X
    Categories: (ไม่) รู้ว่า (ไม่) รักความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน (ไม่) รู้ว่า (ไม่) รัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 25

บทที่ 1 : ไม่รู้ว่าไม่รัก

แม้ลมหนาวกำลังจะพัดผ่านไป โดยมีกลิ่นไอความสดชื่นจากหน่ออ่อนของต้นไม้และแสงแดดเจิดจ้าใต้ฟ้าใสกระจ่างมาแทนที่ หากอุณหภูมิซึ่งยังเกียจคร้านค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นอย่างเชื่องช้าก็ทำให้ความเยือกเย็นที่แทรกซ่อนอยู่ในอากาศยังไม่จางไป

ที่ลานกว้างระหว่างอาคารใหญ่น้อยซึ่งกระจายตัวอยู่อย่างเป็นระเบียบคลาคล่ำไปด้วยมนุษย์โลกผู้เติบโตอยู่ในเขตหนาวส่วนใหญ่ซึ่งพร้อมใจพากันออกมานั่งรับแดดอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่บรรดาคนที่คุ้นเคยกับอากาศอบอุ่นจนร้อนของกลุ่มประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรก็ยังสมัครใจจะนั่งจับกลุ่มกันอยู่ภายในอาคารมากกว่า

ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ หลีกเลี่ยงฝูงชนที่ทยอยกันออกมาจากอาคารหลังเสียงสัญญาณหมดคาบช่วงกลางวันเข้าไปภายในอาคารอันเป็นศูนย์อาหารของมหาวิทยาลัยเบื้องหน้า หน้าต่างกระจกรอบด้านที่ปูจากพื้นจรดเพดานสลับกับผนังสีขาวสะอาดตาและเพดานสูงโปร่งช่วยให้ภายในดูสว่างไม่แพ้ด้านนอก กลิ่นอาหารจางๆ ลอยมาจากบริเวณร้านค้าที่เรียงรายกันอยู่อีกด้านกระตุ้นให้น้ำย่อยตื่นตัวได้อย่างดี

“เฮ้ย พัท ทางนี้”

เสียงที่ดังขึ้นเรียกให้เขาหันไปมองก่อนเปลี่ยนทิศทางการเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งล้อมโต๊ะกันอยู่ หลังจากทักทายกันครบถ้วน ใครคนหนึ่งก็ถามขึ้น

“แล้วเถาวัลย์นายหายไปไหน”

พาณาสน์เลิกคิ้วมองคนพูดแทนการถาม ก่อนที่คำตอบจะส่งเสียงมาแต่ไกลโดยไม่ต้องรอคำเฉลยจากใคร

“พี่พัทค้า” เสียงแจ๋วแปดหลอดนำหน้ามา ตามด้วยร่างบางที่ถลาเข้ามาถึงในชั่วอึดใจเหมือนถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กต่างขั้ว แม้จะไม่ใช่คนสวยจัดอย่างที่เจ้าตัวมั่นใจนักหนา แต่พอรวมองค์ประกอบตากลมโต จมูกสวยกำลังพอดีกับริมฝีปากได้รูปเข้าด้วยกันก็ทำให้เธอดูน่ามองไม่น้อย

บรรดาชายหนุ่มที่นั่งล้อมวงอยู่ยักคิ้วใส่กันพลางกลั้นเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ ยกเว้นผู้ที่ถูกคนมาใหม่สอดแขนคล้องกับแขนตนแล้วล็อกไว้แน่น รอยย่นที่หว่างคิ้วเข้มปรากฏขึ้นทันทีที่เขาเห็นแม่เถาวัลย์ถนัดตา

“ทำไมไม่ใส่แจ็กเก็ตมาด้วย”

หญิงสาวที่แต่งตัวด้วยกางเกงยีนกับเสื้อยืดแขนสั้นสีชมพูแปร๋นพอดีตัวฉีกยิ้มให้อย่างไม่หวั่นเกรงในน้ำเสียงดุๆ นั้นแม้แต่น้อย “ก็มันไม่หนาวแล้วนี่คะ”

“ตอนนี้ยังมีแดดก็ไม่ค่อยหนาว แต่กว่าเราจะกลับบ้านก็แดดหมดแล้วนะ”

“ถึงตอนนั้นณาณ่าค่อยขอยืมพี่พัทใส่ก็ได้ค่ะ”

“ดูละครมากไปหรือเปล่า พี่ไม่ใช่พระเอกสุภาพบุรุษที่จะมาสละเสื้อให้เราได้ทุกทีนะ”

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูด เสียงที่สามก็เอ่ยแซวขึ้นหลังจากนั่งกลอกตาฟังทั้งสองโต้ตอบกันอย่างไม่สนใจคนรอบข้างมาชั่วครู่ “ณาณ่ายืมของพี่ก็ได้นะ ถ้าเจ้าพัทมันหวงเสื้อนักล่ะก็”

ณอันดาหันหน้าไปยกมือไหว้คนอื่นๆ จนครบวงก่อนตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่พัทไม่หวงกับณาณ่าหรอก แค่แกล้งพูดไปแบบนั้นเอง ในรถพี่พัทมีเสื้อเตรียมไว้สำหรับณาณ่าเสมอแหละ”

“นึกว่าจะไม่เห็นหัวพวกพี่ซะแล้ว มาถึงก็คุยกับนายพัทคนเดียว ไม่ทักพวกพี่เลย” หนุ่มรุ่นพี่อีกคนแสร้งเอ่ยตัดพ้อ

“โธ่ พูดเหมือนพวกพี่ไม่มีหัว ณาณ่าถึงจะไม่เห็น”

หญิงสาวตอบกลับเสียงอ่อนเสียงหวานจนคนฟังชักไม่แน่ใจว่าเจ้าหล่อนต้องการพูดรอมชอมแก้ความเข้าใจผิดหรือจงใจกระทบกระเทียบกันแน่

“ณาณ่า!” พาณาสน์ลงเสียงหนักอย่างตำหนิ “พูดแบบนี้ได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรน่า แค่ล้อกันเล่นเท่านั้นเอง ใช่มั้ยจ๊ะน้องณาณ่า” หนุ่มหน้าทะเล้นคนเดิมขัดโดยไม่ลืมหยอดทิ้งท้ายตามนิสัยเจ้าชู้ของตน

“ใช่เลยค่ะ สงสัยว่าคงมีคนล้อเล่นกับพี่แบบนี้บ่อยนะคะ ถึงได้เชื่อง่าย เข้าใจง่ายดีจัง” อีกฝ่ายขานรับโดยเร็วด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มหวานจัดที่ขัดกับคำพูดแปร่งหูซึ่งฟังแล้วแสบๆ คันๆ พิกล ร้อนถึงคนกลางต้องปรามเสียงเข้มขึ้นอีก

“หนูณา!”

“ขอโทษค่ะ” เธอรีบเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครทวงถาม แต่จากใบหน้าระรื่นปราศจากความสลดแม้เพียงนิด กับตาโตที่ฉายแววขบขันอย่างไม่ปิดบังก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวคงไม่รู้สึกอย่างที่พูดออกมาสักเท่าไหร่ พาณาสน์จึงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างอ่อนใจกับความแสบของคนข้างตัวที่นับวันดูจะเพิ่มและพูนขึ้นอย่างที่ยากจะรับมือ

…ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครไล่ยายตัวจุ้นนี่ได้จนทางเสียที

เขารู้จักกับณอันดามาตั้งแต่เด็กเพราะบิดามารดาเป็นเพื่อนสนิทกัน หญิงสาวเป็นลูกสาวคนเล็กของนักธุรกิจใหญ่เจ้าของกิจการโรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวที่มีเครือข่ายกว้างขวาง ในขณะที่ครอบครัวเขาประกอบธุรกิจด้านการก่อสร้าง ออกแบบและตกแต่ง เท่าที่พอจะนึกได้จากความทรงจำวัยเยาว์อันรางเลือน เด็กหญิงในวันแรกเจอดูนุ่มนิ่ม บอบบางไม่ต่างอะไรกับขนมสายไหมสีหวานฟูนุ่มในมือ ดวงตากลมสุกใสสีน้ำตาลอ่อนเจือไปด้วยแววขัดเขิน และขาดความมั่นใจอย่างเด่นชัด ร่างเล็กพยายามซุกซ่อนตัวอยู่หลังผู้ปกครองหรือไม่ก็พี่ชายพี่สาวอยู่ตลอดเวลาที่มีคนแปลกหน้าร่วมอยู่ด้วย

แต่แล้ววันหนึ่งภาพเด็กหญิงน่าทะนุถนอมนั้นกลับจางหายไปโดยที่คนรอบข้างก็ไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หากกว่าจะรู้ตัวกันอีกทีก็มีสาวน้อยสดใสแต่แสนแสบเข้ามาแทนที่แล้ว ยิ่งฐานะของครอบครัวที่เข้าข่ายร่ำรวย ประกอบกับความเป็นน้องน้อยของบ้านทำให้เจ้าหล่อนได้รับการประคบประหงมตามใจมากกว่าปกติ เธอจึงเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงแจ่มใส…มากไปนิด เปิดเผยจริงใจ…จนขวางหูขวางตาบางคนในบางครั้ง ดื้อดึง…อย่างหน้าชื่นตาบานและไม่มีใครคัดค้านได้ และสั่งสมความเป็นตัวของตัวเองแบบไม่ค่อยแคร์สายตาคนอื่น มีความมั่นใจในตัวเองระดับเกินพิกัด รวมทั้งความเอาแต่ใจตามประสาลูกคุณหนูผู้แสนสบายมาตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตามด้วยพื้นฐานนิสัยและการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีก็ทำให้ณอันดามีความน่ารักอยู่ในตัวไม่น้อย ไม่ต้องถามหาคนอื่นไกล ก็พ่อแม่เขานี่แหละที่รักและให้ความเอ็นดูเจ้าหล่อนเสียเหลือเกิน อันที่จริงพวกท่านก็สนิทสนมและรักใคร่ทั้งสามพี่น้อง อันได้แก่ณัฐกฤต ณิชวรรณ และณอันดาในฐานะลูกของเพื่อน หากกับน้องนุชสุดท้องนี้แทบจะเรียกได้ว่าโปรดปรานไม่ต่างอะไรกับลูกของตัวเองอย่างเขาเลยทีเดียว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะมีครอบครัว ญาติพี่น้อง และผองเพื่อนรายล้อมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง บุคคลที่มีอิทธิพลและเป็นคนที่สาวน้อย ‘ติด’ และยอมลงให้มากที่สุดกลับกลายเป็นพี่ชายร่วมโลกอย่างเขา จะด้วยจิตวิทยาทฤษฎีใดหรือเวทมนตร์คาถาบทไหนก็แล้วแต่ เด็กสาวที่ได้รับคำนิยามว่าแสบเซี้ยวเปรี้ยวซ่าและบ้าสุดๆ กลับเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี บ่อยครั้งที่เวลาใครอยากให้เธอทำอะไรสักอย่าง จะต้องมาขอให้เขาช่วยเจรจาให้ จนมารดาเธอถึงกับออกปากอยากยกลูกสาวคนนี้ให้อยู่ในความดูแลของเขาไปเสียเลย

แม้กระทั่งชื่อเล่นที่เขาแกล้งเปลี่ยนจาก ‘ณาณ่า’ เป็น ‘หนูณา’ เพื่อเย้าแหย่แม่หนูที่วิ่งพล่านตามติดเขาตลอดเวลาก็ยังกลายเป็นชื่อสำคัญที่เจ้าตัวภาคภูมิและปลาบปลื้มใจมากจนสงวนไว้สำหรับครอบครัวและคนที่สนิทสนมเป็นพิเศษอย่างเขาเท่านั้น เรียกว่าถ้าใครที่อยู่นอกเหนือกลุ่มยกเว้นดังกล่าวเกิดอยากลองของเรียกขานเธอด้วยชื่อนี้บ้าง ก็จะได้รับการตอบกลับอย่างแสนประทับใจจนไม่คิดหาญกล้าอีกเลย

และเมื่อเวลาผ่านไปความสนิทสนมเหล่านี้จึงก่อให้เกิดความคิดพิลึกพิลั่นระหว่างสองมารดา…ความคิดที่พบเจอได้บ่อยๆ ตามหนังสือนิยายและละครน้ำเน่าหลังข่าว ซึ่งทำให้บรรดาเพื่อนสนิทของเขาที่รู้เรื่องนี้เข้าถึงกับหัวเราะก๊ากต่อหน้าต่อตาอย่างปราศจากความเกรงใจโดยสิ้นเชิง

‘ไม่ขำนะเอ็ง’ พาณาสน์ตาขวางใส่เพื่อนที่มีความสุขอยู่บนความกระอักกระอ่วนของเขา อันที่จริงเขาไม่ได้รังเกียจอะไรเธอ หากก็ไม่มีความรู้สึกพิเศษที่นอกเหนือไปจากความสนิทสนม ผูกพัน และเอ็นดูเสมือนน้องสาวที่เขาไม่มีเท่านั้น

‘เอาน่า ตามใจคุณแม่หน่อย ถือซะว่าเป็นงานอดิเรกของคนรุ่นเถ้าแก่เนี้ยที่มีลูกชายหล่อลูกสาวสวย’

พอบ่นกับมารดาตรงๆ ก็ได้รับคำตอบที่เหมือนจะให้ความหวังว่า

‘แม่ไม่ได้บังคับ แค่สนับสนุนและบอกให้พัทรู้ว่าแม่ชอบหนูณา แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจเลือกก็คือเรา จะเอายังไงก็บอก ไม่มีใครว่าอะไรสักหน่อย’

ฟังแล้วก็เกือบจะโล่งใจขึ้นได้ ถ้าไม่มีประโยคตบท้ายตามมา

‘แต่จนกว่าพัทจะหาแฟนถูกใจได้ แม่ขอล็อกหนูณาไว้ในตำแหน่งว่าที่สะใภ้ก่อนแล้วกัน’

ส่วนเจ้าของตำแหน่งว่าที่สะใภ้นั้นก็มิได้คัดค้านอะไร จริงๆ ต้องบอกว่าปลาบปลื้มและเต็มใจรับตำแหน่งเป็นที่ยิ่งเสียด้วย เจ้าตัวถึงกับพนมมือกราบที่ตักคุณสายพิณอย่างนอบน้อมสวยงามพร้อมคำพูดที่ทำให้เขาถอนใจเฮือก

‘ต้องขอบคุณคุณป้าพิณมากๆ ค่ะที่ไว้วางใจยกพี่พัทให้ณาณ่า ณาณ่าสัญญาว่าจะดูแลพี่พัทอย่างดีที่สุดค่ะ’

…เอาเข้าไป!

การได้รับแรงสนับสนุนและการเปิดโอกาสชั้นดีแบบนี้ทำให้เด็กสาวที่ปกติเกาะหนึบอยู่แล้วยิ่งประกบเขาติดหนับ จากผลการเรียนที่เคยอยู่ในระดับกลาง ณอันดาฮึดจนสามารถสอบผ่านเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังซึ่งเขาศึกษาอยู่ได้เพียงแต่ต่างคณะออกไป แม้ว่าด้วยวัยที่ต่างกันถึงสามปีทำให้ช่วงเวลาการใช้ชีวิตในสถาบันเดียวกันจำกัดแค่ปีเดียว แต่เธอก็ใช้เวลานั้นอย่างคุ้มค่าด้วยการนำเสนอตัวเองอยู่ในแทบทุกสถานที่ที่มีเขาอยู่จนเพื่อนร่วมคณะ ต่างคณะ และต่างมหาวิทยาลัยของเขารู้จักเธอกันถ้วนหน้า

หลังจากเรียนจบชายหนุ่มก็เดินทางมาศึกษาต่อยังต่างประเทศ แต่ก็อย่าคิดว่าจะเป็นอิสระ เพราะสาวเจ้าก็ยังไม่ละความพยายาม ยังคอยส่งทั้งโปสการ์ด จดหมาย อีเมล โทรศัพท์ และทุกช่องทางการสื่อสารที่มี รวมทั้งการบินมาเยี่ยมเยียนเขาแทบจะทุกช่วงเวลาของการปิดภาคเรียน และในที่สุดเมื่อรับปริญญาเป็นอันเรียบร้อย หญิงสาวก็ย้ายตัวเองมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่เดียวกับเขาซึ่งกำลังทำปริญญาเอกอีกจนได้

‘น้าฝากน้องด้วยนะพัท จะให้ไปเรียนที่อื่นน้าก็ไม่วางใจ’ คุณณัชชาพรเอ่ยฝากฝังไว้ตอนที่พาเธอมาส่ง

‘ถ้าเป็นที่อื่นที่ไม่มีพี่พัท ถึงพ่อกับแม่ให้ไป ณาณ่าก็ไม่ไปหรอกค่ะ’ คนถูกฝากหันไปแก้คำพูดของมารดาในทันที

ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอไม่เคยลังเลในการแสดงออกซึ่งความรักที่มีต่อเขาเลย แม้การกระทำเหล่านี้จะทำให้อึดอัดใจเป็นบางครั้ง หากความมั่นคงและสม่ำเสมอของณอันดาทำให้เขาไม่อาจเอ่ยปากปฏิเสธรอยยิ้มที่พุ่งตรงมายังเขาเสมอได้ นานๆ เข้าเลยกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติสำหรับคนรอบข้างที่จะเห็นหญิงสาวคอยป้วนเปี้ยนเวียนวนอยู่รอบกายเขา…ปกติแต่ก็น่าขบขันมากพอที่จะทำให้เกิด ‘ชื่อ’ ใหม่ๆ เพื่อใช้เรียกเธอ รวมถึงชื่อ ‘เถาวัลย์’ ซึ่งเขาเพิ่งได้ยินมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่นี้ด้วย

“ตกลงว่าไงพัท ที่ว่าจะไปเที่ยวกันตอนสปริงเบรกโจมันไปเช่ารถตู้ไว้แล้ว ถ้านายไม่ไปจะได้ไปถามคนอื่น”

“ไปเที่ยวเหรอคะ” สาวเสื้อชมพูตาโตก่อนตอบรับแทนทันที “ไปสิคะ พี่พัทกับณาณ่าไปด้วย”

“รู้เหรอเราว่าเขาจะไปไหนกันน่ะ”

ณอันดาหันไปยิ้มกว้างใส่ตาคนถามข้างตัว “ที่ไหนไม่รู้หรอกค่ะ แต่รู้ว่าพี่พัทรู้ใจณาณ่าว่าอยากเที่ยว เพราะงั้นพี่พัทก็น่าจะไป ใช่มั้ยคะ”

ได้ยินแล้วคนอื่นที่นั่งฟังอยู่โดยรอบก็ได้บริหารกระพุ้งแก้มด้วยการกลั้นยิ้มกันอีกรอบ ส่วน ‘คนรู้ใจ’ นั้นก็ได้แต่ปลง

…เจอแบบนี้แล้วเขาจะตอบอะไรได้ล่ะ นอกจากคำว่า ‘ใช่’ เหมือนทุกที

 

นั่นไง รอบที่ยี่สิบเจ็ด เสียงนับเลขในใจดังขึ้นตามที่คาดเดาไว้

กรอบตาสวยที่วาดขอบให้คมด้วยสีน้ำตาลเข้มกวาดมองมนุษย์โลกร่วมพาหนะโดยรอบ นอกจากเธอแล้วก็ยังมีมนธิราอีกคนที่ยังไม่หลับ แต่กระนั้นสาวรุ่นพี่ผู้นั่งอยู่ท้ายรถนั้นกำลังเพลิดเพลินกับโลกส่วนตัวด้วยการฟังเพลงจากโทรศัพท์ประกอบการเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์นอกรถ จึงทำให้ไม่ทันสังเกตว่าจิตติซึ่งทำหน้าที่ขับรถตู้คันใหญ่พาเพื่อนๆ ไปยังจุดหมายต่างรัฐนั้นระบายความง่วงงุนผ่านการอ้าปากหาวเกินสองโหลแล้ว แถมขยี้ตาแรงๆ อีกเจ็ดครั้งด้วย

ปล่อยไว้แบบนี้เห็นจะไม่ดีแน่ๆ นะคะ ณอันดาใคร่ครวญ แต่จะให้เอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำให้คนง่วงได้พักสักครู่ก่อนเดินทางต่อ หรือให้คนอื่นขับแทนก็อาจจะมีปัญหาเหมือนครั้งที่แล้วได้

จิตติเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน และเป็นโต้โผหลักในการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว รวมถึงงานรื่นเริงต่างๆ หากข้อเสียของเขาคือความดันทุรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขับรถซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาชอบเป็นชีวิตจิตใจและเหมาหน้าที่นี้ทุกครั้งที่มีการเดินทางอย่างไม่ยอมให้ใครปฏิเสธ จนกระทั่งครั้งที่แล้วซึ่งมีคนพยายามขอขับแทนเนื่องจากเห็นว่าเขาพักผ่อนไม่เพียงพอก่อนการเดินทาง พอเซ้าซี้มากๆ เข้า ชายหนุ่มก็เสียงดังใส่จนเป็นเรื่องทะเลาะกันใหญ่โตขึ้นมา

เพราะฉะนั้นจะให้ออกปากตรงไปตรงมานั้นเจ้าตัวก็คงไม่รับความจริงว่าตนเองกำลังง่วงอยู่ดี

เฮ้อ ผู้ชาย ยอมรับอะไรง่ายๆ สักเรื่องนี่จะขาดออกซิเจนหรือไงก็ไม่รู้

ณอันดามองการหาวครั้งที่ยี่สิบแปดแล้วก็ตัดสินใจ

อันที่จริงก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอกค่ะ เดี๋ยวจะว่าคนสวยเรื่องมาก แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์โลกแล้ว คนสวยก็คงต้องเสียสละสักครั้ง

คิดได้ดังนั้น ริมฝีปากอิ่มที่เคลือบด้วยสีหวานแบบเบอรี่เชอร์เบทก็แผลงฤทธิ์ขึ้น

“จอดค่ะ จอดเดี๋ยวนี้ จอดดดดดด!”

ในที่สุดยานพาหนะที่บรรจุคนสิบชีวิตก็ต้องเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านกาแฟชื่อดังในบริเวณจุดพักระหว่างทาง เมื่อประตูรถเปิดออก คนที่ทยอยกันลงมาต่างมีใบหน้ายับยุ่งแทบไม่ต่างกัน ยกเว้นอยู่คนเดียว

“น้องณาณ่าจ๋า อะไรกันนักหนานะเรา” อรรถนนท์บ่นอู้ เขาหลับสนิทมาตลอดทางจนมาสะดุ้งตื่นเพราะการแผดเสียงราวกับไฟไหม้บ้านของหญิงสาว แต่เมื่อสอบถามกันแล้วกลับได้คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ เพียงแค่…เจ้าหล่อนต้องการดื่มกาแฟ

“ก็ไม่ได้นักหนานี่คะ แค่ขอให้จอดรถเพราะณาณ่าต้องดื่มกาแฟเดี๋ยวนี้” อีกฝ่ายตอบด้วยหน้าตาไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยที่ทำให้คนทั้งรถต้องใจหายใจคว่ำกับเสียงร้องกะทันหัน พาณาสน์จึงต้องรีบปรามขึ้นก่อนที่ความวุ่นวายของเธอจะทำให้คนอื่นไม่พอใจมากกว่านี้

“ไม่เอาน่าณาณ่า ทำไมต้องเดี๋ยวนี้ รออีกแค่สองชั่วโมงก็ถึงที่โน่นแล้ว”

“ไม่ได้ค่ะ ณาณ่าต้องดื่มกาแฟก่อนสิบโมงนะคะ ไม่งั้นจะปวดศีรษะ ความดันตก ไมเกรนขึ้น ถึงขั้นอารมณ์เสีย และส่งผลต่อผิว รวมทั้งอาจก่อเกิดริ้วรอยก่อนวัยค่ะ”

“พี่บอกแล้วว่าดื่มของพี่ไปก่อนก็ไม่ยอม”

“หวาย ไม่ได้หรอกค่ะ พี่อรรถชงอะไรมาก็ไม่รู้ ณาณ่าต้องดื่มดีแคฟเท่านั้นค่ะ แล้วก็ต้องเติมครีมแบบฮาล์ฟแอนด์ฮาล์ฟ และน้ำตาลไม่ขัดสีด้วย”

อาการจีบปากจีบคอตอบทำให้คนฟังบ้างก็กลอกตา บ้างก็ถอนใจอย่างระอา

“แล้วทำไมเมื่อเช้าไม่ดื่มมาให้เรียบร้อยก่อนล่ะจ๊ะคุณน้อง”

“ก็ลืมนี่คะ ปกติณาณ่าความจำดีพอๆ กับหน้าตานะคะ แต่เมื่อเช้ามัวแต่ทาซันสกรีน เลยเผลอลืมกาแฟ”

“กันแดดน่ะนะ จะรีบทาไปทำไม เขาให้ทาล่วงหน้าก่อนออกแดดแค่ยี่สิบนาที นี่เราต้องนั่งรถกันตั้งเกือบห้าชั่วโมง”

“ต้องทาสิคะ เพราะว่าต่อให้อยู่ในรถรังสียูวีเอก็สามารถส่องทะลุลงมาได้นะคะ พวกฟิล์มติดรถเนี่ยกรองได้แค่แสงค่ะ แต่กรองรังสีไม่ได้ ณาณ่าต้องกันไว้ก่อนค่ะ อ๊ะ พูดแล้วเดี๋ยวก็ต้องทาอีกสักรอบ”

“ไม่ทาสัก SPF สองร้อยไปเลยล่ะจะได้ไม่ต้องทาบ่อยๆ” เสียงเยาะอย่างหมั่นไส้ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง

“เพราะมันไม่จำเป็นค่ะ ค่า SPF สูงๆ ไม่ได้มีประโยชน์สักหน่อย จริงๆ แล้วในชีวิตประจำวันค่า SPF สิบห้าถึงยี่สิบก็พอแล้ว แต่ถ้าออกมาเที่ยวแบบนี้สักสามสิบถึงสี่สิบก็พอค่ะ ทาไปเยอะๆ ก็ไม่ได้มีผลอะไร ประสิทธิภาพการป้องกันอยู่ที่วิธีการทาและค่าความเสถียรของสารตัวนั้นๆ ไม่ใช่ค่ากรองรังสีหรอกค่ะ ไม่เชื่อถามพี่มนก็ได้ค่ะ พี่มนเป็นคนบอกณาณ่าเอง”

ว่าที่มหาบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์เคมีถึงกับชะงักที่ถูกลากเข้าไปเป็นแหล่งข้อมูลของคนพูด พานให้นึกไปถึงตอนที่คนตรงหน้าฮอตไลน์สายร้อนมาหาในขณะที่เธอกำลังทำงานอยู่ในห้องแล็บอย่างขะมักเขม้น แล้วก็ต้องผละออกไปรับโทรศัพท์สาวรุ่นน้องที่กำลังช็อปปิ้งครีมบำรุงผิวเพื่อรักษาความงามที่งามอยู่แล้วให้คงอยู่ รวมทั้งเสริมสร้างให้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง…ตามคำพูดของเจ้าตัว ส่วนคนอื่นๆ จากที่หงุดหงิดก็กลับกลายเป็นมึนงงกับการเจรจาราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณกำลังสอนเลกเชอร์

ตอนแรกพาณาสน์ก็แทบกุมขมับกับความวุ่นวายไม่ถูกที่ถูกทางของยายตัวแสบซึ่งทำเอาหลายคนหัวเสียเพราะถูกปลุกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง และทำท่าจะเสียฤกษ์เสียแผนกันตั้งแต่ต้นทริป แต่เมื่อเอ่ยปรามแล้วเจ้าตัวก็ยังทำตาใสไม่ยอมฟังคำสั่งเขาเหมือนปกติ ความคุ้นเคยและรู้จักเธอเป็นอย่างดีก็สะกิดใจเขาขึ้นมา เมื่อกวาดตาสังเกตสถานการณ์และใช้สมองประมวลผลอีกเล็กน้อยก็พอจะคาดเดาวัตถุประสงค์ของตัวก่อเหตุขึ้นมาได้

…หวังดีแต่พฤติกรรมเกินกว่าเหตุตามแบบฉบับเจ้าหล่อนล่ะ

เมื่อเข้าใจความต้องการของสาวรุ่นน้องแล้ว เขาจึงอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังทำหน้าเหวอใส่กันและกัน ยื่นมือเข้าไปไกล่เกลี่ยและหาทางคลี่คลายสถานการณ์ทันที

“เอาเถอะๆ มัวแต่พูดอะไรกันก็ไม่รู้ ไหนๆ ก็จอดรถแล้ว ใครจะกินอะไรก็แยกย้ายไปซื้อเลยดีกว่า ไปถึงที่โน่นมันช่วงเที่ยงพอดี จะได้ไม่ต้องแวะกินอีก เดี๋ยวจะหาร้านอาหารลำบาก เราเข้าที่พักได้ช่วงเที่ยงใช่มั้ยพี่อรรถ”

“ฮื่อ ดีเหมือนกัน ไปถึงเอาของไปเก็บแล้วจะได้ไปต่อพิพิธภัณฑ์เลยไม่ต้องเสียเวลา”

เมื่อได้ข้อสรุปดังกล่าว ทุกคนจึงพากันแยกย้ายไปตามร้านอาหารที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ เพื่อหาซื้ออาหารที่ต้องการแล้วค่อยกลับมาพบกันที่รถอีกครั้ง

“ยังไงกันฮึณาณ่า” พาณาสน์ตั้งคำถามทันทีที่แยกตัวจากเพื่อนเข้ามาในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติเม็กซิกัน

หญิงสาวที่กำลังเงยหน้าดูรายการอาหารบนผนังหันมาทำหน้าไร้เดียงสา “อะไรยังไงเหรอคะ”

“ก็ที่ทำไปเนี่ย จะเอาอะไรกันแน่” แม้จะคิดว่ารู้ถึงความตั้งใจของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังอยากถามเพื่อความแน่ใจ

“ก็ณาณ่ากลัวว่าถ้าพี่โจหาวมากกว่านี้อีกสักห้าที จะท้องอืดท้องเฟ้อเสียก่อนนี่คะ”

ชายหนุ่มส่ายศีรษะกับคำตอบทีเล่นทีจริงนั้น แม้จะเป็นการยืนยันว่าเขาเข้าใจไม่ผิดก็เถอะ

“วันหลังไม่ต้องทำให้มันวุ่นวายขนาดนี้ก็ได้นะ”

“แหม แค่นี้เอ๊งงง” ณอันดาจีบปากลากเสียงสูง “ณาณ่ารู้ว่าเดี๋ยวพี่พัทก็จัดการได้สบายอยู่แล้วนี่คะ”

“แล้วถ้าเกิดพี่ไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ขึ้นมา ไม่กลายเป็นว่าเราหาเรื่องทะเลาะกับคนทั้งรถไปแล้วเหรอ”

อีกฝ่ายยิ้มแฉ่งราวกับทานตะวันยามเงยหน้าขึ้นรับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า มองคนข้างกายที่พูดแล้วก็หันไปสั่งอาหารจานโปรดของเธอกับพนักงานโดยไม่จำเป็นต้องถามความต้องการจากคนกินเพราะจำได้ขึ้นใจอยู่แล้ว

“ถ้าไม่มีพี่พัทก็ไม่ทำหรอกค่ะ ณาณ่ามั่นใจว่ายังไงพี่พัทก็ต้องเข้าใจและรู้ใจณาณ่าที่สุดอยู่แล้ว”

พูดจบเธอก็ได้รับรางวัลจาก ‘คนรู้ใจ’ เป็นกำปั้นทุบศีรษะอย่างหมั่นไส้เต็มกำลัง…แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเคยว่าไม่จริง

 

ในที่สุดขบวนเดินทางก็ไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แม้จะต้องเสียเวลาระหว่างทางไปบ้าง แต่เมื่อนำไปชดเชยกับเวลาที่เผื่อไว้สำหรับการรับประทานอาหารในเมืองตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ก็ทำให้สามารถเข้าที่พักได้เร็วขึ้นราวๆ ครึ่งชั่วโมง

‘จริงๆ ณาณ่าก็กะให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะ’

แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ แต่เมื่อเห็นพ้องกันโดยมิต้องสื่อสารด้วยวาจาว่าการคัดค้านคงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ทุกคนจึงปล่อยให้หญิงสาวปลาบปลื้มกับแผนการอันลึกล้ำที่เชื่อว่าตนเองคาดไว้ล่วงหน้าต่อไป

เนื่องจากเป็นช่วงกลางวันที่แสงแดดกำลังแผดกล้า คณะเดินทางจึงออกจากที่พักหลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยเพื่อเริ่มจุดหมายแรกของการเยี่ยมเยือนที่ย่านพิพิธภัณฑ์คฤหาสน์โบราณหลากสไตล์หลายหลังที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งแต่ละแห่งนั้นมีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี แต่ได้รับการทำนุบำรุงอย่างดีจนสามารถคงสภาพที่ดูเหมือนใหม่และสะอาดสะอ้าน หากไม่คลายซึ่งมนตร์ขลังอันทำให้ผู้เข้าชมทึ่งและดื่มด่ำกับบรรยากาศได้เพียงแค่สัมผัสด้วยตา นอกจากนี้ยังมีไกด์ผู้นำชมภายในคฤหาสน์และเจ้าหน้าที่ในเครื่องแต่งกายแบบโบราณคอยต้อนรับเพื่อให้เข้าใจความเป็นอยู่ในยุคสมัยนั้นได้ง่ายขึ้น

“โอ๊ะ นั่นมีเจ้าสาวด้วย” เสียงอุทานของคนหนึ่งในกลุ่มดังขึ้น เรียกความสนใจของคนอื่นที่เพลิดเพลินกับการเก็บภาพบรรยากาศในมุมต่างๆ ให้มองตาม

“อ้อใช่ ที่นี่รับจัดงานแต่งงานด้วยนี่”

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวที่ด้านบนเป็นเกาะอกแนบลำตัวและทิ้งตัวยาวฟูฟ่องตั้งแต่ช่วงเอวลงไประปลายเท้า แซมช่อผมที่ตลบเป็นมวยหลวมๆ ด้วยดอกไม้สดและคลุมบางส่วนด้วยผ้าโปร่งพลิ้วคลุมด้านหลังจนจรดพื้น เคียงข้างคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กับชุดสูททักซิโดเต็มยศสีดำ ใบหน้าของคนทั้งสองเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มและความรักที่ส่งให้กันผ่านดวงตาจนบรรยากาศรอบข้างเหมือนมีออร่าสีชมพูหวานโอบล้อมทั้งคู่ไว้ ส่งผลให้สาวๆ ที่หันไปมองเกิดอารมณ์คล้อยตามจนตาเชื่อมกันเป็นแถว

“เอ้า นั่นฝันกันไปถึงไหนแล้ว” หนุ่มหนึ่งแซวขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวในกลุ่มพากันตาลอยยิ้มเคลิ้มราวกับเป็นเจ้าสาวเสียเอง “ว่าที่ภรรยาเขายืนกระโปรงบานอยู่นั่นยังจะมองตาละห้อยกันได้อีก”

“มองเจ้าชายที่มีเจ้าของแล้วยังไงก็เจริญหูเจริญตากว่ามองลิงมองค่างโสดๆ ข้างตัวนะคะพี่เกม”

คำตอบนั้นก่อให้เกิดเสียงหัวเราะอย่างสะอกสะใจจากบรรดาสาวตาละห้อยทั้งหลายทันที ในขณะที่หนุ่มๆ ต่างก็ปั้นหน้าไม่ถูกที่โดนลูกหลงกันไปถ้วนหน้า

“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ณาณ่าพูดถูกใจพี่” รุ่นพี่สาวคนหนึ่งตบไหล่เจ้าของคำพูดอย่างถูกใจ

“เอาเชียวนะพี่ก้อย เมื่อกี้ยังบอกว่าณาณ่าชอบเพ้อเจ้ออยู่เลย”

“นี่นายเกม ไม่ต้องพยายามเสี้ยมย่ะ”

กองพลย่นคอเมื่ออีกฝ่ายหันมาแยกเขี้ยวใส่ แล้วรีบหาทางหนีทีไล่โดยการตอบโต้หญิงสาวที่เพิ่งเปลี่ยนสายพันธุ์ให้เขาและเพื่อนๆ เมื่อครู่แทน

“ที่พูดเมื่อกี้น่ะพี่พัทก็ยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้นะน้องณาณ่า”

ณอันดายิ้มแป้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา “ณาณ่าว่าคนโสดที่ยืนตรงนี้นี่คะ ไม่โสดก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อน”

คราวนี้เป้าสายตาเลยเปลี่ยนไปที่พาณาสน์ซึ่งกลายเป็นประเด็นโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มยืนอึ้งกลอกตามองหน้าเพื่อนอย่างจนคำพูด ถ้าตอบว่าโสดก็จะกลายพันธุ์เป็นนายจ๋อทันที แต่ถ้าค้านว่าไม่ใช่ลิงก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าไม่โสด ซึ่งจะเข้าทางแม่จอมยุ่งที่รอเสียบตำแหน่งที่ทำให้เขาหลุดพ้นความโสดในบัดดล

…แสบได้อีก!

แต่แล้วระฆังก็ดังขึ้นช่วยชีวิตเขาไว้…และมันไม่ใช่เพียงสำนวน เพราะสิ่งที่ช่วยดึงดูดความสนใจคนอื่นๆ ไปจากเขาคือเสียงกังวานของระฆังจริงๆ จากโบสถ์บริเวณใกล้เคียง เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่โพสท่าสวีตจนกลายเป็นหัวข้อของการพูดคุยก็หายไปจากลานสนามหญ้าด้านข้างคฤหาสน์ แต่ขึ้นไปปรากฏกายอยู่บนระเบียงชั้นสองที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านแทน

“ระเบียงนั่นมองออกไปก็เห็นทะเลพอดี โอ๊ย โรแมนติกสุดๆ เลย ได้แต่งงานแบบนี้บ้างดีใจแย่” มนธิราพูดขึ้น นัยน์ตากลับไปส่อแววชวนฝันอีกครั้งเมื่อเห็นภาพคู่รักยืนโอบกันเพื่อให้ช่างภาพถ่ายรูป

“เฮ้อ ผู้หญิง! เอะอะก็โรแมนติก”

“ใช่ซี่ ผู้ชายน่ะสะกดเป็นแต่คำว่าอีโรติกใช่มั้ยล่ะ” กุลรัตน์กัดกลับทันที ในขณะที่จิตติกระโดดเข้าช่วยเพื่อนในสงครามแบ่งเพศอีกแรง

“ก็ไม่ผิด โรแมนติกแล้วมันไม่ได้อะไรนี่ขอรับ สิ้นเปลืองเปล่าๆ”

“มันเป็นความใฝ่ฝันย่ะคุณผู้ชาย เข้าใจคำว่าใฝ่ฝันมั้ย”

“เข้าใจ แต่ความฝันมันกินไม่ได้นะคุณผู้หญิง”

ก่อนที่หญิงสาวคนใดจะเปิดปากตอบโต้ ณอันดาก็เปรยขึ้น “ถึงผู้หญิงจะมีความฝันมากไปหน่อย แต่ก็แยกแยะความจริงออกนะคะ ไม่เหมือนผู้ชายบางคนที่ยึดติดอยู่กับความเป็นจริงมากไปหน่อยจนไม่รู้ว่าความฝันคืออะไร”

เมื่อครู่เธอได้รับการตบไหล่เพื่อแสดงความชอบใจไปแล้ว ครั้งนี้กับประโยคนี้ทำให้กุลรัตน์ถึงกับกระโดดกอดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

“ว้าย! ถูกใจมากกกณาณ่า ที่บ่นไว้เมื่อเช้านี้พี่ถอนคำพูดทิ้งหมดเลย”

พาณาสน์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “พูดจามีสาระกับเขาเป็นด้วยเหรอเรา”

“เห็นมั้ยคะ พี่พัทยังเห็นด้วยกับณาณ่าเลย”

“เฮ้ย พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธเมื่อเพื่อนเหล่มองราวกับเขาเป็นคนทรยศ “คือจริงๆ แล้วก็เข้าใจว่าผู้หญิงมีความฝัน แต่สำหรับผู้ชาย เรื่องฝันมันก็แค่ภาพวาด จับต้องไม่ได้ เป็นจริงได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะงั้นจะเสียเวลาไปทำไม สู้คิดถึงแต่สิ่งที่ทำได้และลงมือทำจริงเลยดีกว่า”

“นั่นแหละค่ะ ณาณ่าก็กำลังจะพูดแบบนั้นพอดี”

“อ้าว” คนฟังทั้งหลายอุทานขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“เมื่อกี้ยังพูดไม่จบค่ะ แต่พี่พัทก็ต่อให้แล้ว” ณอันดายิ้มหวาน กระแซะเข้าใกล้เพื่อกอดหมับเข้าที่แขนเขา “ขนาดคิดในใจยังคิดเหมือนกันเลย ที่เขาว่าคู่แท้มักมีโทรจิตสื่อถึงกันได้คงเป็นแบบนี้นี่เอง ว่างั้นมั้ยคะพี่พัท”

แล้วนิทานเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า…อย่าเถียงกับผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่ชื่อ ‘ณอันดา’

 

เสร็จจากโปรแกรมแรก เป้าหมายต่อไปคือการนั่งเรือชมอ่าวและเกาะต่างๆ บริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีให้เลือกทั้งเรือแคนูและเรือใบ แต่เนื่องจากอากาศที่แม้จะอุ่นหากก็ยังมีลมเย็นจากทะเลเข้าปะทะตลอดเวลาทำให้ทุกคนลงความเห็นเลือกเรือใบเป็นเอกฉันท์ เพราะไม่มีใครอยากเปียกจากการเดินทางด้วยแคนูในสภาพอากาศเช่นนี้

เรือใบขนาดกลางบรรจุคนขับซึ่งทำหน้าที่ไกด์ไปในตัวกับผู้โดยสารหกคน เพราะหญิงสาวอีกสามคนนอกเหนือไปจากณอันดาและหนึ่งหนุ่มคือจิตติสละสิทธิ์เนื่องจากอากาศเย็นเกินไปและมีความเสี่ยงว่าจะเกิดอาการเมาคลื่นจึงขอแยกตัวออกไปเช่าจักรยานขี่เล่นรอบเมืองแทน ในขณะที่ณอันดาไม่หวาดหวั่นสิ่งใดเพราะมียันต์ดีที่เธอมั่นใจว่าช่วยคุ้มภัยได้ทุกอย่างอย่างพาณาสน์

หญิงสาวยึดที่นั่งตรงกราบด้านซ้ายค่อนไปทางหัวเรือ พิงหลังอยู่กับขอบโลหะเส้นบางทว่าแข็งแรงที่ล้อมรอบเรือ ใบหน้าเรียวเชิดขึ้นเล็กน้อยหันไปทางหัวเรือเพื่อรับลมเย็นสบายที่พัดผ่าน ดวงตาหลังแว่นกันแดดสีเข้มมองผิวน้ำระยับซึ่งสะท้อนแสงแดดตามลอนคลื่นอย่างรื่นรมย์ ยิ่งจังหวะที่เรือเอียงตัวจนแผ่นหลังเฉียดผิวน้ำ ละอองฝอยของฟองคลื่นกระเซ็นใส่เป็นระยะยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่น

เธอนั่งเพลิดเพลินกับบรรยากาศ คลอไปกับเสียงแนะนำสถานที่ของไกด์หนุ่มที่ดังขึ้นเป็นระยะจนไม่ทันมองคนรอบตัว เมื่อหันมาอีกทีก็ได้เห็นว่าบรรดาเพื่อนร่วมทางนั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากันเพื่อถกปัญหาบางอย่างแทนที่จะซึมซับความงามของธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น จึงยื่นหน้าเข้าไปโผล่อยู่เหนือไหล่ของคนข้างตัว

“คุยอะไรกันคะ”

“เฮ้ย! อย่าโผล่หัวมาแบบนี้สิณาณ่า” พาณาสน์อุทานเมื่อหันมาเจอใบหน้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ในระยะใกล้

“โผล่ทั้งตัวก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วสาวเจ้าก็ทำท่าจะกระถดตัวจากที่นั่งขอบเรือลงไปอยู่ที่พื้นกลางวง แต่อีกฝ่ายมือไวกว่าจึงรั้งแขนให้กลับไปนั่งที่เดิมได้ก่อน

“ไม่ต้องๆ นั่งอยู่นี่แหละ”

ณอันดานั่งนิ่งตามคำสั่ง แต่ไม่วายกดดันเขาเพื่อขอมีส่วนร่วมในบทสนทนาโดยการจ้องหน้าด้วยดวงตากลมแป๋วอย่างไม่กะพริบแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

“ไม่ใช่เรื่องของเราน่า”

…ยังจ้องอยู่

“ไม่ใช่เรื่องของพี่ด้วย”

…ก็ยังคงจ้องอยู่อีก

“ไม่ยุ่งสักเรื่องไม่ได้เหรอ”

ไม่มีคำตอบด้วยวาจา แต่จากการจ้องเป๋งไร้การขยับเขยื้อนนั้นก็แปลได้ไม่ยากว่า…ไม่ได้ค่ะ ชายหนุ่มจึงต้องยอมแพ้แล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ

“เล่าๆ ไปเถอะ ไม่งั้นได้จ้องกันตาหลุดไปข้างนึง”

เมื่อลงความเห็นกันได้เช่นนั้น หญิงสาวจึงได้รับการถ่ายทอดถึงประเด็นอันเป็นปัญหาที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ซึ่งเมื่อเล่าจบเธอก็มองหน้าเจ้าของเรื่องก่อนยิงคำถาม

“สรุปได้ว่าพี่เกมชอบพี่มน แล้วมันมีปัญหาตรงไหนคะ”

“ก็ตรงที่ไอ้เกมมันไม่รู้จะทำยังไงน่ะสิ”

“แล้วทำไมต้องทำยังไงด้วยล่ะคะ รักเขาก็บอกเขาไปสิคะ ไม่เคยได้ยินเหรอคะ เพลงที่ร้องว่า…ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว แล้วเขาจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจจะไม่แน่ใจ อยากให้เขารู้ ฉันคงต้องแสดงออก ไม่ใช่ให้ใครเขาบอก หรือว่าให้เขาเดาเองว่ารักเธอ” เสียงใสที่พูดแจ้วๆ อยู่ตอนแรกใส่ทำนองประกอบเนื้อเพลงในทันที ดูจากท่าทางแล้วถ้าคลื่นลมสงบกว่านี้อีกสักนิด เธอคงลุกขึ้นเต้นรีวิวประกอบเพลงตามจังหวะไปด้วย

ไกด์หนุ่มต่างชาติซึ่งเป็นคนเดียวในเรือที่ฟังภาษาไทยไม่ออกหันมามองนักร้องจำเป็นที่โชว์พลังเสียงพร้อมใส่อารมณ์กับเพลงราวกับกำลังแสดงโอเปร่าแล้วยิ้มกว้าง “เพลงเพราะนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” นักร้องสาวยิ้มแป้นรับคำชม “คุณเป็นผู้ชายที่มีดีที่หูมากๆ”

คำพูดนั้นทำคนทั้งเรือกุมขมับ หากคนที่มีหูเป็นเลิศกลับระเบิดหัวเราะเสียงดัง

“ถึงจะฟังดูแปลกๆ ไปหน่อย แต่ผมก็เชื่อว่านั่นเป็นคำชมนะ เพราะฉะนั้น…ขอบคุณครับ”

พอเจรจาต้าอวยว่าด้วยการชื่นชมกันไปมาจนเป็นที่พอใจ ณอันดาก็หันกลับมาสู่วงสนทนาอีกครั้ง

“เห็นมั้ยคะ เนื้อเพลงยังสนับสนุนณาณ่าเลย” คนพูดยังโมเมเข้าข้างตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง “หรือพี่เกมคิดมากเรื่องที่พี่มนอายุมากกว่า”

กองพลส่ายหน้าปฏิเสธทันที ในขณะที่อรรถนนท์รับหน้าที่แจกแจงปัญหาซึ่งเป็นเหตุให้คำแนะนำของเธอเป็นเรื่องยาก

“ก็อยากจะบอกอยู่หรอกจ้ะน้องณาณ่า แต่ดูดีๆ สิว่านี่น่ะใคร”

“ก็พี่เกมไงคะ”

“แล้วพี่เกมปากเป็นยังไงคะ”

“ปากหมาค่ะ”

สิ้นเสียงที่ให้คำตอบได้อย่างเฉยเมยแต่เต็มปากเต็มคำและฟังชัดถึงประสาทหูชั้นใน คนปากหมาก็ส่งค้อนให้ ก่อนถอนหายใจอย่างปลงๆ เมื่อหมดหนทางโต้ตอบ

“นั่นแหละ เพราะงั้นน้องณาณ่าคิดว่ามันจะพูดภาษาคนกับเขารู้เรื่องเหรอ”

“แหม คำว่ารักไม่ได้สำคัญที่คำพูด แต่สำคัญที่การพูดต่างหากล่ะคะ ไม่ว่าพี่เกมจะพูดภาษาอะไร แค่พี่เกมพูดด้วยตัวเองในแบบของตัวเอง ก็ทำให้คนฟังสัมผัสถึงความจริงจังและจริงใจได้แล้วล่ะค่ะ”

แม้ตัวคนพูดจะมีอัตราความน่าเชื่อถือติดลบ หากประโยคแสนดีจนสะดุดหูนั้นก็ดูเป็นเหตุเป็นผลเกินกว่าจะมองข้าม จึงกล่อมให้คนฟังทั้งหลายทำท่าคล้อยตามได้ไม่น้อย

“แต่ถ้าพี่เกมไม่มั่นใจ กลัวพี่มนไม่ฟังหรือไม่เชื่อ ก็ต้องสร้างสถานการณ์ค่ะ” หญิงสาวว่าตบท้าย ซึ่งหากใครสังเกตสักนิดจะเห็นแววตาคู่นั้นวาววับขึ้นอย่างนึกสนุก

“ยังไง”

ใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นลำบากใจเล็กน้อยเมื่อเธอแสร้งถอนใจเบาๆ “เฮ้อ จริงๆ แล้วณาณ่าเป็นคนแสนดี เรียบร้อยมากๆ เลยนะคะ ไม่ค่อยถนัดเรื่องแผนกงแผนการอะไรนี่หรอกค่ะ แต่เห็นแก่พี่พัทที่สงสารเพื่อน ณาณ่าจะพยายามนะคะ”

กองพลฟังแล้วเกิดอาการคันไม้คันมืออยากเขย่าศีรษะสาวเรียบร้อยขึ้นมาติดหมัด แต่เมื่อยังต้องพึ่งพาอาศัยในฐานะเป็นผู้หญิงคนเดียวในที่นี้จึงได้แต่แยกเขี้ยวยิ้มอย่างอดทน

“พวกพี่เชื่อแล้วจ้ะ ไม่ต้องอารัมภบทมากก็ได้”

กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ปริปากราวกับจะรอให้คนสำคัญออกปากด้วยตัวเองก่อน พาณาสน์จึงต้องรีบพูดตามใจคนเล่นตัว

“เอ้า จะว่าอะไรก็ว่าไป คนอื่นรอฟังอยู่”

อีกฝ่ายยิ้มอย่างพอใจแล้วค่อยเฉลยสิ่งที่คิดไว้ “คืองี้ค่ะ เดี๋ยวเราไปดักพี่มนตรงที่นัดเจอกัน พวกพี่โทรบอกคนอื่นให้แกล้งเดินแยกตัวออกมาก่อน ให้พี่มนมาที่จุดนัดพบคนเดียว แล้วเจอณาณ่ากำลังยืนร้องไห้สารภาพรักกับพี่เกมอยู่ ทีนี้พี่เกมก็ปฏิเสธณาณ่า แล้วก็บอกว่ารักพี่มนไงคะ”

คนรอบข้างที่ตั้งใจฟังแผนการอย่างคาดหวังถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนกลอกตามองหน้ากันราวกับอยากครางประสานเสียงเป็นสุภาษิตโบราณที่ว่า…คบเด็กสร้างบ้านจริงๆ เลยกู!

“ณาณ่าเอ๊ย แล้วไอ้บ้าที่ไหนจะเชื่อ ใครๆ ก็รู้ว่าเราชอบนายพัท”

“อันนั้นก็ถูกต้องค่ะ ใครๆ ก็รู้…ใช่มั้ยคะพี่พัท” ณอันดายิ้มร่าอย่างถูกใจพร้อมส่งตาหวานให้เจ้าของชื่อที่ถูกพาดพิงซึ่งนั่งอึ้งอยู่หนึ่งที แล้วหันกลับมาอธิบายต่อ

“จริงอยู่ว่าคนปกติก็คงไม่เชื่อหรอกค่ะ แต่กับไอ้บ้า เอ๊ย คนมีพิรุธในใจเนี่ย เห็นฉากสาวสารภาพรักกับคนที่ตัวเองมีใจด้วยแบบนี้เข้าไปก็ต้องมีวูบๆ บ้างแหละค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสาวคนนั้นสวยและแสนดีด้วยล่ะก็ รับรองว่ายิ่งออกอาการแน่ๆ ค่ะ”

อรรถนนท์ที่ทำหูทวนลมกับประโยคสุดท้ายซึ่งคนพูดแอบหยอดลูกยอให้ตัวเองหน้าตาเฉยค้านขึ้น “แต่มันการ์ตู๊น การ์ตูน พล็อตยอดนิยมมากๆ เลยนะ”

“ฮั่นแน่ พี่อรรถเป็นแฟนพันธุ์แท้การ์ตูนผู้หญิงใช่มั้ยคะเนี่ย รู้ดี รู้ลึก รู้จริงมากๆ” เจ้าของแผนการว่า แล้วรีบเสริมต่อก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกหลอกกัดเข้าให้

“ก็การ์ตูนสิคะ ผิดตรงไหน การ์ตูนนี่แหละค่ะความฝันของผู้หญิง”

ท่าทีไม่ไว้วางใจของผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดไม่เป็นอุปสรรคต่อความมั่นใจและความมุ่งมั่นของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เพราะเจ้าตัวยังคงย้ำและยืนยันอย่างหนักแน่นด้วยรอยยิ้มกว้างขวางสุดๆ

“เอาน่า เชื่อณาณ่าเถอะค่ะ ไม่มีใครเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงได้ดีเท่าผู้หญิงสวยๆ ด้วยกันนะคะ”

พาณาสน์ที่นั่งนิ่งฟังลอบถอนหายใจอีกครั้ง…จะไม่น่าเชื่อที่สุดก็เพราะประโยคสุดท้ายนี่แหละ รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย!

แม้จะยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่วางใจ และรู้สึกมึนๆ กับแผน ‘ฉากสารภาพเพื่อรัก’ ของณอันดา แต่สุดท้ายทุกคนก็ยอมเข้าประจำที่ตามที่ตกลงกันไว้ จุดนัดพบคือสวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากร้านเช่าเรือและจักรยานไปเพียงสามช่วงถนน สนามหญ้าสีเขียวสดกว้างขวางมีพื้นที่ด้านหน้าติดถนนและโอบล้อมด้วยทิวไม้ด้านหลัง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลจางๆ วางไว้เป็นระยะบริเวณบ่อน้ำที่อยู่ริมสนามด้านหนึ่ง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็นที่คนส่วนใหญ่กำลังเดินทางกลับบ้านทำให้สวนแห่งนั้นมีผู้คนผ่านไปมาบางตา

ตัวละครเอกทั้งคู่เลือกทำเลเป็นม้านั่งตัวหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เพิ่งผลิใบสีอ่อนสวย ส่วนบรรดาผู้ชมถูกคุณผู้กำกับซึ่งควบตำแหน่งนางเอกด้วยสั่งให้ไปแอบดูอยู่ที่โต๊ะหลังโขดหินที่อยู่ไม่ไกลแต่อาศัยว่าเป็นมุมลับตา

“มนกำลังเดินมาแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ถูกพี่โจดึงไปอีกทาง”

กองพลบอกหลังรับโทรศัพท์แจ้งความเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมายจากอรรถนนท์ซึ่งทำหน้าที่อธิบายแผนให้จิตติ สีหน้าเขาดูมึนงงเพราะยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าบ้าหรือเมาที่ยอมเล่นละครฉากนี้

“พี่เกมอย่าทำหน้าฉลาดน้อยสิคะ เดี๋ยวพี่มนก็สงสัยหรอก”

คุณผู้กำกับเฉพาะกิจเอ็ดเสียงเบาพลางชะเง้อชะแง้ไปทางที่มนธิราจะเดินเข้ามา ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบเห็นเป้าหมาย หญิงสาวจึงรีบปิดหน้าระเบิดเสียงสะอื้นออกมาทันที

“ฮือ พี่เกมใจร้าย พี่เกมไม่สงสารณาณ่าเลย”

ทั้งที่เตี๊ยมกันไว้ดิบดี กองพลก็ยังอดตกใจกับเสียงร้องไห้อย่างกะทันหันนั้นไม่ได้ ภาพคนตรงหน้าที่คร่ำครวญราวกับถูกทำร้ายให้เจ็บปวดเหลือแสนนั้นดูเหมือนจริงจนเขาตื่นตะลึง หากเมื่อได้ยินประโยคที่ตามมา คำว่าตาเหลือกคงเป็นนิยามที่ดีที่สุด

“พี่เกมสารภาพรักกับณาณ่าต่อหน้าพี่พัทได้ยังไง ฮือๆ”

…หา!

ไม่เพียงแต่ตัวละครในฉากที่อ้าปากค้าง บรรดาผู้แอบชมที่ซ่อนตัวกันอยู่ไม่ห่างก็งุนงงไปตามๆ กัน

…เฮ้ย ทำไมกลายเป็นไอ้เกมสารภาพรักล่ะ!

“ฮึก…อยู่ดีๆ พี่เกมมาบอกรักอย่างนี้ ณาณ่าไม่สบายใจนะคะ ฮือ”

มนธิราชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาหาคนทั้งสองทันทีที่ได้ยินคำพูดของสาวรุ่นน้อง หญิงสาวมองเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ตรงหน้าด้วยแววตาวูบไหว และเมื่อดวงตานั้นสบประสานเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนละล้าละลังอย่างทำอะไรไม่ถูก เธอก็เอ่ยขอโทษที่เสียมารยาทด้วยเสียงแผ่วเบาและหันหลังเพื่อเดินจากไป

“เดี๋ยวสิมน”

กองพลคว้าแขนบางของเธอเอาไว้ รอยหม่นเศร้าตัดพ้อที่เคลือบแคลงบนใบหน้าอีกฝ่ายทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด หากไม่อาจเอ่ยปากได้อย่างที่ใจต้องการ “มันไม่ใช่อย่างที่มนได้ยินนะ เอ่อ…คือว่า…คือ”

ณอันดาปล่อยโฮออกมาอีกทันที “พี่เกมยังเคลียร์กับณาณ่าไม่จบเลยนะคะ บอกมานะว่าสารภาพรักอย่างนี้ทำไม”

“พี่ไม่ได้ทำ!” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงดังเพื่อเอาชนะเสียงร้องไห้อันแสบแก้วหูนั้น “พี่รักมน ใครๆ ก็รู้ พี่จะสารภาพรักกับณาณ่าได้ไง”

คำประกาศอันหนักแน่นนั้นก่อให้เกิดความเงียบกริบตามมา

“ก็แค่นั้นแหละ” คนที่ร่ำร้องอยู่เมื่อครู่เงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือที่ซบอยู่แล้วก็เดินผละไปทันที ทิ้งให้คนที่เพิ่งบอกรักและคนถูกบอกรักยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ลำพัง…ถ้าไม่นับไทยมุงหลังโขดหินและโคนต้นไม้ทั้งหลาย

หลังจากเคลียร์สถานการณ์เรียบร้อย ทุกคนก็กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งและพากันเดินไปยังร้านอาหารทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะนั้นเพื่อรับประทานมื้อเย็น

ร้านอาหารขนาดเล็กแต่ตกแต่งอย่างน่ารักและเป็นกันเอง ทั้งยังกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายของลมทะเลสร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในร้าน แม้รสชาติอาหารจะเน้นกลิ่นนมเนยแบบตะวันตกเป็นหลัก แต่ความสดใหม่และการปรุงอย่างถึงเครื่องก็ช่วยเพิ่มความเอร็ดอร่อยได้ไม่น้อย

ซึ่งนอกจากบรรยากาศร้านแล้วเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้รื่นรมย์ไม่แพ้กัน ตลอดมื้ออาหารมีเสียงแสดงความยินดีพร้อมคำแหย่เย้าต่างๆ นานาเซ็งแซ่ ซึ่งทั้งกองพลและมนธิราต่างก็ยิ้มรับด้วยใบหน้าชื่น ส่วนอีกคนที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของแผนการที่ทุ่มทุนจัดฉากและมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน

“ว่าแต่ตอนแรกไม่ได้คุยกันแบบนี้นี่ณาณ่า ทำไมอยู่ดีๆ เปลี่ยนบท”

“ถ้าตามบทพี่เกมก็ได้ยืนทื่อเป็นยักษ์เฝ้าประตูวัดน่ะสิคะ” ใบหน้าร่าเริงปราศจากคราบน้ำตาหรือความโศกเศร้าโดยสิ้นเชิงตอบ

“แค่ได้ยินเราร้องไห้ พี่ก็ทื่อไม่อยู่แล้ว” ถ้าไม่เกรงใจแฟนหมาดๆ กองพลคงค้อนขวับให้อีกวง “ใครจะเหมือนเรา เด็กไรไม่รู้ ตีบทกระจุยจริงๆ นี่ถ้าเบรกมนไม่ทัน คืนนี้พี่ได้อิ่มแห้วแน่”

คำบ่นนั้นก่อให้เกิดเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง ในขณะที่กุลรัตน์ซึ่งไม่ได้อยู่ร่วมเหตุการณ์ตอนวางแผนถามขึ้นอย่างสนใจ

“อ้าว แล้วแผนตอนแรกเป็นยังไงล่ะ”

“คือจริงๆ แล้วตกลงกันว่าพอมนเดินมา ณาณ่าจะต้องสารภาพรัก แล้วให้ไอ้เกมปฏิเสธ แต่นี่อยู่ดีๆ ก็โพล่งออกมาว่าไอ้เกมสารภาพเฉยเลย”

“แหม จะให้ซี้ซั้วพูดได้ไงคะคำนั้น ณาณ่าพูดคำว่ารักได้กับคนแค่คนเดียวเท่านั้นแหละค่ะ” พูดแล้วก็ไม่พลาดที่จะหันไปยิ้มหวานให้กับ ‘คนเดียว’ คนนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าเมื่อยอย่างรู้เท่าทันว่าเจ้าหล่อนจะต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้เป็นแน่

…นั่นไงล่ะ ถนัดนักไอ้มุกจีบหนุ่มในที่สาธารณะเนี่ย

“ก็แล้วทำไมต้องทำเรื่องให้วุ่นวาย บอกกันธรรมดาๆ ก็ได้”

“ผมกลัวมนจะไม่ยอมฟัง หรือถึงฟังก็อาจจะไม่เชื่อ เลยต้องทำตามแผนที่ณาณ่าวางให้” กองพลบอกด้วยใบหน้าเขินๆ แต่ไม่วายทำตาเชื่อมส่งให้คนรัก ซึ่งคำตอบนั้นทำให้กุลรัตน์โพล่งความจริงที่แอบซ่อนไว้อีกข้อหนึ่งอย่างอดไม่ได้

“จะไม่ฟังได้ไง ยายมนก็ชอบนายเกมอยู่ แต่ไม่กล้าพูดเพราะเกมมันเด็กกว่า”

พูดจบเสียงอุทานก็ดังขึ้นในหมู่หนุ่มๆ ในขณะที่พาณาสน์เริ่มรู้สึกสังหรณ์ประหลาด ส่วนคนพูดก็ถูกมนธิราที่หน้าเห่อสีขึ้นกะทันหันระดมฝ่ามือใส่อย่างไม่ยั้ง

“โอ๊ย พอแล้วๆ ทำเขินไปได้ พวกผู้หญิงรู้กันหมดตั้งนานแล้ว ณาณ่าไม่รู้เหรอ” ท้ายประโยคพี่สาวใหญ่ของกลุ่มหันไปถามณอันดาที่กำลังจิ้มกุ้งย่างเนื้อแน่นชิ้นสุดท้ายใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย

“รู้ค่ะ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอก” กองพลร้องขึ้น

“บอกธรรมดาก็ไม่สนุกสิคะ” จอมวางแผนตอบหน้าตาเฉยก่อนโบกมือเรียกพนักงานเพื่อขอสั่งอาหารหวานมาล้างปาก ปล่อยให้คนฟังนั่งมองหน้าอ้าปากค้างกันเป็นแถว ส่วนพาณาสน์นั้นก็ไม่แคล้วนั่งส่ายหน้าอย่างเวทนาตัวเอง

…ตกหลุมยายตัวแสบอีกจนได้!

กิจกรรมปิดท้ายของค่ำคืนนั้นคือการเดินเล่นในย่านช็อปปิ้งประจำเมือง ร้านรวงต่างๆ ในอาคารที่มีความสูงไม่เกินสามชั้นขนาบสองฝั่งถนนขนาดสองเลน สินค้าที่จำหน่ายมีทั้งของที่ระลึก ของแต่งบ้าน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หนังสือมือสอง ไปจนถึงอาหารและขนมต่างๆ

แสงไฟสีนวลจากบ้านเรือนและร้านค้า รวมถึงที่ประดับอยู่ตามทางเดินนอกจากจะแต่งแต้มให้เมืองนี้มีสีสันจับตาขึ้นแล้ว ยังทำให้อากาศซึ่งเย็นลงในเวลากลางคืนดูเหมือนจะอบอุ่นขึ้นจนคนที่ควรจะเหน็ดเหนื่อยกับการตระเวนเที่ยวทั้งวันยังมีเรี่ยวแรงเดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ

เมื่อเดินผ่านร้านไอศกรีมที่ติดป้ายเชิญชวนไว้ด้านหน้าว่าเป็นสูตรดั้งเดิมของท้องถิ่นนี้ คนช่างกินอย่างอรรถนนท์จึงออกปากชวนเพื่อนๆ เข้าไปลิ้มลอง หากกระเพาะซึ่งเต็มอิ่มด้วยอาหารพร้อมขนมหวานสารพัดเค้กที่เพิ่งรับประทานเข้าไปทำให้มีเพียงจิตติและพาณาสน์รับคำชวนนั้น โดยปล่อยให้คนอื่นๆ ล่วงหน้าไปก่อน

“สวัสดีตอนค่ำค่ะ” หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีที่เคาน์เตอร์ในร้านทักทายขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางละมือจากการรวบรวมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเก็บเข้าที่

“กำลังจะปิดร้านแล้วหรือเปล่าครับ ถ้างั้นต้องขอโทษด้วย” พาณาสน์พูดขึ้นเมื่อพอจะเดาได้ว่าเธอกำลังทำอะไร

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เริ่มๆ จะเก็บ ต้องการไอศกรีมหรือเปล่าคะ”

เธอพยักหน้าเชิญชวนให้พวกเขาเลือกรสชาติไอศกรีมหลากสีในตู้เย็นอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะลงมือตักเกล็ดน้ำแข็งสีสวยเนื้อเนียนเป็นลูกกลมใหญ่บรรจุใส่ถ้วยกระดาษให้จนแน่นถ้วย

“แถมพิเศษก่อนปิดร้านจ้ะ”

เมื่อได้รับของและจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มทั้งสามก็พากันเดินออกจากร้าน หากก่อนที่จะก้าวพ้นประตูพาณาสน์ก็เหลือบเห็นแจกันซึ่งมีดอกไม้ปักอยู่เพียงหนึ่งดอกวางอยู่ที่ขอบหน้าต่าง จึงเอื้อมมือไปหยิบและนำไปยื่นให้หญิงวัยกลางคนคนนั้น

“อันนี้ลืมเก็บหรือเปล่าครับ”

เธอเงยหน้าขึ้นมองก่อนอุทาน “โอ จริงด้วย เกือบไปแล้ว ขอบใจมากจ้ะ”

ชายหนุ่มยิ้มและค้อมหัวให้เล็กน้อย แต่เมื่อจะผละจากไปอีกครั้ง เธอก็ยื่นดอกไม้ที่เหลือในแจกันนั้นให้เขา

“ช่วยรับไปหน่อยนะคะ ฉันจะได้ไม่ต้องทิ้งมัน”

…ดอกคาร์เนชั่นสีชมพูจางจนเกือบขาวขลิบปลายกลีบด้วยสีม่วงบนก้านบางหากตั้งตรงอย่างแข็งแรง สง่างาม

เขายิ้มอีกครั้งเมื่อคิดถึงใครอีกคนที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับดอกไม้ชนิดนี้…ยายเด็กเปรี้ยวหวานจอมแสบ

พาณาสน์เดินถือถ้วยไอศกรีมและดอกไม้ออกไปสมทบกับเพื่อนที่กำลังเตรียมตัวกลับที่พัก เมื่อณอันดาหันมาเห็นภาชนะถ้วยโตในมือก็รีบปราดเข้ามาหา ปล่อยให้เพื่อนคนอื่นเดินนำหน้าไปก่อน

“พี่พัทกินอะไรค้า”

“ไม่ต้องถาม ไม่ให้กิน” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างรู้ทันเพราะเคยชินกับการขอมีส่วนร่วมในทุกๆ เรื่องที่เขาทำของเธอ

“ไม่ได้จะกิน แค่ขอชิมคำนึง”

“ไม่ให้ เมื่อกี้พี่ถามแล้วเราบอกไม่เอาเอง”

“ก็ณาณ่าอิ่ม แต่อยากชิมนี่คะ น้า…นิดดดเดียวเอง” หญิงสาวอ้อนเสียงเล็กเสียงน้อยพร้อมทำมือประกอบคำพูด

“ไม่” เขายืนยันคำเดิม แล้วยื่นของในมืออีกข้างไปให้ “เอานี่ไปแทนละกัน”

เนื่องจากเมื่อครู่พาณาสน์ถือดอกไม้ด้วยการหนีบก้านไว้ระหว่างข้อนิ้วโดยมีถ้วยไอศกรีมบังหน้า เธอจึงไม่ทันเห็นว่ามีของอีกอย่างอยู่ในมือ และเมื่อเขายื่นมันออกมา เธอจึงได้แต่ยืนมองหน้าเขาสลับกับดอกไม้สีสวยด้วยดวงตาที่เบิกโตยิ่งกว่าไข่ห่านเพราะความคาดไม่ถึง

“ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับแม่สื่อแล้วกัน ถึงจะทำเรื่องยุ่งไปหน่อย แต่ผลออกมาดี ยกผลประโยชน์ให้” เขาพูดโดยอ้างเหตุผลที่เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ

หญิงสาวยังคงยืนนิ่งจนเขาต้องย้ำอีกครั้ง

“ไม่เอาเหรอไง”

“เอาค่ะ เอา” เธอรีบรับรางวัลจากมือเขาแล้วทำท่าปลาบปลื้มอย่างออกนอกหน้า จนคนให้ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องดีใจขนาดนี้กับดอกไม้ธรรมดาเพียงดอกเดียวที่ไม่ได้มีราคาค่างวด และเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจซื้อหามาให้เป็นพิเศษแต่อย่างใด

“พี่ไม่ได้ซื้อหรอกนะ ไปฉกฟรีมาจากร้านไอติม ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นก็ได้”

ณอันดายิ้มหน้าบาน ส่วนหัวใจนั้นทั้งบานและฟูฟ่องยิ่งกว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอามาจากที่ไหนไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญกว่าคือพี่พัทเป็นคนให้ณาณ่า ขอบคุณนะคะ”

พูดจบเธอก็ยกดอกไม้นั้นขึ้นจรดจมูกด้วยความทะนุถนอม ทั้งที่มันไม่มีกลิ่น…หากสำหรับคนรับแล้วมันช่างหอมชื่นใจยิ่งนัก ต่อให้เอาดอกไม้ราคาแพงลิบทั้งสวนมาแลก เธอก็จะขอเลือกดอกไม้ไร้กลิ่นดอกเดียวนี้เท่านั้น

“หนาวมั้ย” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกเมื่อเหลือบเห็นมือเล็กที่ประคองดอกไม้ราวกับของมีค่านั้นเปล่าเปลือย

หญิงสาวยิ้มพลางส่ายหน้า หากเขาก็ยังเอื้อมมาจับมือเธอเบาๆ

“มือเย็นขนาดนี้ยังว่าไม่หนาวอีก” ว่าแล้วก็ล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตเพื่อหยิบถุงมือของตัวเองส่งให้

“แล้วพี่พัทไม่หนาวเหรอคะ เพิ่งกินไอติมไปด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง ที่หยิบติดมาก็เผื่อให้เรานั่นแหละ รู้ตัวว่ามือเย็นง่ายแต่ไม่ยอมพกถุงมือ”

รอยยิ้มบนริมฝีปากยิ่งเปิดกว้างขึ้น ดวงตาทอประกายอ่อนหวานกับความห่วงใยเอาใจใส่เช่นที่เขามีให้มาตลอด

…พี่พัทน่ารักแบบนี้ จะไม่ให้ณาณ่ารักได้ไงคะ

เธอก้มมองถุงมือผ้าเนื้อนุ่มซึ่งตนเองรับมาสวมเรียบร้อยก่อนดึงออกหนึ่งข้างเพื่อส่งกลับให้เจ้าของ

“แบ่งกันใส่คนละข้างแล้วกันนะคะ”

“ไม่เป็นไร ณาณ่าใส่ไปเถอะ”

แต่เมื่อหญิงสาวยังไม่ยอมละความพยายามในการยื่นของกลางคืนให้เขา พาณาสน์ที่รู้นิสัยดื้อดึงของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีจึงต้องรับมาสวมไว้ ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือบางมากุมกระชับไว้ในมือใหญ่ไปตลอดทาง

ใต้ท้องฟ้ากว้างสีดำสนิทอันเกลื่อนไปด้วยแสงระยิบของดวงดาวที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเมืองใหญ่ บรรยากาศอบอุ่นอ่อนหวานในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นเหมือนความฝันแสนดีที่เธอจะขอซึมซับและประทับมันเอาไว้ในใจตลอดไป

 

วันรุ่งขึ้นหนุ่มสาวทั้งหมดตื่นแต่เช้าเพื่อเช็กเอาต์ออกจากที่พัก ตามกำหนดการที่วางแผนไว้พวกเขาจะไปเดินเที่ยวบริเวณท่าเรือใหญ่ซึ่งทอดตัวตามแนวชายหาดอันเป็นจุดท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งของเมืองนี้ก่อนจะเดินทางกลับในช่วงบ่าย

ท้องฟ้าใสสีจัดกับแสงแดดเจิดจ้าทำให้อากาศวันนี้สดใสและอุ่นสบายไม่แพ้เมื่อวาน นอกจากร้านรวงซึ่งตกแต่งตามสไตล์พื้นเมืองที่เรียงรายตลอดแนวยาว ยังมีทางเดินที่โค้งเลียบชายหาดให้เดินออกไปชมวิวและรับลมทะเลสลับเป็นระยะ

ทิวทัศน์อันสวยงามทำให้บรรดานักท่องเที่ยวไม่รอช้า แยกตัวกันเก็บภาพในมุมต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเผลอออกปากเรียกณอันดาเป็นนางแบบจำเป็นให้ มหกรรมโพสลืมอายจึงเริ่มต้นขึ้น

หญิงสาวเปลี่ยนท่าให้เพื่อนๆ ถ่ายรูปได้สารพัดแบบ ทั้งยืน นั่ง เดิน บิด กระโดด ไม่เว้นแม้แต่การนอนกลิ้งลงกับพื้น รวมถึงการปั้นหน้าหลากหลายอารมณ์ เช่น การทำแก้มป่อง ขยิบตา แยกเขี้ยว ยิงฟัน ดึงหน้าเหวี่ยง และแสร้งว่าเผลออย่างเป็นธรรมชาติ

ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที บรรดาตากล้องซึ่งตอนแรกมีเพียงเพื่อนในกลุ่มที่เลิกถ่ายภาพวิวหันมารัวชัตเตอร์ใส่ดาราหน้ากล้องคนนี้ ก็เริ่มเพิ่มจำนวนโดยมีคนแปลกหน้านอกกลุ่มที่เดินผ่านมาเห็นแล้วเกิดชอบอกชอบใจกับนางแบบผู้เปลี่ยนท่าโพสประหลาดๆ อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเข้าร่วมด้วยจนกลายเป็นชนมุงกลุ่มใหญ่

ฝ่ายเพื่อนๆ ของนางแบบจำเป็นเห็นผู้ชมที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มสะกิดกันหาทางสลายตัว พาณาสน์จึงทำหน้าที่เรียกหญิงสาวผู้เป็นศูนย์กลางความสนใจแล้วส่งสัญญาณว่ากำลังจะโยกย้ายไปจุดอื่นบ้าง

“ขอโทษนะคะ”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเรียกให้ณอันดาหันไปยังที่มาและได้พบว่าเป็นหญิงสาววัยรุ่นชาวตะวันตกซึ่งยืนอยู่กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสองคน

“ฉันชื่อเจนนิเฟอร์ค่ะ พวกเรากำลังทำโปรเจ็กต์ส่งประกวดอยู่ชิ้นหนึ่ง อยากจะรบกวนขอความช่วยเหลือจากคุณได้มั้ยคะ”

สาวผมน้ำตาลแดงแนะนำตัวแล้วอธิบายถึงรายละเอียดความช่วยเหลือที่ต้องการ นั่นคือโครงการประกวดคลิปวิดีโอเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวของเมือง โดยที่พวกเธอใช้แนวคิดเกี่ยวกับความรักในหลากหลายรูปแบบมาโยงเข้ากับสถานที่ต่างๆ ซึ่งสิ่งที่จะให้ณอันดาช่วยก็คือเป็นดาราจำเป็นหน้ากล้องและถามคำถามหนึ่งข้ออันจะนำมาซึ่งคำตอบที่เป็นคำบอกรักที่น่าประทับใจที่สุดได้

ณอันดาเหลือบมองชายหนุ่มข้างตัวอย่างขอความเห็น ก่อนตอบตกลงเมื่อไม่เห็นว่าเขามีทีท่าจะปฏิเสธแต่อย่างใด

อีกไม่กี่นาทีต่อมาทีมงานของเจนนิเฟอร์ก็เตรียมการเสร็จสรรพ ทั้งกล้อง ไมค์ และหน้าม้าที่ไม่รู้ไปสรรหามาจากที่ไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อทุกคนพร้อมในตำแหน่งของตัวเองแล้ว หญิงสาวก็สั่งเดินกล้องและพูดเกริ่นนำเล็กน้อย ก่อนจะยื่นไมค์มาให้ณอันดาถามคำถามที่เตรียมไว้

“สมมติว่าฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวนะคะ…แน่นอนว่าต้องเป็นประเภทที่สวยและแสนดี ฉันยานแตกและหลงมาบนโลก ฉันพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ สื่อสารอะไรกับใครไม่ได้ แล้วคุณเป็นคนแรกที่ได้เจอฉัน คุณจะสอนฉันพูดอะไรเป็นคำแรกคะ”

คำถามนี้นอกจากตัวคนถามและเจนนิเฟอร์แล้วไม่มีใครรู้มาก่อน ดังนั้นเมื่อถามจบจึงเกิดเสียงฮือฮาขึ้นไม่น้อย พิธีกรสาวให้เวลาหน้าม้าหนุ่มทั้งสามคนคิดคำตอบอีกเล็กน้อยก่อนจะยื่นไมค์ให้ตอบรายบุคคล

“เอ่อ…สวัสดีมั้งครับ” ชายหนุ่มคนแรกตอบง่ายๆ เหมือนไม่สามารถหาคำตอบอื่นได้ทัน

“ทำไมล่ะคะ”

“เพราะ…You had me at hello” คำตอบที่ยกเอาประโยคเด็ดจากภาพยนตร์ยอดนิยมนั้นเรียกเสียงเฮได้ในทันที

เมื่อถึงคราวชายหนุ่มคนที่สอง เขาพูดด้วยท่าทีเชื่อมั่นในคำตอบของตัวเองอย่างยิ่ง “รักครับ ผมจะสอนให้เธอพูดคำว่ารัก เธอจะได้บอกรักผมตลอดไป”

เสียงปรบมือเบาบางจากผู้ชมโดยรอบบอกให้รู้ว่าคำตอบนั้นอาจจะธรรมดาเกินไปหน่อยเลยยังไม่ถูกใจนัก จนมาถึงผู้ร่วมรายการคนสุดท้าย

“ไม่สอนครับ” เขาตอบยิ้มๆ “เพราะผมคงไม่อยากให้เธอไปพูดกับคนอื่น”

“อ้าว แล้วคุณจะคุยกับเธอยังไงล่ะคะ”

“เราจะคุยกันด้วยหัวใจไงครับ” พูดจบเขาก็โค้งรับเสียงปรบมือและการเป่าปากอย่างถูกใจจากผู้ชมเป็นการขอบคุณ

เจนนิเฟอร์ถือไมค์กลับมาหาณอันดาอีกครั้ง แล้วก็ได้เห็นว่าหญิงสาวกำลังจ้องมองไปที่ใครอีกคนหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

“มองอะไรอยู่คะ”

“กำลังส่งกระแสจิตเรียกคนบางคนออกมาตอบค่ะ”

คำพูดนั้นทำให้พิธีกรสาวหันมองตามสายตาของเธอไปจนเจอชายหนุ่มอีกคนยืนกอดอกในกลุ่มผู้ชม และเมื่อเพื่อนๆ เข้าใจความต้องการของณอันดา สารพัดมือก็ร่วมด้วยช่วยกันทั้งผลักทั้งดันเขาให้ออกไปยืนกลางวงล้อมกับชายหนุ่มอีกสามคนทันที

พาณาสน์อยากยกมือกุมขมับเป็นอย่างยิ่ง เขาควรจะเชื่อสังหรณ์ของตัวเองตั้งแต่ได้ยินโจทย์จากยายตัวแสบและหาทางเผ่นไปตั้งแต่ตอนนั้น หากสายตาคู่หนึ่งที่เหลือบมองมาเป็นระยะทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวไปไหน เพราะไม่อาจเดาใจเจ้าหล่อนได้ว่าจะโหวกเหวกโวยวายขึ้นมาให้เสียเรื่องหรือไม่ จึงยังคงยืนเสียวสันหลังวาบๆ อยู่ที่เดิมจนแม่เจ้าประคุณส่งสัญญาณกดดันมาทางสายตานั่นแหละ

เขาลอบถอนหายใจอย่างนึกปลง ปลอบตัวเองว่าไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ก็คงต้องตอบๆ ไปให้จบ ไม่งั้นยายตัวยุ่งคงไม่ยอมปล่อยให้เขารอดพ้นไปจากตรงนี้แน่

“ผมจะสอนให้เธอพูดชื่อผมเป็นคำแรกและคำเดียว เพื่อที่เธอจะได้เรียกแต่ชื่อผมคนเดียวตลอดไป”

เมื่อประโยคสิ้นสุดลงเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว หากคนพูดกลับไม่ได้ยิน เพราะในระหว่างที่เอ่ยตอบเขาได้ประสานตากับหญิงสาวเจ้าของคำถามโดยบังเอิญ ชั่วครู่นั้นดวงตากลมโตที่ส่อแววอัศจรรย์ใจหากแฝงไปด้วยความอ่อนหวานเต็มเปี่ยมราวกับมีพลังลึกล้ำดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ จนในที่สุดริมฝีปากสีสดใสก็แย้มยิ้มอย่างเต็มที่ ใบหน้านวลกระจ่างเรื่อสีขึ้นด้วยความยินดี และกว่าที่เขาจะรู้สึกตัว ไมค์ในมือเจนนิเฟอร์ก็อยู่ตรงหน้าณอันดาอีกครั้ง

“ท่าทางคุณจะได้คำตอบที่ถูกใจแล้ว”

“ใช่ค่ะ”

“แล้วจะตอบเขาว่ายังไงดีคะ”

แววตาสุกใสสว่างวาบขึ้นอย่างร่าเริงผิดปกติ และถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นความซุกซนที่ซ่อนอยู่ในนั้นค่อยๆ แสดงตัวออกมา สัญญาณเตือนภัยในสมองพาณาสน์ร้องระงมขึ้นทันที

…เฮ้ย ไม่นะ!

หญิงสาวยกมือขึ้นชี้นิ้วไปยังบันจี้แทรมโปลีนซึ่งมีเสาสูงสองต้นโผล่ขึ้นมากลางวงล้อมของฝูงชนในบริเวณใกล้เคียง

“ฉันจะประกาศชื่อเขาให้โลกได้รู้”

“ทำไมถึงเป็นชื่อเขา ไม่ใช่คำว่ารักล่ะคะ”

ณอันดายิ้มกว้างใส่ตาชายหนุ่มเจ้าของคำตอบสุดท้าย “เพราะจากนี้ไปชื่อของเขาคือคำว่ารักของฉัน และทุกครั้งที่ฉันเรียกเขา แปลว่าฉันกำลังบอกรักเขาอยู่ค่ะ”

ว่าแล้วร่างบางนั้นก็ย่อตัวลงถอนสายบัวอย่างสวยงามหนึ่งครั้ง และวิ่งไปยังจุดหมายที่ปลายนิ้วเมื่อครู่ ก่อนที่คำว่ารักจะถูกกู่ก้องทั่วท้องฟ้ากว้างราวกับจะให้โลกเป็นประจักษ์พยานของหัวใจดวงนี้

“พี่พัททททททท…ณาณ่ารักพี่พัทที่สุดในโลกเลยนะค้าาาาาา”

 

แล้วทริปนั้นก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง ในขณะที่เจ้าตัวคนก่อเรื่องต้องวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังง้อชายหนุ่มผู้โด่งดังขึ้นมาภายในเวลาไม่กี่นาทีด้วยการถูกบอกรักกลางท้องฟ้าพร้อมพยานบุคคลร่วมเหตุการณ์นับร้อย

“พี่พัทโกรธเหรอค้า”

หญิงสาวซอยเท้าไล่ตามพาณาสน์ที่เดินหนีหลังจากช่วงเวลาระทึกผ่านพ้นไปและฝูงชนละความสนใจจากพวกเธอแล้ว ตาโตแป๋วกะพริบถี่ๆ อย่างออดอ้อน แล้วก็ถูกมือใหญ่ตีลงมาเบาๆ ที่หน้าผาก

“ไม่อายเขาบ้างหรือไงนะเรา” เขาถามด้วยใบหน้ามุ่ย คิ้วขมวดมุ่น

ถึงจะแอบยิ้มกับความร่าเริงสดใสของคนตรงหน้า แต่ก็อดนึกเคืองไม่ได้ที่เป็นเหตุให้เขาต้องอับอายเพราะเสียงแซวจากคนรอบตัวทั้งคนรู้จักและแปลกหน้า แต่จะให้เดินหนีไประหว่างที่เธอกำลังเหินฟ้าอยู่นั้นก็เป็นห่วงเกินกว่าจะก้าวเท้าออกจากจุดนั้นได้ จึงต้องยืนกุมขมับยิ้มแหยรับฟังเสียงปรบมือเป่าปากจนจบ

เธอฉีกยิ้มพลางสั่นหน้า “ไม่ค่ะ ทำไมต้องอายล่ะคะ รักก็บอกว่ารัก ไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย”

“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปป่าวประกาศให้รู้ทั่วโลกเลยนี่ เรื่องของคนสองคน”

“อันนั้นก็ใช่ค่ะ แต่ณาณ่าอยากแสดงความมั่นใจด้วยไงคะ ที่สำคัญต้องรีบบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าคนนี้มีเจ้าของแล้ว จะได้ไม่เกิดคนที่สาม สี่ และห้าตามมา” หญิงสาวบอกพลางยักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์ จึงถูกมือใหญ่ตีหน้าผากเข้าให้อีกที

“จะสนใจทำไม ถ้าคนสองคนรักกัน มือที่สาม สี่ หรือห้าอะไรของเราก็ไม่มีผลหรอก”

จบประโยคนั้นคนฟังก็กระโดดเกาะแขนเขาแน่น ตาพราวระยับเป็นประกายอย่างถูกใจ

“ถ้างั้นก็แปลว่าพี่พัทกับณาณ่ารักกันแล้วใช่มั้ยคะ”

ชายหนุ่มจึงได้รู้ตัวว่าโดนสาวน้อยตัวแสบแกล้งเข้าให้อีกแล้ว

 

มหาวิทยาลัยในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนซึ่งแม้จะมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนไม่น้อย แต่ความพลุกพล่านกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อนจัดและแสงแดดแผดเผาเช่นนี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ส่วนใหญ่จะสมัครใจหลบร้อนอยู่ในอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำมากกว่าจะออกมาเดินให้ความร้อนแรงของดวงอาทิตย์เผาผลาญร่างกาย

ณอันดาก็เป็นหนึ่งในนั้น หญิงสาวนั่งจิบชาแอปเปิ้ลเย็นอยู่ในร้านกาแฟอย่างสบายใจ หูก็ฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ โดยที่มือก็พลิกหน้าหนังสืออ่านไปเรื่อยๆ ด้วย

“สบายใจเหลือเกินนะคุณผู้หญิง” เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นพร้อมมือใหญ่ที่ถือวิสาสะเอื้อมมาดึงหูฟังออก “ผมคิดว่าจำไม่ผิดนะว่าเรานัดกันที่ห้องสมุด แล้วทำไมคุณโผล่มาอยู่ที่นี่”

“ก็ห้องสมุดแอร์เสียนี่” หญิงสาวพูดเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าอนาทรร้อนใจใดๆ กับใบหน้าขาวที่ขึ้นริ้วสีและอาการหอบเบาๆ ด้วยความเหนื่อยของคู่สนทนา

“แล้วทำไมไม่บอก ปล่อยให้ผมวิ่งหาทั่วห้องสมุดเลย”

“ก็แล้วทำไมไม่โทรมาล่ะ”

“ไอ้บ้าที่ไหนใช้โทรศัพท์ในห้องสมุดกันเล่า ผมนึกว่าคุณอยู่ห้องสมุด ถ้าโทรไปคุณก็จะโดนดุ ผมก็ไม่กล้าโทรสิ”

ฟังเหตุผลแล้วก็ต้องยอมรับว่าเถียงได้ยาก เธอจึงยักไหล่และเปลี่ยนประเด็นหน้าตาเฉย “เอาน่า ยังไงก็เจอกันแล้วไง คนมาสายไม่มีสิทธิ์บ่นนะ”

“ผมสายแค่ห้านาที แต่อีกสิบห้านาทีเนี่ยเพราะผมต้องวิ่งตามหาคุณต่างหาก”

“ก็แล้วไอ้ห้านาทีนั่นเรียกว่าสายหรือเปล่าล่ะ”

ชายหนุ่มทำท่าฮึดฮัดเพราะอยากเถียงแต่ไม่อาจทำได้ จึงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม ใบหน้าขาวจัดตัดด้วยเครื่องหน้าคมเข้มและดวงตาสีเทาอ่อนซึ่งเป็นส่วนผสมอันลงตัวของสองชนชาติคนละฟากฝั่งทวีปทำให้เขาจัดเป็นหนึ่งในผู้ชายหน้าตาดี เสียแต่ชอบทำหน้าอยู่สองแบบ นั่นคือกวนประสาทกับขาดอารมณ์ขัน

เชนย์เป็นลูกครึ่งจีน-อเมริกัน บิดาของเขาเป็นคนจีนที่อพยพมาตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับพี่ชายและพี่สาวอีกสี่คนตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยสติปัญญา ความสามารถ รวมถึงความอุตสาหะพากเพียรของห้าพี่น้อง จากทรัพย์สินจำนวนไม่มากที่พกติดตัวมา ก็ได้งอกเงยเป็นธุรกิจครอบครัวที่มั่นคงและกว้างขวางแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ จนวันนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลเศรษฐีที่นักธุรกิจในวงการต่างรู้จักดี

ณอันดาได้รู้จักกับเขาในห้องเรียนวิชาหนึ่งตั้งแต่เทอมแรกที่เข้าเรียนที่นี่ ชายหนุ่มเดินมาขอจับคู่ทำรายงานกับเธอด้วยคำพูดที่หลายคนอาจจะตวัดหางตาใส่

‘คู่ดีๆ ไม่ได้หากันง่ายๆ เห็นแก่เชื้อชาติที่ใกล้เคียงกัน ผมจะยอมคู่กับคุณเอง’

แต่เพราะคนฟังคือเธอ ประโยคนั้นจึงฟังดูแสนธรรมดา เมื่อเทียบกับคำตอบที่พูดออกไปด้วยเสียงสุภาพจริงใจพร้อมรอยยิ้มหวานจัดทั้งตาและปาก

‘ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าดีแล้วได้แค่นี้ ฉันทำเองคนเดียวดีกว่า’

จากวันนั้นมาเธอและเขาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งบรรดาเพื่อนร่วมห้องหลายคนที่พอจะรู้อภินิหารของทั้งคู่ก็ไม่แปลกใจ ทั้งยังมีแก่ใจตั้งฉายาให้ว่า ‘คู่หูไร้เทียมทาน’ อีกด้วย

“เถียงนัก ไม่ให้ซะดีมั้ย” ชายหนุ่มโบกฮาร์ดดิสก์พกพาบางเฉียบในมือเบาๆ

“ถ้าคิดว่าหาคนที่ทั้งเก่ง ทำงานไว รสนิยมดี และสวยขนาดนี้มาแทนได้ง่ายๆ ก็ตามใจสิ” เธอตอบพร้อมเชิดหน้าอย่างไม่ยี่หระ

เชนย์จึงเคาะฮาร์ดดิสก์นั้นลงกับหน้าผากที่ลอยไปมาเบาๆ อย่างหมั่นไส้

…พูดจาหลงตัวเองได้ขนาดนี้ เหมือนใครก็ไม่รู้

“เอ้า เอาไป แล้วจะกลับยังไงนี่”

ณอันดาเก็บของใส่กระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “พี่พัทมารับ นี่ไง โทรมาพอดี”

 

เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายกันไป ณอันดาเดินไปยืนรอ ณ จุดที่นัดพาณาสน์ไว้ เพียงไม่นานรถยนต์คุ้นตาก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดตรงหน้า หญิงสาวเขม้นมองผ่านกระจกเคลือบฟิล์มเข้าไปดูที่นั่งข้างคนขับก่อนเหลือบไปที่เบาะด้านหลัง

…ดีมาก อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่นะคะ

หญิงสาวพยักหน้าอย่างพอใจก่อนเปิดประตูรถเพื่อก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้างพาณาสน์

“สวัสดีค่ะพี่วิป พี่อ้อน” เธอหันไปยิ้มทักทายให้ผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งคนหนึ่งยิ้มรับแม้จะดูฝืนๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าอีกคนที่ยกแค่มุมปากขึ้นอย่างเสียไม่ได้

วิภาวีและอรกัญญาเป็นนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งย้ายรัฐมาเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยนี้ ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างยิ่ง

วิภาวีเป็นคนสวย อ่อนหวานทั้งรูปร่าง หน้าตา และกิริยามารยาท ดีกรีอดีตดาวมหาวิทยาลัยสมัยเรียนปริญญาตรีที่เมืองไทยทำให้หนุ่มๆ ซึ่งได้ทราบข่าวล่วงหน้าว่าเธอจะย้ายมาอยู่เมืองนี้เฝ้ารอ และเมื่อได้พบเห็นตัวจริง ความเรียบร้อย น่าทะนุถนอมก็ทำให้พวกเขาเก็บไปเพ้อกันว่าหญิงสาวนั้นเพียบพร้อมไม่ต่างอะไรจากนางในวรรณคดี

ส่วนอรกัญญานั้นรูปลักษณ์ภายนอกดูธรรมดา แม้จะไม่ได้มีส่วนไหนที่บกพร่องแต่ก็ไม่ใช่คนสวย ยิ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันตลอดยิ่งทำให้หญิงสาวดูจืดไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่โดดเด่นของเธอคือบุคลิกที่คล่องแคล่ว แต่อารมณ์ร้อนและไม่ยอมคน ซึ่งทำให้ดูเหมือนเป็นผู้ช่วยปกป้องวิภาวีไปโดยปริยาย

สิ่งที่ทั้งสองเหมือนกันคือฐานะทางบ้านที่อยู่ในระดับกลางและความสามารถในการเรียน ทั้งคู่เป็นนักเรียนทุน ผิดกันที่วิภาวีได้ทุนค่าเล่าเรียนจากมหาวิทยาลัยที่นี่ ในขณะที่อรกัญญารับทุนมาจากบริษัทที่เมืองไทย พวกเธอจะเริ่มการเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ในช่วงภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วง แต่ที่ย้ายมาก่อนก็เพื่อปรับตัวและเตรียมความพร้อมทั่วๆ ไป

ณอันดาได้พบหญิงสาวทั้งสองเป็นครั้งแรกเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการพบกันที่ไม่ค่อยน่าประทับใจนัก

เนื่องจากอพาร์ตเมนต์ที่สองสาวเช่าอยู่ใกล้ที่พักของพาณาสน์ เขาจึงรับอาสาอำนวยความสะดวกพวกเธอในช่วงแรกตามธรรมเนียมปกติของกลุ่มคนไทยที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งวันที่เกิดเหตุชายหนุ่มแวะไปรับพวกเธอที่บ้านก่อนจะวนรถไปรับณอันดาที่มหาวิทยาลัยเพื่อไปยังบ้านเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งจัดงานต้อนรับเพื่อนใหม่อย่างที่เคยทำทุกเทอม

เมื่อณอันดาเห็นตำแหน่งที่วิภาวีนั่ง หญิงสาวก็เปิดประตูและขอให้เธอย้ายทันที

‘ขอโทษค่ะ ช่วยย้ายไปนั่งเบาะหลังนะคะ ที่นั่งตรงนี้เป็นของณาณ่าค่ะ’

เป็นอันรู้กันในกลุ่มคนไทยว่าที่นั่งข้างคนขับในรถของพาณาสน์นั้นถูกสงวนสิทธิ์ไว้ให้ณอันดาเพียงคนเดียว ซึ่งคนที่ประกาศให้เป็นเขตสงวนก็ไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าตัวนั่นแหละ

หญิงสาวเข้าใจว่าวิภาวีเป็นคนใหม่จึงไม่รู้เรื่องนี้ เธอจึงบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแสนธรรมดาโดยมีวัตถุประสงค์เพียงแจ้งให้ทราบ แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่คิดเช่นนั้น วิภาวีไม่รู้จักเธอมาก่อนจึงไม่คุ้นกับนิสัยการพูดตรงๆ แบบนี้เลยหน้าเสียลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อรกัญญาโกรธแทนเพื่อนและไม่ลังเลที่จะตอบโต้ทันที

‘ไม่ยักรู้ว่ามีเจ้าที่’

เจ้าที่เลิกคิ้วมองไปยังคนพูดเพื่อหยั่งเจตนา ซึ่งฝ่ายนั้นก็จ้องกลับอย่างไม่เป็นมิตร

‘ก็ถึงบอกให้ทราบไงคะ’ พูดแล้วก็ถอนสายตากลับมาที่วิภาวีซึ่งยังนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม

‘ณาณ่า’ เจ้าของรถเอ่ยปราม แม้จะรู้ว่าเธอไม่มีเจตนาหาเรื่อง แต่เรื่องจะให้ยอมก็คงเป็นไปได้ยากเหมือนกัน

จริงๆ เขาก็คิดอยู่ตั้งแต่วิภาวีขึ้นมานั่งตรงนี้แล้วว่ายายตัวยุ่งของเขาอาจจะมีปัญหา แต่ก็ปากหนักไม่พูดตั้งแต่แรกเพราะลืมไปว่าคำพูดตรงๆ ของเจ้าหล่อนซึ่งเขาเคยชินอาจจะไม่รื่นหูสำหรับคนอื่นก็ได้ และนึกไม่ถึงด้วยว่าอรกัญญาจะตอบโต้

เรื่องในวันนั้นจบลงได้เพราะพาณาสน์ออกปากขอให้วิภาวีย้ายที่นั่งโดยอ้างว่าเขาต้องให้ณอันดาช่วยดูทาง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอรกัญญาจะตั้งตัวเป็นอริกับเธอไปแล้ว ส่วนหญิงสาวอีกคนนั้นยังรักษาภาพสาวสวยแสนดีไว้อยู่ ถึงจะดูฝืดฝืนไปบ้าง

 

จุดหมายปลายทางวันนี้คือบ้านของรุ่นพี่ชาวไทยคนหนึ่งที่เพิ่งรับปริญญาไปหมาดๆ หญิงสาวกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทยในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจึงได้จัดงานเลี้ยงลาเพื่อนฝูงเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อจอดรถเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็ช่วยกันหยิบของซึ่งประกอบด้วยอาหารต่างๆ เข้าไปในบ้าน

“สวัสดีค่าทุกคน คนสวยมาแล้วนะค้า” ณอันดาประกาศทันทีที่ผลักประตูเข้าไปภายใน

อรกัญญาที่เดินตามมาข้างหลังเบ้ปากอย่างหมั่นไส้แล้วดึงวิภาวีให้เดินตรงเข้าไปในครัวสมทบกับสาวๆ คนอื่นเพื่อช่วยเตรียมอาหาร

“แล้วนั่นคนสวยจะไปไหนจ๊ะ ทำไมไม่มาช่วยทำอาหาร” กุลรัตน์ตะโกนมาจากด้านในครัวเมื่อเห็นณอันดาเดินเกาะแขนพาณาสน์โผล่หน้าเข้ามาทักทายแล้วก็ทำท่าจะตามออกไปที่ห้องนั่งเล่น

“ก็ณาณ่าไม่ถนัดเรื่องทำอาหารนี่คะ อยู่ไปก็เกะกะพี่ๆ เปล่าๆ”

“แล้วถนัดอะไรบ้างล่ะจ๊ะ พี่ไม่เห็นเราจะทำอะไรได้สักอย่าง”

ณอันดายิ้มหวาน “ถนัดเรื่องทำสวยค่ะ หรือถึงไม่ถนัดก็ไม่เดือดร้อน เพราะสวยเป็นปกติอยู่แล้ว”

คู่สนทนาส่ายหน้า สะบัดตะหลิวแทนการโบกมือ “จ้ะๆ แม่คนสวยตามปกติ งั้นจะไปไหนก็ไปเถอะจ้ะ”

ดังนั้นเธอจึงไปนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่หนุ่มๆ กำลังช่วยกันแยกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่เจ้าของจะไม่นำกลับไปด้วยให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อง่ายในการขนย้ายของผู้รับมรดกแทน

เมื่ออาหารเสร็จ บ้านก็เรียบโล่งพอดี อาหารถูกนำมาจัดบนพื้นที่ปูด้วยผ้าพลาสติกกันเปื้อนแทนโต๊ะซึ่งถูกจัดเก็บไปเรียบร้อย อุปกรณ์ที่ยังเหลือใช้การได้มีเพียงโทรทัศน์และเครื่องเสียงที่เจ้าของบ้านขอให้รุ่นน้องที่ซื้อต่อมารับของไปในวันที่เธอเดินทาง

“บีเก็บคาราโอเกะไปหรือยัง” อรรถนนท์ถามขึ้น ชายหนุ่มเป็นหนึ่งในสมาชิกมือติดไมค์ประจำกลุ่ม ไม่ว่าไปปาร์ตี้บ้านไหน เป็นต้องนำทีมตั้งวงทุกที

“ยังค่ะ ไมค์ก็ยังอยู่ เตรียมไว้ให้พี่อรรถวันนี้โดยเฉพาะไง”

ว่าแล้วก็จัดแจงช่วยกันต่อสารพัดสายไฟและเซ็ตเครื่อง ก่อนที่บทเพลงแกล้มอาหารจะเริ่มต้นขึ้น

“เพลงนี้ใครเลือก” อรรถนนท์ผู้ทำหน้าที่จัดคิวถามเมื่อชื่อเพลงปรากฏบนจอ

“ว้ายๆ ของณาณ่าเองค่ะ” หญิงสาวรีบรับไมโครโฟนที่ถูกส่งต่อกันมาแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม

“เจอะเธอเมื่อไหร่ในใจมันหวิว เด็ดดอกไม้ปลิวจนเกลื่อนถนน

เธอน่ารักจนฉันเก็บไปคิดไปฝัน อยากขอเป็นแฟนด้วยคน

หน้าตาของเธอก็หล่อพอใช้ แต่ว่าหัวใจเธอช่างเปี่ยมล้น

เธอเพียบพร้อมไปทุกอย่าง จนฉันสับสนว่าต้องทำตัวยังไง”

ณอันดาร้องเพลงตามทำนองสนุกสนานซึ่งเคยเป็นที่นิยมมากเมื่อหลายปีก่อน แต่ที่ทำให้คนฟังหัวเราะกันอย่างครื้นเครงเป็นเพราะเธอไม่ได้ร้องเฉยๆ หากยังออกท่าเต้นประกอบตามสเต็ปที่นักร้องดูโอสาวเจ้าของเพลงเคยเต้นไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน และเมื่อถึงท่อนแร็พก่อนจบ หญิงสาวก็ดึงมือชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัวให้ยืนขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ฮาของคนอื่นๆ

“ไม่อยากทอดสะพาน แต่รอนานๆ ก็ไม่ไหวนะ

เจอกันมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มองตัวฉันบ้างล่ะ

ตรงนี้ ตรงนี้ หยิบสิ หยิบสิ มองเห็นไหมจ๊ะ

อุตส่าห์ทิ้งให้เธอเก็บ ทำไมไม่เก็บซะทีล่ะคะ”

พาณาสน์ส่ายหัวดิก ใบหน้าเข้มของเขาเรื่อสีขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่ชินกับมุกแทะโลมหนุ่มของยายตัวยุ่งนี่สักทีทั้งที่เจ้าตัวก็หาโอกาสทำอยู่บ่อยๆ ดูอย่างตอนบันจี้แทรมโปลีนที่กระโดดม้วนหน้าม้วนหลังไปตะโกนบอกรักเขาไปนั่นไง แต่เมื่อมองร่างบางที่ขยับตัวตามจังหวะด้วยรอยยิ้มสดใสแล้วความขัดเขินก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขำปนเอ็นดู

ภาพคนทั้งสองที่ยิ้มให้กันอาจดูธรรมดาในสายตาคนอื่นที่เห็นบ่อยครั้ง แต่สำหรับวิภาวีมันทำให้อาหารจานอร่อยรสกร่อยลงด้วยความหงุดหงิดทันที หญิงสาวพยายามเสมองไปทางอื่น แต่เสียงปรบมือกับทำนองเพลงใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นก็ทำให้เธออดเหลือบตาไปมองอีกไม่ได้

เนื้อเพลงหวานซึ้งที่เล่าถึงการค้นหาความรักของคนสองคนดังขึ้นแทนเพลงเก่าด้วยเสียงของหญิงสาวคนเดิมกับชายหนุ่มที่ถูกบังคับให้ร้องคู่กัน แต่เนื่องจากเพลงนี้ต้องใช้ความสามารถและพลังเสียงในการร้องค่อนข้างมาก ทำให้ณอันดาที่ไม่ชำนาญร้องเพี้ยนไปไม่น้อย เพลงจึงถูกปิดก่อนจะจบเพราะคนฟังชักทนไม่ได้แม้ว่าพาณาสน์จะร้องได้ค่อนข้างดีก็ตาม

“พอเหอะ ณาณ่ากลับไปเอาดีเพลงเก่าเถอะนะ ถือว่าสงสารพี่ๆ”

“แหม ก็เพลงนี้มันร้องยากนี่คะ”

“ร้องยากหรือไม่เก่ง เอ้อ ไม่ถนัดกันแน่คะน้องณาณ่า” เสียงอรกัญญาดังแทรกขึ้นด้วยคำพูดที่ดูเหมือนจะล้อเล่น แต่ไม่วายเจือหางเสียงเยาะๆ ก่อนจะเสนอขึ้น “ถ้าอยากฟังเพลงนี้ต้องให้วิปร้องค่ะ รับรองเสียงเหมือนต้นฉบับเป๊ะ”

“ไม่เอาน่าอ้อน” วิภาวีรีบค้านเสียงอ่อย แต่กลับก้มหน้าลงซ่อนแววตาวาวอย่างสมใจไว้ได้สนิท

“ลองดูก็ได้น้องวิป ไม่ต้องเขินหรอก ถือว่าสนุกๆ กัน ขนาดณาณ่าร้องเข้ารกเข้าพงขนาดนั้นยังไม่อายเลย” กุลรัตน์ตีความอาการนั้นว่าเป็นความขัดเขินที่น่าเอ็นดูจึงเอ่ยสนับสนุน และไมโครโฟนก็ถูกส่งมารอถึงมือ

ทำนองเพลงหวานเพลงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงที่ขับขานกลับต่างไปจากเสียงเดิมโดยสิ้นเชิง ทั้งน้ำเสียงและการทอดอารมณ์ทำให้เธอสามารถสะกดคนฟังได้ตั้งแต่ประโยคแรก

“สิ่งที่ฉันหวัง สิ่งที่ฉันคอย อาจดูเหมือนเลื่อนลอย เกือบจะฝันไป

มองหาคนคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เป็นใคร และไม่รู้เมื่อไหร่ จะพบคนผู้นั้น”

เมื่อประสานกับเสียงพาณาสน์ในท่อนต่อไปซึ่งเข้ากับเธอได้เป็นอย่างดี บรรดาสมาชิกร่วมวงจึงนิ่งฟังกันอย่างเคลิบเคลิ้มไปตลอดเพลง

“แต่เราก็หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา

รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า เมื่อมีใครสักคนข้างกาย”

เสียงปรบมือเกรียวกราวบอกความชื่นชมดังขึ้นเมื่อเพลงจบ วิภาวีเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองคู่ร้องเพลงที่กำลังส่งยิ้มมาให้พอดี เธอจึงก้มหน้าลงหลบตาด้วยท่าทางขัดเขิน

อาการดังกล่าวไม่พ้นสายตาของอรกัญญา เธอมองภาพของเพื่อนและชายหนุ่มอย่างพอใจ ก่อนตวัดสายตาไปยังหญิงสาวอีกคนด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังฉายชัดขึ้นเต็มใบหน้าที่ทำให้คนถูกมองงงไปเล็กน้อย

…เอ นี่เราต้องรู้สึกอะไรหรือเปล่าน้า

วิภาวีร้องเพลงได้เพราะ เธอก็ชื่นชม ส่วนพาณาสน์นั้นไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีพู่ให้ลุกขึ้นเต้นเชียร์หรือมีป้ายไฟให้โบกเธอคงทำไปแล้ว สรุปว่าสถานการณ์โดยรวมก็ปกติดี แล้วสายตาจิกๆ ของอรกัญญานั่นควรจะแปลว่าอะไรกัน

…ช่างมันแล้วกัน คิดไปก็เปลืองซีรีเบลลัมนะคะ

หญิงสาวไหวไหล่เล็กน้อยพลางเอื้อมมือตักส้มตำมะละกอผสมแครอตสีส้มสดใสใส่จาน หากทันทีที่อาหารสีสวยสัมผัสลิ้น เธอก็ส่งเสียงร้องลั่น

“โอ๊ย เผ็ดๆๆๆ”

เสียงโวยวายของเธอเรียกความสนใจจากหลายๆ คนได้ทันที เพลงใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นโดยอรรถนนท์เป็นอันหยุดชะงักกลางอากาศชั่วคราว ก่อนดำเนินต่อเมื่อณอันดารับแก้วน้ำหวานจากพาณาสน์แล้วยกดื่มจนหมด กระนั้นใบหน้าที่ปกติเป็นสีนวลของเธอก็ยังแดงจัด

“กินโดนอะไรณาณ่า”

“ส้มตำค่ะ เผ็ดสุดๆ ใครทำคะเนี่ย” เธอพูดพลางชี้นิ้วไปยังจานอาหารต้นเหตุที่ทำให้ยังแสบปากไม่หายแม้จะได้น้ำช่วยบรรเทาความเผ็ดร้อนไปบ้างแล้วก็ตาม

“เอ่อ พี่ทำเองค่ะ” วิภาวีที่นั่งห่างออกไปเล็กน้อยเอ่ยเสียงเบาด้วยหน้าตาตื่น “เผ็ดไปเหรอคะ”

ณอันดากำลังจะอ้าปากตอบก็ถูกขัดขึ้น

“ไม่เห็นเผ็ดสักหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าน้องณาณ่าจะปากบางนะคะ เห็นปกติแล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไร”

“คือณาณ่าทานเผ็ดไม่ค่อยได้ครับ เลยอาจจะรู้สึกมากกว่าคนอื่น” พาณาสน์ตอบแทน เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของอรกัญญาฟังแปร่งหูพิกล จึงคิดว่าควรป้องกันก่อนเกิดปัญหาขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะกินตั้งแต่แรกนะ” คู่กรณีเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มออกหน้าแทน

“ก็ณาณ่าไม่คิดว่าจะเผ็ดขนาดนี้นี่คะ สีแครอตกับพริกก็ส้มๆ แดงๆ เหมือนกันเลยไม่รู้ว่ามีพริกเยอะแค่ไหน ถ้ารู้ว่าเผ็ดเหมือนแม่ค้าพริกยกแผงมาใส่เองแบบนี้คงไม่กล้ากินหรอกค่ะ”

“เอ๊ะ นี่น้องณาณ่าตั้งใจจะว่าใครเป็นแม่ค้าหรือเปล่า” เสียงที่อ่อนลงเมื่อครู่กลับมารวนอีกรอบ

“หือ เปล่านี่คะ แค่พูดเปรียบเทียบขำๆ”

“เหรอคะ เพิ่งรู้ว่าเรื่องแบบนี้เอามาขำได้ด้วย”

ณอันดากะพริบตาอย่างเริ่มงงอีก “ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ“

“เพราะสำหรับบางคนมันเหมือนคำพูดดูถูกไงคะ”

ถึงตรงนี้ความงุนงงเมื่อครู่ก็ค่อยๆ กระจ่างทีละน้อย ทั้งคำพูดที่พยายามส่อนัย น้ำเสียงจิกกัดตวัดหาง และดวงตาที่จ้องมาจนเธอเสียวแทนว่าลูกตาจะพลัดหลุด รวมเข้าด้วยกันแล้วคำตอบก็ชัดเจนว่าคนพูดมีเจตนาอะไร

…ด๊ายยยย คุณพี่ขอมา คุณน้องก็จัดให้นะคะ

“แหม ‘บางคน’ นี่คิดมากจังนะคะ เขาแค่พูดถึงเฉยๆ ไม่ได้ซ่อนความหมายนัยอะไร ก็คิดว่าเขาดูถูกซะแล้ว แบบนี้ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ดูถูก คนพูดหรือตัวเอง”

“ก็ว่าไม่ได้หรอกค่ะ เขาอาจจะเจอพวกคนรวยนิสัยเสียมาเยอะเลยต้องระแวงไว้ก่อน”

“ว้า น่าสงสารจริงๆ ชีวิตเขาคงเครียดมากนะคะ ถ้าได้เจอกัน ณาณ่าก็อยากจะบอกเขาว่าผู้หญิงน่ะคิดบวกแล้วจะสวยขึ้นทั้งหน้าตาและจิตใจนะคะ”

อรกัญญาตาลุกวาวขึ้นทันที “ณาณ่าว่าใคร”

คู่กรณียังสามารถรักษาใบหน้าให้ดูซื่อใสได้สนิท “จะว่าใครได้ยังไงคะ ก็พวกเราพูดถึง ‘บางคน’ กันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”

ก่อนที่การลับฝีปากจะเข้มข้นกว่านี้ วิภาวีที่เห็นอุณหภูมิอารมณ์ของเพื่อนไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ และทำท่าจะเสียคะแนนต่อหน้าคนอื่นก็รีบขัดทัพด้วยการชวนเพื่อนไปห้องน้ำ จึงเป็นโอกาสให้พาณาสน์จัดการคนข้างตัวบ้าง

“ไปเถียงเขาทำไมกันนะณาณ่า”

“เถียงอะไรกันคะ เปล่าสักหน่อย เขาเรียกว่าแลกเปลี่ยนทรรศนะต่างหากล่ะคะ”

ชายหนุ่มเคาะนิ้วกับศีรษะคนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ว่ายั่วอารมณ์คนอื่นไว้ขนาดไหน “ไม่ต้องมาทำแบ๊วกับพี่เลย คิดว่ารู้ไม่ทันเราหรือไง”

ณอันดารีบกระแซะเข้ากอดแขนอย่างออดอ้อน “โธ่ๆๆ ใครจะคิดแบบนั้นคะ ณาณ่าบอกแล้วว่าพี่พัทอ่ะรู้ใจณาณ่าที่สุดแล้ว สมกับเป็นที่รัก…”

หญิงสาวหัวเราะกิ๊กเมื่อพาณาสน์ทำตาดุใส่เพราะคำพูดสุดท้าย “ที่รักของพวกเราทุกคนไงคะ แหม คิดไปถึงไหน”

“พอๆ” มือใหญ่ผลักศีรษะที่แกล้งเอนซบลงกับไหล่ออกเบาๆ “แล้วเดี๋ยวอ้อนออกมาก็ไม่ต้องไปชวนเขาทะเลาะอีกนะ”

“ไม่ได้ชวนนะคะ พี่เขาถามมา ณาณ่าก็ต้องตอบสิคะ ไม่งั้นก็กลายเป็นเสียมารยาทอีก”

เธอพูดแล้วนิ่งคิดถึงปฏิกิริยาของหญิงสาวทั้งสองที่เพิ่งผละไป อรกัญญาน่ะแสดงออกชัดเจนแล้วว่าไม่ชอบหน้าอย่างมาก ส่วนวิภาวีนั้นถึงจะไม่มีท่าทีต่อต้านแต่ก็ดูอึดอัดใจทุกทีเวลาจะเสวนากับเธอ ตกลงว่าโกรธตั้งแต่เรื่องขอให้ย้ายที่นั่ง หรือเผลอไปเหยียบตาปลาเตะตาตุ่มกันตอนไหน

“หรือว่าเรากลับกันเลยได้มั้ยคะ”

“หือ?” พาณาสน์ส่งเสียงในลำคออย่างงุนงงเมื่อคนข้างตัวชวนกลับกะทันหัน

“ขืนอยู่ต่อแล้วพี่อ้อนพูดอะไรมาอีก ณาณ่าห้ามปากไม่ได้ก็งานกร่อยสิคะ”

แม้เหตุผลจะฟังไม่เข้าท่า แต่สุดท้ายพาณาสน์ก็ทนเสียงรบเร้าและข้ออ้างที่ทั้งชักทั้งลากแม่น้ำสามร้อยสายมาประกอบของหญิงสาวไม่ได้ เลยต้องยอมบอกลางานเลี้ยงก่อนกำหนด ส่วนอีกสองสาวที่มาด้วยกันนั้นยังไม่อยากกลับ อรรถนนท์จึงอาสาที่จะไปส่งหลังเลิกงาน

“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งวิปกับอ้อนเอง”

คล้อยหลังสองหนุ่มสาว วงอาหารที่เริ่มอิ่มท้องและวงดนตรีที่อิ่มตัวก็เริ่มกระจัดกระจายเป็นวงสนทนาหลายกลุ่มตามแต่ความสนิทสนมและความสนใจ โดยเรื่องที่เป็นหัวข้อก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ การเรียน อาหารชวนชิม ประสบการณ์ท่องเที่ยว และที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องของคน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าการนินทา ซึ่งแน่นอนว่าคนที่จะตกเป็นเหยื่อของกิจกรรมยอดนิยมนี้ต้องเป็นบุคคลที่ไม่ได้นั่งร่วมวงอยู่ด้วย

“ตกลงพี่พัทกับณาณ่านี่เขาเป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ” อรกัญญาหาช่องเปิดประเด็นขึ้นเมื่อจังหวะอำนวย โดยทำท่าเหมือนเป็นความอยากรู้ประสาคนรู้จักธรรมดา “อ้อนเห็นไปไหนต่อไหนด้วยกันตลอดเลย”

“ไม่ใช่แฟน แต่เป็นผีเกาะหลัง” กุลรัตน์ตอบแล้วหัวเราะร่วน แม้จะยังมีสติ แต่ฤทธิ์น้ำเมาสามขวดย่อมๆ ก็ทำให้เธออารมณ์ดีเกินเหตุ “รู้จักป่ะ แบบที่ติดตามกันมาแต่ชาติปางก่อนน่ะ”

“โหพี่ก้อย ใจร้ายไปป่ะนั่น” ชายหนุ่มอีกคนท้วงขึ้น แต่ก็อดขำไม่ได้ “พูดซะเห็นภาพเลย”

“บอกจริงๆ พี่เสียดายนายพัทมาก”

“ฮ้า นี่พี่ก้อยแอบชอบพี่พัทเหรอเนี่ย” กองพลแกล้งอุทานเสียงดัง เลยโดนรุ่นพี่สาวปาถั่วที่วางเป็นกับแกล้มอยู่ตรงหน้าใส่จนต้องไปหลบหลังคนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

“ไม่ได้ชอบแบบนั้นโว้ย หมายถึงว่ามันควรจะหาแฟนได้ดีกว่านี้ ทั้งหล่อ ทั้งรวย นิสัยก็ดี แถมยังเรียนเก่ง น่าจะได้แฟนที่สวย แสนดีเหมือนๆ กัน” พี่สาวใหญ่ของกลุ่มอธิบายก่อนทำท่าเหมือนนึกได้และหันไปทางน้องใหม่

“นี่ๆ ต้องอย่างวิปนี่ คุณสมบัติถูกต้องทุกประการเลย สนใจมั้ยน้อง”

วิภาวีทำท่าตกใจที่อีกฝ่ายหันมาตั้งคำถามเอากับเธอ “วิปเหรอคะ”

“หนูนั่นแหละ เดี๋ยวพวกพี่ดันเอง”

“เอ่อ ไม่ดีมั้งคะ” หญิงสาวยิ้มแหย หากเมื่อหันไปสบตากับอรกัญญา นัยน์ตาหวานกลับเจือประกายที่ทำให้เพื่อนซึ่งคบกันมานานและเข้าใจความหมายของแววตานั้นได้ดีรีบเอ่ยขึ้น

“พูดไปก็เหมือนนินทาน้องนะคะ แต่แหม อ้อนว่าณาณ่าเขาแปลกๆ อ่ะ แบบมั่นใจในตัวเองม้ากมาก ทั้งๆ ที่ก็…ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาพูดอะไรก็ไม่ค่อยเกรงใจใครเลย ขนาดว่าอ้อนเพิ่งมาได้ไม่นานได้ยินแล้วอึ้งทุกที”

“แต่มนว่าณาณ่าไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ เขาเป็นคนพูดตรงๆ บางทีก็ตลกหน้าตายไปงั้นเอง” มนธิราแก้ตัวแทนเลยถูกกุลรัตน์ค้อนเข้าให้

“เดี๋ยวนี้เข้าข้างนะยะแม่มน แค่เขาช่วยจับคู่ให้หน่อยเดียว รู้ไว้เถอะว่ายายณาณ่าไม่ได้หวังดีอะไรหรอก แค่อยากสนุกเท่านั้นแหละ ลูกเศรษฐีก็เงี้ย โดนตามใจจนเคยตัว”

“โธ่ พี่ก้อยก็อคติกับน้องเขาเกินไป”

“ฉันคิดคนเดียวที่ไหนล่ะ ถามเลยถาม ใครๆ ก็คิดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ใช่มั้ยอรรถ”

คนถูกยิงคำถามกะทันหันยักไหล่ “จริงๆ น้องมันก็น่ารัก แค่ชอบแกล้งเหมือนเด็กๆ แล้วก็พูดตรงอย่างที่มนว่า แต่ก็นะ ถ้าพัทได้แฟนดีกว่านี้มันก็ดี”

“จะว่าอ้อนเข้าข้างเพื่อนก็ได้นะ วิปเนี่ยสู้ณาณ่าไม่ได้แค่เรื่องฐานะทางบ้านเท่านั้น แต่อย่างอื่นไม่แพ้หรอกนะคะ”

วิภาวีตีแขนเพื่อนเบาๆ อย่างขัดเขิน “บ้าน่าอ้อน พูดอย่างนั้นได้ไง พี่พัทได้ยินเข้าวิปแย่กันพอดี”

“โอ๊ย ไม่ต้องเขินหรอก เห็นมั้ยล่ะ มีแต่คนเห็นด้วย น้องวิปนี่แหละเหมาะกับพัทมากๆ อย่างกับกิ่งทองใบหยก”

“โห ขนาดนั้นเลยนะพี่ แฟนยังไม่ได้เป็นเลย จะจัดงานแต่งแล้วเหรอ”

คราวนี้ไม่ใช่ถั่วบิน แต่เป็นค้อนบินที่กุลรัตน์ส่งไปให้หนุ่มรุ่นน้องที่ขยันขัดคอ “ตอบมาแค่จะช่วยหรือไม่ช่วยก็พอไอ้เกม อย่าพยายามป่วน”

มนธิราขยับตัวอย่างอึดอัดใจ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหวังดีของอีกฝ่าย หากเธอก็รู้สึกเห็นใจณอันดาไม่แพ้กัน สาวรุ่นน้องอาจจะดูไม่ดีพอสำหรับชายหนุ่มที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติดีเด่นเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ แต่เธอก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดที่ทุกคนมอง อย่างน้อยความรักที่มั่นคงและบริสุทธิ์ใจซึ่งหญิงสาวมีต่อพาณาสน์ก็น่าจะมีค่าพอที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม

เธอเหลือบมองคนรักที่หันมาสบตาอย่างเข้าใจ กองพลเองก็ไม่เห็นด้วย อาจเป็นเพราะเขาได้คุยกับพาณาสน์ก่อนหน้านี้ถึงเบื้องหลังแผนการที่ณอันดาช่วยให้เขาได้สารภาพรัก

‘ณาณ่าอาจจะซนไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าเขาหวังดีอยากช่วยจริงๆ พี่เคยถามเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับคำพูดขนาดนั้นทั้งที่แค่การแสดงออกก็พอแล้ว แต่เขาบอกว่าผู้หญิงทุกคนย่อมอยากได้ยินคนที่ตัวเองรักบอกรักต่อหน้าด้วยกันทั้งนั้น ประมาณว่ามันเป็นความประทับใจที่จะเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟังอะไรทำนองนั้น’

‘ผมเข้าใจนะพี่ ถึงตอนแรกจะแอบเคืองนิดหน่อยเพราะเขิน แต่มาคิดดูอีกทีถ้าณาณ่าไม่ทำแบบนั้น ผมอาจจะป๊อดเอาวินาทีสุดท้ายก็ได้’

‘เข้าใจก็ดี ณาณ่าทำอะไรไม่ค่อยปรึกษาใคร บางคนไม่เข้าใจก็คิดไปว่าเขาชอบแกล้งบ้าง นิสัยไม่ดีบ้าง แต่รับประกันได้ว่าไม่ได้คิดไม่ดีแน่ๆ’

บทสนทนาในครั้งนั้นทำให้เขาและมนธิราเข้าใจสาวน้อยจอมแสบของเพื่อนๆ ดีขึ้น แต่การจะเปลี่ยนความคิดและทัศนคติที่สั่งสมมานานของทุกคนด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้คงทำได้ยาก ดีไม่ดีจะหาว่าเขาถือหางเข้าข้างเพราะเคยมีผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างที่มนธิราโดนเมื่อครู่

เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านเพิ่มเติม กุลรัตน์ก็ถือโอกาสสรุปแผนการจับคู่ระหว่างพาณาสน์กับวิภาวีเสียเลย ซึ่งแม้วิภาวีจะทำหน้าเจื่อนอย่างไม่มั่นใจ แต่แววตากลับฉายประกายสุกใสอย่างพึงพอใจ ส่วนอรกัญญานั้นถึงกับยิ้มออกนอกหน้า

“เอาน่า ไม่ได้ให้ทำอะไรมาก แค่คอยกันๆ ยายณาณ่าไว้บ้าง พัทกับวิปจะได้มีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็เฉยๆ ไว้แล้วกัน”

 

วันนี้ณอันดาอารมณ์ดีเป็นพิเศษในรอบหลายวันเนื่องจากมีนัดรับประทานอาหารเย็นกับพาณาสน์ ซึ่งอันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เธอก็ทานอาหารกับเขาอย่างน้อยวันละมื้อเกือบทุกวัน แต่ช่วงที่ผ่านมานี้ดูเหมือนตารางชีวิตจะสับเท้าสวนทางกันไปมาตลอด จนอัตราการได้พบกันลดลงกว่าครึ่ง เป็นเหตุให้เธอโอดครวญหงุงหงิงผ่านโทรศัพท์แทบทุกคืน จนในที่สุดเขาต้องออกปากว่าจะพาไปชดเชยด้วยอาหารหนึ่งมื้อ

“พี่พัทขา ณาณ่าสวยแล้วค่ะ พร้อมไปดินเนอร์โรแมนติกได้แล้ว”

พาณาสน์มองหญิงสาวในชุดกระโปรงลายดอกสีสันสดใสตามเทรนด์ของฤดูกาลซึ่งยืนหมุนตัวอวดอยู่เบื้องหน้าแล้วก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ

“นี่มันเพิ่งสี่โมงกว่า จะรีบไปไหนณาณ่า”

ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาข้างตัวชายหนุ่มซึ่งมานั่งรอเธอแต่งตัวที่อพาร์ตเมนต์ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“ก็รีบไปกิน แล้วจะได้มีเวลาเดินย่อยเยอะๆ ไงคะ ไปสวนสาธารณะข้างๆ นั้นก็ได้”

“มั่วละๆ พี่บอกว่าพาไปกินข้าวอย่างเดียวนะ เดินย่อยนี่งอกออกมาจากไหน”

“แหม ก็วันก่อนพี่พัทยังไปบาร์บีคิวกับพวกพี่ก้อยพี่อรรถได้เลย”

“วันนั้นพี่ก็ชวนเราแล้ว แต่ไม่ว่างเองนี่”

“ณาณ่าถึงไม่งอแง ยอมให้พี่พัทพาไปวันนี้แทนไงคะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “มามุกโมเมอีกแล้ว นี่เรากำลัง ‘ยอม’ ให้พาไปหรือ ‘บังคับ’ ให้พาไปกันแน่ฮึ”

คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายยิ้มเผล่ “ปลื้มใจจัง พี่พัทรู้ใจณาณ่าเรื่อยเลย”

เขาส่งสายตาดุไปยังคนที่เอียงคอช้อนตามองอย่างออดอ้อน แต่เมื่อหญิงสาวเริ่มกะพริบตาถี่ๆ พร้อมทำแก้มป่องพลางใช้นิ้วจิ้มแขนเขาเบาๆ ด้วยท่าทางเหมือนลูกแมวขอนม เขาก็หลุดยิ้มออกมาจนได้

“พอแล้วๆ จะไปก็ไป ทำท่าแบบนี้เดี๋ยวคืนนี้พี่ได้นอนฝันร้ายพอดี”

ณอันดาฉีกยิ้มแก้มปริ กระโดดลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมดึงแขนเขาขึ้นมาด้วย “ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้ามีณาณ่าอยู่ในฝัน เดี๋ยวร้ายก็กลายเป็นดี เพราะหนูณาคนนี้จะปกป้องพี่พัทเองค่ะ”

ร้านอาหารที่ณอันดาเลือกเป็นร้านอาหารไทยขนาดกลางที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน การตกแต่งร้านดูคล้ายร้านอาหารไทยทั่วไปในต่างแดน คือมีการประดับด้วยไม้แกะสลัก ผ้าปัก และตุ๊กตาพื้นเมืองต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและสื่อถึงความเป็นไทย แสงไฟสลัวสีนวลและดนตรีที่เปิดคลอทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปยังอีกโลก

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นเมื่อผลักบานประตูเข้าไป ชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้านจึงเดินเข้ามาต้อนรับ

“สวัสดีค่ะ ร้านเปิดหรือยังคะ” ณอันดาถามเมื่อกวาดตามองทั่วร้านแล้วยังไม่ปรากฏลูกค้ารายอื่นนั่งอยู่

ใบหน้ากลมยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อได้ยินลูกค้าทักด้วยภาษาไทย “เพิ่งเปิดเลยครับ เชิญๆ กี่ที่ครับ”

“สองค่ะ”

เขาผายมือเชื้อเชิญและเดินนำคนทั้งสองไปยังโต๊ะบริเวณริมหน้าต่างสำหรับสองที่นั่งโดยจัดให้ลูกค้านั่งหันหน้าออกไปด้านนอกซึ่งมีทิวทัศน์เป็นร้านรวงเล็กๆ ตลอดแนวถนน

“ผมชื่อไมค์ เป็นเจ้าของที่นี่ ถ้ามีอะไรบอกผมได้เลยนะครับ แล้วอีกสักครู่จะให้พนักงานมารับออเดอร์นะครับ”

ณอันดาเปิดดูรายการอาหารเล่มใหญ่ในมือพลางพูดแจ้วๆ ไม่หยุดปาก

“พี่พัททานอะไรดีคะ เห็นเขาว่าที่นี่มีห่อหมกทะเลที่พี่พัทชอบ แล้วก็ต้มข่าไก่ ผัดกะเพราไม่เอาเนอะ กินที่พี่พัททำอร่อยที่สุดแล้ว ยำไก่ทอดมั้ยคะ แปลกดี ส่วนจานผักก็ส้มตำมั้ยคะ”

“สั่งมาแล้วกินได้เหรอเราน่ะ มีแต่ของเผ็ด เดี๋ยวก็แสบปากแสบท้องอีก”

หญิงสาวเงยหน้าส่งยิ้มหวานให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ของโปรดพี่พัท ณาณ่ากินได้ เดี๋ยวบอกเขาว่าขอเผ็ดน้อยหน่อย และขอน้ำมาเตรียมไว้เยอะๆ ละกัน”

“เอาผัดผักมาแทนส้มตำแล้วกัน ณาณ่าจะได้กินได้ สั่งอย่างอื่นให้เดี๋ยวก็บ่นว่าพี่ทำให้อ้วนอีก”

“ได้ค่ะ ณาณ่าว่าง่าย พี่พัทว่าไงก็ว่างั้นค่ะ”

“พี่พัท” เสียงอุทานแผ่วเบาจากด้านหลังเรียกให้ทั้งสองหันกลับไปมอง

“น้องวิป น้องอ้อน” พาณาสน์ทักขึ้นเมื่อเห็นว่าต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่คือวิภาวี โดยมีอรกัญญายืนห่างออกไปเล็กน้อย

“อ้าว มาทำอะไรที่นี่คะ” ณอันดาพูดขึ้นบ้าง เหลือบสายตาลงมาก็เห็นผ้ากันเปื้อนที่คาดอยู่บริเวณเอวของอีกฝ่าย “ทำงานที่นี่กันเหรอ”

แม้แสงไฟจะไม่สว่างนัก แต่ความสว่างจากภายนอกที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาก็ทำให้เห็นว่าใบหน้าเจื่อนๆ ของวิภาวีแดงขึ้น

“ทำงานที่นี่แล้วผิดตรงไหนไม่ทราบ” เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นอรกัญญาที่สืบเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าบึ้งตึงกับตาที่จ้องอย่างขุ่นเคืองทำให้คนถูกมองเริ่มงง

“ไม่ได้ว่าผิดนี่คะ แค่ถามเฉยๆ”

“ก็เห็นๆ อยู่แล้วจะถามทำไมไม่ทราบ นึกว่ารวยแล้วจะดูถูกใครก็ได้งั้นเหรอ”

ณอันดาเลิกคิ้วมองหน้าสาวรุ่นพี่ทั้งสองสลับกัน ขณะที่อรกัญญาทำหน้าเหมือนจะจับเธอฉีกเป็นชิ้นๆ วิภาวีก็เม้มปากพลางน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร

…เอ ข้อกล่าวหากับฉากแบบนี้มันคุ้นๆ อยู่นะคะ

“น้องอ้อน ณาณ่าไม่ได้ดูถูกจริงๆ ครับ” ชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นรีบพูดไกล่เกลี่ย

“แปลว่าอ้อนกับวิปคิดมากไปเองสินะคะ”

พาณาสน์ลอบถอนหายใจอย่างอึดอัดกับคำประชดนั้น เขามั่นใจว่าณอันดาคงไม่ได้คิดดูถูกอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ ต่อให้จะมีนิสัยปากไวและชอบแกล้งคนอื่นบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยระรานใครก่อน หากในทางตรงกันข้ามหญิงสาวก็ไม่เคยยั้งปากเมื่อถูกก่อกวน ซึ่งในสถานการณ์นี้ที่คู่กรณีแสดงให้อยู่บ่อยๆ ว่าไม่ค่อยถูกชะตา ถ้าไม่รีบห้ามทัพอาจจะวุ่นวายมากกว่านี้ก็ได้

“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“พี่พัทไม่ต้องแก้ตัวแทนหรอกค่ะ เจ้าตัวยังไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย พูดเองก็ย่อมรู้ดีแก่ใจว่าคิดอะไรอยู่”

วิภาวีดึงแขนเพื่อนอย่างห้ามปราม

“พอแล้วอ้อน พวกเราคงคิดมากไปเองจริงๆ” หญิงสาวพูดเสียงอ่อน หากอาการหลบตาทำให้พาณาสน์เข้าใจได้ว่าเธอน้อยใจกับคำพูดที่ดูเหมือนปกป้องอีกฝ่ายของเขา

“ใช่ค่ะ พวกพี่คิดมากเอง…มากกกไปเยอะด้วย สำคัญตัวผิดหรือมีปมด้อยอะไรในชีวิตหรือเปล่าคะ ถึงได้คิดว่าคนอื่นจะต้องดูถูกตัวเองตลอดเวลา”

คำโต้ตอบนั้นทำเอาคนฟังสะอึกกันไปถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่พาณาสน์

“นี่ เธอ!”

อรกัญญาเริ่มขึ้นเสียง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น ชายวัยกลางคนที่แนะนำตัวว่าเป็นเจ้าของร้านก็เมียงมองเข้ามาถาม

“เอ่อ มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

พนักงานทั้งสองหน้าเสียขึ้นมาทันที พวกเธอเพิ่งเริ่มงานวันนี้วันแรกโดยการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง ถ้ามีปัญหากับลูกค้าคงไม่ได้มาทำงานอีกแน่

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพวกเรารู้จักกัน เลยคุยกันเสียงดังไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ” พาณาสน์รีบตอบ เขาจึงก้มหัวให้ก่อนเดินกลับไปอยู่ที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิมแต่ก็ยังเหลือบมองมาเป็นระยะ

เมื่อเหตุการณ์ใจหายใจคว่ำผ่านไป อรกัญญาก็ตวัดหางตาไปที่คู่กรณีอย่างแค้นเคืองจนคนถูกมองคาดเดาได้ว่าตนเองคงไม่พ้นเป็นเป้าหมายโจมตีอีก

“สะใจแล้วสินะ หาเรื่องทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้น่ะ”

…นั่นไง เดาข้อสอบไม่เห็นแม่นเป๊ะขนาดนี้เล้ยยย

“เอ ถ้าจำไม่ผิดณาณ่ามาเพื่อทานอาหารนะคะไม่ได้มาหาเรื่องใคร แต่ถ้าพี่อ้อนไม่พอใจขนาดนี้ณาณ่าไปก็ได้ค่ะ แต่พี่คงต้องไปบอกกับคุณลุงคนโน้นเองนะคะว่าทำไมลูกค้าถึงเดินออกจากร้าน”

“เธอขู่ฉันเหรอ”

“พี่อ้อนคิดว่ายังไงล่ะคะ”

“พอแล้วณาณ่า!” พาณาสน์สั่งด้วยเสียงเบาหากทุ้มหนักด้วยความเด็ดขาด เขาถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นแววตาหวานฉ่ำน้ำที่แฝงการตัดพ้ออีกคู่ของคนที่ยืนเงียบอยู่

“เชื่อเถอะว่าณาณ่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แต่ถ้าวิปกับอ้อนไม่สบายใจพี่ขอโทษแทนน้องแล้วกัน กลับไปทำงานเถอะ”

วิภาวีหมุนตัวเดินจากไปอย่างว่าง่าย ในขณะที่อรกัญญาจ้องหน้าหญิงสาวอีกคนเหมือนจะฝากความแค้นไว้ แต่พอสะบัดหน้าไปก็ได้ยินเสียงเรียกรั้งไว้

“แล้วนั่นจะไม่รับออเดอร์ก่อนเหรอคะ”

“ณาณ่า เงียบเดี๋ยวนี้”

อรกัญญาจำใจเรียกเพื่อนให้เดินกลับมาจดรายการอาหารเพราะโต๊ะนี้อยู่ในเขตความรับผิดชอบของเธอ ร่างบางก้มหน้าก้มตาเขียนรายการที่ชายหนุ่มบอกลงในกระดาษแล้วรีบเดินไปทางหลังร้าน

“พี่ไม่ชอบที่ณาณ่าทำแบบนี้เลยนะ”

ณอันดามองหน้าคนข้างตัวที่พูดขึ้นทันทีที่เหลือกันอยู่เพียงลำพัง “ณาณ่าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย อยู่ดีๆ เขาก็มาหาเรื่องก่อนนี่คะ”

“แล้วเราจำเป็นจะต้องไปต่อปากต่อคำกับเขาด้วยเหรอ”

“ณาณ่าก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” หญิงสาวเถียงกลับอย่างดื้อดึง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เป็นฝ่ายถูกหาเรื่องอย่างเธอจึงกลายเป็นผู้ผิดจนต้องถูกดุ

“งั้นณาณ่าก็ควรจะเปลี่ยนนิสัยนี้นานแล้วเหมือนกัน” เขาสวนกลับด้วยเสียงเข้มทันที

“พี่พัท!”

อาหารมื้อนั้นจบลงอย่างโศกนาฏกรรมในความรู้สึกของณอันดา พาณาสน์ไม่พูดกับเธออีกเลยหลังจากที่มีปากเสียงกัน ส่วนวิภาวีนั้นปรากฏตัวออกมาจากด้านหลังร้านทีไรก็เอาแต่ก้มหน้างุดเหมือนพยายามซ่อนตาแดงๆ ไม่ให้ใครเห็น ในขณะที่อรกัญญาไม่ต่างอะไรจากวิญญาณอาฆาตที่คอยโฉบไปมาเพื่อจ้องมองเธอด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ ซึ่งลำพังสองคนหลังที่ว่ามานั้นเธอไม่สนใจนักหรอก ถ้าไม่ใช่ว่าชายหนุ่มจะมีปฏิกิริยาเมินหน้าทำท่าชาเฉยใส่เธอเพราะพวกหล่อน

เมื่อดินเนอร์ที่ควรจะโรแมนติกปิดฉากลงอย่างไม่คาดคิด แผนการเดินย่อยอันสวยหรูก็เป็นอันล้มเลิกอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มจอดรถส่งเธอหน้าอาคารที่พักโดยไม่ยอมเข้าไปส่งถึงที่ตามปกติ สุดท้ายก็กลายเป็นเธอเองที่ทนความหมางเมินไม่ได้ต้องเป็นฝ่ายง้องอนก่อนเหมือนทุกที

“พี่พัทคะ”

เงียบ

“พี่พัท”

ไม่มีเสียงตอบรับจากเทวดาประจำตัวที่กำลังลงโทษเธอด้วยความเงียบสงัด หญิงสาวจึงถอนหายใจยาว ตัดสินใจเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำสำคัญที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดปากพูดด้วย

“ณาณ่าขอโทษค่ะ”

แล้วก็ได้ผล ชายหนุ่มยอมละสายตาจากถนนเบื้องหน้าหันมามองเธอ แม้จะยังดูเฉยเมย หากก็คงดีกว่าเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมาซึ่งอาการประท้วงเงียบของเขาทำเอาเธอกลุ้มแทบแย่

“ขอโทษทำไม คนที่ณาณ่าต้องขอโทษคือวิปกับอ้อน ไม่ใช่พี่”

ประเด็นขัดแย้งที่ให้ตายเธอก็ไม่เห็นด้วยทำให้ณอันดาคิ้วขมวดอีกรอบหลังจากทำหน้าหงอยเป็นลูกสุนัขถูกเมินอยู่นาน แต่ถ้าตอบออกมาอย่างที่คิดคงไม่แคล้วได้ถอยกลับไปที่บรรยากาศน่าอึดอัดแบบเดิมอีกแน่

“พี่พัทคิดว่าณาณ่าตั้งใจดูถูกพี่สองคนนั้นจริงๆ เหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงอ่อน

“พี่รู้ว่าณาณ่าไม่ได้คิดดูถูก แต่เราก็ไม่ได้คิดให้ดีก่อนตอบโต้เขาเหมือนกัน พี่ไม่ชอบที่ณาณ่าพูดกับเขาแรงๆ แบบนั้น”

“ไม่เห็นจะแรงเลย พี่พัทก็ได้ยินว่าเขาว่าณาณ่าก่อนด้วยซ้ำ”

“สำหรับณาณ่ามันไม่แรง แต่คนอื่นล่ะ เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างสิ คำบางคำอาจจะธรรมดาสำหรับเรา แต่มันอาจจะไปกระทบใจคนอื่นก็ได้ ณาณ่าโตแล้วนะ จะทำจะพูดอะไรคิดให้ดีก่อนได้ไหม ทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้ สักวันจะไม่มีใครชอบ”

ณอันดาก้มหน้านิ่ง เธอรู้ตัวดีว่าเป็นคนปากไวและชอบใช้วาจาเชือดเฉือนอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งคือความตั้งใจ เธอถือว่าคนไหนที่กล้าพูดก็ต้องกล้าและยอมรับการตอบโต้ที่เท่าเทียมได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะไม่ใช้คำพูดเหล่านั้นกับใครก่อนซึ่งพาณาสน์เองก็รู้ถึงนิสัยข้อนี้ เธอจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกรธ

“พี่เตือนแค่นี้ล่ะ ขึ้นบ้านไปเถอะ”

“แล้วพี่พัทจะไม่ขึ้นไปด้วยกันเหรอคะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจ “ไม่ล่ะ พี่อยากกลับบ้านไปพักเหมือนกัน”

ดังนั้นณอันดาจึงต้องบอกลาก่อนลงจากรถอย่างเงื่องหงอย และเก็บความไม่สบายใจไปคิดหนักอย่างผิดวิสัยจนแทบนอนไม่หลับ

ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอแทบไม่เคยมีเรื่องขัดใจกับเขาเลย ยิ่งเมื่อโตเลยวัยงอแงแล้ว ไม่ว่าเขาพูดอะไร เธอก็มักเห็นดีเห็นงามและปฏิบัติตามด้วยดีมาโดยตลอด ส่วนเขาก็ไม่เคยโกรธเคืองเธออย่างจริงจังจนต้องตำหนิด้วยน้ำเสียงอย่างที่ได้ยินเมื่อเย็นมาก่อนเหมือนกัน หากครั้งนี้ความรู้สึกบางประการกำลังรบกวนอยู่ในหัวใจ ราวกับจะส่งสัญญาณเตือน…บางสิ่งบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 25

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: