บทที่หนึ่ง เมฆเคลื่อน
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิกำลังจะผ่านพ้นไป อากาศของช่วงต้นฤดูร้อนในเดือนหกโผล่หน้ามาทักทาย สภาพอากาศของเมืองไหวอันก็เริ่มร้อนระอุขึ้นมาบ้างแล้ว ลมทะเลถูกคลื่นความร้อนพัดพาเข้ามาในตัวเมืองเป็นครั้งคราวทำให้ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเค็มและความชื้นเหนอะหนะ อากาศแบบนี้เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวเหงื่อก็เปียกชุ่มแผ่นหลัง ผู้คนพากันบ่นโอดครวญว่าฤดูร้อนปีนี้ไม่ปรานีผู้ใดเลย
มีแค่ช่วงรุ่งสางที่ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงและดวงอาทิตย์ยังไม่ลอยสูงขึ้นเหนือก้อนเมฆเท่านั้นที่ยังมีอากาศหนาวเย็นของยามค่ำคืนหลงเหลืออยู่ในอากาศ ความเย็นนั้นผสมผสานไปกับกลิ่นหอมของดอกแม็กโนเลียที่เบ่งบานอย่างงดงามอยู่เต็มสองฟากถนน
นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินเล่นที่สุดของวัน ทว่าในเวลาแบบนี้ก็กลับถูกเสียงทะเลาะวิวาททำลายความสงบยามเช้าไปจนสิ้น
“เอาลูกมาให้ฉันเลี้ยงดีต่อทุกคนทั้งนั้น! ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะให้ชีวิตที่สุขสบายกับเขาได้ยังไง อาจิ้ง วันนี้ที่พวกเรามาหาเธอ ไม่ได้คิดจะมาทะเลาะด้วยหรอกนะ”
ด้านนอกประตูกระจกหมุนบานใหญ่ของโรงแรมเหลียนถัง หญิงสาวอายุน้อยที่อุ้มทารกอยู่คนหนึ่งถูกกลุ่มชายหญิงซึ่งมีทั้งคนแก่และเด็กกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้ หลังได้ยินคำพูดจากผู้ชายคนนั้นแล้วหญิงสาวก็ยิ่งกระชับตัวเด็กในอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม พร้อมตะคอกตอบด้วยดวงตาแดงก่ำ “หรงซิ่งอัน ฉันขอบอกคุณอีกครั้งว่าเขาไม่ใช่ลูกของคุณ! พวกเราเลิกกันตั้งนานแล้ว เด็กคนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณทั้งนั้น!”
ประโยคนี้เธอกัดฟันกรอดขณะพูดออกมา หญิงชราแต่งตัวทันสมัยในกลุ่มแค่นหัวเราะพลางเอ่ยเสียงแหลมสูง “นางแพศยา! เพิ่งเลิกกับลูกฉันไม่ทันพ้นปี แต่เด็กนี่อายุปาเข้าไปสองเดือนได้แล้ว แกมาบอกว่าเด็กไม่ใช่ลูกของลูกชายฉัน งั้นแสดงว่าตอนที่อยู่กับเขาแกแอบไปมีคนอื่นหรือยังไง!”
คนอื่นๆ ส่งเสียงตะโกนสนับสนุน แม้กระทั่งเด็กน้อยที่อายุน่าจะราวๆ แค่เจ็ดขวบก็ยังเดินมาผลักหญิงสาวคนนั้นพร้อมพูดว่า “แม่บอกว่าเธอมันหน้าไม่อาย!”
เสียงทะเลาะวิวาทรุนแรงดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวกอดเด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าเอาไว้แน่นขณะถูกครอบครัวหรงกดดันจนไร้ทางไป คนที่มุงอยู่บางคนมีน้ำใจอยากจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย ทว่าก็ถูกหรงซิ่งอันตะเบ็งเสียงดังไล่กลับไป “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวพวกเรา! ฉันขอเตือนเอาไว้เลย ใครกล้าสอดมือเข้ามายุ่ง ฉันจะฟ้องมันให้หมด!”
หญิงชราอาศัยว่าตัวเองมีพวกมากกว่าจึงกระโจนเข้าไปแย่งตัวเด็กในอ้อมกอดหญิงสาว หญิงสาวกรีดร้องพยายามปกป้องลูกเอาไว้ ส่งเสียงร้องไห้ระคนก่นด่า “หรงซิ่งอัน คุณมันไม่ใช่คน! ตัวคุณเป็นหมันหลังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แต่กลับมาแย่งลูกของฉัน! คุณจะต้องรับกรรม พวกคุณจะต้องได้รับกรรมแน่!!!”
หรงซิ่งอันถูกคำพูดของหญิงสาวกระตุ้นโทสะจึงง้างมือขึ้นเตรียมจะตบเธอ กลุ่มคนพุ่งเข้าใส่พร้อมสบถด่าเสียงขรม เสียงร้องไห้ของหญิงสาวผสานไปกับเสียงร้องไห้ของทารก สถานการณ์สุดแสนจะโกลาหล
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว”
ในตอนที่น้ำเสียงสงบนิ่งนี้ลอยเข้ามาในกลุ่มคน หญิงสาวกำลังถูกคนกระชากผม เด็กในอ้อมกอดก็กำลังจะถูกแย่งตัวไปอยู่แล้ว ทว่าแค่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เสียงทะเลาะ เสียงร้องไห้ก็พลันหยุดลงเหมือนมีคนกดปิดสวิตซ์ รอบด้านเงียบสงัด มีแค่เสียงร้องเบาๆ ของนกที่โผบินขึ้นไปบนยอดไม้
ทุกคนพากันหันหน้าไปมองตามเสียงนั้น ไม่รู้ว่าตรงหน้าประตูโรงแรมมีหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอสวมเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงยีน ผมที่ยาวประบ่าทัดอยู่ด้านหลังใบหู ใบหน้าดูสะอาดสะอ้าน แต่คิ้วเรียวกลับขมวดนิดๆ แฝงไปด้วยความตึงเครียดที่ดูไม่เข้ากัน
เพียงคำพูดของหญิงสาวคนหนึ่งก็ทำให้บรรยากาศกดดันเหล่านั้นจางหายไปได้อย่างไม่คาดฝัน แม้เสียงของเธอจะสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับแฝงความสามารถในการสะกดจิตผู้คนเอาไว้ เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้กลุ่มคนที่กำลังเกรี้ยวกราดสงบลงได้ กระทั่งคนเดินผ่านมามุงดูก็ยังถูกเธอดึงดูดความสนใจจนเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวถูกกลุ่มคนที่เดินเข้ามาล้อมไว้อย่างกะทันหันทำให้ตกใจจึงเริ่มก้าวถอยหลังไป
คนรอบข้างคล้ายไม่ได้สังเกตถึงความเครียดของเธอ หรงซิ่งอันที่ตัวสูงใหญ่คลายความดุดันที่มีก่อนหน้านี้ลงแล้วค้อมตัวเอ่ยระบายกับหญิงสาวด้วยใบหน้าอมทุกข์ “สาวน้อยคงไม่รู้ว่าฉันกับอาจิ้งอยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่อาจิ้งกลับไปแอบคลอดลูกลับหลังฉัน เด็กคนนี้สำคัญสำหรับฉันมากจริงๆ ฉันเองก็ไม่ได้จะแย่งเขาไปไหน แค่อยากให้พวกเราได้เป็นคนเลี้ยงดูแก และวันข้างหน้าอาจิ้งก็ยังมาหาลูกได้จริงไหม เธอเห็นด้วยไหม”
“ใช่แล้วๆ สาวน้อย ครอบครัวพวกเราเป็นคนซื่อสัตย์กันทั้งนั้น ถ้าไม่ได้จำเป็นจริงๆ จะมาทำแบบนี้ได้ยังไง” หญิงชราที่เมื่อครู่ทั้งเย่อหยิ่งทั้งก้าวร้าวทำท่าปาดหางตา แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสะอึกสะอื้นขึ้นมา “อาจิ้งเป็นเด็กดี ถ้าเธอยอมแต่งงานกับซิ่งอัน พวกเราก็ไม่มีทางคัดค้านหรอก แต่เด็กนี่เป็นชีวิตจิตใจของครอบครัวพวกเรา อาจิ้งเอาไปยึดไว้คนเดียวแบบนี้ไม่มีเหตุผลนี่”
แผ่นหลังของหญิงสาวแนบสนิทกับบานประตูกระจก แม้กระทั่งส้นเท้าก็ยังหดไปด้านหลัง น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงไปด้วยอาการตื่นกลัวดังขึ้น “พวกคุณสามารถนั่งลงพูดคุยกันดีๆ ได้นี่ จะมาแย่งตัวเด็กกันแบบนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่จะทำให้ผู้ใหญ่บาดเจ็บ แต่เด็กก็จะตกใจด้วยเหมือนกันนะคะ”
หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ ใบหน้าฉายความรู้สึกราวกับว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม “พวกเราก็อยากจะพูดคุยกันดีๆ…”
จากนั้นแต่ละคนก็ต่างคนต่างพูด หญิงชราคลี่ยิ้มออกมาและต้องการจะกุมมืออาจิ้งเอาไว้ แต่หญิงสาวกลับหลบเลี่ยงประหนึ่งกลัวจะถูกเข็มแทง คนรอบด้านเริ่มรุมล้อมเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมทำให้ไม่มีที่ให้เธอถอยหลบได้อีกแล้ว และในตอนนั้นเองก็กลับมีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาขวางด้านหน้าเธอเอาไว้อย่างกะทันหัน
เสื้อเชิ้ตสีควันบุหรี่ ปลายแขนเสื้อเลิกขึ้นน้อยๆ เผยผิวสีน้ำตาลอ่อนบริเวณข้อมือ ปลายแขนเสื้อด้านในมีลวดลายสลับซับซ้อน เม็ดกระดุมไม่บ่งบอกยี่ห้อ แต่ผิวกระดุมเป็นลายแกะสลักเล็กๆ ที่ดูสวยสง่าและให้ความรู้สึกถ่อมตนไปในเวลาเดียวกัน
คนที่เข้ามาช่วยไว้ตัวสูงมากจนอาจิ้งจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเขา น้ำเสียงหยอกเย้านั้นดังขึ้นเหนือศีรษะของเธออย่างเอื่อยเฉื่อย “คนเยอะขนาดนี้กลับมารังแกผู้หญิงตัวคนเดียว นี่มันเรื่องอะไรกัน”
หรงซิ่งอันขมวดคิ้วมองคนที่โผล่เข้ามาอยู่นาน โทสะที่เดิมทีสงบลงแล้วก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง “คุณเป็นใคร! นี่มันเรื่องในครอบครัวของพวกเรา คุณมีสิทธิ์เข้ามาสอดตั้งแต่เมื่อไหร่!”
อาจิ้งหลุดพ้นออกมาจากวงล้อมได้ในที่สุด เธอผ่อนลมหายใจพร้อมเงยหน้าขึ้น ทว่าเมื่อได้เห็นหน้าตาคนที่เข้ามาช่วยขวางไว้ชัดๆ ก็กลับต้องอึ้งไปจนหยุดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หรงซิ่งอันตัวใหญ่หนา เขาจึงเดินกร่างเข้ามาตั้งใจจะผลักชายหนุ่มที่เข้ามาขวางออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกชายหนุ่มคนนั้นจับข้อมือของตนเอาไว้แล้วพลิกข้อมือกลับพร้อมผลักเขาออกไปข้างนอกแทน ชายหนุ่มเหมือนจะออกแรงไม่มาก แต่กลับผลักหรงซิ่งอันจนเซออกไปได้
ชายหนุ่มปัดมือ แค่นเสียงเย็นเหมือนเยาะเย้ย ก่อนเดินไปตรงด้านหน้าอาจิ้งท่ามกลางสายตาของทุกคน แล้วถอดเสื้อนอกออกเพื่อคลุมทับบนตัวของหญิงสาว “บังเอิญจริงๆ ผมเป็นสามีคนปัจจุบันของแฟนเก่าคุณ คุณพาคนมารุมหาเรื่องภรรยาผมแต่เช้าแบบนี้ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าผมคิดจะทำอะไร”
อาจิ้งร้องไห้โฮ เธอกระชับตัวลูกไว้ในอ้อมแขนแล้วเอนตัวซบอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มพลางสะอึกสะอื้น “สามี! ในที่สุดคุณก็มาสักที พวกเขาจะแย่งลูกของเราไปค่ะ”
หรงซิ่งอันหน้าเปลี่ยนสี คนทั้งกลุ่มต่างมองหน้ากัน บางคนก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวเจ้าของเสียงอันสงบนิ่งที่เพิ่งหลุดออกมาได้ในที่สุดนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ทว่าในตอนที่เงยหน้าขึ้นและมองเห็นหน้าตาของชายหนุ่มที่เข้ามาขวางอย่างชัดเจน เธอก็ต้องอึ้งไปทันควัน
ชายหนุ่มกำลังเอ่ยปลอบอาจิ้งเสียงเบา ด้านหรงซิ่งอันก็ตะโกนลั่นไม่ยอมจบ “คุณมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของคุณ!”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เหลือบตาขึ้น แววตาเย็นชาวาดผ่านไปยังหรงซิ่งอัน มุมปากของชายหนุ่มหยักยกเป็นองศาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มจนหรงซิ่งอันเห็นแล้วรู้สึกขนหัวลุกซู่ “ใครเริ่มก่อนคนนั้นก็แสดงหลักฐานมา คุณอยากได้หลักฐานยังจะต้องให้ผมไปหาให้อีกเหรอ”
หญิงชราอาศัยที่ว่ามีคนมากกว่าคอยสนับสนุนก็ยืนสอดปากอยู่ข้างๆ “เธอกล้าไปตรวจดีเอ็นเอไหมล่ะ!”
“ใช่แล้ว! กล้าไปตรวจดีเอ็นเอไหม”
ข้อเสนอนี้คล้ายจะทำให้ทุกคนในที่นั้นหาความมั่นใจของตัวเองเจออีกครั้ง ต่างคนต่างช่วยกันพูดสนับสนุนขึ้นมา ชายหนุ่มกวาดตามองคนเหล่านั้นทีหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ข้อเสนอนี้ไม่เลว จะไปกันตอนนี้เลยไหมล่ะ เดี๋ยวขอคิดก่อนนะว่าโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ…”
พูดไปได้ครึ่งทาง เขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน “แต่ถ้าผลพิสูจน์ดีเอ็นเอออกมาแล้วเด็กคนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณ…” สายตาของชายหนุ่มกวาดผ่านทุกคน ในดวงตาคู่นั้นไม่บ่งบอกอารมณ์อะไร ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยเสียงกลั้วหัวเราะที่ทำให้คนฟังแล้วขนลุก “ทุกคนสะดวกจะไปเอาหมายศาลเอง หรือสะดวกให้ทนายของผมไปส่งถึงบ้านเลยมากกว่าครับ?”
หรงซิ่งอันถูกเขาพูดใส่เช่นนี้ก็หน้าซีด ยิ่งเห็นว่าแรงกดดันของฝั่งตัวเองถูกคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขากดข่มลงไป ในใจก็ทั้งโมโหทั้งแค้นจึงเกร็งคอตะคอกกลับไป “คุณกำลังขู่พวกเรางั้นเหรอ!”
“ขู่?” ปลายหางตาชายหนุ่มกระตุก เหมือนเขากำลังได้ยินเรื่องตลกอะไรอยู่ ประกายเย็นชาในดวงตาก่อนหน้านี้เลือนหายไปแล้วเหลือแค่ความขบขัน “แค่นี้คุณก็รู้สึกว่าถูกขู่แล้วเหรอ”
เขายกนิ้วเคาะขมับ แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา “ขอผมคิดดูก่อนนะ คุณเกิดอุบัติเหตุรถชนเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม ใช่บนทางยกระดับวงแหวนรอบที่สองหรือเปล่า เป็นเพราะว่าคุณได้รับบาดเจ็บหนัก ตำรวจจราจรก็เลยตัดสินให้คู่กรณีของคุณรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด…”
เสียงของชายหนุ่มไม่ได้เย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว เสียงของเขาในเวลานี้คล้ายกำลังพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยกับอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล หรงซิ่งอันได้ยินเสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วก็กลับหน้าซีดลงอีก ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “ตอนนั้นคุณถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และที่โรงพยาบาลก็น่าจะยังเก็บเอกสารผลตรวจเลือดของคุณเอาไว้อยู่ใช่ไหม ถ้าให้คู่กรณีได้รู้ว่าตอนนั้นปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของคุณ…”
“หุบปาก!” หรงซิ่งอันระเบิดโทสะออกมา เขาถลึงตาใส่อาจิ้งที่อุ้มเด็กเอาไว้ ก่อนกระชากตัวหญิงชราซึ่งกำลังตัวสั่นอยู่ข้างๆ จากไปอย่างลนลาน ท่ามกลางการจับตามองด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของชายหนุ่ม
ในที่สุดบริเวณทางเข้าประตูโรงแรมก็กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง อาจิ้งกำลังจะเอ่ยขอบคุณหญิงสาวที่เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์เมื่อครู่ตั้งแต่ตอนแรก ทว่าพอหันหน้าไปหาก็พบว่าเธอเดินไปถึงลิฟต์ของโรงแรมแล้ว จึงรีบวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามไป
“คุณคะ! รอก่อนค่ะ” หญิงสาวได้ยินเสียงเรียกก็หันกลับมา อาจิ้งขอบตาแดงระเรื่อ มีน้ำเสียงที่แสดงความจริงใจอย่างมาก “คุณคะ เมื่อครู่นี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว”
หญิงสาวก้าวถอยไปสองก้าวอย่างแนบเนียนก่อนตอบเสียงเบา “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอเม้มปากน้อยๆ ท่าทางอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ผ่านไปนานถึงได้เปิดปากพูดออกมาอย่างคนตัดสินใจได้แล้ว “สามีของคุณ…”
เพิ่งจะพูดออกไปไม่ทันจบประโยค ชายหนุ่มร่างสูงก็เดินมาทางพวกเธอแล้ว บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มกวนๆ ประดับอยู่ แววตาดูรักสนุกของเขามองสบตากับเธอตรงๆ หญิงสาวอึ้งไป เมื่อเสียงลิฟต์ด้านหลังดังติ๊ง เธอก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ลาก่อนค่ะ” ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว
อาจิ้งร้อง “อ๊ะ!” ออกมา ก่อนหันหน้ากลับไปถามชายหนุ่ม “พวกคุณรู้จักกันเหรอคะ”
ชายหนุ่มมองประตูลิฟต์ที่ปิดลงพร้อมส่ายหน้า อาจิ้งลอบถอนหายใจกับตนเอง เธอยังคงรู้สึกร้อนใจอยู่ “ที่คุณพูดเมื่อกี้เป็นความจริงเหรอคะ ที่ว่าหรงซิ่งอันดื่มแล้วขับ? งั้นพวกเราสามารถเปิดโปง…”
ยังไม่ทันพูดจบชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมเอ่ยขัดขึ้น “เพื่อป้องกันไม่ให้เขามารบกวนคุณได้อีก จุดอ่อนเรื่องนี้ก็เก็บเอาไว้ก่อนจะดีกว่านะครับ”
หลินเซินเข้าไปในลิฟต์แล้วกดหมายเลขชั้นสิบสี่ของโรงแรมเหลียนถังด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
โรงแรมเหลียนถังอยู่ในเครือซ่งซื่อกรุ๊ปซึ่งเริ่มก่อตั้งมาจากกิจการด้านการท่องเที่ยวและดำเนินกิจการมาได้สามรุ่นแล้ว ทุกวันนี้ซ่งซื่อกรุ๊ปพัฒนากลายมาเป็นเครือโรงแรมหรูอันดับหนึ่งภายในประเทศ เมืองไหวอันในฐานะฐานที่มั่นหลักของครอบครัวซ่งจึงมีโรงแรมเหลียนถังซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างสูงใหญ่เสียดฟ้าถึงสามแห่งตั้งอยู่ภายในเมือง กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองไหวอัน
เมื่อไม่นานมานี้โรงแรมเหลียนถังมีการซ่อมบำรุง พวกเขาได้ส่งคนไปที่แกลลอรี่เพื่อเลือกรูปภาพมาใช้ประดับตกแต่งภายในโรงแรม ศิลปินจำนวนมากต่างชะเง้อชะแง้คอรอคอยคาดหวังว่าผลงานของตนจะได้รับเลือก แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วคนที่ ‘เข้าตา’ จะกลายเป็นแค่นักวาดตัวเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง
แม้กระทั่งตัวหลินเซินเองก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
รูปภาพของเธอส่วนใหญ่เป็นภาพที่ไม่มีเรื่องราวและตัวละคร เคยมีคนบรรยายว่าผลงานของเธอไว้ว่าเหมือนทำถาดสีหกใส่ วาดไปตามอารมณ์ ไม่ใช่ภาพที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ แต่ที่สามารถเข้าไปแสดงอยู่ในแกลลอรี่ได้ก็เพราะว่าอาศัยเส้นสายของเพื่อนสนิทอย่างเมิ่งสืออวี่
และไม่รู้ว่าคนที่โรงแรมเหลียนถังส่งไปเลือกรูปภาพในครั้งนี้ตกลงแล้วมีประสาทเส้นไหนผิดปกติไปกันแน่
ในตอนที่หลินเซินมาถึงชั้นสิบสี่ รูปภาพที่เมื่อเช้าเธอเรียกคนให้เอามาส่งก็ถูกยกขึ้นมาวางไว้ตรงระเบียงทางเดินเรียบร้อยแล้ว รูปภาพเหล่านั้นถูกบรรจุไว้ในกล่องทรงยาว วางนอนอยู่ข้างในอย่างเป็นระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้หักงอหรือเป็นรอย ข้างๆ กล่องมีผู้ช่วยสวมแว่นตากรอบทองคนหนึ่งยืนอยู่และกำลังนำรูปภาพออกมาวางเรียงบนพื้นอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมใส่กรอบใหม่แล้วนำขึ้นไปแขวนบนกำแพง
เมื่อเห็นหลินเซินมาถึงแล้ว ผู้ช่วยก็ขยับแว่นตาส่งยิ้มให้แล้วเอ่ยทักเธอ “คุณหลินมาแล้วเหรอครับ” เขาเบี่ยงตัวหลบให้ชายหนุ่มสวมเชิ้ตขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมแนะนำตัวกับหลินเซิน “ท่านนี้คือประธานซ่งของพวกเรา เป็นคนที่เลือกผลงานของคุณหลินครับ”
หลินเซินมองไปยังประธานซ่งที่ผู้ช่วยแนะนำ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ สันกรามคมชัดใบหน้าหนึ่ง
เขาเองก็มองมาที่หลินเซินในขณะที่รับเสื้อสูทซึ่งผู้ช่วยพาดไว้บนแขนมา คิ้วคมดูเย็นชา พลางยื่นมือออกมาหาหลินเซิน “ซ่งเซียวหาน”
นิ้วของเขาขาวมาก ข้อนิ้วเรียวยาว เปิดเผยนาฬิกาเรือนสีทองหม่นบนข้อมือ ทั้งดูทรงอำนาจแต่ก็แฝงด้วยความเรียบง่าย หลินเซินตัวแข็งเกร็ง เม้มปากแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงยื่นมือออกไปแตะปลายนิ้วกับซ่งเซียวหานเล็กน้อย จากนั้นชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว “สวัสดีค่ะ ฉันหลินเซิน”
ซ่งเซียวหานพยักหน้าเบาๆ สายตากวาดมองไปบนรูปภาพ “รูป…” เขาชะงักไปก็พูดต่อ “ไม่เลว”
“ขอบคุณค่ะ” หลินเซินตอบกลับเสียงเบา
ซ่งเซียวหานมองประเมินรูปภาพบนพื้นสักพักก็ก้มตัวลงไปหยิบรูปภาพสองภาพขึ้นมาเทียบบนกำแพง หลินเซินช้อนสายตาขึ้นมองตามพลันรู้สึกว่ารูปภาพที่สีสันสดใสหลายสิบภาพของตัวเองเหล่านี้ช่างไม่เข้ากับสไตล์ที่ดูสูงส่งเย็นชาของโรงแรมเหลียนถังเลยสักนิด
ซ่งเซียวหานมีใบหน้าเย็นชาทำให้คาดเดาอารมณ์ได้ยาก หลินเซินซึ่งกำลังกระวนกระวายใจอยู่เห็นซ่งเซียวหานพยักหน้าให้ผู้ช่วย จากนั้นผู้ช่วยจึงรีบเดินมาตรงหน้าเธอทันที “คุณหลิน ประธานซ่งพอใจกับรูปภาพของคุณมาก ไม่ทราบว่าคุณมีข้อเสนอแนะอะไรเกี่ยวกับการแขวนรูปภาพพวกนี้ไหมครับ”
หลินเซินรู้สึกประหลาดใจระคนตกใจไม่น้อย เธอนึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะชอบรูปภาพของตัวเองจริงๆ หญิงสาวเม้มปาก คิดใคร่ครวญทุกอย่างก่อนเอ่ยอกไป “ฉันว่า…สองภาพนี้แขวนเอาไว้ที่ห้องรับแขกจะเหมาะกว่านะคะ ส่วนรูปภาพพวกนี้…ค่อนข้างเหมาะกับทางเดินมากกว่าค่ะ”
ผู้ช่วยเงยหน้ามองซ่งเซียวหาน ซ่งเซียวหานหลุบตาลงน้อยๆ “ได้”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากเขา สีหน้าเคร่งเครียดของหลินเซินก็ผ่อนคลายลงในที่สุด “แต่ว่าสีพื้นของทางเดินฝั่งนี้กับสีหลักของรูปภาพดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ บางทีถ้าทาสีกำแพงเป็นสีน้ำเงินอมเทาแทนน่าจะทำให้ทางเดินดูทรงพลังมากขึ้นนะคะ”
ซ่งเซียวหานหน้าไม่เปลี่ยนสี “เปลี่ยน”
หลินเซินยืนอยู่ติดกำแพง มือไพล่ไปด้านหลัง แล้วในที่สุดก็เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาได้ “เมื่อครู่ตอนขึ้นมาฉันลองดูสไตล์ของห้องโถงหลักแล้ว รูปภาพที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่เหมาะสมกับบริเวณนั้นเท่าไหร่ แต่หลังกลับไปแล้วฉันสามารถวาดขึ้นมาใหม่ให้ได้ค่ะ”
ซ่งเซียวหานติดกระดุมชุดสูทเม็ดที่สอง “ตกลงครับ”
นิสัยการทำงานอย่างเฉียบขาดของซ่งเซียวหานนั้นเข้ากันกับวิธีการพูดของเขามาก เรื่องนี้ก็ทำให้หลินเซินรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อยเช่นกัน
ตอนที่ลงลิฟต์มา หลินเซินก้มมองโทรศัพท์มือถือ พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียว ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้แสงแดดร้อนแรงกลับปกคลุมทั่วทั้งตัวเมืองแล้ว เธอไม่ได้พกร่มมาจึงยกมือขึ้นบังแดดแทน ปลายนิ้วของเธอพาดอยู่บนคิ้ว เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวผู้ช่วยที่สวมแว่นตากรอบทองก็ไล่ตามมา ในมือของเขามีร่มสีดำคันหนึ่ง
“คุณหลิน! แดดแรงเกินไปแล้ว ซ้ำแถวนี้ยังเรียกรถยาก คุณเอาร่มไปด้วยเถอะครับ”
หลินเซินรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจอยู่บ้าง ขนตางอนหนากะพริบไหวเบาๆ ก่อนเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
ผู้ช่วยยิ้มแย้ม “เป็นคำสั่งของประธานซ่งทั้งนั้นครับ”
หลังหลินเซินกลับมาถึงบ้านก็โทรศัพท์หาเมิ่งสืออวี่เพื่อนสนิททันที ปลายสายมีเสียงอัตโนมัติบอกว่าโทรศัพท์มือถือปิดเครื่อง ในฐานะจิตแพทย์ผู้มีความสามารถคนหนึ่ง เวลาเมิ่งสืออวี่กำลังรักษาคนไข้อยู่เธอจะปิดเครื่องเอาไว้เสมอ หลินเซินวางโทรศัพท์มือถือลงและไม่ได้โทรออกไปอีก จากนั้นก็มัดผมแล้วเดินไปที่ห้องวาดภาพ
เมื่อเช้าหลินเซินลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว พบว่าโรงแรมเหลียนถังมีสามสิบกว่าชั้น ทุกๆ ทางเดิน ห้องพัก และสถานที่ที่จำเป็นต้องแขวนรูปภาพนั้นรวมแล้วมีร้อยกว่าจุด ซึ่งหลังจากคำนวณดูแล้วตอนนี้ยังขาดอยู่อีกหลายสิบภาพ ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องเร่งทำงาน
เพราะกลัวว่าสีจะละลาย อุณหภูมิภายในห้องวาดภาพจึงต่ำกว่าห้องรับแขก ในตอนที่หลินเซินเดินไปถึงขาตั้งวาดภาพก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันไปมองยังขาตั้งตรงมุมกำแพงที่ถูกผ้าใบคลุมทับเอาไว้
ผ่านไปสักพักใหญ่เธอถึงได้ก้าวเดินต่อไปยังขาตั้งวาดภาพตัวนั้น บนผ้าใบที่คลุมอยู่มีฝุ่นจับ พอเลิกมุมหนึ่งขึ้นก็มีรูปภาพคนครึ่งหนึ่งปรากฏออกมา ปกติแล้วหลินเซินไม่วาดภาพคน แต่ภาพคนภาพนี้ก็เป็นสไตล์งานของเธอจริงๆ
ชายหนุ่มที่อยู่ในภาพมีคิ้วคม ใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางหยักยกขึ้นน้อยๆ มือข้างหนึ่งวางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ อีกมือถือแก้วกาแฟ
พื้นหลังของภาพนี้คือสวนสาธารณะ แสงแดดส่องลอดต้นไม้เกิดเป็นเงาแต่งแต้มลงบนพื้น ทว่าก็สู้ประกายในดวงตาของเขาไม่ได้ แต่รูปภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จ ฝีพู่กันหยุดลงตรงท่อนแขนของชายหนุ่ม คล้ายหนังใบ้ที่เงียบเสียงลงกะทันหัน
ชายหนุ่มที่อยู่ในภาพนี้ก็คือ ‘สามี’ ของอาจิ้งที่ได้พบกันตรงหน้าประตูโรงแรมเหลียนถังเมื่อเช้านี้
ความจริงหลินเซินเคยเจอกับเขาเมื่อนานมากแล้ว ตอนที่กำลังร่างภาพอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างผ่อนคลายโดยไม่ตั้งใจ นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของหลินเซินที่เกิดความคิดอยากวาดภาพคนขึ้นมา
ดังนั้นหญิงสาวจึงพลิกกระดาษหน้าต่อไป ใช้เขาเป็นแบบร่างภาพ แต่วาดไปได้ครึ่งทางก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มและรับแก้วกาแฟในมือของเขามา ก่อนจะคล้องแขนกันแล้วดึงตัวเขาจากไปด้วยท่าทีสนิทสนม
เด็กสาวคนนั้นไม่ใช่อาจิ้ง
ตอนนี้ชายหนุ่มบนกระดาษวาดภาพกำลังส่งยิ้มมาให้ ไม่แตกต่างอะไรกับที่เธอได้เห็นเมื่อเช้าของวันนี้ หลินเซินมองอยู่นานก่อนถอนหายใจแล้วดึงผ้าใบลงมาปิดทับ จากนั้นกลับตัวเดินจากไป
กว่าเมิ่งสืออวี่จะโทรกลับมาก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว หลินเซินที่มือหนึ่งถือพู่กันอีกมือถือถาดสีจึงต้องแนบโทรศัพท์มือถือเอาไว้กับหูโดยใช้ไหล่ช่วย “เมิ่งเมิ่ง ตอนเย็นมากินข้าวที่บ้านฉันไหม”
เหมือนเมิ่งสืออวี่จะกำลังยุ่งอยู่จึงคุยกับเธอไปพลางฝากฝังงานไปพลาง “ได้เลย วันนี้เป็นวันอะไรกัน”
“ฉันหาเงินก้อนแรกในชีวิตได้แล้ว”
เมิ่งสืออวี่ยิ้ม “เป็นวันที่สมควรจะฉลองจริงๆ” เธอลดเสียงลงและบอกให้ผู้ช่วยเอาแฟ้มประวัติของผู้ป่วยคนต่อไปเข้ามา ก่อนถือโทรศัพท์มือถือเดินไปข้างบานหน้าต่าง “แต่อากาศร้อนขนาดนี้ เธอไม่ต้องทำอาหารที่บ้านแล้ว ไปภัตตาคารตะวันตกคราวที่แล้วเป็นไง”
หลินเซินเงียบไปสักพัก “ฉันไม่อยากออกไปกินข้างนอก”
เมิ่งสืออวี่ยกเสียงสูงขึ้น คล้ายกำลังตักเตือน “หลินเซิน!”
เธอจึงเปิดปากอธิบาย “วันนี้ฉันเจอคนมามากพอแล้ว ครบเป้าหมายแล้ว”
เมิ่งสืออวี่หลุดขำออกมา “ถ้าเกิดทุกวันเธอเอาแต่นับจำนวนคนตามเป้าหมายที่ฉันตั้งเอาไว้ให้ งั้นอาการป่วยของเธอก็จะไม่มีวันหายหรอกนะ เซินเซิน…การออกมาเผชิญโลกภายนอกไม่ใช่เพื่อทำภารกิจที่ฉันมอบหมายไว้ให้สำเร็จเท่านั้นนะ แต่เพื่อตัวเธอเอง” เมิ่งสืออวี่ชะงักไปก่อนเอ่ยหยอก “เธอคงไม่ได้เห็นว่าภัตตาคารตะวันตกนั่นแพงเกินไปแล้วใช่ไหม”
หลินเซินถูกเมิ่งสืออวี่หยอกจนยิ้มออกมา “ถ้าเลี้ยงข้าวเธอ ต่อให้แพงกว่านี้ฉันก็จ่ายไหว”
เมิ่งสืออวี่ยิ้มออกมาเหมือนกัน “เปลี่ยนไปเป็นคนปากหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ โอเค งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องตรวจคนไข้ต่อแล้ว เดี๋ยวเลิกงานแล้วจะไปรับเธอนะ”
หลินเซินรับคำก่อนวางสายไป
เมืองไหวอันในช่วงกลางวันเต็มไปด้วยเสียงผู้คนและรถรา จังหวะอันรวดเร็วของเมืองเมืองนี้ก็เหมือนกับแสงแดดในวันนี้ที่ทำให้คนยากจะรับมือ แต่วิลล่าที่ภูเขาชังหรงแถวนอกเมืองกลับเงียบสงบร่มเย็น คลินิกจิตเวชของเมิ่งสืออวี่ตั้งอยู่ที่นี่
ผู้ช่วยยื่นแฟ้มประวัติที่จัดเรียงเรียบร้อยแล้วให้เมิ่งสืออวี่ “คนต่อไปคือคุณกู้ค่ะ”
มือที่ยื่นออกไปรับแฟ้มมาชะงักไปเล็กน้อย เมิ่งสืออวี่ขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว “ยังไม่ทันจะเริ่ม ฉันก็มีลางสังหรณ์แล้วว่าวันนี้จะล้มเหลวอีกครั้ง ยอดเขาเอเวอเรสต์*ลูกนี้ ดูท่าฉันคงไม่มีโอกาสปีนขึ้นไปได้สำเร็จ”
ผู้ช่วยเอ่ยปลอบใจ “คุณหมอเมิ่ง คุณเป็นจิตแพทย์อันดับสูงในแวดวงจิตวิทยา รักษาผู้ป่วยโรคหายากมาตั้งมากมาย อาการนอนไม่หลับของคุณกู้เองก็จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ”
“เธอจะไปเข้าใจอะไร!” เมิ่งสืออวี่จุดไม้จันทน์ซึ่งกลิ่นของมันช่วยในการนอนหลับ “คนในวงการเปรียบเทียบเขาเป็นยอดเขาเอเวอเรสต์ เธอคิดว่าฉายานี้ได้มาง่ายๆ งั้นเหรอ ออกไปได้แล้ว ไปเรียกเขาเข้ามาไป”
ผู้ช่วยรู้ว่าอารมณ์ของเมิ่งสืออวี่ไม่ค่อยดีนัก หลังรู้ตัวว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นจึงรีบออกไปทันที
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือของชายหนุ่มยังถือแก้วกาแฟที่เมื่อครู่ผู้ช่วยเพิ่งชงให้เขาเอาไว้ เมิ่งสืออวี่ถอนหายใจ “นอนไม่หลับห้ามกินกาแฟเยอะ จะต้องให้บอกคุณอีกกี่ครั้งกันคะ”
ชายหนุ่มยิ้มพลางยักไหล่ก่อนเอนหลังลงไปบนเก้าอี้นอนที่เตรียมพร้อมเอาไว้ให้เขา “ดื่มไม่ดื่มก็เหมือนกัน”
เมิ่งสืออวี่ถอนหายใจเงียบๆ เธอพลิกเปิดแฟ้มประวัติแล้วเริ่มต้นซักอาการตามลำดับ แสงแดดยามบ่ายทะลุผ่านกระจกเข้ามาผ่านผ้าม่านผืนบางหลงเหลือเพียงแสงสลัวๆ
“ยังนอนหลับตามปกติไม่ได้อีกเหรอคะ”
“อืม”
“ตั้งแต่ที่มาตรวจเมื่ออาทิตย์ก่อนจนถึงวันนี้ ใช้ยานอนหลับไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้วคะ”
“โดยปกติแล้วกินแทบทุกคืน”
“ครั้งละกี่เม็ดคะ”
“สามเม็ด”
เมิ่งสืออวี่กดหัวปากกาในมือจนหักดังเป๊าะ เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเฉยชาที่อยู่บนเก้าอี้นอนด้วยความโมโห “คุณกู้ชิงไหว! คุณเพิ่มปริมาณยาด้วยตัวเองอีกแล้วนะ! ฉันเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าคนปกติกินยานอนหลับกันแค่ครึ่งเม็ด คุณกำลังเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นอยู่ทราบไหมคะ!!”
กู้ชิงไหวลืมตาขึ้น เผยยิ้มออกมาน้อยๆ ขณะมองเธอ “อย่างผมไม่นับเป็นคนปกติไม่ใช่เหรอ” เขาเงยหน้ามองนาฬิกาบนกำแพงไปทีหนึ่งก่อนลุกขึ้นแล้วจัดปกเสื้อ “ได้เวลาแล้ว ผมไปก่อนล่ะ”
เมิ่งสืออวี่จ้องแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างสบายใจของเขา ขณะนิ้วซึ่งกำปากกาอยู่บีบแน่นขึ้นกว่าเดิม
แสงแดดยามบ่ายร้อนแรงยิ่งขึ้น จักจั่นบนต้นไม้ร้องเสียงดังแข่งกับความร้อนของอากาศ เมิ่งสืออวี่ดับไม้จันทน์ที่จุดไฟไว้อย่างรุนแรง แล้วเอ่ยสั่งผู้ช่วยที่เข้ามาทำความสะอาดเสียงเย็น “พรุ่งนี้หาคนมาเปลี่ยนกระจกให้เป็นกระจกเก็บเสียงซะ แล้วก็จัดการจักจั่นบนต้นไม้นั่นด้วย”
หลังตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จ เมิ่งสืออวี่ก็เลิกงานแล้วขับรถไปรับหลินเซิน
หลินเซินพักอยู่ย่านเมืองเก่า มีต้นไหวปลูกไว้ดูร่มเย็น ตามด้านหน้าประตูบ้านมักมีคนแก่มานั่งโบกพัดกันอยู่เสมอ บ้านเมื่อสมัยหลายสิบปีก่อนนั้นในเวลานี้รอบๆ กลายเป็นตึกสูงใหญ่ไปหมดแล้ว แถวๆ ซื่อเหอย่วนหลังนี้จึงคล้ายเป็นมุมปลีกวิเวกของตัวเมืองอันวุ่นวาย แม้ว่าบางครั้งจะมีตัวแทนอสังหาริมทรัพย์มาเจรจาทำการซื้อขายแต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปมือเปล่ากันทั้งนั้น
รถของเมิ่งสืออวี่ขับเข้ามาไม่ได้ เธอจึงจอดอยู่ข้างถนนแล้วโทรศัพท์หาหลินเซิน หลินเซินคว้าเสื้อนอกแล้วรีบออกมาจากบ้าน ตอนที่ขึ้นรถมาเมิ่งสืออวี่ก็กำลังนอนพิงเบาะพักสายตาอยู่ เธอถามหลินเซินด้วยเสียงอ่อนล้าว่า “วันนี้ทำอะไรไปบ้าง”
หลังพ่อแม่เสียชีวิต หลินเซินก็ป่วยเป็นโรคกลัวสังคมขั้นรุนแรง ด้วยความบังเอิญจึงได้รู้จักกับเมิ่งสืออวี่ ตอนนั้นเมิ่งสืออวี่ยังเป็นแค่นักศึกษาเอกจิตวิทยาปีหนึ่ง ดังนั้นหลินเซินเลยกลายมาเป็นคนไข้คนแรกให้เธอได้ฝึกวิชา ทุกวันหลินเซินจะต้องคอยรายงานกิจวัตรประจำวันของตัวเองให้เธอฟัง ซึ่งนั่นก็นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรักษาด้วยเหมือนกัน
หลินเซินย้อนนึกเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเริ่มเล่าตั้งแต่ที่เธอเรียกรถออกจากบ้านไปตอนเช้า เมื่อพูดมาถึงเรื่องช่วยอาจิ้ง เมิ่งสืออวี่ก็เลิกคิ้วน้อยๆ “เธอนี่มันนางฟ้าตัวน้อยจริงๆ ทั้งๆ ที่กลัวการเผชิญหน้ากับกลุ่มคนแต่ก็ยังเข้าไปช่วยคนอื่นแก้ไขสถานการณ์ก่อน ดูท่าฉันต้องให้รางวัลเธอหน่อยแล้ว”
หลินเซินเอ่ยอย่างลังเล “ความจริงเมื่อวานฉันเจอเธอในลิฟต์ ตอนไปเซ็นสัญญาที่โรงแรมน่ะ”
หลินเซินออกจากบ้านมาเจรจาธุรกิจเป็นครั้งแรกทำให้เครียดจนไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ไหน ในตอนที่ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน อาจิ้งเองก็อยู่ในนั้นด้วย เพียงแต่คุณแม่ลูกอ่อนไม่ทันสังเกตเห็นหลินเซินที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ด้านหลัง แต่เด็กที่อาจิ้งอุ้มอยู่กลับกะพริบดวงตาฉ่ำวาวคู่นั้นปริบๆ มองหลินเซินอย่างสนอกสนใจ มือน้อยๆ ที่ปัดป่ายมั่วซั่วอยู่ในอากาศเอื้อมมาคว้านิ้วของเธอเอาไว้กะทันหัน ซ้ำยังส่งยิ้มหวานจ๋อยมาให้อีกด้วย
นั่นเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก หลินเซินหวาดกลัวกับการสัมผัสร่างกายคนอื่นมาโดยตลอด ทว่ามือน้อยๆ ข้างนั้นกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นมากเหมือนกับแสงจันทร์ที่อ่อนโยนช่วยขับไล่ความเครียดของเธอให้หายไป
หลินเซินชะงักเสียงพูดไป คิ้วขมวดเข้าหากัน “เมิ่งเมิ่ง วันนี้ฉันยังทำเรื่องไม่ดีไปด้วยเรื่องหนึ่ง”
เมิ่งสืออวี่กำลังหาที่จอดรถ “หืม?”
“สามีของอาจิ้ง…ความจริงฉันเคยเจอเขาที่สวนสาธารณะมาก่อน แต่เขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ท่าทางดูสนิทสนมกันมากด้วย ตอนนั้นฉัน…” เธอถอนหายใจเบาๆ “ฉันควรจะบอกอาจิ้ง”
เมิ่งสืออวี่มองออกไปนอกหน้าต่างรถขณะส่งเสียงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “เธอไม่ได้บอกว่าเด็กคนนั้นเพิ่งอายุไม่กี่เดือนหรอกเหรอ ผู้ชายนอกใจภรรยาช่วงท้องมีให้เห็นออกบ่อยไป การที่เธอไม่ได้บอกก็เป็นการทำเพื่อผู้หญิงคนนั้น อย่าคิดมากไปเลย”
หลินเซินขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
คนในภัตตาคารมีไม่มาก บริกรพาทั้งสองคนไปนั่งที่โต๊ะ ระยะนี้เมิ่งสืออวี่กำลังลดน้ำหนักจึงสั่งแค่สลัดผลไม้มาจานเดียว เธอยกแก้วไวน์แดงขึ้นมาชนแก้วกับหลินเซิน “ยินดีด้วยที่ได้เซ็นสัญญาฉบับแรก ความรู้สึกที่ได้เลี้ยงดูตัวเองเป็นยังไงบ้าง”
หลินเซินจิบไวน์เข้าไปอึกเล็กๆ “ยังรู้สึกไม่ค่อยสมจริงอยู่เท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนชอบภาพของฉันจริงๆ”
เมิ่งสืออวี่ยิ้มน้อยๆ แกว่งแก้วไวน์ในมือเบาๆ “บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ดำรงอยู่เป็นอิสระ ต่อให้อัปลักษณ์แค่ไหนก็จะต้องมีคนชอบ ต่อให้ภาพนั้นจะเข้าใจยากกว่านี้ยังไงก็จะมีคนชื่นชมเหมือนกัน เธอก็แค่ตัดขาดตัวเองออกมานานเกินไปแล้ว”
หลายปีมานี้เมิ่งสืออวี่คอยช่วยเธอเอาชนะความกลัวสังคมอยู่ตลอด ทั้งเมิ่งสืออวี่และตัวเธอเองต่างเข้าใจว่าไม่ใช่หลินเซินไม่อยากเดินออกมา เพียงแค่ไม่กล้าเท่านั้น ทว่าระยะนี้สถานการณ์ของหลินเซินก็เปลี่ยนไปและดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งสืออวี่เองก็พอใจกับผลการรักษาของตนมาก
หลินเซินเป็นคนพูดไม่เก่ง แม้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจก็ทำได้แค่ยกแก้วขึ้นเอ่ยขอบคุณเมิ่งสืออวี่อย่างจริงจัง “เมิ่งเมิ่ง ขอบคุณมาก!”
เมิ่งสืออวี่ดื่มไวน์ในแก้วหมดรวดเดียวก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความเหนื่อยล้าที่ปรากฏบริเวณหว่างคิ้วคลายออก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เมิ่งสืออวี่ดูแล้วไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ทำให้หลินเซินอดถามไม่ได้ “วันนี้อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
จิตแพทย์สาวกุมขมับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “เมื่อครู่ก็หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่พอคุยกับเธอก็ดีขึ้นเยอะแล้ว แค่ว่า…” เธอชะงักไป สายตากวาดผ่านตัวหลินเซิน ในแสงสว่างแฝงความอึมครึมบางส่วน “คนไข้นอนไม่หลับที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้น่ะ จนกระทั่งตอนนี้แล้วก็ยังไม่มีท่าทีจะดีขึ้นสักนิด ตอนแรกที่รับเคสต่อมาฉันเคยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเอาไว้มากว่ารักษาได้ แต่ตอนนี้ดูท่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องตลกของวงการไปแล้ว”
หลินเซินนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เมิ่งสืออวี่เคยพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังอยู่ จึงเอ่ยปลอบ “แม้แต่ฉันเธอยังรักษาหายได้เลย ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเธอหรอก”
เมิ่งสืออวี่ถอนหายใจ “ไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ กระทั่งพวกรุ่นอาวุโสยังไม่มีวิธีการอะไรกันเลย” สายตาของจิตแพทย์สาวตกลงบนใบหน้าของหลินเซิน ก่อนทอดเสียงอ่อนลง “ถ้าเกิดมีความสามารถอย่างเสียงของเธออาจจะพอทดลองได้”
เพิ่งจะพูดจบส้อมในมือของหลินเซินที่กำลังตัดแยกสเต๊กเนื้อออกเป็นส่วนๆ ก็กรีดผ่านผิวจานดังเอี๊ยด ส่งเสียงแหลมบาดหูออกมา มือที่กุมส้อมอยู่สั่นระริก เธอวางสเต๊กเนื้อกลับลงที่เดิมและแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่ได้พูดอะไรต่อ และไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วย
เมิ่งสืออวี่ยืดตัวตรงขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำลง “ขอโทษด้วยเซินเซิน! ฉันไม่ควรพูดแบบนี้”
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินเซินจึงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เมิ่งสืออวี่ “ไม่เป็นไร! ก็แค่…”
บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย เมิ่งสืออวี่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อแก้ไขบรรยากาศ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เธอบอกว่าคนที่เลือกรูปภาพของเธอคือซ่งเซียวหานเหรอ”
“อืม”
เมิ่งสืออวี่เลิกคิ้ว “รู้ไหมว่าซ่งเซียวหานคนนี้เป็นใคร”
หลินเซินส่ายหน้า
“ลูกชายคนเดียวของครอบครัวซ่ง ทายาทหนึ่งเดียวของซ่งซื่อกรุ๊ป เมื่อปีก่อนเพิ่งสืบทอดตำแหน่งจากพ่อเขา น่าจะเป็นหนุ่มหล่อมากความสามารถที่ทรงอิทธิพลที่สุดของไหวอันในตอนนี้แล้ว ได้ยินมาว่ามีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยอยากจะปีนขึ้นเตียงของเขา แต่สุดท้ายแม้แต่ผมเส้นเดียวก็ยังไม่ได้แตะ” เมิ่งสืออวี่ยิ้มแย้มส่ายหน้า “ลูกเศรษฐีชื่อดังตัวจริง ครั้งก่อนฉันดูสัมภาษณ์ของเขาอยู่ หน้าตาไม่เลว พระเจ้านี่ช่างลำเอียงในการสร้างคนจริงๆ”
หลินเซินย้อนนึกถึงใบหน้าเย็นชา ทว่าดูหล่อเหลาไม่ธรรมดาของซ่งเซียวหานเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมิ่งสืออวี่เอ่ยหยอก “เธอจะต้องกอดขาใหญ่ๆ ข้างนี้เอาไว้ให้ดีๆ นะ ซ่งเซียวหานชอบภาพของเธอ พอเรื่องนี้กระจายออกไปแล้วไม่รู้ว่าค่าตัวเธอจะเพิ่มขึ้นไปกี่เท่า!”
หลังพูดคุยกันสักพักบรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่นี้ก็ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว พอกินข้าวเสร็จทั้งสองคนก็พากันไปเดินเล่นแถวย่านเก่าที่ปลูกต้นไหวและต้นหลิวริมสองข้างทาง ในตอนที่หลินเซินกลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็กำลังจะมืดแล้ว ลมกลางคืนแฝงไอร้อนทะลักเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน พัดปฏิทินแขวนบนผนังให้แกว่งไกวไปมา สายตาของหลินเซินตกอยู่บนวันที่ซึ่งเธอใช้ปากกาแดงวงเอาไว้…นั่นเป็นวันพรุ่งนี้
วันครบรอบวันตายของพ่อแม่เธอ
วันรุ่งขึ้นหลินเซินออกจากบ้านแต่เช้า ร้านดอกไม้ตรงหัวมุมถนนเพิ่งเปิดร้าน เจ้าของร้านกำลังยกกระถางดอกไม้สดใหม่ออกไปวางข้างนอก หลินเซินซื้อดอกเดซี่สีขาวสองช่อเหมือนกับทุกๆ ปี
สุสานมักจะให้บรรยากาศสงบที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่เสมอ หลังเธอบ่นถึงสถานการณ์ในระยะนี้ของตนเองให้พ่อกับแม่ซึ่งนอนหลับยาวฟังเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็ลอยโด่งขึ้นไปถึงครึ่งท้องฟ้าแล้ว แสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นมา หลินเซินแนบหน้าผากไปบนป้ายหลุมศพพลางเอ่ยเสียงเบา “พ่อแม่…หนูไปก่อนนะคะ ถ้าเกิดเป็นลมแดดเข้าพ่อกับแม่ก็จะเป็นห่วงเอา จริงไหม!”
สมัยมีชีวิตอยู่คุณแม่หลินเป็นคนเคร่งศาสนา ดังนั้นทุกปีหลังกราบไหว้ที่หลุมศพเสร็จ หลินเซินก็จะไปสวดมนต์ในโบสถ์ เธอกางร่มสีดำออก ลายดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ บนร่มสะท้อนกับแสงอาทิตย์ เสมือนดอกที่เบ่งบานเต็มที่แล้วกำลังจะร่วงโรย
โบสถ์ในวันศุกร์นั้นเงียบสงบเป็นอย่างมาก แต่จักจั่นบนต้นโอ๊กก็คอยส่งเสียงร้องไม่หยุด เพิ่มความน่ารำคาญให้กับฤดูที่ร้อนระอุนี้มากขึ้น
กู้ชิงไหวจอดรถเสร็จแล้วก็ลงมาช่วยเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้กับหญิงชรา เขามองระยะทางระหว่างลานจอดรถไปยังโบสถ์ที่ไม่นับว่าสั้นนี้ทีหนึ่ง แล้วเดินไปหยิบร่มมาจากกระโปรงรถด้านหลัง
หญิงชราที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวรถมองดูร่มที่กางอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่พอใจ “คนหนุ่มอย่างพวกเธอน่ะช่างบอบบาง แค่แสงแดดเล็กๆ น้อยๆ ก็โดนไม่ได้”
กู้ชิงไหวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก “ผมกลัวว่าคุณจะโดนแดดแรงเกินไปนะครับ”
“ฉันถือว่าเป็นคนที่ลงหลุมไปครึ่งตัวแล้ว ยังจะต้องมากลัวตากแดดอะไรอีกเหรอ”
หญิงชราพูดจาแข็งกระด้าง เดินโซเซเล็กน้อย กู้ชิงไหวโน้มตัวลงถือร่มให้ต่ำกว่าเดิมขณะก้าวเดินตามเธอไป “ประโยคสมัยก่อนพูดเอาไว้ได้ดี อยู่จนแก่ สวยจนแก่ คุณสวยมาตั้งแต่เกิดย่อมไม่กลัวตากแดดจนตัวดำ แต่ผมสู้คุณไม่ได้ ถ้าตากแดดจนตัวดำแล้วก็คงหาภรรยาไม่ได้”
หญิงชราหัวเราะไปกับคำพูดของเขา ทว่าบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นกลับปรากฏแววเสียใจขึ้นมาช้าๆ “ถ้าอวิ๋นเอ๋อร์ของฉันยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะแต่งงานได้แล้วเหมือนกัน”
กู้ชิงไหวไม่ได้ตอบอะไร แค่ตบบริเวณหลังมือที่สั่นเทาของเธอเบาๆ
ในตอนที่เดินเข้าไปในโบสถ์ก็มีสายลมเย็นสบายพัดมาปะทะใบหน้า หญิงชราตรงเข้าไปเพื่ออธิษฐาน ส่วนกู้ชิงไหวนั่งลงบนแถวที่นั่งท้ายสุด กอดอกมองประเมินโบสถ์อันเงียบสงบตรงหน้า แสงอาทิตย์หักเหเข้ามาจากกระจกที่แปะกระดาษปิดหน้าต่างสีน้ำเงินสองฝั่งทำให้แสงดูสลัว
ยามบ่ายอันเงียบงันมีเพียงเสียงจักจั่นลอยมาตามสายลม จากนั้นไม่นานนักก็มีเสียงทุ้มท่องบทสวดอย่างแผ่วเบาลอยมา แต่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
“…ท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน จะระลึกถึงความทุกข์เหมือนน้ำที่ไหลผ่านไปแล้ว ชีวิตท่านจะสุกใสยิ่งกว่าเวลาเที่ยงวัน ความมืดจะเป็นเหมือนรุ่งอรุณสำหรับท่าน และท่านจะมั่นใจเพราะมีความหวัง ท่านจะมองดูโดยรอบและนอนพักอย่างปลอดภัย”
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนกับลำธารในผืนป่าที่ไหลผ่านก้อนหินสีขาวทอประกายแสงแดดระยับไปช้าๆ สะท้อนอยู่ในโบสถ์อันว่างเปล่าอย่างถ่อมตน ดังอยู่ข้างหูของเขา
หลังจากนั้นกู้ชิงไหวก็จำอะไรไม่ได้อีก เขานอนหลับไปแล้ว
แสงแดดยามบ่ายร้อนแรง หลินเซินปิดหนังสือ ‘พันธสัญญาเดิม’ ก่อนพยักหน้าทักทายนักบวชที่สวดอธิษฐานอยู่ด้วยแล้วกลับตัวเดินจากไป
ในตอนที่กู้ชิงไหวถูกหญิงชราปลุกให้ตื่นเวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เมื่อสะดุ้งตื่นจากฝันกะทันหัน ในดวงตาใสกระจ่างของชายหนุ่มจึงมีเพียงความสับสนงุนงงราวกับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน จนได้ยินเสียงจักจั่นดังเข้ามาในหูสติของเขาจึงกลับมา และภาพตรงหน้าก็กระจ่างชัดขึ้นมาตาม
เขายังคงอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ที่มีแสงสว่างสลัวๆ กับรูปปั้นน่าเกรงขาม หญิงชราเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างๆ “ทำไมถึงนอนหลับไปแบบนี้ได้ล่ะ เธอเหนื่อยเกินไปแล้วเหรอ”
กู้ชิงไหวขมวดคิ้วทันควัน ร่างกายกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน สองมือดันพนักเก้าอี้ก่อนจะกระโดดข้ามแล้ววิ่งไปที่ทางเข้าด้วยฝีเท้าที่แทบจะเรียกได้ว่าทุลักทุเล เขาวิ่งพรวดพราดออกไป
ชายหนุ่มไล่ตามหารอบๆ โบสถ์ไปรอบหนึ่ง ทว่าก็ไม่เห็นเงาของใครทั้งนั้น เขายืนอยู่ที่เดิมอย่างนิ่งอึ้ง จนกระทั่งหญิงชราเดินโยกเยกเข้ามาหาและถามเขาอย่างเป็นห่วง “เสี่ยวกู้ เธอกำลังหาใครกัน”
กู้ชิงไหวตัวสั่นน้อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังตอบกลับหรือกำลังพูดกับตัวเอง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
โบสถ์ในช่วงบ่ายเงียบสงัด เขามองดูสถาปัตยกรรมอันเคร่งขรึมที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อย่างลึกซึ้ง พลางย้อนนึกถึงน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาเมื่อครู่นี้ เขาถึงกับไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริงหรือว่าแค่หูแว่วไปเอง
ในระหว่างขับรถ หญิงชราก็แอบชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงพูดจาอ้อมๆ ว่า “ตอนดึกคนหนุ่มสาวก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง อย่าหักโหมเกินไป ดูแลร่างกายให้ดีๆ”
กู้ชิงไหวนวดขมับพลางยิ้มตอบ “ครับ ผมรู้แล้ว”
หญิงชราพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นค้นของในกระเป๋าอยู่นานถึงได้หยิบไม้กางเขนอันหนึ่งส่งให้เขา “นี่เป็นของที่ก่อนหน้านี้ฉันเตรียมไว้ให้อวิ๋นเอ๋อร์ แต่ไม่มีโอกาสมอบให้เขาซะที เสี่ยวกู้…ฉันให้เธอแทนก็แล้วกัน”
มือที่กุมพวงมาลัยรถของกู้ชิงไหวกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เขามองตรงไปข้างหน้า “คุณเตรียมเอาไว้ให้ลูกชาย ผมว่าเก็บเอาไว้เองดีกว่าไหมครับ”
หญิงชราหัวเราะเบาๆ “คนไม่อยู่แล้วยังจะเก็บเอาไว้ทำไมอีก ไม่สู้เอาไปใช้ปกป้องคนเป็นดีกว่าเหรอ”
กู้ชิงไหวไม่ได้พูดอะไรอีกแค่รับไม้กางเขนอันนั้นมาเงียบๆ
สามวันให้หลัง กู้ชิงไหวก็มาที่โบสถ์แห่งนั้นทุกวัน เขาลองนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเดิม ตามหามุมที่แสงแดดหักสะท้อนเข้ามามุมเดิม และยังลองให้พนักงานหญิงของบริษัทถือหนังสือพันธสัญญาเดิมมาอ่านบทสวดที่เคยได้ยินในวันนั้นให้ฟัง ทว่ายังคงไม่รู้สึกง่วงงุนแม้สักนิดเดียว
มีแค่เสียงนั้นเท่านั้น
เสียงที่ปรากฏขึ้นมาเหมือนฝัน แล้วก็หายไปเหมือนฝันเช่นกัน
แสงยามอาทิตย์ตกแผ่ปกคลุมเข้ามาจากรอบด้าน ในเวลานี้แม้กระทั่งจักจั่นก็ยังเงียบเสียงไป เขาเดินออกมาจากโบสถ์ แสงแดดยามเย็นทำให้เงาร่างของเขาทอดยาวออกไปและล้อมเป็นกรอบสีทองเอาไว้ แกว่งไกวไปตามฝีเท้าของเขา
กู้ชิงไหวคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจโทรหาเมิ่งสืออวี่
“ผมเข้านอนตามธรรมชาติได้แล้ว”
ปลายสายตกใจจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน พอมีอาการตอบสนองกลับมาน้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความลิงโลด “เป็นเพราะการรักษาของฉันได้ผลขึ้นมาแล้วงั้นเหรอคะ”
“น่าเสียดายมาก แต่ว่าไม่ใช่ครับ”
เสียงลมหายใจในโทรศัพท์สะดุดไป ผ่านไปนานถึงได้ยินเสียงเมิ่งสืออวี่ฝืนหัวเราะออกมา “คุณกู้คะ พอจะบอกฉันได้ไหมว่าคุณเข้านอนตามธรรมชาติได้ในสถานการณ์แบบไหน วันมะรืนนี้ที่ปักกิ่งจะมีงานสัมมนาของนักจิตวิทยา ฉันคิดว่า…”
“ไม่ต้องครับ” กู้ชิงไหวเอ่ยขัดเธอแล้วพูดต่อว่า “แค่นี้นะ” ก่อนวางสายไป
กู้ชิงไหวหันหน้ากลับไปมองโบสถ์ที่ถูกแสงอาทิตย์ฉาบทับอีกหนหนึ่ง
เขาจะต้องตามหาเสียงนั้นให้พบ จะต้องหาให้พบให้ได้
เมิ่งสืออวี่กำลังเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ของร้านแบรนด์เนมยืนประคองรองเท้าราคาแพงหลายคู่ไว้ในมืออยู่ข้างๆ รอจนเธอวางโทรศัพท์จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา “คุณเมิ่งคะ สินค้าพวกนี้เป็นของมาใหม่ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีสินค้าเข้ามาใหม่ทางเราจะเก็บไว้ให้คุณเสมอ คุณลองดู…”
เมิ่งสืออวี่ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของหญิงสาวไร้ความรู้สึก แม้แต่รองเท้าคู่ที่เมื่อครู่เธอเลือกเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็ยังไม่หยิบขึ้นมาด้วย “ไม่ดูแล้ว”
จนกระทั่งเธอเดินออกไปแล้ว บรรดาพนักงานหน้าเคาน์เตอร์จึงเก็บรองเท้าไปพลางรวมหัวกระซิบกระซาบกัน “ไม่ใช่ว่าคุณเมิ่งคนนี้คือคนที่ชอบมาซื้อของแพงที่สุดและดีที่สุดโดยตลอดหรอกเหรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่ซื้อของเข้าใหม่เลยล่ะ ล้มละลายแล้วหรือไงกัน”
“คิดว่าโทรศัพท์สายเมื่อกี้นี้เป็นของสามีเธอโทรมาหรือเปล่า เห็นหน้าเปลี่ยนสีไปเลย”
“ไม่ใช่มั้ง เธอยังโสดอยู่เลย…”
เมิ่งสืออวี่เดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว เวลานี้รู้สึกแค่ว่าในหน้าอกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ติดอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกเจ็บหน้าอก เธอยืนอยู่ที่เดิมสักพักจึงโทรศัพท์หาหลินเซิน
“เซินเซิน ตอนเย็นไปกินข้าวกัน ฉันจะไปรับเธอเอง”
จากปลายสายมีเสียงลมพัดแรงดังมาเป็นระลอกๆ “ฉันมาร่างภาพที่เถาฉวน วันมะรืนถึงกลับไป”
บนใบหน้าเมิ่งสืออวี่มีประกายผิดหวังวาบผ่าน เธอได้แต่เอ่ยออกมาอย่างไร้ทางเลือก “งั้นก็ได้ กลับมาแล้วโทรหาฉันด้วยนะ”
เถาฉวนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวละแวกรอบๆ เมืองไหวอัน เมื่อหลายปีก่อนถูกรัฐบาลสร้างเป็นอุทยานป่าท้อเพราะว่าดอกท้อที่นี่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขาทำให้ทิวทัศน์สวยมากจนกลายเป็นสถานที่ที่หลินเซินชอบไปหาแรงบันดาลใจ
ภายในเมืองนั้นมีอากาศร้อนอบอ้าว ทว่าเถาฉวนที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำถัวเจียง ทั้งยังมีต้นไม้เขียวชอุ่มแผ่ปกคลุมไปทั่วยังมีอากาศเย็นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหลงเหลืออยู่บ้าง หลินเซินเข้าพักในโรงแรมท้องถิ่น ตั้งแต่เช้าพอตื่นขึ้นมาเธอก็หอบขาตั้งวาดภาพไปที่สวนสาธารณะถัวเจียง อีกฟากของแม่น้ำใสสะอาดเป็นป่าท้อ แม้ว่าในฤดูกาลนี้ดอกท้อจะร่วงโรยไปนานแล้ว แต่ใบต้นท้อกลับยังเขียวชอุ่ม สีเขียวของต้นท้อเชื่อมต่อกันคล้ายเกลียวคลื่น ยามลมแม่น้ำพัดพากลิ่นต้นท้อลอยผ่านมาก็ทำให้คนหลงคิดว่ายังอยู่ในช่วงเดือนสอง
หลินเซินอยู่ที่นั่นจนถึงช่วงพลบค่ำ เวลาที่มีลมพัดบนผิวแม่น้ำยังสะท้อนภาพดวงอาทิตย์สีแดงครึ่งซีก แต่อากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน จู่ๆ ก็มีเมฆครึ้มปกคลุมไปทั่ว ลมพัดแรงจนขาตั้งวาดภาพพลิกคว่ำ ถาดสีพู่กันก็ถูกพัดจนตกกระจายเต็มพื้น
เธอรีบก้มลงเก็บของมือไม้เป็นพัลวัน แปรงพู่กันกลิ้งห่างออกไปไกลหลายเมตรถูกใครคนหนึ่งก้มเก็บมาให้ หลินเซินยังค้างอยู่ในท่านั่งยองๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับคนคนนั้นเข้าพอดี
ชั่วพริบตาที่สบตากัน ในแววตาของชายหนุ่มมีรอยยิ้มวาบผ่าน แล้วจึงส่งเสียงทักทาย “เป็นคุณอีกแล้ว” เขายื่นพู่กันมาให้ตรงหน้าหลินเซิน ก่อนจะเดินไปจับขาตั้งวาดภาพที่ล้มลงขึ้นมาตั้งใหม่ เมื่อเห็นเธอยังคงค้างอยู่ในท่านั่งยองๆ ก็มองยิ้มๆ “ยังไม่ไปอีกเหรอครับ ฝนจะตกแล้ว”
ตอนนั้นเองหลินเซินกลับสังเกตเห็นลูกโป่งลายเปปป้าพิกที่เขาถืออยู่ เสียงฟ้าร้องดังลอยมาจากขอบฟ้า ชายหนุ่มแบกขาตั้งวาดภาพขึ้นมาท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง “ผมช่วยคุณถือไปแล้วกัน”
หลินเซินเม้มปาก ลุกขึ้นยืนแล้วถอยห่างจากเขาไปหลายก้าว ชายหนุ่มมองเธอครู่หนึ่งด้วยท่าทางสบายๆ “สายตาแบบนั้นของคุณมันอะไรกัน ผมไม่ใช่คนเลวนะ พวกเราเคยเจอกันมาก่อนที่ประตูโรงแรมเหลียนถังกับอาจิ้งไง” เขายื่นมือออกมา “ผมชื่อกู้ชิงไหว”
เธอย่อมจำได้ว่าเขาเป็นใคร ใบหน้าที่หล่อเหลาเกินไปนี้มักชวนให้คนมองทอดถอนใจกับความลำเอียงของพระเจ้าได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้เห็นหน้าเขา หลินเซินก็จะคิดโยงไปถึงท่าทางลนลานทำอะไรไม่ถูกของอาจิ้ง รวมถึงประโยคนั้นของเมิ่งสืออวี่ ‘นอกใจภรรยาช่วงท้องนี่ปกติมาก’
สายลมพัดแรงทำให้เรือนผมที่ปล่อยอยู่บนบ่าของเธอลอยยุ่งเหยิง หลินเซินก้มหน้าลงพร้อมทัดผมไปไว้ที่หลังใบหู เธอไม่ได้จับมือคู่นั้น แค่เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณค่ะ! เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เสียงพูดของเธอถูกลมพัดลอยหายไปจึงไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะได้ยินไหม กู้ชิงไหวชำเลืองมองมือของตัวเองที่ถูกเมินข้ามไปก่อนยิ้มแล้วชักมือเก็บกลับมาอย่างจนใจ “ขึ้นไปกันก่อนเถอะครับ”
กู้ชิงไหวกลับตัวแล้วออกเดินไปทันที ก้าวเดินของเขานั้นทั้งยาวและรวดเร็ว หลินเซินไร้ทางเลือกได้แต่รีบไล่ตามไป ในตอนที่เดินขึ้นบันได ขาตั้งวาดภาพก็ถูกวางลงบนพื้นแล้ว
กู้ชิงไหวนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเด็กชายอายุประมาณสี่ห้าขวบและกำลังยื่นลูกโป่งไปให้ “ถือไว้ให้ดีล่ะ ครั้งหน้าอย่าให้โดนลมพัดไปอีกนะครับ”
ข้างๆ เด็กชายยังมีหญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เมื่อเห็นหลินเซินมองมาก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เธออย่างมีมารยาท หลินเซินหลบสายตาและพยักหน้าน้อยๆ แทนการทักทาย ก่อนจะยกขาตั้งวาดภาพขึ้นมาเตรียมจากไป ทว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงสดใสของเด็กชายก็ลอยตามลมมาเข้าหูเธอ
“ครับผม! ปะป๋าสุดยอดไปเลย วิ่งเร็วกว่าลมอีก”
“แน่นอนอยู่แล้ว ปะป๋าเป็นยอดมนุษย์นี่นา”
หลินเซินชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองภาพครอบครัวสุขสันต์พ่อแม่ลูกอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา พวกเขารู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีเธอแค่คนเดียว และไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว ชั่วพริบตาหนึ่งเธอแทบจะทนไม่ไหว อยากจะพุ่งเข้าไปประกาศความจริง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเหนือศีรษะ ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมากระทบผิว ขาข้างที่กำลังจะก้าวออกไปถูกชักกลับมาอีกครั้ง ภาพครอบครัวแสนสุขค่อยๆ เดินห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝน มีแค่เสียงหัวเราะเหลือทิ้งเอาไว้
รอบนี้ฝนตกลงมาอย่างหนัก สวนสาธารณะถัวเจียงนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ทำให้ไม่สามารถเรียกรถได้ในช่วงเวลาสั้นๆ หลินเซินเดินอยู่บนฟุตปาธใต้ร่มไม้กลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกลที่ด้านหลังก็มีเสียงแตรดังขึ้น รถสีดำคันหนึ่งหยุดจอดข้างๆ เธอ กระจกรถถูกลดลงมาเผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของกู้ชิงไหว “อยากให้ผมช่วยไหมครับ”
ต่อหน้าภรรยาของตัวเองเขายังมาสนใจผู้หญิงอื่นแบบนี้ได้อีกงั้นเหรอ หรือเพราะทำมาจนเคยตัว?
สองแม่ลูกคู่นั้นนั่งอยู่ด้านหลังกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกัน หลินเซินไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง สายตามองดูสายฝนตรงหน้าอย่างเรียบเฉย น้ำเสียงเมื่อดังผ่านหยาดฝนจึงฟังดูเย็นชาไม่น้อย “ไม่ต้องค่ะ”
เมื่อพูดจบหลินเซินก็เร่งฝีเท้าเดินจากไปทันที
สายลมพัดหอบฝนเม็ดใหญ่เข้าไปในรถ ทำให้ที่นั่งเปียกไปครึ่งซีก ภายในรถกู้ชิงไหวมองดูเงาร่างของหญิงสาวที่รีบร้อนจากไปก่อนยิ้มออกมาด้วยความจนใจ
กว่าเมิ่งสืออวี่จะกลับมาจากงานสัมมนาวิชาการด้านจิตวิทยาก็ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหลังหลินเซินส่งข้อความมาบอกเธอว่าจะเก็บตัววาดภาพแล้วก็ปิดโทรศัพท์มือถือไป จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังโทรไปไม่ติด ผู้ช่วยของเธอสตาร์ตรถพลางถาม “จะไปหาคุณหลินหรือเปล่าคะ”
เมิ่งสืออวี่ขมวดคิ้วขณะหลับตา เธอตอบเสียงเย็นชา “ตอนสิบโมงมีคนไข้นัดไว้ เรื่องพวกนี้ยังต้องให้ฉันเตือนเธออีกเหรอ”
ผู้ช่วยก้มหน้าลงมองนาฬิกา ตอนนี้แปดโมงสี่สิบนาทีแล้ว ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจึงตอบกลับเสียงเบา “ทราบแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอเมิ่ง”
รถยนต์ขับเข้าไปที่วิลล่าบนภูเขาชังหรงก่อนเวลาสิบโมง ในตอนที่เมิ่งสืออวี่ผลักประตูเดินเข้าไป กู้ชิงไหวก็นั่งอยู่บนโซฟากำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ของเช้าวันนี้แล้ว
เธอยิ้มน้อยๆ ถอดเสื้อนอกออกแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อกาวน์สีขาวตัวใหญ่แทน “วันนี้มาแต่เช้าขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“ตื่นเช้าแล้วไม่มีอะไรทำก็เลยมาเลยน่ะครับ” สายตาของกู้ชิงไหวกวาดผ่านกระจกหน้าต่างบานยาวจรดพื้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “เงียบกว่าเมื่อก่อนเยอะ เปลี่ยนเป็นกระจกเก็บเสียงแล้วเหรอครับ”
เมิ่งสืออวี่รู้สึกตกใจกับความช่างสังเกตของเขาอยู่บ้าง เธอพยักหน้าก่อนเดินไปแขวนป้าย ‘กำลังตรวจรักษา ห้ามรบกวน’ ที่ด้านนอกประตู จากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการรักษาของวันนี้
ครั้งนี้ตอนไปร่วมงานสัมมนาที่ปักกิ่ง เมิ่งสืออวี่ไปเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับอาการของกู้ชิงไหวจากศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาเก่งๆ หลายท่านโดยเฉพาะ เธอได้รับวิธีการรักษาใหม่ๆ มาชุดหนึ่งจากอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งได้ให้คำแนะนำมาว่า แก่นของการรักษาคือการหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ เรื่องนี้เองก็เป็นจุดที่เมิ่งสืออวี่ทุ่มเทกำลังแก้ไขมาโดยตลอด
แต่เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีต กู้ชิงไหวก็มักจะตอบส่งๆ อยู่เสมอ ชายหนุ่มแค่เคยพูดกับเพื่อนร่วมงานของเธอในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งว่าพ่อแม่ของเขาเป็นทหารทั้งคู่ ทว่าไม่รู้เพราะอะไรตัวเขาถึงไม่ได้ทำงานทหาร แต่กลับมาพักอาศัยอยู่ที่ไหวอันตามลำพัง เมิ่งสืออวี่คาดเดาว่ากู้ชิงไหวน่าจะเคยมีความขัดแย้งรุนแรงกับคนที่บ้าน ซึ่งเรื่องนี้เองอาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปมาเบาๆ อย่างมีจังหวะ ส่งเสียงดังติ๊งๆ เสมือนระลอกน้ำที่กระจายวงออกไปช้าๆ อยู่ภายในห้อง ภายใต้เสียงชักนำอย่างนุ่มนวลของเมิ่งสืออวี่ ร่างกายของกู้ชิงไหวที่อยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ม่านหน้าต่างปิดลงครึ่งหนึ่ง ทำให้แสงสว่างที่กำลังพอดีภายในห้องสะท้อนลงบนใบหน้าที่มีกรอบหน้าคมชัดของเขา ประหนึ่งแสงจากประภาคารที่ประเดี๋ยวก็ส่องสว่างประเดี๋ยวมืดลงในเวลาเดินเรือตอนกลางคืน ชักนำผู้คนให้มุ่งหน้าลึกเข้าไป แต่ก็ยากจะไปถึงในเวลาเดียวกัน
“ออกจากบ้านมาอยู่ตามลำพังหลายปีแบบนี้ พ่อแม่ไม่เป็นห่วงคุณเหรอคะ”
“ไม่ห่วงครับ”
“ปกติแล้วนานแค่ไหนถึงจะกลับบ้านสักครั้งคะ”
“นานๆ ทีครับ”
เมิ่งสืออวี่ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ ตามหลักในเวลานี้เขาควรจะเข้าสู่ช่วงหลับลึกแล้ว จิตใต้สำนึกจะต้องลอยไปตามคำพูดของเธอโดยสมบูรณ์ แต่เสียงของเขากลับไม่อู้อี้เหมือนคนถูกสะกดจิต กู้ชิงไหวยังคงพูดจาได้อย่างชัดเจนทุกๆ พยางค์
“ครั้งล่าสุดที่กลับบ้านไปคือเมื่อไหร่คะ”
“สองปีก่อนครับ”
นิ้วของเมิ่งสืออวี่ที่กำปากกาเอาไว้สั่นเบาๆ “บ้านเป็นสถานที่ที่อบอุ่นมากนะคะ คุณโตมาที่นั่นตั้งแต่เด็กๆ มีเหตุผลอะไรทำให้คุณไม่ยอมกลับไปเหรอคะ”
กู้ชิงไหวที่อยู่บนเก้าอี้นอนฝั่งตรงข้ามชะงักไป ผ่านไปนานถึงได้เปิดปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ผมไม่ได้ไม่ยอมกลับไป” เมิ่งสืออวี่อึ้งไป ขณะที่เขาลืมตาขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ชายหนุ่มมองมาที่เธอตาไม่กะพริบ “คุณหมอเมิ่ง ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องสะกดจิตผม”
นัยน์ตาคู่นั้นลึกล้ำเกินไปคล้ายมหาสมุทรลึกไร้ขอบเขต เวลามองใครก็สามารถทำให้คนคนนั้นจมน้ำตายได้ เมิ่งสืออวี่รู้สึกเครียดขึ้นมา แต่ยังแกล้งทำเป็นยิ้มอย่างใจเย็น “ก็ไม่ใช่ไม่สำเร็จหรอกเหรอคะ!”
เมิ่งสืออวี่เก็บปากกาแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนก้มหน้าลงจัดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ “คุณกู้คะ ฉันเจอคนไข้มามาก แต่ไม่เคยเจอใครที่ฉันไม่สามารถสะกดจิตได้อย่างคุณมาก่อน คุณเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งมาก เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวของคุณด้วย”
กู้ชิงไหวใช้มือต่างหมอนพลางมองออกไปภายนอกหน้าต่าง ไม่ได้ต่อบทสนทนาของเธอ “ดูท่าแล้วที่คุณไปปักกิ่งมาครั้งนี้จะไม่ได้ผลอะไร”
แผ่นหลังของเมิ่งสืออวี่แข็งเกร็งขึ้นมา แต่ในตอนที่หันกลับมาเธอยังคงยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไร “ถ้ายอดเขาเอเวอเรสต์ปีนได้ง่ายขนาดนั้น ก็ไม่มีทางกลายมาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอันดับหนึ่งแล้ว”
การที่คนในวงการเดียวกันเปรียบกู้ชิงไหวเป็นยอดเขาเอเวอเรสต์นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่เธอไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด
กู้ชิงไหวยิ้มน้อยๆ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วสวมเสื้อนอก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาได้ถูกเวลา ชายหนุ่มกดรับแล้วยกมันถือแนบหูไว้ ไม่รู้ว่าปลายสายกำลังพูดเรื่องอะไรเขาถึงเลิกคิ้วน้อยๆ ยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น “งานครั้งนี้ยังน่าสนใจไม่น้อย รับสิ รับแน่นอนอยู่แล้ว”
เมื่อวางสายลงเมิ่งสืออวี่ก็มองเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา “ยังรับงานอยู่อีกเหรอคะ ฉันควรจะดีใจที่คุณให้เช่าตัวเองเพื่อผลาญพลังงานตามวิธีของฉันดีไหม ถึงตอนนี้ดูไปแล้ววิธีการรักษาแบบนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้นก็ตาม”
“ที่ไหนกัน” กู้ชิงไหวยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “อย่างน้อยมันก็สนุกดี ชีวิตเป็นเต็มไปด้วยสีสันขึ้นมา”
เมิ่งสืออวี่ฝืนหัวเราะรับไปสั้นๆ “ครั้งนี้เป็นงานอะไรกันคะ”
“โปรแกรมจับคู่อย่างหนึ่ง คนจัดห่วงว่าฝั่งผู้ชายจะน้อยกว่าผู้หญิงก็เลยเชิญผมไปเป็นหน้าม้า” เขาวางแก้วกาแฟลงพลางยักไหล่ยิ้มๆ “ไปล่ะครับ”
กู้ชิงไหวเพิ่งเดินไปถึงประตู เมิ่งสืออวี่ก็ส่งเสียงเรียกเขาเอาไว้ “คุณกู้” กู้ชิงไหวหันกลับมา “ขออภัยที่ฉันพูดตรงๆ แต่ในเมื่อคุณไม่เต็มใจร่วมมือรักษา แล้วยังจะมาหาหมอตามนัดทุกสัปดาห์อีกทำไมกันคะ” หน้าอกของเธอขยับไหวขึ้นลงน้อยๆ ตามอารมณ์ขณะที่พูด
ไม่ว่าจะเป็นการขัดขืนการสะกดจิต หรือว่าไม่ยอมพูดถึงเรื่องในอดีตสักคำ ดูแล้วคล้ายว่าเขาจะไม่สนใจผลการรักษาแต่แรกแล้ว อย่างเดียวที่กู้ชิงไหวให้ความร่วมมือก็คือการให้เช่าตัวเองตามการแนะนำของเธอ ลองสัมผัสตัวตนที่แตกต่างกันเพื่อปรับสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตไปสู่ผลลัพธ์ในการรักษา
แต่เหตุผลที่ชายหนุ่มยืนหยัดทำเรื่องนี้กลับไม่ใช่เพราะทำแล้วมีประโยชน์ต่อตัวเอง แต่เพราะทำแล้วเขารู้สึกสนุก ส่วนตัวเธอนั้นใช้เวลาในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับของเขาไปมากเท่าไหร่ แต่ในสายตากู้ชิงไหวแล้วเขากลับมองทุกสิ่งเป็นแค่การกระทำที่มากเกินความจำเป็นเท่านั้น
ลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านข้อเท้าไป ชวนให้เกิดอาการขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ที่ผ่านมาเมิ่งสืออวี่มักจะเงียบอยู่เสมอ ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเธอได้พูดออกไปแล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นแค่จิตแพทย์คนหนึ่งเท่านั้น ทางเลือกเป็นของผู้ป่วย เธอไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งตั้งแต่แรกแล้ว
ทั้งๆ ที่นั่นเป็นคำพูดที่เกินกว่าหน้าที่ เมิ่งสืออวี่จึงนึกไม่ถึงว่ากู้ชิงไหวจะตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาราบเรียบฟังอารมณ์ไม่ออก “เพื่อทำให้แม่ผมสบายใจครับ”
ประโยคนี้ทำให้ในสมองของเมิ่งสืออวี่มีความคิดนับสิบไหลผ่าน
แม่ของเขาก็รู้เรื่องที่กู้ชิงไหวต้องพึ่งยาถึงจะนอนหลับได้มาโดยตลอดงั้นเหรอ หากฟังจากประโยคนั้นแล้วดูเหมือนความสัมพันธ์ของเขากับแม่จะดีมาก ถ้าเช่นนั้นคนที่เขาขัดแย้งด้วยก็อาจจะเป็นพ่อของเขา? เคยได้ยินมาว่าพ่อของเขาเป็นหัวหน้าทหารที่ไหนสักเขต แล้วความขัดแย้งแบบไหนกันที่ส่งผลให้เขามีอาการนอนไม่หลับรุนแรงแบบนี้
เมื่อเมิ่งสืออวี่ได้สติกลับมาก็คิดอยากจะถามอะไรบางอย่างกับเขาต่อ แต่กู้ชิงไหวจากไปนานแล้ว
ในตอนที่ผู้ช่วยเคาะประตูและถือแก้วกาแฟเดินเข้ามาก็พบว่าเมิ่งสืออวี่กำลังฟังเสียงบันทึกการรักษาเมื่อครู่นี้อยู่โดยที่คิ้วขมวดแน่น ผู้ช่วยวางแก้วกาแฟลงอย่างระมัดระวังและเตรียมออกไป ทว่ากลับถูกจิตแพทย์สาวเรียกตัวเอาไว้ “ตอนบ่ายยังมีนัดอีกไหม”
ผู้ช่วยพลิกเปิดตารางนัดหมาย “ตอนบ่ายสามโมงมีคนไข้หูแว่วหนึ่งคนค่ะ”
เมิ่งสืออวี่เก็บปากกาบันทึกเสียง “เลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้แทน ตอนบ่ายฉันมีธุระ”
“แต่ดูเหมือนผู้ป่วยคนนี้จะอาการหนักมาก…”
เมิ่งสืออวี่คว้ากระเป๋าและลุกขึ้นยืนแล้ว เธอเอ่ยตำหนิเสียงเย็น “อาการหูแว่วไม่ได้รักษาหายในวันสองวัน และก็ไม่ทำให้ตายในวันสองวันนี้เหมือนกัน บอกไปว่าฉันออกไปทำงานข้างนอกยังไม่กลับมา”
พูดจบเมิ่งสืออวี่ก็เดินเหยียบรองเท้าส้นสูงออกไปแล้ว
รถยนต์ขับมาถึงตรอกเหล่าไหว ตรงปากทางเข้าตรอกมีต้นไหวโบราณขนาดสามคนโอบอยู่ต้นหนึ่ง บริเวณนี้มีแค่รถจักรยานเท่านั้นที่เข้าออกได้ เมิ่งสืออวี่จอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปในตรอก เดินได้ไม่กี่นาทีก็มีเหงื่อออกท่วมทั้งตัว ดังนั้นตอนที่เธอเคาะประตูจึงแฝงอารมณ์หงุดหงิดอยู่บ้าง
ภายในลานบ้านมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อหลินเซินเปิดประตูออกเห็นว่าเป็นเมิ่งสืออวี่ก็รู้สึกตกใจระคนยินดี “เมิ่งเมิ่ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
คิ้วที่ขมวดแน่นของจิตแพทย์สาวคลายออกช้าๆ ความหงุดหงิดเมื่อครู่นี้หายวับไปในพริบตา เมิ่งสืออวี่ยิ้มพลางเอ่ย “เพิ่งลงจากเครื่องก็มาหาเธอเลย อาทิตย์นี้ฉันติดต่อเธอไม่ได้สักวัน รู้ไหมว่าเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน”
“โรงแรมเหลียนถังต้องการรูปภาพด่วนมาก” หลินเซินเดินนำเธอเข้าไปในบ้าน บนตัวของหญิงสาวยังสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวที่เปรอะไปด้วยสีสันมากมาย เมื่อเข้ามาในห้อง ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ก็พัดมาปะทะใบหน้า เมิ่งสืออวี่ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของสี บริเวณกำแพงทั้งสี่ด้านของห้องวาดภาพล้วนมีกรอบรูปวางอยู่เต็มไปหมด แสงแดดลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา เมื่อแสงมาถึงในบริเวณห้อง ส่วนของความร้อนก็หายไปแล้ว เหลือเพียงความเจิดจ้าเท่านั้น แสงแดดตกกระทบลงบนผืนภาพสีสันสดใส ชวนให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
รูปภาพของหลินเซินเน้นการใช้สีตัดกันอย่างโดดเด่นมาโดยตลอด เมิ่งสืออวี่ไม่เข้าใจงานศิลป์พวกนี้ แต่ถ้ามันสามารถเข้าตาของซ่งเซียวหานได้ก็คงจะเป็นภาพที่วาดได้ลึกซึ้งอยู่จริงๆ
ผลงานบนผืนผ้าใบกำลังเข้าสู่ช่วงท้าย เมิ่งสืออวี่จึงไม่ได้รบกวนหลินเซิน หลังพักผ่อนสักพักเธอก็ไปเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องหนังสือ แล้วพอครึ่งชั่วโมงผ่านไปหลินเซินก็เดินถือแก้วน้ำมาหยุดตรงด้านหลังของเมิ่งสืออวี่ “กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
“ฉันกำลังช่วยสมัครโปรแกรมนี้ให้เธอ นี่กำลังอยู่ในช่วงตรวจสอบข้อมูล”
“โปรแกรมอะไรกัน” หลินเซินชะโงกตัวไปมอง รอจนเห็นตัวอักษรตัวใหญ่สี่ตัวบนหน้าจอ พอเห็นก็สำลักน้ำในปากเข้าเต็มๆ มือของเธอคว้าจับเก้าอี้เอาไว้แล้วไอออกมาอย่างแรง
คำว่า ‘คู่รักหนึ่งสัปดาห์’ บนพื้นหลังสีชมพูอมแดงตกแต่งด้วยหัวใจดูเด่นชัดเป็นพิเศษ
วงแหวนเล็กๆ แสดงการตรวจสอบข้อมูลกำลังหมุนวนช้าๆ จนในที่สุดก็ผ่าน และเปลี่ยนไปที่หน้าข้อมูลบุคคล เมิ่งสืออวี่พิมพ์ข้อมูลลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามหลินเซินโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “อยากจะใช้ไอดีอะไร”
หลินเซินแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว “เมิ่งเมิ่งเลิกเล่นได้แล้ว”
เมิ่งสืออวี่เท้าแขนกับเก้าอี้แล้วหมุนตัวกลับมา “เมื่อก่อนฉันเคยถามเธอว่าอยากจะใช้ชีวิตตัวคนเดียวไปจนตาย หรือว่าอยากจะหาใครมาอยู่ด้วยไปทั้งชีวิต เธอตอบฉันว่ายังไง”
ฉันตอบไปว่ายังไงนะ…
ถ้าเป็นไปได้ ใครจะอยากอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิตกัน
แต่ว่าฉัน…ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้หรอกเหรอ คนอย่างฉันจะกล้าไปเพ้อฝันถึงเรื่องพวกนั้นได้ยังไง
“ในเมื่อเธอไม่ยอมออกไปเผชิญหน้ากับคนอื่น โปรแกรมนี้ก็สามารถใช้ทำความรู้จักโดยไม่ต้องเจอหน้ากันพอดี มันเป็นโปรแกรมที่บริษัทเพื่อนของฉันทำขึ้นน่ะ” เมิ่งสืออวี่พูดปลอบเสียงอ่อนโยน “เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจมาก เธอลองดูก่อนนะ ถ้าเกิดไม่ชอบก็สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ”
หลินเซินจับจ้องหน้าต่างโปรแกรมสีชมพูหวานแหววบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่พูดไม่จา
เมิ่งสืออวี่พูดด้วยเสียงสูงขึ้น “เซินเซิน เธอเป็นเพื่อนของฉัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นคนไข้ของฉันด้วย ถือเสียว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการรักษานะ เธอจะต้องทำให้สำเร็จ”
หลินเซินเม้มปาก สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “ก็ได้”
เมิ่งสืออวี่ยิ้มกว้าง “อยากจะใช้ไอดีอะไร”
หลินเซินตอบอย่างหมดแรง “อะไรก็ได้…” สุดท้ายข้อมูลถูกส่งไปเรียบร้อยในชื่อไอดี ‘พบกวางในป่าลึก’ ซึ่งเมิ่งสืออวี่ยังตั้งใจหารูปกวางน้อยในป่ามาเพื่อเป็นภาพดิสเพลย์โดยเฉพาะ
ช่วงมื้อเย็นหลินเซินได้รับอีเมลจากซ่งเซียวหาน เขาถามเธอว่าอีกสามวันให้หลังจะส่งผลงานที่เหลือไปได้ไหม
มีข่าวลือว่ากันว่าซ่งเซียวหานนั้นหวงแหนคำพูดประหนึ่งทองคำ เขาแทบจะไม่ใช้โทรศัพท์ และในชีวิตประจำวันการทำงานไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ต่างก็จัดการผ่านอีเมลทั้งหมด ปกติหลินเซินเองก็เล่นโซเซียลน้อยมาก แต่เพราะผู้ช่วยสวมแว่นคนนั้นเตือนขึ้นมาเธอถึงได้ไปสมัครอีเมลไว้อันหนึ่ง เพื่อเอาไว้ใช้ติดต่อสื่อสารในการทำงานกับซ่งเซียวหานโดยเฉพาะ
เธอจึงตอบกลับไปว่าได้ แล้วทางนั้นก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วอย่างสั้นๆ ว่า
‘จะรอคอยผลงาน’
เมิ่งสืออวี่อยู่ถึงช่วงดึกที่อุณหภูมิลดลงแล้วจึงกลับไป แต่ก่อนกลับก็ยังไม่ลืมกำชับว่า “โปรแกรมคู่รักหนึ่งสัปดาห์อันนั้นจะเริ่มทำกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ เธอจะต้องตั้งใจเข้าร่วมดีๆ นะ ห้ามทำแบบขอไปที เข้าใจไหม”
หลินเซินพยักหน้าอย่างไร้ทางเลือก
วันรุ่งขึ้นเธอมีเจตนาที่จะทำเป็นลืมเรื่องนี้ไป แต่โปรแกรมที่ดาวน์โหลดลงมาเรียบร้อยแล้วกลับเริ่มทำงานเองเมื่อถึงเวลา เสียงเพลงภาษาอังกฤษซึ่งมีท่วงทำนองผ่อนคลายดังขึ้นผ่านลำโพงตัวเล็กๆ ล่องลอยอยู่ในห้องซึ่งถูกอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศปกคลุมอยู่
คาดไม่ถึงว่าเพลงเพลงนี้จะเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เธอเคยชอบดู เรื่องนี้ช่วยขจัดความรู้สึกตื่นเต้นของหลินเซินไปได้ไม่น้อย ในตอนที่เธอเดินไปตรงหน้าคอมพิวเตอร์ บนหน้าจอก็แสดงให้เห็นภาพผืนป่าสีเขียวผืนหนึ่ง ตรงสุดปลายถนนสายเล็กนั้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งร่วงหล่นและภาพประตูซึ่งปกคลุมด้วยแสงสีขาว จากนั้นก็มีข้อความจากระบบปรากฏขึ้นว่า
‘ด้านหลังประตูบานนี้มีคนที่จับคู่กับคุณอยู่ จะเข้าไปหรือไม่’
ต้องยอมรับว่าผู้จัดทำได้ทุ่มเทความคิดไปกับโปรแกรมนี้จริงๆ เพราะไม่ว่าจะดูจากการออกแบบฉากหรือตัวละครต่างๆ ล้วนพิถีพิถันประณีตอย่างมาก สไตล์ที่ลึกลับเพ้อฝันแบบนี้ยิ่งดึงดูดสายตาได้ง่าย
เธอได้ยินเมิ่งสืออวี่บอกไว้ว่าตอนที่ผู้จัดทำสร้างโปรแกรมนี้ขึ้นมาก็ได้จ้างเมิ่งสืออวี่ไปเข้าร่วมให้คำแนะนำด้วย การออกแบบหลายๆ อย่างจึงมีปัจจัยชักนำทางจิตวิทยาอยู่ การจะทำให้มันกลายมาเป็นโปรแกรมจับคู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ได้ก็ย่อมต้องหาจุดที่โดดเด่นไปกว่าของคนอื่น
หลังผ่านขั้นตอนต่างๆ ของระบบมาแล้ว ในที่สุดหลินเซินก็ประสบความสำเร็จในการจับคู่ เธอหลงคิดว่าจะได้รับการ์ดแนะนำตัวของอีกฝ่าย แต่คิดไม่ถึงว่าระบบจะสร้างห้องสนทนาขึ้นมาห้องหนึ่งแล้วจับเธอกับอีกฝ่ายโยนเข้าไปในห้องแบบตรงๆ เลย
เสียงไพเราะอ่อนหวานของผู้หญิงในลำโพงกำลังพูดขึ้นว่า ‘ภารกิจวันแรกของคู่รักหนึ่งสัปดาห์…ทำความรู้จักกัน หวังว่าพวกคุณจะใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุขนะคะ’
หลินเซินถอนหายใจพลางกุมขมับ
มีหน้าจอเล็กๆ ขึ้นเตือนให้เธอแลกชื่อเรียกกันกับอีกฝ่าย หลินเซินใส่คำว่า ‘พบกวางในป่าลึก’ ลงไป สามวินาทีให้หลังก็ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายมาว่า ‘แมลงเม่า’
แมลงเม่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่หลินเซินชอบมาก เกิดมาตอนดวงอาทิตย์ขึ้น ตายลงหลังดวงอาทิตย์ตก เปล่งประกายสีสันตลอดชีวิตภายในวันเดียว ทั้งเศร้าและงดงาม อีกฝ่ายตั้งชื่อนี้ก็คาดว่าคงจะชื่นชมสภาพชีวิตแบบนี้เหมือนกับเธอสินะ
หน้าจอเล็กๆ กะพริบแสงอีกครั้งเตือนให้เธอกรอกอายุลงไป เธอจึงส่งไปว่า ‘ยี่สิบห้า’ ขณะเดียวกันก็ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายมาว่า ‘ยี่สิบแปด’
ผู้ชายอายุยี่สิบแปดปีส่วนใหญ่มักจะแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว ใครที่ยังไม่แต่งงานก็คงกำลังทุ่มเทกับหน้าที่การงานกันทั้งสิ้น เป็นช่วงอายุที่กำลังจะตั้งตัวได้และมั่นคง แต่นี่กลับยังมาใช้โปรแกรมที่น่าจะมีแต่คนอายุน้อยสนใจแบบนี้อยู่อีกเหรอ
หลินเซินขมวดคิ้ว เธอกรอกข้อมูลพวกราศี วันเกิด กรุ๊ปเลือด และอาชีพไปตามที่หน้าจอแจ้งเตือนเล็กๆ แสดงขึ้นมาจนเสร็จ ตอนนี้ต่างคนต่างก็มีข้อมูลพื้นฐานของอีกฝ่ายแล้ว หลินเซินรู้สึกว่าผู้ชายเจ้าของไอดีแมลงเม่านี้เป็นคนธรรมดามากคนหนึ่ง ไม่ชวนให้คนชอบว่าหรือรังเกียจ แต่ก็อาจเป็นเพราะเพิ่งรู้จักกันเขาจึงยังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้ ในสายตาของอีกฝ่ายเธอก็อาจเป็นแค่คนธรรมดาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
เมื่อเสร็จภารกิจของระบบแล้ว เวลาที่เหลือก็มีไว้ให้พวกเขาได้ใช้ด้วยกันเอง และหลังจากระบบแจ้งว่าภารกิจของวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว หลินเซินก็ออกจากหน้าจอโปรแกรมกลับไปยุ่งอยู่ในห้องวาดภาพตามเดิมทันที
รูปภาพที่จะส่งให้โรงแรมเหลียนถังยังขาดอยู่อีกสองสามภาพ ดังนั้นเธอจะต้องรีบใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่วันนี้ทำออกมาให้เสร็จ
แต่ที่หลินเซินคาดไม่ถึงคืออีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ส่งข้อความอะไรกลับมาอีก ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลให้ในวันที่สองหลินเซินจึงลืมโปรแกรมนี้ไป จนกระทั่งมีเสียงเพลงภาษาอังกฤษดังขึ้นจากลำโพงตัวเล็กอีกครั้ง ระบบที่เริ่มต้นทำงานเองใช้น้ำเสียงอันไพเราะประกาศว่า ‘ภารกิจวันที่สองของคู่รักหนึ่งสัปดาห์ ทำอาหารที่ตนเองถนัดที่สุดหนึ่งอย่าง แล้วถ่ายรูปส่งให้อีกฝ่าย’
ตรงหน้าจอเล็กๆ แจ้งเธอว่า
‘เพราะเมื่อวานพวกคุณใช้เวลาในช่วงเวลาอิสระด้วยกันเป็นศูนย์ ดังนั้นระดับความรู้สึกดีจึงลดลงไปสิบอันดับ ทำให้อันดับของคู่รักของคุณอยู่ที่หนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสาม’
หลินเซินเห็นแล้วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
และบังเอิญเป็นเวลาที่ตรงกับช่วงมื้อเที่ยงพอดี หลินเซินเลือกต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตามความเคยชินของตัวเอง กาน้ำร้อนพ่นไอร้อนออกมาในตอนที่เทน้ำเดือดลงบนแผ่นบะหมี่ ผักแห้งบานออกเมื่อเจอน้ำ กลิ่นของเครื่องปรุงลอยเข้ามาในจมูก หลินเซินกัดส้อมแล้วรออีกสักพัก ก่อนจะเริ่มกินเธอก็ใช้มือถือถ่ายรูปเอาไว้
หนึ่งชั่วโมงให้หลังระบบก็เตือนให้ส่งรูปภาพไป หลินเซินแทบจะคาดเดาความรู้สึกตอนอีกฝ่ายได้รับภาพออก แต่คิดไม่ถึงว่าภาพที่อีกฝ่ายส่งมาจะเป็นภาพของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเช่นเดียวกัน
ทว่าเทียบกันกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบเรียบง่ายของเธอแล้ว ของอีกฝ่ายนั้นดูพิถีพิถันมากกว่า เขาใส่มันเอาไว้ในชามกระเบื้องเคลือบสีขาว ตรงขอบชามมีลายดอกไม้สีเขียวเล็กๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของอีกฝ่ายนั้นเติมผักใบเขียว ไส้กรอก และไข่ดาวลงไปด้วย ดูแล้วน่ากินอย่างมาก
ระบบเพิ่งแสดงข้อความว่าภารกิจเสร็จสิ้น พลันมีเสียงติ๊งดังขึ้นจากลำโพง แมลงเม่าส่งข้อความมาว่า
‘อย่าเพิ่งไป’
เธอก้มตัวลงไปพิมพ์เครื่องหมายคำถาม แล้วอีกฝ่ายก็ตอบมาว่า
‘ไม่อยากจะอยู่ที่อันดับหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามแล้ว จากที่ผมรู้ กิจกรรมรอบนี้มีคู่รักทั้งหมดแค่หนึ่งพันหกร้อยห้าสิบห้าคู่เท่านั้น’
หลินเซินที่ถือแก้วน้ำอยู่หัวเราะออกมา คิดๆ แล้วก็นั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า
‘ไม่ใช่ว่ายังมีอีกสองคู่อยู่ข้างหลังเหรอคะ’
‘อันดับหนึ่งจากท้ายสุด หรืออันดับสามจากท้ายสุด ตามสาระสำคัญแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกัน’
‘งั้นเป้าหมายของพวกเราคืออันดับสี่จากท้ายสุดเหรอคะ’
อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก
‘คุณผู้หญิง คุณมีความยึดติดอะไรกับอันดับท้ายสุดหรือเปล่าครับ’
หลินเซินหลุดขำพรืดออกมาอย่างทนไม่ไหว
‘สมัยเรียนไม่เคยติดอันดับท้ายสุดก็เลยอยากจะอาศัยโอกาสนี้ลองดูสักหน่อยค่ะ’
ข้อความนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกจนใจอย่างมาก
‘สลับกันกับคุณ สมัยเรียนผมสัมผัสมาเยอะเกินพอแล้ว ไม่อยากจะซ้ำรอยเดิมอีกจริงๆ’
ทีแรกเธอหลงคิดว่าการพูดคุยกับคนแปลกหน้าในสถานการณ์แบบนี้จะน่ากระอักกระอ่วนอย่างมาก แต่วิธีการพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจได้อย่างคาดไม่ถึง นี่ไม่เหมือนกำลังเล่นจับคู่เป็นคู่รักหนึ่งสัปดาห์ แต่เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันหลายปีมาพูดคุยย้อนระลึกถึงช่วงเวลาสมัยเรียนกันมากกว่า
นอกจากเมิ่งสืออวี่แล้ว หลินเซินก็ไม่เคยคุยกับใครสักคนยาวนานขนาดนี้มาก่อน
‘ผมรู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเราในวันนี้น่าจะชดเชยของเมื่อวานได้แล้ว’
หลินเซินยิ้มออกมาเล็กน้อย
‘แล้วเจอกันค่ะ!’
‘เจอกันพรุ่งนี้ครับ!’
เธออารมณ์ดีไม่น้อย ดังนั้นภาพที่วาดจึงได้รับอิทธิพลจากอารมณ์นั้นไปด้วย สีสันที่เธอใช้เดิมทีจะดูมืดหม่นก็เพิ่มความสดใสเข้าไปหลายส่วน มาถึงตอนนี้รูปภาพที่จะส่งมอบให้กับโรงแรมเหลียนถังก็เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว มันถูกวางเรียงกันอยู่รอบห้องวาดภาพอย่างเป็นระเบียบ วันมะรืนก็จะสามารถนำไปส่งพร้อมกันได้
นี่เป็นเงินก้อนแรกที่หลินเซินหามาได้หลังจากเธอไม่ยอมเข้าสังคม และใช้เงินที่พ่อแม่เหลือทิ้งไว้ให้จนหมดไปแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้มของเธอใกล้จะเปลี่ยนไปเป็นสดใสได้แล้วในที่สุด
วันรุ่งขึ้นหลินเซินนอนตื่นสายกว่าปกติ หลังตื่นขึ้นมาเธอก็จัดรูปภาพใส่กล่องแล้วติดต่อให้คนงานมาเคลื่อนย้ายมันไปในวันพรุ่งนี้ ต้องหลังการจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะเรียกว่าสบายใจได้โดยสมบูรณ์ เธอต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกระป๋องหนึ่ง ก่อนเหลือบตามองเวลาบนนาฬิกาแขวนผนัง
ในตอนที่เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขหนึ่ง บทเพลงภาษาอังกฤษที่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากลำโพง เสียงไพเราะของผู้หญิงประกาศออกมาว่า ‘ภารกิจวันที่สามของคู่รักหนึ่งสัปดาห์ ดูหนังด้วยกันหนึ่งเรื่อง ขอให้ดูหนังกันอย่างมีความสุขนะคะ’
จากนั้นภาพหน้าจอก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพโรงภาพยนตร์ ที่ด้านล่างของจอยังมีหน้าต่างให้พิมพ์ข้อความอันหนึ่งปรากฏอยู่ หลินเซินพิมพ์อักษรย่อแถวหนึ่งลงไปแล้วบริเวณขอบหน้าจอก็มีตัวอักษรขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ระบบโรงภาพยนตร์นี้สามารถแชทกันแบบเรียลไทม์ได้ด้วย ดังนั้นจึงดูไปคุยไปได้ เป็นการสร้างบรรยากาศแบบตอนอยู่ในโรงภาพยนตร์ขึ้นมา
เธอโตมาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยไปดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์เลยสักครั้ง
อีกฝ่ายเองก็ออนไลน์แล้ว และส่งข้อความมาถามเธอว่า
‘อยากดูหนังเรื่องอะไรครับ’
หลินเซินคิดแล้วพิมพ์ไปว่า
‘สะพานวอเตอร์ลูค่ะ’
เธอคิดว่าอีกฝั่งน่าจะกำลังยิ้มอยู่
‘บังเอิญจริง ผมเองก็ชอบหนังเรื่องนี้’
เขากรอกชื่อหนังเข้าไปในช่องค้นหา จากนั้นกดปุ่มเล่น บนหน้าจอปรากฏภาพหัวสิงโตอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมข้อความจาก ‘แมลงเม่า’ เลื่อนผ่านมา
‘ถ้ารู้มาก่อนว่าภารกิจวันนี้เป็นการดูหนัง ผมคงไปซื้อป็อปคอร์นกับโค้กมากินแล้ว’
ถ้ามีป็อปคอร์นกับโค้กน่าจะให้ความรู้สึกแบบโรงภาพยนตร์มากกว่านี้สินะ หลินเซินเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
‘ฉันก็คิดเหมือนกัน’
‘ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสค่อยแก้ตัวกันใหม่นะ’
หลินเซินเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป
‘หนังเริ่มแล้วค่ะ’
ภาพยนตร์รักคลาสสิกสมัยก่อน ถึงจะเป็นหนังขาวดำ ทว่าก็สามารถเทียบเคียงกับเทคนิคภาพสีในปัจจุบันได้ ทุกๆ สีหน้าไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขของวิเวียน ลีห์ล้วนมีเสน่ห์ แม้จะรู้ตอนจบอยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ดูก็ยังคงรู้สึกลุ้นไปกับเรื่อง
ในช่วงบ่ายอันเงียบสงบแบบนี้ การได้มานั่งดูภาพยนตร์เก่าที่คุ้นเคยกับตัวบทอยู่แล้ว กลับให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปได้เพียงเพราะมีคนแปลกหน้าซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนร่วมดูด้วย ภาพยนตร์จบลงแล้ว ภาพบนหน้าจอหยุดลงที่สะพานวอเตอร์ลูแห่งนั้น หลินเซินยังไม่ทันดึงตัวเองกลับมาจากความเศร้าของบทหนังก็เห็นระบบถามขึ้นมาว่า ‘ขอให้แต่ละฝ่ายบอกเหตุผลที่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา’
หลินเซินพิมพ์ลงไปช้าๆ
‘เพราะว่าเพลงออลด์แลงไซน์ที่เป็นเพลงประกอบหลัก คือหนึ่งในเพลงที่แม่ฉันชอบมากที่สุด’
จากนั้นก็ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายว่า
‘วิเวียน ลีห์ สวยเกินไปแล้ว’
หลินเซินถูกเขาทำให้ขำออกมา อารมณ์แง่ลบที่เป็นผลมาจากภาพยนตร์หายวับไปทันตา คืนนี้เธอเข้านอนไวมากและฝันว่าตัวเองกำลังเดินอยู่บนสะพานวอเตอร์ลูที่ตั้งอยู่มานานแล้วแห่งนั้น ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลอยขึ้นมา ภายในตัวเมืองทั้งเมืองก็เงียบสงบและผาสุก ร้อยเอกโครนินและไมรายืนกอดจูบกันอยู่ใต้แสงอาทิตย์นี้ หลินเซินหันหลังให้พวกเขาแล้วเดินห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
โลกที่เธอทิ้งไว้ด้านหลังนั้นไม่มีสงครามอีกต่อไป และในที่สุดคู่รักก็ได้อยู่ด้วยกัน ส่วนเธอก็กำลังเดินอยู่บนถนนเส้นนี้ต่อไปตามลำพังโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะได้มีที่พักพิง
วันรุ่งขึ้นเป็นวันกำหนดส่งมอบภาพวาด หลินเซินอาศัยโอกาสที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลอยขึ้นสูง นำภาพไปส่งยังโรงแรมเหลียนถังตั้งแต่เช้าตรู่
น้ำพุหน้าโรงแรมยังไม่เปิดทำงาน บนผิวน้ำทอประกายระยิบระยับมีกลีบดอกแม็กโนเลียสีขาวลอยอยู่จำนวนหนึ่ง และที่ด้านข้างประตูโรงแรมมีกล่องพัสดุวางซ้อนกันสูงครึ่งตัวคน รูปภาพที่เธอคุ้นตานั้นถูกโยนไว้กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
นั่นเป็นรูปภาพที่หลินเซินส่งมาโรงแรมเหลียนถังก่อนหน้านี้และถูกนำไปใส่กรอบแล้ว
ในสมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้เห็น รปภ. กำลังชี้มือสั่งพนักงานทำความสะอาด “ภาพพวกนี้ท่านไม่ต้องการแล้ว เอาเก็บไปให้หมด รีบจัดการให้เร็วๆ หน่อย”
เมื่อเห็นหลินเซินเดินเข้ามาใกล้ รปภ. ก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งอย่างมาก “คุณคือคุณหลินที่เอารูปภาพมาส่งคนนั้นใช่ไหม ต้องขอโทษด้วยนะ แต่พวกเราไม่ต้องการภาพของคุณแล้ว คุณตัดสินใจแล้วกันว่าจะเก็บกลับไปเองหรือจะให้พวกเราเรียกรถเก็บขยะมาขนไป”
หลินเซินรู้สึกเหมือนในลำคอหดเกร็งอยู่เล็กน้อย ริมฝีปากของเธอขยับอ้าและหุบอยู่หลายครั้งจึงเปล่งเสียงออกมาได้ “ไม่ใช่ว่าเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
รปภ. อึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าดูอ่อนลงกะทันหัน “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ เมื่อสองวันก่อนคุณหนูที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของครอบครัวซ่งเพิ่งกลับมาจากปารีส หลังเธอเห็นภาพของคุณในโรงแรมก็ไม่พอใจอย่างมากจึงสั่งให้พวกเราเอาภาพของเธอมาเปลี่ยนกับภาพของคุณ พวกเราเองก็เป็นลูกจ้างกันทั้งนั้น ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ครับ”
รปภ. คนนั้นเก็บรูปภาพที่กองกระจายเต็มพื้นขึ้นมาวางเรียงซ้อนทับกันให้เรียบร้อย แล้วค่อยใส่ลงไปในกล่องพัสดุ “เอาแบบนี้แล้วกันคุณหลิน ผมจะช่วยเรียกรถให้คุณ คุณก็ขนภาพพวกนี้กลับไปก่อน ดูสิพวกมันสกปรกหมดแล้ว น่าเสียดายจะตาย”
พูดจบเขาก็หยิบมือถือออกมาเตรียมเรียกรถ แต่หลินเซินกลับเปิดปากห้าม “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับไปเอง”
“ได้ครับคุณหลิน งั้นก็ระวังๆ ด้วยนะครับ” รปภ. ยิ้มเจื่อน ก่อนลดเสียงลงแล้วเอ่ยขึ้น “คำสั่งของคุณหนูนั้นพวกเราไม่กล้าที่จะไม่ฟัง แต่ในมือของคุณยังมีสัญญาอยู่ก็ไม่ต้องกลัวเหมือนกัน คุณไปติดต่อกับเลขาฯ ของประธานซ่งเอานะ เรื่องนี้จะต้องมีวิธีแก้ไขดีๆ แน่นอนครับ”
ขณะที่ รปภ. กำลังพูดก็มีเสียงตวาดดังมาจากด้านหลัง “มัวแต่ทำตัวชักช้าลีลาอะไรกัน! ยังไม่เอาขยะพวกนี้ไปโยนทิ้งให้หมดอีกเหรอ?!”
หญิงสาวอายุน้อยในชุดกระโปรงพองสีแดง สวมรองเท้าส้นแหลม ม้วนผมยาวเป็นลอนบางๆ หน้าตาสวยคม ทั้งยังแต่งหน้าอย่างพิถีพิถัน ยกมือขึ้นกอดอกมองสำรวจหลินเซินไปรอบหนึ่งในตอนที่เห็นเธอ ก่อนยิ้มออกมา “เธอก็คือหลินเซินงั้นเหรอ ได้ยินมาว่าจบมาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ของไหวต้าระดับคณะศิลปกรรมศาสตร์ของไหวต้านี่ทำได้เท่านี้เองเหรอ”
หลินเซินก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างแนบเนียน เม้มปากแน่นไม่พูดอะไร
หญิงสาวใช้สองนิ้วคีบม้วนภาพขึ้นมาด้วยสีหน้ารังเกียจ “ผลงานแบบนี้ ช้หลอกพี่โง่ๆ ของฉันยังพอไหว แต่คิดจะมาหลอกฉันยังกระจอกไปหน่อย” จากนั้นเธอก็ขยี้นิ้ว “ฉันรู้มาว่าพวกเธอเซ็นสัญญากันแล้ว ค่าผิดสัญญาเท่าไหร่เหลียนถังจะชดใช้ให้ไม่ขาดไปสักแดงเดียว แต่รูปภาพของเธอ…อย่าได้คิดจะเอาเข้ามาอยู่ในเหลียนถังอีกตลอดไป” พูดจบก็ดีดนิ้วออกทำให้ม้วนภาพตกลงแล้วกางออกบนพื้น กระทบฝุ่นจนลอยขึ้นมา “สายตาของพี่ฉันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เห็นแล้วน่าขายหน้า”
จนกระทั่งเธอกลับตัวเดินเข้าไปในโรงแรมแล้ว รปภ. ถึงได้เอ่ยปลอบพร้อมรีบเก็บม้วนภาพขึ้นมา “คุณหลิน คุณหนูเธอจบด้านศิลปะมาจากปารีส อาจจะช่างเลือกไปบ้าง คุณอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
หลินเซินก้มหน้าลงขณะใช้โทรศัพท์มือถือเรียกรถ เอ่ยตอบกลับไปเสียงเบา “ไม่หรอกค่ะ”
รถมาถึงอย่างรวดเร็ว รปภ. ช่วยหลินเซินขนรูปภาพขึ้นไปบนรถ ในตอนที่รถสตาร์ตเครื่อง รปภ. ก็ยังเกาะกระจกรถแล้วเอ่ยปลอบหลินเซินว่า “ไม่เป็นไรนะครับ! คุณหลิน ค่าผิดสัญญาเองก็ไม่น้อย นับดูแล้วคุณยังได้กำไรด้วยซ้ำ”
จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านหลินเซินก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ห้องวาดภาพที่ตอนแรกว่างเปล่าถูกเติมจนเต็มอย่างกะทันหัน ทำให้มองดูแน่นแออัดเป็นพิเศษ เธอนั่งยองๆ ลงกับพื้น เลือกรูปภาพที่เสียหายไปแล้วออกมาพลางถอนหายใจเบาๆ
ในตอนที่เดินถือแก้วน้ำผ่านคอมพิวเตอร์เธอก็ชะงักไป หลินเซินกลับตัวแล้วไปนั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์ กดเปิดโปรแกรมคู่รักหนึ่งสัปดาห์ขึ้นมา หญิงสาวเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนบนผนัง ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนที่ภารกิจประจำวันจะเริ่ม จึงไม่มีบทเพลงภาษาอังกฤษแล้วก็ไม่มีเสียงไพเราะของผู้หญิงที่บอกภารกิจด้วย
เธอหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ ก่อนลุกขึ้นยืนเตรียมจากไป แต่ทันใดนั้นระบบก็เด้งข้อความเสียงแถวหนึ่งขึ้นมาว่า ‘ระบบตรวจพบว่าวันนี้คุณเป็นฝ่ายเข้ามาในคู่รักหนึ่งสัปดาห์เอง ต้องการจะให้ช่วยติดต่ออีกฝ่ายหรือไม่’
มีวิธีแบบนี้ด้วย? หลินเซินตกใจเล็กน้อย หลังจากลังเลสักพักก็กดเลือกไปว่า ‘ต้องการ’ สิบนาทีให้หลังกรอบหน้าต่างสนทนาก็มีข้อความจากแมลงเม่าเด้งขึ้นมา
‘กวางน้อย? เกิดอะไรขึ้นครับ’
ที่แท้เขาก็เรียกเธอแบบนี้
หลินเซินเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา ขณะพิมพ์ตอบกลับไปอย่างช้าๆ ว่า
‘ไม่มีอะไรค่ะ คุณได้รับข้อความได้ยังไงกัน’
‘ตอนลงทะเบียนใส่เบอร์โทรศัพท์ลงไปด้วยน่ะ เมื่อครู่ได้รับข้อความที่ระบบส่งมา บอกว่าคุณอยากคุยกับผม’
โปรแกรมนี้สมเป็นแม่สื่อมากจริงๆ
‘ฉันก็แค่ออนไลน์ดูเล่นๆ น่ะ ไม่มีอะไรค่ะ’
หลินเซินหลงคิดว่าเขาจะซักไซ้ต่อ ในเมื่อไม่ว่ายังไงความหดหู่ของเธอเวลานี้ก็เป็นอะไรที่น่าจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่ได้ทำ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างเป็นธรรมชาติ
‘ในเมื่อมาแล้ว เราก็มาทำภารกิจประจำวันกันเลยเถอะครับ’
หลินเซินเลื่อนเมาส์ไปกดคลิกที่ตัวเลือกรับภารกิจ แล้วลำโพงก็มีเสียงไพเราะที่คุ้นเคยของผู้หญิงประจำโปรแกรมลอยออกมา ‘ภารกิจวันที่สี่ของคู่รักหนึ่งสัปดาห์ ร่วมผ่านด่านเกมด้วยกัน มอบแผ่นหลังของคุณให้กับเขาที่คุณไว้ใจเถอะ’
จิตรกรสาวนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเกมยิงปืนเกมหนึ่ง
ในความทรงจำของหลินเซินเกมล่าสุดที่เคยเล่นก็เป็นตอนสมัยประถม พ่อซื้อเครื่องเล่นเกมยี่ห้อเสี่ยวป้าหวัง*มาให้เธอ และจับมือสอนเธอว่าจะเล่นเกมเครื่องบินรบผึ้งยังไง แต่เกมในทุกวันนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบมาใช้เมาส์กับคีย์บอร์ดในการเล่นแทนแล้ว มือของหลินเซินจึงสั่นอยู่น้อยๆ
คล้ายแมลงเม่าจะเดาได้ว่าเธอเล่นไม่เป็น จึงส่งข้อความมาปลอบว่า
‘ไม่ต้องกลัว ตามมาข้างหลังผมก็พอ’
ระบบพาเข้าสู่การแนะนำเกมและวิธีการเล่นอย่างคร่าวๆ เมื่อแสงสีขาวสว่างวาบ บนหน้าจอก็ปรากฏภาพทุ่งหญ้ารกร้าง ตัวละครที่เธอควบคุมอยู่มัดผมหางม้าสวมชุดรัดรูป ถือปืนกลมือกระบอกหนึ่ง ดูเท่อย่างมาก
และตรงหน้าเธอก็มีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมชุดหนัง การแต่งตัวคล้ายคลึงกับทหารของอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังถือปืนเดินสำรวจรอบๆ
‘เกมไม่มีทางออกแบบมายากเกินไปหรอก ถึงยังไงนี่ก็เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของคู่รัก’
บนหน้าจอมีข้อความปลอบใจของเขาเลื่อนผ่านมา อย่างไรก็ตามหลินเซินก็ยังคงเดินตามติดอยู่ข้างหลังเขาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ บางครั้งเธอก็คลิกเมาส์พลาดไปยิงตรงที่ว่างสองนัดแล้วตกใจจนตัวเองสะดุ้ง
‘จะยิงยังไงก็ได้ครับ ขอแค่ไม่ยิงใส่ผมก็พอ’
เขาส่งข้อความเชิงล้อเล่นนั้นไปให้เธอเพื่อช่วยผ่อนคลายบรรยากาศ
ชายหนุ่มเพิ่งจะส่งข้อความเสร็จ ซอมบี้หน้าตาน่ากลัวก็ทะลักออกมาจากรอบด้าน เพื่อสร้างบรรยากาศให้ตื่นเต้น ตรงหน้าจอจึงมีไซเรนสีแดงกะพริบไม่หยุด มือของหลินเซินมีเหงื่อออกแล้ว ตัวละครของเธอวิ่งตามหลังตัวละครของเขาไปพลางใช้ปืนกราดยิงไปรอบด้าน ฆ่ากลุ่มซอมบี้จนเปิดทางเส้นหนึ่งได้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเกม แต่เธอก็ยังรู้สึกดีใจเหมือนหนีตายออกมาได้อยู่ดี
ตัวละครบุกเข้าไปในป่า รอบด้านเต็มไปด้วยหินขรุขระรูปร่างประหลาด ทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าจะมีสัตว์ประหลาดอ้าปากกางกรงเล็บโผล่ออกมาจากด้านหลังก้อนหินเมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่มันโผล่มาตัวละครของเขาก็จะยกปืนขึ้นยิงใส่สัตว์ประหลาดที่กระโจนอยู่กลางอากาศก่อนทุกครั้งโดยที่หลินเซินยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ตรงแผนที่แสดงให้เห็นว่าผ่านไปแล้วครึ่งทาง ตัวละครของทั้งสองคนยังคงมีเลือดเต็มหลอด
หลินเซินรู้สึกจนใจอยู่บ้าง
‘ฉันรู้สึกว่าเกมนี้ไม่จำเป็นต้องมีฉัน’
‘จะไม่จำเป็นได้ยังไง’
เขาหยุดเล่นเพื่อพิมพ์ข้อความ
‘แผ่นหลังของผม…มอบให้คุณคอยปกป้องมาโดยตลอด’
หลินเซินอึ้งไป มองดูตัวละครของตัวเองที่ตามติดอยู่ด้านหลังตัวละครของแมลงเม่าบนหน้าจอ เขาเปิดทางอยู่ข้างหน้า ส่วนเธอก็ไม่ใช่ว่ากำลังปกป้องเขาอยู่ด้านหลังหรอกเหรอ เป้าหมายแต่แรกเริ่มของเกมนี้ไม่ใช่การให้ช่วยสนับสนุนกันหรือยังไง…
หลังผ่านด่านมาได้ ตัวละครของเธอยังมีเลือดเต็มหลอด ส่วนของเขานั้นเสียไปแค่เจ็ดเปอร์เซ็นต์ นี่นับได้ว่าเป็นชัยชนะโดยสมบูรณ์แบบ หลินเซินบิดขี้เกียจน้อยๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเวลา นึกไม่ถึงเลยว่าจะผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว
ระบบของโปรแกรมคู่รักหนึ่งสัปดาห์มีแสงสีทองกะพริบออกมา บนจอมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘ยินดีด้วย พวกคุณผ่านด่านแล้ว ระดับความเข้าขากันเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เป็นอันดับที่หนึ่ง’
เขาส่งข้อความมาถามเธอ
‘ได้เป็นที่หนึ่งรู้สึกยังไงบ้างครับ’
เธอเองก็ยิ้มออกมา
‘ไม่เลวค่ะ’
‘ใกล้เที่ยงแล้ว คิดว่าจะกินอะไรเหรอครับ’
หลินเซินหันหน้ากลับไปมองตู้กับข้าวครั้งหนึ่ง ก่อนพิมพ์ตอบกลับไปตามตรง
‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปค่ะ’
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมาสักพักใหญ่จนหลินเซินคิดว่าเขาคงไปทำอย่างอื่นแล้ว จิตรกรสาวเตรียมจะปิดคอมพิวเตอร์ ทว่าตอนนั้นเองในที่สุดกรอบสนทนาก็เด้งข้อความที่เขาส่งมา มันเป็นข้อความยาวๆ เรียงลำดับข้อตามหมายเลขหนึ่งสองสามสี่ อธิบายวิธีการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้อร่อยอย่างละเอียด
‘นี่เป็นวิธีทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมื่อครั้งก่อนของคุณเหรอคะ’
‘ผมคิดค้นขึ้นมาเอง สูตรลับเฉพาะตัว’
หลินเซินหัวเราะไปกับคำตอบของเขา
‘งั้นฉันจะลองดูค่ะ’
หลินเซินชะงักไป ก่อนส่งข้อความไปเพิ่ม
‘วันนี้ขอบคุณมากนะคะ!’
เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
‘ยินดีที่ได้รับใช้ครับ พรุ่งนี้เจอกัน’
ในตู้เย็นมีผักกับไข่เหลืออยู่ หลินเซินจดบันทึกขั้นตอนการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของแมลงเม่าเอาไว้ในสมุดโน้ตที่วางไว้บนชั้นตรงตู้กับข้าวแทนหนังสือสูตรอาหาร เมื่อเทียบกับการต้มด้วยน้ำร้อนธรรมดาๆ แล้วยุ่งยากกว่าหน่อย แต่รสชาติอร่อยก็มากขึ้นจริงๆ
กินไปได้ครึ่งทาง เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เป็นเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเบอร์หนึ่ง หลินเซินจึงลังเลเล็กน้อยก่อนกดรับ “สวัสดีค่ะ?”
น้ำเสียงทุ้มหนักดังขึ้นจากอีกฝั่ง “คุณหลิน”
หลินเซินอึ้งไปเล็กน้อย “ประธานซ่ง?”
“วันนี้ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ!” หลินเซินนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นสายจากซ่งเซียวหาน ที่คนพูดกันไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคุยโทรศัพท์หรอกเหรอ แต่ในตอนที่เธอกำลังประหลาดใจ ก็ได้ยินเขาพูดต่อว่า “อีเมล…คุณไม่ได้ตอบกลับ”
เมื่อครู่นี้เธอตั้งใจเล่นเกมเกินไปก็เลยไม่ทันสังเกต หลินเซินถือโทรศัพท์มือถือขณะวิ่งไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ก่อนจะเปิดอีเมลขึ้นมา มีอีเมลที่ซ่งเซียวหานส่งมาจริงๆ
‘คุณหลิน ผมเพิ่งกลับมาจากไปทำงานข้างนอก ผมรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าวันนี้มาก หวังว่าพวกเราจะมาเจอหน้ากัน ให้ผมได้ขอโทษกับคุณต่อหน้าได้ไหมครับ’
ปลายสายยังคงนิ่งเงียบไปคล้ายว่ากำลังรอคำตอบจากเธอ หลินเซินเม้มปากน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบไป “ไม่เป็นไรค่ะ! ถ้าเกิดทางโรงแรมเหลียนถังมีผลงานที่ดีกว่ามาแทนที่ภาพของฉัน ฉันก็ไม่มีความเห็นอะไรค่ะ”
ซ่งเซียวหานชะงักไป เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ผมจะจัดการให้เรียบร้อย คุณหลินสบายใจได้ครับ”
หลังวางสายซ่งเซียวหานก็ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้มืดลงแล้วด้วยความรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ บนใบหน้าเย็นชาเต็มไปด้วยความสงสัยทั้งยังแฝงไปด้วยความตกใจระคนยินดี จนผู้ช่วยเคาะประตูแล้วเอาสัญญาฉบับใหม่เข้ามาวางให้นั่นแหละ ซ่งเซียวหานถึงได้เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงที่สั่นระริกของเขาเอ่ยออกมารั้งตัวผู้ช่วยที่กำลังจะออกจากห้องไปเอาไว้ “จินจง นาย…รอเดี๋ยว”
ผู้ช่วยจินจงตกใจจนเกือบสะดุดล้ม
เกิดอะไรขึ้น…ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วเหรอ เจ้านายที่ไม่เคยชอบการเปิดปากพูดตอนนี้กลับเรียกชื่อของฉัน ซ้ำยังบอกให้ฉันรอเดี๋ยวด้วย
จินจงหันหน้ากลับไปอย่างตื่นตระหนก บนใบหน้าซ่งเซียวหานมีสีหน้าคิดหนักและความลังเลวาบผ่าน เขากลืนน้ำลาย สูดลมหายใจเข้าลึกเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “เอก…เอกสารฉบับนี้…”
ช่างเถอะ เขายอมแพ้แล้ว ดังนั้นพอซ่งเซียวหานโบกมือไล่ด้วยสีหน้าอ่อนล้าเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ออกไป จินจงจึงรีบชิ่งออกจากห้องไปทันที
ลมจากเครื่องปรับอากาศในห้องทำงานพัดมุมหนึ่งของเอกสารขึ้นมา ซ่งเซียวหานขมวดคิ้วแน่นขณะยังจับจ้องชื่อในรายการโทรออกชื่อนั้นบนจอโทรศัพท์
หนึ่งชั่วโมงให้หลังหลินเซินก็ได้รับสายจากซ่งเซียวหานอีกครั้ง เธอเอ่ยอย่างลังเล “ประธานซ่ง…”
อีกฝั่งเปิดปากเอ่ยเรียบๆ “ผมอยู่หน้าบ้านคุณ”
“บ้านฉันเหรอคะ”
“มาเจอหน้าคุยกันครับ”
หลินเซินได้แต่ยอมออกไปเจออย่างไร้ทางเลือก
หลังเดินออกมาจากตรอกเหล่าไหว หลินเซินก็เห็นรถของซ่งเซียวหานจอดอยู่ตรงด้านหน้าตรอก ทว่าสภาพอากาศร้อนแบบนี้เขากลับไม่ได้นั่งรออยู่ในรถ แต่กลับมายืนรอเธออยู่ด้านนอก พอจิตรกรสาวเดินเข้าไปใกล้ ซ่งเซียวหานก็ช่วยเปิดประตูรถให้เธอก่อนแล้วตัวเองถึงได้เดินกลับไปขึ้นรถ
อากาศภายในรถเย็นกำลังดี ซ่งเซียวหานสตาร์ตเครื่อง ขณะที่หลินเซินยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ประธานซ่ง คุณรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“สัญญา”
หลินเซินเดาไม่ออกว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เธอคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยท่าทีเกร็งๆ ด้านซ่งเซียวหานก็กลับรถพร้อมหันหน้ามาถามเธอ “กินข้าวแล้วหรือยังครับ”
“กินแล้วค่ะ”
“ผมยังไม่ได้กิน” จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มบางๆ เหมือนกับแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่หลอมละลายน้ำแข็งผืนบางบนผิวทะเลสาบ ใบหน้าที่มักจะเย็นชาอยู่เสมอเวลานี้กลับดูอบอุ่นขึ้นมาเช่นกัน “ไปกินด้วยกัน”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลากินข้าวเที่ยงพอดี ซ่งเซียวหานขับรถอ้อมออกจากเขตตัวเมืองขึ้นไปบนทางหลวงเลียบทะเล ข้างนอกหน้าต่างรถคือทิวทัศน์ทะเลที่สามารถมองเห็นได้ไกลอย่างไร้ขอบเขต ผิวทะเลที่ถูกแสงแดดแผดเผาม้วนคลื่นร้อนๆ ขึ้นมาสาดกระทบกับก้อนหินริมชายฝั่ง
จุดหมายปลายทางคือภัตตาคารกวนหูเก๋อ ซึ่งเป็นภัตตาคารติดทะเลที่หรูหราติดอันดับหนึ่งของเมืองไหวอัน ซ่งเซียวหานพาเธอเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นหก ที่นั่นเป็นร้านอาหารส่วนตัวของเขาซึ่งมีบรรยากาศเงียบสงบ ด้านนอกกระจกบานยาวจรดพื้นสามารถมองเห็นหาดทรายและคลื่นขาวได้
ภายในห้องอาหารไม่มีบริกร พ่อครัวเข้าใจความชอบและรสปากของซ่งเซียวหานดีจึงไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก แต่ตอนที่เห็นหลินเซินเขาก็มีอาการอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนสอบถามอย่างสุภาพ “คุณผู้หญิงท่านนี้จะรับอะไรดีครับ”
ซ่งเซียวหานช่วยดึงเก้าอี้ออกให้เธอ หลินเซินพยายามข่มความไม่เคยชินลงไป “ฉันกินข้าวมาแล้วค่ะ”
พ่อครัวยิ้มน้อยๆ “ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นของหวานหลังอาหารเป็นยังไงครับ”
หลินเซินพยักหน้า
เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาสถานที่แบบนี้ ซ้ำยังมากับซ่งเซียวหานที่เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งเดียวอีกด้วย หลินเซินไม่รู้ว่าควรเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหน และซ่งเซียวหานก็ดันเป็นคนพูดน้อยมากๆ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่มาอยู่ด้วยกัน ภายในห้องจึงเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เป็นเขาที่เปิดปากขึ้นก่อน “คุณหลิน” สีหน้าของซ่งเซียวหานเคร่งเครียด เอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างเชื่องช้า “เรื่องเมื่อเช้า…ต้องขอโทษด้วยครับ!”
หลินเซินรีบส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรค่ะ!”
เขาขอโทษมาสามครั้งแล้ว ท่าทางเกรงใจเธอจนทำให้หลินเซินรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ซ่งเซียวหานคล้ายจะไม่สังเกต ชายหนุ่มส่งซองเอกสารที่เอาติดลงมาจากรถด้วยยื่นให้ “สัญญาใหม่ครับ”
หลินเซินรับมาด้วยความประหลาดใจ เธอเปิดซองแล้วหยิบหนังสือสัญญาออกมาดู หลังอ่านตั้งแต่ต้นจนจบไปรอบหนึ่ง สีหน้าของจิตรกรสาวก็เปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงขึ้นมาทันที สัญญาฉบับนี้ได้เพิ่มเงื่อนไขใหม่เข้าไปในเนื้อหาเดิม เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าในช่วงเวลาสองปี หากโรงแรมเหลียนถังทุกสาขาต้องการใช้รูปภาพจะใช้ภาพของหลินเซินทั้งหมด และขอแค่เป็นแกลลอรี่ที่เหลียนถังมีส่วนร่วมในการลงทุน ทางโรงแรมก็จะนำภาพวาดของเธอไปจัดแสดงก่อนเป็นอันดับแรก ทั้งยังเพิ่มค่าชดเชยในกรณีที่ทางโรงแรมผิดสัญญาก่อนหน้านี้เป็นสามเท่า
แบบนี้เรียกได้ว่าเขากำลังทำบุญอยู่ชัดๆ หลินเซินบีบเอกสารแน่น “ประธานซ่งคะ สัญญาฉบับนี้มัน…”
ซ่งเซียวหานเอ่ยขัดเสียงเรียบ “ชดเชยครับ”
หลินเซินยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างจนใจ ก่อนผลักสัญญากลับไป “ขอบคุณค่ะ! แต่ฉันเซ็นสัญญาฉบับนี้ไม่ได้ค่ะ”
ซ่งเซียวหานขมวดคิ้ว ส่วนหลินเซินก็เงียบขรึมลง “เรื่องเมื่อเช้าทำให้ฉันรู้สึกเสียใจก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่คุณต้องมาใช้วิธีทำบุญทำทานแบบนี้ นี่มันชดเชยมากเกินไป ฉันหวังว่าภาพของฉันจะถูกนำไปจัดแสดงด้วยความชื่นชม ไม่ใช่ด้วยความเห็นใจค่ะ”
ซ่งเซียวหานมองหลินเซิน เห็นเธอเม้มริมฝีปาก เขาถึงได้เปิดปากพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก “ผมชอบรูปภาพของคุณมาก” ความเย็นชาบริเวณหว่างคิ้วของเขาเลือนหายไปและลดความเร็วในการพูดลง “ครั้งแรกที่ได้เห็นก็รู้สึกถูกดึงดูดแล้วครับ”
หลินเซินไม่เข้าใจ “เพราะอะไรคะ ภาพของฉันไม่มีเนื้อหาอะไรทั้งนั้นนี่คะ”
ซ่งเซียวหานชะงักไปก่อนเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า “หลายๆ ครั้งคำพูดและรูปธรรมกลับไม่อาจ…” เขาชะงักไปอีกเล็กน้อย เหมือนจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง หลังจากยกมือขึ้นเพื่อปลดกระดุมคอเสื้อแล้วถึงได้เอ่ยต่อ “แสดงอารมณ์ที่แท้จริงของคนคนหนึ่งออกมาได้…และอารมณ์ที่ไม่สามารถแสดงออกผ่านคำพูดได้พวกนั้น กลับสัมผัสได้ในรูปภาพของคุณ…อย่างชัดเจน”
หลินเซินอึ้งไปเล็กน้อย
คนคนนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมองรูปภาพของเธอออกจริงๆ…
สีสันที่ตัดกันพวกนั้น ไม่ใช่ว่าหลินเซินเทถาดสีไปตามอารมณ์ แต่นั่นคือกลุ่มก้อนอารมณ์ที่ยากจะระบายออกในใจเธอ การวาดภาพสำหรับหลินเซินแล้วไม่เคยเป็นการสร้างสรรค์ผลงาน แต่เป็นการระบาย
แต่ทำไมซ่งเซียวหานถึงได้มองออกกัน ลูกรักของพระเจ้าอย่างเขาจะมาเข้าใจสิ่งที่เธอแบกรับเอาไว้พวกนั้นได้ยังไง
บรรยากาศเงียบลงไปชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมซ่งเซียวหานถึงขมวดคิ้วขึ้นมา เขารอจนพ่อครัวยกอาหารมาเสิร์ฟเรียบร้อยถึงได้เปิดปากพูด น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงเนิบช้าตามเดิม “คุณหลิน พอได้คุยกับคุณแล้วผมรู้สึกแปลกมาก แต่ก่อนผมไม่ค่อยได้พูดมากเท่าไหร่”
พ่อครัวทำพุดดิ้งสตรอเบอรี่มาให้หลินเซิน เธอใช้ส้อมจิ้มชิ้นสตรอเบอรี่ “จริงเหรอคะ”
เขาเผยยิ้ม “ครับ ผมดีใจมากที่ได้คุยกับคุณ” ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้บนใบหน้าของชายหนุ่มจึงมีสีหน้าที่เธอมองแล้วไม่เข้าใจ เธอได้ยินเขาลดเสียงลงในตอนที่เอ่ยต่อ “ผมไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว”
หลังสลัดความเย็นชาและเงียบขรึมพูดน้อยในอดีตออกไปแล้ว เวลาที่ซ่งเซียวหานยิ้มก็กลับดูอบอุ่นอย่างไม่คาดฝัน ตอนที่มุมปากของชายหนุ่มหยักยกขึ้น เมื่อตั้งใจมองดูจะเห็นว่าบนแก้มมีลักยิ้มจางๆ อยู่รอยหนึ่ง
หลังกินข้าวเสร็จซ่งเซียวหานก็ยื่นหนังสือสัญญาตัวใหม่นั้นให้เธออีกครั้ง เมื่อพูดคุยกันมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นตัวอะไรอีกแล้ว หลินเซินจึงเซ็นชื่อของตัวเองลงไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณคุณมากจริงๆ นะคะ!”
ซ่งเซียวหานยิ้มน้อยๆ “ผมจะส่งคุณกลับบ้านครับ”
ใกล้บ่ายแล้ว ตรงขอบฟ้ามีเมฆขาวซ้อนตัวกันหลายชั้น แสงอาทิตย์ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังชั้นเมฆ ลดทอนความร้อนไปได้ไม่น้อย ลิฟต์ส่วนตัวกำลังซ่อมบำรุงอยู่ ซ่งเซียวหานจึงพาเธอไปใช้ลิฟต์ของแขก ในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก พบว่าข้างในมีชายหญิงกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่คู่หนึ่ง สายตาสองคู่มองสบกัน หลินเซินก้มหน้าลงขณะเดินเข้าไป
เธอมักจะเจอกู้ชิงไหวในสถานการณ์แบบนี้อยู่เสมอ ตอนนี้เวลาเห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ข้างกายเขา เธอกลับไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว
ประตูลิฟต์ปิดลง หญิงสาวแปลกหน้าเปิดปากเอ่ยขึ้นมาก่อน “ซ่งเซียวหาน? บังเอิญจังนะคะ”
ซ่งเซียวหานมีสีหน้าราบเรียบ ตอบรับสั้นๆ อย่างเฉยชา หญิงสาวยิ้มออกมาน้อยๆ “นัดทานอาหารครั้งก่อนที่คุณเทฉัน เรื่องนี้ลือกันไปทั่ววงการแล้วนะ พ่อฉันบอกว่าจะมาคุยกับคุณ แต่ฉันเกลี้ยกล่อมเขาเอาไว้เอง” เธอเขยิบเข้าไปใกล้เขาอีกนิด มุมปากหยักยกขึ้น “คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองติดค้างคำขอโทษและขอบคุณกับฉันเหรอคะ”
สายตาหลินเซินไม่ว่อกแว่ก ขณะที่เธอค่อยๆ เขยิบไปด้านข้างอย่างเงียบๆ หลายก้าว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นชาของซ่งเซียวหานดังขึ้น “ขอโทษ! ขอบคุณมาก!”
ที่ด้านหลังของซ่งเซียวหานและผู้หญิงคนนั้นมีเสียงหลุดขำดังออกมา กู้ชิงไหวยืนกอดอกมีสีหน้าราวกับกำลังชมละคร เมื่อเห็นหญิงสาวหันกลับมาถลึงตาใส่ เขาก็บุ้ยปากเชิงบอกให้เธอทำต่อไป หญิงสาวจึงเคลื่อนสายตามาที่หลินเซินแทน
“นี่คือสาเหตุที่คุณเทฉันเหรอคะ ได้ยินมาว่าชั้นหกเป็นร้านอาหารส่วนตัวของคุณ ไม่เคยพาคนนอกเข้าไปมาก่อน แล้วนี่อะไรกัน เธอไม่ใช่คนนอกหรอกเหรอ” เธอเดินเข้ามาใกล้หลินเซินแล้วใช้เล็บจิ้มบ่าจิตรกรสาว “หรือว่าเธอจะเป็นคนรักลับๆ ของคุณ?”
ชั่วพริบตาที่ปลายนิ้วแตะโดนบ่า หลินเซินก็มีอาการโซเซถอยไปข้างหลัง ซ่งเซียวหานยื่นมือออกไปกันตัวหลินเซินเอาไว้พร้อมเอ่ยเสียงเย็น “คุณเผย!”
หญิงสาวถูกการกระทำเช่นนั้นของทั้งคู่กระตุ้นให้รู้สึกโมโหขึ้นทันที ท่าทางเหมือนจะกระโจนเข้าไปทะเลาะด้วย “ซ่งเซียวหาน! คุณอย่าได้รังแกกันเกินไป! คุณอย่าหลงคิดว่า…” ยังไม่ทันพูดจบเธอก็ถูกกู้ชิงไหวดึงตัวกลับมาจึงหันไปถลึงตาใส่เขา “ทำอะไรน่ะ!”
กู้ชิงไหวฉีกยิ้ม “ลิฟต์มาถึงแล้ว”
เธอขยี้เท้า ก่อนชี้นิ้วไปที่หลินเซินกับซ่งเซียวหาน “พวกเขากลับ…”
กู้ชิงไหวไม่พูดไม่จาก็ลากตัวเธอออกไปข้างนอกทันที “พอได้แล้ว ถ้ายังโมโหต่อเครื่องสำอางจะหลุดหมดนะ งานเต้นรำกำลังจะเริ่มแล้วนะครับ”
หญิงสาวโมโหจัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอได้แต่มองดูประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ เลื่อนปิด สุดท้ายจึงเอาโทสะไประบายใส่กู้ชิงไหวแทน “เชื่อไหมว่าฉันจะให้คะแนนคุณแย่ๆ!”
กู้ชิงไหวหันกลับไปมองประตูลิฟต์ที่ปิดลงอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ปล่อยตัวเธอออก ก่อนยกมือขึ้นน้อยๆ อย่างยอมแพ้ ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “แบบนั้นน่าเบื่อจะตายไป เดี๋ยวครั้งนี้ผมจะลดให้คุณสิบห้าเปอร์เซ็นต์เลย”
มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้และยิ่งเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาขนาดนี้ด้วย หญิงสาวจึงได้แต่ถลึงตาใส่เขา ก่อนสะบัดมือแล้วเดินหนีไป
บรรยากาศภายในลิฟต์เงียบลง ซ่งเซียวหานขมวดคิ้วขณะเอ่ยถามหลินเซิน “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
หลินเซินมองตามเงาร่างที่ค่อยๆ หายลับไปโดยไม่ละสายตาจนประตูลิฟต์ปิดลง ในสมองปรากฏภาพของอาจิ้งกับคู่แม่ลูกใต้ต้นแม็กโนเลีย ผ่านไปนานถึงได้ส่ายหน้าแล้วตอบกลับไป “ไม่เป็นไรค่ะ”
ซ่งเซียวหานพาหญิงสาวกลับไปส่งที่บ้าน หลังนัดหมายเวลาที่จะมารับรูปภาพแล้วถึงได้กลับไป หลินเซินพลิกสัญญาอ่านอีกครั้ง เธอยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
วันรุ่งขึ้นก็มาถึงช่วงทำภารกิจของคู่รักหนึ่งสัปดาห์อีกครั้ง หลินเซินนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ตรงตามเวลา เสียงไพเราะของผู้หญิงดังออกมาจากลำโพงว่า ‘ภารกิจคู่รักหนึ่งสัปดาห์วันที่ห้า อ่านบทความที่คุณชอบมากที่สุดบทหนึ่งให้อีกฝ่ายฟังเถอะ!’
แววตาเฝ้ารอคอยเวลานี้กลับนิ่งแข็งไปเล็กน้อย หลินเซินมองดูปุ่มอัดเสียงที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอแล้วใจลอยไป อีกฝั่งเงียบไปสักพักแล้วพิมพ์ข้อความส่งมาว่า
‘ภารกิจนี้ไม่เป็นมิตรกับพวกเด็กสายวิทย์เท่าไหร่ ไม่งั้นผมจะอ่านตารางธาตุให้คุณฟังแล้ว เอาไหมครับ?’
หลินเซินหัวเราะไปกับข้อความของเขาก่อนพิมพ์กลับไป
‘ก็ได้นะคะ’
หลังจากนั้นไม่นานในหน้าต่างสนทนาก็มีไฟล์เสียงที่เขาส่งมา ไม่รู้ว่าทำไมหลินเซินถึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง เธอกดปุ่มเปิดไฟล์ด้วยนิ้วที่สั่นระริก หลังเสียงคลื่นซ่าๆ ผ่านไป ก็มีเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยของชายหนุ่มดังออกมาจากลำโพง
เสียงนั้นแฝงไปด้วยความแหบพร่าเหมือนช่วงเวลากลางคืน และยังเหมือนน้ำทะเลซัดสาดก้อนกรวด เสียงนั้นถูกบีบอัดผ่านอุปกรณ์มาจึงขาดความสมจริงไปบ้าง แต่ก็ยังคงน่าฟังมากอยู่ดี มันไม่ใช่ตารางธาตุอะไร แต่เป็นเนื้อหาจากบทความรำลึกถึงหลิวเหอเจินของหลู่ซวิ่น*
‘สมัยเรียนผมเคยถูกลงโทษให้ยืนเพราะบทความนี้อยู่หลายครั้งเลยจำได้แม่น กวางน้อยตั้งใจจะอ่านอะไรให้ผมฟังเหรอ’
หลินเซินมองดูข้อความที่เขาส่งมาแล้วใจลอยไป หลังผ่านไปสักพักหลินเซินก็รวบรวมความกล้าลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเก่าซึ่งมุมปกม้วนงอแล้วออกมาเล่มหนึ่งจากห้องหนังสือ หลังจากนั้นก็กดเปิดปุ่มบันทึกเสียง
สิบนาทีให้หลังเสียงติ๊งก็ดังขึ้น ชายหนุ่มได้รับไฟล์เสียงที่ส่งมาจากหลินเซินแล้ว มือเรียวข้างหนึ่งวางแก้วกาแฟลงแล้วเอื้อมไปจับเมาส์เพื่อกดปุ่มเปิดฟัง
หลังเสียงซ่าๆ ดังขึ้นสักพักก็มีเสียงทุ้มนุ่มนวลดังออกมาจากลำโพง
“ฉันหวังว่า เขาจะเป็นเหมือนกับฉัน
ในอกมีเลือด ในหัวใจมีบาดแผล
ไม่หวังบุปผางามจันทร์เต็มดวง
ไม่นำพาเสียงขลุ่ยสั้นยาว
ความลำบากดั่งใบชารสขม
ในความขมแฝงรสหอมสดชื่น
จงยืนหยัดดั่งกล้วยไม้
ชูช่อตระหง่านอาบน้ำค้างสารท…”
มันเป็นบทกลอน ‘ฉันหวังว่า’ ของซูถิง
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยืดตัวขึ้นช้าๆ รอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีค่อยๆ เลือนหายไปแทนที่ด้วยความตกตะลึง ไฟล์บันทึกเสียงเล่นจนจบอย่างรวดเร็ว เขาจึงกดเปิดเพื่อเล่นใหม่อีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นราวกับแสงสว่างดึงเขากลับไปยังโบสถ์ในยามบ่ายวันนั้น
บ่ายวันนั้น…แสงแดดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา แล้วก็เป็นเสียงนี้…ด้วยน้ำเสียงและความเร็วแบบเดียวกันที่ท่องบทสวดวรรคหนึ่งจากพันธสัญญาเดิม
ใช่เสียงนั้นหรือเปล่า…เสียงที่ทำให้เขานอนหลับได้เสียงนั้น
แต่ตอนนี้กู้ชิงไหวแค่รู้สึกว่าจิตใจของตัวเองสงบและผ่อนคลาย แต่ไม่ได้ง่วงงุน หรือเพราะว่าได้ยินผ่านอินเตอร์เน็ตเลยขาดความสมจริงไปบ้าง แต่การที่เสียงนี้ได้กลับมาพบกับเขาอีกครั้งด้วยวิธีการเช่นนี้ นับว่าเป็นพรหมลิขิต หรือว่ามีสาเหตุอื่นกัน
เขาจับจ้องภาพดิสเพลย์ตรงหน้าต่างสนทนานั้น แล้วจมอยู่กับความคิดเป็นเวลานาน
จนกระทั่งช่วงพลบค่ำหลินเซินถึงได้รับข้อความตอบกลับจากแมลงเม่า ตอนแรกเธอปิดคอมพิวเตอร์ไปแล้ว หลังแอบคิดไปว่าคนที่อยู่อีกฝั่งของอินเตอร์เน็ตนี้อาจไม่ชอบเสียงของตน หลินเซินจึงกำลังนั่งรับลมเย็นอยู่ในลานบ้านด้วยสภาพอารมณ์ที่ยากจะบรรยาย
ในตอนที่มือถือสั่นน้อยๆ เมื่อก้มดูก็เห็นว่าเป็นข้อความส่งมาจากเบอร์ออฟฟิเชียลซึ่งมีตัวเลขยาวมาก เมื่อเปิดข้อความออกอ่านก็พบข้อความแถวหนึ่งแจ้งว่า
‘คู่รักหนึ่งสัปดาห์ของคุณส่งข้อความมาให้คุณ : กลอนของซูถิง ผมชอบมาก เสียงของกวางน้อย ผมเองก็ชอบมากเช่นกัน’
หลินเซินจ้องหน้าจอมือถืออยู่สักพัก ก่อนเม้มปากจนเห็นเป็นรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา
เช้าวันรุ่งขึ้นคนที่ซ่งเซียวหานส่งมาเอารูปภาพก็มาถึงบ้านของเธอแล้ว หลินเซินเดินนำพวกเขาเข้ามาเพื่อไปย้ายรูปที่อยู่ในห้องวาดภาพออกไปจนห้องโล่ง ทำให้เวลาพูดคุยยังมีกระทั่งเสียงดังสะท้อน
ในตอนที่เสียงดนตรีคุ้นหูดังขึ้นนั้นเธอกำลังเก็บกวาดห้องวาดภาพอยู่
‘ภารกิจวันที่หกของคู่รักหนึ่งสัปดาห์ บอกความลับของคุณหนึ่งอย่างแก่อีกฝ่าย ขอเชิญพวกคุณเปิดใจให้กัน’
ความลับที่หัวใจคนเราเก็บซ่อนเอาไว้ก็เป็นเหมือนกับรากของดอกไม้ เบ่งบานอย่างอิสรเสรีภายใต้แสงอาทิตย์ ทว่าในส่วนที่แสงแดดส่องไปไม่ถึงกลับเน่าเละและไม่มีใครเต็มใจจะขุดรากที่เน่าไปแล้วออกมา เพราะว่ามันเจ็บปวด ซ้ำสภาพยังดูไม่ได้
ดังนั้นการแลกเปลี่ยนความลับจึงเป็นหนทางเปิดใจกันอย่างเร็วที่สุดมาโดยตลอด ความลับมากมายเหล่านั้นเมื่อเทียบกับการพูดให้ครอบครัวและเพื่อนฟังแล้ว คนเรากลับเต็มใจจะพูดให้คนแปลกหน้าที่ไม่มีทางพบกันฟังมากกว่า
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่หลินเซินไม่เคยพูดความลับของเธอกับใครมาก่อน
เสียงดังติ๊กต็อกของนาฬิกาแขวนบนผนัง เสียงใสกังวานเวลาพิมพ์คีย์บอร์ด เสียงอากาศไหลเวียนเวลาเครื่องปรับอากาศปล่อยลมเย็นออกมา เสียงทั้งหมดพวกนี้ดังชัดเจนขึ้นมากะทันหัน ดวงตาของหลินเซินเบิกกว้างขณะมองดูข้อความที่ตัวเองพิมพ์ลงไปในหน้าต่างสนทนา
‘เสียงของฉันไม่เหมือนกับใครทั้งนั้น’
หลินเซินคิดว่าเขาจะซักไซ้ถามต่อว่าเธอหมายความว่ายังไง แต่เธอเดาผิดไปแล้ว
เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ตอบกลับเธอมาว่า
‘ดังนั้นเสียงของคุณจึงมีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้’
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือว่าเมิ่งสืออวี่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอตอนนี้ ในตอนที่รู้ว่าเสียงของหลินเซินผิดแปลกไป สิ่งแรกที่พวกเขาทำล้วนเป็นการตั้งคำถามเพื่อหาเหตุผล แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ด้วยเช่นกัน
แต่เขากลับไม่ทำเช่นั้น อีกฝ่ายเพียงแค่บอกกับเธออย่างเรียบง่ายว่า ‘คุณเป็นคนพิเศษไม่เหมือนใคร’
วินาทีนั้นก็ราวกับว่าดอกไม้เหี่ยวเฉาที่เธอซ่อนไว้ด้านหลังอย่างระมัดระวังได้ถูกเขาประคองเอาไว้บนฝ่ามืออย่างอ่อนโยน หลินเซินรู้สึกดีใจ แล้วก็รู้สึกเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมเล็กๆ ด้วย เสมือนเด็กน้อยซึ่งมักถูกคนเข้าใจผิดมาตลอดจนในที่สุดก็มีคนมาเข้าใจ นอกจากความดีใจแล้ว ยังรู้สึกเศร้าใจมากด้วยเช่นกัน
เธอพิมพ์ลงไปช้าๆ
‘แล้วคุณล่ะคะ’
‘ผมเหรอ…’
เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพิมพ์ตอบ
‘ผมมีอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง บนโลกใบนี้มีแค่ของสองอย่างที่ทำให้ผมสามารถเข้านอนได้ อย่างแรกคือยานอนหลับ อีกอย่างคือเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง’
ในเมื่อเขาไม่ได้ซักไซ้เธอว่าเสียงของเธอนั้นแตกต่างออกไปอย่างไร หลินเซินก็ไม่มีทางถามถึงสาเหตุที่เขานอนไม่หลับเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นพวกเขาต่างได้รับภารกิจสุดท้ายของคู่รักหนึ่งสัปดาห์แจ้งว่า ‘ขอให้เลือกว่าจะไปพบกับคู่รักหนึ่งสัปดาห์ของคุณหรือไม่’
คำว่า ‘ใช่’ บนหน้าจอกำลังกะพริบแสงดึงดูดให้คนกด หลินเซินมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นาน ก่อนเลือกกดตรงคำว่า ‘ไม่’ ระบบส่งเสียงประกาศออกมาด้วยความเสียดาย ‘การจับคู่คู่รักหนึ่งสัปดาห์ล้มเหลว ขอให้พวกคุณต่างใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข ไว้พบกันใหม่!’
หลินเซินลุกขึ้นพร้อมกดปิดคอมพิวเตอร์
ในอินเตอร์เน็ต กวางน้อยเป็นสาวติสต์ที่ร่วมชมภาพยนตร์ขาวดำไปกับแมลงเม่า เป็นคนเล่นเกมไม่เก่งที่จะร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เขา และเป็นหญิงสาวที่เต็มใจแบ่งปันความลับกับเขา
แต่ในความเป็นจริง เธอเป็นแค่หลินเซินที่มีอาการกลัวสังคมเท่านั้น
รุ่งเช้าวันที่สองหลังการทำกิจกรรมในโปรแกรมคู่รักหนึ่งสัปดาห์จบลง เมิ่งสืออวี่ก็โทรศัพท์มาถามว่าเธอจะไปเจอหน้าอีกฝ่ายเมื่อไหร่
“ฉันปฏิเสธไปแล้ว”
ปลายสายนิ่งเงียบไปสักพัก ทำให้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอารมณ์อย่างไร “เซินเซิน ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับการตัดสินใจของเธอ แต่ถ้าเธอเอาแต่เป็นแบบนี้ก็จะไม่มีวันดีขึ้นมาได้หรอกนะ”
ที่ผ่านมาหลินเซินมีความฝันอยากจะเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ได้เจอกับผู้ชายที่ชอบ ได้สร้างครอบครัวที่มีความสุขและใช้ชีวิตในชาตินี้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายสงบสุข
แต่สิ่งเหล่านั้นที่ได้ชื่อว่า ‘ความฝัน’ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันอยู่ไกลเกินคว้านี่นา
ไม่กี่วันหลังจากนั้นโรงแรมเหลียนถังก็ตกแต่งใหม่เสร็จเรียบร้อย นี่เป็นโรงแรมเหลียนถังแห่งแรกที่ซ่งซื่อกรุ๊ปสร้างขึ้นที่ไหวอันในยุคบุกเบิก การซ่อมบำรุงครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของสื่อเป็นจำนวนมาก เหลียนถังเองก็จัดพิธีเปิดตัวขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งจินจงผู้ช่วยของซ่งเซียวหานก็ได้โทรศัพท์มาเชิญหลินเซินให้ไปเข้าร่วมงานด้วย แต่ถูกเธอปฏิเสธไป
แต่แม้หลินเซินจะอยู่ที่บ้าน เธอก็ยังเปิดโทรทัศน์ขึ้นมาเพื่อดูการถ่ายทอดสด หลังถ่ายทอดพิธีเปิดกับสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องเสร็จแล้ว กล้องก็เบนไปจับที่รูปภาพซึ่งแขวนอยู่บนผนังทางเดินของห้องโถงที่ใหญ่เป็นพิเศษ
นักข่าวหญิงกำลังพูดจาด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “ครั้งนี้เหลียนถังได้ทำการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ และรูปภาพทั้งหมดที่แขวนอยู่ในโรงแรมเหล่านี้ก็เป็นผลงานของนักวาดหน้าใหม่ท่านหนึ่งทั้งสิ้น พวกเราสามารถเห็นได้ว่าสไตล์ผลงานของนักวาดท่านนี้มีความโดดเด่นอย่างมาก…”
ณ ภูเขาชังหรง วันนี้เป็นวันมารับการรักษาตามปกติของกู้ชิงไหวอีกครั้ง เมิ่งสืออวี่เตรียมกาแฟไม่ใส่น้ำตาลเอาไว้ให้เขาแต่เนิ่นๆ ทว่ารอจนกระทั่งตอนเที่ยงตรงแล้วกู้ชิงไหวก็ยังไม่ปรากฏตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาผิดนัดนับตั้งแต่ตรวจรักษามา
เมิ่งสืออวี่โทรศัพท์ไปหา “คุณกู้ วันนี้คุณไม่มารักษา ยุ่งมากเหรอคะ”
ปลายสายหัวเราะเบาๆ “ถ้าเกิดว่าผมจำไม่ผิด ช่วงเวลาการรักษาครึ่งปีจบลงตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วนะครับ”
เมิ่งสืออวี่ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตอนแรกที่เธอรับเคสกู้ชิงไหวมา พวกเขาได้เซ็นสัญญาเอาไว้ที่ครึ่งปี นี่เป็นความเคยชินของกู้ชิงไหว เขาจะเข้ารับการรักษาแค่ครึ่งปีกับจิตแพทย์ทุกคน หากภายในครึ่งปีถ้าไม่ได้ผลอะไรชายหนุ่มก็จะยุติการรักษา
นิ้วที่กำมือถือของเมิ่งสืออวี่ค่อยๆ บีบแน่นมากขึ้น สีหน้าตึงเครียดแต่เธอก็ยังคงพยายามรักษาความใจเย็นไว้ “ฉันกลับลืมเรื่องนี้ไปซะแล้ว แต่ว่าคุณกู้คะ เทียบกับการเปลี่ยนจิตแพทย์บ่อยๆ การร่วมมือกับแพทย์คนเดียวจะดีต่ออาการของคุณมากกว่านะคะ”
กู้ชิงไหวตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่จำเป็นครับ”
จนเสียงสัญญาณในโทรศัพท์ตัดไปแล้ว เมิ่งสืออวี่ก็ยังคงยืนตัวตรงอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน นอกจากเสียงแผ่วเบาของลมจากเครื่องปรับอากาศ ภายในห้องก็เงียบกริบจนน่ากลัว หลังจากนั้นสักพักใหญ่ก็มีเสียงดังโครม เมิ่งสืออวี่ปามือถือลงกับพื้นอย่างรุนแรง
อีกด้านหนึ่ง กู้ชิงไหวที่วางสายไปแล้วกลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ภายนอกห้องคือท้องฟ้าใสกระจ่างและแสงแดดเจิดจ้า ผ้าม่านผืนหนากลับตัดขาดแสงสว่างทั้งหมดเอาไว้ที่ด้านนอก มีเพียงแค่โคมไฟติดผนังดวงเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงสีเหลืองสลัวๆ ออกมา กู้ชิงไหวยืนอยู่ตรงหน้าตู้นิรภัยแบบฝังกำแพง ประตูตู้เปิดออกครึ่งหนึ่ง เขาถือเอกสารฉบับหนึ่งไว้ในมือและกำลังอ่านมัน
แสงสว่างส่องลงบนกระดาษเอสี่ ทำให้พอจะมองเห็นรายชื่อพวกนั้นได้อย่างเลือนราง
‘ซูจิ้ง หญิง อายุ 26 ปี ยังไม่แต่งงาน ลูกชายหนึ่งคน อายุครบสองเดือน’
‘หยางหลิน หญิง อายุ 30 ปี แต่งงานแล้ว ลูกชายหนึ่งคน อายุห้าขวบ’
‘กวนชิงเหยียน หญิง อายุ 68 ปี แม่หม้ายอาศัยอยู่ตามลำพัง’
…
เขาปิดเอกสารในมือลง
ตอนที่เก็บเอกสารใส่กลับไปในตู้นิรภัย กระดาษที่อยู่ด้านล่างก็ถูกดันจนโผล่ออกมามุมหนึ่ง นิ้วมือของเขาแข็งค้างไป ผ่านไปสักพักกู้ชิงไหวถึงได้ดึงรูปภาพที่เขาวางไว้ล่างสุดซึ่งมุมโผล่มาครึ่งหนึ่งออกมา
ภาพที่เห็นคือดินเหลือง ล้อรถ ค่อยๆ เปิดเผยในรูปภาพที่ถูกดึงออกมามากขึ้น แถวรองเท้าและขากางเกงที่เปรอะไปด้วยดินเหลืองก็เข้ามาในสายตาของเขา เมื่อมองไล่ขึ้นไปด้านบนก็เป็นสองขาที่ยืนกันอย่างเอียงกะเท่เร่ไปมา จากท่ายืนแทบจะมองออกถึงความสนุกสนานในตอนที่ถ่ายรูปของพวกเขา
ดึงไปได้ครึ่งทาง กู้ชิงไหวก็ยัดรูปภาพกลับไปอย่างแรง พร้อมปิดตู้นิรภัยเสียงดังโครม
นับตั้งแต่โรงแรมเหลียนถังเปิดกิจการใหม่อีกครั้งก็มีนักข่าวเปิดเผยว่าซ่งเซียวหานเป็นคนเลือกภาพของหลินเซินด้วยตนเองทั้งหมด โลกภายนอกก็พลันให้ความสนใจกับรูปภาพที่ประดับเรียงรายอยู่เต็มผนังโรงแรมเหลียนถังหลายสิบชั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมิ่งสืออวี่เคยบอกไว้…หากโลกภายนอกได้รู้ว่ารูปภาพของหลินเซินได้รับคำชมจากซ่งเซียวหานแล้วล่ะก็ ไม่รู้เลยว่าค่าตัวของเธอจะสูงขึ้นไปอีกสักกี่เท่า
จินจงโทรมาบอกเธอว่ามีสื่อจำนวนไม่น้อยอยากจะสัมภาษณ์นักวาดหน้าใหม่ที่ประธานซ่งชื่นชมท่านนี้ และถึงขั้นมีแกลลอรี่ศิลปะสองแห่งมาขอยืมรูปภาพจำนวนหนึ่งจากโรงแรมเพื่อไปจัดนิทรรศการ
หลินเซินรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที “ฉันไม่อยากยุ่งกับสื่อค่ะ”
จินจงเอ่ยปลอบ “ประธานซ่งทราบว่าคุณไม่ชอบก็เลยช่วยปฏิเสธเรื่องสัมภาษณ์ให้คุณไปแล้วครับ”
คนที่เปลือกนอกดูเย็นชาคนนั้น แต่ทุกๆ การกระทำของเขากลับชวนให้รู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ
ด้วยอิทธิพลของซ่งเซียวหาน หลังจากนั้นไม่นานหลินเซินก็ได้รับเทียบเชิญในฐานะคนดังให้ไปเข้าร่วมงานสถาปนาครบรอบหนึ่งร้อยปีของมหาวิทยาลัยไหวอัน มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อสร้างมาแล้วหนึ่งร้อยปี เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมืองไหวอัน คนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงของไหวอันจำนวนไม่น้อยล้วนจบมาจากที่นี่ ทำให้หลินเซินนึกไม่ถึงเลยว่าตนเองจะมาติดอันดับคนมีชื่อเสียงด้วยเหมือนกัน หลินเซินรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออกอยู่บ้าง เธอไม่ได้มีความประทับใจอะไรต่อช่วงเวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยมากเท่าไหร่นัก เธอไม่พักหอพักและมักจะไปไหนมาไหนคนเดียว ถ้าไม่ได้เข้ารับการบำบัดจิตจากเมิ่งสืออวี่ เธอจะเรียนจบไหมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ หลังจบมาหลินเซินก็ไม่เคยติดต่อกับเพื่อนสมัยเรียนอีก
เทียบเชิญไปงานวันสถาปนามหาวิทยาลัยครั้งนี้ ตามหลักแล้วเธอก็ควรจะไปปรากฏตัว แต่ในสถานการณ์ที่มีคนมารวมตัวกันหนาแน่นแบบนั้นสำหรับหลินเซินแล้วนี่ไม่ใช่แค่ความท้าทายเล็กๆ หลังจิตรกรสาวลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก็ตัดสินใจเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อไปค้นหาขนาดของงานสถาปนามหาวิทยาลัยดู
เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ ไอคอนของโปรแกรมคู่รักหนึ่งสัปดาห์ก็ปรากฏอยู่บนหน้าจออย่างเงียบเชียบ นับตั้งแต่ภารกิจจบลงมันก็ไม่เคยเปิดใช้งานขึ้นมาเองอีกเลย หลินเซินจ้องมองไอคอนสีชมพูอันนั้นอยู่สักพัก ตอนที่ได้สติขึ้นมาอีกครั้งเธอก็กดเปิดโปรแกรมไปแล้ว
เสียงติ๊งดังขึ้น ทำเอาหลินเซินสะดุ้งไปเล็กน้อย
‘ยินดีต้อนรับกลับสู่คู่รักหนึ่งสัปดาห์อีกครั้ง คุณมีข้อความใหม่หนึ่งข้อความสามารถตรวจสอบได้’
ข้อความ? หลินเซินเปิดกล่องจดหมายเล็กๆ ที่กำลังกะพริบๆ อย่างลังเล เธอมองเห็นตัวอักษรบนหน้าจอเขียนเอาไว้ว่า
‘ถึงแม้คุณอาจจะไม่ได้เห็นข้อความนี้ แต่ถ้าเกิดคุณต้องการ ผมจะอยู่ตรงนี้เสมอ’
หลังข้อความนั้นก็ตามท้ายมาด้วยเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง
ช่วงเวลาที่ทิ้งข้อความไว้คือวันที่ภารกิจจากโปรแกรมคู่รักหนึ่งสัปดาห์จบลง
ถ้าเกิดเธอไม่ได้เป็นฝ่ายเข้ามาในระบบก่อนก็จะไม่มีวันได้รับข้อความนี้ ไม่มีวันได้รู้ว่าในสถานที่ที่เธอไม่ได้รับรู้อะไรเลยนั้น ยังมีความอบอุ่นของเขาเหลือทิ้งเอาไว้อยู่
ประหลาดมากจริงๆ คนที่กระทั่งหน้ายังไม่เคยพบ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้
หลินเซินเงียบอยู่นาน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความ เธอพิมพ์ๆ ลบๆ เนื้อหาอยู่หลายครั้ง และสุดท้ายเขียนไปแค่สามพยางค์
‘ขอโทษค่ะ!’
หลังจากนั้นสักพักโทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมา เธอได้รับข้อความตอบกลับจากเขามาว่า
‘กวางน้อย?’
เขาจำเธอได้ หลินเซินรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกจึงพิมพ์ข้อความไปช้าๆ
‘ค่ะ ฉันเพิ่งได้เห็นข้อความที่คุณทิ้งเอาไว้ให้’
เขาน่าจะยิ้มอยู่ใช่ไหม เธอสัมผัสได้ถึงความยินดีที่แทรกอยู่ระหว่างตัวอักษร
‘ผมดีใจมากที่คุณเต็มใจติดต่อผม นี่บ่งบอกว่าในใจของคุณ ผมไม่ใช่คนเลว’
หลินเซินหลุดขำ แล้วพิมพ์ตอบกลับไป
‘จะใช่ได้ยังไงคะ’
‘การปฏิเสธพบหน้าเป็นเพราะพยายามระมัดระวังตัว เหตุผลนี้ผมยังสามารถยอมรับได้นะ’
หลินเซินชะงักไป นิ้วมือที่กำลังกดพิมพ์อยู่แข็งเกร็งไปเล็กน้อย
‘ฉันแค่ไม่ค่อยถนัด…’
หลินเซินหยุดเพื่อครุ่นคิดต่ออีกเล็กน้อย ก่อนพิมพ์ต่อแล้วส่งไป
‘สื่อสารกับคนอื่น’
เขาไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม นี่เป็นมารยาทของคนที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการถามเธอว่า
‘คุณส่งข้อความหาผม มีเรื่องอะไรอยากให้ผมช่วยไหมครับ’
หลินเซินลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะบอกเรื่องที่มหาวิทยาลัยเชิญเธอไปเข้าร่วมงานสถาปนามหาวิทยาลัยให้เขาฟัง จิตรกรสาวไม่ได้พูดถึงอาการกลัวสังคมของตนเอง แต่แค่บอกเขาว่าตนไม่ถนัดรับมือกับสถานการณ์แบบนี้
เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
‘คุณอยากไปไหมครับ’
หลินเซินตอบกลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
‘ไม่อยากค่ะ’
ชายหนุ่มเห็นจึงชะงักไป
‘กวางน้อย ถ้าเกิดคุณไม่อยากไปจริงๆ คุณจะไม่ลังเลถึงขั้นมาขอความเห็นจากผมแบบนี้นะ’
เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ นี่ฉันกำลังรู้สึกเฝ้ารอบรรยากาศคึกคัก การได้แบกรับเกียรติยศของมหาวิทยาลัย และได้พบหน้ากับเพื่อนร่วมเรียนอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ
‘ลองสลัดปัจจัยภายนอกที่รบกวนคุณพวกนั้นทิ้งไปให้หมด แล้วทำตามความคิดที่แท้จริงที่สุดในใจของคุณดู มีหลายๆ ครั้งที่คุณจะพบว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้แก้ไขได้ยากแบบนั้น’
ผ่านไปนานหลินเซินถึงได้ตอบกลับไปช้าๆ
‘เข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะ!’
ส่วนคำตอบของเขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
‘ยินดีที่ได้รับใช้ครับ’
หน้าจอโทรศัพท์มือถือค่อยๆ มืดดับลงไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ ภายในห้องประชุมเงียบสนิท พนักงานอายุน้อยที่ยืนรายงานอยู่ตรงหน้าจอโปรเจ็กเตอร์มีท่าทีทำอะไรไม่ถูกขณะมองดูประธานกู้ที่จู่ๆ ก็ก้มหน้าเล่นมือถือขึ้นมากะทันหัน
เขาถือโทรศัพท์มือถือแล้วหมุนตัวไปรอบหนึ่ง มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มแปลกๆ “งานสถาปนามหาวิทยาลัยไหวอัน” เมื่อพูดจบถึงได้เงยหน้าขึ้นมองพนักงานที่อยู่รอบๆ ซึ่งกำลังมองมายังตนเอง รอยยิ้มมุมปากยิ่งขยับกว้างขึ้นกว่าเดิม “เมื่อครู่อธิบายถึงตรงไหนแล้ว ต่อได้เลย”
พนักงานอายุน้อยประหนึ่งได้รับการอภัยโทษ รีบชี้ไปที่พาวเวอร์พอยตแล้วรายงานต่อ “ท่านประธานกู้ เมื่อครู่ผมอธิบายถึงส่วนแบ่งการตลาดที่สินค้าชุดนี้ครอบครอง…”
เมื่อมาถึงวันสถาปนามหาวิทยาลัย ทันทีที่หลินเซินตื่นขึ้นมาก็พบว่าอาการหวัดที่เกิดจากการตากแอร์เมื่อสองวันก่อนของตนเองเป็นหนักขึ้น เธอรู้สึกเจ็บคออย่างมาก หลังจากต้มน้ำขิงดื่มกับกินมื้อเช้าเล็กน้อยเรียบร้อยจิตรกรสาวก็รีบออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย ไปถึงก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว
บริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยมีแผ่นป้ายแขวนอยู่จำนวนมาก บนถนนของมหาวิทยาลัยก็เต็มไปด้วยศีรษะของผู้คนขยับเคลื่อนไหวไปมา บรรยากาศคึกคักเสียยิ่งกว่าช่วงรายงานตัวนักศึกษาใหม่ประจำปี เมื่อกลับมาเหยียบบนถนนหลักเห็นต้นแปะก๊วยที่ในอดีตเธอเคยเดินผ่านไปมานับครั้งไม่ถ้วนอีกครั้ง หลินเซินก็กลับรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยขึ้นมาหลายส่วน
ตอนที่เธอเพิ่งเข้าเรียน อาการของหลินเซินร้ายแรงกว่าทุกวันนี้มาก ช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าเธอต้องนับเวลาที่ผ่านไปทุกๆ วินาที ทุกวันคืนคอยแต่คาดหวังให้สามารถเรียนจบจากที่นี่ได้ในเร็ววัน เพื่อที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามลำพังอันเงียบสงบตามเดิม แต่ตอนนี้พอเรียนจบมาจริงๆ แล้ว บางทีเมื่อย้อนนึกไปถึงสมัยเรียนกลับยังมีความเสียดายที่เธอไม่เคยได้เข้าร่วมชมรม ไม่เคยสัมผัสการนอนหอพัก พอขาดสิ่งพวกนี้ไปก็ให้ความรู้สึกเหมือนยังไม่จบจากมหาวิทยาลัยอย่างสมบูรณ์
ตึกของคณะศิลปกรรมศาสตร์ผ่านการซ่อมบำรุงมาแล้วหลังเธอเรียนจบ บริเวณรอบนอกตกแต่งด้วยอิฐสีแดง ตรงทางเข้าที่เคยคับแคบก็เปลี่ยนเป็นประตูกระจกบานใหญ่สี่บาน ทำให้แสงแดดสาดส่องเข้าไปยังห้องโถงอันกว้างขวางที่ไว้สำหรับจัดวางผลงาน
หลินเซินมองเห็นผลงานของตัวเองทันทีที่เดินเข้าไป มันถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุด บนแผ่นป้ายแนะนำผลงานตรงด้านข้างแปะรูปตอนเรียนจบของเธอเอาไว้และมีตัวอักษรเล็กๆ ด้านล่างอยู่ไม่กี่แถวเขียนแนะนำข้อมูลส่วนบุคคล
ด้านหน้าผลงานมีคนคนหนึ่งกำลังยืนดูอยู่ เขาสวมชุดลำลองสบายๆ ทำให้แผ่นหลังดูสูงโปร่ง ในตอนที่หลินเซินเดินผ่านเขา ชายหนุ่มก็กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปวาดของเธอ
เขาชอบภาพวาดของเธองั้นเหรอ
ด้วยความประหลาดใจเธอจึงหันหน้าไปมองคนคนนั้น และเมื่อได้สบตาเข้ากับสายตายิ้มๆ คู่นั้นหลินเซินก็อึ้งไปทันควัน เป็นเขาอีกแล้ว…กู้ชิงไหว
กู้ชิงไหวเองก็หันหน้ามามองเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “ที่แท้คุณก็ชื่อหลินเซิน” สายตาวกกลับไปที่รูปภาพพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ภาพของคุณมีเอกลักษณ์มาก”
หลินเซินหลบสายตาและตีสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนกลับตัวเดินจากไปทันที ที่ด้านหลังมีเสียงถอนหายใจด้วยความจนใจของชายหนุ่มดังมา “ผู้หญิงสมัยนี้ เจ้าอารมณ์กันจริงๆ”
หลินเซินทำเหมือนไม่ได้ยิน ในตอนที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินไปถึงบันไดตึกก็ได้เจอเข้ากับอาจารย์สวีซึ่งเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอพอดี
“โอ๊ะ! หลินเซิน ไม่ได้เจอกันหลายปี สวยขึ้นเรื่อยๆ เลยนะเรา”
อาจารย์ทักทายด้วยท่าทีกระตือรือร้นอยากจะจับมือของเธอ หลินเซินเบี่ยงตัวหลบ ซ่อนมือไปด้านหลังพลางพยักหน้ายิ้มๆ ให้กับอาจารย์ “อาจารย์สวี ไม่ได้พบกันนานนะคะ”
อาจารย์สวีเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ยังใช้รอยยิ้มปิดบังความรู้สึกเอาไว้ “อาจารย์ยังกังวลว่าเธอจะไม่มา แต่มาก็ดีแล้ว ตามอาจารย์ขึ้นไปเถอะ”
หลินเซินพยักหน้า ในตอนที่ก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรกไป จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้หันกลับไปมองข้างหลัง ด้านหน้ากรอบรูปที่เธอเดินจากมานั้นมีนักศึกษาอายุน้อยสองสามคนยืนอยู่ ส่วนกู้ชิงไหวไม่รู้ว่าเขาเดินหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว
เมืองไหวอันเป็นเมืองอุตสาหกรรม โดดเด่นอย่างมากในด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมโลหะ เพราะเป็นเช่นนี้เองจึงทำให้เมืองไหวอันขาดบรรยากาศทางศิลป์ไป กระทั่งมหาวิทยาลัยไหวอันก็ยังเอนเอียงไปทางสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์มากกว่า นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์น้อยยิ่งกว่าน้อยลงไปทุกๆ ปี เรื่องนี้ส่งผลให้เด็กที่จบจากคณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยไหวอันที่เป็นจิตรกรส่วนใหญ่จะไปเติบโตก้าวหน้ากันที่เมืองอื่นหมด ทำให้หลินเซินกลายมาเป็นนักวาดซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยไหวอันที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทีแรกเธอคิดว่าจะแค่มาโผล่หน้าเพื่อพูดคุยทักทายกับอาจารย์เก่าๆ ก็พอ นึกไม่ถึงเลยว่าคณะกลับจะจัดงานบรรยายให้เธอเป็นพิเศษอีกด้วย
ปกติแล้วมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของคณะศิลปกรรมศาสตร์สักเท่าไหร่อยู่แล้ว นักศึกษาจำนวนมากที่สมัยเรียนดูมีอนาคตไกล หลังเรียนจบส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนสายงานกันไปหมด กลุ่มที่พอจะมีชื่อเสียงถ้าไม่ได้ไปปักหลักอยู่ที่ปักกิ่งก็ไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว คณบดีรอคอยอย่างร้อนใจให้มีนักศึกษาของคณะสักคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ในเมืองไหวอันจนมาเจอเข้ากับหลินเซิน คณบดีแทบจะจับเธอมาเทิดทูน
ในระยะนี้สถานการณ์การรับสมัครนักศึกษาใหม่ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่ว่ายังไงก็จำเป็นต้องอาศัยความสำเร็จของหลินเซินมาทำให้นักศึกษาพวกนี้คึกคักขึ้นมา หลินเซินเป็นถึงนักวาดหน้าใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากซ่งเซียวหานซึ่งล้วนมีคนต้องการให้ได้รับการยอมรับเช่นนี้จากเขา แต่ก็ไม่อาจได้มาโดยง่าย
ภายในหอประชุมมีคนหลายร้อยคนนั่งอยู่แออัด หลินเซินแค่มองผ่านหน้าต่างออกไป ฝ่ามือก็มีเหงื่อซึมขึ้นมาแล้ว เธอเอ่ยขอร้องเสียงเบา “อาจารย์สวี ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะคะ…”
อาจารย์สวีควักสคริปต์บรรยายแผ่นหนึ่งยัดใส่มือของลูกศิษย์ “สบายใจได้ อาจารย์เตรียมไว้ให้เธอหมดแล้ว สถานการณ์ของเธอเป็นยังไงอาจารย์เองก็พอรู้ จิตแพทย์แซ่เมิ่งคนนั้นเคยบอกอาจารย์ไว้ ดังนั้นอาจารย์ไม่มีทางทำให้เธอลำบากใจหรอก”
หลินเซินถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและกระตือรือร้นคู่นั้นจับจ้อง สุดท้ายแล้วเธอก็ปฏิเสธออกมาไม่ได้จริงๆ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ใช่ว่าเธอเองถนัดที่จะปฏิเสธคนด้วย
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลินเซินก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก “ก็ได้ค่ะ”
เท้าข้างหนึ่งของเธอเพิ่งจะเหยียบเข้าไปในหอประชุม ที่ข้างหูก็ได้ยินเสียงโห่ร้องต้อนรับและเสียงปรบมือดังขึ้น หลินเซินหูอื้อตาลายไปทันที เธอสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามบังคับให้ตนเองใจเย็นลงก่อนเดินขึ้นไปบนเวทีช้าๆ เมื่อช้อนสายตาขึ้นไปก็เห็นผู้คนเป็นเพียงก้อนสีดำขมุกขมัว เธอมองหน้าใครไม่ชัดทั้งนั้น
มือที่ถือสคริปต์บรรยายอยู่สั่นระริกอย่างรุนแรง หลินเซินแนบมือลงกดไว้กับโต๊ะ เธอหลับตาลงช้าๆ ตัวอักษรบนสคริปต์เหมือนแมลงสีดำตัวเล็กๆ ที่บินวนอยู่ในความคิด รอจนเสียงปรบมือเงียบลง แต่ละตัวอักษรถึงได้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
“สวัสดีคณะอาจารย์ทุกท่าน เพื่อนๆ ทุกคน ฉันชื่อหลินเซินค่ะ เรียนจบจากคณะศิลปกรรมศาสตร์เมื่อปี 2013…”
เสียงแหบพร่านุ่มทุ้มราวกับแฝงไว้ด้วยเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศรอบๆ นิ่งเงียบลง ทุกๆ คนต่างฟังอย่างตั้งใจ นักศึกษาที่นั่งเล่นมือถืออยู่แถวหลังเองก็วางมือถือลงแล้วเงยหน้ามองไปยังหญิงสาวที่ยืนพูดอยู่บนเวทีโดยไม่รู้ตัว
เธอยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกแสงอันอบอุ่นกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้
อาจารย์สวีไม่ได้หลอกเธอ สคริปต์สำหรับบรรยายนั้นสั้นมาก ใช้เวลาเพียงแค่สองสามนาทีก็อ่านจบ แต่สำหรับเธอแล้วกลับเหมือนผ่านไปนานเป็นชาติ หลินเซินแบฝ่ามือออกดู เหงื่อเย็นๆ แทบจะทำให้กระดาษสคริปต์เปียกชุ่ม ทีแรกอาการหวัดทำให้เธอรู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง แต่พอเหงื่อออกเยอะแบบนี้กลับทำให้สติแจ่มใสขึ้นมาแล้ว
“ขอบคุณหลินเซิน แล้วก็ขอบคุณนักศึกษาของพวกเราที่มาเข้าร่วมงานบรรยายของคณะศิลปกรรมศาสตร์ด้วย…” พิธีกรเดินขึ้นเวทีมารับไมค์ไป ตอนนี้เองหลินเซินรู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ จิตรกรสาวเดินลงจากแท่นบรรยายไปนั่งอยู่ตรงที่นั่งของเธอซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว
ต่อจากนั้นพิธีกรพูดว่าอะไรบ้างหลินเซินก็ฟังไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียว เธอย้อนนึกถึงช่วงสองสามนาทีที่อยู่บนเวทีนั้นซ้ำๆ ในช่วงตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้เธอต้องเข้ารับการบำบัดจิตรวมถึงกินยาไม่เคยหยุด ทว่าก็ไม่อาจจะใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้เสียที และเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เธอก็เพิ่งเจรจาธุรกิจสำเร็จด้วยตัวเอง ได้เซ็นสัญญากับโรงแรมเหลียนถัง ทั้งยังสามารถพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นได้แล้ว แต่สถานการณ์เช่นในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกระจกวิเศษที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาให้เห็นได้ในทันที
บางทีตลอดชีวิตนี้หลินเซินคงไม่อาจกลายไปเป็นคนธรรมดาได้ เธออาจถูกกำหนดมาให้ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดตามลำพังไปกับเสียงที่ ‘พิเศษไม่เหมือนใคร’ นี้
“…คุณหลิน คุณหลินเซิน…”
หลินเซินเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง พบสายตาจากรอบทิศที่ไม่รู้ว่ามองเธออยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พิธีกรกำลังมองหน้าเธอด้วยสีหน้าคาดหวัง สติของหลินเซินค่อยๆ กลับมาทีละนิด ข้างหูมีเสียงอึกทึกของผู้คนดังขึ้นอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้ยินพิธีกรถามว่า “สไตล์การวาดภาพอย่างเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นแบบนี้ของคุณเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ทำไมถึงได้เลือกวิธีการสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้คะ”
อาจารย์สวีส่งไมค์มาให้เธอ
ไมค์หนักอึ้ง เนื้อโลหะให้ความรู้สึกเย็นเยียบเมื่อกำอยู่ในมือ ริมฝีปากของหลินเซินเหมือนถูกติดกาวเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็เปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ผู้คนรอคำตอบกันจนเริ่มหมดความอดทน อาจารย์สวีดึงไมค์กลับมาแล้วพูดขึ้นอย่างไร้ทางเลือก “ฉันคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชีวิตของนักศึกษาหลินเซินนะ”
สองมือของหลินเซินที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันแน่น เธอไม่รู้แม้กระทั่งจะเอาสายตาอึดอัดใจไปวางไว้ที่ไหน และในตอนที่กวาดตามองไปทางประตูหลังของหอประชุม เธอก็เห็นกู้ชิงไหวกำลังเดินย่องเข้ามา สายตาของทั้งคู่มองสบกัน เขาเลิกคิ้วแล้วส่งยิ้มให้เธอ
พิธีกรรับไมค์ของอาจารย์สวีมา “พ่อแม่ของคุณหลินเซินจากไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเด็กๆ ส่งผลให้มีอาการกลัวสังคมมานับตั้งแต่นั้น แต่เธอไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับอาการป่วยนั้น กลับกันยังสามารถเดินออกมาจากเงามืด จนมาประสบความสำเร็จได้อย่างในทุกวันนี้…”
หลินเซินตวัดสายตาขึ้นทันควัน เธอมองไปยังพิธีกรที่กำลังพูดจาฉะฉานอยู่บนแท่นบรรยายอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หล่อนทำแบบนี้ได้ยังไง! มาฉีกบาดแผลของเธอออกง่ายๆ ในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง!!
พิธีกรคล้ายจะสัมผัสไม่ได้ถึงความโมโหของหลินเซิน ยังคงส่งสายตามองมาที่จิตรกรสาวอย่างห่วงใย “คณะศิลปกรรมศาสตร์สำหรับนักศึกษาหลินเซินแล้วจะต้องไม่ได้เป็นแค่คณะเรียนคณะหนึ่งอย่างแน่นอนใช่ไหมคะ”
เธอกัดริมฝีปากแน่น ในวินาทีนี้หลินเซินนึกเกลียดความอ่อนแอของตัวเองขึ้นมากะทันหัน
บนโต๊ะสีขาวครีมมีเงาดำทาบทับลงมากะทันหัน เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู “ถ้าไม่อยากอยู่ต่อก็ไปกันเถอะ”
เธอหันไปมองจึงเห็นมือคู่หนึ่งยื่นมาอยู่ตรงหน้า
นิ้วมือเรียวยาว ตัดเล็บสะอาดสะอ้าน บนปลายนิ้วออกสีเหลืองน้อยๆ เพราะควันบุหรี่
เสียงบาดหูของพิธีกรหยุดลง บรรยากาศในหอประชุมเองก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ทุกคนต่างมองไปที่ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ซึ่งเดินมาด้านหน้าเวทีกะทันหันอย่างงุนงง
หลินเซินมองไปที่เขา ดวงตาคู่นั้นยังคงเป็นเหมือนในอดีต ลึกราวกับมหาสมุทร เมื่อขาดรอยยิ้มสบายๆ นั้นไปก็เพิ่มความเย็นเยือกเข้ามา
เธอจับมือคู่นั้น
กู้ชิงไหวจูงมือเธอเดินออกไปจากหอประชุมโดยที่สายตาไม่ว่อกแว่กไปไหน ในตอนที่เดินมาถึงประตูฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก แววตาเรียบเฉยมองไปที่พิธีกร “ไม่ฉีกบาดแผลของใครต่อหน้าคนอื่น เป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่สุดของคนเป็นอาจารย์นะครับ”
หลังออกจากหอประชุมแล้วทั้งคู่ก็เดินเลี้ยวไปทางขวา ที่หน้าประตูตึกมีตู้ขายน้ำอัตโนมัติอยู่เครื่องหนึ่ง กู้ชิงไหวปล่อยมือหลินเซินออก แล้วกดซื้อน้ำแร่ขวดหนึ่งมาให้เธอ
หลินเซินก้มหน้าลงขณะบิดเปิดฝาขวด ปากก็เอ่ยขอบคุณเสียงแหบแห้ง หลังหนีออกมาจากสถานที่ที่ชวนให้หายใจไม่ออกนั้นได้ เธอถึงรู้สึกว่าทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ข้อมือกำลังสั่นอย่างรุนแรงแม้กระทั่งฝาขวดก็ยังเปิดไม่ออก
กู้ชิงไหวรับขวดน้ำแร่มาเปิดให้แล้ววางใส่มือเธอ “ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองนะ”
หลินเซินเอ่ยอธิบายเสียงเบา “ฉันเปล่าฝืนค่ะ”
กู้ชิงไหวกอดอกมองประเมินเธอสักพัก ก่อนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “คุณหลิน อย่าให้ความใจดีของตัวเองกลายมาเป็นอาวุธที่คนอื่นใช้ทำร้ายคุณ คุณต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่านี้หน่อยนะครับ”
ดวงตาของเธอราวกับทะเลสาบจันทร์เสี้ยวที่เต็มไปด้วยแสงดาว แต่เขากลับไม่เคยเห็นประกายความสุขในดวงตางดงามคู่นั้นมาก่อน
“โอ๊ะ! หลินเซิน เธอมาอยู่ที่นี่เองเหรอ เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยจริงๆ! อาจารย์เฉินเธอไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
อาจารย์สวีไล่ตามออกมา หลินเซินหลุดจากอาการเหม่อลอย หันหน้าไปหาอาจารย์ของตนแล้วส่งยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไรค่ะ”
กู้ชิงไหวมองอาจารย์สวีที่ยังคิดจะพูดปลอบต่อหนหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปดึงตัวหลินเซินมาด้านหลัง “ป่วยแล้วก็รีบกลับบ้านไปพักเถอะ เจ็บคอจนจะพูดไม่ออกอยู่แล้วยังจะมาเข้าร่วมงานบรรยายอะไรกัน!”
อาจารย์สวีมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ใช่แล้วๆ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ครั้งหน้าค่อยเจอกันใหม่นะ”
แขนของหลินเซินเกร็งไปเล็กน้อย ทว่าเธอก็ไม่ได้สะบัดเขาออก หลังบอกลากับอาจารย์สวีแล้วก็เดินตามชายหนุ่มลงจากตึกไป เมื่อออกมาจากห้องโถงจัดแสดงแล้วกู้ชิงไหวก็หันกลับมาถามเธอ “ให้ผมพาไปโรงพยาบาลไหมครับ”
หลินเซินส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ”
“งั้นให้ผมส่งคุณกลับบ้าน?”
“ฉันเรียกรถกลับเองได้ค่ะ”
กู้ชิงไหวคล้ายจะไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบของเธอ เขามองหลินเซินด้วยสายตาแฝงความนัยลึกซึ้ง “คุณหลิน พวกเรานับว่า…เจอกันเป็นหนที่สี่แล้วจริงไหม ครั้งหน้าถ้าเจอกันอีก คุณจะเก็บความไม่เป็นมิตรแปลกๆ ที่คุณมีให้ผมไปได้ไหมครับ”
“แปลกตรงไหนกัน” เธอโพล่งออกไปแต่คอดันเจ็บขึ้นมาพอดี คำพูดที่เหลือจึงค้างอยู่ที่ลำคอ หลินเซินปิดปากไออยู่นาน พอมองกู้ชิงไหวที่ยืนด้วยท่าทีสบายๆ ข้างๆ เธออีกทีก็หมดอารมณ์จะตำหนิเขาไปแล้ว
เรื่องผู้หญิงมากมายของกู้ชิงไหวนั้นก็เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่นมาแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อครู่เขายังช่วยเธอเอาไว้อีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงทั้งหมดนั่นก็เป็นแค่ปัญหาด้านพฤติกรรมของเขา ประเทศชาติยังยุ่งไม่ได้ เธอจะมีสิทธิ์อะไรไปยุ่ง
เธอรับทิชชูที่เขาส่งให้มาเช็ดปาก ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปด้วยความกระอักกระอ่วน “คุณเป็นนักศึกษาของไหวต้าเหมือนกันเหรอคะ”
“เปล่าครับ”
“งั้นคุณมา…”
“มาตามหาคนครับ” เขายิ้มพลางยักไหล่ “แต่น่าเสียดายที่คนเยอะเกินไปเลยหาไม่เจอ”
หลินเซินไม่มีเจตนาจะซักถามเรื่องส่วนตัวของเขาจึงแค่ยิ้มรับผ่านไป ก่อนก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วเอ่ยเสียงแหบว่า “งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ วันนี้ขอบคุณคุณมาก ลาก่อนค่ะ!”
บางทีอาจเป็นเพราะความเครียดที่ทำให้เหงื่อออกมากเกินไป ถึงอาการหวัดจะลดลงแล้ว แต่เธอกลับหมดแรงไปทั้งตัว หลินเซินกินยาเสร็จก็ล้มตัวลงบนเตียงสะลึมสะลือหลับไป ก่อนจะถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น
ฟ้ามืดแล้ว แสงจากไฟถนนนอกหน้าต่างส่องผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามา สีอ่อนจางยิ่งกว่าแสงจันทร์
บนหน้าจอเป็นเบอร์โทรที่เธอไม่รู้จักเบอร์หนึ่ง เมื่อเห็นแหล่งที่มาเป็นสายจาก ‘เจ๋อสุ่ย’ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเธอก็ดูเหมือนสูญเสียความสมจริงไปอย่างกะทันหัน ราวกับว่าหลินเซินได้ย้อนกลับไปในงานศพช่วงฤดูร้อนเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นอีกครั้ง เสียงกรีดร้องด่าทอเหมือนเข็มนับพันนับหมื่นกำลังแทงทะลุผ่านเยื่อแก้วหูดังอื้ออึง
หลินเซินสะบัดผ้าห่มออกแล้วกุมศีรษะ จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าหยุดลง เสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในหูถึงได้หายวับไป ภายในห้องเงียบจนน่ากลัว เหลือแค่เสียงหอบหายใจอันหนักอึ้งของเธอ
แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ค่อยๆ อ่อนลงไป แต่เพียงอึดใจเดียวโทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ชั่วพริบตาที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเธอก็โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งอย่างลนลาน ไม่รู้ว่าเลยเสียงนั้นดังอยู่นานแค่ไหน แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็ไม่ได้โทรมาอีก โทรศัพท์มือถือสั่น หลินเซินได้รับข้อความหนึ่งเข้ามาแทน ผ่านไปครู่ใหญ่เธอถึงได้ลงจากเตียงเท้าเปล่าเดินไปเก็บมือถือที่ถูกโยนทิ้งบนพื้นขึ้นมา
‘หลินเซิน นี่ลุงใหญ่ของหลานเอง มีเรื่องด่วนจะคุยด้วย ว่างแล้วโทรกลับมานะ’
เธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์แล้วใจลอยออกไป ในวันที่อากาศร้อนแบบนี้หลินเซินกลับนั่งยองๆ ขดตัวอยู่ที่มุมเตียง มีอาการคล้ายกับกำลังหนาวจนตัวสั่น มือเท้าล้วนหดเกร็ง ผ่านไปนานเธอถึงเปิดบันทึกการโทร ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนกดเลือกเบอร์โทรของแมลงเม่า
ในเวลานี้เธออยากจะหาใครสักคนมาคุยด้วย และคนแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองกลับเป็นเขา
แต่ถ้าจู่ๆ โทรไปแบบนี้จะเป็นการรบกวนเขาหรือไม่ เพราะเธอปฏิเสธคำเชิญพบหน้าเขาไปแล้วชัดๆ แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนอีก แบบนี้จะไม่ค่อยจะดีหรือเปล่า
ลมกลางคืนพัดผ้าม่านให้โบกไหว ลมชื้นแฝงไอร้อนพัดเข้ามาข้างในห้อง เธอจับโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยสองมือ ปลายนิ้วสั่นระริกเล็กน้อย สุดท้ายก็รวบรวมความกล้ากดลงไป
หลังเสียงสัญญาณดังขึ้นสามครั้งก็มีคนรับสาย ลำคอหลินเซินหดเกร็ง ไม่รู้ว่าจะเปิดปากยังไงดี แต่เขาเองก็น่าจะมีเบอร์ของเธอจริงไหม ถ้าเช่นนั้นรอเขาเปิดปากพูดก่อนก็แล้วกัน…
ไม่กี่วินาทีต่อมา หลินเซินก็ได้ยินน้ำเสียงของเด็กดังออกมาจากลำโพง “ปะป๊า มีคนโทรหา…”
หลินเซินกดตัดสายทันที
ตอนที่ใจเย็นลงแล้วก็พบว่าทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลินเซินลนลานถึงขั้นกัดฟันกดเบอร์นั้นเข้าไปในรายชื่อแบล็กลิสต์ หลินเซินเริ่มรู้สึกร้อนและตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมิ่งสืออวี่เคยสอนเธอว่าในเวลาแบบนี้จะต้องไปอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หลินเซินเดินไปที่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ในลานบ้านต้นนั้น เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวพร้อมสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ไม่หยุด ใช้เวลาอยู่นานถึงพอจะใจเย็นลงได้ในที่สุด จากนั้นเธอก็กดเบอร์โทรของเมิ่งสืออวี่
“เซินเซิน?” ด้านหลังมีเสียงเชลโลเนิบช้าดังลอยมา เมิ่งสืออวี่กดเสียงต่ำลง “รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันเดินออกไปคุยด้วย”
“วันนี้บ้านหลินโทรหาฉัน”
ในที่สุดเมิ่งสืออวี่ก็เปลี่ยนเป็นสถานที่ที่เงียบสงบได้ “บ้านหลิน? พวกเขาโทรหาเธอทำไมกัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ได้รับ เขาส่งข้อความมาว่ามีเรื่องด่วนอยากคุยด้วย”
“พวกเขาจะมีเรื่องอะไรได้กัน สิบกว่าปีมานี้ก็ไม่เคยสนใจเธอมาก่อน แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องด่วนซะได้” เมิ่งสืออวี่แค่นเสียงเย็น “ไม่ต้องไปสนใจ ตอนนี้ฉันอยู่ที่งานเลี้ยง อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงเลิกงาน เดี๋ยวฉันไปหาที่บ้านเธอแล้วค่อยว่ากันอีกทีนะ”
“โอเคจ้ะ”
หลังวางสายเมิ่งสืออวี่ก็กลับตัวเดินเข้าไปในห้องโถงจัดงานเลี้ยง หญิงสาวที่สีเชลโลอยู่บนเวทีลงจากเวทีไปแล้ว ศาสตราจารย์เฉินผู้เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงจิตวิทยากำลังขึ้นพูดอยู่บนเวที งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นในนามของศาสตราจารย์เฉินเพื่อให้นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองไหวอันรวมไปถึงเมืองรอบข้างได้มารวมตัวกัน
เมิ่งสืออวี่ยื่นมือไปหยิบแก้วไวน์ในถาดของบริกรที่เดินผ่านมา แต่ตรงหน้ากลับมีคนยื่นแก้วเตกีล่าที่เธอชอบดื่มมาให้
“สืออวี่ ไม่ได้เจอกันนาน”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าร่างผอมโปร่งท่าทางสุภาพ ผมหวีเรียบแปล้ เวลาที่มองผู้คนในก้นบึ้งของดวงตาจะมีประกายสว่างไสว เขาเป็นเพื่อนร่วมงานสมัยเธอยังทำงานอยู่ในโรงพยาบาลรัฐในตอนที่ยังไม่ได้เปิดคลินิกเป็นของตัวเอง ชื่อเยวี่ยหมิ่นเสวีย
เธอรับแก้วเหล้ามา พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยท่าทีห่างเหิน “ไม่ได้เจอกันนานนะ”
เยวี่ยหมิ่นเสวียใช้แก้วในมือชนกับแก้วเหล้าของเธอ แล้วมายืนอยู่ข้างๆ “น่าจะสักสองปีได้แล้วมั้ง?”
“น่าจะ…จำไม่ได้แล้ว”
“เธอเป็นคนดังคงงานยุ่ง แต่ฉันกลับจำได้ชัดเจน” น้ำเสียงของเขาหยอกเย้า ทว่ารอยยิ้มกลับไม่นับว่าเป็นมิตร เมิ่งสืออวี่ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น เธอได้ยินเขาพูดต่อไปว่า “เมื่อสองปีก่อนที่เธอเพิ่งเปิดคลินิก ฉันขับรถไปแสดงความยินดีกับเธอโดยเฉพาะ แต่กระทั่งหน้าของเธอก็ไม่ได้เห็น”
ศาสตราจารย์เฉินบนเวทีเพิ่งจะบรรยายเสร็จ เมิ่งสืออวี่ปรบมือไปพร้อมคนอื่นๆ ก่อนตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “วันนั้นยุ่งเกินไป ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“ช่วงสองปีมานี้ฉันกลับได้ยินเรื่องราวของเธอไม่น้อย เธอได้ลงบทความใน Psychological bulletin รักษาคนไข้อาการหนักของแวดวงจิตวิทยาไปได้ไม่น้อย แม้แต่…” นิ้วของเขาเคาะไปที่ขมับ จู่ๆ ก็เพิ่มเสียงขึ้นมากะทันหัน“กู้ชิงไหวที่ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับขั้นรุนแรงก็ยังย้ายไปเป็นคนไข้ของเธอเหมือนกันใช่ไหม”
เมิ่งสืออวี่ชะงักไป จิตแพทย์สาวหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่เคยไล่จีบเธอทว่าถูกปฏิเสธไปตรงหน้า ทันใดนั้นก็เข้าใจเจตนาในคืนนี้ของเขาขึ้นมา
ไม่ผิดไปจากที่คาด ชื่อกู้ชิงไหวดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างได้ทั้งหมด เยวี่ยหมิ่นเสวียแสดงสีหน้าราวกับนึกอะไรออกกะทันหัน “เมื่อครึ่งปีก่อนตอนที่เธอรับเคสเขาไปเคยพูดไว้ว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ลูกนี้จะถูกเธอปีนขึ้นไปถึงยอดเอง ตอนนี้ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ทำไมฉันถึงได้ยินมาว่าอาการของเขายังคงไม่ดีขึ้นล่ะ แถมเขายังยุติสัญญากับเธอด้วยนี่”
อาการนอนไม่หลับของกู้ชิงไหวเป็นหนึ่งในอาการป่วยที่ตึงมือที่สุดของวงการ ขอแค่รักษาเขาหายก็จะได้ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ของแวดวงจิตวิทยา มีคนจำนวนมากแค่ไหนที่อยากลองดู แล้วก็มีคนจำนวนมากแค่ไหนที่พ่ายแพ้กลับไป
ข้างๆ มีผู้หญิงสองคนเริ่มพูดคุยกระซิบกระซาบกันขึ้นมา
“ได้ยินมาว่าเมิ่งสืออวี่กำลังแย่งรายชื่อศาสตราจารย์ของปีนี้อยู่แน่ะ”
“เธอ?!” คนที่คุยด้วยทั้งตกใจและขบขัน “จะเป็นไปได้ยังไง เธออายุยังน้อยขนาดนี้ ข้างหน้ายังมีรุ่นพี่ต่อแถวกันอีกตั้งมากเท่าไหร่!”
“ได้ยินมาว่าคิดจะใช้ความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับคนนั้นมาให้พิจารณาน่ะ”
“มิน่าล่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าล้มเหลวไปแล้วหรอกเหรอ เด็กสมัยนี้คิดอยากจะกินให้อ้วนในคำเดียวกันทั้งนั้น เพ้อเจ้อจริงๆ”
เสียงพูดคุยค่อยๆ เบาลง เสียงเปียโนลอยคลออยู่ในอากาศที่มีกลิ่นหอมของแอลกอฮอล์อย่างเนิบช้า คนในห้องโถงนี้มีคนที่เคยล้มเหลวกับอาการนอนไม่หลับของกู้ชิงไหวมากแค่ไหน ทั้งยังมีกี่คนที่กำลังรอดูเรื่องขบขันอย่างการที่คนเย่อหยิ่งเช่นเมิ่งสืออวี่เองก็ต้องมาคุกเข่าอยู่ใต้ยอดเขาเอเวอเรสต์ลูกนี้เหมือนกัน
เยวี่ยหมิ่นเสวียบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาเผยยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างไม่เป็นมิตร ก่อนลดเสียงลงแล้วขยับไปกระซิบข้างหูเธอ “สืออวี่ ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะทุ่มเทขนาดนี้ไปทำไมกัน ลำบากลำบนทำอะไรมากมายขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็เป็นได้แค่เรื่องตลกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
เมิ่งสืออวี่หน้าไม่เปลี่ยนสี แผ่นหลังของจิตแพทย์สาวค่อยๆ เหยียดตรง หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมา “ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ? จะให้พึ่งพาผู้ชายอย่างนายเหรอ” เธอหันหน้าไปมองชายหนุ่ม บริเวณหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความทะนงตน “นายจะเอาอะไรมาให้ฉันพึ่งพา”
เยวี่ยหมิ่นเสวียหน้าเปลี่ยนสี ส่วนเมิ่งสืออวี่ก้าวถอยหลังไปสองก้าวแล้วดื่มเหล้าในแก้วจนหมด “ผู้ชายที่ฉันต้องการไม่ได้หวังให้โดดเด่นมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่คนที่หลังจากถูกปฏิเสธไปแล้วอับอายจนพาลหาเรื่องไปทั่ว” เธอชำเลืองหางตามองเยวี่ยหมิ่นเสวียหนหนึ่ง “ถึงยังไงแบบคุณเยวี่ยนี่ก็ไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐานแล้ว”
“เธอ!”
เมิ่งสืออวี่เช็ดมุมปากทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร “นอกจากนี้ เรื่องระหว่างฉันกับคนไข้ของฉัน คนนอกไม่มีสิทธิ์มาสอดปาก จะรักษาหายหรือไม่หาย ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป”
ใบหน้าเยวี่ยหมิ่นเสวียเป็นสีแดงจัด จิตแพทย์สาววางแก้วเหล้าลงก่อนเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ชายหนุ่มแล้วกลับตัวเดินนวยนาดออกไป
ทันทีที่ออกมาจากโรงแรม ลมร้อนก็ปะทะเข้ามาที่ใบหน้า กระทั่งดวงจันทร์กลางฟ้ายังถูกไอร้อนรมจนดูพร่าเลือนไปเล็กน้อย เมิ่งสืออวี่ดื่มเหล้าไปทำให้ไม่อาจขับรถเองได้ หลังเรียกคนขับรถมาแล้วเธอก็โทรศัพท์หาผู้ช่วย
“เอาบันทึกการรักษาทั้งหมดของกู้ชิงไหวออกมาเรียบเรียง รวมไปถึงข้อมูลการรักษาจากที่อื่นๆ ทั้งหมดที่หาได้ก่อนหน้าฉันจะรับเคสเขามาต่อด้วย”
ผู้ช่วยฟังแล้วไม่เข้าใจ “คุณกู้ไม่ได้ยุติสัญญากับพวกเราแล้วเหรอคะ”
“บอกให้หาก็หาไปซะ!”
ผู้ช่วยรีบรับปากทันที
คนขับรถมาถึงอย่างรวดเร็ว เธอบอกที่อยู่ของบ้านหลินเซินไป หลังจากเข้าไปนั่งตรงที่นั่งด้านหลังแล้วก็หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
หลินเซินรู้ว่าเมิ่งสืออวี่ไปร่วมงานเลี้ยงดังนั้นจะต้องดื่มเหล้ามาจึงต้มน้ำฟักทองคอยไว้นานแล้ว วางพักไว้จนอุ่นๆ เวลาเข้าปากจะให้รสชาติหอมหวานจางๆ ช่วยสลายฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปได้อย่างรวดเร็ว
โทรทัศน์เปิดอยู่ที่ช่องรายการวาไรตี้ซึ่งเป็นที่นิยมในระยะนี้ ดาราชายหญิงกลิ้งตัวกันอยู่ในพื้นโคลน เมิ่งสืออวี่ซุกตัวอยู่บนโซฟานั่งดูสักพัก จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ดารายังทุ่มเทกันขนาดนี้ พวกเราทุ่มเทไปแค่นี้ยังนับเป็นอะไรได้”
หลินเซินเดินถือแก้วนมมานั่งลงข้างเธอ “เมิ่งเมิ่ง เธออารมณ์ไม่ดีเหรอ”
เมิ่งสืออวี่ยันตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งค้ำหน้าผาก คิดๆ แล้วถามออกไป “สมัยเด็กๆ เธอเคยคิดว่าโตมาแล้วจะทำอะไรไหม”
หลินเซินส่ายหน้า แล้วเมิ่งสืออวี่ก็พูดเองเออเองขึ้นมา “ฉันอยากเป็นจิตแพทย์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” เมิ่งสืออวี่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องในอดีต คาดว่าคงเพราะดื่มเหล้ามาก็เลยพูดมากขึ้น “พ่อของฉันที่เป็นช่างซ่อมรถมักจะเก็บพวกหนังสือที่คนอื่นไม่ต้องการจากจุดรีไซเคิลขยะมารองอุปกรณ์ ตอนนั้นที่บ้านฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือนิทาน ฉันก็เลยเอาหนังสือพวกนี้มาพลิกอ่าน เพิ่งจะขึ้นชั้นประถมได้มั้ง หนังสือเล่มแรกที่อ่านก็คือเรื่อง ‘การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์’”
เมิ่งสืออวี่ยิ้มออกมา “ฉันอ่านไม่ออกเลย จำได้ว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ย ดมกลิ่นน้ำมันเครื่อง ฝืนอ่านตัวหนังสือพวกนั้นไปแบบติดๆ ขัดๆ พวกหนังสือชุดนั้นที่พ่อฉันเก็บกลับมาน่าจะเป็นหนังสือที่อาจารย์สอนจิตวิทยาสักคนโยนทิ้ง เพราะมันมีแต่พวก ‘งานวิจัยจิตวิทยา’ ‘การวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ทางจิตวิทยา’ ทุกคนต่างเอาหนังสืออ่านนอกเวลาไปโรงเรียน แต่บ้านฉันซื้อไม่ไหวเลยได้แต่พกหนังสือพวกนี้ไป อ่านไปอ่านมากลับชอบเข้าให้”
การศึกษาพฤติกรรมทางจิตวิทยาเป็นเรื่องที่ชวนให้เธอรู้สึกประสบสำเร็จมากเรื่องหนึ่งจริงๆ ในช่วงอายุที่คนอื่นๆ ยังรู้จักแต่ออดอ้อนร้องไห้โวยวาย เมิ่งสืออวี่กลับเรียนรู้ที่จะสังเกตสีหน้าท่าทางคนอื่นแล้ว
“ฉันดูออกว่าอีกฝ่ายโกหกหรือเปล่า ในชั้นเรียนใครแอบรักใคร ผู้ชายชอบฉันจริงๆ หรือแค่หลอก” เธอชะงักไปก่อนหัวเราะคิกคักขึ้นมา “เธอรู้ไหม สมัยนั้นฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระเจ้าเลย…”
หัวเราะอยู่นานเมิ่งสืออวี่ถึงได้หยุดแล้วหยิบรีโมตขึ้นมาเปลี่ยนช่อง “ตอนนั้นฉันสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะต้องขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแวดวงจิตวิทยาให้ได้”
ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เมิ่งสืออวี่ไม่ได้พูดออกมา แล้วก้มลงมองทุกคน
จิตแพทย์สาวยกแก้วนมขึ้นดื่ม สีหน้าอ่อนล้า “เซินเซิน ครั้งแรกที่ฉันเจอเธอคือเมื่อสิบปีที่แล้วใช่ไหม”
หลินเซินขานรับเรียบๆ “อืม”
“ฉันจำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนมาก แต่แสงจันทร์กลับสวยมาก แล้วเธอก็อยู่ตรงแม่น้ำหยางหลิวด้านหลังมหาวิทยาลัยตรงนั้น นั่งขดตัวเป็นก้อนที่ทั้งผอมทั้งเล็กจ้อย ครั้งแรกมองไปฉันยังไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ”
“โชคดีที่ต่อมาเห็นแล้วจึงช่วยดึงเธอกลับมาจากริมแม่น้ำ ไหนบอกมาซิว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงได้โง่ขนาดนั้น รู้ไหมกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายมันทรมานแค่ไหนกัน”
หลินเซินเอ่ยขัดเพื่อนเสียงเบา “เมิ่งเมิ่ง เธอดื่มเยอะไปแล้ว”
“ใช่ วันนี้ฉันดื่มเยอะไปหน่อย” เมิ่งสืออวี่หัวเราะคิกคักขึ้นมา แล้วตบหลังมือหลินเซินเบาๆ “ฉันรู้ว่าฉันไม่สมควรพูดเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเซินเซิน…เธอรู้ไหมว่าบางทีฉันอิจฉาเสียงของเธอมากแค่ไหน ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่เธอเปิดปากส่งเสียงก็สามารถสงบอารมณ์ของทุกคนลงได้แล้ว ทุกคนต่างเต็มใจฟังเธอพูด ต่างเปิดใจกับเธอกันทั้งนั้น แต่ว่าฉันล่ะ…ในฐานะจิตแพทย์มืออาชีพ ไม่ว่าจะทุ่มเทจิตใจและเวลามากแค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับความไว้ใจจากพวกเขา…”
“เมิ่งเมิ่ง!” หลินเซินขึ้นเสียงสูง เธอมองเข้าไปในดวงตาของเมิ่งสืออวี่ “เธอเมาแล้ว”
เมิ่งสืออวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของทั้งคู่มองสบกัน เห็นชัดถึงความเจ็บปวดที่อดกลั้นอยู่ในแววตาสีดำคู่นั้น หลังผ่านไปสักพักเธอก็ยิ้มขื่นออกมา “ฉันเมาแล้ว”
หลินเซินลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปปูที่นอนให้เธอ คืนนี้ก็นอนที่นี่แหละ”
จิตแพทย์สาวยืดตัวนั่งหลังตรง ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ “อืม ก่อนนอนเธออ่านบทความหนึ่งให้ฉันฟังได้ไหม ถ้าได้ยินเสียงของเธอ ฉันก็จะไม่รู้สึกแย่ขนาดนั้นแล้ว”
หลินเซินพยักหน้า ก่อนลุกขึ้นเดินไปหยิบหนังสือรวมกลอนของซูถิงที่ห้องหนังสือ แล้วเมิ่งสืออวี่ก็นอนหลับไปอย่างช้าๆ หลินเซินกำลังลุกขึ้นยืนเบาๆ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็สั่นขึ้นมา เธอสะดุ้ง เมิ่งสืออวี่เองก็ลืมตาขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือสั่น พอมองดูสีหน้าของหลินเซินแล้วจิตแพทย์สาวก็เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมาเอง
คำว่า ‘เจ๋อสุ่ย’ กำลังกะพริบแสงอยู่ เมิ่งสืออวี่เลื่อนกดรับสาย
เสียงจากปลายสายฟังดูตื่นเต้นอย่างมาก “หลินเซินใช่ไหม! นี่ลุงใหญ่ของหลานเอง”
เมิ่งสืออวี่เปิดปากเอ่ยเสียงเย็น “หลินเซินอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่พ่อแม่เสียไป ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีลุงใหญ่อะไร ถ้ายังโทรมาอีกฉันจะแจ้งความว่าคุณโทรมาก่อกวน!”
เธอวางสาย หันกลับไปส่งยิ้มให้หลินเซิน “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลแล้ว”
วันรุ่งขึ้นเมิ่งสืออวี่กินข้าวเช้าแล้วจึงจากไป ในตอนที่มาถึงคลินิกผู้ช่วยก็เรียบเรียงข้อมูลของกู้ชิงไหวทั้งหมดที่เธอต้องการออกมาไว้ให้แล้ว โดยวางเอาไว้บนโต๊ะทำงานของเธอ
เมิ่งสืออวี่อ่านไปพลางโทรหากู้ชิงไหวไปด้วย “คุณกู้ วันนี้พอจะว่างไหมคะ ฉันอยากจะทำการรักษาให้คุณอีกครั้งค่ะ”
ชายหนุ่มรู้สึกจนใจอย่างมาก “คุณนี่มีความอดทนจริงๆ”
“ช่วยไม่ได้ค่ะ คนอย่างฉันค่อนข้างเคารพในวิชาชีพ ทนเห็นคนไข้ของฉันรับความทรมานไม่ได้”
กู้ชิงไหวเงียบไปสักพัก ในตอนที่เธอหลงคิดว่าชายหนุ่มจะรับปากก็กลับได้ยินเขาหัวเราะอย่างแฝงความนัยบางอย่างขึ้นมาแทน “คุณหมอเมิ่งสามารถรับประกันว่าการรักษาครั้งสุดท้ายจะมีประโยชน์กับผมจริงๆ ไหม”
“คุณกู้…”
“ผมไม่ชอบเสียเวลาไปทำเรื่องที่ไม่แน่นอน คุณต้องการโอกาสรักษาครั้งสุดท้าย ผมจะให้คุณก็ได้ แต่หวังว่าจะเป็นในสถานการณ์ที่คุณมีความมั่นใจเต็มร้อย”
เมิ่งสืออวี่กำมือถือแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยเสียงเบา “รบกวนคุณแล้ว”
โทรศัพท์ตัดสายไป เมิ่งสืออวี่ทรุดตัวกลับไปนั่งบนโซฟาเหมือนคนหมดแรง สายตาจ้องเขม็งไปที่กองเอกสารพวกนั้น ผ่านไปนานเธอถึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกดโทรเบอร์หนึ่งออกไป
“เพื่อนเก่ากำลังทำอะไรอยู่กัน” ไม่รู้ว่าปลายสายตอบอะไร เมิ่งสืออวี่ยิ้มออกมา “ได้ยังไงล่ะ ไม่มีอะไรแค่จะโทรมาคุยกับนายหน่อยไม่ได้เลยเหรอ แต่นายพูดถูกแล้ว มีเรื่องหนึ่งอยากจะรบกวนนักสืบเอกชนอย่างนายจริงๆ”
“ฉันอยากให้นายช่วยตรวจสอบคนคนหนึ่ง”
เมืองไหวอันที่มีอุณหภูมิสูงไม่ยอมลดมาโดยตลอดหลังเข้าสู่ฤดูร้อน ในที่สุดก็ได้เจอฝนมาช่วยลดอุณหภูมิของฤดูร้อนปีนี้เป็นครั้งแรกตอนช่วงปลายเดือนเจ็ด ฝนตกหนักติดต่อกันสามวัน สาดความเย็นใส่เมืองอันร้อนระอุ หลังฝนหยุดแล้วสภาพอากาศก็สดใส บรรดาประชากรที่ซ่อนตัวตากแอร์อยู่ในบ้านจึงยอมออกมาเดินข้างนอกกันในที่สุด
เพื่อที่จะเร่งส่งรูปภาพชุดนั้นไปให้เหลียนถัง สีในห้องวาดภาพจึงถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว หลินเซินเองก็อาศัยสภาพอากาศแบบนี้ออกจากบ้านไปซื้อของ ในตอนที่เดินข้ามสะพานลอย สายตาก็กวาดมองถนนใต้สะพานที่มีรถราวิ่งขวักไขว่แล้วต้องอึ้งไป
ตรงกลางถนนมีลูกแมวสีดำตัวหนึ่งนั่งยองๆ อยู่อย่างไม่มีที่ให้ไปท่ามกลางรถที่แล่นผ่านไปมา หลินเซินลังเลอยู่ครึ่งนาทีก็กลับตัวลงจากสะพานลอย
ตรงนี้เป็นถนนเส้นทางหลวงขึ้นวงแหวนรอบทะเล ปริมาณรถหนาแน่นอยู่เสมอ ดังนั้นรัฐบาลถึงได้สร้างสะพานลอยมาลดทอนการจราจรติดขัด บนถนนไม่ได้ทำทางม้าลาย หลินเซินเล็งโอกาสแล้วรีบเดินลงถนนไปทันที เธอเหยียบไปบนเกาะกลางถนน
แมวดำอยู่ที่อีกฝั่งของเกาะกลางถนน แต่เพราะว่าตรงนี้เป็นจุดอับสายตารถเลยไม่ได้ลดความเร็วลง แต่พอเห็นว่าตรงริมถนนมีคนคนหนึ่งพุ่งออกมาอย่างกะทันหันก็ต่างพากันเหยียบเบรกเปลี่ยนเลนด้วยจิตใต้สำนึก มีบางคนที่ขี้หงุดหงิดหน่อยก็ลดกระจกหน้าต่างลงแล้วตะโกนด่าออกมา หลินเซินทำเหมือนไม่ได้ยิน สายตายังจับจ้องไปที่แมวดำตัวนั้น อาศัยโอกาสตอนที่ปริมาณรถน้อยลงแล้วพุ่งตัวไปที่ข้างตัวของมันก่อนอุ้มแมวขึ้นมาทันที
แมวดำตกใจ ระหว่างที่ขัดขืนกรงเล็บของมันก็ข่วนแขนเธอเป็นแผล หลินเซินไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวดเพราะว่าตรงหน้าไฟเขียวสว่างขึ้นแล้ว รถเริ่มขยับกันอีกครั้ง เธอรีบเดินขึ้นไปบนเกาะกลางถนนแล้วรอไฟแดงครั้งต่อไป
หลังจากนั้นสักพัก รถเบนต์ลี่ย์สีดำคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ข้างๆ เธอ หลินเซินก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างระมัดระวัง กระจกรถถูกลดลงมา ซ่งเซียวหานที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขึ้นรถครับ”
รถด้านหลังที่ถูกขวางเอาไว้กำลังบีบแตรอย่างหงุดหงิด หลินเซินรีบอุ้มแมวดำแล้วมุดเข้าไปในรถ ในสภาพอากาศที่เย็นสบายแบบนี้แต่ภายในรถก็ยังคงเปิดแอร์ หลินเซินนั่งอยู่ที่เบาะหลังจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ประธานซ่ง คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันคะ”
เพราะเธอนั่งอยู่ตรงด้านหลังที่นั่งคนขับจึงมองไม่เห็นสีหน้าของซ่งเซียวหาน ได้ยินแค่เสียงทุ้มของเขาที่ถามว่า “ได้รับบาดเจ็บไหมครับ”
หลินเซินรีบก้มหน้าลงตรวจสอบแมวดำในอ้อมกอดตัวเอง “ตรงเท้าหน้ากับหางมีบาดแผลทั้งคู่ แผลที่เท้าหน้าค่อนข้างหนักค่ะ”
ซ่งเซียวหานชะงักไป ก่อนเอ่ยออกมาน้ำเสียงคล้ายขบขัน “ผมหมายถึงคุณน่ะ”
หลินเซินถึงเพิ่งรู้สึกตัว เธอก้มมองแขนของตัวเอง บนแขนมีรอยข่วนอยู่เล็กน้อย เลือดหยุดไปแล้ว แต่บาดแผลกำลังปวดแสบ จิตรกรสาวหยิบทิชชูออกมาแล้วกดไว้บนบาดแผล “แค่บาดแผลเล็กน้อย ไม่ได้หนักหนาอะไรค่ะ”
ซ่งเซียวหานไม่ได้พูดอะไร เขากดเปิดจีพีเอสแล้วพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปก่อนจะขับรถเลี้ยวไปทางขวา ลงจากทางหลวงวงแหวนรอบทะเลผ่านทางออกถัดไป
หลินเซินโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ประธานซ่ง คุณจอดที่ทางแยกข้างหน้านี้ก็พอค่ะ”
รถยนต์เคลื่อนไปถึงทางแยกแล้วเลี้ยวขวา แต่กลับไม่มีท่าทีจะหยุดลง หลังจากนั้นไม่กี่ร้อยเมตรก็ปรากฏเขตที่พักอาศัยขึ้นมาตามสองข้างทาง รถยนต์จอดลงตรงหัวมุมถนนที่ด้านข้างเป็นคลินิกสัตว์แห่งหนึ่ง
“เอาแมวเข้าไปรักษาก่อน แล้วผมจะพาคุณไปส่งโรงพยาบาลอีกที”
หลินเซินอยากจะปฏิเสธ แต่เขาก็ลงมาช่วยเปิดประตูรถให้เธอแล้ว
บริเวณรอบนอกของคลินิกสัตว์ใช้พลาสติกล้อมเป็นรั้วตรงพื้นที่โล่งบริเวณหนึ่งเอาไว้ ตรงกลางพื้นที่โล่งนั้นมีหมาซามอยด์สีขาวหิมะตัวหนึ่งนอนอยู่ เมื่อมันเห็นคนเดินเข้ามาก็ส่ายหางพุ่งเข้าใส่ ประตูกระจกสองบานใหญ่เปิดกว้าง บนคานแขวนกระดิ่งลมอันหนึ่งเอาไว้ เป็นกระดิ่งลมที่พิเศษมาก สายห้อยลงมาคล้ายลูกกระสุน เวลากระทบกันจะส่งเสียงทุ้มหนัก หลินเซินอดเหลือบมองดูอยู่สองสามครั้งไม่ได้
ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นของหมาแมวที่เป็นเอกลักษณ์ผสานไปกับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ในกรงริมกำแพงทั้งแถวต่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่เจ็บป่วยกำลังนอนอยู่ตรงมุมกรงอย่างเกียจคร้าน
โทรทัศน์ที่แขวนอยู่บนผนังกำลังฉายซีรี่ส์เกาหลีที่ฮิตอยู่ในตอนนี้ หลินเซินกำลังจะเปิดปากเรียกหาสัตวแพทย์ ทว่าตรงมุมห้องกลับมีเสียงร้องไห้โฮดังขึ้นมากะทันหัน เสียงนั้นร้องไห้ไปพร้อมสะอึกสะอื้นไปด้วย “อย่าไป…อย่าไปสิ…”
หลินเซินกับซ่งเซียวหานต่างถูกทำให้ตกใจ เมื่อหันมองไปตามเสียงถึงได้เห็นว่ามีคนคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนโซฟาตรงมุมห้องที่กองเต็มไปด้วยขนม อีกฝ่ายสวมแว่นตากรอบดำที่ใหญ่มาก ผมเผ้าฟูฟ่อง กอดถุงมันฝรั่งแผ่นร้องไห้ทั้งที่ยังจ้องเขม็งไปที่โทรทัศน์บนผนัง
หลินเซินหันไปมองตามเห็นพระเอกในจอโทรทัศน์มีดาบเล่มหนึ่งเสียบหน้าอกล้มอยู่ในอ้อมกอดของนางเอก และกำลังจะสลายหายไปเป็นดวงดาวทีละน้อย หญิงสาวบนโซฟากำลังร้องไห้เสียใจเสียยิ่งกว่านางเอก
ซ่งเซียวหาน “…”
หลินเซิน “…”
แมวดำดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของเธออย่างไม่สบายตัว หลินเซินจึงเปิดปากเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือหมอของที่นี่หรือเปล่าคะ”
หญิงสาวกำลังดึงทิชชูมาเช็ดน้ำมูก เธอหันหน้ามามองด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลออยู่ “ใช่แล้ว มีอะไรเหรอ”
“แมวตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ รบกวนคุณช่วยตรวจดูหน่อยค่ะ”
หญิงสาวร้อง “อ้อ” ตอบรับพร้อมดันแว่นขึ้นเพื่อเช็ดดวงตา แล้วกลับตัวไปหยิบเสื้อกาวน์สีขาวที่แขวนอยู่บนผนังกับถุงมือฆ่าเชื้อลงมา ในตอนที่รับแมวดำไปจากอ้อมกอดของหลินเซิน สายตาของสัตวแพทย์ก็กวาดมองไปยังแผลบนแขนเธอด้วย ก่อนถามเสียงอู้อี้ “ถูกมันข่วนเหรอ”
“ค่ะ”
สัตวแพทย์หญิงสูดน้ำมูก อุ้มแมวดำขึ้นไปตรวจดูบนโต๊ะผ่าตัดรอบหนึ่ง “ขาหน้ากับกระดูกหางหัก ต้องผ่าตัด จำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน ไม่เป็นไรใช่ไหม”
คุณหมอที่เมื่อครู่ดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ทว่าในตอนนี้กลับแสดงความชำนาญออกมาให้เห็น หลินเซินรีบพยักหน้า สัตว์แพทย์หญิงวางแมวดำใส่เข้าไปในกรง แล้วกลับตัวไปหยิบแอลกอฮอล์กับขวดทิงเจอร์ไอโอดีนลงมาจากชั้นยา
“ยื่นแขนมาให้ฉันดูหน่อยค่ะ”
หลินเซินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนส่งยิ้มให้สัตวแพทย์หญิงด้วยความขอบคุณแล้วนั่งลงพร้อมวางแขนลงไปบนหมอนรองที่หญิงสาววางเอาไว้ให้ อีกฝ่ายหยิบคอตตอนบัดมาจุ่มแอลกอฮอล์เตรียมไว้สำหรับใช้ฆ่าเชื้อให้เธอ ซ่งเซียวหานที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ มาโดยตลอดกลับยกมือขึ้นขวางกะทันหัน พร้อมขมวดคิ้วแล้วถามออกมา “คุณทำเป็นเหรอ”
สัตวแพทย์หญิงเงยหน้าพร้อมดันแว่นขึ้นน้อยๆ “คุณผู้ชายท่านนี้ ฉันเห็นว่าหน้าตาคุณไม่เลว แต่ทำไมพูดจาได้ไม่น่าฟังแบบนี้นะ อะไรคือฉันทำเป็นไหม…ฉันทำไม่เป็นแล้วคุณเป็นเหรอไง ถ้าคุณเป็นคุณก็ทำสิ!”
หญิงสาวพูดเร็วมาก น้ำเสียงก็ค่อนข้างดุดัน เมื่อหลินเซินนึกถึงท่าทางเวลาซ่งเซียวหานพูดตามปกติแล้วก็รู้สึกอยากจะขำออกมาเล็กน้อย เธอจึงรีบเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรค่ะ! ฉันไว้ใจคุณหมอคนนี้ แค่ทำแผลเอง”
หญิงสาวยักคิ้วให้เขาอย่างได้ใจ น้ำเสียงก็อ่อนลง “อย่าคิดว่าสัตวแพทย์จะมีความรู้แค่การรักษาสัตว์ อีกอย่างฉันแค่จะทำแผลให้ แผลขีดข่วนแบบนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของฉันหรอก แต่อย่าลืมไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าด้วยล่ะ”
ระหว่างที่พูดสัตวแพทย์หญิงก็ช่วยฆ่าเชื้อให้หลินเซินอย่างคล่องแคล่ว แล้วทาทิงเจอร์ไอโอดีนรอบบาดแผลก่อนจะใช้ผ้าก๊อซปิดแผลให้ ทำทุกอย่างเสร็จในรวดเดียว
หลินเซินเก็บมือกลับมาพร้อมเอ่ยอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ!”
สัตวแพทย์หญิงเขย่งเท้าแล้วเก็บยากลับขึ้นไปบนชั้นวางยา พลางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ว่าจะไม่เก็บเงินซะหน่อย แล้วก็เรียกฉันว่าเสิ่นมู่ก็พอแล้ว”
หลินเซินเพิ่งจะหยิบกระเป๋าสตางค์ แต่ซ่งเซียวหานหยิบเงินออกมาจ่ายให้เรียบร้อยแล้ว แมวดำตัวนี้เธอเป็นคนช่วย ค่ารักษาก็ควรเป็นเธอออกเอง แต่หลินเซินไม่เคยมีประสบการณ์แย่งจ่ายเงินกับใครมาก่อน ในช่วงสั้นๆ จึงได้แต่ยืนอึ้ง
เสิ่นมู่ยืนตรงเคาน์เตอร์แจ้งข้อมูล “อีกครึ่งเดือนให้มารับแมวกลับไป พวกคุณใครจะเป็นคนมาให้ทิ้งเบอร์เอาไว้ด้วย”
หลินเซินที่กลัวจะรบกวนซ่งเซียวหานรีบรับกระดาษกับปากกาในมือเสิ่นมู่มาทันที “ฉันจะเป็นคนมารับเองค่ะ นี่เบอร์โทรของฉัน”
ตอนเดินออกไปหลินเซินก็ชนเข้ากับกระดิ่งลมตรงประตูอันนั้นอีกครั้ง กระดิ่งลมที่คล้ายลูกกระสุนหกนัดนั้นทำได้สมจริงมากๆ เวลาที่มันกระทบกัน กระทั่งเสียงกระดิ่งก็ยังฟังดูทุ้มหนัก
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะเดินพ้นรั้วด้านหลังก็มีเสียงเพลงประกอบซีรี่ส์เกาหลีอันไพเราะพร้อมเสียงร้องไห้แหบแห้งของเสิ่นมู่ดังขึ้นอีกครั้ง ซ่งเซียวหานขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่ได้ หลังขึ้นรถเขาก็ถามเธอว่า “จะไปโรงพยาบาลไหนดีครับ”
หลินเซินตอบกลับเสียงเบา “แค่ฉีดวัคซีนไปคลินิกใกล้ๆ แถวนี้ก็ได้ค่ะ ยังไงคุณหมอเสิ่นก็ทำแผลให้ดีแล้ว ฉันไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่แล้วด้วย”
ซ่งเซียวหานพาเธอไปที่คลินิกแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากคลินิกสัตว์ของเสิ่นมู่นัก หลังจัดการให้หลินเซินเข้าพบกับแพทย์และฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาขึ้นรถ
“หมอเสิ่นคนนี้…” เขานวดหว่างคิ้ว ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หันหน้ากลับมาถามแทนว่า “จะให้ส่งคุณกลับบ้านหรือว่า…”
หลินเซินมองแผลบนมือ สภาพแบบนี้ให้ไปซื้อสีเองก็คงไม่สะดวก เธอถอนหายใจเบาๆ ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ประธานซ่ง เมื่อครู่คุณขับไปแถวเส้นเลียบทะเลมีธุระอะไรต้องไปทำหรือเปล่าคะ ฉันทำให้คุณเสียเวลาเข้าให้แล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
ซ่งเซียวหานยิ้มน้อยๆ “แค่มื้ออาหารเล็กๆ มื้อหนึ่งครับ” เขาสตาร์ตเครื่องพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผมจะส่งคุณกลับบ้านแล้วกัน”
หลินเซินพยักหน้า
คลินิกสัตว์อยู่ห่างจากตรอกเหล่าไหวไปสองบล็อก ซึ่งนับว่าไม่ไกลกันนัก ซ่งเซียวหานพาเธอมาส่งถึงปากทางเข้าตรอก ในตอนที่เปิดประตูรถเขาก็คล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับหลินเซินว่า “คุณรอเดี๋ยว”
ซ่งเซียวหานกลับตัวเดินไปเปิดกระโปรงรถด้านหลัง แล้วหยิบถุงกระดาษที่ห่อไว้อย่างสวยงามถุงหนึ่งออกมา “ให้คุณ”
หลินเซินชำเลืองมองเห็นโลโก้น้ำหอมชาแนลบนถุงแล้วรู้สึกลังเล “นี่คือ…”
“ช่วงนี้เจรจาธุรกิจกับพวกเขา อีกฝ่ายเลยเอามาให้” เขาเม้มปากยิ้ม “แต่ผมไม่ได้ใช้”
เขายิ้มอย่างจริงใจเกินไป มิหนำซ้ำของชิ้นนี้ก็ไม่ใช่ของที่เขาจงใจซื้อมาให้ ถ้าเธอไม่รับก็อาจจะดูเล่นตัว หลินเซินเลยยื่นมือไปรับไว้พร้อมเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณค่ะประธานซ่ง!”
เมื่อเห็นหลินเซินยอมรับของขวัญ รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างมากขึ้น “ไว้เจอกันใหม่ครับ!”
จนกระทั่งรถยนต์หายไปจากสายตาแล้วหลินเซินถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนกลับตัวเดินเข้าไปในตรอก ครั้งแรกที่เธอได้เจอซ่งเซียวหาน เขาดูเหมือนภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง ทั้งเย็นชาและเคร่งขรึม ตอนนั้นเธอถึงขั้นรู้สึกแอบกลัวเขาอยู่บ้าง แต่หลังได้เจอกันอีกครั้งซ่งเซียวหานกลับอ่อนโยนมากขึ้นทุกครั้ง ราวกับดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมาด้านหลังภูเขาน้ำแข็งอย่างช้าๆ
แต่ถ้าเกิดทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเสียงของเธอส่งผลกระทบต่อท่าทีที่เขามีให้เธอ…งั้นทุกอย่างที่เธอได้รับจากเขาก็ล้วนได้รับมาอย่างน่าละอายใจจริงๆ
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีหญิงสาวท่าทางสดใสคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อเห็นหลินเซินเดินเข้ามาใกล้ก็พุ่งตัวเข้าไปหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น “สวัสดีค่ะรุ่นพี่! ฉันเป็นเด็กไหวต้าจบจากคณะสื่อสารมวลชน ชื่อมู่ชูหนานค่ะ”
มู่ชูหนานเป็นมิตรเกินไป หลินเซินถอยหลังไปสองก้าวอย่างช้าๆ สร้างระยะห่างขึ้นมา “สวัสดีค่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือแบบนี้ค่ะรุ่นพี่! ตอนงานสถาปนาไหวต้าเมื่อไม่นานมานี้ ฉันอยู่ในงานบรรยายของรุ่นพี่ด้วยค่ะ ฉันชอบรุ่นพี่มากๆ เลย รวมถึงรูปวาดของรุ่นพี่ด้วย! ตอนนี้ฉันฝึกงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ประจำเมือง เลยอยากจะขอสัมภาษณ์รุ่นพี่หน่อยค่ะ”
หลินเซินอึ้งไป “ขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ค่ะ”
“ฉันไม่รบกวนเวลาของรุ่นพี่มากเกินไปหรอกค่ะ!” มู่ชูหนานมีแววตามุ่งมั่น “รุ่นพี่เป็นนักวาดของเมืองไหวอันที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ ทุกคนต่างอยากรู้ว่านักวาดที่มีสไตล์การวาดภาพเป็นเอกลักษณ์เช่นนั้นเป็นคนแบบไหนกันแน่ ทางฉันมีคำถามอยู่แค่สิบคำถาม…”
“ขอโทษด้วยจริงๆ แต่ฉันไม่รับการสัมภาษณ์ค่ะ”
หลินเซินรีบเอ่ยขัดคำพูดของรุ่นน้องร่วมสถาบัน ก่อนคลำหากุญแจแล้วเตรียมเปิดประตูเข้าไป มู่ชูหนานคว้าแขนเธอเอาไว้อย่างวิงวอน “รุ่นพี่! ฉันไม่รบกวนเวลาของรุ่นพี่มากเกินไปจริงๆ นะคะ ถ้ารุ่นพี่ไม่ต้องการพวกเราก็จะไม่เผยแพร่รูปของรุ่นพี่ด้วย ขอแค่การสัมภาษณ์ถามตอบง่ายๆ เท่านั้น…”
ในตอนที่ร่างกายสัมผัสกัน หลินเซินก็สะบัดตัวรุ่นน้องออกด้วยความลนลานเล็กน้อย มู่ชูหนานรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมเสียมารยาทของตัวเองจึงรีบเอ่ยขอโทษทันที “ขอโทษค่ะรุ่นพี่ เมื่อครู่ฉันตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย แต่การสัมภาษณ์นี้เป็นงานที่ทางสถานีกำชับมาว่าจะต้องทำให้สำเร็จ รุ่นพี่ช่วยฉันด้วยเถอะค่ะ!”
มู่ชูหนานพนมมือแสดงท่าทีขอร้องออกมา “รุ่นพี่…ขอร้องล่ะค่ะ พวกเราต่างก็จบมาจากไหวต้าเหมือนกัน พี่คงทนเห็นฉันเสียงานไปไม่ได้ใช่ไหมคะ”
หลินเซินเปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้าไปพร้อมขวางรุ่นน้องเอาไว้ข้างนอก “ฉันไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ไม่ว่ารูปแบบไหนทั้งนั้น วันหน้าไม่ต้องมาหาฉันแล้วนะคะ”
มู่ชูหนานที่มีสีหน้าผิดหวังและยังคงคิดจะขอร้องต่อ แต่หลังหลินเซินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ขอโทษด้วย” ประตูก็ปิดลงแล้ว
สื่อรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไงกัน หรือว่าจะไปสืบมาจากที่คณะ? หลินเซินก็แค่วาดภาพไม่กี่ภาพให้กับเหลียนถังเท่านั้น แต่สื่อกลับไล่ตามมาถึงขั้นนี้ อิทธิพลของซ่งเซียวหานรวมถึงครอบครัวซ่งไม่ใช่อะไรที่เธอจะจินตนาการได้จริงๆ
ตอนกำลังกินข้าวหลินเซินก็เปิดเว็บสำหรับค้นหาขึ้นมา แล้วพิมพ์ชื่อซ่งเซียวหานลงไปในช่องค้นหาอย่างที่ปกติไม่เคยทำ เหมือนที่เมิ่งสืออวี่เคยบรรยายเขาเอาไว้ ซ่งเซียวหานเป็นชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถอันดับต้นๆ ของประเทศที่ใครๆ ต่างเกรงใจ เรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นของโลกธุรกิจ ทว่าก็ไม่ใช่แค่ในโลกธุรกิจเท่านั้น แม้กระทั่งในโลกแฟชั่นก็ยังให้ความสนใจกับเขามากเช่นกัน ตรงท้ายสุดของหน้าเว็บไซต์ยังมีหัวข้อ ‘อันดับผู้ชายที่ผู้หญิงอยากแต่งงานด้วยมากที่สุด’ ซ่งเซียวหานอยู่ที่อันดับหนึ่ง เห็นแล้วหลินเซินแทบจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
วันรุ่งขึ้นแสงแดดสว่างไสว หลินเซินตื่นแต่เช้าแล้วรีบออกจากบ้านไปก่อนที่อากาศจะร้อนขึ้น ห้างสรรพสินค้าในตอนเช้านั้นคนน้อยและเงียบสงบ ลำโพงส่วนกลางเปิดเพลงรักเก่าๆ เพลงหนึ่ง เจ้าของร้านขายสีคุ้นเคยกับหลินเซินมานานแล้วจึงเอ่ยทักทายเธออย่างเป็นกันเอง
“พวกนี้เป็นสินค้าเข้าใหม่ สีติดดีมาก คุณลองดู…”
หลินเซินเพิ่งเลือกของไปได้ครึ่งทาง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มันเป็นสายจากซ่งเซียวหาน คนที่มีข่าวลือว่าไม่ชอบใช้โทรศัพท์คนนี้ไม่รู้ว่าทำตัวผิดจากข่าวลือกับเธอไปแล้วกี่ครั้ง หลินเซินกดรับสาย “ประธานซ่ง?”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายทุ้มหนัก “คุณอยู่ที่ไหน”
“ห้างสรรพสินค้าค่ะ”
“รออยู่ตรงนั้นนะ ผมจะส่งคนไปรับคุณ”
หลินเซินไม่เข้าใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ”
ซ่งเซียวหานไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดว่า “ส่งที่อยู่ให้ผม” แล้ววางสายไป
จนกระทั่งสัญญาณตัดไปแล้ว แต่หลินเซินก็ยังคงสับสนงุนงง เจ้าของร้านสีคล้ายจะสัมผัสได้ว่าสีหน้าเธอเปลี่ยนไปจึงถามว่า “คุณหลิน ของพวกนี้ยังต้องการอยู่ไหมครับ”
หลินเซินได้สติกลับมา “ต้องการค่ะ รบกวนช่วยห่อให้ฉันด้วยนะคะ”
ตอนที่เดินถือถุงอุปกรณ์น้อยใหญ่ออกมาจากห้างสรรพสินค้า นาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ที่นำมาใช้ตกแต่งด้านหน้าประตูห้างสรรพสินค้าก็บอกเวลาสิบเอ็ดโมงตรงแล้ว ซ่งเซียวหานบอกให้เธอรออยู่ที่นี่ มันหมายถึงให้เธอรอเขาอยู่ตรงหน้าประตูใช่ไหม
ในเวลานี้เริ่มมีลูกค้าของห้างสรรพสินค้าทยอยกันมาเยอะแล้ว หลินเซินวางถุงอุปกรณ์ลงข้างเท้าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ซ่งเซียวหานโทรมา เธอสงสัยว่าตัวเองควรจะโทรกลับไปถามหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เด็กสาวอายุน้อยสองคนเดินคล้องแขนกันผ่านตัวเธอไป หลังเดินผ่านไปไม่กี่ก้าวทั้งคู่ก็วกกลับมาใหม่อีกครั้ง มองโทรศัพท์มือถือแล้วกระซิบกระซาบกัน “ใช่คนนั้นไหม…”
“เหมือนจะใช่นะๆ!”
สีหน้าตกใจกับสายตามองประเมินปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเธออย่างเห็นได้ชัด หลินเซินหันหลังให้โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานหลินเซินก็ตัดสินใจโทรกลับไปหาซ่งเซียวหาน อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก “ประธานซ่ง ถ้าเกิดไม่มีเรื่องอะไรฉันจะกลับ…”
ยังไม่ทันที่หลินเซินจะพูดจบก็ถูกคนชนเข้าให้ เธอจับโทรศัพท์มือถือไว้ไม่แน่นพอทำให้หล่นกระเด็นไปไกลหลายเมตร หลินเซินโซเซขณะหันตัวกลับไปจึงชนเข้ากับคนที่ถือกล้องถ่ายรูปเข้าให้เต็มๆ
เสียงแชะดังขึ้นสองครั้ง แสงแฟลชสีขาววาบผ่าน สีหน้าตกตะลึงของหลินเซินถูกกล้องถ่ายเอาไว้แล้ว นักข่าวสาวข้างๆ ถือไมค์ยื่นมาตรงหน้าเธอ “สวัสดีค่ะคุณหลิน พวกเราเป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวเช้า ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นยังไงกับข่าวที่หลุดออกมาเมื่อเช้านี้คะ”
ประสาทสัมผัสของเธอดับวูบไปครู่หนึ่ง โซเซไปมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเข้ามาประคองเธอไว้ แต่คนที่มารวมตัวอยู่รอบๆ กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นข้างหูไม่หยุด อีกทั้งยังมีกล้องวิดีโอจำนวนมากเข้ามาประชิดอยู่ตรงหน้าเธอ แทบจะกลืนเธอลงไป
หลินเซินยกมือขึ้นบังหน้าโดยอัตโนมัติ สายตาของเธอไม่สามารถโฟกัสภาพได้แล้ว ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนราวกับถาดสีที่ถูกน้ำผสม กระจายออกไปวงแล้ววงเล่า จนกระทั่งเสียงรอบข้างก็เลือนหายไปเช่นกัน เหลือทิ้งไว้แค่เสียงวิ้งแหลมสูงดังอื้ออึง
มีคนจับข้อมือของฉันเอาไว้ ฉันควรจะกรีดร้องใช่ไหม ไม่รู้…ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
หลินเซินทำได้เพียงแค่ดิ้นรนขัดขืนตามจิตใต้สำนึก ทว่าสองมือที่จับเธอไว้กลับออกแรงมากขึ้น จากนั้นกระชากตัวเธออย่างแรง พาเธอเข้าไปในอ้อมกอด
หลินเซินเริ่มดิ้นสุดชีวิต แต่แรงของอีกฝ่ายเยอะมากจริงๆ เขากักตัวเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา ทว่านิ้วมือกลับลูบผ่านแผ่นหลังของเธอช้าๆ อย่างปลอบประโลม ข้างหูของเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน และน้ำเสียงที่คุ้นเคยกำลังเรียกชื่อของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่เป็นไรแล้วหลินเซิน ไม่ต้องกลัว…”
น้ำเสียงนั้นคล้ายมีเวทมนตร์ เธอไม่ดิ้นรนแล้วจริงๆ แค่เงยหน้าขึ้นช้าๆ พร้อมถามเขาว่า ”คุณคือ?”
เสียงนั้นหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แฝงการปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “ผมกู้ชิงไหว ยังจำได้ไหม ตอนนี้ผมจะพาคุณไปขึ้นรถจากนั้นก็จะพาออกไปจากที่นี่ ไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย โอเคไหม”
บนตัวเขามีกลิ่นอายที่ทำให้คนสบายใจ เธอก้มหน้าลงไปอีกครั้งพร้อมตอบรับเสียงเบา “ค่ะ”
ทันทีที่พูดจบ ร่างกายของเธอก็เบาขึ้น เป็นเขานั่นเองที่อุ้มตัวเธอขึ้นมา กู้ชิงไหวก้าวยาวๆ อุ้มเธอไปยังรถที่จอดอยู่ข้างถนน นักข่าวที่อยู่ด้านหลังยังคิดอยากไล่ตามมา ทำให้เขาชะงักฝีเท้าก่อนหันกลับไป “ถ้าไม่อยากถูกผมฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายโดยเจตนา ทุกท่านอย่าได้ไล่ตามมาจะดีกว่า”
ในตอนที่พูดประโยคนี้ บนใบหน้าของกู้ชิงไหวยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
ทีแรกนักข่าวกลุ่มนั้นยังลังเลอยู่บ้าง ทว่าก็ถูกรอยยิ้มนั้นของกู้ชิงไหวทำให้กลัวจนต้องหยุดอยู่แค่นั้นและได้แต่มองดูเขาพาหลินเซินขึ้นรถจากไป
กู้ชิงไหววางตัวหลินเซินไว้บนที่นั่งข้างคนขับจากนั้นก็ล็อกประตูรถให้เรียบร้อย ก่อนโน้มตัวไปช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วบิดฝาเปิดขวดน้ำแร่ส่งไปให้ตรงหน้าเธอ “ดื่มน้ำหน่อยครับ”
หลินเซินยื่นมือไปรับ แล้วก้มหน้าลงไม่พูดอะไร
เขาสตาร์ตเครื่องก่อนจะขับรถออกจากห้างสรรพสินค้า ขับไปถึงถนนซุ้มต้นไม้แถวๆ สวนสาธารณะแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรออก ไม่รู้ว่ากำลังสั่งงานใคร
“จัดการกลุ่มสื่อที่หน้าประตูห้างให้เรียบร้อยด้วย”
กู้ชิงไหวที่วางสายแล้วหันหน้ากลับไปมองหลินเซิน หญิงสาวปิดตาสนิท สีหน้าซีดขาวจนน่ากลัว บนหน้าผากเนียนใสมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา กำลังไหลลงมาตามกรอบหน้าทีละหยดๆ
กู้ชิงไหวขมวดคิ้ว มือหนึ่งหมุนพวงมาลัยกลับรถ อีกมือวางทาบบนหน้าผากของหลินเซิน
อุณหภูมิร่างกายเย็นเฉียบ
เขาขับรถเร็วขึ้นอีกพร้อมเอ่ยถามเธอว่า “หลินเซิน คุณยังไหวไหม”
คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงหอบหายใจอย่างหนัก
กู้ชิงไหวเปิดหน้าต่างรถให้มีลมพัดเข้ามาแล้วกุมมือเย็นเยียบที่ตกอยู่ข้างตัวเธอไว้ “ทนต่ออีกหน่อย ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว”
นิ้วมือของหลินเซินจิกเกร็ง เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือของเขา เสียงที่สั่นไหวเค้นรอดออกมาจากไรฟัน “ฉันไม่ไปโรงพยาบาล”
กู้ชิงไหวหันหน้าไปมองเธอ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “งั้นคุณอยากจะไปที่ไหน”
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงหลินเซินตอบกลับมาอย่างหมดแรง “ที่ที่ไม่มีคน”
กู้ชิงไหวตบหลังมือของเธอเบาๆ แล้วหักเลี้ยวรถ รถยนต์ขับออกจากเขตตัวเมือง ขึ้นไปบนถนนผานซาน ค่อยๆ ออกห่างจากตัวเมืองอันวุ่นวายไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้าเริ่มมีผืนป่าดกหนาปรากฏขึ้นมา ท้องฟ้าสว่างไสว อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์กว่าเดิม ทว่าอุณหภูมิกลับลดลงมา ลมทะลักเข้ามาผ่านทางหน้าต่างรถ แฝงไปด้วยกลิ่นต้นไม้สะอาดบริสุทธิ์
หลังขึ้นมาบนภูเขาแล้วความเร็วรถก็ลดลง หลินเซินมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนจะใจเย็นลงได้แล้ว
รถยนต์ขับมาถึงหน้าประตูสำริดแกะสลัก ที่แผ่นป้ายไม้มีเถาวัลย์พันอยู่สลักคำว่า ‘คฤหาสน์ฝูหลัน’ เอาไว้ หลินเซินเคยได้ยินเมิ่งสืออวี่พูดถึงสถานที่นี้ มันเป็นคฤหาสน์ส่วนตัว สถาปัตยกรรมภายในนั้นงดงามและสวยสง่าอย่างมาก หลังจากมีชื่อเสียงเลื่องลือออกไป ไม่ว่าใครก็อยากมาชมความงามกันสักครั้ง ซึ่งเจ้าของคฤหาสน์เองก็นับได้ว่าใจกว้าง รับปากว่าจะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้ารับชมสัปดาห์ละครั้ง
วันนี้เป็นวันศุกร์ หลังรถขับเข้าไปในเขตกล้องวงจรปิดแล้ว ประตูใหญ่ก็เปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง ภาพที่เห็นคือถนนต้นแปะก๊วยสายหนึ่ง ต้นแปะก๊วยในฤดูกาลนี้มีใบสีเขียวดกหนา แต่ละใบล้วนเต็มไปด้วยพลังชีวิตของฤดูร้อน กู้ชิงไหวขับรถตรงเข้าไปข้างในแล้วจอดรถลงข้างศาลาริมสระน้ำ
หลินเซินไม่ได้ลงจากรถ เธอนั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับไม่ไหวติง แล้วหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่มีใครพูดอะไร รอบด้านเงียบสงัด มีเสียงลมพัดมาเป็นครั้งคราว ในตอนที่ลมโชยผ่านผิวน้ำก็จะมีเสียงแซ่กซ่าดังขึ้นเบาๆ
นิ้วของกู้ชิงไหววางอยู่ตรงหน้ารถ นิ้วชี้เคาะตัวรถเบาๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินเซินจึงเอ่ยออกมาเสียงเบา “ขอบคุณค่ะ!”
เสียงนั้นลอยเข้ามาในหู กู้ชิงไหวอึ้งไปเล็กน้อย “อะไรนะครับ”
น้ำเสียงนั้นดังกระจ่างชัดและจริงใจ “ขอบคุณที่เมื่อกี้คุณช่วยฉันเอาไว้!”
จู่ๆ กู้ชิงไหวก็ใจลอยไป ความคิดย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน น่าจะเป็นที่โรงแรมเหลียนถังสินะ ท่ามกลางกลุ่มคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่เฉยๆ การก้าวออกมาของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้ใครต่างก็คาดไม่ถึง เขาจดจำหญิงสาวรูปร่างผอมบางทว่ากล้าหาญโดดเด่นคนนี้ได้ ดังนั้นในครั้งที่สองที่ได้พบกันอีกข้างแม่น้ำเถาฉวน เขาจึงจำเธอได้ในทันที
แต่ดูเหมือนเธอจะระมัดระวังตัวกับเขามากๆ ตอนหลังในทุกๆ ครั้งที่พบกันก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูของเธออย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้หญิงสาวคนนี้โกรธ เวลามองดูแววตาระแวดระวังห่างเหินของเธอแล้วเขาทั้งรู้สึกจนใจและขบขัน
ทุกครั้งที่ได้พบกันก็เหมือนว่าจะไม่เคยพูดคุยกับเธอดีๆ สักครั้ง มีแค่ในวันงานสถาปนามหาวิทยาลัยไหวต้านั่นแหละ แต่ตอนนั้นเธอเป็นหวัดลงคอทำให้เขาได้ยินเสียงไม่ชัดนัก
ทว่าในวันนี้…เมื่อได้ยินน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลนั้นอย่างชัดเจน ก็ราวกับว่ามันได้พาเขากลับไปในช่วงยามบ่ายที่โบสถ์แห่งนั้น แสงแดดทอดยาวสาดส่องเข้ามาภายในโบสถ์ ท่ามกลางแสงสลัวๆ นั้นมีเสียงท่องบทสวดพันธสัญญาเดิมดังขึ้น
ทั้งสองเสียงนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก…จะใช่เธอหรือเปล่า เสียงที่เขาได้ยินโดยบังเอิญ และสามารถทำให้นอนหลับได้เสียงนั้น…จะใช่เสียงของหลินเซินหรือเปล่า แต่ว่ามันจะมีเรื่องราวบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไงกัน เขาขมวดคิ้วมองเธอนิ่ง
หลินเซินถูกเขามองจนรู้สึกอึดอัดจึงขยับตัวไปด้านข้างน้อยๆ ปลายหางตาของเขาสั่นไหว กู้ชิงไหวเปิดประตูแล้วลงจากรถ “ลงมาเดินเล่นเถอะครับ อุตส่าห์ได้มาตอนที่ไม่มีคน”
ท้องฟ้าใสกระจ่าง สายลมโชยมาพร้อมกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ พื้นถนนใต้ฝ่าเท้าปูด้วยหินกระเบื้อง บนกระเบื้องมีลายสลักเล็กๆ บางแผ่นเป็นลายต้นเหมย กล้วยไม้ และไผ่ บางแผ่นเป็นลายดอกเบญจมาศ หรือต้นสนบนภูเขา หลินเซินเคยเห็นถนนแกะสลักมือขนาดใหญ่แบบนี้แค่ในพระราชวังต้องห้ามเท่านั้น
แต่เธอก็ไม่ได้อยากรู้ว่ากู้ชิงไหวมีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้หรือไม่ อันที่จริงที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ทั้งคู่เดินผ่านระเบียงทางเดินวกวน ก่อนที่หลินเซินจะเรียกกู้ชิงไหวที่ยังเดินไปข้างหน้าเอาไว้ “ฉันอยากกลับบ้านแล้วค่ะ วันนี้รู้สึกเหนื่อยๆ นิดหน่อย”
“กลับบ้าน?” เขาหันกลับมา เปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นใส่มือเธอ “ยังไม่รู้ว่าทำไมวันนี้นักข่าวถึงไปรุมคุณใช่ไหมครับ”
หลินเซินมองไปที่หัวข้อข่าวเด่นบนเว็บไซต์
ภาพที่เห็นคือรูปถ่ายใบหนึ่ง พื้นหลังเป็นปากตรอกเหล่าไหว หลินเซินกับซ่งเซียวหานยืนอยู่ข้างรถ เธอยื่นมือไปรับถุงชาแนลที่เขาส่งมาให้ ด้านหลังเป็นพาดหัวข่าว
‘แวน โก๊ะห์ยุคปัจจุบัน หรือเกมเลื่อนขั้น?’
ข้อความหลายร้อยตัวอักษรเขียนบรรยายถึงเรื่องรูปภาพอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่ถูกคนนอกชื่นชมของเธอที่ไปต้องตาซ่งเซียวหานเข้า และการที่เธอก้าวกระโดดกลายมาเป็นนักวาดที่มีชื่อเสียงของเมืองไหวอัน รวมถึงอดีตที่เธอเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ชื่อของนักข่าวคือมู่ชูหนาน
หลินเซินกัดริมฝีปากแล้วกดเปิดดูคอมเมนต์ซึ่งมีจำนวนหลายแสนข้อความด้วยกัน ก่อนจะเห็นคอมเมนต์ยอดนิยมอันหนึ่งเขียนไว้ว่า
‘การทำทานของคนรวย’
อ่านไปได้แค่นั้นโทรศัพท์มือถือก็ถูกกู้ชิงไหวคว้ากลับไปแล้ว
หลินเซินนิ่งค้างด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ คิ้วขมวดแน่นเป็นปม ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ว่าเธอกำลังถามใครอยู่ “ทำไมเธอถึงได้เขียนข่าวมั่วซั่วแบบนี้”
กู้ชิงไหวก้มหน้ามองหลินเซิน
เธอน่าจะกำลังโกรธมากจริงๆ ขอบตาของเธอแดงระเรื่อ แม้กระทั่งริมฝีปากก็ยังสั่นน้อยๆ แต่น้ำเสียงของหลินเซินกลับยังคงแผ่วเบานุ่มนวล เหมือนคนที่ไม่รู้จักแสดงความโกรธออกมาตั้งแต่เกิด แม้แต่เวลาโมโหก็ยังดูอ่อนโยน
หลินเซินอยากจะไปจากที่นี่ แต่ขยับเท้าได้นิดเดียวก็กลับมายืนนิ่งอีกครั้ง เธอมองไปที่ชายหนุ่มอย่างทำอะไรไม่ถูก “งั้นตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงดีคะ”
กู้ชิงไหวคิดๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ซ่งเซียวหานโทรหาคุณแล้วหรือยังครับ”
หลินเซินนึกถึงสายโทรศัพท์แปลกๆ เมื่อเช้าขึ้นมาได้ ดูเหมือนในตอนนั้นซ่งเซียวหานก็คงจะเห็นข่าวนี้เลยคิดจะมารับเธอเพื่อพาไปเก็บตัวถึงได้บอกให้ไปยืนรอเขา ทว่ากลับเจอนักข่าวมาถึงก่อนแทน
หลินเซินพยักหน้า กู้ชิงไหวจึงเปิดรายชื่อผู้ติดต่อขึ้นมา “ซ่งซื่อไม่มีทางอยู่เฉย ซ่งเซียวหานน่าจะติดต่อให้สื่อลบข่าวแล้ว แต่ว่าความนิยมของข่าวนี้เพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ถึงลบไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” ชายหนุ่มส่งเสียงจิ๊ปากด้วยความขัดใจ “ฝีมือด้านประชาสัมพันธ์ของซ่งซื่อนั้นเทียบกับฝีมือด้านธุรกิจของพวกเขาไม่เคยได้”
โทรศัพท์ต่อสายติด กู้ชิงไหวเอ่ยถามปลายสาย “เรื่องที่ฉันให้จัดการเมื่อกี้เป็นยังไงบ้าง”
“จัดการหมดเรียบร้อยแล้วครับ”
“ติดต่อกับทีมประชาสัมพันธ์ของซ่งซื่อหน่อย พวกเขาน่าจะยินดีให้นายพาคนไปช่วยจัดการ”
“ได้ครับท่านประธานกู้”
หลินเซินมองเขาตาไม่กะพริบ แต่กู้ชิงไหวเหมือนจะไม่ทันสังเกต เขากดอีกเบอร์หนึ่งแล้วโทรออกไป “สวัสดีครับคุณลุงโจว ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ พอดีว่าผมมีเรื่องอยากจะขอให้คุณลุงช่วยหน่อย…”
หลังวางสายแล้วชายหนุ่มก็หันกลับมาจึงได้เห็นหลินเซินที่กำลังเม้มปากเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาคาดหวัง ตรงขนตาของเธอมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ เวลานี้หญิงสาวดูเหมือนกวางน้อยในป่า ทั้งดูว่าง่ายและไร้กำลัง ไม่หลงเหลือท่าทีเย็นชาเหมือนสองสามครั้งก่อนหน้านี้ที่ได้พบกันอยู่เลย
กู้ชิงไหวถอนสายตาที่จ้องมองเธออยู่ออก “สื่อน่าจะรู้ที่อยู่คุณแล้ว บางทีอาจจะมีนักข่าวไปเฝ้าที่นั่น ยังไงช่วงสองสามวันนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยจะดีกว่าครับ”
หลินเซินอึ้งไป ในดวงตาฉายแววระแวดระวังตัวออกมา
กู้ชิงไหวเม้มปากแล้วเดินเข้าไปใกล้เธออีกสองก้าว ด้านหลินเซินก็ก้าวถอยหลังติดๆ กันจนแผ่นหลังไปชนเข้ากับเสาทางเดิน หญิงสาวเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เขากลั้นยิ้มขณะมองเธอ ชายหนุ่มเพิ่งจะยกมือขึ้น หลินเซินก็งอตัวทันที แขนของกู้ชิงไหวชะงักค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะเอื้อมไปหยิบใบไม้ใบหนึ่งที่ติดอยู่บนศีรษะของเธอออกให้ “ไปพักอยู่ที่บ้านเพื่อนสักระยะเถอะ ผมจะพาคุณไปส่งเอง”
หลินเซินผ่อนลมหายใจออกมา พอคิดถึงท่าทางของตัวเองเมื่อครู่นี้ก็รู้สึกใบหูร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เธอรีบหันหลังแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเพื่อโทรหาเมิ่งสืออวี่ทันที แต่ควานหาอยู่นานถึงคิดขึ้นมาได้ว่าเธอถูกนักข่าวชนจนโทรศัพท์มือถือหล่นพื้นไปตั้งแต่อยู่หน้าห้างสรรพสินค้าและเธอก็ไม่มีเวลาไปตามเก็บมัน
หลินเซินรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่คล้ายว่ากู้ชิงไหวไม่ทันสังเกต เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา “ไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนเถอะครับ”
สถานที่กินข้าวครั้งนี้อยู่ในตึกที่มีรูปทรงแบบสถาปัตยกรรมจีนแห่งหนึ่ง เมนูอาหารเป็นเมนูของทางเหนือ สีสันสวยงาม รสชาติจัดจ้าน แต่กินได้คล่องคอมาก ทว่าหลินเซินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอกินอาหารกันไปได้สักพัก คนที่ท่าทางเหมือนผู้ช่วยก็เดินถือถุงใบหนึ่งเข้ามา
กู้ชิงไหวบอกให้เขายื่นถุงให้หลินเซิน เธอรับมาเปิดดูเห็นเป็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่ในนั้น นอกจากตรงมุมจอมีรอยแตกอยู่หลายรอยแล้วอย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก หลังเปิดเครื่องแล้วก็พบว่าสายที่ไม่ได้รับนั้นล้วนเป็นสายจากซ่งเซียวหาน
หลินเซินมองไปทางกู้ชิงไหว เห็นเขากำลังหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุป “ของที่คุณซื้อจากห้างสรรพสินค้าก็เอากลับมาด้วยกันหมดแล้ว วางอยู่ในรถ อีกเดี๋ยวจะช่วยเอาไปส่งให้คุณด้วย”
เธอเม้มปากก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
“ถ้าอยากจะขอบคุณจริงๆ…” เขาเลิกคิ้ว “ตอนเจอกันครั้งหน้าก็เลิกมีท่าทีเหมือนเป็นศัตรูกันได้แล้วครับ”
หลินเซินรู้สึกอับอายจึงเอ่ยด้วยเสียงเบาๆ “นั่นเป็นเพราะว่า…”
พูดไปได้ครึ่งทางก็พูดต่อไม่ออก เรื่องในครอบครัวคนอื่น เธอมีสิทธิ์อะไรไปตำหนิกัน หลินเซินเก็บคำพูดที่เหลือไว้แล้วก้มหน้าลงคีบอาหารแทน
กู้ชิงไหวกลับรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา “เพราะอะไรครับ”
เพราะว่าคุณนอกใจตอนภรรยาตั้งครรภ์ และใช้ชีวิตส่วนตัวได้เฮงซวยไง
แต่ตีให้ตายหลินเซินก็ไม่มีทางพูดออกไปได้ คนอย่างเธอแบ่งแยกบุญคุณกับความแค้นอย่างชัดเจน ช่วยเธอเอาไว้ก็คือช่วยเอาไว้ คำพูดแย่ๆ อย่าง ‘ฉันไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างคุณมาช่วยเหลือ’ ถึงยังไงเธอก็พูดไม่ออก หลินเซินรีบก้มลงกินข้าวเพื่อบังคับให้ยุติบทสนทนานี้ กู้ชิงไหวยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ หลังกินข้าวเสร็จหลินเซินก็โทรหาเมิ่งสืออวี่ แต่โทรไปสามครั้งก็ไม่มีใครรับสาย
ระยะนี้ดูเหมือนเมิ่งสืออวี่จะยุ่งมากทำให้ทั้งคู่ติดต่อกันน้อยลง หลินเซินจึงไม่ได้โทรไปอีกแต่บอกที่อยู่ของเมิ่งสืออวี่กับกู้ชิงไหวไป ตัดสินใจว่าจะไปรอเมิ่งสืออวี่เลิกงานที่บ้านของเธอ
รถยนต์ขับออกจากคฤหาสน์ฝูหลัน เสียงแตรรถดังอึกทึกเข้ามาในหูอีกครั้ง อุณหภูมิก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ในตอนที่กู้ชิงไหวขับรถขึ้นไปบนทางหลวง ซ่งเซียวหานก็โทรมาอีกครั้ง
เขาน่าจะร้อนใจมากหลังติดต่อเธอไม่ได้ตลอดทั้งเช้า หลินเซินรีบกดรับสาย น้ำเสียงจากปลายสายดังทุ้มลึก “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ประธานซ่ง เรื่องในครั้งนี้…”
“ผมจะจัดการให้เรียบร้อย” เขาชะงักไปแล้วลดเสียงลง “ทำให้คุณมาลำบากไปด้วย ขอโทษด้วยจริงๆ!”
หลินเซินเงียบไป อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “ช่วงนี้คุณอย่าเพิ่งไปปรากฏตัวที่ไหนนะครับ”
“ค่ะ”
หลังวางสายแล้วกู้ชิงไหวก็มองโทรศัพท์มือถือในมือของเธอครั้งหนึ่ง “ซ่งเซียวหานคนนี้…ไม่ใช่ว่าไม่ชอบใช้โทรศัพท์หรอกเหรอ ดูท่าคำพูดพวกนั้นจะเป็นแค่ข่าวลือ”
ในสมองของหลินเซินมีแต่ภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองถูกนักข่าวรุมล้อมเมื่อเช้านี้ เธอยิ้มเจื่อน เมื่อมาถึงคอนโดฯ หลินเซินก็ลดกระจกรถลงเพื่อตรวจสอบบริเวณรอบๆ ด้วยยังหวาดหวั่นไม่หาย จากนั้นถึงได้ลงจากรถ กู้ชิงไหวหยิบอุปกรณ์ที่หลินเซินซื้อออกมาจากกระโปรงหลังรถพลางถาม “ต้องให้ผมเข้าไปส่งคุณไหมครับ”
เธอส่ายหน้าแล้วรับกล่องมากอดเอาไว้ “วันนี้ขอบคุณคุณมากนะคะ ลาก่อนค่ะ!”
หลินเซินกลับตัวเตรียมจากไป กู้ชิงไหวเรียกเธอเอาไว้ “หลินเซิน” หญิงสาวหันกลับมา เขาส่งยิ้มให้เธอ “มีความสุขหน่อยครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าทำท่าทางเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาแบบนั้น”
หลินเซินไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าให้เขา
กู้ชิงไหวกลับเข้าไปนั่งในรถ สายตามองส่งเธอเดินเข้าไปในคอนโดฯ ในตอนที่กำลังจะกลับรถก็เห็นร่างคุ้นเคยของคนคนหนึ่งเดินผ่านด้านหน้าไป อีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์พลางเดินเข้าไปหาหลินเซินที่อยู่ไม่ไกล
เพื่อนที่เธอพูดถึงคือเมิ่งสืออวี่หรอกเหรอ
โลกใบนี้ดูท่าจะเล็กเกินไปหน่อยแล้ว กู้ชิงไหวกุมขมับแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ มองดูทั้งคู่เดินเข้าไปในคอนโดฯ ด้วยกันแล้วถึงได้จากไป
เมิ่งสืออวี่มองออกว่าอารมณ์ของหลินเซินผิดปกติไป หลังเข้าไปในลิฟต์เธอก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เซินเซิน เป็นอะไรไป”
หลินเซินกอดกล่องสีเอาไว้พลางตอบอย่างไร้กำลัง “เธอได้เห็นข่าวเด่นวันนี้แล้วหรือยัง”
เมิ่งสืออวี่รับกล่องสีในมือของหลินเซินมา “วันนี้ฉันมีประชุมกับกลุ่มศาสตราจารย์ของสถาบันวิจัยทั้งวัน ยุ่งเกินไปเลยยังไม่มีเวลาดูน่ะ”
ตอนที่เข้าไปในห้อง เมิ่งสืออวี่ก็จุดเทียนหอมกลิ่นกุหลาบวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดเวยป๋อดู ตอนนั้นเองจึงได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นักวาดหน้าใหม่อาศัยต้นไม้ใหญ่อย่างซ่งเซียวหานจนมีชื่อเสียงขึ้นมา ที่ผ่านมาสไตล์การวาดแบบนี้ไม่ได้อยู่ในกระแสที่คนทั่วไปจะชื่นชม ตอนแรกทุกคนก็หลงคิดว่าเป็นเพราะซ่งเซียวหานมีสายตาแหลมคมค้นพบแวน โก๊ะห์ในยุคปัจจุบันจึงพากันนับถืออย่างมาก ทว่าผลกลับกลายเป็นว่าตอนนี้สื่อได้โยน ‘หลักฐานแน่นหนา’ ออกมาเพื่อเปิดโปงว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันธรรมดาๆ เมื่อเป็นแบบนี้การที่ภาพของเธอได้รับความชื่นชมก็คงไม่ใช่เพราะตัวผลงานแล้ว หลินเซินเปลี่ยนจากแวน โก๊ะห์ยุคปัจจุบันที่มีเอกลักษณ์ไปเป็นนักวาดหญิงที่ใช้วิธีการชั้นต่ำอย่างการเกาะคนรวยเพื่อจะโด่งดังทันที
นับประสาอะไรกับบรรดาสาวๆ ที่คลั่งไคล้ซ่งเซียวหานพวกนั้น ภายในวันเดียวก็สืบค้นภูมิหลังของหลินเซินออกมาได้จนหมด และบรรยายว่าเธอเป็น ‘นางเอกตามมารตรฐานพ่อแม่ตาย’ ในละครทีวี ในเวลาไม่นานผู้คนที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยกับหลินเซินต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นกันหมด หลายคนบอกว่าเธอมีนิสัยสันโดษคุยด้วยยาก ชอบไปไหนมาไหนตัวคนเดียว และเย่อหยิ่ง มีความคิดเห็นส่วนน้อยที่ชื่นชมรูปภาพของเธอ หรือชมว่าหลินเซินดูน่ารักจิ้มลิ้ม ทว่าความคิดเห็นพวกนี้ล้วนจมลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
“คนสมัยนี้ดีแต่กล้าเปิดปากพูดทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้น!” เมิ่งสืออวี่ด่าออกมาอีกหลายคำ “ซ่งเซียวหานว่ายังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าจะจัดการให้เรียบร้อย”
“จัดการไปหนึ่งวันแล้วยังทำได้แค่นี้เหรอ ฉันเห็นข่าวดาราที่ถูกเปิดโปงว่านอกใจเมื่อตอนบ่ายยังไม่ได้รับความสนใจเท่าเรื่องของเธอเลย” เมิ่งสืออวี่ยื่นมือออกมา “เอามือถือมา ฉันจะถามเองว่าซ่งเซียวหานตั้งใจจะแก้ไขยังไง”
หลินเซินลังเลเล็กน้อย “ไม่ดีมั้งแบบนี้”
เมิ่งสืออวี่คว้าโทรศัพท์มือถือของหลินเซินมาทันที “คอมเมนต์พวกนั้นไม่มีใครด่าซ่งเซียวหานสักคน เพราะงั้นพวกเขาจะทำเป็นไม่สนใจก็ได้อยู่แล้ว” หลังเลื่อนหาเบอร์ของซ่งเซียวหานได้แล้วก็โทรออกไป อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ “คุณหลิน”
“สวัสดีค่ะคุณซ่ง ฉันเป็นเพื่อนของหลินเซิน ไม่ทราบว่าทางบริษัทของคุณตั้งใจจะแก้ไขความวุ่นวายในวันนี้ยังไงคะ หลินเซินไม่ถนัดเรื่องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นมาตลอด แต่ตอนนี้เพราะว่าพวกคุณ เธอก็เลยถูกผลักไปอยู่ในกระแสสังคมอย่างรุนแรง แล้วจนกระทั่งตอนนี้ทางบริษัทของคุณก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นี่ตั้งใจจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอคะ”
ปลายสายไม่ได้พูดอะไรออกมา ลำโพงเงียบสนิท หลังผ่านไปสักพักใหญ่สัญญาณก็ถูกตัดไป
เมิ่งสืออวี่มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เขาวางไปแล้วเหรอ!”
หลินเซินกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ
เมิ่งสืออวี่โมโหจนหัวเราะเสียงเย็นออกมา เธอเปิดบันทึกการโทรเตรียมกดโทรออกไปอีกครั้ง แต่แล้วโทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมาพอดี เป็นข้อความที่ส่งมาจากซ่งเซียวหาน
‘สวัสดีครับ ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ชักนำปัญหาใหญ่ขนาดนี้มาให้คุณหลิน พรุ่งนี้เช้าทางซ่งซื่อจะจัดงานแถลงข่าวเพื่ออธิบายเรื่องนี้ ส่วนพวกข่าวเด่นต่างๆ กำลังทยอยลบ ผมต้องขอโทษกับความเสียหายที่คุณหลินได้รับด้วยอีกครั้ง’
“ข่าวลือที่ว่าเขาไม่ชอบใช้โทรศัพท์ ดูเหมือนจะจริงสินะ?” เมิ่งสืออวี่คืนโทรศัพท์มือถือให้หลินเซิน “หวังว่าเขาจะอธิบายให้ชัดเจนในงานแถลงข่าวก็แล้วกัน ช่วงนี้เธอก็อยู่ที่คอนโดฯ ฉันไปก่อนนะ”
เมิ่งสืออวี่มองไปที่หลินเซินด้วยความกังวลเล็กน้อย “เซินเซิน เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันเห็นคอมเมนต์เขียนว่าเมื่อเช้ามีพวกนักข่าวไปหาเธอด้วย”
ในสมองของหลินเซินมีภาพที่ตัวเองถูกนักข่าวรุมล้อมเมื่อเช้าผุดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นภาพแผ่นหลังสูงใหญ่ก็เข้ามาแทนที่ จิตรกรสาวส่ายหน้าก่อนลุกขึ้นยืนจากโซฟา “ฉันเหนื่อยแล้ว”
เมิ่งสืออวี่รู้ว่าหลินเซินต้องการอยู่คนเดียวจึงพยักหน้ารับ “โอเค เดี๋ยวฉันจะไปปูเตียงให้ เธอรีบพักผ่อนเถอะ”
ผ้าห่มของห้องนอนแขกมีกลิ่นจากถุงหอมในตู้เสื้อผ้า กลิ่นนั้นราวกับผ้าโปร่งผืนบางที่ห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง หลินเซินดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงจมูกเหลือแค่ดวงตา สายตามองไปยังโคมไฟเหนือศีรษะที่ยังเปิดอยู่ตาไม่กะพริบ
คนทั่วไปผ่านเรื่องราวแบบที่เธอเจอในวันนี้ก็ยังต้องอกสั่นขวัญแขวน แล้วนับประสาอะไรกับเธอ แต่ในตอนนี้พอย้อนนึกไป หลินเซินกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแล้ว ในยามที่หลับตาลงก็จะเห็นภาพของดอกกล้วยไม้เต็มคฤหาสน์ฝูหลัน ตึกอาคาร ทางเดินตรงศาลาน้ำ และยังมีตอนที่กู้ชิงไหวโน้มตัวลงมาเพื่อปลอบเธอ ในแววตาของเขาแฝงด้วยรอยยิ้ม หลินเซินกะพริบตาอย่างแรง พยายามขับไล่ภาพนี้ออกไป ก่อนถอนหายใจออกมายาวๆ
เมื่อคืนหลินเซินนอนดึกมาก ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมาเมิ่งสืออวี่ก็ทำอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนกินข้าวเมิ่งสืออวี่ก็ใช้โทรศัพท์มือถืออ่านข่าวไปด้วยทำให้สายตาดูนิ่งขึงไปเล็กน้อย
“มีคนทะเลาะกันเกี่ยวกับประเด็นนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…เซินเซิน ภาพตอนเรียนจบของเธอถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว”
หลินเซินรีบรับโทรศัพท์มือถือมาเปิดดู ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งเลวร้ายลง แต่อ่านประเด็นร้อนต่างๆ จนเกือบจะหมดแล้วก็ยังไม่เห็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องตรงหน้าประตูห้างสรรพสินค้าเมื่อวานโผล่มาสักนิดเดียว ทำให้เธอผ่อนคลายลงได้ไม่น้อย
“ถึงเว็บไซต์หลักจะลบข่าวไปแล้ว แต่พวกแอ็กเคาต์ปล่อยข่าวลือกับสื่อบันเทิงเป็นของเอกชน เวลาจัดการคงค่อนข้างยุ่งยาก”
หลินเซินรู้สึกเครียดเล็กน้อย “งั้นจะทำยังไงดี”
เพิ่งจะพูดจบ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ ก็สั่นขึ้นมา ในตอนที่เห็นบนหน้าจอมีคำว่า ‘เจ๋อสุ่ย’ กะพริบอยู่ สีหน้าของหลินเซินก็แข็งค้างไปเล็กน้อย
เมิ่งสืออวี่ก็เห็นเช่นกัน เธอขมวดคิ้วเตรียมจะช่วยรับสายให้ “คนพวกนี้ทำไมถึงยังไม่ยอมเลิกราอีกนะ!”
หลินเซินส่ายหน้า รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนเมิ่งสืออวี่ “ฉันรับเองดีกว่า ถึงยังไงสักวันก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี”
ปลายสายเสียงดังมาก “ฮัลโหล! ใช่หลินเซินหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ”
เมิ่งสืออวี่ยักไหล่ก่อนหยิบแฮมแผ่นหนึ่งวางลงไปบนขนมปังแล้วทาซอสงาดำลงไป ก่อนจะกัดเข้าไปคำเล็กๆ จนกระทั่งกินขนมปังหมด หลินเซินถึงคุยโทรศัพท์เสร็จ
“มีเรื่องอะไรกัน”
หลินเซินเงียบไปสักพัก “มีบริษัทหนึ่งจะกว้านซื้อที่ดินตรงบ้านเกิดของฉันเพื่อสร้างฐานรับสัญญาณ พวกเขาต้องการจะซื้อพื้นที่ตรงบ้านของบรรพบุรุษฉัน ญาติๆ ต้องการให้ฉันกลับไปเซ็นข้อตกลง”
“ชื่อเธอเป็นเจ้าของบ้านนั้นเหรอ”
“อืม ปู่ทิ้งเอาไว้ให้พ่อของฉันก่อนเสียชีวิต เมื่อก่อนเขาจะพาฉันกลับไปพักอยู่ที่นั่นสั้นๆ ทุกวันหยุดฤดูร้อน…” หลินเซินชะงักไปไม่ได้พูดต่ออีก
เมิ่งสื่ออวี่เป็นคนเอ่ยต่อว่า “ข้อตกลงฉบับนั้นจะเซ็นหรือไม่เซ็นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาจริงไหม เงินค่าชดเชยเองจริงๆ แล้วก็ตกไปไม่ถึงมือพวกเขา แต่ที่กระตือรือร้นโทรหาเธอขนาดนี้ ดูท่าจะอยากแบ่งผลประโยชน์ด้วยงั้นสิ”
หลินเซินยกแก้วนมขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งสืออวี่กินอาหารเช้าเสร็จก็หยิบทิชชูออกมาเตรียมเช็ดปาก แต่แล้วก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ นิ้วจึงชะงักไป “แต่ถึงยังไงไม่ว่าข้อตกลงนี้เธอจะเซ็นหรือว่าไม่เซ็นก็ต้องไปที่นั่นรอบหนึ่งอยู่ดี งั้นก็ใช้โอกาสนี้กลับไปเก็บตัวเลยเถอะ ซ่งเซียวหานก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ เธอจะโผล่หน้าออกไปไหนก็ไม่สะดวก รีบกลับไปจัดการเรื่องทั้งหมดแล้วค่อยกลับมา…ก็พอดีเลย”
หลินเซินนึกถึงเด็กสาวสองคนที่ชี้มือชี้ไม้ใส่เธอตรงหน้าห้างสรรพสินค้าเมื่อวานนี้ ไม่ใช่แค่นักข่าวที่อยากจะหาตัวเธอให้พบ แต่คนทั่วไปที่ชอบการซุบซิบนินทาพวกนี้เองก็เป็นปัญหา หลังครุ่นคิดแล้วเธอก็รู้สึกว่าคำแนะนำนี้ไม่เลวนักจึงพยักหน้ารับปากทันที
เมิ่งสืออวี่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก “ฉันจะเรียกเพื่อนให้ขับรถไปส่งเธอ จากไหวอันไปเจ๋อสุ่ย ถ้าไปทางด่วนใช้เวลาแค่สี่ห้าชั่วโมงก็ถึงแล้วจริงไหม”
เมิ่งสืออวี่มีเส้นสายกว้างขวาง หลินเซินเองก็สบายใจ ใช้เวลาไม่นานก็ติดต่อรถได้ ทางนั้นบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังจะมารับเธอที่หน้าคอนโดฯ เมิ่งสืออวี่หากระเป๋าเดินทางออกมาเก็บเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งของตัวเองให้หลินเซิน “เดี๋ยวไปซื้อพวกของใช้ส่วนตัวกับอุปกรณ์อาบน้ำที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตรงประตูทางเข้าคอนโดฯ หน่อยแล้วเอาไปด้วยเลย เธอไม่ต้องกลับบ้านแล้ว ดีไม่ดีจะมีนักข่าวเฝ้าอยู่”
ตอนที่ออกจากคอนโดฯ งานแถลงข่าวที่ซ่งเซียวหานจัดขึ้นเพิ่งจะเริ่มต้น
เพราะว่าเธอเมารถ หลินเซินจึงเช็กโทรศัพท์มือถือไม่ได้ จิตรกรสาวนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ตรงที่นั่งด้านหลัง ในตอนที่รถยนต์ผ่านด่านเก็บเงินตรงทางด่วนเธอก็ได้รับสายจากซ่งเซียวหาน
หลินเซินบอกเรื่องที่ตัวเองจะกลับไปที่บ้านเกิด ซ่งเซียวหานเงียบไปสักพักจึงตอบกลับว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ” แล้วชะงักไปก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ทุกอย่างจะถูกจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่คุณจะกลับมาครับ”
หลินเซินตอบรับเสียงเบา
รถยนต์ขับขึ้นไปบนทางด่วน ทิ้งตึกสูงใหญ่ห่างออกไปด้านหลัง หลินเซินมองดูภาพทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปด้านนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว แล้วหลับตาลงช้าๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.