บทที่ 5
เหมียวลั่วชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากสลบไปห้าวัน
ครั้นนางลืมตาขึ้นก็ตะลึงงันไปโดยพลัน นางพบว่าหร่านเจียงนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง
บุรุษผู้นั้นหันหน้ามาทันทีราวกับเขาสัมผัสได้ถึงยามที่นางลืมตาขึ้นมาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ดวงตาที่หลุบลงคว้าดวงตานางได้อย่างแม่นยำ ถึงนางอยากจะแสร้งนอนต่อก็ไม่ทันการณ์แล้ว
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” หร่านเจียงวางหนังสือลง ออกคำสั่งไปด้านนอกทันที “ตามท่านหมอมาเดี๋ยวนี้”
ต่อจากนั้นเขาก็หันหน้ากลับมา ดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องนางนิ่ง นึกไม่ถึงว่ารอยยิ้มที่แฝงอยู่ในนั้นจะเป็นเหมือนภาพลวงตาของคนจมน้ำ
เหมียวลั่วชิงคิดไม่ถึงเลยว่าครั้นนางลืมตาขึ้นก็จะเห็นหร่านเจียงในสภาพนี้ สีหน้าที่ดูอ่อนโยน คงระยะห่างที่อบอุ่นเช่นนี้
ยามที่ฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบไล้ดวงหน้านาง ทั่วทั้งร่างนางพลันแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เพียงได้ยินเขาเอ่ยอย่างพอใจว่า “ไข้ลดลงแล้ว”
ที่แท้เขาก็แค่วัดไข้ให้นาง
แม้ว่าเหมียวลั่วชิงจะฟื้นแล้ว ทว่าสติของนางยังคงเชื่องช้าอยู่บ้าง แต่ใบหน้าและน้ำเสียงของหร่านเจียงมักดึงไหวพริบของนางกลับมาทันที ทำให้ความคิดนางตื่นตัว นึกย้อนไปถึงเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
นางยังไม่ตาย นางยังมีชีวิตอยู่ นางนอนอยู่บนเตียงที่สะอาดสะอ้าน มีผ้าพันแผลพันร่างกายไว้ หร่านเจียงยังคงมองนางด้วยรอยยิ้ม นี่แสดงว่านางทำสำเร็จแล้ว หร่านเจียงไม่ได้สงสัยในตัวนาง แล้วยังเรียกท่านหมอมารักษานางด้วย
“เป็นอะไรไป เจ้าเซ่อไปแล้วหรือ” เขาเอ่ยถาม
“ใต้เท้า…โอ๊ย…” นางครางออกมาเสียงหนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่นพลางหลับตาลง สะเทือนที่ปากแผล
“อย่าเพิ่งขยับ เจ้าบาดเจ็บสาหัสอยู่” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก ทำให้นางเกิดภาพลวงตาว่าตนเองกลายเป็นที่โปรดปราน ทำให้นางอดลืมตาขึ้นอีกครั้งไม่ได้ พลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ทว่านางแค่มองหร่านเจียงแวบเดียวแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง
“ใต้เท้าโปรดอภัย บ่าว…” นางพยายามจะลุกขึ้น ทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่กดไหล่ไว้อย่างแน่วแน่
“บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าอย่าเพิ่งขยับ เชื่อฟังข้า”
“เจ้าค่ะ…” เหมียวลั่วชิงไม่ขยับตามคำบอก ในใจกลับกำลังคิดว่าดูท่าที่นางถูกแทงในครั้งนี้หร่านเจียงไม่ได้สงสัยในตัวนางแล้วยังให้ความสำคัญนางอีก นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
ท่านหมอรีบรุดมาตรวจอาการ จับชีพจรนาง บางครั้งก็ชี้แจงอาการบาดเจ็บของนางแก่หร่านเจียงอย่างละเอียดว่าฟื้นฟูไปถึงขั้นใดแล้ว
เหมียวลั่วชิงจึงตระหนักได้ว่าที่แท้ที่อี้แทงนางนั้น กระบี่ได้เฉียดผ่านกระดูกและเส้นเอ็นสำคัญไป ห่างจากหัวใจไปเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น นับว่านางดวงแข็งจริงๆ
ขณะที่หร่านเจียงพูดคุยกับหมออยู่นั้นนางก็หลับตาลงอีกคราราวกับเหนื่อยล้ากระนั้น ทำเช่นนี้ก็สามารถหลบหลีกจากสายตาของเขาได้
นางรู้ว่ายามนี้ทางที่ดีที่สุดตนควรพักฟื้นให้หายโดยเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่องหร่านเจียงชั่วคราว ทว่านางควรจะกังวลเรื่องอี้ นางถนัดทำงานคนเดียว นางได้ทำลายแผนการลอบสังหารของอี้อีกครั้งแล้ว
อี้ต้องคิดว่านางทรยศแน่ ถ้าหากเรื่องนี้ลือไปถึงในสำนัก ชีวิตน้อยๆ ของนางก็จะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นนางจึงต้องตามหาอี้ให้เร็วที่สุด นางไม่รู้ว่ายามนี้อี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาถูกจับหรือหนีไปแล้ว
โชคดีที่ยามนี้มีผู้ใต้บังคับบัญชามารายงาน กระซิบข้างหูหร่านเจียงไม่กี่ประโยค หร่านเจียงจึงต้องไปจัดการ ก่อนจะจากไปเขากำชับนางให้พักผ่อนมากๆ แล้วเขาจะมาเยี่ยมนางอีก
เหมียวลั่วชิงทำเป็นว่าง่าย พยักหน้าขอบคุณ ครั้นหร่านเจียงจากไปนางก็ลุกขึ้นนั่ง อดกลั้นความเจ็บปวดไว้ ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้นางทนได้ เพราะนางเคยทนทรมานมากกว่านี้มาแล้ว
หรุ่ยเอ๋อร์เข้ามาพอดี ครั้นเห็นว่านางลุกขึ้นจึงรีบวางอาหารลงในทันใด รีบเข้ามาพยุงนาง “แม่นาง อย่าเพิ่งขยับเลย มีอะไรสั่งบ่าวก็ได้เจ้าค่ะ”
เหมียวลั่วชิงจ้องหรุ่ยเอ๋อร์ หรุ่ยเอ๋อร์ไม่ชอบนางมาตลอด จู่ๆ ก็มาแสดงท่าทีเคารพและเป็นห่วงเป็นใยนางเช่นนี้ทำให้นางอึดอัดและระแวงยิ่งนัก
“เจ้าเรียกข้าว่า…แม่นางหรือ”
หรุ่ยเอ๋อร์แสดงสีหน้าเก้อเขิน ทว่าต่อมาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ แสดงรอยยิ้มประจบประแจงออกมาทันที “ใช่เจ้าค่ะแม่นาง บ่าวดีใจและยินดีกับแม่นางด้วยเจ้าค่ะ” หรุ่ยเอ๋อร์บอกว่านางจะถูกยกฐานะขึ้น ใต้เท้าจะรับนางเป็นอี๋เหนียงแล้วให้หรุ่ยเอ๋อร์มารับใช้นาง
เหมียวลั่วชิงฟังอย่างตะลึงงัน สงสัยว่าตนเองหูฝาดไป
“ใต้เท้าจะรับข้าเข้าเรือนฝ่ายในหรือ”
“ใช่สิเจ้าคะ แม่นางช่วยชีวิตใต้เท้าไว้ สร้างคุณงามความดีเช่นนี้ ใต้เท้ารู้ถึงความในใจของแม่นาง ดังนั้นยามที่แม่นางยังสลบไสลอยู่ ใต้เท้าก็ออกคำสั่งว่าขณะนี้แม่นางคือนาย ให้พวกบ่าวปรนนิบัติดูแลอย่างดีเจ้าค่ะ”
เหมียวลั่วชิงตะลึงยิ่งนัก ครานั้นนางคิดเพียงจะพนันชีวิตตัวเองไปช่วยหร่านเจียง ฉวยโอกาสนี้ทำลายความสงสัยที่เขามีต่อตัวนาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาที่แบ่งแยกการลงโทษและการตกรางวัลอย่างชัดเจนจะรับนางเข้าสู่ฝ่ายในเพื่อเป็นการตกรางวัล
มิน่าเมื่อครู่ถึงรู้สึกว่าเขาดูแปลกไป เผยรอยยิ้มที่ผิดปกติ ที่แท้ยามนี้เขาก็คิดจะรับนางเป็นอนุภรรยานั่นเอง
ถ้าหากเป็นตัวนางในไม่กี่ชาติก่อน นางจะต้องยินดีปรีดาเป็นแน่ ในเมื่อภารกิจของนางก็คือการยั่วยวนเขา พยายามเข้าใกล้เขาเพื่อล่อลวงเขาอีกครั้งแล้วฆ่า
ทว่านางในยามนี้ไม่ดีใจเลยสักนิด หร่านเจียงจะรับนางเข้าฝ่ายใน แย่แล้ว แย่มากๆ ด้วย!
เหมียวลั่วชิงไม่ยอมเชื่อแน่นอนว่าเขาจะมีใจให้ หลายชาติก่อนนางลองยั่วเขาด้วยหลายวิธี บุรุษผู้นี้ก็ช่างเย็นชาและเลือดเย็นนัก เขายังมีความสามารถในการควบคุมไม่ให้ตนเองหลงใหลในความงามของอิสตรีจนน่าตะลึงด้วย
สตรีที่แต่ละฝ่ายส่งมาเอาอกเอาใจเขาก็เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแทบทั้งนั้น แล้วก็ไม่เคยเห็นเขาหลงใหล มีความอบอุ่นอ่อนโยนตรงที่ใด แม้แต่หลิ่วเฟยอิงที่เป็นนางโลมจากหอชิงโหลว นางได้รับฉายาว่าลีลาบนเตียงเด็ดนักก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ได้ ทว่าเรื่องค้นบ้าน ยึดทรัพย์ สืบสวน จับโจรผู้ร้าย ปะทะคารมเรื่องสกปรกโสมมกับขุนนางกลับทำให้เขาฮึกเหิม มีกำลังวังชา ไม่ต้องนอนสามวันสามคืนก็ยังได้ เขาจะนำองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ วันนี้ค้นบ้านนี้ พรุ่งนี้ยึดบ้านนั้น สืบสวนคดีอย่างเริงร่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บุรุษผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นมือสังหารโดยแท้ เหมียวลั่วชิงรู้แน่แก่ใจ ถึงตายนางก็ไม่มีทางลืมการสั่งสอนที่นองไปด้วยเลือดที่สั่งสมมาเก้าชาติ แต่ถ้าหากนางได้รู้ว่ายามที่นางสลบไปหลายวันนี้หร่านเจียงป้อนยาน้ำให้นางด้วยปากทีละคำๆ โอบกอดนาง มือเขาแนบกับเนินอกเปลือยเปล่าของนาง ส่งพลังเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บ นางคงจะต้องตะลึงอ้าปากค้างอย่างแน่นอน
นางไม่รู้ว่าหร่านเจียงมาเยี่ยมนางทุกวัน เขาไม่เพียงลูบไล้เนื้อตัวนาง ยังจุมพิตนางด้วย ดวงตาเร่าร้อนดั่งเปลวเพลิงจับจ้องสตรีที่รักเขามากจนกระทั่งยอมตายแทนได้ ปรารถนาให้นางฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว
แม้หรุ่ยเอ๋อร์จะเกรงกลัวอำนาจของใต้เท้า คอยดูแลปรนนิบัติชิงเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง ทว่าท้ายที่สุดในใจนางกลับไม่ยินยอม ดังนั้นจึงไม่ยอมบอกชิงเอ๋อร์ถึงสิ่งที่ใต้เท้าทำยามที่นางสลบไสล
ทุกครั้งที่ใต้เท้ามาก็จะให้หรุ่ยเอ๋อร์ถอยออกไป ทว่านางอดสนใจใคร่รู้ไม่ได้จึงแอบมองจากผ้าม่านประตูที่กั้นอยู่อย่างอาจหาญ ครั้นนางมองไปก็ตะลึงงันจนเลือดลมพลุ่งพล่าน
ครั้นหรุ่ยเอ๋อร์นึกถึงภาพนั้นใบหน้าและร่างกายนางก็พลันร้อนผ่าว นางปรนนิบัติใต้เท้ามาเป็นเวลายาวนานไหนเลยจะเคยเห็นใต้เท้าใส่ใจสตรีนางใดเช่นนี้ หากมองจากรูปโฉมและตำแหน่งของใต้เท้า มีสตรีที่ใดบ้างที่เขาจะไม่ได้มา ไม่ต้องกล่าวถึงพวกอี๋เหนียงที่เรือนฝ่ายใน ขอเพียงใต้เท้ากระดิกนิ้ว นางและซุ่ยเอ๋อร์ก็ยินยอมพร้อมใจจะปรนนิบัติถึงบนเตียง ใครจะไปนึกว่าใต้เท้าไม่เอาใครทั้งนั้น ดันจะไปเอาชิงเอ๋อร์ที่ไม่ได้สติ ทั้งลูบคลำทั้งจุมพิต นางสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าฉากนี้ดูพิลึกพิลั่นนัก แต่กลับอดหน้าแดงหัวใจเต้นรัวไม่ได้และยังอิจฉาริษยาด้วย
เหมียวลั่วชิงจ้องสีหน้าแปลกประหลาดของหรุ่ยเอ๋อร์ อีกฝ่ายยังคงหน้าแดงอย่างผิดปกติ ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ไยจึงหน้าแดงเช่นนี้”
ในที่สุดหรุ่ยเอ๋อร์ก็ได้สติกลับมา ปะทะกับสายตาสงสัยของเหมียวลั่วชิงจึงรีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่ได้คิดอะไรเจ้าค่ะ แม่นางเพิ่งฟื้นคงจะหิวแล้วกระมัง ท่านหมอกำชับไว้ว่าแม่นางไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน กินโจ๊กสักหน่อยก่อนแล้วกัน”
เหมียวลั่วชิงก็หิวจริงๆ ทว่านางกระหายน้ำมากกว่า ในใจคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็กินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยหาทางติดต่อกับอี้
นางกำลังพะวงกับเรื่องนี้จึงไม่สนว่าหรุ่ยเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่
นางกินโจ๊กพลางมองตรวจสอบสภาพห้องในขณะนี้ นี่คือเรือนจู๋เซวียน หรุ่ยเอ๋อร์บอกนางว่าหร่านเจียงตัดสินใจจะรับนางเป็นอนุภรรยา เขาจึงให้นางมาพักฟื้นที่เรือนแห่งนี้
เรือนจู๋เซวียนเป็นเรือนที่อยู่ใกล้เรือนของหร่านเจียงที่สุด เดิมทีเป็นเรือนว่าง หลังจากที่หร่านเจียงสั่งให้บ่าวไพร่ทำความสะอาดเรือนนี้ก็ย้ายนางมาพักฟื้นที่นี่ และยังส่งสาวใช้บ่าวไพร่ให้มาปรนนิบัติดูแลด้วย ในระหว่างที่นางยังไม่ได้สติเขาก็จัดเตรียมเรื่องราวทั้งหมดเสียเรียบร้อย
หลังจากนั้นเหมียวลั่วชิงก็พูดเลียบๆ เคียงๆ นางอยากรู้สถานการณ์ในโรงเตี๊ยมวันนั้น หลังจากที่นางสลบไป อี้ซึ่งเป็นนักฆ่ารอดหรือตาย แต่หรุ่ยเอ๋อร์เป็นเพียงสาวใช้ในเรือน นางจะรู้สถานการณ์ภายนอกได้อย่างไร ทว่านางยังคิดจะหลอกถามหรุ่ยเอ๋อร์ว่าวันนั้นนางช่วยชีวิตใต้เท้าอย่างไร
เหมียวลั่วชิงรู้สึกรำคาญหรุ่ยเอ๋อร์จึงให้อีกฝ่ายออกไปแล้วเรียกบ่าวไพร่คนอื่นเข้ามา แต่กลับไม่มีใครรู้ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นางทำได้เพียงต้องหาวิธีอื่นสืบข่าวต่อไป
จากสถานการณ์เลวร้ายในครั้งนี้เรียกได้ว่านางเป็นแมวเก้าชีวิตจริงๆ
ที่ผ่านมาเหมียวลั่วชิงอาศัยอยู่ในเรือนสาวใช้ ไม่ว่านางจะเข้านอกออกใน ทำอะไร ก็จะหลีกเลี่ยงจากคนอื่นและรักษาความลับไว้ได้ ทว่ายามนี้นางอยู่ในเรือนจู๋เซวียน ข้างกายนางล้วนมีสาวใช้ บ่าวไพร่ นางบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำ ขอเพียงนางเคลื่อนไหวก็จะมีคนมาดูแลนางทันที
“ใต้เท้ากำชับไว้ หากแม่นางเป็นอะไรไป ชีวิตของพวกเราคงหาไม่แน่เจ้าค่ะ”
“ใต้เท้าร้อนใจเช่นนี้ ใต้เท้าจะต้องถูกตาต้องใจแม่นางเป็นแน่เจ้าค่ะ!”
“แม่นางช่วยชีวิตใต้เท้าไว้ ตั้งแต่นี้ต่อไปจะต้องสุขสบายร่ำรวยเป็นแน่ ได้ลืมตาอ้าปากแล้วเจ้าค่ะ!”
เหล่าสาวใช้และแม่บ้านคอยอยู่ข้างกายนาง ทั้งยินดีทั้งประจบประแจง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาและประจบสอพลอ
เหมียวลั่วชิงเผยรอยยิ้มอ่อน ทว่าในใจกลับสัมผัสได้ถึงลางร้าย สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อนางเลย ยามนี้ไม่ว่าตนจะทำอะไรก็มีคนคอยมอง ซ้ำยังบาดเจ็บสาหัส เคลื่อนไหวไม่สะดวก อยากจะหลบออกไปจากเรือนจู๋เซวียนโดยไม่ให้ใครรู้ก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญ
มีดวงตามากมายเช่นนี้คอยจับจ้องนาง นางจะสืบข่าวของอี้ได้อย่างไร
นางทำลายแผนการของอี้ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงทางสำนัก นางจะต้องรับผลกรรมที่ตามมาแน่
“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” เหมียวลั่วชิงเอ่ยเสียงเรียบ
ครั้นพวกแม่บ้านและสาวใช้ได้ฟังแล้วก็รีบพยักหน้าตอบรับ
หลังจากรอให้คนพวกนั้นออกจากห้องไป หรุ่ยเอ๋อร์ก็แอบก่นด่าอย่างโกรธเคือง
“วิเศษวิโสอะไรนักหนา ดูท่าทางของนางสิ แค่กลายเป็นอี๋เหนียงก็ทำเป็นวางท่าดูถูกคน”
พอซุ่ยเอ๋อร์ได้ฟังก็รีบเตือนอีกฝ่ายทันควัน “เบาๆ หน่อย ยามนี้นางได้ดั่งฝันแล้ว ทับอยู่บนหัวพวกเรานะ”
“หึ เป็นอี๋เหนียงแล้วอย่างไร ไม่ใช่ภรรยาหลวงสักหน่อย อี๋เหนียงก็เป็นสาวใช้เช่นกัน เพียงแต่สูงกว่าพวกเรานิดหน่อยเท่านั้นเอง รอให้ความรู้สึกสดใหม่ของใต้เท้าหมดไปก่อนเถอะ ดูซิว่านางจะยังกำเริบได้หรือไม่”
ครั้นซุ่ยเอ๋อร์ได้ฟังก็ยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดก็ถูก ก็ลองดูจุดจบของพวกอี๋เหนียงในเรือนฝ่ายในสิ มีใครเป็นที่โปรดปรานไปได้ตลอดบ้าง แม้แต่เชี่ยนเหนียงที่งดงามที่สุดก็ยังถูกใต้เท้าทิ้งไว้ที่เรือนฝ่ายในเลยมิใช่หรือ”
หรุ่ยเอ๋อร์ได้ฟังมาถึงจุดนี้ก็ยินดีปรีดา “นั่นสิ แม้ว่าพวกเราจะเป็นแค่สาวใช้ แต่ก็ได้พบหน้าใต้เท้าทุกวัน ดีกว่าสตรีที่โดดเดี่ยวเดียวดายพวกนั้นเป็นไหนๆ”
สตรีทั้งสองนางแอบหัวเราะซุบซิบนินทา อันที่จริงปกติแล้วพวกนางทั้งสองคนก็คอยปะทะคารมกันอย่างดุเดือด ทว่ายามนี้ต้องมาเผชิญหน้ากับเหมียวลั่วชิงที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วพวกนางก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันโดยปริยาย
แม้พวกนางจะกระซิบกระซาบ แต่กลับไม่รู้เลยว่าเหมียวลั่วชิงได้ยินทุกคำไม่มีตกหล่น
เหมียวลั่วชิงพลันยิ้มเย็น นางรู้ตั้งนานแล้วว่าสาวใช้สองคนนี้ไม่ได้หวังดีกับนางดังเช่นที่แสดงออก ยามอยู่ต่อหน้านางก็ทำเป็นเสแสร้ง พอลับหลังก็ซุบซิบนินทา
เหมียวลั่วชิงไม่ใส่ใจพวกนาง สาวใช้สองคนนี้หน้าไม่ตรงกับใจ ถ้าหากมีโอกาสก็คงหลอกใช้ได้ แต่คนที่ทำให้นางปวดหัวคือพวกแม่บ้าน พ่อบ้าน และบ่าวไพร่ในเรือนต่างหากเล่า เพราะคนเหล่านี้จะคอยตรวจตรานางไม่ให้คลาดสายตา แล้วพวกเขาก็ยังมีพื้นฐานวรยุทธ์ด้วย
จากเสียงฝีเท้าอันเงียบเชียบ ลมหายใจยาวและมั่นคงของพวกเขา จึงรู้ว่าพวกเขาฝึกวรยุทธ์มา นอกจากจะตั้งใจปกปิด อย่างเช่นตัวนางเอง เพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตได้ว่านางมีวรยุทธ์ นางจึงแอบสกัดจุดชี่ไห่เพื่อกีดขวางกำลังภายใน ให้ลมหายใจและเส้นลมปราณของตนอยู่ในสภาพอ่อนแอ
มีเพียงยามกลางดึกที่ไร้ซึ่งผู้คนเท่านั้นนางถึงจะค่อยๆ เปิดจุดชี่ไห่ออกแล้วนั่งสมาธิเดินพลังสักครึ่งชั่วยามเพื่อขยายเส้นเอ็นทั่วร่าง
นางสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องแล้วปล่อยผ้าม่านเตียงลง ซ่อนตัวอยู่ด้านใน ค่อยๆ นั่งสมาธิ หลังจากหายใจเข้าออกลึกๆ นางก็เปิดจุดชี่ไห่ เริ่มเดินพลังรักษาอาการบาดเจ็บอย่างไร้สุ้มเสียง
นางนึกว่าเมื่อให้ทุกคนออกไปแล้วนางก็จะนั่งสมาธิเดินพลังอย่างสบายใจได้ แต่นางกลับไม่รู้ว่ามีคนเล็ดลอดจากการฟังของนาง เข้าใกล้นางอย่างเงียบกริบ ค่อยๆ เอามือแหวกผ้าม่านออก เห็นร่างอันทรงเสน่ห์ได้โดยง่าย
เหมียวลั่วชิงกำลังเดินพลังอยู่ หมุนเวียนลมปราณภายในไปรอบหนึ่ง เพ่งสมาธิ หลับตาผ่อนคลายอย่างสงบราวกับพระโพธิสัตว์กวนอินกำลังนั่งสมาธิ งดงามราวเทพธิดา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางมีความรู้สึกไวโดยธรรมชาติหรือเพราะขี้ระแวง จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา มักจะสัมผัสได้ว่ามีคนแอบมองนางอยู่ ราวกับว่ามีสายตาที่ไร้รูปคอยจ้องมองนางทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แววตาอันเร่าร้อนนั้นทำให้นางมิอาจซ่อนกายไว้ได้
นางรู้สึกตะลึงงัน ดวงตางดงามลืมขึ้นมาทันใดราวกับตื่นจากฝัน
ภายในห้องเงียบกริบ ม่านบนเตียงยังคงปิดบังร่างนางที่นั่งขัดสมาธิเดินพลังอยู่ในสภาพเดิม รอบกายไร้ผู้คน ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น มีเพียงหัวใจนางที่เต้นรัวด้วยความกระสับกระส่าย
นางไม่วางใจจึงเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย มองตรวจสอบรอบด้านอย่างละเอียด
ประตูห้องก็ยังคงปิดอยู่ นางไม่รู้สึกถึงลมหายใจใดๆ จากรอบด้าน นางจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก นางคิดมากไปตามคาด
“ใต้เท้า”
ซุ่ยเอ๋อร์เอ่ยประโยคหนึ่งดังมาจากด้านนอกทำให้เหมียวลั่วชิงที่เพิ่งวางใจลงแข็งเกร็งขึ้นมาโดยพลัน
“ไยจึงอยู่นอกห้อง ไม่คอยอยู่เฝ้าแม่นาง” สุ้มเสียงของหร่านเจียงแฝงไปด้วยการตำหนิ
“ใต้เท้าโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ แม่นางอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่อยากให้พวกเราเฝ้าอยู่ในห้อง พวกเรากลัวว่าจะรบกวนนางเลยออกมาเฝ้าอยู่นอกห้อง”
ซุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างน่าสงสาร ดูจากท่าทางภายนอกที่เคารพนบนอบแต่ก็แฝงด้วยเจตนาฟ้องเช่นกัน
เหมียวลั่วชิงไม่สนใจที่ซุ่ยเอ๋อร์ฟ้องหร่านเจียงหรอก ทว่ากลับสนใจที่เขามาหาตน กลางวันแสกๆ แท้ๆ เขาไม่ได้อยู่ที่กองปราบฝ่ายเหนือหรือ ไยจึงกลับจวนมาแล้วเล่า
นางรีบจัดการความคิด สกัดจุดชี่ไห่ของตน ซ่อนกำลังภายในไว้ ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกนางก็นอนตะแคง หันหลังออกด้านนอก หลับตาแสร้งทำเป็นหลับ
บุรุษผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง นางสัมผัสได้ว่าเรือนร่างของนางอยู่ในสายตาเขา หร่านเจียงกำลังจ้องนางอยู่
นางรู้สึกว่าขอบเตียงยวบลงไปเล็กน้อย เขานั่งลงข้างกายนาง ส่วนนางก็พยายามควบคุมลมหายใจรวมถึงชีพจรให้อ่อนและตื้นเข้าไว้เพื่อไม่ให้เขาสังเกตได้ว่านางตื่นอยู่
นางไม่รู้ว่าวันนี้พอนางตื่นขึ้นมาก็มีคนรายงานหร่านเจียงทันที และนี่ก็คือเหตุผลที่จู่ๆ เขาก็กลับจวนมาแล้วปรากฏตัวในห้องนาง
นางรู้แต่เพียงว่าพอตนเองฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนจากฐานะสาวใช้กลายเป็นอนุภรรยาเสียแล้ว นางไม่อยากมีความสัมพันธ์ใดๆ กับเขาเลย แล้วยิ่งไม่อยากให้เขาแตะเนื้อต้องตัวนาง แต่ก็กลัวจะยั่วโทสะเขาหรือทำให้เขาระแวง
นางยังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าเขาอย่างไร ดังนั้นก่อนที่นางจะคิดหาทางออกว่าจะรับมือกับเขาเช่นไรดี นางก็ทำได้เพียงแสร้งนอนหลับ
โชคดีที่ร่างกายนางบาดเจ็บ เชื่อว่าในสถานการณ์เช่นนี้หร่านเจียงก็คงไม่ถึงกับรีบร้อนแตะต้องตัวนาง
ขณะที่นางปลอบใจตนเองเช่นนี้ จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวบนหัวไหล่ ฝ่ามือใหญ่ของเขาส่งพลังความอบอุ่นผ่านเสื้อผ้าไปสู่ผิวพรรณของนาง
นางรู้สึกถึงมือข้างนั้นได้อย่างฉับไว มันค่อยๆ เคลื่อนจากหัวไหล่ไปตามเส้นเว้าโค้งของเรือนร่างที่นางนอนตะแคงอยู่ มือนั้นรุกล้ำเข้าไปในผ้าห่ม ลูบไล้จากหัวไหล่ไปยังสะเอว
ดวงหน้านางนอนหลับอย่างสงบ ทว่าหัวใจกลับเริ่มกระสับกระส่ายไปตามฝ่ามือใหญ่ที่วูบไหวอยู่ที่เอว
เขาคิดจะทำอะไร
ฝ่ามืออันร้อนรุ่มแทรกเข้าไปในอาภรณ์ของนางอย่างอ่อนโยนแนบอยู่บนหน้าท้องนาง ลูบไล้ไปมา ความหยาบกระด้างของฝ่ามือนั้นค่อยๆ ลูบคลำผิวพรรณที่เกลี้ยงเกลานุ่มลื่นของนาง
ครั้นลมหายใจอันร้อนผ่าวของเขาเข้ามาใกล้ข้างหู ริมฝีปากบางนั้นก็แนบเข้าไปตรงซอกคออันเนียนนุ่มของนาง ดูดดื่มอย่างเชื่องช้า
เพลิงปรารถนากระจายไปทั่วอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ส่งเสียงปลุกนาง ทว่ากลับใช้การลูบไล้มาก่อกวนนาง
หร่านเจียงจ้องดวงหน้าด้านข้างอันงดงามของนาง ลมหายใจของนางตื้นเขินนัก ชีพจรก็ดูมั่นคง ดูคล้ายนางกำลังหลับลึก แต่ถึงจะรัดกุมอย่างไรก็ยังคงมีช่องโหว่ แววตาอันเร่าร้อนลึกล้ำจับจ้องที่ลำคอนาง ขณะที่ปลายลิ้นของเขาโลมเลียอยู่นั้น ผิวของนางก็ขนลุกชันขึ้นมา
เขาไม่ได้เปิดโปงนาง ปล่อยให้นางแสร้งนอนหลับต่อไป ส่วนเขาก็ไล่พรมจูบไปถึงแก้มอย่างเชื่องช้า งับติ่งหูนางเบาๆ เพื่อดูดดื่มลิ้มลอง
ฝ่ามือใหญ่ของเขาค่อยๆ เคลื่อนไปด้านบน ความอ่อนโยนปกคลุมความเนียนนุ่มของนางไว้ด้านหนึ่ง นิ้วชี้และนิ้วโป้งก็นวดคลึงส่วนยอดของบุปผาตูมสีชมพูแดงนั้น
เหมียวลั่วชิงยังคงหลับตา ลมหายใจราบเรียบเชื่องช้าและตื้นเขิน จิตใจนางไม่ได้กระเจิดกระเจิงไปเพราะถูกเขายั่วเย้า ทว่าสวรรค์ย่อมล่วงรู้ ยามนี้จิตใจนางหวาดผวาเพียงใด ยามที่นางนอน เขายังกล้ากำเริบถึงเพียงนี้ เช่นนั้นยามที่นางตื่น นางจะไม่โดนเขากลืนกินไปทั้งร่างเลยหรือ
นางทำได้เพียงอดทนต่อไป เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆ เผยความในใจลึกๆ ของนาง
“ใต้เท้า รองเสนาบดีชุยจากกรมอาญามาขอพบขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชามาแจ้งจากด้านนอกอย่างแผ่วเบา
เหมียวลั่วชิงรู้สึกยินดีปรีดายิ่งนัก นึกว่าหร่านเจียงจะยอมหยุดและออกไปทันที ใครจะไปนึกว่าเขาเพียงตอบกลับไปอย่างเกียจคร้านประโยคหนึ่ง
“ให้เขารอต่อไป”
รออะไร ใต้เท้าชุยจากกรมอาญาเป็นขุนนางขั้นสาม ตำแหน่งเขาสูงกว่าท่านนะ ท่านยังจะให้เขารออีกหรือ
เหมียวลั่วชิงแทบอยากจะกัดฟันกรอด บุรุษผู้นี้ไม่เพียงไม่หยุดมือ ฝ่ามือใหญ่ที่ซุกซนนั้นยังลูบไล้เข้าไปด้านในต้นขานาง นางเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว
ตื่นสิ? ยังไม่ยอมตื่นอีก?
นางตกลงไปอยู่ท่ามกลางสงครามระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์ ยามนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาก็เอ่ยเตือนมาจากด้านนอกอีกครั้ง
“ใต้เท้า รองเสนาบดีชุยมาด้วยพระราชโองการของฮ่องเต้ขอรับ”
ฝ่ามือใหญ่ที่ลูบคลำเข้าไปที่หว่างขาหยุดลงในที่สุด อีกเพียงชุ่นเดียวก็จะเข้าไปสู่ทางบุปผาแล้ว
หร่านเจียงเก็บมือกลับ ห่มผ้าห่มให้นางอย่างดีแล้วลุกขึ้นเดินจากไป กำชับคนที่อยู่นอกห้องให้ดูแลนางให้ดี เขาก้าวเดินจากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
แม้ว่าตัวเขาจะจากไปแล้ว ทว่ากลิ่นอายยังคงตลบอบอวลอยู่ภายในผ้าม่าน เขาได้ทิ้งสัมผัสไว้บนผิวของนาง
เหมียวลั่วชิงลืมตาขึ้นหอบหายใจอย่างแรง นางอดกลั้นมานาน เกือบจะแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้ว
นางหงุดหงิดยิ่ง จากสถานการณ์นี้ไม่ว่าจะช้าจะเร็วหร่านเจียงก็คงต้องการตัวนาง ครั้นคิดว่าตนเองจะต้องทนอัปยศอดสูคอยปรนเปรอเขาก็พลันรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง
ยามนี้หรุ่ยเอ๋อร์ก็เข้าห้องมา เมื่อเห็นนางตื่นแล้วก็เดินขึ้นหน้ามายิ้มแย้มอย่างเอาใจ
“แม่นาง อยากจะดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ”
เหมียวลั่วชิงช้อนตาขึ้นมองหรุ่ยเอ๋อร์ เห็นอีกฝ่ายมองตรวจสอบตนเองด้วยสายตาหลุกหลิกก็พอรู้ว่าจงใจมาสืบเรื่องราว อยากรู้ว่าเมื่อครู่หร่านเจียงทำอะไรกับตนในห้อง
ยามนี้นางกำลังหงุดหงิดใจและรู้สึกรังเกียจหรุ่ยเอ๋อร์ยิ่ง สตรีผู้นี้มีจิตใจคับแคบ เดิมทีนางคิดจะให้หรุ่ยเอ๋อร์ถอยออกไป ทว่าจู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้
นางจ้องหรุ่ยเอ๋อร์ ทันใดนั้นก็เกิดความคิดว่าจะหลอกใช้อีกฝ่าย ดังนั้นมุมปากจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“หรุ่ยเอ๋อร์ ข้านอนอยู่บนเตียงมานานเกินไปแล้ว อยากเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง เจ้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าแล้วกัน”
หรุ่ยเอ๋อร์เห็นเหมียวลั่วชิงยิ้มให้ ไม่แสดงสีหน้าเย็นชาใส่นางเหมือนที่ผ่านมา ในใจนางก็คิดว่าต้องเป็นเพราะความสัมพันธ์กับใต้เท้าแน่ที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดียิ่งนัก นางอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเหมียวลั่วชิงอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้มเอาใจ
“เจ้าค่ะ ออกไปเดินเล่นก็ดีเหมือนกัน จะได้หายไวๆ เจ้าค่ะ” หรุ่ยเอ๋อร์เดินขึ้นหน้าพยุงเหมียวลั่วชิง เป็นท่าทางของสาวใช้ที่ปรนนิบัตินางอย่างเอาใจใส่
แม้ว่าหรุ่ยเอ๋อร์จะอิจฉาเหมียวลั่วชิง แต่นางก็ตระหนักได้ว่าถ้าหากตนเองยั่วโทสะอีกฝ่ายก็ไม่เป็นผลดีอะไร ยิ่งไปกว่านั้นการคอยรับใช้อยู่ที่นี่ก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือนางสามารถพบหน้าใต้เท้าได้บ่อยครั้ง
เหมียวลั่วชิงยอมให้หรุ่ยเอ๋อร์พยุงเดินเล่นอยู่ภายในลาน ในเมื่อมีดวงตาหลายคู่คอยจับจ้องอยู่ เช่นนั้นนางก็จะแสดงความใจกว้างออกมา การทำเช่นนี้กลับหลบหลีกจากสายตาผู้คนได้มากมาย
เป็นดังที่เหมียวลั่วชิงคาดการณ์ไว้ เพราะมีหรุ่ยเอ๋อร์มาเดินเป็นเพื่อน ทั้งสองคนจึงก้าวออกจากเรือนจู๋เซวียนได้อย่างราบรื่น แล้วนางก็ฉวยโอกาสนี้จงใจเอ่ยว่าอยากจะเข้าห้องน้ำ หรุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่สงสัยอะไร จึงพยุงนางเดินไป
ครั้นถึงห้องน้ำ เหมียวลั่วชิงก็จงใจเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “ข้าเคลื่อนไหวได้ช้า อาจจะนานหน่อยนะ หากเจ้ารำคาญที่ข้าช้าจะเข้ามาช่วยก็ได้”
หรุ่ยเอ๋อร์ไม่อยากเข้าไปช่วยนางหรอกจึงเอ่ยว่า “แม่นางค่อยๆ ทำ ไม่ต้องรีบ บ่าวจะรออยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
เหมียวลั่วชิงเหลือบมองหรุ่ยเอ๋อร์แวบหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจ “ก็ได้ ข้าจะค่อยๆ ทำ แต่เพื่อไม่ให้กระทบถึงบาดแผล ข้าจะช้ามากนะ เจ้าอย่ามาเร่งข้าล่ะ” ครั้นเอ่ยจบนางก็เข้าห้องน้ำไป
หรุ่ยเอ๋อร์รออยู่ด้านนอก คนอื่นก็จะนึกว่านางอยู่ด้านใน เหมียวลั่วชิงจึงฉวยโอกาสนี้ทนความเจ็บปวดจากบาดแผลแฉลบกายจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครรู้เห็น
บทที่ 6
ครั้นเหมียวลั่วชิงมาถึงโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหล นางก็สืบข่าวคราวจากเสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์สาธยายถึงสถานการณ์ในวันนั้นอย่างออกรสออกชาติ ในที่สุดนางก็เข้าใจสภาพการณ์คร่าวๆ แล้ว
หลังจากที่อี้ลอบสังหารไม่สำเร็จก็หนีไป เขาไม่ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของหร่านเจียง
ดูท่านางคงจะอยู่ในจวนสกุลหร่านต่อไปไม่ได้แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่อยากมีความสัมพันธ์ใดๆ กับหร่านเจียง แค่ทรยศต่อคำสั่งลอบสังหารแล้วยังช่วยชีวิตหร่านเจียงไว้อีก ทางสำนักไม่มีทางปล่อยนางแน่
หากนางยังอยู่ในจวนสกุลหร่านต่อไป จุดจบก็มีเพียงความตายสถานเดียว
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลนางก็เดินก้มหน้าก้มตาไปตามท้องถนน ยามนี้นางแต่งกายด้วยผ้าหยาบเช่นสตรีทั่วไป ละเลงจุดดำบนดวงหน้า จึงดูไม่สะดุดตา ไม่เป็นที่สังเกต
ตั้งแต่นางล้มเลิกการลอบสังหารหร่านเจียง นางก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว รอเพียงวันใดที่สบโอกาส จะได้ออกจากจวนสกุลหร่านอย่างราบรื่น ยามนี้ความปรารถนาของนางก็เป็นจริงแล้ว
นางสะพายย่าม ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองทันที เนื่องจากนางยังคงบาดเจ็บ ไม่สะดวกที่จะสิ้นเปลืองกำลังภายใน ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกรถเทียมวัวมาคันหนึ่ง จ่ายเงินให้คนขับรถด้วยเศษเหรียญเพื่อให้เขาส่งตนออกจากเมือง
ครั้นรถเทียมวัวเคลื่อนไปได้สักระยะหนึ่งจู่ๆ ก็หยุดลง
เหมียวลั่วชิงเลิกผ้าม่านหน้าต่างขึ้นถามพลางขมวดคิ้ว “ท่านลุง ไยจึงไม่เคลื่อนที่เล่า”
คนขับรถเป็นบุรุษวัยห้าสิบกว่าปีหันมาตอบนางว่า “แม่นาง องครักษ์เสื้อแพรสืบคดีอยู่ด้านหน้า พวกเขาขวางถนนเอาไว้ ต้องรอแล้วล่ะ” น้ำเสียงของท่านลุงราวกับว่าไม่แปลกใจกับสถานการณ์เยี่ยงนี้เลย
ครั้นเหมียวลั่วชิงได้ยินคำว่าองครักษ์เสื้อแพรนางก็หน้าถอดสีโดยพลัน
“ท่านลุง อ้อมไปทางอื่นเถิด ข้าจะจ่ายเงินให้ท่านเพิ่ม”
“ได้เลย!” ครั้นคนขับรถได้ฟังก็เลี้ยวรถเทียมวัวไปทางตรอกอื่นทันที
รถเทียมวัวอ้อมรอบใหญ่ หลังจากผ่านถนนไม่กี่สายก็พบกับรถเทียมวัวคันอื่น คนขับรถคล้ายว่าจะเจอพวกเดียวกันจึงหยุดรถสนทนากับฝ่ายตรงข้ามแล้วหันกลับไปบอกนาง
“แม่นาง ได้ยินว่าถนนสายอื่นที่จะไปยังประตูเมืองถูกขวางไว้หมด องครักษ์เสื้อแพรกำลังตรวจสอบคน อย่างไรคงต้องรออีกนาน”
เหมียวลั่วชิงหน้าคว่ำโดยพลัน นางหยิบเศษเงินออกมาให้ท่านลุง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ ข้าเดินไปเองแล้วกัน” นางลงจากรถเทียมวัวทันที คนขับรถไม่ต้องทอนเงินให้นาง นางเดินสะพายย่ามไปด้วยตนเอง
เหมียวลั่วชิงเดินปะปนไปกับกลุ่มผู้คน เห็นองครักษ์เสื้อแพรจำนวนไม่น้อยเดินไปเดินมา ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นก็ซุบซิบกันเป็นระลอก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น คงไม่ใช่ว่าขุนนางคนใดถูกค้นบ้านยึดทรัพย์อีกนะ” มีคนถามขึ้น
“ไม่ใช่ค้นบ้านยึดทรัพย์ ได้ยินว่าใต้เท้าหร่านจะมาจับคน”
“ใครน่ะ นักโทษหนีตายหรือ”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่คล้ายว่าจะมาตามหาสตรีนางหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ขวางถนนสายสำคัญที่จะมุ่งหน้าออกจากเมืองแต่ละสายไว้ กำลังตรวจสอบทีละคนๆ”
“ก็แน่สิ ข้าได้ยินว่าองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าประตูเมืองไว้หมด ตรวจสอบทุกคนที่จะออกจากเมืองอย่างเข้มงวด!”
ชาวบ้านหลายคนพูดไปพูดมา วาจาเหล่านี้ก็ดังมาเข้าหูเหมียวลั่วชิงทุกคำไม่ขาด นางตื่นตระหนกยิ่งนัก ตัวนางออกจากจวนสกุลหร่านมาได้ไม่นานนักหร่านเจียงก็ส่งคนไปปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้านแล้ว เขาจัดการรวดเร็วเช่นนี้ทำให้นางทำอะไรไม่ถูก
นางก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป เพียงชั่วครู่นางก็เห็นเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งกำลังตรวจสอบสตรีสาวบนถนนที่อยู่เบื้องหน้า หนึ่งในนั้นก็คือหวงจิ่น องครักษ์เสื้อแพรผู้สวมชุดเฟยอวี๋สีแดงสด ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหร่านเจียง
นางเปลี่ยนทิศทางทันทีโดยเดินเข้าไปในตรอกด้านข้าง เร่งความเร็วฝีเท้าอย่างเงียบกริบ
เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก ในเมื่อนางเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาไม่นาน เพื่อหลบหลีกหูตาองครักษ์จวนสกุลหร่าน นางต้องใช้วิชาตัวเบาและกำลังภายในจึงสะเทือนถึงบาดแผล
ทว่านางต้องกัดฟันทนไว้ เร่งความเร็วฝีเท้า ครั้นพบว่ามีเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบซักถามคนอยู่ที่ทางเข้าตรอกอีกด้านนางก็รีบแฉลบกายมาทางด้านข้าง หลังพิงกำแพงอิฐไว้
ครั้นนางเห็นว่าเจ้าหน้าที่กำลังจะเดินมาทางนี้ นางก็แตะปลายเท้าข้ามกำแพงเข้าไปยังลานบ้านแห่งหนึ่ง ขณะที่ร่วงลงถึงพื้นนั้นนางก็โซซัดโซเซเล็กน้อย
นางหลับตาลงรอให้หายจากอาการตาพร่ามัว ครั้นดวงตาปรับสภาพได้แล้วนางก็ค่อยๆ มองตรวจสอบรอบด้าน
นี่คือเรือนใหญ่หลังหนึ่ง มีคนรับใช้อยู่ไม่มาก ไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะหาทางหลบหลีก นางจึงตัดสินใจหลบอยู่ที่นี่ก่อนเป็นการชั่วคราว รอให้สถานการณ์ผ่านไปค่อยคิดหาวิธีออกจากเมือง
เพียงแต่น่าเสียดาย แผนการที่นางวางไว้ไม่เป็นดั่งใจ นางเพิ่งหลบมาได้เพียงคืนเดียว เช้ามืดในวันถัดมานางก็ต้องตกใจตื่นด้วยเสียงรบกวน
นางเป็นคนมีความรู้สึกไวและนอนหลับไม่ลึก แค่เสียงอะไรเล็กน้อยนางก็จะรู้สึกตัวทันที ทว่าเมื่อคืนอาจจะมาจากสาเหตุที่นางยังบาดเจ็บอยู่เลยทำให้นางหลับลึก
นางเดาว่ายาที่ดื่มไปนั้นจะต้องผสมยาผ่อนคลายอารมณ์เข้าไปด้วยแน่ มิเช่นนั้นไยนางจึงหลับลึกไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้ จนกระทั่งตกใจตื่นเพราะการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
ยามนี้หากนางจะหนีก็ยังคงเชื่องช้าอยู่บ้าง นางจึงรีบหลบเข้าไปยังห้องหนึ่งแล้วได้ยินที่คนรับใช้ซุบซิบกันอยู่ด้านนอก นางจึงรู้ว่าองครักษ์เสื้อแพรขยายวงตรวจสอบไปจนถึงเรือนทุกหลังแล้ว
เหมียวลั่วชิงกังวลเป็นการใหญ่ จะสลัดให้หลุดจากองครักษ์เสื้อแพรช่างยากเย็นนัก ทว่านางก็อดสงสัยไม่ได้
กล่าวตามจริง นางไม่เชื่อหรอกว่าหร่านเจียงจะกระทำการอึกทึกครึกโครมเยี่ยงนี้เพียงเพื่อตามหาตัวนาง สำหรับเขาแล้วนางก็เป็นเพียงสาวใช้ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แม้นางจะช่วยชีวิตเขา ทำให้เขารู้สึกดีกับนาง ก็คงไม่ถึงขั้นต้องระดมองครักษ์เสื้อแพรและเจ้าหน้าที่กลุ่มใหญ่ออกตามหานางเสียทั่วเมืองหรอก
เหมียวลั่วชิงข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะค้นมาถึงห้องที่นางอยู่ นางก็หนีออกไปได้ทันเวลา
การใช้วรยุทธ์เช่นนี้จะต้องใช้กำลังภายในทำให้แผลของนางปริออก นางสัมผัสได้ว่าที่แผ่นหลังของตนมีเลือดซึมออกมา
นางซ่อนตัวไปมาสิบวัน ภายในสิบวันนี้เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูเมืองตรวจสอบคนเข้าออกอย่างเข้มงวดโดยตลอด แต่ละสถานที่ในตัวเมืองก็มีองครักษ์เสื้อแพรตรวจสอบกลับไปกลับมา ท้ายที่สุดก็ยังไม่เว้นแม้กระทั่งขอทาน
เหมียวลั่วชิงจะไปที่ใดก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าการตรวจสอบของหร่านเจียงจะสิ้นสุดลงเมื่อใด นางไม่กล้าไปพักที่โรงเตี๊ยมและก็ไม่กล้าไปพักอ้างแรมที่ใดเป็นเวลานาน หลายวันนี้นางพักอยู่ด้านนอก บ้างก็นอนบนหลังคา บ้างก็หลบเข้าไปปูพื้นนอนในลานบ้านคนอื่น
ยามนี้ยังไม่เข้าสู่ฤดูสารท ทว่ายามค่ำคืนก็หนาวเย็นอยู่บ้าง อาการบาดเจ็บของนางหนักหนาอยู่เหมือนกัน กอปรกับการหนีตายในหลายวันนี้บาดแผลมีแนวโน้มจะแย่ลง
เหมียวลั่วชิงแอบก่นด่าเสียงหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะองครักษ์เสื้อแพรมาสร้างเรื่องจนทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในสภาพคับขัน เหตุใดนางจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายด้วยเล่า ไยต้องหนีหัวซุกหัวซุนอย่างยากลำบาก มิเช่นนั้นป่านนี้นางคงออกจากเมืองไปนานแล้ว
ยามเช้านางก็กินขนมแป้งอบร้อนๆ สองชิ้นที่ซื้อมาจากแผงริมทางและกินโจ๊กไปชามหนึ่ง ทว่านางกลับยังรู้สึกปวดศีรษะ เท้าอ่อนแรง นางซ่อนตัวมาสิบวันก็รู้สึกว่าความกดดันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
นางไปที่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ต้องการซื้อยามารักษาอาการบาดเจ็บบางส่วนเพื่อระงับอาการ
“แม่นางบาดเจ็บหรือ” เถ้าแก่ร้านถามยิ้มๆ
“ข้ามาซื้อยาให้พี่ชาย เขาได้รับบาดเจ็บ” นางเอ่ยขึ้น
เถ้าแก่ร้านก็ยังถามอีกว่า “เช่นนั้นพี่ชายของเจ้าบาดเจ็บจากอะไร มีด? น้ำร้อนลวก? หรืออย่างอื่น”
“เมื่อวานพี่ชายข้ามีเรื่องชกต่อย ถูกคนใช้กระบี่แทงเข้า”
“อ๋อ บาดเจ็บจากการโดนกระบี่แทง” เถ้าแก่ร้านแสดงท่าทีกระจ่างแจ้งแล้วก็เริ่มจัดสมุนไพรให้นาง
ผ่านไปเพียงครู่เถ้าแก่ร้านก็เอ่ยกับนางว่า “แม่นางรอสักครู่ มีสมุนไพรตัวหนึ่งหมด ข้าจะไปเอาที่ด้านหลัง”
เหมียวลั่วชิงทอดสายตามองเขาแล้วพยักหน้ายิ้มๆ “รบกวนท่านด้วย”
ครั้นเถ้าแก่ร้านหมุนกายเลิกผ้าม่านเดินเข้าไปด้านใน เหมียวลั่วชิงก็ไม่พูดไม่จารีบหมุนกายเดินออกจากร้านในทันใด
นางไม่ได้เอ่ยว่าตนเองบาดเจ็บ บนดวงหน้าก็ยังแต้มสีดำไว้อีก ไม่ได้แสดงถึงอาการป่วยออกมาแต่อย่างใด ทว่าประโยคแรกที่เถ้าแก่ร้านกล่าวกลับถามนางว่าบาดเจ็บหรือไม่
เขาจัดสมุนไพรอย่างเชื่องช้า แม้ว่าใบหน้าจะแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับคอยตรวจสอบอยู่ตลอด แล้วต่อมาก็เอ่ยว่าขาดสมุนไพรไปตัวหนึ่ง ให้นางรอสักครู่
จากเหตุผลสามข้อข้างต้น นางจึงมั่นใจเสียเก้าส่วนว่าร้านขายยาร้านนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่
ครั้นนางหมุนกายเดินออกจากร้านขายยาก็รีบสาวเท้าอย่างฉับไวเข้าไปในตรอกฝั่งตรงข้าม ซ่อนตัวแอบดูอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
ประเดี๋ยวเดียวองครักษ์เสื้อแพรหลายคนก็รีบรุดมายังร้านขายยา เหมียวลั่วชิงจึงรีบหมุนกายจากไปทันที ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ไม่ว่าร้านขายยาแห่งใดก็ไปไม่ได้แล้ว เกรงว่าจะมีหูตาขององครักษ์เสื้อแพรคอยสอดส่องอยู่
เถ้าแก่ร้านขายยาคนนั้นพุ่งเป้ามาที่นาง เพราะเป็นสตรี บาดเจ็บจากกระบี่…คนที่หร่านเจียงต้องการจับกุมคือนาง
เหมียวลั่วชิงรู้เพียงว่าจะปล่อยให้เขาจับตัวนางไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากตกอยู่ในกำมือของหร่านเจียงแล้ว ถึงไม่ตายก็ต้องโดนถลกหนัง
นางเพิ่งออกจากร้านขายยามาไม่นานก็ต้องตะลึง ราวกับพายุโหมกระหน่ำมา นางหมุนกายทันที มีพลังฝ่ามือโจมตีมาที่นางอย่างกะทันหัน ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้นางรีบยื่นมือมากั้นไว้ แต่ก็ถูกสั่นสะเทือนจนล้มลง
นางล้มลงไปบนพื้น กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ขณะที่พยายามหยัดร่างขึ้น กระบี่อันเย็นเยียบก็จี้มาที่คอนาง นางจึงไม่กล้าขยับเขยื้อน
นักฆ่าจากสำนักเดียวกัน!
ครั้นเหมียวลั่วชิงเห็นคนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าสีดำทะมึนก็รู้ทันทีว่าจะต้องเป็นคนที่ทางสำนักส่งมา พลันสัมผัสได้ถึงลางร้าย
นางหลบองครักษ์เสื้อแพรมาได้แล้ว แต่กลับหลบการไล่ฆ่าจากทางสำนักไม่พ้น
ขณะที่เหมียวลั่วชิงถูกดึงผ้าดำที่คลุมศีรษะออกอย่างรุนแรง นางรู้สึกเพียงว่ามีแสงบาดตาอยู่เบื้องหน้า รอจนดวงตานางปรับสภาพได้ นางจึงเห็นบุรุษตรงหน้าอย่างชัดเจน
ดวงตาหงส์ยาวเรียวคู่หนึ่งเข้ากันกับคิ้วเข้มคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน เขายืนอยู่ตรงนั้น รูปร่างสูงเพรียวราวกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ทั้งๆ ที่หน้าตาดูหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อยแต่กลับแสดงความเย็นชาออกมา แผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามจนทุกคนต้องสยบราวกับปลายดาบ
“ท่านคืออี้หรือ”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขา เขาปกปิดใบหน้ามาตลอด วันนั้นที่ลอบสังหารหร่านเจียงในโรงเตี๊ยมเขาก็แปลงโฉมมา แม้จะดูแปลกหน้า ทว่านางจำแววตาเขาได้
ครั้นเห็นเขาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ นางจึงยิ่งแน่ใจว่าเป็นเขาแน่นอน
ครั้นนางประสานสายตากับแววตาอันเย็นเยียบ นางก็ไม่ยอมหลบสายตา แต่มองกลับอย่างเย็นชา
“นี่ท่านคิดจะทำอะไร ท่านจะฆ่าพวกเดียวกันหรือ”
“เจ้าน่าจะรู้จุดจบของการทรยศสำนัก” การสอบสวนของเขาเย็นชาอย่างยิ่ง
นางร้องฮึเสียงเย็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “หากข้าทรยศสำนักจริง แล้วข้าจะโดนหร่านเจียงตามล่าจนไม่มีที่ไปเช่นนี้หรือ หากไม่ใช่เพื่อช่วยชีวิตท่าน ข้าจะยอมพลาดโอกาสที่จะได้เข้าใกล้หร่านเจียงหรือ”
ครั้นนางเอ่ยวาจานี้ออกไป คนชุดดำทั้งหมดล้วนตะลึงงัน
อี้ก็ตกตะลึงไปด้วย ต่อมาเขาก็ยิ้มเย็น
“เจ้ามาขวางกระบี่ของข้า ไม่ว่าจะมองจากทางใด คนที่เจ้าคิดจะช่วยชีวิตคงเป็นหร่านเจียงกระมัง”
“วันนั้นท่านนึกว่าเขาโดนฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด ออกจากจวนโดยมีเพียงองครักษ์หกคนอยู่ข้างกาย อันที่จริงเขาหลอกใช้องค์หญิงเจ็ด หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง มีคนดักซุ่มอยู่รอบด้าน เขาวางแผนไว้เสียดิบดี รอให้ปลาใหญ่มาติดเบ็ด”
ครั้นอี้ได้ฟังแล้วก็ตกใจและขมวดคิ้วต่อ แววตาเฉียบคมคู่นั้นจับจ้องมาที่นางอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เหมียวลั่วชิงเอ่ยต่อว่า “เขาออกจากจวน จะเลือกสตรีนางใดก็ย่อมได้ แต่เขากลับมาเลือกข้าที่ไม่โปรดปรานแล้ว ท่านไม่คิดว่าแปลกหรือ”
ครั้นนางเอ่ยวาจานี้ อี้ก็ดำดิ่งลงสู่ความเงียบงันคล้ายกับกำลังคิดใคร่ครวญ
“ท่านลงมือสังหารเขา หากข้าช่วยท่านก็จะตกหลุมพรางของเขาไปด้วย เขาจะกวาดพวกเราเรียบไม่มีเหลือ ภายใต้สถานการณ์คับขัน ข้าทำได้เพียงต้องลองเสี่ยง ขวางกระบี่ให้กับเขา ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่เพียงทำลายแผนของเขาได้ ยังช่วยให้ท่านมีเวลาหนีด้วย แล้วด้วยความที่เขาคาดไม่ถึงในการกระทำของข้า จึงไม่แน่ใจว่าข้าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ แล้วฉวยโอกาสที่เขากำลังลังเลอยู่นั้นหลุดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้าย”
พออี้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่คาดฝันจริงๆ ทว่าเขากลับหรี่ตาลง “เจ้าพูดจริงหรือ”
นางไม่ยอมตอบแต่ถามกลับ “แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่า ข้าต้องไปขวางดาบให้เขาด้วยหรือ หลังจากที่ข้าช่วยชีวิตเขาแล้วกลับไม่ยอมเสพสุขในฐานะผู้มีพระคุณ ร้องขอแก้วแหวนเงินทองจากเขา แต่กลับหนีออกจากจวน จากนั้นก็ต้องพบจุดจบที่โดนท่านจับตัว?”
อี้เงียบงันไปโดยพลัน แม้ว่าแววตาเขายังคงเฉียบคมยิ่งนัก แต่เหมียวลั่วชิงรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่านางทรยศจริงหรือไม่ นางถึงขนาดมั่นใจว่าเขาเชื่อในคำให้การของตนอยู่หลายส่วน
คำอธิบายของนางในครั้งนี้ปราศจากพิรุธใดๆ เพราะที่หร่านเจียงวางกับดักไว้ก็เป็นความจริง ขอเพียงอี้ไปตรวจสอบก็จะรู้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรออกตามหานางอยู่ทุกที่ ไก่บินสุนัขเตลิดกันไปหมด ชาวบ้านต่างหวาดกลัว อี้จะไม่รู้เรื่องนี้เชียวหรือ
เป็นดังที่นางคาด อี้เพียงแค่จ้องนางสักครู่แล้วก็เอ่ยปากสั่งการคนอื่น “นำตัวนางลงไป เฝ้าให้ดี”
เหมียวลั่วชิงหลุบตาลง เก็บงำความยินดีไว้แล้วค่อยๆ ถอนใจโล่งอก
แค่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว ขอเพียงอี้เชื่อในคำพูดของนาง นางก็ยังมีโอกาสที่จะหนี พอนึกถึงตรงนี้นางก็มีความหวังมากขึ้น กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้นั้นยากเย็นยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นหร่านเจียงหรืออี้ก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินความเป็นตายให้นาง
แม้เหมียวลั่วชิงจะถูกอี้กักบริเวณไว้ แต่คำพูดนางอาจจะได้ผล เนื่องจากอี้ขังนางไว้ในห้อง แต่ก็ไม่ได้ทรมานนาง ซ้ำยังส่งผู้ใต้บังคับบัญชาสตรีคนหนึ่งมาพันแผลให้นางใหม่ ส่งอาหารให้นางครบสามมื้อ
เหมียวลั่วชิงหลบซ่อนตัวมาสิบกว่าวัน เดิมทีก็ใกล้จะหมดแรงอยู่แล้ว กอปรกับอาการของนางยังแย่ลง บาดแผลฉีกขาด ดังนั้นนางจึงไข้ขึ้นสูง แม้ยามนี้จะถูกกักบริเวณ ทว่านางกลับสามารถพักหายใจหายคอได้
นางกินยาและนอนหลับอยู่บนเตียงตลอด สามวันถัดมา จู่ๆ คืนหนึ่งนางก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ แล้วถูกคุมตัวไปขึ้นรถม้า
“เกิดอะไรขึ้น” นางเอ่ยถาม
คนที่มาคุมตัวนางขึ้นรถม้าคือผู้ใต้บังคับบัญชาสตรีที่อี้ส่งมา สตรีผู้นั้นไม่ได้ตอบคำถามนาง หลังจากคุมตัวนางขึ้นรถแล้วก็ถอยลงจากรถ
ผ่านไปเพียงชั่วครู่อี้ก็ขึ้นรถม้ามา
ครั้นเขาขึ้นมา รถม้าที่เดิมทีกว้างขวางก็เปลี่ยนเป็นคับแคบทันใด
“ออกเดินทางได้” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา
เหมียวลั่วชิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เขานั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ตรงข้ามนาง ตั้งแต่ขึ้นรถม้ามาจนถึงยามนี้เขายังไม่ได้มองนางสักแวบ ทว่านางกลับสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งว่าถึงแม้เขายังคงหลับตาอยู่ ทว่าการเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าของนางกลับตกอยู่ในการควบคุมของเขา
เหมียวลั่วชิงกำลังใคร่ครวญ จู่ๆ ออกเดินทางในยามราตรี สถานที่ที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่คงจะไม่ปลอดภัยเสียแล้วจึงต้องย้ายสถานที่
นางจะต้องถามผู้ใต้บังคับบัญชาเขา ไม่มีทางถามเขาแน่นอนว่ากำลังจะไปที่ใด ในเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเขายังไม่ตอบคำถามนาง แล้วเขาจะบอกนางได้อย่างไร แม้คำอธิบายของนางจะทำให้อี้ไว้ชีวิตนางชั่วคราว ทว่านางรู้ดี อี้ไม่ได้เชื่อนางทั้งหมดหรอก
เหมียวลั่วชิงเหนื่อยล้าเต็มทน นางจึงพิงศีรษะกับผนังรถม้า แผ่นหลังพิงกับเบาะนิ่มๆ ด้านหลัง นางเพิ่งหลับตาลงในขณะที่นางเตรียมจะงีบหลับสักครู่ น้ำเสียงเยียบเย็นของอี้ก็ดังมา
“ไยเจ้าจึงช่วยข้า”
เหมียวลั่วชิงลืมตาขึ้นทันที พบว่าเขากำลังจ้องมองตัวนางอยู่ ดวงตาดำขลับลึกล้ำเป็นประกายราวเปลวเพลิง มองกดดันมาด้วยอำนาจ
เหมียวลั่วชิงสบตากับเขาสักครู่แล้วก็หลุบตาลง
“เพราะว่า…” นางเหนื่อยล้าเล็กน้อย น้ำเสียงจึงแหบพร่ากว่าปกติอยู่บ้าง “อยากช่วยก็ช่วย ข้าไม่อยากเห็นท่านตายไปอย่างเปล่าประโยชน์”
นี่คือเหตุผลที่นางนึกได้ในขณะนี้ หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาหวั่นไหวเกิดความเห็นใจนาง ไม่ส่งตัวนางกลับสำนัก นางเดาว่าเขาน่าจะยังไม่ได้รายงานเรื่องที่นางช่วยชีวิตหร่านเจียง เขาคงกำลังตรวจสอบนางอยู่ และนางจะต้องหาโอกาสเหมาะเจาะเพื่อทำให้ชายผู้นี้สงบลง
“เจ้าไม่เคยคิดบ้างหรือว่าตนเองจะตายอย่างเปล่าประโยชน์” เขาถามอีกครั้ง
นางช้อนตาขึ้นมองเขา ตอบอย่างไม่ไว้หน้า “ฮึ พูดตามจริง ยามนั้นข้ายังไม่ทันได้คิดจริงๆ” น้ำเสียงนางแฝงการตำหนิและความแค้นใจอยู่เล็กน้อย
หลังจากที่นางถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน นางก็หลับตาลงราวกับจะบอกว่า ‘ข้าคร้านจะสนท่านแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ’ แล้วนอนหลับไปด้วยความขุ่นเคือง
แววตาเขายังคงจ้องอยู่ที่ดวงหน้านาง ต่อมาก็เคลื่อนสายตาไปมองนอกหน้าต่าง นอกจากเสียงล้อรถและเสียงฝีเท้าม้าแล้ว รอบด้านเงียบสงัดยิ่งนัก
ผ่านไปชั่วครู่แววตาของเขาก็เคลื่อนกลับมาที่ดวงหน้านางอีกครา สีหน้าซีดเผือดเหนื่อยล้านั้นเพิ่มความอ่อนแอของสตรี ลดความเย็นยะเยือกของนักฆ่าลง ยามนอนหลับยังคงขมวดคิ้วมุ่นคล้ายนอนอย่างไม่เป็นสุขทำให้ดูน่าสงสารยิ่ง
พวกเขาเป็นนักฆ่า มักจะเคยชินกับการเย็นชาใส่ผู้อื่น ไม่แสดงความรู้สึกออกมามากนัก พวกเดียวกันเองก็ไม่ค่อยพูดคุยกัน สื่อสารเพียงเรื่องที่สำคัญเท่านั้น พูดสั้นกระชับตรงประเด็น
เมื่อครู่นางเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองและดุดัน แฝงด้วยความเป็นเด็กอยู่บ้าง ทำให้ดวงหน้าซีดเผือดอ่อนแรงนั้นเพิ่มโทสะและความมีชีวิตชีวาขึ้นมา
นางเอ่ยว่าอยากช่วยก็ช่วย แล้วยังบอกอีกว่าไม่อยากให้เขาตายอย่างเปล่าประโยชน์
นักฆ่าจะปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งเสมอ ไม่ทำอะไรตามอำเภอใจ นักฆ่าแต่ละคนต้องรับผิดชอบภารกิจของตนเอง จะไม่คิดมาก จะไม่ช่วยนักฆ่าคนอื่นแล้วกระทบถึงภารกิจการลอบสังหารของตนเอง
กฎของพวกเขาก็คือภารกิจย่อมสำคัญยิ่งกว่าชีวิต
ทว่าวาจาที่นางเอ่ยเมื่อครู่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขากลับจดจำมันไว้ในใจ
“หยุดรถ” มีคำสั่งดังมาจากด้านนอกทำลายความเงียบสงบจากบริเวณรอบข้าง
เหมียวลั่วชิงลืมตาขึ้นในทันใด นางมองไปทางอี้โดยไม่รู้ตัว
“เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจตราถนน” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเขยิบเข้าใกล้หน้าต่างกระซิบรายงาน
เหมียวลั่วชิงคิดอยู่ในใจ ก็แค่เจ้าหน้าที่ ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรสักหน่อย ยังถือว่าจัดการได้ง่าย
นางมองไปทางอี้ เขาเงียบกริบไม่พูดไม่จา เห็นชัดว่าก็คงคิดเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าม้า เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาใกล้ตัวรถม้าแล้ว
“พวกเจ้ามาจากที่ใด และกำลังจะไปที่ใด”
“เรียนเจ้าหน้าที่ พวกเรามาจากร้านขายยา ได้รับคำสั่งมาให้รีบไปเก็บสมุนไพร นี่คือป้ายผ่านทางของพวกเรา…”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านนอกกำลังเจรจากับเจ้าหน้าที่ เหมียวลั่วชิงคอยตั้งใจฟัง ในใจนางคิดว่าที่แท้ก็ปลอมเป็นพ่อค้าร้านขายยาเพื่อจะออกจากเมือง มิน่าเล่าพอนางขึ้นรถม้ามาจึงได้กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้ง อี้กล้าออกนอกเมืองในยามนี้ก็น่าจะวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว มีเขาอยู่อาจจะทำให้ตัวนางเองหลบจากหูตาขององครักษ์เสื้อแพรได้เพื่อให้ออกจากเมืองได้อย่างราบรื่น
“มีใครนั่งอยู่ในรถบ้าง”
“รายงานเจ้าหน้าที่ มีเถ้าแก่ร้านกับฮูหยินขอรับ”
ฮูหยิน?
เหมียวลั่วชิงตะลึงชั่วครู่ ครู่ต่อมาก็รู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งเบียดอยู่ด้านข้าง
ที่แท้อี้ก็มานั่งข้างกายนางแล้วทิ้งน้ำหนักบนหัวไหล่นางเล็กน้อย อี้เอื้อมแขนมาพาดไว้ โอบร่างของนางเข้าสู่อ้อมกอดพิงแผ่นอกเขา
กลิ่นอายของบุรุษแปลกหน้าปกคลุมทั่วร่างในชั่วพริบตา
ท่าทีแรกของนางคือจะผลักเขาออก ทว่าในชั่วขณะที่ประตูรถม้าถูกผลักเปิดออก ด้วยความรู้สึกไวของนักฆ่าทำให้นางสวมบทบาท ‘ฮูหยิน’ นางหนึ่งทันใด นางพิงอยู่ในอ้อมกอดของอี้อย่างสนิทชิดเชื้อ
“ท่านเจ้าหน้าที่ ผู้น้อยจะต้องรีบออกจากเมือง โปรดอำนวยความสะดวกด้วยเถิด” ขณะที่เอื้อนเอ่ย อี้ได้ยื่นก้อนทองอันแวววับก้อนหนึ่งให้กับอีกฝ่าย
ยามนี้อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป เสียงสูงขึ้นเล็กน้อย เป็นเสียงของเถ้าแก่ที่ดูภูมิฐาน ต่างจากน้ำเสียงเย็นเยียบในยามปกติราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
หากเหมียวลั่วชิงไม่ได้อยู่ข้างกายเขา ได้ยินเขาเอื้อนเอ่ยด้วยตนเองในยามนี้ยังจะนึกว่าเป็นเสียงผู้อื่นเสียอีก ดูท่าบุรุษผู้นี้ไม่เพียงชำนาญในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า แม้แต่เรื่องการเปลี่ยนเสียงก็ไม่เบา
เจ้าหน้าที่คาดคะเนน้ำหนักก้อนทองในมือ เขากวาดตามองตรวจสอบรอบด้านแล้วเก็บก้อนทองนั้นใส่ในอกเสื้อ เอ่ยอย่างเนิบช้า “พ่อค้าร้านขายยา ในเมื่อท่านจะออกนอกเมืองไปเก็บสมุนไพร ไยต้องพาภรรยาท่านมาด้วยเล่า”
“ข้าขอเรียนตามตรงว่าภรรยาข้าป่วยหนัก ข้าอยากใช้โอกาสนี้พาภรรยาออกนอกเมืองไปหาหมอ” อี้เอ่ยพลางโอบเหมียวลั่วชิงในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเล็กน้อยแล้วก็ยื่นมือไปลูบดวงหน้านาง แสดงความรักความห่วงใยเกินกว่าคำพูดเสียอีก
เจ้าหน้าที่ได้รับก้อนทองมาจากเขาก็มีใจอยากปล่อยตัวคนอยู่แล้วเลยเอ่ยว่า “หลายวันนี้องครักษ์เสื้อแพรกำลังตามหาสตรีนางหนึ่ง พวกเขาตรวจสอบอย่างเข้มงวดยิ่งนัก ระวังอย่าให้ใครขึ้นรถสุ่มสี่สุ่มห้าออกจากเมืองไปด้วยล่ะ มิเช่นนั้นลำบากแน่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณเจ้าหน้าที่มากที่กล่าวเตือน”
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทำให้ลำบากใจอีก ปล่อยให้พวกเขาจากไป
ครั้นประตูรถปิดลงก็เป็นการตัดขาดออกจากสายตาบุคคลภายนอก เหมียวลั่วชิงจึงเริ่มขยับออกจากอ้อมกอดเขา แขนของอี้ที่โอบนางอยู่นั้นก็คลายออกเช่นกัน
อี้ไม่ได้กลับไปนั่งในตำแหน่งตรงข้ามนางดังเดิม แต่ยังคงนั่งข้างนางต่อไป เหมียวลั่วชิงก็ไม่ใส่ใจอะไร อย่างไรก็ตามด้วยวาจาประโยคนั้นของเจ้าหน้าที่ อี้ก็น่าจะเชื่อในตัวนางมากขึ้น นางน่าจะปลอดภัยแล้วกระมัง
อาจเป็นเพราะนางวางใจในแผนการที่อี้วางไว้ว่าเขาจะต้องพานางออกจากเมืองได้อย่างปลอดภัยแน่ ดังนั้นนางจึงผ่อนคลายลง ครั้นศีรษะพิงกับผนังรถม้า เดิมทีนางเพียงแค่ต้องการจะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าพอหรี่ตาลงก็หลับเป็นตาย
รถม้าเคลื่อนไปบนถนนอย่างโคลงเคลง ขณะที่นางหลับอยู่ร่างก็เซไปด้านหน้า ขณะกำลังจะหน้าคะมำก็มีมือหนึ่งยื่นมาจากด้านข้างได้ทันเวลา คว้าตัวนางเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง แล้วนางก็เอนร่างพิงเขาอย่างว่าง่าย หลับอยู่บนร่างเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
อี้ก้มหน้าลงจ้องดวงหน้าอีกฝ่าย เขาไม่ได้ผลักนางออก แต่กลับปล่อยให้นางพิงหลับบนร่างเขาต่อไป
ตลอดทางเหมียวลั่วชิงหลับลึกมาก ครั้นนางลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียก็ยังรู้สึกได้ถึงรถม้าที่โคลงเคลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นส่ายไปส่ายมาจนไม่สบายตัว ถึงขนาดที่นางยังหลับได้อย่างสบาย
ทว่าจู่ๆ นางก็ตะลึงงันเมื่อพบว่ายามนี้ตนเองไม่ได้พิงผนังรถม้า แต่พิงร่างบุรุษผู้หนึ่งไว้…แผ่นอกของเขา?
สติครั้งนี้เรียกให้สมองนางตื่นตัวโดยพลัน ภายในตัวรถไม่มีใครอื่นอีกนอกจากนางและอี้ เช่นนั้นก็หมายความว่านางกำลังนอนพิงกับแผ่นอกของเขา
นางเลอะเลือนได้ถึงเพียงนี้ นอนอิงแอบแผ่นอกของใครยังไม่รู้ เห็นได้ชัดว่านางเชื่องช้าลงไปมาก
นางยังคงรักษาท่าทีไว้ไม่ยอมขยับ ขณะที่รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น นางไม่รู้ว่าจะแอบผละตัวออกมาหรือแกล้งหลับต่อไปดี แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่าหรือไม่
ในขณะที่นางกำลังลังเล จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหายใจที่ราบเรียบดังมาจากด้านบน นางอดเหลือบมองอย่างสงสัยไม่ได้ แล้วก็พบว่าอี้กำลังหลับสนิทอยู่
นางกระจ่างแจ้งโดยพลัน มิน่าเล่า…หากเขายังตื่นอยู่จะยอมให้นางนอนพิงร่างเขาเช่นนี้หรือ เกรงว่าคงจะหลบไปนานแล้ว
ครั้นนึกถึงจุดนี้นางก็ผ่อนคลายลง ค่อยๆ ยืดตัวขึ้น เคลื่อนตัวไปด้านข้างจนมีระยะห่างระหว่างกัน
นางยื่นมือไปเลิกผ้าม่านเล็กน้อย อยากรู้ว่ายามนี้พวกเขาอยู่ที่ใดแล้ว
ครั้นมองออกไปนางก็งงงันไปเลยทีเดียว
ยามที่พวกเขาออกเดินทางท้องฟ้ายังคงมืดมิด ทว่ายามนี้แสงตะวันกลับส่องสว่าง รถม้าเคลื่อนไปบนถนน สองข้างทางกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีเทือกเขาสูงต่ำ ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวโพลน ออกห่างจากตัวเมืองที่อึกทึกครึกโครมและเหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ตรวจตราอย่างไม่หยุดหย่อน
ในที่สุดก็ออกจากเมืองแล้ว!
หลายวันนี้ความเคร่งเครียดที่นางออกจากเมืองไม่ได้ทำให้นางต้องหลบไปตรงนั้นทีตรงนี้ที รวมถึงความบีบคั้นจากอาการบาดเจ็บ ในที่สุดนางก็ปลดเปลื้องลงได้ในขณะนี้
หัวใจนางโบยบินอย่างยินดีปรีดา ดวงตางดงามเป็นประกายราวดวงดารา ทั่วทั้งร่างผ่อนคลายยิ่งนัก
ในที่สุดนางก็หลุดออกจากการข่มขู่ของหร่านเจียง ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะโดนเขาจับได้ว่าตนเป็นนักฆ่า ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปว่าจะตายอย่างน่าสมเพชในกำมือเขา ในที่สุดฝันร้ายชาติแล้วชาติเล่าก็สิ้นสุดลงเสียที โชคชะตาไม่หมุนวนกลับไปทางเดิมอีก
ในที่สุดชาตินี้นางก็เปลี่ยนชะตาของตนเองได้จริงๆ
ยามนี้เหมียวลั่วชิงอารมณ์ดียิ่งกว่าก้อนเมฆที่ลอยละล่องอย่างเบาหวิวที่ปลายขอบฟ้า ในสายตานาง ดอกไม้ใบหญ้าข้างทางที่ดูดาษดื่นกลับมีเสน่ห์ยิ่งกว่าดอกโบตั๋นเสียอีก เสียงร้องของอีกาบนต้นไม้ต้นนั้นยังไพเราะรื่นหูกว่านกขมิ้น
ทัศนียภาพเช่นนี้ ไม่ว่านางจะมองเห็นอะไรก็น่าดูน่าชมทั้งสิ้น
นางจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้สักนิดว่ายามที่นางตื่นขึ้นมาอี้ก็รู้อยู่แล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาเขาคงความตื่นตัวมาตลอด ดังนั้นทุกท่วงท่าของนางล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น
อี้ไม่เข้าใจว่าไยตัวเองต้องแกล้งหลับ ไยจะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่านางนอนพิงร่างเขา
ขณะที่นางผละกายออกจากแผ่นอกของเขานั้น นางก็ยังคงทิ้งความอ่อนนุ่มและความอบอุ่นของนางไว้บนร่างเขา กลิ่นอายของนางยังคงวนเวียนรอบตัวเขามาตลอดทาง
เขาจับจ้องดวงหน้าด้านข้างของนางอย่างเงียบเชียบ เหลือบเห็นมุมปากนางโค้งขึ้น
สัมผัสได้ว่านางเบิกบานใจยิ่งนัก ทั่วทั้งร่างแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เขาไม่รู้ว่านางกำลังดีใจเรื่องอะไรอยู่ นางมองทิวทัศน์ภายนอกอย่างใจจดใจจ่อ ส่วนเขาก็จับจ้องนางอยู่ด้านข้างไม่วางตา
นักฆ่าทุกคนล้วนเป็นเด็กกำพร้า เพราะพวกเขาไม่อาจมีภาระที่ทำให้พะว้าพะวังได้ พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ถูกตั้งเงื่อนไขว่าห้ามมีความรู้สึกห้ามมีน้ำตา ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อการลอบสังหารเท่านั้น
ทว่าเกิดเป็นมนุษย์จะไร้ซึ่งความรู้สึกไร้น้ำตาได้อย่างไร เพียงแต่ต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของทางสำนักเท่านั้น จึงต้องแสร้งทำเป็นไร้ความรู้สึกไร้น้ำตา
เขาดักซุ่มอยู่ในจวนสกุลหร่านมาระยะหนึ่งแล้วก่อนที่นางจะเข้าจวนมา เพื่อไม่ดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นเขาจึงต้องบดบังใบหน้าอันหล่อเหลา สวมรอยเป็นองครักษ์คนหนึ่งในจวนสกุลหร่าน แล้วที่แท้องครักษ์ตัวจริงคนนั้นก็ถูกเขากำจัดไปตั้งนานแล้วโดยไม่มีใครรู้
ต่อมาเขาได้รับรายงานลับจากทางสำนักว่าจะส่งสตรีรูปงามนางหนึ่งเข้ามาเป็นสาวใช้ในจวนสกุลหร่าน ภารกิจของนางคือยั่วยวนหร่านเจียงแล้วฆ่า
ยามที่นางเข้ามาในจวนสกุลหร่าน เขาเพียงแต่คอยมองนางอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้ทำให้นางรู้ว่ามีเขาอยู่ในจวนด้วย จนกระทั่งทางสำนักได้ออกคำสั่งให้เขาติดต่อกับนาง ลอบสังหารหร่านเจียงตามคำสั่ง
เขาไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน ทว่าเป็นเพราะนางทำให้เขาทำภารกิจพลาดถึงสองครั้ง แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาไม่ได้โทษนาง และเขายังเคยไปตรวจสอบตามที่นางสารภาพมาด้วย วันนั้นขณะที่อยู่ในโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหล หร่านเจียงวางกับดักกำลังคนไว้จริงๆ
หากลอบสังหารไม่สำเร็จเขาก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว เขาปฏิบัติงานอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด เขาจะจินตนาการถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ทว่าสิ่งเดียวที่เขานึกไม่ถึงคือนาง
เพื่อรักษากำลังไว้ เขาจึงต้องออกไปนอกเมืองก่อน หลังจากที่รายงานกับทางสำนักแล้วค่อยคิดไตร่ตรองอีกที
หลังจากเดินทางอย่างเร่งรีบมาสองวัน วันนี้ในยามกลางวันพวกเขาก็เดินทางช้าลง จอดรถม้าไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธารเพื่อหยุดพักผ่อนสักครู่
พวกเขาแสดงท่าทีดังเช่นในยามปกติ มีบางคนนั่งสมาธิเดินพลัง บางคนนั่งพักผ่อนพิงต้นไม้ บางคนตรวจสอบอาวุธของตนเอง
ไม่ว่าแต่ละคนจะทำอะไรล้วนทำอย่างเงียบกริบ ยกเว้นใครบางคน
เหมียวลั่วชิงนั่งบนรถม้ามาเป็นเวลานาน ครั้นนางเห็นลำธารที่มีน้ำไหลเอื่อย แววตาของนางก็พลันเป็นประกายราวดวงตะวันจันทรา
นางก้าวเดินไปยังริมลำธาร ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก เท้าเปลือยเปล่าของนางเหยียบย่ำอยู่ในน้ำ ถอนใจอย่างสบายตัวยิ่ง
น้ำในลำธารใสสะอาด มัจฉาแหวกว่ายไปมาอย่างรื่นรมย์ นางแช่เท้าทั้งสองข้างไว้ในลำธาร บางครั้งก็โน้มตัวลงไปวักน้ำที่เย็นสะอาดขึ้นมาล้างหน้า
เมื่อเดินเหนื่อยแล้วนางก็นั่งลงบนก้อนหิน เท้าทั้งสองเตะน้ำเล่นเป็นพักๆ โดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
เดิมทีเท้าทั้งสองข้างที่เปลือยเปล่าของนางก็ดูงดงามนัก หยดน้ำส่องแสงระยิบระยับล้อไปกับแสงตะวัน สะท้อนเท้าทั้งสองข้างนั้นจนดูใสแวววาว
ท่าทางของนางช่างต่างกับคนอื่นที่เงียบขรึมโดยสิ้นเชิง แม้คนอื่นจะพักผ่อนเช่นเดียวกัน ทว่าบรรยากาศกลับดูน่าเกรงขาม ไม่เหมือนกับนางที่นั่งเล่นน้ำอยู่ตรงนั้น บางครั้งยังจับผีเสื้อปีกขาวหลายตัวที่บินผ่าน เป็นการหาความสุขให้ตนเอง ราวกับว่านางออกมาข้างนอกเพื่อเหยียบย่ำลงไปบนพื้นหญ้าเขียวขจี
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่นางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย อี้ก็เช่นกัน
“นางเป็นพวกเดียวกับเราจริงๆ หรือ” นักฆ่าคนหนึ่งถามขึ้น
คำถามของเขาก็เป็นสิ่งที่คนอื่นคิดอยู่เหมือนกัน พวกเขาไม่ค่อยได้เห็นนักฆ่าคนอื่นลงเล่นน้ำระหว่างที่กำลังรีบเดินทาง ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาควรทำคือการเก็บแรงเอาไว้
อี้เป็นหัวหน้าภารกิจครั้งนี้ ด้วยคำถามนี้ทุกคนจึงมองไปทางอี้โดยปริยาย สตรีนางนี้ดูไม่เหมือนนักฆ่าเลยจริงๆ
อี้เงียบงันชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยเสียงเรียบ “นางอยู่ในกลุ่มยั่วยวน”
ครั้นอี้เอ่ยวาจานี้ออกไป คล้ายว่าได้ตอบข้อสงสัยของพวกเขา ทว่าก็ยังคงคลุมเครืออยู่ดี สตรีนางนั้นงดงามยิ่งนัก ครั้นมองไปก็รู้ว่าต้องถูกจัดอยู่ในกลุ่มยั่วยวนเป็นแน่ พวกนางจะต้องฝึกฝนการมอมเมาบุรุษโดยเฉพาะ ในเมื่อจะต้องหลอกล่อบุรุษเพศก็ไม่อาจทำตัวแข็งทื่อมากเกินไปได้ จะต้องดูร่าเริงสดใส เป็นที่น่าประทับใจ ด้วยเหตุนี้คำตอบของอี้จึงทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามีหลักการ
การสร้างความประทับใจจะใช้เพียงความงามเข้าล่อไม่ได้ แต่ต้องรวมถึงทุกท่วงท่าอากัปกิริยาด้วย
เหมียวลั่วชิงไม่สนใจสายตาของผู้อื่นที่มองมาเลย นางโตมาถึงเพียงนี้แล้ว นี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าชีวิตนั้นมีค่ายิ่งนัก
เงาในน้ำ มัจฉาแหวกว่ายไปมา ก้อนเมฆขาวโพลนลอยละล่อง…ในสายตานางแล้ว ต้นไม้ต้นหญ้าทุกต้นล้วนดูมีชีวิตชีวา
นางนั่งอยู่บนก้อนหินอย่างเงียบเชียบ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แหงนหน้ามองท้องฟ้า สายลมอ่อนโชยพัดจอนผมนางราวกับต้นหยางต้นหลิวที่แกว่งไกวเบาๆ นางยิ้มบางๆ ด้วยความสบายใจ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นางในยามนี้แม้จะไม่ได้สวมใส่อาภรณ์หรูหรา ไม่ได้ปัดถูแก้มด้วยแป้งและชาด ทว่ากลับยังคงงดงามราวเทพธิดาที่ดูโดดเด่นบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดึงดูดสายตาของทุกผู้คนให้หยุดอยู่บนร่างนางได้ตลอด
อี้ทอดสายตามองนางและมองไปทางคนอื่น จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจที่เหมียวลั่วชิงก่อกวนจิตใจผู้อื่น นี่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง เขาซึ่งเป็นหัวหน้าจะต้องห้ามปราม
“ออกเดินทางได้” คำสั่งของเขาทำลายความเงียบสงบ แล้วดวงตาเฉียบคมของเขาก็เหลือบมองเห็นความเสียดายที่แวบผ่านดวงหน้านาง
เขาลุกขึ้นยืน คนอื่นก็ขยับตาม แต่ละคนก็ไปจัดการในเรื่องที่ตนเองรับผิดชอบเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
อี้ยืนอยู่ริมลำธาร จ้องเหมียวลั่วชิงด้วยแววตาอันเฉียบคม รอให้นางเดินมาเอง
เหมียวลั่วชิงถอนใจ ทำได้เพียงลุกขึ้น เหยียบย่ำไปบนก้อนหินอย่างระมัดระวัง นางเดินกลับมาทีละก้าวๆ เท้าที่เปลือยเปล่าของนางปรากฏในสายตาอันลึกล้ำของเขาอย่างแจ่มชัด
หากเป็นในยามปกตินางก็จะแสดงวิชาตัวเบา เพียงก้าวเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว ทว่านางยังคงบาดเจ็บจึงไม่อยากใช้กำลังภายใน ดังนั้นจึงเยื้องย่างอย่างเชื่องช้าคล้ายสตรีทั่วไป
ครั้นนางเหยียบย่ำขึ้นไปบนก้อนหินก้อนหนึ่งด้วยเท้าเปลือยเปล่า จู่ๆ ก็ลื่นก้อนหินก้อนนั้น นางจึงอุทานเสียงเบา ร่างกายเสียหลัก ทว่าในขณะต่อมาอี้กลับแฉลบกายเข้ามาช้อนตัวนางได้ทันเวลา
เขาพานางกลับมาบนพื้นดินอย่างง่ายดายในเพียงไม่กี่ก้าว ทว่ากลับยังไม่วางนางลง เดินต่อไปยังรถม้า
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยทันควัน
“เจ้าเดินช้า” เขาเอ่ยตอบ
ภายใต้สายตาของนักฆ่าทุกคน เขาอุ้มนางขึ้นรถม้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย
หร่านเจียงคิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งออกจากจวนไปได้ไม่นาน แม้เขาจะจัดให้เหมียวลั่วชิงพักอาศัยอยู่ในเรือนจู๋เซวียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่นางกลับหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ!
ครั้นเขาได้ทราบข่าวก็บันดาลโทสะเป็นการใหญ่ รีบควบม้ากลับจวนสกุลหร่านทันที สอบสวนสาวใช้และบ่าวไพร่ทั้งหมดในเรือนจู๋เซวียน ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งลงไปให้องครักษ์เสื้อแพรออกค้นหานางทั่วทั้งเมือง ให้คนที่เฝ้ารักษาการณ์ประตูเมืองทั้งสี่ตรวจค้นคนที่จะออกจากเมืองอย่างเข้มงวดกวดขัน
ทั่วทั้งจวนสกุลหร่านปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นเพราะสีหน้าบึ้งตึงของใต้เท้า แล้วคนที่ดูแลเหมียวลั่วชิงในวันนั้นก็คือหรุ่ยเอ๋อร์ นางถูกเฆี่ยนตีจนสลบ แล้วก็ถูกเฆี่ยนตีอีกจนฟื้นขึ้นมา
หร่านเจียงดำเนินการอย่างฉับพลันและเฉียบขาด นำกำลังพลออกตามหานาง เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะหายสาบสูญไปจากเมืองที่เขาควบคุมอยู่ได้ แม้จะตามหาจนทั่วแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องหาให้พบ
แน่นอนว่าหร่านเจียงไม่ยอมให้ใครรู้เด็ดขาดว่าการที่เขานำกำลังพลออกมาสร้างความตื่นตระหนกวุ่นวายนั้น เขาทำไปเพียงเพื่อตามหาอนุภรรยาของตน เขามีชื่อเสียงเลื่องลือในการออกศึกสงคราม แน่นอนว่าเขาจะต้องทำไปเพื่อจับโจรผู้ร้ายซึ่งเป็นเหตุผลที่เปิดเผยได้
ผ่านไปร่วมสิบกว่าวัน เขาไม่เพียงค้นหาแค่คนเป็นในเมืองเท่านั้น แต่เขายังค้นหากระทั่งศพทั้งในแม่น้ำและในสระน้ำด้วย ไม่ว่าจะคนเป็นหรือคนตาย เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้รอดไป
องครักษ์เสื้อแพรเคยพบรอยเลือดในลานบ้านของเรือนผู้มีอันจะกิน แล้วก็ได้รับข่าวว่ามีสตรีนางหนึ่งมาซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บจากกระบี่ที่ร้านขายยา
เมื่อรวบรวมเบาะแสเหล่านี้แล้ว หร่านเจียงสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่ได้มีเพียงคนเดียวแน่ถึงสามารถเล็ดลอดหูตาที่เขาวางไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มค้นห้อง โดยเฉพาะในที่ที่อาจมีห้องลับหรือทางลับไว้ และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็หาจนเจอตามที่คาดไว้
เพียงแต่น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง พอเขารีบรุดไปถึง ห้องที่ซ่อนห้องลับไว้นั้นกลับกลายเป็นห้องว่างเปล่าเสียแล้ว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร บนพื้นยังทิ้งร่องรอยล้อรถและเท้าคนไว้ แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามเร่งรีบออกเดินทางไปเมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมา
หร่านเจียงเดินตรวจตราภายในห้องรอบหนึ่ง ยื่นมือไปหยิบสายรัดเอวเปื้อนเลือดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเก็บได้ สีหน้าเขาโหดเหี้ยมเย็นยะเยือกราวปีศาจร้าย
ทันใดนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งก็มากระซิบกระซาบไม่กี่ประโยคข้างหู เขารีบหมุนกายออกจากห้องไปยังห้องโถงทันทีแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาย้ายมาให้
“นำตัวเขาเข้ามา” เขาออกคำสั่ง
“ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปตามคำสั่ง เพียงชั่วครู่ก็คุมตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าลงเบื้องหน้าหร่านเจียง
เจ้าหน้าที่ผู้นี้มีนามว่าหนิวเอ้อร์ เป็นคนที่ได้รับก้อนทองจากอี้แล้วปล่อยให้รถม้าออกจากเมืองตามอำเภอใจ
ยามนี้หนิวเอ้อร์คุกเข่าอยู่กับพื้น ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นเทา ต้องเผชิญหน้ากับใต้เท้าผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือองครักษ์เสื้อแพร ที่ไม่ว่าใครพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามต่างก็กลัวจนหัวหด
หร่านเจียงจ้องเขาอย่างเย็นเยียบน่าสะพรึง เอ่ยด้วยเสียงเข้ม “สารภาพสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด หากทำให้ข้าพอใจ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ครั้นหนิวเอ้อร์ได้ยินว่ามีโอกาสรอดก็รีบสารภาพทันที
“เรียนใต้เท้า พวกเขามีทั้งหมดแปดคน บุรุษหกคนขี่ม้าเฝ้าอยู่ภายนอก ภายในรถมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง บุรุษเป็นพ่อค้าร้านยา เขายังมีป้ายออกนอกเมืองติดตัวมาด้วย เขาจะเร่งรีบออกนอกเมืองไปเก็บสมุนไพร ป้ายนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลประตูเมืองเป็นคนออกให้เอง ผู้น้อยเห็นว่าเขามีป้ายจึงปล่อยออกไปขอรับ”
เมื่อหร่านเจียงฟังแล้ว เขาสนใจป้ายออกนอกเมืองที่ใดกัน เขาอยากรู้เพียงประเด็นสำคัญเท่านั้น
“สองคนที่อยู่ภายในรถอายุเท่าไร หน้าตาเป็นเช่นไร อ้วนหรือผอม สวมเสื้อผ้าเช่นไร สีหน้าเป็นอย่างไร”
หนิวเอ้อร์จะรู้ได้อย่างไร เขาไม่ได้ตั้งใจมองสักนิด ทว่าเขาก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป
“เรียนใต้เท้า บุรุษผู้นั้นมีท่าทางสุภาพ หน้าตาไม่เลว สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน เกล้ามวยและสวมหมวกไว้ ภรรยาของเขานั้นหน้าตาธรรมดา เพียงแต่เจ็บป่วย สีหน้าไม่ใคร่ดีนัก สามีของนางจะรีบพานางออกนอกเมืองไปหาหมอขอรับ”
ครั้นหร่านเจียงฟังจบก็ฉายยิ้มทันใด “อ้อ นางป่วยหรือ”
“ใช่ขอรับใต้เท้า บุรุษผู้นั้นโอบนางไว้ในอ้อมกอดดั่งของล้ำค่ายิ่ง สามีภรรยาคู่นี้ดูท่ารักกันมากเลยขอรับ!”
หนิวเอ้อร์ครุ่นคิดในใจว่าใต้เท้าต้องการจับกุมสตรีรูปงาม แม้ตนเองจะไม่เห็นหน้าค่าตาของสตรีนางนั้น ทว่าก็จงใจเอ่ยว่าหน้าตาธรรมดาไว้ก่อน ฉวยโอกาสนี้เพื่อให้ตนเองหลุดพ้น แล้วพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสตรีที่ใต้เท้าจะให้จับกุมสักหน่อย ส่วนทองก้อนนั้นถึงไม่มีมันก็ไม่เป็นอะไร อย่างไรชีวิตย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว
เป็นไปตามคาด พอเขาเอ่ยเช่นนี้ใต้เท้าองครักษ์เสื้อแพรก็ยิ้มแย้มในทันใด
“ที่แท้ก็เป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งที่จะรีบออกนอกเมืองไปหาหมอ แล้วก็ยังมีป้ายออกนอกเมืองที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลประตูเมืองลงตราประทับให้เอง ดูท่าคงไม่มีปัญหาอะไร”
หนิวเอ้อร์ก็ยิ้มตามไปด้วย พลันถอนใจโล่งอก ดูท่าชีวิตของตนคงรักษาไว้ได้แล้ว
จู่ๆ หร่านเจียงก็หุบยิ้ม ตีหน้าขรึม “ตอนนั้นฟ้ายังไม่สาง คนในรถม้าก็ไม่ได้ลงมา เจ้าเห็นหน้าค่าตาพวกเขาได้อย่างไร พ่อค้าร้านขายยาหรือ ข้าว่าปลอมตัวมาเป็นพ่อค้าเสียมากกว่า คงทำเพื่อปกปิดกลิ่นยาบนร่างสตรีนางนั้นกระมัง! สำหรับป้ายออกนอกเมืองที่คนเฝ้าประตูเมืองออกให้ แค่จ่ายเงินมากหน่อยก็ซื้อหามาได้แล้ว เจ้าคิดว่ามาแต่งเรื่องก็จะหลอกใต้เท้าอย่างข้าได้หรือ ทหารคุมตัวเขาไปขังที่คุกอาญาหลวง โทษฐานเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่า จัดการไปพร้อมกันเลย!”
ครั้นหนิวเอ้อร์ได้ฟังก็ตกใจกลัวจนเข่าอ่อน แม้แต่คำร้องขอชีวิตก็เอ่ยไม่ออก
หลังจากที่หนิวเอ้อร์ถูกคุมตัวจากไป ฮ่องเต้ก็ส่งรองเสนาบดีกรมอาญาให้นำคำสั่งมา ให้กรมอาญาเป็นฝ่ายสืบสวนคดีนักฆ่า เพราะฮ่องเต้จะให้เขาตั้งอกตั้งใจสืบเรื่องการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของหนิงอ๋อง
หมู่นี้ในการเดินทางทางน้ำ เรือหลวงจำนวนหนึ่งถูกปล้นไป ทำให้ข้าว ธัญพืช และเกลือเสียหายไปเป็นจำนวนหลายพันชั่งทว่าสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธเป็นฟืนเป็นไฟกลับไม่ใช่ข้าวและธัญพืชเหล่านั้น แต่เป็นช่างฝีมือที่เดินทางไปพร้อมกับเรือหลวงต่างหาก
ช่างฝีมือเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ แต่ละคนมีความสามารถและฝีมือแทบทั้งสิ้น สองคนในนั้นมีฝีมือในการพัฒนาอาวุธโดยเฉพาะ ฮ่องเต้ต้องการพัฒนาอาวุธเพื่อเพิ่มอำนาจและความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ ดังนั้นจึงเสาะหาและรวบรวมคนมีฝีมือในบรรดาชาวบ้านอย่างลับๆ ช่างฝีมือสองคนนี้เป็นผู้มีความสามารถที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญยิ่งนัก ทว่ากลับถูกแย่งตัวไป
ลองคิดดูว่าหากช่างฝีมือสองคนนี้ตกไปอยู่ในกำมือของบรรดาเจ้าเมืองศักดินาโดยเฉพาะหนิงอ๋อง ก็เรียกได้ว่าเหมือนกับเสือติดปีกทีเดียว พอถึงเวลานั้นก็จะกลายเป็นอันตรายข้างกายฮ่องเต้
หร่านเจียงคาดเดาว่าคนกลุ่มนี้ไม่แน่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับหนิงอ๋องก็เป็นได้ หากจับกุมได้ จากการพินิจพิเคราะห์แล้ว บางทีอาจจะได้เบาะแสมาบ้าง
แม้วาจาของหนิวเอ้อร์จะเป็นเท็จเสียมาก แต่ก็มีความจริงอยู่บ้าง องครักษ์หกคนคุ้มกันรถม้า บุรุษภายในรถนั้นคือหัวหน้าของพวกเขา ทว่าสตรีป่วยหนักนางนั้น…
หร่านเจียงหรี่ดวงตาดำขลับแสดงถึงความชั่วร้ายราวหมาป่า หญิงสาวนางนั้นทางที่ดีขออย่าให้เป็นเหมียวลั่วชิงเลย หากเป็นนางจริง…
บุรุษผู้นั้นโอบกอดสตรีนางนั้นเอาไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า
หร่านเจียงยิ้มอย่างชั่วร้าย พวกเขาปลอมตัวเป็นสามีภรรยากันหรือ ยามนี้เขาพลุ่งพล่านถึงขั้นอยากกินเลือดกินเนื้อ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใคร คนที่กล้ามาหยามน้ำหน้าเขา เขาจะต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างสาสมแน่
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.