เหมือนๆ กับที่อาจารย์เขาโกรธ”
เขาก้มมองหนังสือที่เพิ่งยื่นมาถึงเมื่อเช้าอย่างชั่งใจ ยังไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะงั้นจะลองเป็นคนแรกก็คงไม่เป็นไร
“พี่จะให้ลินไปฝึกงานที่อื่นก่อน ให้ครบกำหนด 1 เดือน ลินจะได้ชั่วโมงฝึกงานครบ แล้วพอฝึกงานเสร็จ พี่อยากให้นลินไปขอโทษอาจารย์ธันยมน พอถึงตอนนั้น อารมณ์ของทั้งนลินทั้งอาจารย์ก็คงจะเย็นลงแล้วใช่มั้ย พี่ช่วยนลินขนาดนี้ นลินคงไม่ปฏิเสธที่จะขอโทษอาจารย์”
นลินนิ่งไปอย่างใช้ความคิด เรื่องที่กานต์เสนอมาก็น่าสนใจไม่น้อย หากไม่จำเป็นเธอก็ไม่อยากจบช้าไปอีกครึ่งปีหรอก หากที่ให้ขอโทษทีหลังนี่สิน่าคิด
“มันไม่ยากเลยนะนลิน…เพราะงั้นพี่คิดว่าเธอคงทำได้”
“ฝึกงานที่ไหนหรือคะ”
เสียงที่ถามออกมาทำเอากานต์ยิ้มออก เพราะรู้ว่าข้อเสนอนี้ถูกยอมรับไปเกินกว่าครึ่งแล้ว
“ฟาร์มหอยมุก…”
เขาเอ่ยชื่อฟาร์มหอยมุกที่เมฆทำงานอยู่ออกมา นลินมองตาโตอย่างสนใจ
“พอดีทางนั้นเขายื่นเรื่องมา จะให้เราส่งนิสิตไปฝึกงานกับเขาได้ ก็ตรงกับเราพอดีเลย เอางี้แล้วกันนะนลิน พี่ว่ามันดีกับเธอมากเลย”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่กานต์”
นลินยกมือไหว้อย่างขอบคุณจริงๆ กานต์ยิ้มอย่างให้กำลังใจ
…ดูยังไงนลินก็ไม่ใช่เด็กก้าวร้าวมากมายอะไรอย่างที่อาจารย์ธันยมนเล่าให้ฟังสักนิด ถ้าหากอ่อนลงให้เด็กสาวคนนี้สักหน่อย เข้าใจเธอให้มากอีกนิด ทำไมจะเอานลินไว้ไม่อยู่เล่า
“พรุ่งนี้ออกไปพร้อมกับพวกที่ไปทำงานที่กระชังนะ แล้วเดี๋ยวเรือเขาจะส่งต่อไปที่กระชังของฟาร์มหอยมุกเอง”
“ค่ะ”
“เป็นไงบ้างวะลิน”
ปาลิตาถามเพื่อนอย่างห่วงใย หากก็พอจะโล่งอกได้เมื่อเห็นหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มของเพื่อน
“พรุ่งนี้เราได้ไปฝึกงานที่ฟาร์มมุกล่ะ”
แล้วเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนสนิททั้งสองฟัง
“แล้วแกไปฝึกคนเดียวหรือ”
วรัทถามขึ้น ทำนลินนึกได้
…จริงสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเธอต้องไปคนเดียว ต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางคนแปลกหน้า…ถ้าไม่รวมเมฆ
“ก็คงงั้นมั้ง”
“เดี๋ยวเราไปขอพี่กานต์ไปเป็นเพื่อนลิน”
“ข้าด้วย”
ทั้งปาลิตาทั้งวรัทต่างเสนอตัว หากก็ต้องรอคำอนุญาตจากกานต์และธันยมนอยู่ดี ซึ่งวันนี้ทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนหมดแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะไปขอพี่กานต์แต่เช้าเลย เราจะได้ไปด้วยกันไง”
วรัทให้กำลังใจเพื่อน นลินพยักหน้ารับ
…อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวล่ะนะ เธอยังมีเพื่อนที่ห่วงใยแล้วก็รู้ใจอยู่เคียงข้างอีกตั้งสองคน
– บทที่ 3 –
เรือลำเล็กวิ่งตัดคลื่นที่ค่อนข้างแรงกว่าทุกวัน เลยกระชังเล็กของศูนย์ฯ ไปยังกระชังใหญ่ของฟาร์มเอกชนโดยเร็ว เรือจอดนิ่งสนิท ร่างบางของหญิงสาวสองคนกับร่างท้วมของอีกหนึ่งหนุ่มกระโดดขึ้นจากเรือ ก่อนที่เรือลำนั้นจะแล่นวกกลับไปทางเดิม
“มาแล้วหรือวะไอ้ลิน”
เสียงเมฆร้องทักพร้อมรอยยิ้ม หลังจากทุกคนยกมือไหว้ทำความเคารพผู้อาวุโสกว่าเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้ลินทำไมใจร้อนจังวะ อยากทำงานที่ฟาร์มมุกมากหรือไง ถึงกับต้องก่อเรื่องขนาดนั้น”
เมฆแซวรุ่นน้อง นลินหันมาแยกเขี้ยวใส่ ไม่อยากจะเถียงอะไรให้มากความอีก เพราะเภตรายืนมองยิ้มๆ อยู่ไม่ไกล
“จะให้พวกตาทำอะไรคะพี่ บอกได้เลยนะ”
ปาลิตาถาม นลินพยักหน้ารับหนักแน่น
“สั่งได้เลยพี่ แรงงานมารออยู่แล้ว”
“อืม ให้ทำอะไรดีน้า…” เภตราแกล้งทำหน้าคิด
“แต่พี่ว่างานบนกระชังมันเต็มหมดแล้วนะ สงสัยต้องส่งกลับไปที่ศูนย์ฯ ซะละมั้ง”
“โห พี่ใจดี อย่าส่งลินกลับเลยนะพี่ จะให้ลินทำอะไรบอกเลยค่ะ ขอให้บอก ให้ดำน้ำขัดกระชังก็ได้ นลินคนนี้ทำได้”
นลินรีบเสนอตัว ถ้าให้กลับไปที่ศูนย์ฯ ตอนนี้ มีหวังได้ถูกเพื่อนๆ หัวเราะเยาะแน่ เภตรามองสีหน้ากระตือรือร้นของสาวน้อยแล้วหัวเราะอย่างขบขัน
“แต่พี่พูดจริงๆ นะ งานบนกระชังนี่ก็เต็มแล้วล่ะ อีกอย่างที่พักก็ไม่มี”
เขาพูดไปก็กลั้นหัวเราะไปด้วย เมื่อหนุ่มสาวสามคนชักหน้าเสีย
“เอาเป็นว่าวันนี้จะมีเรือกลับขึ้นเกาะ แล้วเรือมันก็มีที่ว่างพอสำหรับแรงงานสามคนซะด้วย ว่าไงพวกเรา อยากจะไปมั้ย”
“ไปครับ”
“ไปค่ะ”
ทั้งสามคนประสานเสียงตอบอย่างพร้อมเพรียง เภตรายิ้มกว้างอย่างพอใจ
เรือเร็ววิ่งกระแทกคลื่นตัดตรงไปยังเกาะเล็กๆ เบื้องหน้า คนขับเรือเหลือบมองนิสิตหนุ่มสาวสามคนที่นั่งหาที่ยึดเกาะมั่นอย่างอดขำไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เรือเร็ววิ่งตัดคลื่น คนนั้นก็กระดอนไปชนคนนี้ คนนี้ก็กระเด็นไปชนคนนั้นอย่างน่าขำ ผิดกับเภตราที่นั่งขัดสมาธินิ่งอยู่ที่หัวเรือ ตามองตรงไปเบื้องหน้า ไม่สนใจแรงกระแทกของเรือเลย เภตราหันมองคนงานใหม่ทั้งสามด้วยรอยยิ้ม
“เกาะดีๆ เน้อ ถ้าตกไปไม่วนเรือกลับมารับหรอกนะ”
เขาตะโกนแข่งเสียงเรือเสียงคลื่นบอก วรัทพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวโตๆ ของตัวเองให้อยู่นิ่งโดยการเกาะเหล็กขอบเรือไว้มั่น นลินเองก็เหมือนกัน หากยังไม่วายจะเอ่ยปากต่อคำ
“ไส้จะไหลออกจากปากอยู่แล้วพี่ ขับเรืออย่างนี้แกล้งกันหรือเปล่านี่”
เภตราระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“หาความลุงบินนะนั่นสปีดโบ้ทมันก็งี้ล่ะน้อง จะให้วิ่งเรียบเหมือนเรือสำราญหรือไง”
วรัทพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แต่ไม่ยอมอ้าปากสนับสนุนเพราะกลัวจะเสียสมดุล
เพียงยี่สิบนาทีจากกระชังริมฝั่ง เรือก็มาจอดเทียบท่าบนเกาะเล็กซึ่งเป็นที่ตั้งของฟาร์มหอยมุก เภตรากระโดดลงมาผูกเรือ ก่อนจะหันไปยื่นมือรอรับร่างบางที่เหมือนจะหมดแรงของรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม
“ไงเรา หมดฤทธิ์เลยหรือไง”
เขาอดแซวไม่ได้ นลินส่ายหัว ยังปากแข็ง ทั้งๆ ที่พื้นเริ่มจะหมุน
“ไม่มีทางพี่ ไม่มีทาง คนอย่างนลินคนนี้ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้นหรอก”
เธอบอก ปฏิเสธมือที่ยื่นมาพยุงของเภตรา แล้วฝืนยืนตรงอย่างเข้มแข็ง ส่วนปาลิตาลงมายืนมองรอบๆ อย่างสบายๆ ไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่วรัทลงจากเรือมาได้ ก็ต้องทรุดลงนั่งบนท่าเรืออย่างเรียกกำลังกายและกำลังใจให้กลับมา
“ไป เดินเข้าที่พักกัน โทรมาให้คนที่นี่เขาจัดที่พักไว้ให้แล้ว”
เภตราบอก วรัทพยุงตัวลุกยืนแล้วหยิบเป้มาสะพาย นลินที่อาการดีขึ้นก็สูดอากาศเข้าเต็มปอดอย่างอารมณ์ดี ผิดกับตอนที่อยู่บนฝั่งลิบลับ
นลินเขม้นมองร่างสูงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างสนใจ เภตราที่หันไปเห็นพอดีจึงเอ่ยบอก
“นั่น นายเตมาพอดี เดี๋ยวให้เตมันนำทางไปดีกว่า จริงสิ เตมันก็เรียนที่คณะเดียวกับพวกเรานี่นะ รู้จักกันหรือเปล่า”
ร่างสูงของคนมาใหม่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เด็กหนุ่มผิวคล้ำหน้าคม มีรอยยิ้มกว้างแต่งแต้ม ยามเมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็ยกมือไหว้กราดทุกคน
“หวัดดีครับน้าเภ หวัดดีครับพี่วรัท พี่ลิน พี่ตา”
“ไอ้เตเหรอนี่”
วรัทร้องทักอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่าจะได้เห็นเด็กรุ่นน้องคนนี้ที่นี่
“มาฝึกงานเหมือนพี่ๆ ล่ะครับ”
เตชัสบอกพร้อมรอยยิ้มสดใส
“หลานพี่เอง เป็นลูกของพี่สาวพี่ ตกลงรู้จักกันใช่มั้ย”
“เฟรชชี่ลินเองค่ะพี่ นายเตนี่สนิทกันเนอะ ตา”
นลินหันมาพยักพเยิดกับเพื่อน แล้วอดไม่ได้ที่จะหลิ่วตาให้อย่างรู้ความนัยของหัวใจเพื่อนดี ปาลิตามองค้อน ไม่กล้ามองหน้ารุ่นน้องตรงๆ
“เดี๋ยวผมพาพี่ๆ เขาไปบ้านพักเองครับ น้าเภ”
เตชัสอาสา เภตราพยักหน้ารับ
“เอาของไปเก็บแล้วเดี๋ยวมากินข้าวเย็นกันนะ วันนี้นายหัวก็อยู่ด้วยนะนลิน”
เขาสั่ง ยังอดไม่ได้ที่จะยั่วนลิน เขาหัวเราะลั่นเมื่อเห็นหน้าปั้นยากของหญิงสาว เภตราส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านหันหน้าสู่ทะเลที่อยู่ไม่ไกลนัก
เตชัสเดินนำกลุ่มคนทั้งหมดไปทางด้านขวาของเกาะที่มีบ้านพักหลังเล็กตั้งเรียงรายอยู่หลายหลังริมชายหาด
“เอ็งรู้ว่าพวกข้าจะมาหรือวะ”
วรัทถามรุ่นน้องเมื่อได้อยู่กันลำพัง
“ครับ รู้เมื่อคืน น้าภนต์บอก แต่ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าพี่วรัทกับพี่ตาจะมาด้วย นึกว่าพี่ลินจะมาคนเดียว”
“จะปล่อยให้ฉันมาคนเดียวได้ไงนายเต ฉันออกจะสวยขนาดนี้ มาคนเดียวก็อันตรายแย่สิ”
นลินว่า วรัทแกล้งทำเสียงอ้วกอย่างอดไม่ได้ ในขณะที่เตชัสลอบยิ้ม
“ทำไมไม่คุยกับเพื่อนพี่เลย เต”
นลินอดปากพูดไม่ได้ เตชัสเหลือบมองหน้าสาวน้อยที่เดินตามมาเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยทักขึ้น
“นั่งเรือเป็นไงครับพี่ตา เมาเรือหรือเปล่า”
ปาลิตาส่ายหน้าเป็นคำตอบ นลินกับวรัทหันมองตากัน ก่อนจะเบะปากไม่พอใจ
…ปาลิตา สาวสวยประจำรุ่น ทั้งๆ ที่มีหนุ่มในรุ่นตามจีบมากมาย หากสาวเจ้าก็ไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยมีใครอยู่ในสายตา หากแล้วก็เหมือนกับถูกหนุ่มๆ ที่เธอไม่ตอบรับรักสาป เมื่อเธอกลับมาหลงรักเด็กรุ่นน้องที่อ่อนกว่าถึง 4 ปี เป็นเฟรชชี่หน้าใสที่ไม่เคยมองว่าซีเนียร์เป็นอะไรไปได้นอกจากรุ่นพี่
“น้าภนต์สั่งให้เปิดบ้านให้พี่ๆ หลังหนึ่งนะครับ หลังนั้นล่ะ”
เขาชี้มือไปยังบ้านหลังเล็กทาสีเขียวอ่อนสดใสที่แยกห่างออกมาจากบ้านหลังอื่นๆ และดูเป็นส่วนตัว ทั้งยังตั้งอยู่ติดกับทะเล เรียกได้ว่าเปิดประตูออกมาก็เจอกับท้องทะเลสีครามเลย
“สวยจังเนอะลิน”
ปาลิตาพูดออกมาเป็นคำแรก นลินพยักหน้ารับ มองภาพบ้านพักตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“นายหัวนี่ก็ใจดีเหมือนกันนะ”
นลินพูดอย่างพอใจ เตชัสหัวเราะเบาๆ
“น้าภนต์ใจดีครับ แต่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ นี่กุญแจครับ”
เขาส่งกุญแจให้วรัท
“เอาของเข้าไปเก็บแล้วเดินไปทานข้าวที่บ้านใหญ่นะครับ ต้องให้ผมรอมั้ย”
“ไม่ต้องหรอกเว้ย ไม่หลงทางหรอก เอ็งจะไปไหนก็ไป”
วรัทบอกอย่างอารมณ์ดีด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนยามอยู่มหาวิทยาลัย นลินหันมองหน้าเพื่อน
“กั๊ตจัง แกพูดอย่างนี้กับหลานผู้จัดการฟาร์มได้ไงฮะ เดี๋ยวก็ถูกจับโยนทะเลหรอก”
วรัทแกล้งทำหน้าตกใจ
“โอ๊ย… ขอโทษครับคุณเตชัส ผมผิดไปแล้วครับ คราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้วครับ”
“ไม่ต้องเลยพี่ ไม่ต้องเลย”
เตชัสร้องขัดด้วยเสียงหัวเราะ ดวงหน้าคมยามยิ้มยามหัวเราะยิ่งน่าดู ทว่าพอสายตาเลือนสบกับดวงตาคู่สวยของคนที่ชอบแอบมองเขา เสียงหัวเราะพลันจางหายไป ทำให้เจ้าของดวงตาคู่สวยรู้ตัวรีบหลบสายตา ปาลิตาเสดึงกุญแจจากมือเพื่อนแล้วเดินไปยังตัวบ้านทันที เตชัสมองตามแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยลา
“ผมไปก่อนนะพี่ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านใหญ่นะครับ”
วรัทกับนลินหันมองหน้ากันอีกรอบ อยากจะช่วยสนับสนุนความรักของเพื่อน หากก็รู้ดีว่าเตชัยไม่เคยมองเพื่อนเธอมากไปกว่ารุ่นพี่เลยสักนิดเดียว
แสงอาทิตย์เริ่มจางหายไปจากขอบฟ้า เมื่อตะวันดวงโตจมหายไปใต้น้ำ บ้านหลังใหญ่สีขาวกระจ่างตั้งตระหง่านรับคลื่นลมอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของพนักงานเท่าไหร่นัก คนมาใหม่ทั้งสามเดินมาตามทางที่โรยด้วยกรวดใสก้อนเล็กๆ ข้างทางเต็มไปด้วยไม้ดอกหอมที่ปลูกอยู่เรียงราย
“ดอกอะไรตา หอมจัง”
“ดอกแก้ว”
“อ้อ ดอกแก้วที่เขาเอาใบมันไปติดบนลูกชุบใช่มั้ย”
นลินพยักหน้ารับเข้าใจ วรัทอดแขวะอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดูไม่ได้
“รู้จักแต่เรื่องกินอย่างเดียวนี่ละนะ”
“ก็งั้นสิ”
นลินตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ตาจับจ้องบ้านหลังใหญ่แสนสวยในความรู้สึก บ้านหลังใหญ่หากเงียบสงัดดุจไร้ผู้คนอยู่อาศัย
“บ้านนายหัวใหญ่จังเนอะ เลี้ยงหอยมุกนี่มันให้เงินดีขนาดนี้เลยหรือไงนะ หรือว่านายหัวจะขายของเถื่อนฮะ ตา ว่าไง”
“ลิน!”
เสียงปาลิตากับวรัทอุทานออกมาอย่างตกใจ หากนลินยังคงวิจารณ์เพลินอย่างสนุกปาก
“แบบพวกขายน้ำมันเถื่อนไง หรือไม่ก็ขนของเถื่อน อยู่เกาะอย่างนี้สบายออกเนอะ”
“ขอโทษนะ บังเอิญรวยมาตั้งแต่เกิดน่ะครับ ก็เลยไม่เคยขายของเถื่อนหรือขนของเถื่อน”
เสียงทุ้มบอกเรียบๆ ร่างสูงปรากฏตัวออกมาจากซุ้มหิรัญญิการ์ที่หนาทึบพอจะบังคนตัวใหญ่ได้เกือบมิด นลินสะดุ้งเฮือก หากยังฝืนตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ในขณะที่ปาลิตากับวรัทเริ่มจะปลงตกกับชีวิตตัวเองแล้ว ถ้านภนต์จะโกรธหรือเกลียดขี้หน้าพวกเธอมันก็ไม่แปลกเลยจริงๆ
“นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว ผมยังมีบ้านที่กรุงเทพฯ อีกนะ บ้านพักตากอากาศที่เชียงใหม่ก็มี พัทยา ระยอง ภูเก็ต ตรัง ขอนแก่น อืม มีที่ไหนอีกนะ”
“มีเครื่องบินเจ็ทเครื่องบินส่วนตัวหรือเปล่าคะ แล้วเรือรบมีมั้ยคะ เรือดำน้ำล่ะ”
นลินถามรัวเป็นชุด กลบความเขินของตัวเองที่ถูกจับได้ว่ากำลังนินทาเขาอยู่ นภนต์เหมือนจะอึ้งไปนิด ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เรียกให้เภตรากับเตชัสโผล่หน้าออกมาดูจากตัวบ้าน
“เจ็ทส่วนตัวไม่มี ทำได้แต่เช่ารายปีเพราะขี้เกียจซ่อมบำรุง เรือรบเรือดำน้ำไม่มี ไม่ได้จะไปสู้กับใคร มีแต่เรือยอร์ชสองลำ กับว่าจะซื้อเพิ่มอีกสักลำ ไม่นับรวมพวกสปีดโบ้ท เจ็ทสกี รถสปอร์ต แล้วก็อะไรพวกนั้นที่ขี้เกียจนับด้วย เป็นไง รวยแบบนี้ถ้าไม่รวยมาตั้งแต่เกิด ต่อให้ขายของเถื่อน ขนของหนีภาษีก็หาได้ไม่ทันหรอกนะ”
นภนต์ร่ายยาวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นลินมองหน้าคมที่สดใสไปด้วยรอยยิ้ม แล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ เธอยกมือขึ้นไหว้ขอโทษชายหนุ่ม
“ลินปากไม่ดีอีกแล้ว นายหัวอย่าโกรธลินนะ”
“ใช่ครับ ปากมันไม่ดีมาตั้งแต่เกิดครับ ตอนเกิดมาแม่มันก็แทบจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่ยังเด็กแล้วล่ะครับ”
วรัทพูดสนับสนุนคำเพื่อน หากแทนที่นลินจะดีใจ กลับกระทืบเท้าคนปากมากสุดแรงจนวรัทต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“เจ็บเว้ย ไอ้ลิน ทำข้าทำไมวะ”
“พูดมาก”
“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน”
เภตราเดินเข้ามาเป็นกรรมการห้ามมวย เหลือบมองหน้าเพื่อนอย่างจับสังเกต เพราะหน้าคมยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มไม่จาง
“หิวข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า แล้วจะไปทะเลาะต่อที่โต๊ะอาหารก็ได้นะนลิน”
ทุกคนรับคำอย่างเห็นด้วย เพราะน้ำย่อยเริ่มจะย่อยสลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหารกันแล้ว
“นายหัว”
นลินผ่อนฝีเท้าให้ช้าจนลงมาเคียงคู่กับคนที่เดินหลังสุดแล้วกระซิบเรียก ตาเข้มมองเป็นเชิงถาม เด็กสาวส่งยิ้มหวานประจบ
“ไม่โกรธลินนะคะ คราวหน้าลินจะไม่พูดมากอีก”
“ไม่โกรธหรอก อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เราไม่ว่า”
เขาบอกไม่มีรอยยิ้มที่ปาก หากดวงตาเหมือนจะหัวเราะได้ นลินยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“นายหัวใจดี”
“ก็บอกแล้วไง ว่าเราถือสุภาษิต ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา”
เขาบอกทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆ ของคนฟัง ร่างสูงเร่งฝีเท้าเดินจากไปทิ้งคนที่ยืนเข่นเขี้ยวทำอะไรไม่ได้ให้เดินตามหลังมาเองเพียงลำพัง
โต๊ะกลางห้องอาหารใหญ่จัดไว้เรียบร้อยสวยงาม จนทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสามถึงกับยืนเกร็งตัวแข็งไม่กล้านั่ง เจ้าของบ้านมองหน้าแขกอย่างแปลกใจ
“ทำไมไม่นั่ง หรือว่าลมมันเย็น”
เภตราถามแทนเพื่อน ปาลิตาก้มหน้ากลั้นยิ้ม ส่วนนลินกับวรัทหัวเราะลั่นแล้วทรุดลงนั่งอย่างง่ายๆ อย่างเลิกเกร็ง พอทุกคนประจำที่ครบอาหารก็เริ่มทยอยยกมาเสิร์ฟ
“เมื่อกี้นี้คุยอะไรกัน นายถึงหัวเราะดังขนาดนั้นนายหัว”
เภตราเอ่ยถามเพื่อน นภนต์ทำหน้าประหลาดกับสรรพนามที่เพื่อนเรียก
“ทำไมนายต้องเรียกเราว่านายหัว”
“อ้าว ก็เรียกตามนลินไงเนอะ”
เขาหันมาหาเพื่อน นภนต์เหลือบมองหน้านลินนิดหนึ่ง ก่อนจะปั้นหน้าให้ขรึมตามเดิม
“ไม่ต้องเลย นายเคยเรียกยังไงก็เรียกอย่างนั้น”
“แล้วน้องๆ ล่ะ”
เภตราถามเพื่อนแทนเด็กๆ นภนต์มองหน้าแต่ละคนที่ดูเหมือนจะเป็นการทานข้าวเย็นมื้อที่เครียดเกร็งที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
“เรียกพี่ภนต์ก็ได้”
“จำไว้นะ น้องๆ เรียกพี่ภนต์ อย่าเรียกน้าภนต์ตามอย่างนายเตเด็ดขาดนะ เพราะน้าภนต์ เอ๊ย! พี่ภนต์กลัวแก่”
เภตราบอกแล้วหันมายักคิ้วให้เพื่อนอย่างทะเล้น นภนต์ส่ายหน้าอย่างระอานิดๆ
“แล้วตกลงว่าไงล่ะ ที่นายหัวเราะบ้านแตกขนาดนั้น” เภตรายังไม่เลิกซัก
“นลิน เขาว่าเราขายของเถื่อน”
นภนต์เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเดาอารมณ์ไม่ถูก นลินเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นส่งยิ้มแหยให้เภตรา ส่วนเตชัสก้มหน้ายิ้มกับจานข้าว เพราะเหมือนได้มาเห็นอะไรที่ตอนอยู่มหาวิทยาลัยไม่เคยเห็น
…รอยยิ้มแหยของพี่ลินที่ปกติไม่ค่อยจะมี นอกจากรอยยิ้มกวนๆ แสนมั่นใจ…
“ฮ้า นลินรู้ความจริงได้ไงนี่”
เภตราแกล้งทำตาโตเสียงดัง นภนต์ชักจะปลงกับเพื่อน เพราะดูเหมือนเภตราจะเข้ากันได้ดีกับเจ้าเด็กแสบนั่นนัก
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้วน่า แล้วเราก็บอกเขาไปแล้วว่า เราน่ะรวยมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้ไปขนของเถื่อน ขายของเถื่อนที่ไหน”
“นายหัว ลินขอโทษแล้วนี่คะ”
นลินท้วงเสียงอ่อยๆ นภนต์เหลือบตามองหน้าใส ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง
“อือ เราก็บอกแล้วไงว่าเรา…”
“ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา ใช่ค่ะ…ลินมันบ้าเอง”
นลินพูดอย่างปลงตก นภนต์หัวเราะลั่นอย่างถูกใจ ทั้งเภตราทั้งเตชัสต่างมองหน้าชายหนุ่มอย่างแปลกใจ แล้วก็เป็นเภตราอีกนั่นแหละที่อดใจไม่ได้
“หมู่นี้เป็นอะไรวะ ภนต์ แอบไปกินกัญชามาหรือเปล่า หัวเราะร่วนเลย”
คำถามนั้นหยุดเสียงหัวเราะของเพื่อนได้ชะงัด นภนต์เลิกหัวเราะ เลิกต่อปากต่อคำ แล้วทานข้าวต่อโดยไม่สนใจใครอีก
“ว่านิดเดียวก็งอนแล้ว ขี้ใจน้อยจัง”
เสียงเภตราบ่นดังมาแว่วๆ นลินขยับปากจะตอบรับ หากปาลิตาสะกิดเพื่อนไว้ได้ทัน
“อย่าพูดอะไรอีกเด็ดขาดเลยนะลิน ถ้าแกยังไม่อยากกลับไปอยู่บนฝั่งอีก”
“ครับผม”
นลินตอบรับเสียงเบา ดวงตามีรอยขบขันไม่จาง
“เริ่มงานพรุ่งนี้นะ”
เสียงดังมาจากคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องรับแขก เจ้าของบ้านนั่งเก๊กทำหน้าดุ ไม่มีเค้ารอยอารมณ์ดีเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำอีก แรงงานใหม่ทั้งสามรับคำแต่โดยดี มีเตชัสนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย
“เต นายก็ไปทำกับพวกรุ่นพี่เราด้วยนะ”
นภนต์หันมาสั่งหลานชายเพื่อน เตชัสรับคำ
“เริ่มงานเจ็ดโมงเช้า”
เสียงนภนต์ยังคงดังมา นลินทำตาโตเมื่อได้ยินเวลาที่ต้องเริ่มงาน นภนต์ที่มองอย่างจะคอยหาเรื่องอยู่แล้วเอ่ยถามเรียบๆ
“สายไปหรือ จะเอาเช้ากว่านั้นมั้ย ซักตีห้าครึ่งเป็นไง”
“ไม่ค่ะ เกรงใจค่ะ คำสั่งแรกของนายหัวถือเป็นที่สิ้นสุดค่ะ”
นลินก้มหน้าก้มตาตอบเรียบร้อย นภนต์เมินหน้าหนีซ่อนรอยหัวเราะในดวงตา
“ดี พวกคุณไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มงาน”
“ครับ”
“ค่ะ”
ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง ก่อนจะทยอยออกจากห้องรับแขกไป
“นายนอนที่นี่หรือเต”
นลินถามรุ่นน้องยามเมื่อออกมาอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่เรียบร้อยแล้ว เตชัสยิ้มรับ
“ครับผม”
“ไปนั่งคุยกันที่ที่พักของพี่มั้ย”
วรัทชวน เตชัสเดินตามอย่างว่าง่าย
“บ้านเอ็งอยู่ที่ไหนเต”
“อยู่สงขลาครับ”
“อ้อ เป็นคนสงขลา”
นลินพยักหน้ารับรู้ เพราะเป็นคนอยู่ไม่สุข มือซนๆ จึงเอื้อมเด็ดดอกแก้วข้างทางมาเชยชมเล่น หากมือหนักๆ ของเธอก็ทำเอากลีบดอกร่วงกระจาย ไม่เหลือสมบูรณ์สักดอกเดียว สาวน้อยเลยหยุดเดิน พยายามเด็ดดอกไม้อย่างเบามือด้วยความตั้งใจ แล้วเธอก็ทำสำเร็จ เมื่อช่อดอกแก้วสวยหอมมาอยู่ในมือเรียบร้อย
“มือบอน”
เสียงปาลิตาว่ามาเบาๆ หลังจากที่เตชัสปรากฏตัว เพื่อนสาวของนลินก็เงียบเสียงลงไปอย่างไม่เคยเป็น คนถูกต่อว่ายักไหล่ ยกดอกไม้ขึ้นแตะจมูกในมาดเก๋
“ดอกไม้สวย หอม ชอบน่ะ ทำไมมีอะไร”
“ใครจะว่าอะไร แต่ระวังพี่ภนต์เห็นล่ะ”
“ก็ลองดู โธ่ นลินคนนี้ไม่กลัวหรอก กะแค่นายหัวตัวโตๆ คนหนึ่ง”
นลินทำปากดี เตชัสหันมองหน้ารุ่นพี่ยิ้มๆ มองเลยหลังหญิงสาวทั้งสองไป แล้วอุทานออกมาอย่างตกใจ
“พี่ลิน น้าภนต์อยู่ข้างหลัง”
นลินสะดุ้งเฮือกยืนตัวแข็ง แล้วก่อนที่จะเป็นลมไป วรัทก็ปล่อยเสียงหัวเราะพรืดออกมา นลินเลยรู้ตัวว่าโดนเด็กหลอกเข้าให้แล้ว
“ไอ้เต” เสียงดุจัดร้องเรียกอย่างเอาเรื่อง
“ถึงเอ็งจะเป็น…”
“นลิน!”
เสียงปาลิตาเรียกเสียงหนักเตือนสตินลิน เพราะรู้ดีว่าเพื่อนจะพูดอะไร ความรู้สึกของเธอที่มีต่อรุ่นน้องไม่เคยเป็นความลับกับเพื่อนๆ แต่จะหยิบยกออกมาพูดเล่นๆ เธอก็ไม่คิดว่ามันดี นัยน์ตาคู่สวยมองสบตาคู่คมชั่ววินาทีก่อนจะเบนหลบ ร่างบางของคนที่มีความลับซ่อนอยู่ในใจเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าไป นลินนิ่งงันไปอย่างรู้สึกผิดที่เผลอเล่นมากไปหน่อย แต่ก็ยังไม่วายมองหน้ารุ่นน้องอย่างอาฆาต แล้วรีบวิงไปอยู่เคียงข้างเพื่อน โดยมีสายตาของเตชัสกับวรัทมองตาม
“มาที่นี่บ่อยหรือเต”
วรัทถามชวนคุยระหว่างเดินเอื่อยๆ ตามหลังเพื่อนๆ ไป
“ครับ ตามน้าเภมาน่ะครับ ผมค่อนข้างจะสนิทกับน้าเภมากกว่าหลานคนอื่นๆ ของน้าเขา”
“อายุไม่ห่างกันเท่าไหร่เนอะ”
“ก็ 10 ปีได้ครับ แม่ผมอายุห่างจากน้าเภมากน่ะครับ”
วรัททำเสียงรับรู้ เตชัสทอดสายตามองร่างบางสองร่างที่เดินเลียบริมทะเลด้วยแววตาชื่นชน
“พี่ลินนี่เก่งนะครับ”
“อะไรเก่ง ปากเสียเก่งน่ะหรือ”
วรัทถาม เตชัสหัวเราะอย่างขบขัน
“ไม่ใช่ครับ ทำให้คนหัวเราะเก่งต่างหาก”
“นั่นล่ะนลิน”
วรัทพูดอย่างภูมิในใจตัวเพื่อน แล้วก็ไม่วายหยอดเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ
“ไม่เหมือนปาลิตาใช่มั้ย”
คำพูดประโยคนั้นทำให้เตชัสนิ่งไปนานชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่าระมัดงระวัง
“พี่ตาไม่ใช่คนช่างพูด”
“ก็ใช่ แล้วนายชอบแบบไหนล่ะ”
วรัทถามด้วยหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ เตชัสหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะตอบตัดบท
“ผมยังไม่คิดครับพี่ ผมยังไม่อยากมีใคร”
“จะให้เด็กพวกนั้นทำอะไร”
เภตราเอ่ยถามเพื่อน นภนต์เผลอยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าใสที่ทำทะเล้นได้แทบทุกเวลาของเด็กสาวคนนั้น คนที่เหมือนจะไม่โตซักเท่าไหร่เลย
“ยิ้มอะไร” เภตราอดถามเพื่อนอย่างรวนๆ ไม่ได้
“ยิ้มไม่ได้หรือไง”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วว่าไงเรื่องงานของเด็กพวกนั้น”
“ก็แล้วแต่นาย”
“ได้ไง”
เพื่อนเริ่มโวยวาย หากนภนต์ไม่สนใจ
“เราทำเรื่องการตลาด นายทำเรื่องฟาร์ม”
“งั้นเป็นว่าเราต้องรับผิดชอบเหรอ”
“ก็ใช่”
“ก็ได้”
เภตรายอมรับง่ายๆ ความจริงมันก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอก แต่ก็อดป่วนอดแกล้งเพื่อนไม่ได้ ก็ดูเถอะนะ ขนาดว่าอยู่กับเขาแค่สองคน นภนต์ก็ยังคงไม่วายเก๊กมาดขรึม
“เด็กนั่น…”
เภตราเอ่ยขึ้นลอยๆ เงยหน้ามองภาพวาดท้องทะเลลึกบนเพดานอย่างอารมณ์ดี
“นลิน”
นภนต์ต่อให้อย่างรู้ดีว่าที่เพื่อนเอ่ยหมายถึงใคร เภตราละสายตามองคนพูดนิดหนึ่งอย่างจับสังเกต
“ถูกใจหรือไง”
“อือ ปากเสียดี”
นภนต์พูดกลั้วหัวเราะ นัยน์ตามีรอยพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่เคยเจอล่ะสิ”
เภตรารู้ว่าเพื่อนเกิดและเติบโตมาอย่างไร กับเขาที่จบมาจากคณะนั้น ผู้หญิงแทบจะเหมือนผู้ชายเลยไม่แปลกอะไรมากนัก แต่กับนภนต์คนที่เรียนอยู่อีกคณะ อีกสิ่งแวดล้อม ที่มีแต่สาวๆ สวยๆ พูดเพราะๆ พอมาเจอผู้หญิงอย่างนลินก็ต้องรู้สึกแปลกเป็นธรรมดา
“ไม่เคยเจอ คนอะไรปากเสียได้ทุกที่ทุกเวลา”
นภนต์พูดอย่างขำๆ เภตราพลอยหัวเราะไปด้วยเมื่อคิดถึงการกระทำของรุ่นน้องที่ห่างกันหลายปีคนนั้น
“งานแสดงไข่มุกอีกสองเดือนนี่ว่าไงล่ะ ภนต์” เภตราเปลี่ยนเรื่องคุย
“ก็เตรียมงานไปเยอะแล้ว”
“ตกลงใครเป็นนางแบบเครื่องประดับชุดใหญ่”
เขาถามถึงข้อที่ถกเถียงกันมานาน ว่าหญิงสาวผู้โชคดีคนไหนที่จะได้เดินแบบโชว์เครื่องประดับชุดไข่มุกที่มีมูลค่าหลายล้านบาท
“ซาร่า”
“คุณซาร่าหรือ”
เภตราหันมองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจ นภนต์พยักหน้ารับ
“จะไม่ถูกว่าหรือ นั่นเพื่อนนาย”
“เขาเป็นนางแบบดัง กรรมการทุกคนก็เห็นด้วย”
ซาร่าหรือสรารินเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่โตมาพร้อมกับนภนต์ ด้วยเพราะบิดาของสรารินเป็นเพื่อนสนิทกับบิดาของนภนต์นั่นเอง รวมทั้งเธอยังเป็นเพื่อนหญิงที่ค่อนข้างจะสนิทมากเป็นพิเศษของนภนต์อีกด้วย
“ก็ดี”
เภตราตอบเพียงแค่นั้นแล้วลอบระบายลมหายใจยาว นภนต์มองจับสังเกตเพื่อน
“ไม่ชอบเขาหรือ”
“ไม่ได้ไม่ชอบ แต่…”
เภตรานิ่งไป พยายามคิดถึงโครงหน้าสวยที่เห็นตามนิตยสารชั้นนำหลายเล่ม ท่าทางยามเดินเป็นสง่า รอยยิ้มหวานหยดที่มีให้กับทุกคนตามประสาคนของประชาชน
…ให้ตายเถอะ ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ชินจริงๆ
“ไม่รู้สิ อาจจะชินมั้ง ไม่ค่อยเคยเจอคนหวานอย่างนั้น”
“ซาร่าเขาไม่ใช่คนหวานอย่างที่คิดหรอก”
นภนต์แก้แทนเพื่อน หากเภตราก็คร้านที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ เขาสูงหนาดีดตัวลุกยืนแล้วตัดบทง่ายๆ
“ไปเดินดูบ่อพ่อแม่พันธุ์เดี๋ยวนะ”
“ไปด้วย”
นภนต์อาสา วางแก้วบรั่นดีในมือลง เภตราโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ต้อง นายไปทำงานของนายเหอะ ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ไปแป๊บเดียว ดูนิดเดียวล่ะ แล้วเดี๋ยวก็กลับมานอนแล้ว”
“ตามใจ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.