3
คนของสังคม
“ตายจริง! ยายชะนีน้อย”
ชลชาติหวีดเสียงมาแต่ไกล ตั้งแต่ที่พิรุณรักษ์เดินผ่านประตูออฟฟิศเข้ามาเลยก็ว่าได้
“อะไรเจ๊ชลลี่ มีอะไรติดหัวฝนเหรอ” พิรุณรักษ์ถามอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งมองตามสายตาของเพื่อนรุ่นพี่ก็รู้ว่าที่ชลชาติกำลังสนใจอยู่นั้นคือกระเป๋าชาแนลคลาสสิกสีครีมใบใหม่เอี่ยมของเธอ
ความจริงแล้วพิรุณรักษ์ควรจะภูมิใจกับกระเป๋ามากกว่านี้ ถ้ามันไม่ต้องแลกกับการที่เธอต้องสู้รบปรบมือกับคนให้กระเป๋าทุกวัน
“ไปรวยอะไรมา ถึงถอยชาแนลมาได้เนี่ย” พีรวิทย์มองอย่างชื่นชม เขารู้เรื่องแฟชั่นอยู่มากแล้วก็รู้ด้วยว่าที่สาวรุ่นน้องถืออยู่นั้นเป็นของจริง แถมเป็นรุ่นหายากอีกด้วย ดังนั้นราคาน่าจะเฉียดสองแสน ขาดไปแค่ไม่กี่พัน
“ฝนไม่ได้ซื้อเองหรอกพี่แพท”
“กรี๊ด! นี่แสดงว่าผู้ชายที่ไปเดตด้วยวันนั้นซื้อให้เหรอ บุญบาป เปย์หนักมากแม่” ชลชาติหวีดเสียงขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ฐิติวรดาซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลถึงกับต้องเดินเข้ามาร่วมวงด้วย
“หนุ่มที่ไหนเปย์อะไรเหรอเจ๊ชลลี่”
“ก็หนุ่มที่ยายชะนีน้อยไปเดตด้วยเมื่อวันศุกร์น่ะสิ เปย์ชาแนลคลาสสิกสีครีมสวยอลังการให้เลยอะ”
ฐิติวรดาตาโตมองกระเป๋าที่พิรุณรักษ์หิ้วอยู่แล้วหลุดปากถามอย่างลืมตัว “ของปลอมหรือเปล่าอะ”
“ไม่ปลอม” พีรวิทย์บอกทันที
พิรุณรักษ์ยิ้มแห้ง ปกติเธอชอบใช้ของสวยๆ งามๆ อยู่แล้วตามนิสัยผู้หญิงทั่วไป แต่ของระดับลักชัวรี่แบรนด์ราคาหกหลักเธอได้แต่นั่งมองผ่านหน้าจอโทรศัพท์เพียงเท่านั้น เงินเดือนพนักงานแค่พอจ่ายค่าผ่อนคอนโดมิเนียมจะไปคาดหวังของระดับนี้ได้อย่างไร แต่เพราะบุญเก่าที่ทำมาทำให้เธอมีเพื่อนรวยระดับประเทศแบบพุฒถึงมีโอกาสได้สัมผัส
ประเด็นก็คือเธอจะตอบคำถามคนเหล่านี้อย่างไรดี
“ไม่ใช่ผู้ชายที่นัดเดตวันนั้นหรอก คนนั้นน่ะฝนเทเรียบร้อยแล้ว”
“อ้าว!” สามคนประสานเสียงพร้อมกันราวกับนัดมา
ชลชาติลุกมาดันตัวพิรุณรักษ์ให้มานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะล้อมวงสนทนาอย่างสนอกสนใจ
“งงหนักมาก ถามอะไรก่อนดี” ชลชาติดูกระตือรือร้น นับว่าเป็นตัวแทนหมู่บ้านไร่เผือกได้อย่างดีเลยทีเดียว “เอาข้อแรกก่อนเลยแล้วกัน ทำไมแกถึงได้เท ‘ผู้’ คนนั้นซะล่ะ เห็นว่าคุยกันมาตั้งนานแล้วนี่”
“นั่นดิ ไหนเล่าว่าดีทุกอย่าง อาชีพการงานมั่นคง เป็นผู้ใหญ่ ดูพึ่งพาได้ แถมดูใส่ใจเรามากเป็นพิเศษ”
พิรุณรักษ์ฟังพีรวิทย์ร่ายถึงสรรพคุณของ ‘ผู้’ ที่ว่าแล้วต้องถอนหายใจ
“สรุปว่าไม่เป็นอย่างที่คิดสินะ” ฐิติวรดาสรุปให้เลยจากสีหน้าของเพื่อน
“อืม! เรื่องของเรื่องก็คือเขาบังคับให้ฉันกินผักน่ะสิ”
“เอ้า! เขาเป็นห่วง กินแต่แป้งกับเนื้อสารอาหารมันไม่ครบถ้วน” ชลชาติแสดงความเห็น
พิรุณรักษ์กลอกตา ในหลายๆ ความสัมพันธ์ของมนุษย์มักจะเกิดขึ้นเพราะการยุยงส่งเสริมของคนรอบข้างนี่เอง และถ้าคนคนนั้นไม่หนักแน่นพอ คล้อยตามโดยไม่ฟังเสียงของหัวใจตัวเองก็อาจจะก้าวพลาดเอาได้
ไม่ใช่ว่าพิรุณรักษ์ไม่พอใจกับการแสดงความคิดเห็นของเพื่อนรุ่นพี่ แต่เธอแค่ฟังหัวใจตัวเองมากกว่า
“ฉันจะไม่คบกับผู้ชายที่บังคับให้ฉันกินผักตั้งแต่เดตแรก แถมอ้างเหตุผลเรื่องการเลี้ยงลูกทั้งที่ยังไม่ได้ตกลงคบหากันเลยหรอกนะ”
“หา? เลี้ยงลูกเนี่ยนะ” ชลชาติแปลกใจในสิ่งที่พิรุณรักษ์เล่าจนอาการออกทางสีหน้า
“อืม เขาบอกว่าคนที่ไม่กินผักจะไปเลี้ยงลูกให้โตมาอย่างมีประสิทธิภาพได้ยังไง จะไปสอนลูกให้ลูกกินผักได้ยังไง โอเค เขาอาจจะพูดถูก แต่ว่ามันใช่เวลามั้ยล่ะ”
ชลชาติ พีรวิทย์ และฐิติวรดามองหน้ากันแล้วพร้อมใจพยักหน้า
“โอเค ฝนทำถูกแล้วล่ะ” พีรวิทย์บอก
“งั้นสรุปว่าใครให้กระเป๋าใบนี้มาล่ะ” ฐิติวรดาถามในสิ่งที่สงสัยทันที
“เพื่อนน่ะ”
“เพื่อนเหรอ”
“ใช่! เพื่อนน่ะ”
พิรุณรักษ์บอกเพียงแค่นั้นแล้วไม่พูดอะไรอีกเพื่อจบบทสนทนา เธอคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องอธิบายเรื่องกระเป๋าอีก เพราะหากพูดต่อไปจะต้องมีคำถามใหม่ๆ ผุดขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน แล้วถ้ามีคนรู้ว่าเธออยู่ร่วมห้องกับพุฒ บริพัตรเมธานนท์ ก็เห็นอนาคตได้ว่าชีวิตเธอคงหาความสงบไม่ได้อีกแน่นอน
หลังจากปล่อยให้เพื่อนร่วมงานสงสัยเรื่องกระเป๋าต่อไป ช่วงพักกลางวันทุกคนก็กลับมาโฟกัสเรื่องการจับคู่ให้เธอกับผู้ชายสักคนที่ดีพร้อม (ในความคิดของพวกเขา) วันนี้ฐิติวรดาก็มาร่วมวงรับประทานอาหารด้วยเนื่องจากแฟนหนุ่มซึ่งอยู่ในแผนกวางแผนธุรกิจติดงานด่วน
หัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารวันนี้ก็ไม่พ้นเรื่องการหาคู่ให้กับพิรุณรักษ์เช่นเคย ดูราวกับว่าเป็นวาระแห่งชาติอย่างไรอย่างนั้น
แต่ไม่ว่าจะมองหาผู้ชายคนไหนในออฟฟิศก็ไม่มีใครที่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานกับพิรุณรักษ์ได้ เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นล้วนถูกจับจองเป็นเจ้าของไปหมดแล้ว
“อย่าย่อท้อต่อการมีผัว เราจะต้องทำได้ในสักวันหนึ่งแน่นอน” ชลชาติให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับกำลังปลุกระดมให้ออกไปต่อสู้ในสงครามอย่างไรอย่างนั้น
แต่ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ เพราะนี่คือสงครามที่ว่าเรียกว่า ‘สงครามคานทอง’ อย่างไรเล่า
“พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะน่าคุณแม่สื่อ กระตือรือร้นเหมือนเป็นแม่น้องฝนอย่างนั้นแหละ เดือดร้อนกับเขาทำไม” พีรวิทย์อดแซะไม่ได้
อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้ายับยุ่งใส่คนพูด แต่ก็ยอม ‘พัก’ เรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูความเป็นไปบนโลกออนไลน์ จากนั้นไม่นานก็ได้หัวข้อสนทนาใหม่ทันที
“เห็นข่าวนี้หรือยัง…พุฒ นักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอะ”
พิรุณรักษ์ถึงกับเม้มปาก พุฒช่างตามหลอกหลอนเธอไปได้ทุกที่จริงๆ เลยช่วงนี้
“เรื่องที่แฟนนางออกมาแฉว่านางเป็นชู้กับเมียเพื่อนในทีมอะเหรอ” ฐิติวรดารีบร่วมวงผสมโรง “ข่าวเป็นอาทิตย์แล้วนะ”
“ยังไม่จบน่ะสิ มีภาพหลุดด้วยแหละ นี่ไง”
ชลชาติยื่นโทรศัพท์ให้ทุกคนดู พิรุณรักษ์รีบคว้ามาดูก่อนใครและภาพที่เห็นก็ทำให้เธอตาค้างไปเลย ชายหนุ่มนอนคว่ำอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มผืนบางๆ ปกปิดอยู่ แม้จะเห็นเพียงแค่เสี้ยวใบหน้าก็ดูรู้ว่าเป็นพุฒแบบไม่ต้องสงสัย ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือภาพสะท้อนเงาในกระจกตรงหัวเตียงเป็นภาพของเจนิเฟอร์หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของสตีเว่นซึ่งกำลังเป็นข่าวอยู่นั่นเอง
“ไหนๆ เอามาดูบ้าง” ฐิติวรดาแย่งกลับมาและสะกิดให้พีรวิทย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างกันดูด้วย “ครั้งก่อนมีแค่ข่าว แต่คราวนี้มาเป็นภาพเลย ผิดหวังชะมัด ฉันปลื้มเขามากเลยอะ เสียดาย”
“หล่อนเป็นแฟนกีฬาฟุตบอลเหมือนกันเหรอคะแม่คุณ” ชลชาติดึงโทรศัพท์กลับมา
“ดูไม่เป็นหรอก แต่ปลื้มที่เขาหล่ออะ”
“แต่คนนี้เขามีข่าวเรื่องผู้หญิงมาตลอดอยู่แล้วนะ” พีรวิทย์แสดงความเห็น
“เรื่องผู้หญิงก็พอทนอยู่หรอก แต่นี่มันเมียเพื่อนนะพี่แพท ศีลธรรมต่ำเกินไป ไม่สมกับเกิดในชาติตระกูลที่สูงส่งเลย”
“อย่าไปว่าเขาขนาดนั้นเลยน่า” พิรุณรักษ์อดที่จะปกป้องเขาไม่ได้ ถึงอย่างไรพุฒก็เป็นเพื่อนเธอ
แม้ว่าความจริงแล้วเขาถูกด่าแค่นี้ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ กลับไปแม่จะดึงให้หูขาดเลย
“นี่ยังน้อยไปนะฝน สักวันแกจะรู้ว่าผู้ชายที่บังคับให้กินผักตั้งแต่เดตแรก ยังน่ากลัวน้อยกว่าผู้ชายแบบนายพุฒนี่ร้อยเท่า เจอเมื่อไหร่ หลีกให้ไกลเลย”
หลีกให้ไกลอะไรกันเล่า ตลอดทั้งเดือนนี้เธอกับพุฒต้องเจอหน้ากันทุกวัน หายใจใช้อากาศร่วมกันในห้องแคบๆ แต่ถามว่าเธอต้องกลัวผู้ชายแบบพุฒด้วยหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่จำเป็น เพราะว่าดูจากผู้หญิงที่เขาคั่วด้วยแต่ละคนแล้ว เธอไม่ได้เสี้ยวของมาตรฐานสเป็กหมอนั่นเลยสักนิด
“กลับตรงเวลาดีนี่”
เจ้าของเสียงทุ้มกล่าวทักทาย พุฒนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟา ในมือถือกล่องป็อปคอร์น สองตาไม่ได้มองเธอเลยสักนิดเพราะกำลังจับจ้องภาพจากจอโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างสนอกสนใจ
“ส่วนแก…ก็สบายดีมากเลยนะ”
“ทำไมน้ำเสียงฟังดูประชดแบบนั้นวะ”
พิรุณรักษ์กังวลเรื่องที่พุฒกำลังเผชิญ และยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าเขาดูสบายอกสบายใจเสียเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็นกลไกการป้องกันตัวของเขา
แสดงออกต่อสิ่งที่เป็นทุกข์ด้วยวิธีวางเฉยต่อมันไปเสียเลย
แต่จะอะไรก็ช่าง เธอคงทำแบบเขาไม่ได้ หญิงสาวไม่ตอบอะไรแต่เดินมานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเขา มองภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอทีวี
“นั่งดูหนังสบายใจเฉย ได้ดูข่าวตัวเองบ้างหรือเปล่า”
พุฒกลอกตามามองหน้าเพื่อนครู่หนึ่งแล้วเลื่อนกลับไปดูหนังดังเดิม “แกต้องเข้าใจฉันนะ ฉันไม่ได้นั่งดูหนังสบายใจแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้วมั้ง”
“แต่ว่าข่าวแกตอนนี้มันไปกันใหญ่แล้วนะ ไม่ไปแก้ปัญหาอะไรก่อนเหรอ”
“แก้ดิ แต่ดูหนังจบก่อน”
“ไอ้พุฒ! นี่มันเรื่องใหญ่นะ”
“ตอนนี้ใครจะตายก็ช่างเถอะ ฉันจะดูหนัง แกไปทำของกินมาแกล้มเบียร์หน่อยไป” พุฒโบกมือไล่
พิรุณรักษ์ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เธอฟึดฟัดลุกจากโซฟา มองหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช้ฉันเป็นผัวเลยนะแก”
“หึ! มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” เขาบอกแล้วหันมายักคิ้วให้
“ไอ้!” พิรุณรักษ์เกือบหลุดสารพัดคำด่าออกมา แต่ว่าด่าคนอย่างพุฒไม่ว่าใช้คำไหนมันก็ไม่สาสม สุดท้ายจึงได้แต่กระแทกเท้าเดินเข้าครัวไป
เธอหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาแกะซอง ตั้งน้ำจนเดือดแล้วโยนบะหมี่ใส่หม้อ ตามด้วยหมู ไข่ และผัก เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงยกมาเสิร์ฟ
พุฒมองอาหารบนโต๊ะแล้วกลอกตาก่อนจะมองหน้าแม่ครัวจำเป็น
“อะไร” เธอถามออกไป
“มาม่าเนี่ยนะ”
“ใช่สิ เห็นเป็นสเต๊กเนื้อวากิวหรือไงล่ะ”
“ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วเหรอ”
พิรุณรักษ์ปั้นยิ้มให้คนช่างเลือก ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เลือกได้เลยสักนิด
“เป็นแค่ผู้อาศัย หัดเกรงใจเจ้าของห้องบ้างสิ มารยาทขั้นพื้นฐานน่ะ”
“อ้อ! ต้องเป็นผัวงั้นสิถึงจะดูแลดี” พุฒเงยหน้ามองคนที่กำลังสอนมารยาทให้เขา
พิรุณรักษ์กอดอกพยักหน้าหงึกหงัก “แน่นอน…ว้าย!”
หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว อยู่ๆ ก็ถูกพุฒคว้าแขนและดึงลงไปหา ทุกอย่างดูรวดเร็วไปหมด พอรู้สึกตัวอีกทีเธอก็อยู่ใต้ร่างของเขาแล้ว
“ไอ้พุฒ! นี่แกคิดจะทำอะไรเนี่ย”
“ก็ลองดูไง ว่าถ้าฉันเป็นอย่างอื่น…ไม่ใช่เพื่อน แกจะดูแลฉันดีกว่านี้มั้ย” เขายิ้ม เป็นยิ้มที่พิรุณรักษ์สัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายซึ่งทำเอาเธอขนลุกเกรียว
แม้จะดูเหมือนพูดเล่น แต่เธอก็อดตระหนกไม่ได้ โอเค ถึงแม้ว่าพุฒจะหล่อระเบิดระเบ้อจนเธอแทบอยากจะสมยอมมอบความสาวให้เขาง่ายๆ ในบางวูบของความคิดก็เถอะ
แต่มันไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่เลย
“ไอ้บ้า! ไอ้ชั่ว! ฉันไม่ยอมนะ ปล่อย!!”
“ไม่เหรอ ลองดูมั้ย”
ไม่เพียงแค่พูด แต่พุฒยังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจของเขารินรดใบหน้าเธอ
พิรุณรักษ์หัวใจเต้นโครมครามราวกับว่ามันจะกระดอนออกมาจากอก หมอนี่คงเป็นพวกหื่นกามที่ขาดแคลนผู้หญิงมานานจนไม่คิดจะสนใจเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใคร
“ฉันเพื่อนแกนะ”
“ก็รู้” เขากระตุกยิ้มมุมปาก “เพื่อนเล่น เล่นเพื่อน ไม่เคยได้ยินเหรอ”
พิรุณรักษ์ลอบกลืนน้ำลาย เธอควรผลักไสเขาแต่เพราะอะไรไม่ทราบ แขนขาเธออ่อนแรงไร้ความสามารถในการต่อต้านใดๆ จึงทำได้แต่ดิ้นยุกยิกอยู่ใต้ร่างที่สูงหกฟุตแปดเซนติเมตรนั่น
แต่ก็ไร้ผล สุดท้ายจึงได้แต่นอนเกร็งอยู่แบบนั้น หญิงสาวรวบรวมสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงช้าๆ ก่อนเงยหน้าพูดกับเขา
“แกไม่ทำจริงๆ หรอก”
“ทำไมถึงเชื่อแบบนั้น”
“แกไม่ได้ชั่วขนาดนั้น แกแค่แกล้งฉัน แล้วถ้าไม่เลิกเล่นฉันจะโกรธแล้วด้วย”
สีหน้าจริงจังของพิรุณรักษ์ทำให้คนขี้เล่นชะงักไป เขายอมถอนตัวออกจากร่างนุ่มนิ่ม พิรุณรักษ์พรวดพราดลุกขึ้นนั่งแล้วขยับหนีจนตัวไปชิดอีกด้านของโซฟา
ร่างสูงกำยำเสยผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองลวกๆ
แต่ทั้งที่ผมเผ้ายับยุ่งแบบนั้นเขาก็ยังดูหล่ออยู่มาก
“ไม่ต้องด่าฉันด้วยสายตาหรอกน่า ก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่มีทางทำอะไรแกแน่ๆ” เขาเลิกคิ้วถาม
“ถึงจะพูดว่าไม่ทำอะไรฉัน แต่ก็อย่าเอาหน้ามาใกล้แบบเมื่อกี้อีก อย่ามากอด อย่ามาโดนตัวฉันแบบนั้นอีก รู้มั้ย!” เธอแว้ดใส่ด้วยความโมโห…ลึกๆ แล้วเธอโมโหตัวเองมากกว่าที่ดันไปรู้สึกหวั่นไหว
“บางที…ฉันก็อยากกินต้มจืดดูบ้างนะ” พุฒแกล้งมองเธอด้วยนัยน์ตาแพรวพราว
คราวนี้พิรุณรักษ์เท้าเอวมองหน้าอย่างเอาเรื่อง
“เพราะนิสัยแบบนี้ไง ชีวิตแกถึงได้เป็นแบบนี้”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังนิ่งไป เขาถอนหายใจ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แต่พิรุณรักษ์รู้ดีว่า ‘เพื่อน’ จะไม่โกรธกันเมื่อกล่าวเตือนอย่างจริงใจ แม้ว่าถ้อยคำจะรุนแรงสักเพียงใดก็ตาม
“ฉันอาจจะพูดแรงไป แต่แกจะปล่อยให้ชีวิตแกเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ”
“มันไม่ได้น่าเป็นกังวลอย่างที่แกคิดหรอกน่าฝน ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย” เขาปรับสีหน้าให้ผ่อนคลายดังเดิมพลางคว้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินเหมือนลืมไปว่าเขาไม่ได้ชอบมันสักเท่าไหร่
“ไอ้ที่ไม่น่าเป็นกังวลที่แกหมายถึงคือการที่ต้องออกจากสโมสรเนี่ยนะ สโมสรระดับโลก ใครๆ ก็ใฝ่ฝันจะก้าวไปถึงจุดนั้น”
“มันก็แค่สถานที่นะ มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกน่า”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าพิรุณรักษ์ต้องหยุดพูดเรื่องนี้ เธอระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะคว้าเบียร์ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมายกดื่มบ้าง
พุฒเหลือบตามอง เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นสักเท่าใดนัก อันที่จริงการที่เขามาอยู่กับพิรุณรักษ์ก็เพราะอยากหนีปัญหา
แค่ชั่วคราวเท่านั้น…
“อย่าเมานะ”
“ฉันไม่เคยเมา”
“เห็นพูดแบบนี้ทุกที”
“วันนี้ไม่หิ้วกระเป๋าชาแนลมาด้วยเหรอชะนี”
ชลชาติถามเมื่อเห็นว่าพิรุณรักษ์มาทำงานด้วยกระเป๋าใบเก่าที่ไม่ใช่ใบเมื่อวาน
พิรุณรักษ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ฝ่ายของเธอดูแลเรื่องการตลาด สมาชิกในห้องมีประมาณสิบคน เป็นผู้หญิงแปดคน และผู้ชายอีกสองนั่นคือชลชาติกับพีรวิทย์ โต๊ะทำงานแบ่งเป็นคอกกั้นสำหรับความเป็นส่วนตัวเพียงเล็กน้อย
ใช่! เล็กน้อยจริงๆ มันไม่มีความส่วนตัวเลย เมื่อวานเธอถึงถูกเพื่อนร่วมงานรุมถามเรื่องกระเป๋าจนแทบไม่ได้ทำงาน
วันนี้เธอจึงตัดสินใจวางมันไว้ในตู้
“ฝนเก็บไว้ดีกว่า ใช้มากเดี๋ยวของช้ำ ร้อนเงินเอาไปขายจะเสียราคา” เธอตอบไปส่งๆ เพื่อไม่ต้องถูกถามเรื่องกระเป๋าอีก แค่นี้เธอก็โมโหตัวเองจะแย่ที่ยอมรับมันเพื่อให้ที่พักกับพุฒ
เขาแทบจะทำให้เธอประสาทเสียอยู่ทุกวัน อีกอย่าง…เขายังเป็นต้นเหตุให้เธอแฮงก์หนักในวันนี้ด้วย
“แล้วหน้าตาทำไมดูไม่สดใสเลยอะ นอนดึกเหรอ”
“ฝนปวดหัวนิดหน่อยน่ะเจ๊ชลลี่ ดีนะที่วันศุกร์แล้ว อยากนอนมากเลยตอนนี้” พิรุณรักษ์หยิบกาแฟร้อนที่ต้มใส่กระติกควบคุมอุณหภูมิที่เธอพกมาจากบ้านยกขึ้นดื่ม ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“ไม่สบายเหรอ” ฐิติวรดานั่งอยู่ไม่ไกลได้ยินบทสนทนาก็ชะโงกหน้ามาถาม
“อืม” พิรุณรักษ์ยอมรับด้วยเหตุผลเดิม เธอคร้านจะอธิบายว่าอาการที่เป็นอยู่เพราะดื่มเบียร์มาเมื่อคืนเพราะต้องมีคนถามแน่ว่าดื่มกับใคร ที่ไหน อย่างไร
“น่าสงสารแกจริงๆ ต้องดูแลตัวเองสินะ”
“ปากบอกว่าสงสาร แต่น้ำเสียงเยาะเย้ยปิดไม่มิดเลยนะคะคุณแหวน” พิรุณรักษ์รู้ว่าเพื่อนกำลังค่อนแคะเรื่องความโสดของเธอ
“ฉันอยากให้แกมีคนดีๆ ดูแลน่ะ”
“อย่าไปกดดันน้องฝนเลยน่า ถ้าเป็นอะไรมากก็บอกพี่เลยแล้วกันนะ” ประโยคหลังพีรวิทย์หันมาบอกกับพิรุณรักษ์
พิรุณรักษ์พยักหน้าหงึกหงักแล้วหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ รู้สึกปวดศีรษะตุบๆ พุฒจะรู้ไหมว่าเธอเป็นอย่างไรในวันนี้
อีตานั่นคงไม่คิดอะไรหรอก
ติ๊ดๆ
เสียงข้อความทำให้พิรุณรักษ์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูแบบเนือยๆ
‘คริสเตียนส่งข้อความถึงคุณ’
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ตั้งแต่เธอเล่นแอพฯ หาคู่ก็มีแอ็กเคานต์แปลกๆ ทักมาหลายคน
นั่นแหละ ชีวิตที่มีสีสันของเธอช่วงนี้ บางครั้งก็คุยยาว บางครั้งก็คุยแค่ชั่วเวลาหนึ่ง แต่ส่วนมากเมื่อนัดเจอกันมันจบทุกที
“หน้าตาดีนะ หล่อเลย”
ชลชาติถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูเพราะรู้ว่าพิรุณรักษ์ไม่ถือสา
“หล่อๆ เนี่ยแหละน่ากลัว”
“น่ากลัวยังไงยะ หล่อสิดี”
“เขาจะไม่จริงจังกับความสัมพันธ์ไหนเลย” พิรุณรักษ์กระซิบกลับไปเพราะไม่ต้องการให้ฐิติวรดามาร่วมผสมโรง
“นัดเดตบ่อยจนกลายเป็นกูรูเรื่องผู้ชายไปแล้วหรือไงยะ”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ แค่เปรียบเทียบจากสถิติน่ะ บางคนก็หวังแค่คู่นอนเท่านั้นเองด้วยซ้ำ”
ชลชาติหัวเราะ “ฉันว่ามันก็ไม่เสียหายนะ”
“บ้าน่าเจ๊”
“ตอบไปจ๊ะ อย่าเพิ่งคิดล่วงหน้าไปก่อน”
พิรุณรักษ์ยิ้ม เธอคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เธอจะตอบผู้ชายทุกคนที่ทักมา เพราะถ้าหากไม่ทำแบบนั้นเธอก็ควรลบแอพพลิเคชั่นนี้ทิ้งไปเสีย
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.