X
    Categories: Count your lucky stars เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Count your lucky stars เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นรัก บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่สอง กฎทรงพลังงาน

 

คนบางคนเข้ามาในชีวิตคุณ ทำให้ท้องฟ้าของคุณสว่าง ทำให้จิตใจของคุณสั่นไหว เปลี่ยนแปลงโลกของคุณ เพียงเพื่อบอกคุณว่าเขาคือเทพเจ้า ส่วนคุณคือคนธรรมดา

 

คอลัมน์ มนุษย์ดวงดาวเดียวดาย

 

ขณะที่ซ่งหรูหรูส่งอาหารค่ำไปก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แดลี่กำลังจะกลับ

เธอประเมินอาการบาดเจ็บของถงเสี่ยวโยวตั้งแต่หัวจดเท้า ทั้งสงสารแล้วก็ภูมิใจ “ก่อนหน้านี้ฉันทำนายไว้ไม่ผิดใช่ไหม บอกแล้วว่ามีดาวมฤตยูกำลังลอยสูงอยู่ จะต้องมีเกณฑ์เลือดตกยางออก”

“ใช่ๆๆ เธอเป็นซ่งปั้นเซียน” ถงเสี่ยวโยวร้องเฮอะออกไป รับถ้วยน้ำแกงขาหมูชามใหญ่ที่อีกฝ่ายส่งมาให้ แล้วจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ผลักชามน้ำแกงออกไป “ไม่ได้ ฉันอ้วนเกินไปแล้ว จะกินต่อไปอีกไม่ได้”

ซ่งหรูหรูเบะปาก “เธอคิดว่าน้ำหนักมันจะขึ้นเพราะขาหมูถ้วยนี้หรือไง”

ถงเสี่ยวโยวได้แต่นิ่งเงียบ

ซ่งหรูหรูดันชามไปตรงหน้าเธอแล้วพูดต่อไปว่า “ได้ยินว่ายอดขายของชิกทำลายสถิติอีกแล้ว งานเลี้ยงประจำปีลู่ซิงเฉิงจะต้องเป็นดาวเด่นของงาน เชอะๆ เธอไปสืบหาเวลาเกิดของ บ.ก. เธอมาหน่อยซิ ฉันยังไม่เคยดูดวงเวลาเกิดของคนที่โชคดีขนาดนี้มาก่อน”

ถงเสี่ยวโยวแทะขาหมูด้วยอารมณ์โกรธ “จะไปยากอะไร เธอก็แค่ตรวจเช็กจากลําดับเศรษฐีของนิตยสารฟ็อกซ์ก็ได้ เวลาเกิดของคนพวกนั้นต้องเป็นดาวดวงที่รุ่งเรืองสุดๆ”

ซ่งหรูหรูทอดถอนใจ “บ.ก. ของพวกแกอาศัยหน้าตาแล้วยังมีดวงที่ดีขนาดนี้ ส่วนเสี่ยวโยวของฉันก็ซวยขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใบหน้าหญิงงามอาภัพ…” ถงเสี่ยวโยวคิดถึงภาระสำคัญที่แบกไว้ก็รู้สึกหมดความอยากอาหารทันที

 

แม้จะไม่มีความอยากอาหารแต่เธอก็ไม่ได้ผอมลงสักนิด แต่กลับเป็นเพราะการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวกจึงอ้วนขึ้นอีกหนึ่งกิโลกรัม ได้ยินว่าเพื่อจะสวมชุดโอต์กูตูร์เดินบนแคตวอล์ก เวินซีก็เอาปลาทั้งหมดออกจากรายการอาหาร

แดลี่พูดอย่างชื่นชมว่า “บ.ก. กับเวินซีจะต้องเป็นคู่ที่เด่นที่สุดของงานคืนนี้ เสียดายที่แฟนหนุ่มของฉันไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ ฉันเลยต้องตัวคนเดียว”

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ต้องอยู่ตามลำพัง เพราะเธอต้องเผชิญหน้ากับมู่หยางเชียวนะ หนุ่มหล่อสุดฮอตของวงการบันเทิง ลูกชายคนเดียวของมู่เฝ่ย พระเอกจอเงินตัวพ่อ และเป็นพิธีกรรายการบันเทิงที่มีเรตติ้งอันดับหนึ่ง สัญลักษณ์ทุกอย่างของเขาก็ส่องประกายเจิดจ้า ส่วนตัวคนน่ะเหรอ คำพูดก็คมคายไม่แพ้กัน หากพูดว่าลู่ซิงเฉิงคือความยโสอย่างราชา มู่หยางก็คือความร้ายกาจหลบในของเด็กน้อย เมื่อถึงงานถงเสี่ยวโยวและมู่หยางเจอหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก มู่หยางก็เริ่มต้นยิงระเบิดเข้าใส่แบบเด็กๆ

“คนเชิญรางวัล เชิญรางวัลศูนย์คะแนนหรือไง”

“สวรรค์! ทำไมคุณถึงได้อ้วนแบบนี้ กระโปรงที่คุณใส่เหมือนกับที่คุณย่าผมสวมเปี๊ยบเลย”

“คุณรู้ไหม คุณยิ้มแล้วน่าเกลียดกว่าตอนที่ไม่ยิ้มเป็นร้อยเท่า ช่างเถอะ ทางที่ดีคุณควรจะหันหลังให้กับผู้ชม”

ถ้าถงเสี่ยวโยวสามารถเอาดวงซวยนี้ส่งไปให้กับคนอื่นได้ เธอคงจะระเบิดพลังความซวยนี้ออกมาทั้งหมดแล้วจบชีวิตไปพร้อมกับมู่หยาง น่าเสียดายที่เธอไม่มีความสามารถนั้น เพราะเมื่อเข้ามาอยู่ในสถานที่ที่มีกลุ่มดาราเจิดจรัส ความมีตัวตนของถงเสี่ยวโยวก็ติดลบลงในฉับพลัน ในทางกลับกันลู่ซิงเฉิงที่อยู่ในกลุ่มคนดังแบบนี้กลับดูโดดเด่นขึ้นมาอีก แม้กระทั่งถงเสี่ยวโยวที่รู้สึกเกลียดชังเขามองจากด้านหลังเวทีที่อยู่ไกลๆ ก็ยังรู้สึกว่าเขาดึงดูดสายตามาก อดที่จะนับถือแล้วก็อิจฉาไม่ได้

พิธีเปิดงานได้สิ้นสุดลง ยังเหลือเวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะถึงช่วงแจกรางวัลในช่วงสุดท้าย มู่หยางต้องการหลบหลีกผู้คนจึงนั่งอยู่ข้างๆ ถงเสี่ยวโยวแล้วเล่นเกมมือถือ เมื่อเห็นใบหน้าชื่นชมของเธอ เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันเย็นชาว่า “ลู่ซิงเฉิงเป็นพวกอวยเว่อร์ๆ ทำไมถึงได้มีดีไซเนอร์จืดชืดอย่างเธอ อีกเดี๋ยวตอนที่มอบรางวัลถ้ากล้าทำอะไรผิดพลาด ผมจะให้แฟนคลับไปเหยียบเวยป๋อของคุณให้ยับไปเลย”

ลู่ซิงเฉิงกับมู่หยางบาดหมางกันโดยไม่มีเหตุผลหรือสัญญาณอะไรมาก่อน ทั้งสองคนไม่ถูกชะตากัน ว่ากันว่าในวงการมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่มันเป็นการต่อสู้ของผู้ชายสองคนชัดๆ แต่ถงเสี่ยวโยวกลับต้องมาเป็นเครื่องสังเวย ทว่าบางครั้งความจืดชืดก็เป็นข้อดีเหมือนกัน

“เวยป๋อของฉันถูกแฮกไปแล้ว มีแต่โฆษณาในนั้น”

“ไม่อย่างนั้นก็เปิดเผยวีแชตของคุณ”

“แต่คุณไม่มีเบอร์โทรฉันนี่”

มู่หยางลุกขึ้นยืน วางมือถือลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว ทิ้งถงเสี่ยวโยวที่ยังงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ตรงนั้น

 

ยอดขายนิตยสารชิกทำสถิติใหม่อีกครั้ง อิทธิพลของนิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่งที่อยู่ในมือของลู่ซิงเฉิงกำลังเพิ่มขยายขึ้น โฆษณาหน้าในได้ผลมากกว่าโฆษณาในที่อื่นๆ ส่วนผลตอบรับของหน้าปกก็ยิ่งรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

ผู้นำมีชีวิต ลูกน้องมีแต่ตาย

แล้วผู้กุมความเป็นความตายก็มีเพียงลู่ซิงเฉิงที่พูดคำว่าเยสหรือโนเท่านั้น งานเลี้ยงฉลองประจำปีก็เป็นงานเพื่อให้เจ้าของแบรนด์ใหญ่พวกนั้นมีโอกาสได้ล้อมลู่ซิงเฉิงเอาไว้ แต่ลู่ซิงเฉิงไม่ใช่คนที่คนอื่นจะทำอะไรได้ ปกติถ้าอารมณ์ดีก็อาจจะพูดดีกับพวกเขาสักหน่อย แต่เรื่องที่เกี่ยวกับหลักการไม่มีทางที่จะสั่นคลอนได้

C&G เป็นสปอนเซอร์โฆษณาที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทแม่ ทว่าตั้งแต่ที่ลู่ซิงเฉิงขึ้นมารับตำแหน่ง พวกเขาบอกว่าอย่าว่าแต่หน้าปกเลย แม้แต่หน้าในก็ไม่เคยได้ลงโฆษณา ท่านประธานรู้สึกเสียหน้ามาก แต่ดีไซเนอร์รู้สึกเสียหน้ายิ่งกว่า รีบร้อนวิ่งเข้าไปหาลู่ซิงเฉิงเพื่อพูดเรื่องนี้

“ดีไซน์ที่จะทำตลาดในฤดูกาลนี้คือสไตล์จีนประยุกต์ พวกเราใช้ลวดลายแบบโบราณ ตามหาโรงปักผ้าร้อยปีงานปักมือของเจียงหนาน…”

ลู่ซิงเฉิงยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมาอย่างรับไม่ได้ “อย่าบอกว่าไม่ได้ขึ้นปกก็หาว่าตัวเองถูกมองข้ามความสามารถ ผมทำงานวันละสิบห้าชั่วโมงทุกวัน ดีไซเนอร์ทุกท่านที่อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเคยหรือไม่เคยส่งแบบมาที่นิตยสารผมก็ดูมาแล้วทั้งนั้น ขอโทษที่ต้องพูดตามตรง การออกแบบของ C&G ในซีซั่นนี้ต่อให้เอาลายดอกไม้ผ้าห่มของยุคแปดศูนย์มาผมก็ยังมองไม่เห็น แบบดั้งเดิมมันก็ดี แต่เพื่อวิ่งตามสไตล์จีนแล้วพยายามยัดเยียดความดั้งเดิมโดยการวาดรูปหมาก็ไม่ใช่เสือก็ไม่เชิงลงไป ไม่ต้องพูดถึงหน้าปกเลย แม้กระทั่ง C&G ส่งแบบโฆษณาหน้าในมา ผมก็ยังให้ลงหน้าในไม่ได้”

กลุ่มคนพากันหัวเราะครืนขึ้นมา ดีไซเนอร์ของ C&G ฉุนเฉียวมากจึงพูดกรรโชกออกไป “คุณกล้าไม่ให้ C&G ลงหน้าใน?!”

ลู่ซิงเฉิงกลับยิ้มเย็นๆ “ผมเป็น บ.ก. ผมว่าไงก็ตามนั้น”

เขาพูดแล้วก็มองไปยังคนที่อยู่รอบๆ ตัวเขา “ผมทราบว่าทุกท่านในที่นี้เป็นคู่ค้าของบริษัทแม่และชิกมาหลายปี แต่ผมมารับผิดชอบชิกก็หมายความว่าดีไซน์ที่ดีเท่านั้นถึงจะเป็นใบผ่านทาง ยกเว้นแต่ผมจะออกจากตำแหน่ง มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางให้ใครมาเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นี้ได้ หากวันนี้คิดจะใช้การเป็นสปอนเซอร์มากดดันพื้นที่หน้าปก ผมก็คงต้องปลดจากหน้าในทั้งหมด”

ดีไซเนอร์ C&G กัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ “หน้าปกฉบับถัดไปเป็นของใคร”

ลู่ซิงเฉิงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “วันพีซ”

ดีไซเนอร์วัยรุ่นหัวร้อนสีหน้าซีดเผือดทันที ถกแขนเสื้อแล้วเดินออกไป ทุกคนรู้นิสัยของลู่ซิงเฉิงดี จึงได้แต่เดินออกไปอย่างอายๆ

จู่ๆ ลู่ซิงเฉิงก็รู้สึกเพลียขึ้นมา คิดอยากจะดื่มกาแฟสักแก้ว

“โอลิมปิก…” เมื่อพูดออกไปลู่ซิงเฉิงก็คิดขึ้นได้ว่าตัวเองส่งเธอไปเพื่อป่วนมู่หยาง เขาจึงได้แต่นวดไปที่หว่างคิ้ว แดลี่เดินเข้ามาข้างๆ แล้วรายงานสถานการณ์ให้ฟัง “ดีไซเนอร์ C&G โกรธมาก พูดไปตลอดทางว่าจะจัดการคุณให้ตาย เขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับดีไซเนอร์ของวันพีซ แต่ว่าเราตัดสินใจจะให้วันพีซขึ้นหน้าปกตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อกี้”

แดลี่ได้แต่แอบแลบลิ้นแล้วรายงานเรื่องต่อไป “ดูเหมือนมู่หยางกับถงเสี่ยวโยวจะไม่ถูกกันอย่างมาก ไม่ว่าเธอจะดวงซวยหรือไม่ มู่หยางก็หงุดหงิดแล้ว”

ลู่ซิงเฉิงยิ้มเล็กน้อย ในรอยยิ้มนี้ดูเหมือนกำลังรอคอย ทำให้แดลี่รู้สึกประหลาดใจมาก

ถงเสี่ยวโยวนั่งรอที่หลังเวทีอยู่นานแล้วก็สังเกตการณ์อยู่นานแล้วด้วยเช่นกัน ผู้ที่อยู่ในงานทักทายกันง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ ‘ได้ยินชื่อเสียงมานาน’ ก็จะเป็น ‘ไม่ได้เจอกันนาน’ เธออยากจะไปขอลายเซ็น ทั้งอยากเข้าไปทำความรู้จัก แต่ว่า…

เธอหันหน้าไปทางข้างๆ ก็เห็นมือถือที่มู่หยางทิ้งเอาไว้ ตอนนี้หลังเวทีมีเพียงเธอคนเดียว จะหยิบขึ้นมาก็ไม่ค่อยดี จะทิ้งไว้ก็ไม่ค่อยเหมาะ สุดท้ายก็ได้แต่ให้มือถือนี้ผูกมัดเอาไว้ไปไหนไม่ได้

“โอลิมปิก”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยลอยมา อาวุธลับตัวฉกาจที่ถูกส่งมาก็ลุกขึ้นยืนทันที “บ.ก.”

ลู่ซิงเฉิงกวาดสายตาไปหลังเวทีด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ พลังของเทพแห่งความโชคร้ายก็ไม่เท่าไหร่ หลังเวทียังดูปกติไม่มีอะไรเสียหาย

“เธอนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเพื่ออะไร” แดลี่ร้องถามถงเสี่ยวโยว “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่รอว่าจะไปขอลายเซ็นขอถ่ายรูปคู่หรือไง”

ถงเสี่ยวโยวชี้ไปที่มือถือของมู่หยางอย่างน่าสงสาร “ฉันเฝ้ามือถืออยู่ค่ะ”

แดลี่หรี่ตามอง “นี่มันมือถือของมู่หยางไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้า “เขาออกไปแล้ว เพราะงั้นฉันจึงได้นั่งรออยู่ตรงนี้ตลอด”

ลู่ซิงเฉิงขมวดคิ้ว “โอลิมปิก ฉันไม่ได้ส่งเธอมาเพื่อให้เธอมานั่งเฝ้าโทรศัพท์นะ”

ถงเสี่ยวโยวก็ได้แต่เบะปาก เธอรู้แล้วว่าตัวเองจะมายิงคลื่นแสงความซวย แต่มู่หยางออกไปแล้ว เหลือเธอเพียงคนเดียว เธอก็ยิงคลื่นวนไปรอบตัว คนที่รับคลื่นก็มีแต่ตัวเธอเอง “บ.ก. คะ คุณกับมู่หยางมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน ทำไมเขาถึงได้เกลียดคุณนัก คุณก็เกลียดเขามาก”

ลู่ซิงเฉิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฉันก็เกลียดเธอ เธอก็เกลียดฉัน เธอว่าเพราะอะไรล่ะ”

ถงเสี่ยวโยวนิ่งงันไป เธอทำเพื่อรักษางาน พยายามเก็บความไม่พอใจที่มีต่อลู่ซิงเฉิงไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ยังถูกเขารู้จนได้ ถูกต้อง เมื่อก่อนเธอวางลู่ซิงเฉิงไว้เหมือนเป็นตำนานที่ชื่นชม แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเธอที่มีต่อลู่ซิงเฉิงก็คือชื่นชมและเกลียดชังคู่กันอยู่ ความรู้สึกเกลียดนี่มันพิเศษมาก เพราะความร้ายกาจของลู่ซิงเฉิงช่างเปิดเผย แต่ต่อให้ความร้ายกาจของเขาทำให้คนและเทพต่างเกลียดก็ยังให้ความรู้สึกเปิดเผย

และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขาไม่ได้สนใจอะไรเรื่องพวกนี้ “พวกเธอเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป นอกจากทำอะไรฉันไม่ได้แล้วก็ยังต้องทำตามที่ฉันต้องการ คนที่เกลียดฉันมีตั้งมากมาย ต่อให้เข้าคิวก็ยังไม่มีทางถึงเธอได้”

การเกลียดคนที่อ่อนแอนั้นง่ายดายและสบายมาก แต่การเกลียดผู้ที่แข็งแกร่งนั้นลำบากมากนัก ความรู้สึกที่ออกมาจากใจมันชัดเจนจนไม่อาจจะเถียงได้ จึงได้แต่ยอมรับกับตัวเองอย่างเงียบๆ ว่าไม่ว่าจะมีความไม่พอใจมากขนาดไหน สุดท้ายก็ได้แต่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง

จู่ๆ มือถือของมู่หยางก็ดังขึ้น ถงเสี่ยวโยวคว้ามือถือขึ้นมาแล้วถือโอกาสหนีไป “ฉัน…จะเอามือถือไปให้เขา”

ถงเสี่ยวโยวหนีไปอย่างร้อนรน ลู่ซิงเฉิงออกจากหลังเวทีไปอย่างมีความสุข ทว่าเดินไปสองก้าวก็หยุดชะงัก จู่ๆ ก็มีคนทะลักเข้ามาในงานเลี้ยง แต่เขากลับไม่ใช่ศูนย์กลางของงาน

แดลี่มองดูด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ลู่เหยียนจือมาแล้ว เขายังหล่อเหมือนเดิมเลย”

ลู่ซิงเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าอันหล่อเหลามีความน่ากลัวแทรกขึ้นมา “อ้อ งั้นเหรอ งั้นคุณก็ไปดูสิ”

อย่างไรก็ตามแดลี่มีประสบการณ์มาก เขาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่ปกติ “ถ้าไปแล้วยังกลับมาได้ไหม”

“แน่นอน” ลู่ซิงเฉิงยิ้ม “กลับไปแผนกทำความสะอาด”

แดลี่นิ่งเงียบ ศัตรูของ บ.ก. เยอะแยะเหลือเกิน เป็นผู้ช่วยเขานี่ช่างลำบากจริงๆ

ถงเสี่ยวโยวถือโทรศัพท์มือถือมู่หยางวิ่งไปทั่วงาน ที่จริงเธอก็แค่ต้องการหาเหตุผลในการหนีจากลู่ซิงเฉิง โดนคนรู้ความในใจเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก โดนคนรู้ถึงความเกลียดชังก็ทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะเธอที่มีฐานะต่ำต้อย แม้กระทั่งความเกลียดชังก็ดูจะเป็นเรื่องน่าขบขัน

เสียงเรียกมือถือหยุดลง ถงเสี่ยวโยวจึงค่อยๆ ลดความรีบร้อนและกดดัน ถัดมาก็มีเสียงข้อความของวีแชตดังขึ้น เธอก้มหน้าลงมองหน้าจอมือถือโดยอัตโนมัติ

ข้อความบนหน้าจอมือถือทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที เสียงวิ้งดังขึ้นในสมองแล้วก็ระเบิดขึ้นมา ด้วยเกรงว่าจะมีคนมาเห็นเข้าถงเสี่ยวโยวจึงรีบยัดโทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระเป๋าอย่างรีบร้อน แต่กลับลืมว่าวันนี้ตัวเองใส่เดรสจึงไม่มีที่ที่จะยัดโทรศัพท์มือถือลงไป ยิ่งรีบร้อนก็ยิ่งสับสน เดินกลับหลังอย่างโงนเงน ไปชนเข้ากับอกแข็งๆ ของคนที่อยู่ทางด้านหลัง

คนคนนั้นยื่นมือมาพยุงแขนของเธออย่างสุภาพ แต่ก็ไม่ได้ใช้มือสัมผัสกับเธอ

“ระวัง” เสียงของเขาช่างน่าฟัง ทั้งมั่นคงและผ่อนคลาย

“ขอโทษด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ” ถงเสี่ยวโยวพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับเอามือถือของมู่หยางไปซ่อนไว้ทางด้านหลัง

คนคนนั้นอยู่ในชุดกางเกงผ้าต่อที่เป็นเอกลักษณ์ เสื้อสีเทาก็เป็นการออกแบบที่เรียบง่ายและดูสะอาดตา ลักษณะเข้ากับใบหน้าที่งามสง่าของเขาเป็นอย่างดี

แตกต่างกับความหล่อเหลาอย่างอวดๆ ของลู่ซิงเฉิง แล้วก็ไม่เหมือนความร้ายๆ ของมู่หยาง ใบหน้าเขาดูเรียบง่าย ตาชั้นเดียว จมูกโด่ง โครงหน้าไม่เข้ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยนนุ่มละมุน มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้คนรู้สึกหลงใหลได้

นี่เธอมาชนเข้ากับลู่เหยียนจือ

คืนนี้หัวใจของถงเสี่ยวโยวถูกกระตุ้นมากเกินไปแล้ว นี่หัวใจเกือบจะหยุดเต้น

ลู่เหยียนจือเป็นไอดอลของดีไซเนอร์มากมาย เขาโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับการขนานนามว่าเป็นดีไซเนอร์มือทอง ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย อายุยี่สิบก็สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองที่ชื่อ ‘เหยียนเก๋อ’ ทั้งยังมีอิทธิพลกับโลกไม่น้อยและยอดขายก็ไม่ด้อย หลายครั้งที่ถงเสี่ยวโยวอดหลับอดนอนเพื่อจะดูแฟชั่นวีกของทั้งปารีสและนิวยอร์กที่กลายเป็นงานเดินแฟชั่นของ ‘เหยียนเก๋อ’

ประโยคทักทายที่เรียนรู้มานานในที่สุดก็ได้พูดออกไป “ได้ยินชื่อเสียงคุณมานานแล้ว”

ลู่เหยียนจือยิ้มน้อยๆ “ผมก็ได้ยินชื่อเสียงคุณมานานแล้ว”

ถงเสี่ยวโยวถึงกับตะลึง ไอดอลของเธอพูดกับเธอว่า ‘ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว’ Excuse me?

ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาเรียกเขา ลู่เหยียนจือใช้สองนิ้วปาดไปที่หว่างคิ้วของเธออย่างเท่ๆ แล้วก็หันหลังจากไป

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ จนกระทั่งลู่เหยียนจือเดินไปไกลแล้วเธอถึงได้สติกลับมา จะตามไปก็ไม่ทันแล้ว เมื่อกี้ถึงกับลืมที่จะขอลายเซ็นเขา

“อย่าตื่นเต้นไป ที่บอกได้ยินชื่อเสียงมานานก็เพราะว่าลู่เหยียนจือเห็นเธอในการแข่งขันสถานีถัดไป รันเวย์” เมื่อเทียบกับลู่เหยียนจือแล้ว น้ำเสียงของมู่หยางทั้งร้ายกาจและสารเลว และทำให้เธอตกใจจนหัวใจเต้นแรง ไม่รู้เลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกผิด หันหลังกลับไปก้มหน้ายืนนิ่ง ส่งมือถือให้กับมู่หยางแล้วก็พูดติดอ่างออกมา “มือ…มือถือของคุณดัง ฉัน…ฉันเลยเอามาให้คุณ”

หลายครั้งแล้วที่มู่หยางยิงกระสุนแล้วเหมือนจมลงใต้ทะเลลึก รู้สึกไม่สะใจ เขารับมือถือมาโดยไม่คิดจะดู เร่งเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “พิธีมอบรางวัลกำลังจะเริ่มแล้ว ยังจะมาโอ้เอ้อีก”

ถงเสี่ยวโยวเดินตามมู่หยางไป การแทรกเข้ามาเล็กๆ ของลู่เหยียนจือได้จบลงแล้ว ในสมองของเธอก็กลับมาสับสนอีก เดินขึ้นไปบนเวทีก็ยังไม่ได้สติเท่าไหร่ ยังดีที่เธอเป็นเพียงแค่ผู้เชิญรางวัล เพียงแค่ส่งถ้วยรางวัลขึ้นไปบนเวทีให้กับแขกผู้ได้รับรางวัลก็เสร็จแล้ว รางวัลก่อนหน้านี้ก็ราบรื่น ในที่สุดก็มาถึงรางวัลสุดท้ายซึ่งเป็นรางวัลใหญ่รางวัลสำคัญของงานเลี้ยงฉลองประจำปี

“ผู้นำวงการแฟชั่นประจำปี” พอมู่หยางอ่านชื่อรางวัลที่สำคัญนี้ ด้านล่างเวทีก็โห่ร้องขึ้นมา เขาถือซองจดหมายอย่างมีลูกเล่น ทำให้บรรยากาศในงานคึกคักขึ้นมาถึงจุดสูงสุด

“ขอเชิญแขกผู้เชิญรางวัล ซึ่งได้รับรางวัลเจ้าหญิงแสนสวยในคืนนี้ คุณเวินซี”

เมื่อได้ยินมู่หยางขานชื่อเวินซีออกมา ถงเสี่ยวโยวก็ได้แต่ยักไหล่แล้วกลืนน้ำลายลงไป ท่องในใจให้นิ่งเข้าไว้ นิ่งเข้าไว้

วันนี้เวินซีอยู่ในชุดราตรีชายยาวเกล็ดสีเงิน บนศีรษะก็มีมงกุฎที่ได้รับมาในคืนนี้ ดาราสาวมากมายเป็นเพียงตัวประกอบให้กับเธอ เธอเดินขึ้นเวทีอย่างงดงามไปหยิบซองจดหมายจากมือมู่หยางด้วยสีหน้าที่เงียบสงบแล้วเดินมาอยู่ข้างๆ ถงเสี่ยวโยว

กลิ่นน้ำหอมจากตัวเธอเข้มข้นฉุนจัดแต่ก็น่าหลงใหล ถงเสี่ยวโยวได้กลิ่นก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว

เวิ่นซีเปิดซองจดหมายออก หยิบการ์ดสีแดงออกมา พูดชื่อสองคนใส่ไมโครโฟน “ผู้ได้รับการคัดเลือก ลู่ซิงเฉิง ลู่เหยียนจือ

ด้วยเหตุนี้บุคคลที่มีความสำคัญสองคนจึงขึ้นบนเวทีเพื่อแย่งชิง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก แสงแฟลชจากกล้องของนักข่าวติดตามทุกย่างก้าวของทั้งสองคนที่เดินขึ้นไปบนเวที หมุนไปหมุนมาจนทำให้ถงเสี่ยวโยวเกิดความรู้สึกคลื่นไส้

ลู่ซิงเฉิงและลู่เหยียนจือเดินตามกันขึ้นมาบนเวทีแล้วยืนอยู่ด้านข้างของถงเสี่ยวโยวทั้งสองข้าง

เธอปรายตาเหลือบมองลู่ซิงเฉิง สายตาก็กวาดไปยังเวินซีและมู่หยาง เธอเห็นมู่หยางกับเวินซีมองตากันอย่างชัดเจน สมองก็คิดกลับไปถึงข้อความวีแชตที่เห็นอย่างไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้

ทำไมเธอต้องดูหน้าจอ

ทำไมข้อความถึงได้แสดงขึ้นมาบนหน้าจอ

ต่อไปถ้ามีคนบังคับให้เธอมองโทรศัพท์มือถือ เธอก็จะควักลูกตาออกมาไม่มองดูเด็ดขาด

เมื่อเทียบกับถงเสี่ยวโยวที่กำลังจะสติแตก คนอื่นๆ ที่อยู่บนเวทีดูจะสบายๆ เวินซีพูดกับลู่ซิงเฉิงและลู่เหยียนจืออย่างทะเล้นพร้อมกับถือการ์ดโบกไปมา “ตื่นเต้นไหม”

ลู่เหยียนจือยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า ลู่ซิงเฉิงยิ้มพร้อมกับพูดกับเธอว่า “คำตอบอยู่ในมือของแฟนผม ผมจะตื่นเต้นอะไรอีก”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา คนที่ตื่นเต้นที่สุดกลับเป็นถงเสี่ยวโยว มือที่ถือถ้วยรางวัลก็เริ่มสั่นขึ้นมา

เวินซียิ้มอย่างอ่อนโยน หยิบการ์ดใบนั้นขึ้นมาแล้วย่อตัวเล็กน้อย ประกาศผ่านไมโครโฟนอย่างเป็นทางการ “ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้นำวงการแฟชั่น ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ในวงการแฟชั่นมากมายหลายครั้ง เขาก็คือ…ลู่ซิงเฉิง”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ลู่ซิงเฉิงเดินขึ้นมาข้างหน้าจับมือของเวินซี ทั้งสองโอบกอดแสดงความยินดีต่อกันอย่างสนิทสนม แสดงความรักกันบนเวทีแบบนี้ทำเอาถงเสี่ยวโยวรู้สึกแสบตา เธอไม่อาจจะมองตรงๆ ได้ จึงได้แต่ยกขาที่แข็งทื่อเหมือนกับเครื่องจักรเดินออกไปหาลู่ซิงเฉิง

ลู่ซิงเฉิงกับเวินซียิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะแยกออกจากกัน ลู่เหยียนจือเดินเข้าไปแสดงความยินดีกับลู่ซิงเฉิงอย่างใจกว้าง “ยินดีด้วยครับ”

“ขอบคุณครับ” ลู่ซิงเฉิงรับคำยินดีอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องถ่อมตน “รางวัลสุดยอดดีไซเนอร์เหมาะสมกับคุณมากกว่า”

“พ่อผมก็บอกอย่างนี้เหมือนกัน” ลู่เหยียนจือพูดยิ้มๆ

ลู่ซิงเฉิงตาเขม่นขึ้นมา แววตาหนักอึ้ง

ลู่เหยียนจือดึงมือกลับและหันหลังกลับไปอย่างสุภาพ ชนกับถงเสี่ยวโยวเป็นครั้งที่สองโดยไม่ทันได้ดู ซึ่งแตกต่างกับครั้งแรก ก็คือครั้งแรกเธอไม่ได้ถูกชนจนล้ม แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ล้มลง ซ้ำยังทำถ้วยรางวัลลอยออกไปอีกด้วย

ขณะที่หน้าคว่ำลงไปกับพื้น เธอก็คิดว่าในที่สุดคืนนี้เธอก็ไม่ได้ทำให้ลู่ซิงเฉิงผิดหวัง แน่นอนว่าถ้าถ้วยรางวัลนี้ไม่ใช่ของเขา บางทีถ้วยรางวัลอาจจะกระแทกโดนหัวของมู่หยาง ลู่ซิงเฉิงก็คงจะปรบมือและขึ้นเงินเดือนเลื่อนตำแหน่งให้เธอ เพียงแต่เธอใช้ถ้วยรางวัลของลู่ซิงเฉิงทำร้ายมู่หยาง

 

เกิดความโกลาหลไปทั้งงาน

ส่วนจะวุ่นวายขนาดไหน ถงเสี่ยวโยวที่หน้าคว่ำอยู่นั้นไม่ได้รับรู้ เธอได้ยินเสียงกรีดร้องที่แสบหู เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นเสียงของเวินซี ตามมาด้วยคนด้านล่างเวทีเริ่มจะโทรเรียกรถฉุกเฉิน นักข่าวถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่ง

ครั้งนี้ต้องตายแหงๆ ถงเสี่ยวโยวคิดเช่นนี้ แม้แต่ความกล้าที่จะลุกขึ้นมาก็ยังไม่มี

แต่อย่างไรเสียมู่หยางก็ยังคงเป็นวัยรุ่นที่มีพละกำลัง ขนาดโดนถ้วยรางวัลกระแทกเข้าให้ เขายังโมโหและเดินเข้ามาคิดบัญชีกับถงเสี่ยวโยวอย่างเอาเรื่อง

“เธอตั้งใจใช่ไหม” ท่าทางของเขาโมโหเหมือนกับเด็กที่ถูกทำร้ายแล้ววิ่งไปฟ้องครู ใบหน้าหล่อขาวตอนนี้แดงไปถึงหู

“ไม่…ใช่…” ถงเสี่ยวโยวพูดออกมาด้วยความยากลำบาก ถ้าเธอเจตนาล่ะก็ เธอยอมทำร้ายตัวเองยังจะดีกว่าทำร้ายบุคคลสำคัญต่างๆ บนเวทีนี้เสียอีก

“ชิกของพวกคุณช่างมีแต่คนที่มีความสามารถ ถึงกับเอาคนที่ได้ศูนย์ห้าตัวมาเป็นผู้เชิญรางวัล สมองยายนั่นไม่มีปัญญาจะทำงานอะไรนอกจากกินดื่มปลดทุกข์อีกแล้วเข้าใจไหม” มือข้างหนึ่งของมู่หยางกุมที่ศีรษะ อีกข้างชี้ไปที่ลู่ซิงเฉิง เขากระทืบเท้าบนเวทีแบบเด็กๆ

ลู่ซิงเฉิงขมวดคิ้ว ถูกต้อง เขาต้องการให้เทพแห่งความโชคร้ายนี้สร้างความวุ่นวายสักหน่อย แต่ก็ต้องไม่เกี่ยวกับตัวเอง เวินซีเห็นเขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจจึงเดินไปดึงแขนเสื้อเขา พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นักข่าวกำลังดูอยู่นะ”

 

สไตล์การทำงานของลู่ซิงเฉิงก็คือทำให้ดียิ่งขึ้น ส่วนจะช่วยเหลือนั้นไม่มีทาง ในที่สาธารณะเขาไม่มีทางที่จะทำเรื่องที่เสียผลประโยชน์อย่างการทะเลาะกับมู่หยาง แต่วันนี้เขากลับสนใจ

“การแข่งขันในรายการสถานีถัดไป รันเวย์ใช่ไหม ขอโทษนะ การแข่งขันที่ไม่ได้จัดโดยมืออาชีพผมดูไปครั้งเดียว ครั้งที่เธอได้ศูนย์คะแนน ดีไซเนอร์คนแรกออกแบบกระโปรงจีบรอบ พูดกันตามตรงนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นกระโปรงที่ยับขนาดนั้น ผมเข้าใจว่าเขาคิดว่าจีบกระโปรงจะแสดงถึงดอกบัวที่กำลังจะเบ่งบานตามหัวข้อนั้น แต่กระโปรงนั้นดูเหมือนกระดาษทิชชูที่ใช้สั่งขี้มูกแล้วมากกว่า ชุดที่สองยิ่งเด็ดกว่า สวมชุดที่เต็มไปด้วยดอกไม้ออกมา ยังดีที่หัวข้อของพวกคุณคือเบ่งบานไม่ใช่มหาสมุทร ไม่อย่างนั้นคงแบกปลาฉลามออกมา ยิ่งไปกว่านั้นการออกแบบชุดนี้ก็ลอกเลียนแบบชุดโอต์กูตูร์ของราฟ ซีมงส์เมื่อปีที่แล้ว คณะกรรมการมืออาชีพของพวกคุณที่เชิญมาดูไม่ออกเลยหรือไง

ต้องขอโทษที่สมองผมไม่สามารถบรรจุของที่ไร้รสนิยมไว้ได้มากมาย ผมจำไม่ได้แล้วว่าชุดที่สามคืออะไร จำได้แค่เพียงว่านางแบบถือกลองรัสเซียออกมา ในหูผมก็ได้ยินเสียงเพลง ‘Moscow nights’ เสียดายที่ไม่อาจให้ผ้าโพกหัวกับนางแบบได้ แล้วก็เอาลูกไก่ไปไว้ข้างตัวเธอหลายๆ ตัว”

ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย น้ำเสียงของลู่ซิงเฉิงก็อ่อนโยนลง ราวกับกำลังแสดงความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น “นี่เป็นเพียงแค่รายการบันเทิงทั่วไปเท่านั้น ก็คิดว่าตัวเองจะเข้ามาในวงการแฟชั่นแล้วสามารถชี้ทิศทางได้เหรอ ในรายการคุณพูดถึงชุด Robe Mondrian ของ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์แต่คุณกลับไม่ทราบว่าแรงบันดาลใจของดีไซเนอร์ผู้มีพรสวรรค์ท่านนี้ที่ได้จาก ปีต โมนดรียาน คือสไตล์รูปธรรมไม่ใช่นามธรรม ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมีพ่อเป็นดาราตัวพ่อ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าใครจะให้คุณมาเป็นพิธีกรรายการแฟชั่น

รายการบันเทิงสามารถเอาของที่ธรรมดาไม่มีคุณค่ามาทำให้คนชื่นชอบได้ ทำให้คนไม่รู้ไม่อาจแบ่งแยกของดีกับไม่ดีได้ แต่สุดท้ายที่ยังจะเหลืออยู่ก็มีเพียงแต่ศิลปะ”

พูดลื่นไหลดังสายน้ำในครั้งเดียวจบ ถงเสี่ยวโยวยังฟุบอยู่ที่พื้นเหมือนกับท่ากราบที่ได้มาตรฐาน ได้แต่หวังว่าตัวเองจะหายตัวไปจากที่ตรงนี้ในขณะที่ลู่ซิงเฉิงกำลังดึงดูดความสนใจของทุกคนอยู่

รองเท้าหนังกวางผู้ชายที่สวยงามคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในระยะสายตาห้าเซนติเมตรของเธอ นี่ก็คือสินค้าตัวใหม่ล่าสุดของเหยียนเก๋อ จากนั้นก็ตามมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใย “คุณลุกขึ้นมาไหวไหม”

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ร้อนๆ กำลังจะไหลออกมาโดยที่ไม่อาจจะควบคุมได้ เธอพยายามจะเงยหน้าขึ้นมองลู่เหยียนจือที่นั่งยองๆ ลงข้างตัวเธอ ดวงตาดำขลับของลู่เหยียนจือส่งประกายวิบวับ คิ้วที่สวยงามคู่นั้นเลิกขึ้นสูง ทว่าเธอกลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาตกใจอย่างมาก

“คุณเลือดกำเดาไหล”

ถงเสี่ยวโยวยกมือขึ้นสัมผัสเลือดสีแดงสดเต็มมือ นี่เธอซวยสะเทือนฟ้าดินเลยเหรอ

“ถงเสี่ยวโยว” จู่ๆ ลู่ซิงเฉิงก็เรียกเธอ ถงเสี่ยวโยวไม่ได้สนใจอย่างอื่น รีบลุกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว สองมือปิดอยู่ที่จมูก เลือดสีแดงสดไหลออกมาตามร่องนิ้ว แม้ว่าในชีวิตของเธอจะไม่เคยมีครั้งไหนที่ขายหน้าได้เท่ากับครั้งนี้ แต่ลู่ซิงเฉิงก็ไม่ได้เห็นใจเลยแม้แต่น้อย เขามองมู่หยางด้วยสายตาเย็นชาแล้วก็หันไปมองลู่เหยียนจือ ยกมุมปากขึ้นแล้วปล่อยหมัดสุดท้าย “ส่งดีไซเนอร์แบบนี้ไปร่วมรายการแบบนั้น ก็เกินจะพอ”

ไม่เสียทีที่เป็นลู่ซิงเฉิง ใช้คนที่เกลียดไปทำร้ายคนที่เกลียด กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้เขาทำได้หมดจดงดงามจริงๆ

ถงเสี่ยวโยวยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับ ทั้งเลือดและน้ำตาอุ่นก็ไหลร่วงหล่นลงมา

 

เธอไม่เคยมีความเจ็บแค้นมากขนาดนี้ มากมายจนจะทำให้หัวใจปริแตกออกมา แล้วตรงรอยปริแตกนั่นก็เป็นแผลเหวอะหวะที่เจ็บปวดยิ่งนัก

ไม่ใช่ว่าไม่เคยผิดพลาดมาก่อน และไม่เคยชินที่จะทำตัวต่ำต้อย แต่ตอนที่ศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวด บาดเจ็บ ทรมาน และเกลียดชัง

เกลียดชังอะไรล่ะ เกลียดที่ลู่ซิงเฉิงให้เธอไปเข้าร่วมการแข่งขันแล้วถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะ หรือเกลียดที่ลู่ซิงเฉิงไม่สนใจดีไซน์ของเธอเลยสักนิด หรือเพราะตอนที่เธอขายขี้หน้าอย่างที่สุดเขาก็ไม่ได้เมตตาปรานี โยนเธอไว้ท่ามกลางความยากลำบากเหมือนกับการทิ้งกระดาษที่ไร้ค่า แต่ก็เหมือนกับไม่ใช่เพราะลู่ซิงเฉิงทั้งหมด ทว่าที่จริงแล้วที่เธอเกลียดก็คือตัวเองนั่นแหละ

เกลียดที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ เกลียดตัวเองที่ต่ำต้อยสมควรโดนดูถูก เกลียดที่ตัวเองล้มแล้วยังเลือดกำเดาไหลอีก แม้แต่ความหมายของการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เกลียดไปหมดทุกอย่าง

ภาพแผ่นหลังของลู่ซิงเฉิงที่เดินจากไปไม่ชัดเจน เสียงอึกทึกครึกโครมรอบๆ ก็ค่อยๆ หมดไป ราวกับทุกคนและทุกเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย จำได้รางๆ แต่เพียงว่ามู่หยางกุมศีรษะไปโรงพยาบาล เวินซีปลอบใจเธอว่าไม่เป็นไร ลู่เหยียนจือยื่นนามบัตรให้เธอหนึ่งใบ ส่วนเลือดกำเดาหยุดได้ยังไง เธอออกมาจากงานได้ยังไง แล้วมานั่งดื่มเหล้าที่ริมแม่น้ำได้ยังไง สิ่งเหล่านี้เธอจำไม่ได้เลยแม้แต่นิด

จำไม่ได้แล้วยังไง สำคัญนักหรือไง เหอะๆ ไสหัวไปให้หมดเลย

“หมดแก้ว!” ถงเสี่ยวโยวเดินโซซัดโซเซอยู่ริมแม่น้ำ ยกแก้วขึ้นดื่มกับพระจันทร์ ลมริมแม่น้ำนี้ช่างเย็นสบายจริงๆ พัดมาให้เธอรู้สึกสดชื่น

เมืองในยามค่ำคืนสว่างด้วยแสงไฟสีสันสว่างไสว ก็เหมือนกับกองไฟในหัวใจของเธอที่ก่อนนี้ไม่เคยจะมอดหมด วัยรุ่น ความฝัน หรือวันข้างหน้า ทุกๆ เรื่องก็เป็นแรงใจที่ทำให้ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้า ราวกับกองไฟนี้จะสามารถนำทางในเส้นทางมืดมิดให้ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไร แต่เส้นทางของชีวิตนั้นยาวไกล เดินไปเรื่อยๆ แสงไฟนี้ก็ค่อยๆ มอดลง ความมืดมิดที่รุกคืบก็ค่อยๆ กัดกินความกล้าหาญที่มีอยู่ให้หมดสิ้น แม้แต่ตัวเองที่ถือคบเพลิงวิ่งไปนั้นก็กลายเป็นคนแปลกหน้า สุดท้ายการเยาะเย้ยก็เป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้ระลึกถึงการมีอยู่ของตัวเอง

“ยอมแพ้ซะเถอะ จะดูซิว่าแกใช้ชีวิตยังไง วิ่งตามการออกแบบมันจะมีความหมายอะไร” เธอพูดกับตัวเองพร้อมกับดื่มเหล้าขวดสุดท้ายจนหมด แล้วจู่ๆ ก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จริงสิ บนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคอะไรที่ข้ามไปไม่ได้ เพียงแต่จะข้ามมันไปได้ยังไง มีเพียงคนที่เคยผ่านมาแล้วถึงจะเข้าใจ

เธอยังจำความตื่นตะลึงในปีที่เธออายุสิบหกได้ ชุดราตรีชายยาวหางปลาที่เป็นลายเส้นชุดนั้นออกแบบเป็นชุดเกาะอกอย่างบ้าบิ่น ลายปักนูนทำได้ละเอียดมาก ด้านหลังออกแบบโดยใช้ผ้าแก้วออแกนดี้ทำให้เหมือนมีปีกสองข้างที่แสนเบา เธอมองอย่างหลงใหลและน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

และในขณะนั้นเองเธอก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการออกแบบ นั่นก็คือความปรารถนา ดีไซเนอร์นำความงดงามมาให้จับต้องได้ สร้างสรรค์เพื่อให้คนต้องการครอบครองความปรารถนา แฟชั่นก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ดูสูงส่งลึกล้ำ ผู้คนอยากจะสวมเสื้อผ้าอะไร สิ่งนั้นก็คือแฟชั่น เพียงแต่สิบปีนี้การออกแบบของเธอไม่เคยเป็นความปรารถนาของใคร สิ่งที่เธอวิ่งไล่ตามทั้งหมดนี้มันไม่มีความหมายอะไร

 

ถงเสี่ยวโยวลุกขึ้นตัวโงนเงน ผิวน้ำอันสงบและล้ำลึกของแม่น้ำสะท้อนดวงดาวเล็กๆ ถ้าจะพูดว่าอะไรที่เจ็บปวดมากกว่าการละทิ้ง นั่นก็คือความสงบนิ่ง ในตอนที่เธอทุกข์ทรมานจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างที่สุด โลกใบนี้ก็ยังคงเย็นชาและเงียบสงัด ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ ดวงดาวยามค่ำคืนก็ไม่คิดจะกะพริบให้กับเธอเลยสักครั้ง เธอก็เหมือนการดำรงอยู่ที่มีหรือไม่มีก็ได้ ไม่สิ ทำไมเธอถึงใช้คำว่าเหมือน เธอใช่เลยแหละ

ถงเสี่ยวโยวยกขวดเหล้าขึ้นแล้วตะโกนไปที่ต้นไม้ของอีกฝั่งแม่น้ำ “ถงเสี่ยวโยว เธอมันก็แค่ยายโง่”

 

“พรืด” เสียงหัวเราะเย็นๆ ทำเอาถงเสี่ยวโยวตกใจจนเกือบจะหายใจไม่ทัน เธอเบิกตาโตมองไปรอบๆ ไม่ไกลจากเขื่อนกั้นน้ำมีคนดื่มเหล้าตากลมอยู่ สายลมยามค่ำคืนนำพาเรื่องกลุ้มใจบนโลกเข้ามา พัดจนไรผมบนหน้าผากของเขาขยับ ใบหน้าด้านข้างแสดงให้เห็นถึงความเดียวดายหลายส่วน

“คุณหัวเราะอะไร” ถงเสี่ยวโยวโยนขวดเหล้าทิ้งไปอย่างหงุดหงิด เชิดหน้าแล้วก้าวเดินเข้าไปหา วันนี้แม้กระทั่งคนพเนจรก็ยังหัวเราะเยาะเธอ

คนคนนั้นหันหน้ากลับมา ถงเสี่ยวโยวเดินไปเพียงครึ่งทางก็ถึงกับเข่าอ่อนจนเกือบจะคุกเข่าลงไปที่พื้น “บอ…บ.ก.”

ลู่ซิงเฉิงมองเห็นเธอก็ยกขวดเหล้าขึ้นให้กับเธอแล้วยิ้ม ดวงตาคู่นั้นของเขาสว่างไสวเหลือเกิน ยิ้มอย่างอบอุ่นและมีเสน่ห์ แตกต่างกับไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วราวกับเป็นคนละคน ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติ “บ.ก. คุณดื่มเมาแล้วใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” ลู่ซิงเฉิงกวักมือเรียกเธอด้วยท่าทางที่มีความสุขมากเหลือเกิน

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าเส้นเลือด ศัตรูต้องมาเจอกัน ถงเสี่ยวโยวโมโหเลือดขึ้นหน้าเดินอาดๆ เข้าไปหา เธอประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว บนหาดทรายที่ดำมืดมีเพียงพวกเขาสองคน นี่เป็นโอกาสที่เธอจะสามารถผลักลู่ซิงเฉิงตกแม่น้ำ ซึ่งไม่มีใครรู้แน่นอน เมื่อคิดได้ดังนี้ดวงตาทั้งสองของเธอก็เปล่งประกายขึ้นมา เธอเดินเข้าไปหาด้วยความยินดี ตรรกะที่ว่าทำไมลู่ซิงเฉิงถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วทำไมถึงมาดื่มเหล้า เธอโยนมันไว้ข้างหลังไม่ไปสนใจ

ขณะนี้ในหัวของถงเสี่ยวโยวมีเพียงคำว่าล้างแค้นให้สาสม!

ในเมื่อตัวเธอก็จะบอกลาวงการดีไซน์แล้ว ไม่ต้องมาทนแบกรับอารมณ์มากมาย สู้คิดบัญชีให้หมด การกระทำเร็วกว่าความคิด ถงเสี่ยวโยวก้าวยาวๆ รวบรวมกำลังจนเพียงพอแล้วก็พุ่งออกไป

ลู่ซิงเฉิงที่กำลังดื่มเหล้าสัมผัสได้ว่าลมที่ผ่านข้างหูมีรังสีอำมหิตออกมา

เสียงพุ่งดังขึ้น ในที่สุดผิวน้ำอันเงียบสงบก็ถูกทำลายลง ถงเสี่ยวโยวรู้สึกพอใจมาก ในที่สุดโลกก็ตอบรับความทุกข์ทรมานของเธอบ้าง เพียงแต่…

“โอลิมปิก”

“หืม?”

“เธอจะโดดแม่น้ำทำไม”

“หา?”

ลู่ซิงเฉิงดื่มเหล้าเมาแล้ว แต่ถงเสี่ยวโยวเมากว่าเขาอีก อย่าว่าแต่ผลักเขาตกลงไปเลย แม้แต่ตำแหน่งของลู่ซิงเฉิงเธอก็ยังตาลาย หุนหันพุ่งลงไปในแม่น้ำ ยังดีที่หาดทรายนั้นน้ำตื้น เธอเปียกไปทั้งตัวสำลักน้ำเข้าไปเต็มท้องเหมือนกับลูกหมาตกน้ำที่กำลังขึ้นมาบนฝั่ง

“อี๋…” ถงเสี่ยวโยวสร่างเมาไปกว่าครึ่ง

ลู่ซิงเฉิงก้มหน้ามองดูถงเสี่ยวโยวที่กำลังบ่นพึมพำแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “คิดสั้นเพราะเสียหน้าเหรอ”

นิ่งๆ เงียบๆ เข้าไว้ เธอจะอธิบายการทำร้ายคนไม่สำเร็จได้ยังไง

“คราวหน้าจะฆ่าตัวตายก็ไปโดดทะเล ถ้าตายที่นี่จะลอยขึ้นมาติดฝั่ง เธอไปตายเงียบๆ อย่าทำให้คนอื่นเขาตกใจ”

ถงเสี่ยวโยวยังคงนิ่งเงียบต่อไปเพราะไม่สามารถจะตอบโต้อะไรได้ ใครใช้ให้เธอดวงซวย ชั่วชีวิตนี้คิดจะทำเรื่องไม่ดีก็ยังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

เธอลุกขึ้นยืนสะบัดน้ำออก เดินขึ้นไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ลู่ซิงเฉิงกลับเรียกเธอไว้ “นี่ วันนี้ยังจะดื่มเหล้าอีกไหม”

ถงเสี่ยวโยวชะงักฝีเท้าหันกลับไปมองเขา พูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นว่า “ดื่มเสร็จแล้วฉันก็จะไปทำลายชิก”

ลู่ซิงเฉิงดื่มเหล้าจนหน้าแดง หัวเราะเหมือนกับเด็กเล็กๆ “งั้นเธอมาดื่มกับฉันสิ”

ถงเสี่ยวโยวคิดว่าตัวเองต้องสมองกระทบกระเทือนเพราะกระโดดแม่น้ำแน่ๆ ถึงได้เกิดภาพหลอน นี่คือลู่ซิงเฉิงโดนของใช่ไหม

 

เบอเรอกิงก้า คือวอดก้าของแท้ผลิตในรัสเซีย ถงเสี่ยวโยวถือไว้ในมือทั้งขวด การท้าดื่มเหล้าอย่างกับชนเผ่าแบบนี้ เธอดื่มเสร็จแล้วจะลุกขึ้นมาไหวไหม ทว่าไม่ได้มีเวลาให้เธอได้ลังเล ลู่ซิงเฉิงก็ชนแก้วกับเธอ “ดื่ม”

เหล้าเป็นยาสารภาพความจริงที่ดีที่สุด หากไม่ได้ผล นั่นก็แปลว่าดื่มไม่เยอะไม่หนักพอ เหมือนกับตอนที่เหล้าขวดนี้ลงไปในท้อง ถงเสี่ยวโยวก็เริ่มจะลอยแล้ว

“ลู่ซิงเฉิง คุณมันมีอะไรเจ๋งนัก คุณมันก็แค่ดวงดีเท่านั้นเอง คุณเก่งกาจมากแล้วทำไมฉันถึงได้ศูนย์มาห้าตัวอีก นั่นมันก็แค่โกหก โชคของคุณเมื่อมาถึงฉัน ใช้-ไม่-ได้” เธอพูดด้วยความอัดอั้นตันใจ “ฉันก็คือดวงที่ชงกับคุณ”

“ฉันพึ่งดวงอย่างนั้นเหรอ” ลู่ซิงเฉิงพูดอย่างเยาะๆ “นั่นเพราะฉันเป็นคนที่มีความสามารถเหนือใคร พรสวรรค์โดดเด่น ส่งประกายออกมา เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

ยังดีที่ทั้งสองคนดื่มกันจนเมาแล้ว เขาต่ำช้าขนาดนี้ ถงเสี่ยวโยวก็ได้แต่ทนแล้ว “ถ้าคุณเก่งนัก รู้ว่าอะไรจะดัง แล้วทำไมถึงไม่เป็นดีไซเนอร์ซะเอง”

“ดีไซเนอร์?” ลู่ซิงเฉิงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ปลายคางที่สวยงามนั้นก็ยกขึ้นสูงมาก “ฉันจะไปเป็นดีไซเนอร์ทำไม ฉันไม่ต้องทำอะไรก็มีทุกอย่าง ดีไซเนอร์ทุกคนก็ต้องเดินตามหลังฉัน ฟังบัญชาของฉัน ฉันบอกว่าใครดีคนนั้นก็ดัง ฮ่าๆๆ ดีไซเนอร์จะไปมีอะไร”

ถงเสี่ยวโยวไม่รู้เลยว่าทำไมวันนี้ลู่ซิงเฉิงถึงได้ดื่มจนเป็นแบบนี้ แต่ที่แน่ใจก็คือเขาดื่มเข้าไปมาก แล้วก็ดื่มจนบ้า ส่วนเธอก็ดื่มจนได้ที่แล้วเหมือนกัน “คุณร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าแน่จริงก็แบ่งโชคให้ฉันสิ”

ลู่ซิงเฉิงอึ้งไป เอียงคอหันไปมองถงเสี่ยวโยว ยื่นมือไปหยิกแก้มของเธอ นวดไปมาพักใหญ่จึงถอนหายใจออกมา “ก็ได้ แบ่งโชคให้เธอนิดนึงก็ได้”

ถงเสี่ยวโยวฉีกยิ้มหัวเราะ แล้วจู่ๆ แสงที่อยู่ตรงหน้าก็มืดลง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนที่ก็คือใบหน้าของ บ.ก. ที่ถูกขยายใหญ่อย่างชัดเจนจนเห็นรูขุมขน เห็นแม้กระทั่งลมพัดจนขนตายาวๆ ของเขาขยับ จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าริมฝีปากถูกสัมผัสเบาๆ ทำให้รู้สึกคันหัวใจยุบยิบ ตอนนี้ในสมองของถงเสี่ยวโยวก็ขาวโพลน ใครอยากจะวาดอะไรก็ได้

จูบเบาๆ ที่ไม่อาจทัดทานได้ สุดท้ายยังกัดที่ริมฝีปากเธอเบาๆ อย่างอาลัย จากนั้นก็พูดอย่างดีใจแบบเด็กๆ ว่า “ส่งถ่ายสำเร็จ ฮ่าๆๆ”

ตั้งแต่เด็กแม่ของถงเสี่ยวโยวมักจะพูดกับเธอว่าชีวิตคนเหมือนกับชาหนึ่งแก้ว จะขมสักช่วงหนึ่ง แต่จะไม่ขมไปชั่วชีวิต บางครั้งถงเสี่ยวโยวก็คิดว่าช่วงระยะเวลาหนึ่งนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน ยาวนานจนเกือบจะเท่ากับชั่วชีวิตแล้ว ทว่าแม่ของถงเสี่ยวโยวกลับบอกว่า ‘แล้วลูกมีชีวิตที่ผ่านมาชั่วชีวิตแล้วหรือยัง คนเราน่ะไม่อาจจะคาดการณ์วันพรุ่งนี้ได้หรอกนะ’

พรุ่งนี้?!

ถงเสี่ยวโยวขยี้ตา เธอยังจำได้ว่าตารางงานที่จัดไว้คือหลังจากงานเลี้ยงฉลอง ในวันรุ่งขึ้นจะต้องไปเอารูปและวิดีโองานเลี้ยงที่ตัดต่อเสร็จเรียบร้อย แล้วนิตยสารก็จะเข้าตลาดในวันแรก…จะมานอนขี้เกียจไม่ได้ ต้องตื่นแต่เช้า

ไม่ถูกสิ เธอตัดสินใจจะไม่ทำงานต่อแล้ว ยังต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม ปล่อยให้เรื่องพวกนี้ไปตายกับลู่ซิงเฉิงวิปริตนั่น เธอจะนอนให้ถึงเที่ยง แล้วตื่นขึ้นมากินหม้อไฟ จะกินเซี่ยงจี๊ ผ้าขี้ริ้ว กินลูกชิ้น กินเต้าหู้

แต่ว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงเจิดจ้าแล้ว เธอลืมตาขึ้น เอียงศีรษะมองดู เห็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาเต็มห้อง หน้าต่างบานใหญ่สว่างจ้า โคมไฟตั้งพื้นที่สวยงาม วอลล์เปเปอร์งานละเอียด…ที่นี่ที่ไหน

เธอก้มหน้าลงมองดูตัวเองที่สวมเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย แล้วเสื้อเชิ้ตนี้ก็ยังดูคุ้นตาอีกด้วย สมองที่ยังคงเชื่องช้าจากอาการเมาค้างในตอนนี้เหมือนกับมีรถบรรทุกสิบล้อขนาดใหญ่ชนจนแยกเป็นสองซี่ ทั้งเจ็บปวดแล้วก็ไหม้เกรียม

เธอพยายามสั่งงานให้สมองดึงภาพออกมา เธอเอาถ้วยรางวัลฟาดไปที่มู่หยาง บ.ก. ฟาดมู่หยาง มู่หยางก็ดูไม่จืดเลย…ไม่สิ อย่าหลงประเด็น เธอไปดื่มเหล้าที่ริมแม่น้ำ คิดจะผลักลู่ซิงเฉิง แต่ตัวเองกลับตกลงไป แล้วก็มาที่บ้านของ บ.ก. เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ดื่มเหล้าต่อ จากนั้น…

 

เธอยกมือขึ้นแตะไปที่ริมฝีปากตัวเอง ฉับพลันก็รู้สึกเจ็บจนต้องซู้ดปาก เมื่อคืนดื่มเหล้าแรงมาก ริมฝีปากถูกแอลกอฮอล์เผาไหม้ แตะโดนก็เจ็บ แล้วยัง…

ถงเสี่ยวโยวดูถูกตัวเองเป็นหมื่นครั้ง จูบหลังดื่ม ต่อให้เธอไม่เป็นคนเริ่ม แต่ บ.ก. มีแฟนอยู่แล้ว เมื่อนึกถึงเวินซี…สมองของเธอก็ทำงานอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเธอจะลืมเรื่องอะไรบางอย่างไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

แต่ว่า บ.ก. อยู่ที่ไหนกัน ในห้องรับแขกโล่งๆ นี้มีเพียงเธอคนเดียวที่นอนอยู่บนพื้นท่ามกลางขวดเหล้า หัวหนุนเบาะรองนั่ง ห่มด้วยผ้าเช็ดตัว

เสียงเปิดประตูดังขึ้น ลู่ซิงเฉิงเดินออกมาจากห้องน้ำ กลิ่นเหล้าที่อยู่บนตัวเขาหายหมดไป เหลือไว้เพียงแค่กลิ่นหอมอ่อนๆ หนุ่มรูปงามอาบน้ำเสร็จช่างเจริญตาเสียจริง ถงเสี่ยวโยวเกลียดเขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธหน้าตาของเขาได้

ลู่ซิงเฉิงจ้องมองถงเสี่ยวโยวด้วยสายตานิ่งเรียบ ดวงตาสีดำลึกของเขามองตรงเข้ามา ถงเสี่ยวโยวเม้มริมฝีปากขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกคอแห้งผาก

“ตื่นแล้ว?” เขาถาม

ถงเสี่ยวโยวพยักหน้าหงึกๆ สองมือก็กระชับผ้าเช็ดตัวโดยที่ไม่รู้ตัว “เรื่องนั้น…”

ลู่ซิงเฉิงยิ้มบางๆ “ตื่นแล้วก็ไปจากบ้านฉันได้แล้ว เอาผ้าเช็ดตัวสกปรกผืนนั้นไปด้วย” เขาพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเช็ดผมที่เปียกชื้น ปล่อยถงเสี่ยวโยวตัวแข็งอยู่ตรงนั้น

นี่เป็นคำที่ควรพูด?

แต่ว่านี่สิถึงจะเป็นลู่ซิงเฉิงที่ปกติ พอเขาดื่มเหล้าก็พูดพล่าม ตอนที่มีสติดีก็ทำเรื่องเลวทราม

ถงเสี่ยวโยวโกรธตัวเองที่เมื่อวานไม่ได้ถ่ายรูปตอนที่เขาดื่มเหล้าเอาไว้ เธอได้แต่เดินออกไปอย่างหงุดหงิด เธอจะต้องบอกลาคนสารเลวคนนี้

มือเพิ่งจะจับไปที่ลูกบิดยังไม่ทันที่จะบิดออก เสียงเรียกเข้าที่แตกต่างกันจากมือถือแต่ละเครื่องก็ดังขึ้น ถงเสี่ยวโยวและลู่ซิงเฉิงรับโทรศัพท์พร้อมกัน

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหล”

“ถงเสี่ยวโยว คุณเป็นคนออกแบบคอลเล็กชั่นยูใช่ไหม วันนี้ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แฟชั่นรายสัปดาห์ด้วย”

“บ.ก. วันนี้นิตยสารฉบับใหม่เข้าตลาด ลู่เริ่นโจมตีหน้าปกของพวกเราว่าจัดสีเละเทะ ไม่รู้ว่าเป็นสไตล์อะไร ไม่รู้ว่านิตยสารกำลังต้องการบอกอะไร

“อะไรนะ”

“อะไรนะ”

 

ในสำนักงานวุ่นวายกันไปหมด ลู่เริ่นคือผู้ก่อตั้งแบรนด์เวย์ เป็นบิดาของวงการแฟชั่นแห่งเอเชีย แม้ว่าจะถอยออกจากวงการแฟชั่นมาหลายปี แต่อิทธิพลที่มีก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย หากพูดว่าบทความบทหนึ่งในนิตยสารชิกสามารถมีอิทธิพลต่ออนาคตของดีไซเนอร์ได้ เช่นนั้นคำพูดของลู่เริ่นเพียงประโยคเดียวก็สามารถตัดสินยอดขายของชิกได้

แล้วก็เป็นเช่นนั้น วันแรกที่นิตยสารฉบับใหม่วางขาย ยอดขายก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์

นักข่าวกลุ่มใหญ่อยู่ที่หน้าประตูชิก ครึ่งหนึ่งมาเพื่อสัมภาษณ์ลู่ซิงเฉิง อีกครึ่งหนึ่งมาเพื่อสัมภาษณ์ถงเสี่ยวโยว

ก่อนหน้านี้ถงเสี่ยวโยวเป็นที่รู้จักในนามของดีไซเนอร์ศูนย์คะแนน แต่วันนี้ดีไซน์ของเธอถูกหนังสือพิมพ์แฟชั่นรายสัปดาห์นำขึ้นหน้าหนึ่งและวิจารณ์ว่า

 

การสร้างสรรค์อย่างอาจหาญ สัดส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ ปรัชญาความงามอย่างมินิมอล ลายเส้นหมดจดและเฉียบคม

 

‘ยู’ เป็นคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าที่ถงเสี่ยวโยวได้ออกแบบไว้ในขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยแม้กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็ไม่เคยจะชมสักคำ อีกทั้งยังไม่เคยเผยแพร่ออกไป แล้วจะถูกเปิดเผยได้อย่างไร ได้รับคำชื่นชมที่ดีขนาดนี้ได้อย่างไร ตัวถงเสี่ยวโยวสงสัยมากกว่านักข่าวเสียอีก

บุคคลที่เป็นข่าวทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับแขก โทรศัพท์ของแดลี่แทบจะระเบิด

“คุณลู่ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น…”

“ขอโทษด้วย ในตอนนี้คุณถงยังไม่ได้มีความต้องการจัดจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปของ ‘ยู’ คอลเล็กชั่น”

“ขอโทษด้วย เราขอไม่แสดงความเห็นใดๆ กับคำพูดของคุณลู่เริ่น”

“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณถง เราไม่อาจเปิดเผยได้”

ถงเสี่ยวโยวขอเบอร์บรรณาธิการหนังสือพิมพ์แฟชั่นรายสัปดาห์จากแดลี่ เธอโทรไปเพื่อจะสอบถามหาความจริง แต่กลับได้รับคำตอบที่ทำให้งงขึ้นไปอีก “พวกเราได้จดหมายแนะนำกับต้นฉบับตอนกลางดึก รู้สึกว่าเป็นงานที่ดีมากจึงลงตีพิมพ์”

ดึกดื่นเที่ยงคืนไม่หลับไม่นอนกลับส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์ นี่มันแม่นางหอยโข่งกลับชาติมาเกิดชัดๆ แต่ถ้าว่ากันตามประสบการณ์อันโหดร้ายที่ผ่านมาของเธอ เรื่องดีๆ แบบนี้มักจะให้ผลในทางตรงกันข้ามที่รุนแรงเสมอ ดังนั้นถงเสี่ยวโยวจึงสงบนิ่งกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเถียงกันเรื่องนี้ เธอต้องลาออกก่อน ออกจากที่นี่อย่างมั่นใจและไม่ลังเลแม้แต่น้อย

จดหมายลาออกได้เขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ถงเสี่ยวโยวเชิดหน้าเดินเข้าไปในห้องทำงานของ บ.ก. ลู่ซิงเฉิงที่อยู่ในห้องทำงานมีสีหน้าไม่สนใจ แต่แดลี่กลับมีสีหน้าที่หวั่นวิตก ดูเหมือนกำลังถกกันเรื่องลู่เริ่น

ถงเสี่ยวโยวสูดหายใจลึก เดินขึ้นไปข้างหน้าวางจดหมายลาออกลง

ลู่ซิงเฉิงปรายตามองเล็กน้อย “นี่อะไร”

แดลี่ไม่เสียทีที่เป็นผู้ช่วยมืออาชีพ รีบขึ้นมาตอบทันทีว่า “บ.ก. จดหมายลาออกครับ”

“คิดว่าผมอ่านหนังสือไม่ออก?” ลู่ซิงเฉิงย้อนถาม

แดลี่นิ่งไปในทันที ถงเสี่ยวโยวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ “นี่เป็นจดหมายลาออกของฉัน ฉันต้องการลาออกจากชิก”

ลู่ซิงเฉิงไม่ได้มองดูจดหมายลาออก แต่กลับมองไปที่ถงเสี่ยวโยว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งราบเรียบ “เหตุผล?”

ในครั้งนี้ถงเสี่ยวโยวรวบรวมความพยายามขึ้นมาอย่างเต็มที่ “เพราะคุณ”

จริงสิ ทุกอย่างเป็นเพราะเขา หากต้องการตุ๋นซุปไก่สักถ้วย ก็เป็นลู่ซิงเฉิงที่ให้โอกาสเธอเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แต่ความเป็นจริงก็คือเขาไม่เคยสนใจเธอเลยสักนิด เพียงเพราะเขาไม่อาจจะไล่เธอออกได้จึงใช้เธอไปทำร้ายศัตรูของตัวเอง การกระทำทุกอย่างของเขาไม่เคยคิดถึงเธอแม้แต่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ซุปไก่ถ้วยนี้ตุ๋นยังไงก็เต็มไปด้วยพิษร้าย

ลู่ซิงเฉิงยื่นมือไปดึงจดหมายลาออกมาแล้วโยนไปให้แดลี่ “ฉันอนุมัติ”

แดลี่มองไปที่ถงเสี่ยวโยวแล้วก็มองไปที่ลู่ซิงเฉิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถงเสี่ยวโยวแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงโค้งคำนับให้ลู่ซิงเฉิงอย่างสุภาพ

แดลี่อดที่จะถามถงเสี่ยวโยวไม่ได้ “วันนี้เธอเพิ่งขึ้นหน้าหนึ่ง ตอนนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เธอลาออกเป็น…”

“เป็นความสูญเสียของนิตยสารอย่างนั้นเหรอ” ลู่ซิงเฉิงพูดตัดบทคำพูดของแดลี่ “รอให้เธอมีความสามารถ ฉันค่อยเสียใจก็ยังไม่สาย”

ถงเสี่ยวโยวกัดปาก “บ.ก. เพราะคุณวางแผนเอาไว้แล้ว บนโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่คุณจะต้องเสียใจหรอก” เธอพูดแล้วก็หยุดชะงัก “มีบางเรื่องที่ถึงแม้คุณยังไม่รู้ แต่นั่นคงเป็นเพราะดวงดีของคุณที่ทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดีได้”

พูดจบเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป

แดลี่ทั้งงุนงงและประหลาดใจ “ไม่รู้เรื่องที่เธอพูดหมายถึงอะไรล่ะ เอ๋ ทำไมกลิ่นเหล้าที่ตัวเธอกับของ บ.ก. เหมือนกันเลยล่ะ”

“การลาออกของผู้ช่วยตัวเล็กๆ ก็ต้องยกขึ้นมาถกกันตั้งแต่เมื่อไหร่” ลู่ซิงเฉิงตัดบทเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด “เส้นประสาทเส้นไหนของลู่เริ่นผิดปกติถึงได้มาหาเรื่องฉันได้”

แดลี่แอบสังเกตสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวังแล้วก็พูดอย่างอ้ำอึ้งๆ “น่าจะเป็นเพราะคำพูดเล็กๆ ที่ลู่เหยียนจือพูดกับคุณเมื่อคืน ลู่เริ่นถึงได้…”

“เหอะๆ” เขาหัวเราะประชดประชันอย่างไม่แคร์อะไร สายตาแหลมคมและเย็นชา “เขาก็ปกป้องลูกชายดีจริงๆ”

“จะติดต่อลู่เหยียนจือไหมครับ” แดลี่เสนอวิธีที่เป็นไปได้

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ลู่ซิงเฉิงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะทำงาน สั่นสะเทือนจนกระบอกใส่ปากกาล้มลง

อากาศโดยรอบแข็งตัวไปสามวินาที

คิ้วซ้ายของลู่ซิงเฉิงกระตุกแล้วก็ขมวดเข้าหากัน แดลี่ก้มหน้ามองดูก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี “บ.ก. คุณตบโดนเครื่องตัดกระดาษ”

ลู่ซิงเฉิงสมกับเป็นวัยรุ่น มีพละกำลังและเลือดลมเดินดี ตบลงไปครั้งหนึ่งเลือดก็ไหลออกมาเป็นทาง

“หมดแก้ว” ซ่งหรูหรูได้ยินว่าเพื่อนรักสามารถหนีออกมาจากนรกได้ก็รีบโดดงานออกมาเลี้ยงฉลองกับเธอ “คนเราน่ะจะมาผูกคอตายอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดียวไม่ได้ จมปลักกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ แม้ว่าดวงของเธอจะซวยมาก แต่ร่างกายก็แข็งแรง ถ้าไม่ทำงานดีไซน์ก็ยังมีทางเลือกอีกมากมาย”

อาจเป็นเพราะลาจากลู่ซิงเฉิงมาแล้ว แม้แต่อากาศก็ยังสดชื่น ที่สำคัญมีอาหารอร่อยเต็มโต๊ะ กินจนปากมันแผล็บ ฟังเรื่องอะไรก็มีความสุขไปหมด “ขอบใจที่ชม” เธอวางตะเกียบลงแล้วยกมือขึ้นเรียกเก็บเงินอย่างใจใหญ่ บริกรส่งใบเสร็จมา ถงเสี่ยวโยวเคยขูดใบเสร็จให้ลู่ซิงเฉิงหลายครั้ง จึงกลายเป็นความเคยชินเมื่อเห็นใบเสร็จก็อยากจะขูด ขูดไปสองทีก็เริ่มได้สติขึ้นมา สายตาพลันหยุดนิ่ง ตัวอักษรคำแรกในกรอบสี่เหลี่ยมไม่ใช่คำว่า ‘ขอบ’ เธอกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็ขูดต่อไป แล้วตัวอักษรทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นก็คือ ‘ห้าร้อยหยวน’

ถงเสี่ยวโยวตัวแข็งทื่อ

ซ่งหรูหรูกำลังเลือกถั่วลิสงในต้มยำวุ้นเส้น กำลังเคี้ยวดังกรุบกรับ มองเธออย่างงงงัน

“หรูหรู เธอว่าอยู่ๆ โชคชะตาฉันจะเปลี่ยนไหม”

“เธอน่ะเหรอ” ซ่งหรูหรูแลบลิ้น “วันเดือนปีเกิดเธอไม่ได้เปลี่ยนสักหน่อย ซวยยังไงก็ซวยอย่างนั้น”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ถงเสี่ยวโยวก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันที นำใบเสร็จยัดลงไปในกระเป๋าเงิน เรื่องในวันนี้คงเพ้อไปเองมั้ง

บริกรเดินยิ้มเข้ามาหา “วันนี้จะมีการจับรางวัลของการเปิดร้านใหม่เป็นวันสุดท้าย คุณจะไปลองจับรางวัลดูไหมคะ”

เมื่อได้ยินว่าจับรางวัล ซ่งหรูหรูก็รีบวางตะเกียบลง “เอาสิๆ”

ที่ผ่านมาถงเสี่ยวโยวก็ไม่เคยมีโชคกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ซ่งหรูหรูถูไม้ถูมือทำท่าเหมือนล้างมือ แต่บนจานหมุนขนาดใหญ่มีพื้นที่สำหรับของรางวัลไม่มาก โดยเฉพาะจักรยานไฟฟ้ารางวัลใหญ่ มีเพียงศูนย์จุดสองหกเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซ่งหรูหรูเป็นคนที่มีโชคมาตลอดก็ยังได้เพียงกระดาษทิชชูหนึ่งห่อ ถงเสี่ยวโยวคิดว่าก็ดี พอดีกับที่เธอต้องการจะเข้าห้องน้ำด้วย

ทั้งสองคนถือกระดาษทิชชูกำลังจะเดินจากไป บริกรก็เรียกถงเสี่ยวโยวอย่างนอบน้อม “คุณผู้หญิง คุณจะลองหมุนดูสักครั้งไหม”

ถงเสี่ยวโยวจะรีบไปห้องน้ำ ดังนั้นจึงหมุนไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินจากไปโดยไม่คิดแม้แต่จะดู

จานหมุนหมุนไปหลายรอบ สุดท้ายก็ค่อยๆ หยุดลง บริกรปรบมือแสดงความยินดี “ยินดีด้วยคุณผู้หญิง คุณได้รางวัลใหญ่เป็นรถจักรยานไฟฟ้าหนึ่งคัน”

ถงเสี่ยวโยวอึ้งไป

และครั้งนี้ก็ทำให้ซ่งหรูหรูตกใจอย่างมาก แม่หมอหรูกำลังรู้สึกสับสนในตัวเอง เธอไม่กลับบ้านแล้วแต่จะรีบขึ้นไปบนเขาเพื่อหาอาจารย์ เธอรู้สึกว่าตบะบำเพ็ญตื้นเขินมาก จะต้องเข้าบำเพ็ญตนอีกสามปี

ชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเย็นจราจรติดขัด รถบนถนนสายหลักขับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ อากาศร้อนอบอ้าว ใครที่ติดอยู่บนถนนต่างอารมณ์หงุดหงิด เสียงแตรรถเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถจักรยานไฟฟ้าพุ่งออกมาผ่านช่องสีฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ช่างดูเหมือนการประชดจราจรอันติดขัดนี้อย่างแรง

“ฉันมีเจ้าลาน้อย ฉันไม่เคยขี่มาก่อน แล้ววันหนึ่งฉันก็รู้สึกคึกขึ้นมาจนขี่ไปตลาด…”

บิดคันเร่งจนสุด ลมเย็นยามค่ำคืนพัดมาโดนใบหน้าทำให้รู้สึกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ ถ้าไม่ร้องเพลงก็ไม่อาจจะปลดปล่อยความรู้สึกตื่นเต้นที่อยู่ในใจออกมาได้ ถูกต้อง ยี่สิบหกปีแล้ว เธอ ถงเสี่ยวโยว ในที่สุดก็พลิกชะตาได้

และในเวลานี้ขณะที่มือข้างหนึ่งของลู่ซิงเฉิงพันผ้าพันแผลไว้ มืออีกข้างก็กำลังเคาะคีย์บอร์ด ฝ่ามือถูกเย็บไปห้าเข็ม นี่เป็นครั้งแรกในสามสิบปีที่ผ่านมาที่ลู่ซิงเฉิงได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่ค่อยถนัด แต่เขาก็ยังเขียนต้นฉบับข้ามคืนตอบโต้การโจมตีของลู่เริ่น แดลี่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ ลู่ซิงเฉิงถามด้วยความมั่นใจว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

วันนี้เป็นงานเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนซีซั่นของชิกซึ่งเกี่ยวพันกับการลงโฆษณาของแบรนด์ดังในนิตยสารของซีซั่นถัดไป ไม่ว่าตำนานของลู่ซิงเฉิงจะมีมากน้อยขนาดไหน แท้จริงแล้วสิ่งที่สนับสนุนเขาก็คือยอดขายของนิตยสารกับการลงโฆษณา เหตุที่ตำนานเป็นตำนานได้ก็เพราะมันสามารถทำให้ทุกอย่างกลายเป็นผลประโยชน์

แดลี่พูดด้วยเสียงต่ำๆ “เวทีเดินแบบมีปัญหา เวินซีตกจากเวทีบาดเจ็บ ข้อเท้าแพลง ตอนนี้การเดินแบบหยุดชะงัก”

สีหน้าของลู่ซิงเฉิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยกมุมปากขึ้น “คุณเขียนต้นฉบับนี้ให้เสร็จแล้วส่งออกไป ผมจะไปดูเอง” น่าสนใจ เขาอยู่มาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับเรื่องใหม่ๆ เช่นนี้

แดลี่จำต้องนั่งลง มองลู่ซิงเฉิงหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปด้านนอก เขารีบพูดขึ้นว่า “เวินซีอยู่โรงพยาบาลประจำมณฑลที่สองนะ”

ลู่ซิงเฉิงเดินออกจากห้องทำงานไปแล้ว มีแต่เพียงเสียงที่ลอดเข้ามา “ฉันจะไปดูที่งาน”

แดลี่ทอดถอนใจอย่างเศร้าๆ “ชายแท้ช่างไร้ความรู้สึก”

 

เมืองซีในวันหยุดสุดสัปดาห์ รถติดตามสี่แยกจนน่ากลัว รถสปอร์ตสีฟ้าที่ดูสะดุดตาของลู่ซิงเฉิงอยู่ท่ามกลางรถที่ต่อแถวกันยาว ไฟแดงหมดไปหลายรอบ รถของลู่ซิงเฉิงก็ยังไปไม่ถึงสี่แยกสักที มาตรวัดน้ำมันบนจอหน้าปัดขึ้นไฟแดงเตือนว่าน้ำมันเหลือน้อย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไปไม่ถึงงานแน่นอน

ลู่ซิงเฉิงขับรถเบี่ยงไปเลนขวา ตัดสินใจจะอ้อมถนนเส้นนี้ออกไป ไฟเขียวเลี้ยวขวาสว่างขึ้น รถด้านหน้าเคลื่อนตัว เขาเหยียบคันเร่งลงไป แล้วจู่ๆ รถจักรยานไฟฟ้าที่อยู่ในเลนจักรยานก็พุ่งออกมา ลู่ซิงเฉิงรีบหักพวงมาลัยหลบ มือข้างที่พันผ้าพันแผลไว้จู่ๆ ก็ไม่มีแรง เสียงปังดังขึ้น ตัวรถสั่นสะเทือนอย่างแรงจากนั้นก็หยุดนิ่ง

เขาชนกับรถที่อยู่อีกเลน

รถสปอร์ตสองคันชนกันแม้จะไม่รุนแรง แต่ตัวรถที่ทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ก็พังยับ โดยเฉพาะตัวรถของอีกฝ่ายที่ถูกรถของลู่ซิงเฉิงชนจนแทบจะจำทรงเดิมไม่ได้

เจ้าของรถทั้งสองคันลงมาพร้อมกัน พร้อมกับเจ้าของรถจักรยานไฟฟ้าอีกคน ทั้งสามคนมองตากัน

“บอ…บ.ก. เอ่อ มู่…มู่หยาง” เจ้าของรถจักรยานไฟฟ้าที่กำลังมึนงงทำอะไรไม่ถูกก็คือตัวการในการทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ ถงเสี่ยวโยว

ตำรวจจราจรมาถึงด้วยความรวดเร็ว ลู่ซิงเฉิงกับมู่หยางชี้ไปที่ถงเสี่ยวโยวอย่างเห็นพ้องต้องกัน “เธอนั่นแหละ”

ถงเสี่ยวโยวยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเอง เธอขี่จักรยานไฟฟ้าเป็นครั้งแรกเลยดีใจมากไปหน่อย ลืมวิธีการเบรกถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เธอน่ะไม่เหมาะกับเรื่องดีๆ ลองดูสิ เพิ่งจะได้รถจักรยานไฟฟ้ามา ดันมาทำให้รถหรูสองคันชนกัน เธอต้องตัดไตขายเลยล่ะมั้งถึงจะพอชดใช้

เธอยื่นหน้าไปสอบถามอย่างหวั่นๆ “รถของพวกคุณแพงมากเลยใช่ไหม”

มู่หยางยื่นมือออกไปเขียนตัวเลข ถงเสี่ยวโยวตกใจจนขวัญหนี เธอรวบรวมความกล้าและหันไปทางลู่ซิงเฉิง

ลู่ซิงเฉิงมองจักรยานไฟฟ้ากับเฟอร์รารี่ที่มีสีฟ้าเหมือนกัน แล้วตวัดสายตามองเธอ “เธอคิดว่าสีเหมือนกัน รถของเธอกับรถฉันก็จะเหมือนกันได้เหรอ”

“ไม่ใช่แน่นอน” ถงเสี่ยวโยวยิ้มแหะๆ “สีฟ้าของคุณคือสีฟ้าไพลิน สีฟ้าของฉันคือสีฟ้าสเมิร์ฟ”

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ลู่ซิงเฉิงก็ยังเร่งตำรวจจราจรด้วยสีหน้าที่แทบจะอดทนไว้ไม่อยู่ “เร็วหน่อยได้ไหม ผมมีเรื่องด่วน”

เมื่อมีโอกาสที่จะเยาะเย้ย มู่หยางไม่ปล่อยไปแน่นอน “บ.ก. ลู่คงจะรีบไปที่งานเดินแฟชั่นโชว์สินะ งานเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนซีซั่นเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหอะๆ”

“แล้วพิธีกรมู่จะไปสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม ได้ยินว่าวันนี้สถานีโทรทัศน์มีงาน ใช้บารมีพ่อไปแสดงตัวตนอีกล่ะสิ” ลู่ซิงเฉิงยิ้มตาหยีพร้อมกับตอบโต้กลับแบบนิ่งๆ

มู่หยางพูดไม่ออก ได้แต่จ้องมองเขาอย่างเคียดแค้น “ลู่ซิงเฉิง นายอย่าล้มก็แล้วกัน”

“ที่สูงขนาดนั้นมีผมแค่คนเดียว ใครใช้ให้พวกคุณขึ้นมาไม่ได้ล่ะ” ลู่ซิงเฉิงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มองดูด้วยสายตาของราชาที่พิฆาตผู้คน

ถงเสี่ยวโยวยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ กำลังคำนวณค่าชดใช้ที่สูงมากแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อตำรวจจราจรตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วก็พูดกับถงเสี่ยวโยว “คุณเป็นรถไม่มีเครื่องยนต์ ไม่ต้องรับผิดชอบ” แล้วก็หันไปพูดกับลู่ซิงเฉิง “คุณต้องรับผิดชอบทั้งหมด”

“อะไรนะ” ลู่ซิงเฉิงที่ยืนกอดอกสีหน้านิ่งๆ ถึงกับถลึงตาโต นี่เป็นครั้งแรกที่ถงเสี่ยวโยวได้เห็นท่าทางแบบนี้ของเขา “ทำไมผมต้องรับผิดชอบทั้งหมด”

ตำรวจจราจรไม่ได้สนใจท่าทางตกใจของลู่ซิงเฉิง “บริษัทประกันของคุณล่ะ ยังไงซะก็ให้ประกันจ่าย คุณเป็นเจ้าของรถหรูแบบนี้ยังจะสนเรื่องเงินอีกเหรอ”

ลู่ซิงเฉิงไม่สนใจเรื่องเงิน แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเงินหรือไง เขายกมือขึ้นมองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาสั่งให้เขายุติความวุ่นวายทุกอย่าง ลู่ซิงเฉิงยังคงวางท่านิ่งเฉยแล้วล้วงกระเป๋าหยิบมือถือออกมา เดินไปด้านข้างแล้วโทรไปหาบริษัทประกัน

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองอยู่ในความฝัน หลีกเลี่ยงการถูกพาดพิง เธอตัดสินใจรีบจากไปก่อนดีกว่า “งั้นฉันไปก่อนได้ไหม”

ตำรวจจราจรบอกด้วยความสุภาพ “ได้แน่นอน”

สวรรค์! ถงเสี่ยวโยวรู้สึกเหมือนกับตัวเองสวมชุดเกราะทองคำอยู่

และแล้ว…

“อะไรนะ ประกันผมหมดไปเมื่อสามวันก่อน” น้ำเสียงของลู่ซิงเฉิงดูร้อนรนกว่าท่าทางเมื่อครู่ “ผู้ช่วยของผมไม่ได้ไปจัดการเหรอ”

เขาโทรหาแดลี่ด้วยความฉุนเฉียว เสียงร้องของแดลี่ดังออกมาจากหน้าจอมือถือ “โอ้ ฉันให้โอลิมปิกไปจัดการ แต่วันนั้นคุณอนุมัติให้เธอลาออก บ.ก. คุณไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ”

ลู่ซิงเฉิงปรายตามองถงเสี่ยวโยวที่กำลังเดินเข้ามา เขาวางสายโทรศัพท์ด้วยความเย็นชาอย่างเป็นธรรมชาติ

ตำรวจจราจรมองไปที่เขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ถ้าอย่างนั้นคุณยังมีความผิดที่ขับรถออกมาโดยไม่มีประกันด้วย”

ถงเสี่ยวโยวสงสัยว่าถ้าไม่ได้อยู่บนถนน มู่หยางคงจะลงไปหัวเราะกลิ้งที่พื้น อย่าว่าแต่มู่หยางเลย แม้แต่เธอก็อยากจะลงไปกลิ้งเหมือนกัน

ออกจากสถานีตำรวจจราจรก็เป็นเวลากลางดึก ลู่ซิงเฉิงหยิบมือถือออกมา หน้าจอโชว์สายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับเจ็ดแปดสาย หนึ่งในนั้นมีสองครั้งเป็นของเวินซี เขามองเพียงครู่เดียวและเลือกที่จะไม่ตอบกลับ เรื่องนิตยสารฉบับใหม่กับการเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนซีซั่นเป็นปัญหาที่หนักหนา แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว หากไม่อาจพลิกสถานการณ์ก็ไม่ต้องมาระลึกอะไรอีก

ดูเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยมาขัดขาเขาตลอด ลู่ซิงเฉิงสามารถรับรู้ได้แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจมัน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ชีวิตคนก็ต้องอยู่อย่างระมัดระวังเหมือนกับยืนอยู่บนน้ำแข็งบางๆ สิ่งสำคัญก็คือสามารถก้าวออกมาก่อนที่มันจะแตกร้าวได้ไหม ไม่อาจจะยืนหยุดอยู่ที่เดิมตลอดไปโดยไม่หันกลับ

แดลี่จอดรถอยู่หน้าลู่ซิงเฉิง เขาเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง

แดลี่เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “บ.ก. ครับ เรื่องค่าชดใช้…”

“โอนไปให้มู่หยาง”

“ครับ” แดลี่พยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นอีก “แต่ดูเหมือนเงินในบัญชีของ บ.ก. จะไม่พอ…”

“ไปหาที่ปรึกษาซุน ฉันมีเงินลงทุนที่กำลังจะครบกำหนดอาทิตย์หน้า” ลู่ซิงเฉิงลดกระจกลงให้อากาศระบาย บนถนนไร้รถยนต์คันอื่น มีรถจักรยานไฟฟ้าขับผ่านไปหลายคัน เขาขมวดคิ้ว “ช่วงนี้คนนิยมรถจักรยานไฟฟ้ากันเหรอ”

“ใช่ครับ เดินทางสะดวกแล้วก็ประหยัดเงิน” แดลี่มองเขาด้วยความประหลาดใจ “บ.ก. คุณจะลงทุนด้านรถจักรยานไฟฟ้าเหรอครับ”

“ไม่ ฉันต้องการซื้อจักรยานไฟฟ้า” ลู่ซิงเฉิงยิ้มอย่างมั่นใจ “แจกให้คนในสำนักพิมพ์คนละคัน”

แดลี่ไม่เข้าใจ ลู่ซิงเฉิงจึงพูดต่อ “อีกอย่างก็รีบจัดงานแถลงข่าวขึ้นมา” หากจะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับรอรับคำวิจารณ์ สู้เป็นฝ่ายรุกพลิกสถานการณ์จะดีกว่า

กระจกรถค่อยๆ เลื่อนขึ้น ตัดขาดโลกภายนอกไว้นอกหน้าต่าง เขาหรี่ตาคิดอะไรบางอย่างได้ “ช่วงนี้โอลิมปิกนั่นเป็นยังไงบ้าง”

แดลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เลือกที่จะเงียบ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: