บทที่สอง ลมพัด
รถติดอยู่บนทางด่วนพักหนึ่งทำให้กว่าจะมาถึงเจ๋อสุ่ยก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว หมู่บ้านที่อยู่ติดกับภูเขาและแม่น้ำแห่งนี้ทำถนนลาดยางขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน แต่จากตัวหมู่บ้านไปถึงบ้านบรรพบุรุษของเธอก็ยังมีระยะทางอีกสิบนาทีซึ่งรถยนต์เข้าไปไม่ได้ต้องเดินเท้าเอา
โชคดีที่หลินเซินมีสัมภาระไม่มากนัก หลังบอกลาคนขับเธอก็ลงจากรถ ในวันนี้หมู่บ้านในความทรงจำของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บริเวณสองข้างทางมีตึกสูงสามชั้นเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย กำแพงด้านนอกแปะเซรามิกสีขาว ทอประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ตกดิน
หลังพ่อแม่เสียชีวิต เธอก็ไม่ได้กลับมาที่นี่เกือบสิบปีแล้ว บรรดาชาวบ้านที่นั่งถือชามข้าวกินกันอยู่บริเวณริมทางต่างมองมายังใบหน้าไม่คุ้นตานี้ด้วยความประหลาดใจ แต่มีบางคนตาแหลมยังจำได้ก้มหน้าลงไปกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ จากนั้นก็จะมีสีหน้ากระจ่างแจ้งแสดงออกมา
หลินเซินลากกระเป๋าเดินทางไปบนสะพานหงเฉียวเหนือแม่น้ำเจ๋อสุ่ยเส้นนั้น สุดปลายถนนลูกรังเป็นทางสามแยกแห่งหนึ่ง บ้านของบรรพบุรุษตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของสามแยก ที่เยื้องอยู่ตรงข้ามกันคือบ้านของลุงใหญ่หลินเจิ้นกั๋ว บ้านมุงหลังคากระเบื้องในความทรงจำของเธอเวลานี้กลายเป็นตึกสองชั้นไปแล้ว ชั้นล่างเป็นประตูม้วนสองบาน แขวนป้ายรับซ่อมรถยนต์เอาไว้
ในละแวกตึกรอบข้าง บ้านของบรรพบุรุษที่เป็นกระเบื้องเขียวกำแพงดินจึงดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ทำนบกั้นน้ำกว้างขวางด้านหน้าประตูแต่ก่อนก่อด้วยดินโคลนไว้ เอามาใช้ตากข้าวเปลือกตีข้าวโพด พอไม่มีคนอยู่อาศัยมาหลายปี ดินโคลนจึงแตกทรุดลงมาหมดแล้ว ระหว่างรอยแตกมีวัชพืชงอกออกมาจับตัวเป็นก้อนเบียดกันอยู่เต็มลานบ้าน
ชาดเคลือบบนประตูไม้แดงหลุดลอกเป็นแผ่นๆ บนหลังคาบ้านเต็มไปด้วยใยแมงมุม หลินเซินกำลังหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู ที่ด้านหลังก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมา “หลินเซิน?! ใช่หลินเซินหรือเปล่า!”
เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นหลินเจิ้นกั๋วจอดมอเตอร์ไซค์ทิ้งเอาไว้ที่ทางแยกกำลังเดินตรงมาหาเธอ
หลินเซินตั้งสติก่อนเค้นยิ้มออกมา “คุณลุงใหญ่”
“เป็นหลานจริงๆ ด้วย เซินเซิน! ดูสิ ไม่ได้เจอกันนาน โตเป็นสาวไปแล้ว” หลินเจิ้นกั๋วดูดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินไปข้างหลินเซินแล้วยกมือขึ้นตบบ่าเธอหนักๆ
หลินเซินตัวสั่นเล็กน้อย อาศัยท่าทางกำลังจะเปิดประตูค่อยๆ ขยับสร้างระยะห่าง ประตูบ้านเปิดออก กลิ่นชื้นๆ และกลิ่นเชื้อราพัดออกมาปะทะเต็มหน้า ฝุ่นผงเหล่านั้นทำให้เธอสำลักจนไอออกมาชุดใหญ่
หลินเจิ้นกั๋วยื่นมือออกมาปัดไปปัดมา “หลายปีนี้หลานไม่กลับมาก็เลยไม่มีใครเข้าไปในบ้าน สะพานไฟเองก็ปิดไปแล้ว” เขาเบี่ยงตัวเดินเข้าไปสำรวจข้างในรอบหนึ่ง “บ้านหลังนี้ยังให้คนอยู่ได้ที่ไหนกัน เซินเซิน ตอนเย็นไปพักกับพวกเราเถอะ ลุงจะให้ป้าเขาทำเนื้อรมควันให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ “เก็บกวาดเล็กน้อยก็โอเคแล้ว”
บนใบหน้ายับย่นของหลินเจิ้นกั๋วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ๆ เดี๋ยวลุงจะให้ป้าเอาพวกเครื่องนอนผ้าห่มใหม่ๆ มาให้นะ จริงสิ หลานน่าจะไปหาคณะกรรมการหมู่บ้านสักรอบ ให้พวกเขาต่อไฟฟ้าให้หลานหน่อย อยู่ตรงหัวสะพานหงเฉียวนั่นแหละ รู้ตำแหน่งใช่ไหม”
“ทราบค่ะ”
“โอเคๆ หลานเก็บของไปก่อน เดี๋ยวมากินมื้อเย็นที่บ้านลุงนะ”
หลินเซินพยักหน้า สายตามองส่งจนลุงใหญ่จากไปแล้วถึงได้ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในบ้าน
ของตกแต่งทุกอย่างตรงทุกๆ มุมห้องล้วนมีความทรงจำของเธอกับพ่อแม่ แจกันกระเบื้องเคลือบบนตู้เสื้อผ้ายังใส่ดอกเหมยสีเหลืองที่เธอเก็บมาจากภูเขาด้านหลังหมู่บ้านในปีนั้น กิ่งของมันแห้งจนผุไปแล้ว แค่สัมผัสเบาๆ ใบกับดอกก็สลายกลายเป็นผงไป
หลินเซินยืนเหม่ออยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนอาศัยโอกาสที่ฟ้ายังไม่มืดออกจากบ้านไปหาคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาเรื่องไฟฟ้า
เจ๋อสุ่ยมีภูเขาและแม่น้ำงดงามทั้งยังอยู่ห่างจากตัวเมือง เสี่ยวหลิวที่เพิ่งสอบติดเป็นข้าราชการเมื่อปีก่อนก็ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ ปกติเขาอยู่ว่างๆ จนชินแล้ว ในระหว่างกำลังนอนฟุบเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่กับโต๊ะทำงาน จู่ๆ ก็เห็นหญิงสาวผมยาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งตรงประตูกำลังเดินเข้ามาทำให้อึ้งไปเล็กน้อย
หลินเซินบอกเหตุผลที่มาที่นี่ ทีแรกเธอคิดว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้วน่าจะจัดการอะไรๆ ลำบาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวหลิวกลับมีท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก หลังเขาหาเอกสารเจอแล้วก็พาเธอไปที่แหล่งจ่ายไฟด้วยตัวเอง วิ่งวุ่นไปมาพักใหญ่ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว
“คุณหลิน ทางชนบทเดินลำบาก ระมัดระวังด้วยนะครับ”
เสี่ยวหลิวเดินถือกระบอกไฟฉายนำอยู่ด้านหน้า เขารั้นจะไปส่งเธอกลับบ้านให้ได้ ในตอนที่เดินมาถึงทางแยกหลินเจิ้นกั๋วที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตูม้วนเห็นหลินเซินเดินมาก็ส่งเสียงทักทาย “เซินเซิน! ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ทุกคนกำลังรอหลานกินข้าวอยู่แน่ะ” เมื่อหันไปเห็นเสี่ยวหลิวรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม “เสี่ยวหลิวก็มาด้วย มากินข้าวด้วยกันไหม”
เธอคาดว่าปกติทั้งคู่คงคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เสี่ยวหลิวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาขานรับแล้วเดินเข้าไป ด้านในมีเสียงหัวเราะของหญิงวัยกลางคนดังออกมา “เสี่ยวหลิวนี่เอง โอ๊ะ! แล้วเซินเซินล่ะกลับมาแล้วหรือยัง”
เด็กอายุห้าหกขวบสองคนวิ่งออกมาจากด้านใน มือของทั้งคู่ถือปืนฉีดน้ำกำลังเล่นกันอยู่ ในตอนที่ทั้งคู่วิ่งผ่านมาก็ชนเข้ากับหลินเซินเบาๆ เด็กสองคนจึงเงยหน้ามองเธอด้วยความสนใจ
เป็นเพราะว่าชนบทตอนกลางคืนหนาวเกินไปอย่างนั้นเหรอ เธอถึงตัวสั่นขึ้นมาน้อยๆ พอได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านในแล้วกลับขยับเท้าไม่ได้
หลินเจิ้นกั๋วยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกประตู “นี่ลูกของลูกชายลุงน่ะ เขาไปทำงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ก็เลยทิ้งเด็กๆ ไว้ให้พวกเราดูแล” หลินเจิ้นกั๋วดึงตัวเด็กทั้งสองคนเอาไว้แล้วชี้ไปที่หลินเซิน “เรียกคุณอา”
เด็กน้อยสองคนมองประเมินเธอสักพักก่อนเอ่ยทักออกมาด้วยท่าทางเขินอายว่า “สวัสดีครับคุณอา” หลินเซินรู้สึกทำอะไรไม่ค่อยถูก ช่วงที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต ลูกชายของครอบครัวหลินยังไม่แต่งงาน จึงไม่เคยมีใครสอนเธอว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร
หลินเจิ้นกั๋วคล้ายสังเกตเห็นความระมัดระวังตัวของหลินเซินจึงตบบ่าเด็กทั้งคู่เบาๆ แล้วบอกให้พวกเขาไปเล่นกันต่อ ก่อนจะแสดงสีหน้ายิ้มแย้มหันมาเรียกหลินเซิน “ไป เข้าไปกินข้าวกัน”
เดินผ่านทางเดินเล็กๆ ด้านหลังประตูม้วนเข้าไปก็เป็นห้องรับแขก การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่ายมาก ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมใหญ่วางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางอาหารจำพวกเนื้อไว้เต็มไปหมด รอบๆ มีคนนั่งอยู่แล้วเจ็ดแปดคนกำลังพูดคุยหัวเราะกัน เมื่อพวกเขาเห็นหลินเซินเดินเข้ามาก็พลันพากันเงียบลงไปในชั่วอึดใจ ก่อนทั้งหมดจะทยอยกันลุกขึ้นมาทักทายเธออย่างกระตือรือร้น
เมื่อกวาดสายตามองไปก็ล้วนเป็นคนหน้าตาคุ้นเคยกันทั้งนั้น แต่หลินเซินกลับนึกไม่ออกว่าเป็นญาติทางฝั่งไหนบ้าง เธอคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้าแทนการทักทาย ป้าใหญ่เจียงกุ้ยจือเดินมาจูงมือเธอ “ตายแล้ว เซินเซินโตเป็นสาวแล้วจริงๆ ดูสิ ดูดีมากเลย”
มือของป้าใหญ่เจียงกุ้ยจือมีปุ่มหนาๆ ซึ่งเกิดจากการทำงานเกษตรเป็นประจำอยู่เต็มไปหมด ฝ่ามือนั้นทั้งหยาบกร้านและบาดผิว หลินเซินขัดขืนเล็กน้อยทว่าไม่สามารถสลัดมือคู่นั้นออกได้ จึงได้แต่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดอย่างสุดความสามารถขณะถูกหญิงวัยกลางคนดึงตัวไปนั่งข้างเสี่ยวหลิว
เจียงกุ้ยจือเอ่ยแนะนำทีละคน “นี่คือลุงรองของหลาน ส่วนนี่ลุงเขย แล้วก็นี่ลูกพี่ลูกน้อง…”
หลินเซินใจลอยไปถึงสมัยเธอยังเด็กๆ ขึ้นมากะทันหัน ตอนที่ปู่ยังอยู่ พ่อกับแม่จะเดินทางกลับมาที่เจ๋อสุ่ยในวันที่สามสิบก่อนขึ้นปีใหม่ คนทั้งครอบครัวจะผ่านวันปีใหม่ไปด้วยกันอย่างมีความสุข
ทว่าหลังปู่จากไปและทิ้งบ้านของบรรพบุรุษเอาไว้ให้คุณพ่อหลิน เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างพี่น้องครอบครัวหลิน ดังนั้นในช่วงปีใหม่พวกเขาจึงไม่ค่อยกลับมาที่นี่แล้ว มีแค่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่คุณพ่อหลินจะพาเธอกลับมาพักสั้นๆ เพื่อจะได้สัมผัสช่วงเวลาวัยเด็กที่ขึ้นเขาลงห้วยอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็จากไป ในงานศพมีฝนตกลงมาปรอยๆ…
หลินเซินหลับตาลงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดต่อไป เธอไม่รู้ว่าเจียงกุ้ยจือพูดอะไร ทุกคนถึงพากันหัวเราะ หญิงสาวยื่นตะเกียบออกไปคีบไข่พะโล้ตรงหน้า แต่คีบอยู่สองครั้งก็ยังไม่ได้จึงยอมแพ้เสียเลย
เสี่ยวหลิวคีบไข่พะโล้มาใส่ชามเธอให้ พอหลินเซินมองไป เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างเขินอาย
ภาพนี้ถูกเจียงกุ้ยจือเห็นเข้า เธอจึงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้นทันที “เสี่ยวหลิวใส่ใจเซินเซินของพวกเราจริงๆ…จริงสิเซินเซิน หลานมีแฟนแล้วหรือยัง”
หลินเซินรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนพรมเข็มทันที
เสี่ยวหลิวรู้สึกกระดากอายจึงขัดขึ้น “ป้าเจียงพูดอะไรกันครับ!”
“อะไรกัน ผู้หญิงผู้ชายอยู่ในวัยแต่งงานกันทั้งคู่ ดูสิว่าวันนี้พอเซินเซินกลับมาก็ได้เจอเธอพอดี นี่ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกเหรอ”
คนทั้งโต๊ะพากันรับคำ ดูเหมือนพวกเขาอยากจะจับให้หลินเซินแต่งงานตอนนี้เลย
หลินเซินรู้สึกว่าถ้าตัวเองยังไม่พูดอะไรออกมา คาดว่าเรื่องการแต่งงานก็คงจะถูกกำหนดขึ้นบนโต๊ะอาหารมื้อนี้แล้ว “ฉันมีแฟนแล้วค่ะ” ญาติๆ ที่อยู่รอบข้างต่างเงียบไป หญิงสาวยกแก้วน้ำขึ้นมาแล้วเอ่ยย้ำอีกรอบ “ฉันมีแฟนแล้วค่ะ ขอบคุณคุณป้าใหญ่ที่เป็นห่วง!”
เจียงกุ้ยจือยิ้มออกมาราวกับว่าในที่สุดก็ได้เห็นลูกสาวของตัวเองมีคนต้องการตัวแล้วอย่างไรอย่างนั้น “ก็จริงๆ เซินเซินสวยขนาดนี้ จะไม่มีใครจีบได้ยังไงกัน แล้วอีกฝ่ายเป็นคนที่ไหน ทำงานอะไร”
หลินเซินปั้นหน้านิ่งแต่งเรื่องต่อ “เป็นคนไหวอันค่ะ ทำงาน…”
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นขึ้นมา หลินเซินจึงหยิบออกมาดู เห็นเป็นเบอร์แปลกๆ เบอร์หนึ่ง ญาติๆ ต่างมองมากำลังรอให้เธอพูดต่อ หลินเซินเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ “ฉันขอรับสายก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็กดรับสาย “ฮัลโหล?”
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
หลินเซินอึ้งไปเล็กน้อย “คุณ…”
อีกฝ่ายหัวเราะออกมา “ผมดูงานแถลงข่าวของซ่งเซียวหานแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ พรุ่งนี้คุณพอจะมีเวลาไหม ผมอยากพาคุณไปพบคนคนหนึ่ง”
“ฉันกลับมาที่บ้านเกิดแล้วค่ะ” หลินเซินหันไปมองรอบๆ ก็เห็นดวงตาหลายคู่ล้วนมองมาที่เธอ จิตรกรสาวสูดลมหายใจเข้าลึก “คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ”
“ผมเหรอ…ผมดูข่าวอยู่บ้านน่ะ”
“สนุกไหมคะ”
“หมายถึงข่าวเหรอครับ ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ที่พูดถึงมากที่สุดก็ยังเป็นข่าวของคุณกับซ่งเซียวหาน”
“อ้อ อีกสองสามวันฉันถึงจะกลับไป คุณ…” เธอกัดฟัน “ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะคะ”
ปลายสายเงียบไปหลายวินาที หลังจากนั้นหลินเซินก็ได้ยินเสียงหลุดขำพรืดใหญ่ “หลินเซิน คุณไม่สะดวกจะคุยโทรศัพท์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ…”
“อยู่บ้านเกิด? คงไม่ใช่ว่าถูกบรรดาญาติๆ บีบเรื่องแต่งงานใช่ไหม”
เขาดูจะเข้าใจดี…ท่าทางจะมีประสบการณ์มาไม่น้อย
“ค่ะ”
กู้ชิงไหวหัวเราะเสียงสดใสกว่าเดิม “ถ้าเกิดผมไม่โทรมา คุณตั้งใจจะทำยังไงกัน” ไม่รอให้หลินเซินตอบ เขาก็ถอนหายใจ “ผมจะเป็นคนดีช่วยให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน คุณเปิดลำโพงหน่อย”
หลินเซินรู้สึกระแวงขึ้นมา “คุณจะทำอะไรคะ”
“เชื่อผมเถอะ ถ้าไม่อยากถูกรบกวนในวันอื่นๆ ที่เหลือก็ทำตามที่ผมพูด”
หลินเซินลดโทรศัพท์มือถือลงช้าๆ แล้วเปิดลำโพงทำให้ได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะของกู้ชิงไหวดังออกมา
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้าทุกคน พอดีว่าครั้งนี้ผมติดงานก็เลยไม่ได้ตามเซินเซินกลับไปทักทายทุกคนด้วยกัน ครั้งหน้าจะต้องไปขออภัยต่อหน้าแน่นอนครับ เซินเซินของผมค่อนข้างเก็บตัว หวังว่าช่วงสองสามวันนี้คุณลุงคุณป้าทุกคนจะช่วยผมดูแลเธอให้ดี ถ้ามีโอกาสให้มาไหวอันนะครับ ผมจะเลี้ยงข้าวทุกคนเอง”
ญาติๆ ที่โต๊ะอาหารต่างมองหน้ากัน แล้วก็ยังคงเป็นเจียงกุ้ยจือที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวที่สุด เธอยิ้มแล้วเอ่ยเสียงแหลม “ตายแล้ว! เด็กคนนี้รู้จักพูดจาจริงๆ ดูพูดเข้าสิ ครอบครัวเดียวกันจะมาพูดเรื่องดูแลอะไรกันล่ะ ถ้ามีโอกาสก็มาเที่ยวที่เจ๋อสุ่ยด้วยนะ”
กู้ชิงไหวหัวเราะอย่างชวนให้ผู้หลักผู้ใหญ่เอ็นดู “แน่นอนครับๆ” เอ่ยจบเขาก็ลดเสียงลง ฟังแล้วรู้สึกอ่อนโยนยิ่งกว่าอะไรดี “งั้นเซินเซินก็อยู่คุยกับทุกคนไปก่อนนะ แต่อย่าให้ดึกไป เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งหายหวัด รีบกลับไปพักผ่อนด้วยนะครับ”
หลังวางสายไปแล้ว เสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ หลินเซินก็มีรอยยิ้มเจื่อนๆ ดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ว่าโชคดีที่ในที่สุดพวกเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องแต่งงานของหลินเซินแล้ว เจียงกุ้ยจือเอ่ยชมกู้ชิงไหวเสียใหญ่โต กำชับให้ครั้งหน้าหลินเซินจะต้องพาเขากลับมาให้ทุกคนได้เจอ
หลินเซินผ่อนลมหายใจออกมา พอย้อนคิดถึงการกระทำเมื่อครู่นี้ก็รู้สึกขบขัน แต่นอกจากกู้ชิงไหวแล้วคงหาใครที่จะร่วมมือกับเธอขนาดนี้ไม่ได้จริงๆ แถมเขายังเป็นฝ่ายเสนอตัวมาเล่นละครกับเธอเองด้วย
หลังกินข้าวเสร็จหลินเซินก็หอบผ้านวมสองผืนที่เจียงกุ้ยจือหามาให้กลับบ้านไป ในบ้านต่อกระแสไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว แต่แสงของหลอดไฟดูสลัวๆ หลินเซินตักน้ำมาเช็ดโซฟาแล้วจึงปูผ้านวมก่อนนอนลงไป
โชคดีที่เป็นคืนฤดูร้อน จึงนอนแบบนี้ได้โดยไม่เป็นหวัด หลินเซินปิดไฟ รอบห้องก็มืดลง ไกลออกไปยังได้ยินเสียงเจียงกุ้ยจือตำหนิหลานชายสองคน ด้านหลังบ้านของบรรพบุรุษเป็นทุ่งนาผืนหนึ่ง พวกเขาเพิ่งปลูกข้าวของฤดูกาลนี้ไป และเวลาที่กบนากระโดดขึ้นมาก็จะได้ยินเสียงน้ำกับเสียงกบร้องอย่างชัดเจน
หลินเซินลืมตามองความมืดที่เหมือนหยดหมึกที่กระจายตัวออก ผ่านไปพักใหญ่ๆ เธอถึงได้คลำหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเปิดบันทึกการโทรออกดูแล้วกดโทรออกไป อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงหยอกล้อดังขึ้น “สลัดบรรดาญาติๆ พ้นแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ…ขอบคุณเรื่องเมื่อกี้นี้ด้วยนะคะ” หลินเซินชะงักไป “จะว่าไปแล้วคุณมีเบอร์ของฉันได้ยังไงคะ”
กู้ชิงไหวเงียบไปไม่กี่วินาทีก็ตอบกลับไป “วันนั้นตอนเก็บโทรศัพท์มือถือกลับมาให้คุณ ผมบันทึกเบอร์คุณเอาไว้ด้วย”
หลินเซินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มือถือฉันไม่ได้มีรหัสผ่านหรอกเหรอคะ”
“…หลังมันหล่นอาจจะเจ๊งชั่วคราวมั้งครับ คุณกลับบ้านเกิดไปทำอะไรกัน ซ่อนตัวเหรอครับ”
หลินเซินถูกเขาพาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ค่ะ มีเหตุผลนั้นด้วย” จากนั้นเธอก็บอกเรื่องซื้อขายที่ดินที่บ้านเกิดไปด้วยคร่าวๆ ในความมืดนี้เสียงที่ดังมาจากปลายสายฟังดูชัดเจนเป็นพิเศษ
“งั้นคุณจะขายบ้านของบรรพบุรุษเหรอครับ เงินค่าชดเชยน่าจะได้ไม่น้อย คุณคนเดียวรับมือกับญาติกลุ่มนั้นได้เหรอ”
“ฉันไม่มีทางขายค่ะ” หลินเซินหลับตาลง นิ้วมือวาดผ่านความมืดไร้รูปร่าง “ตอนแรกที่ปู่ทิ้งบ้านไว้ให้พ่อของฉัน ก็เพราะว่าพ่อของฉันรับปากว่าจะไม่มีวันขายที่ดินผืนนี้ อีกอย่างคือที่นี่ยังมีความทรงจำของฉันกับครอบครัวอยู่ด้วย”
กู้ชิงไหวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “งั้นบรรดาญาติๆ ที่อยากจะแบ่งผลประโยชน์พวกนั้นก็รับมือด้วยยากแล้ว”
“ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกค่ะ” เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเก็บซ่อนอารมณ์ “เมื่อครู่นี้คุณโทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“แค่เรื่องเล็กๆ ครับ รอคุณกลับมาค่อยว่ากันก็ได้…” ในตอนที่เขากำลังจะวางสาย กู้ชิงไหวก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “ที่ชนบทมียุงกับแมลงเยอะ ซื้อยากันยุงแล้วหรือยังครับ”
“ลืมซื้อค่ะ”
เขาถอนหายใจ “ดึกแบบนี้ร้านค้าน่าจะปิดไปหมดแล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมไปซื้อนะครับ”
“ค่ะ”
กู้ชิงไหวยิ้มออกมา ”ราตรีสวัสดิ์ครับหลินเซิน!”
เธอวางสายไปโดยไม่ได้ตอบกลับ
อีกฟากหนึ่ง กู้ชิงไหวมองหน้าจอที่ดับไปแล้วอย่างเหม่อลอยสักพัก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็หยิบมือถือเดินไปข้างคอมพิวเตอร์ ในโฟลเดอร์เอกสารมีไฟล์ชื่อ ‘ฉันหวังว่า’ อยู่ หลังเขากดเปิดเสียงอ่านบทกลอนก็ดังขึ้นที่ข้างหู
หลังฟังจบไปหนึ่งรอบ เขาก็เปิดบันทึกบทสนทนาเมื่อครู่นี้ในโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
ตอนแรกเขายังไม่แน่ใจว่าเสียงในโบสถ์นั้นใช่เสียงของเธอหรือเปล่า เพราะมันก็ผ่านมานานแล้วกู้ชิงไหวจึงกังวลว่าความทรงจำของเขาอาจจะผิดเพี้ยนไป แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังเสียงที่บันทึกในคอมพิวเตอร์และมือถือเทียบกัน ระดับโทนเสียงทั้งสองเสียงนั้นเหมือนกันไม่มีผิด
กู้ชิงไหวมองดูสีสันของราตรีอันมืดมิดข้างนอกหน้าต่าง บางที…เขาควรจะไปยืนยันด้วยตัวเองสักครั้ง
ท้องฟ้าของชนบทดูเหมือนจะสว่างเร็วกว่าในเมือง ทว่าบรรยากาศเงียบสงบกว่าในเมืองมากนัก ช่วงเก้าโมงกว่าๆ ก็มีคนมาเคาะประตู ที่ด้านนอกนั้นมีเสียงของเด็กๆ ดังเข้ามา “คุณอาเล็กๆ”
หลินเซินลุกขึ้นมาเปิดประตู หลานชายสองคนของเธอยืนอยู่ตรงนั้น “คุณอาเล็ก คุณย่าเรียกให้ไปกินข้าวเช้าครับ”
คนที่พูดคือหลินจื่อหยางที่โตกว่าหน่อย หลินจื่อเฟิงที่เล็กกว่ากำลังชะโงกหน้ามองเข้าไปสำรวจในบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น หลินเซินไม่ได้สัมผัสกับเด็กๆ มานานแล้ว เธอเอ่ยถามอย่างลังเล “อยากจะเข้ามาเล่นกันไหม”
เด็กทั้งสองคนดีใจมาก รีบวิ่งฉิวเข้าไปในบ้านทันที
บ้านของบรรพบุรุษนั้นใหญ่มากและแบ่งออกเป็นสองชั้น ในสายตาของเด็กๆ แล้วนี่ก็คือสถานที่เล่นไล่จับที่ดีมาก หลินเซินปล่อยพวกเขาเล่นกันไป ส่วนตัวเองไปตักน้ำมาอาบ ในตอนที่กำลังเก็บข้าวของส่วนตัวก็ค้นเจอช็อกโกแลตกล่องหนึ่งในกระเป๋าเดินทาง มันเป็นของที่เมื่อวานเมิ่งสืออวี่ซื้อให้เธอจากซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าประตูคอนโดฯ ก่อนออกเดินทางมา
เธอกวักมือเรียกหลานชายตัวน้อย นั่งยองๆ แล้วยื่นช็อกโกแลตไปให้ “ให้พวกหนูกิน”
“ขอบคุณครับคุณอาเล็ก!” หลินจื่อหยางดีใจจนโอบรอบคอของหลินเซินแล้วหอมแก้มไม่หยุด
ในตอนที่หลินเซินได้สติกลับมา เด็กน้อยทั้งสองก็พากันวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว เธอยกมือลูบแก้มตัวเอง ยังมีรอยน้ำลายติดอยู่เลย
มื้อเช้ามีข้าวต้มกับหมั่นโถวทอด เจียงกุ้ยจือยกผักดองที่หมักด้วยตัวเองมาวางบนโต๊ะ รสชาติของมันเข้ากันกับข้าวมาก หลินเจิ้นกั๋วกินข้าวอย่างรวดเร็ว หลังกินเสร็จก็นั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ พอลิ้มรสไปได้สองเฮือกก็หันไปมองหลินเซิน
“เซินเซินเอ๊ย ครั้งนี้ที่เรียกหลานกลับมา หลานเองก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องรื้อบ้านของบรรพบุรุษ ผู้รับผิดชอบของโรงงานมาคุยกับลุงหลายครั้งแล้ว เงื่อนไขชดเชยเองก็ไม่เลวทีเดียว หลังกินเสร็จหลานตามลุงไปที่โรงแรมในหมู่บ้าน ไปเจอผู้รับผิดชอบดีไหม”
หลินเซินวางตะเกียบลงแล้วหยิบทิชชูมาเช็ดปาก น้ำเสียงตอนเอ่ยออกไปนั้นราบเรียบ “ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องรื้อบ้านของบรรพบุรุษค่ะ”
เจียงกุ้ยจือกับหลินเจิ้นกั๋วหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน หลินเจิ้นกั๋วเปลี่ยนโทนเสียงให้สูงขึ้น “เซินเซิน! นั่นเป็นเงินหลายแสนเลยนะ บ้านไม่มีคนอยู่ไปนานแล้ว ทิ้งเอาไว้ตรงนั้นก็เป็นแค่ของตกแต่ง!!”
“พ่อเคยรับปากกับปู่ว่าจะไม่ขายบ้านของบรรพบุรุษทิ้ง ฉันเองก็ไม่มีทางขายค่ะ”
หลินเจิ้นกั๋วพยักหน้าติดๆ กัน น้ำเสียงโอนอ่อนลงอีกครั้ง “ใช่ๆๆ ตอนแรกพ่อของหลานเคยรับปากกับปู่ไว้ แต่ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่หลานตัวคนเดียว ก่อนหน้าที่ลุงจะโทรหาหลาน หลานก็ไม่เคยกลับมาเป็นสิบปีแล้วจริงไหม ผ่านไปไม่กี่ปีบ้านหลังนี้ก็จะกลายเป็นบ้านเก่าทรุดโทรมแล้ว” เขาแบมือออก “ดีไม่ดีวันไหนมีแผ่นดินไหวอีกทีก็ถล่มลงมาแล้ว หลานว่าแบบนี้จะไม่เสียเปล่าหรอกเหรอ”
“ถ้าถล่มลงมา ฉันก็แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ต่อให้ปล่อยมันว่างไว้ฉันก็ไม่มีทางขายค่ะ”
เจียงกุ้ยจือฟังออกว่าหลินเซินไม่ยอมรับการเกลี้ยกล่อมใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าก็พลันขมขื่นลงทันที เธอถอนหายใจแล้วเอ่ยตัดพ้อ “เซินเซิน หลานไม่รู้สินะว่าช่วงสองปีมานี้พี่ชายพี่สะใภ้ของหลานต้องไปทำงานอยู่ข้างนอก ได้เงินมาไม่เท่าไหร่ เด็กๆ สองคนที่บ้านนี่ก็ต้องให้พวกเราคอยดูแล อาหารเสื้อผ้าโรงเรียนมีอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน ชีวิตผ่านไปอย่างลำบากจริงๆ” พูดจบตาก็แดงขึ้นมา เจียงกุ้ยจือเงยหน้าขึ้นทำท่าปาดน้ำตา “เซินเซิน หลานไม่ได้กลับมาหลายปีขนาดนี้ พวกเราคอยดูแลบ้านของบรรพบุรุษให้ก็ไม่เคยพูดจาตัดพ้อสักคำ ตอนแรกที่พ่อแม่ของหลานเสียชีวิต พวกเราก็เดินทางไกลไปช่วยเหลือ งานศพก็เป็นพวกเราช่วยจัดการทั้งนั้น…”
เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงงานศพ ในสมองของหลินเซินก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นทันที เธอลุกพรวดจนชนเข้ากับเก้าอี้ด้านหลัง เจียงกุ้ยจือสะดุ้งตกใจ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
หลินเซินสูดลมหายใจเข้าลึก นิ้วมือจับขอบโต๊ะแน่น “ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีทางเห็นด้วยเรื่องขายบ้านของบรรพบุรุษค่ะ”
หลินเจิ้นกั๋วรีบเดินเข้ามาเอ่ยปลอบเธอ “เซินเซิน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดจากันดีๆ หลานจะโมโหอะไร…”
หลินเซินเบี่ยงตัวหลบมือที่กำลังจะวางลงบนไหล่เธอ พร้อมก้าวถอยหลังไปสองก้าว “ฉันขอตัวก่อนนะคะ ถ้าผู้รับผิดชอบโรงงานอยากจะมาคุยก็ให้เขามาหาฉันนะคะ”
หลังพูดจบ หลินเซินก็กลับตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องเงียบลง เหลือแค่เด็กน้อยสองคนวิ่งวนไล่จับกัน ผ่านไปสักพักหลินเจิ้นกั๋วก็คว้าตัวหลินจื่อหยางพร้อมตะคอกใส่เสียงดัง “ห้ามเล่นที่นี่! ออกไปซะ!”
เจียงกุ้ยจือตบโต๊ะ ตะเบ็งเสียงด่า “ตาแก่ แกจะมาดุใส่หลานชายทำไมกัน! เมื่อครู่ทำไมไม่กล้าตะโกนใส่นังเด็กนั่นล่ะ!!”
หลินเจิ้นกั๋วโมโหจนก้อนเนื้อบนใบหน้ากระตุก มือของเขาสั่นขณะเอาล้วงบุหรี่มวนหนึ่งออกมา “นังนี่ประหลาดมาตั้งแต่เด็ก เวลาพูดด้วยก็อย่างกับถูกสะกดจิตต้องคล้อยตามไป โมโหใส่ไม่ได้สักนิด”
“เฮอะ! นังเด็กใจจืดใจดำ ฉันว่ามันอยากจะฮุบเงินค่ารื้อถอนเอาไว้คนเดียว!”
หลินเจิ้นกั๋วถอนหายใจยาว ผ่านไปสักพักก็พลันลุกพรวดขึ้นมา “ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องไปเรียกเจ้าสาม หู่จื่อมาปรึกษากันว่าเรื่องนี้จะทำยังไงดี หลินเซินคนนั้นเป็นคนหัวแข็ง ตั้งแต่เด็กๆ มันก็ไม่ได้สนิทกับพวกเรา ดังนั้นจะต้องคิดหาวิธีให้ดีๆ”
เขาดูดบุหรี่เข้าไปอีกอึกแล้วรีบร้อนออกจากบ้านไป
เพราะกังวลว่าหลินเจิ้นกั๋วจะไล่ตามมา หลินเซินเลยไม่ได้กลับไปที่บ้านของบรรพบุรุษ แต่เดินตามถนนหินลงไปที่แม่น้ำหงเหอ แม้จะเรียกว่าแม่น้ำแต่ความจริงแล้วก็คือลำธารกว้างหนึ่งเมตรกว่าสายหนึ่ง สมัยเด็กยังพอมองเห็นปลาได้ คุณพ่อหลินเคยพาเธอลงไปในแม่น้ำเพื่อจับปลา แล้วก็จะมีชาวบ้านมานั่งซักเสื้อผ้าอยู่บนก้อนหินที่ริมธารด้วย แต่ตอนนี้น้ำในลำธารขุ่นมัวไปจนหมดแล้ว
หลินเซินหามุมที่ค่อนข้างปลีกวิเวกและเงียบสงบได้ก่อนจะนั่งลงแล้วสวมหูฟังเพื่อฟังเพลง ปล่อยจิตใจให้เหม่อลอยไปไกล ในตอนใกล้มื้อเที่ยงเธอก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหลินเจิ้นกั๋ว หญิงสาวลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังคงกดรับสาย
“เซินเซิน อีกสักพักมากินข้าวที่ร้านอาหารเหอจยาฮวนในหมู่บ้านนะ คือว่า…หลานไม่ได้อยากคุยกับผู้รับผิดชอบหรอกเหรอ ลุงไปบอกเขาให้แล้ว”
“ได้ค่ะ”
หลินเซินลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นที่ติดตรงชายเสื้อผ้าออก แล้วเดินไปทางหมู่บ้าน
เหอจยาฮวนเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของหมู่บ้านเจ๋อสุ่ย ตัวร้านสูงสามชั้น ในหมู่บ้านนี้ถ้าเกิดมีคนแต่งงาน หรือฉลองวันเกิดก็จะพากันมาจัดงานที่นี่ ดังนั้นป้ายร้านบนประตูจึงแขวนผ้าไหมสีแดงเพื่อให้เป็นสิริมงคลเอาไว้ตลอดเวลา แต่เพราะผ่านแดดผ่านฝนมานานสีจึงซีดจางไปบ้างเล็กน้อย
ในตอนที่หลินเซินเดินขึ้นไปบนชั้นสอง โต๊ะอาหารภายในห้องใหญ่ก็มีคนนั่งอยู่แล้วห้าหกคน เมื่อกวาดสายตามองไปก็เห็นว่ามีคนที่กินข้าวเย็นด้วยกันเมื่อวาน ส่วนอีกสองคนนั้นไม่คุ้นตา หลินเจิ้นกั๋วกำลังสูบบุหรี่และพูดอะไรบางอย่างอยู่กับคนข้างตัว เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาก็หยุดคุยทันที
ชั่วขณะหนึ่งหลินเซินนึกอยากจะกลับตัวแล้วเดินออกไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าในมื้ออาหารนี้เธอจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอหวาดกลัวจะเผชิญหน้าด้วยมากที่สุดพอดี
แต่เธอไม่ได้หนี
เธอหนีมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ชีวิตของเธอไม่อาจเอาแต่หนีไปได้ตลอด
หลินเจิ้นกั๋วลุกขึ้นยืนทักทายหลานสาว “เซินเซินมาแล้วเหรอ รีบมานั่งเร็วเข้า”
คาดว่าหลินเจิ้นกั๋วคงเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้คนอื่นๆ ฟังแล้ว แววตาของคนเหล่านั้นจึงมองเธอแปลกๆ หลินเซินนั่งลงตรงตำแหน่งใกล้กับหน้าต่าง หลุบตาลงมองลายดอกไม้บนผ้าปูโต๊ะ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่นานนักตัวแทนของโรงงานก็มาถึง เขาสวมสูทกับรองเท้าหนัง ท่าทางเป็นทางการ หลินเจิ้นกั๋วในฐานะคนกลางเอ่ยแนะนำตัวให้แต่ละฝ่ายฟังไปรอบหนึ่ง อาหารยังไม่ทันนำมาวาง ตัวแทนของโรงงานก็เอาหนังสือสัญญายื่นให้หลินเซินแล้ว
“คุณหลินสามารถอ่านเงื่อนไขที่พวกเราเสนอก่อนก็ได้ ทางบริษัทไม่มีทางเอาเปรียบพวกคุณหรอกครับ ค่ารื้อถอนรวมถึงค่าชดเชยภายหลังต่างก็ระบุเอาไว้ในสัญญาอย่างชัดเจนหมดแล้ว พูดได้ว่าค่าชดเชยการรื้อถอนในช่วงหลายปีมานี้ ไม่มีที่ไหนให้สูงกว่าพวกเราแล้วครับ”
ท่ามกลางสายตาที่เหมือนจะกินคนรอบข้างได้ หลินเซินยื่นมือออกไปผลักหนังสือสัญญากลับไปโดยไม่ลังเลสักนิด “ไม่ว่าทางบริษัทของคุณจะเสนอเงื่อนไขยังไง ฉันก็ไม่มีทางตกลงค่ะ”
ตัวแทนของโรงงานประหลาดใจกับท่าทียืนกรานของหลินเซิน เขายิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยกล่อมด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณหลินครับ เรื่องราวไม่มีอะไรแน่นอน ผมเองก็ได้ยินคุณลุงของคุณบอกว่าคุณพักอยู่ที่ไหวอันเป็นหลัก บ้านเกิดหลังนี้ก็อยู่ว่างๆ มาหลายปีแล้ว ในตอนนี้มีวิธีการดีๆ ที่คุณมีแต่ได้กับได้ แล้วคุณจะดื้อรั้นไปทำไมกันครับ”
หลินเซินส่ายหน้า “คุณพ่อของฉันเคยสัญญากับคุณปู่เอาไว้ ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ค่ะ”
หลินเจิ้นกั๋วแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “เซินเซิน หลานนะหลาน ทำไมต้องดื้อขนาดนี้ด้วย ปู่กับพ่อของหลานก็ตายไปตั้งนานแล้ว ไม่ควรจะเห็นใจคนเป็นก่อนหรอกเหรอ”
“ใช่แล้วๆ หลินเซิน หนูก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งหลายปีแล้ว อีกอย่างบ้านของบรรพบุรุษก็ใช้อาศัยไม่ได้ไปนานแล้วด้วย ทำไมหนูจะต้องรักษาสัญญาอะไรพวกนั้นแล้วมาสร้างความลำบากให้กับพวกเราด้วย”
เมื่อหลินเจิ้นกั๋วเริ่ม คนอื่นๆ ก็เปิดปากแย่งกันพูด ราวกับกำลังรอค่ารื้อถอนมาซื้อข้าวสารลงหม้ออย่างไรอย่างนั้น หลินเซินนั่งตัวตรงรอจนพวกเขาพูดจบแล้วถึงได้เอ่ยเน้นเสียงทีละคำ “ยังไงฉันก็ไม่มีทางเซ็นสัญญา แล้วก็ไม่มีทางขายบ้านของบรรพบุรุษเหมือนกัน”
หลินเซินมองไปที่ผู้รับผิดชอบ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ! แต่รบกวนพวกคุณหาที่ดินใหม่เถอะค่ะ”
ผู้รับผิดชอบยิ้มเจื่อนๆ อย่างไร้ทางเลือก “ในเมื่อคุณหลินยืนกรานแบบนี้ งั้นผมเองก็จะไม่บังคับ”
คนทั้งโต๊ะพากันร้อนใจขึ้นมาทันควัน หลินเจิ้นกั๋วรีบเอ่ย “คุณเฉิน! เรื่องนี้พวกเรารอปรึกษากันอีกที…”
“กินข้าวกันก่อนเถอะค่ะ” หลินเซินเอ่ยขัดขึ้น น้ำเสียงของเธอไม่แสดงอารมณ์อะไร “อาหารก็ยกมาเสิร์ฟแล้ว”
ตอนที่เธอพูด บริกรก็กำลังนำอาหารมาวางเรียงบนโต๊ะ หลินเจิ้นกั๋วอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ “ใช่แล้วๆ กินข้าวกันก่อนๆ”
กินไปได้ครึ่งทาง หลินเซินก็อ้างว่าจะไปห้องน้ำ แต่หลังลงจากตึกมาเธอก็ไม่ได้กลับขึ้นไปอีก หลินเซินคิดว่าเธอแสดงท่าทีอย่างชัดเจนพอแล้ว ตัวแทนของโรงงานคงเข้าใจ และคาดว่าเขาคงไม่มีทางมารบกวนอีก ก็นับได้ว่าเธอจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว ส่วนพวกหลินเจิ้นกั๋ว…ก็คงต้องปล่อยให้พวกเขาดิ้นรนกันไป เพราะถึงยังไงพรุ่งนี้เธอก็จะกลับไหวอันแล้ว
ตอนบ่ายหลินเซินโทรหาเมิ่งสืออวี่เพื่อเล่าความเป็นไปให้เพื่อนฟังเล็กน้อย ก่อนจะถามถึงประเด็นข่าวที่เกี่ยวกับตัวเธอเองว่ากระแสซาลงไปบ้างแล้วหรือยัง
“ดีกว่าเมื่อสองวันก่อนหน่อย แต่ก็ยังคงเป็นหัวข้อข่าวเด่นอยู่ แถมซ่งเซียวหานก็ยังไม่โผล่หน้าไปงานแถลงข่าวด้วย เลขาฯ ของเขาต้องนั่งอธิบายไปชุดใหญ่ อย่างกับกำลังอ่านสคริปต์ข่าวยังไงยังงั้น แต่สื่อก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ”
หลินเซินถอนหายใจ “พรุ่งนี้ฉันก็จะกลับไปแล้ว”
“ไม่อยู่ให้นานกว่านี้หน่อยเหรอ”
“ไม่อยากอยู่แล้ว”
“เอาเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะเรียกให้คนขับรถไปรับเธอ กลับมาแล้วก็มาอยู่บ้านฉันไปก่อนชั่วคราวเถอะ”
หลังวางสายหลินเซินก็เดินตามถนนสายเล็กขึ้นไปบนภูเขาที่พ่อเคยพาเธอไปบ่อยๆ บนยอดเขานั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่ และมีเถาวัลย์หนามที่ออกผลสีแดงลูกเล็กๆ ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘เจอมู่เอ๋อร์’ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก ตอนหลังหลินเซินบังเอิญไปเจอมันเข้าในหนังสือถึงได้รู้ว่าผลไม้ชนิดนี้เรียกว่าผลเบอรี่หนาม
หลินเซินเดินไปทั่วยอดเขาแต่ก็หาผลไม้ชนิดนี้ไม่พบ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เด็ดมันให้เธอในปีนั้น หรือว่าผลไม้ที่ถูกเด็ดมา ต่างก็ไม่อยู่กันแล้วทั้งนั้น
ตอนที่กลับไปที่หมู่บ้านท้องฟ้าก็มืดแล้ว เธอเดินผ่านบ้านของหลินเจิ้นกั๋วเห็นว่าประตูม้วนทั้งสองบานถูกดึงลงมาแล้ว มีแค่ตรงหน้าต่างบนชั้นสองที่ยังมีแสงไฟลอดออกมา พอหลินเซินเปิดประตูบ้านของบรรพบุรุษ ไฟดวงนั้นก็ดับลงเช่นกัน
กลิ่นเชื้อราภายในห้องจางหายไปไม่น้อยแล้ว หลินเซินนำดอกกุหลาบป่าที่เด็ดมาจากบนภูเขาเสียบไว้ในแจกันกระเบื้องเคลือบ ดอกไม้มีสีสันสดใสตัดกับสีของตู้ข้างกำแพงเก่าๆ ให้ความรู้สึกหดหู่เหมือนประโยคที่ว่าสิ่งของยังคงเดิม แต่คนจากไปแล้ว
ท้องฟ้ามืดมากแล้ว ห่างออกไปมีเสียงสุนัขหอนกับเสียงกบร้องคลอกล่อมผู้คนให้หลับใหล
ในตอนที่สะเก็ดไฟลุกโชนขึ้นมา หลินเซินกำลังหลับฝัน ในความฝันนั้นเธอกำลังยืนอยู่บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ตามลำพัง บนพื้นมีผลเบอรี่หนามสีแดงสดกระจายไปทั่วจนไม่มีที่ให้วางเท้า
วินาทีต่อมาผลเบอรี่หนามก็พลันมีไฟลุกโหมขึ้นมากะทันหัน เปลวเพลิงโอบล้อมเธอเอาไว้ในชั่วพริบตา ควันที่แผ่ขยายไปทั่วบดบังสายตาให้พร่าเลือน หลินเซินมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เธอได้แต่ยกมือขึ้นเพื่อปิดปากและไอออกมาอย่างรุนแรง
หลินเซินสะดุ้งตื่นแล้วกลิ้งตกลงมาจากโซฟา
ภายในห้องเต็มไปด้วยควันหนาหนัก เปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นฟ้าและลามมาถึงที่ขาโซฟาแล้ว ตอนที่เธอนอนหลับก็สูดควันเข้าไปมากเกินไปทำให้ตอนนี้รู้สึกหัวสมองหนักอึ้ง หลินเซินพยายามดิ้นรนลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกห้อง
แต่เพิ่งก้าวไปได้สองก้าว คานเหนือศีรษะก็หักลงมาขวางทางเดิน บ้านหลังนี้ไม่ได้ซ่อมบำรุงมานานแล้ว ข้าวของทุกอย่างล้วนไม่ทนไฟ แค่ในชั่วพริบตาเดียวทุกอย่างก็เริ่มถล่มลงมาเสียงดังโครมคราม
มีไม้ท่อนหนึ่งหักลงมาฟาดใส่ศีรษะของหลินเซิน ทำให้เธอล้มทรุดลงกับพื้นทันที เมื่อมองผ่านมุมที่ล้มลงไป สายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ตรงตู้ข้างกำแพงพอดี ดอกกุหลาบป่าในแจกันช่อนั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟ กลีบดอกที่กำลังแย้มบานถูกไฟลามเลียอย่างรวดเร็ว
สติสัมปชัญญะของหลินเซินค่อยๆ เลือนราง เธอหลับตาลงช้าๆ ที่ด้านหน้าพลันมีเสียงโครมดังสนั่น ประตูบ้านถูกกระแทกเปิดออก ในห้วงเวลาที่กำลังสะลึมสะลือหลินเซินก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อเธอดังขึ้น เสียงนั้นฟังแล้วรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก แต่ก็ฟังแล้วแปลกหูอยู่เล็กน้อย เพราะว่าเสียงที่เธอคุ้นเคยนั้นปกติมักจะเนิบนาบเอื่อยเฉื่อยอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้กลับมีความลนลานคล้ายทำอะไรไม่ถูก
ที่ตามมาติดๆ หลังจากนั้นก็คือบนใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกผ้าชื้นปิดเอาไว้ จมูกที่ทีแรกหายใจไม่ออกในตอนนี้ก็หายใจสะดวกขึ้น หลินเซินเงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนแรงจนได้เห็นใบหน้าตรงหน้าชัดเจน จากนั้นน้ำตาก็แทบจะหลั่งไหลออกมาในทันที “กู้ชิงไหว…”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)
Comments
comments
No tags for this post.