X
    Categories: Count your lucky stars เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Count your lucky stars เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นรัก บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่สาม หงส์ที่ถูกถอนขนก็สู้ไก่ไม่ได้

 

เวลาที่ดวงซวยไม่ต้องถามฟ้าว่าทำไมต้องเป็นฉัน เพราะเวลาคุณดวงดีคุณไม่เคยถามว่าทำไม

 

คอลัมน์ มนุษย์ดวงดาวเดียวดาย

 

หากจะพูดว่าลู่ซิงเฉิงโดนขัดขา ถ้าเช่นนั้นถงเสี่ยวโยวก็ถือว่ากำลังยืนอยู่บนกงล้อไฟ ตั้งแต่ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งก็ฉุดเธอไว้ไม่อยู่ ทั้งนิตยสารแฟชั่นหัวใหญ่ๆ และเว็บไซต์ต่างๆ ก็พากันนำเสนอดีไซน์ของเธอออกมา ถงเสี่ยวโยวที่ยังตกใจก็รู้สึกงุนงงมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอกินบะหมี่ไก่ผัดเผ็ดอยู่ที่ร้านข้างทางแล้วถูกแอบถ่าย ในข่าวนอกจากจะลงรูปบะหมี่ไก่ผัดเผ็ดแล้วยังวางรูปกระโปรงสีแดงทรงเอที่เธอออกแบบไว้คู่กันด้วย แล้วก็เขียนใต้ภาพว่าแรงบันดาลใจจากอาหารรสเลิศ

ตอนที่เธอกินไก่ผัดเผ็ด เธอกำลังคิดอยู่ว่าถ้ากินกบผัดเผ็ดจะอร่อยกว่านี้หรือเปล่า

และสิ่งที่ทำให้เธอตกใจและประหลาดใจมากขึ้นไปอีกก็คือจู่ๆ มีโทรศัพท์จากลู่เหยียนจือ

ครึ่งชั่วโมงต่อมาถงเสี่ยวโยวก็ยืนอยู่ที่ตึกของบริษัทเวย์ เธอเงยหน้ามองตึกใหญ่ อาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ อาคารยิ่งใหญ่อลังการ กำแพงวางสลับกันด้วยหินอ่อนและกระจก ซึ่งช่องว่างของสิ่งก่อสร้างที่ทะลุปรุโปร่งทำให้เกิดความรู้สึกน่าเกรงขามที่ไม่อาจจะล่วงเกินได้

แม้ว่าในเวลานี้แสงอาทิตย์จะส่องผ่านกำแพงกระจกและสะท้อนลงมาบนใบหน้าของเธอ เธอยังไม่อาจจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ลู่เหยียนจือเดินนำเธอเข้ามาข้างในพร้อมกับแนะนำให้เธอฟังอย่างละเอียด “นอกจากแบรนด์เหยียนเก๋อแล้ว ทุกปีผมก็ยังมีดีไซน์เสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกสี่คอลเล็กชั่นและชุดไฮเอ็นด์ในชื่อของเวย์ ถ้าคุณยินดีที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของเวย์ วันข้างหน้าคุณก็สามารถใช้วิธีแบบนี้นำเสนอผลงานของตัวเองได้ ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้ยูคอลเล็กชั่นเป็นพื้นฐานในการสร้างแบรนด์ขึ้นมา…”

ลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนขึ้น ที่ลอยขึ้นเหมือนกันก็คือความดันของถงเสี่ยวโยว ถ้าจะบอกว่าการถูกรางวัลกับการเป็นข่าวหน้าหนึ่งพาเธอซึ่งนั่งอยู่ในห้องใต้ดินขึ้นมาบนตึกชั้นสูงสุด เช่นนั้นแล้วในตอนนี้เธอก็ถูกส่งไปในอวกาศแล้ว

ห้องทำงานของลู่เริ่นอยู่บนชั้นสูงสุด ถงเสี่ยวโยวเดินออกจากลิฟต์ตามลู่เหยียนจือออกมา เขากดกริ่งหน้าประตู ทั้งสองคนยืนรออยู่ที่หน้าประตูเงียบๆ ในฐานะที่เป็นลูกชายคนเดียวของลู่เริ่น ลู่เหยียนจือไม่ได้มีท่าทางยโสโอหังใดๆ เขาประสานมือไว้เหมือนกับต้นสนมังกร

ประตูห้องทำงานเปิดออก ผู้ช่วยเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน ถงเสี่ยวโยวก้าวตามลู่เหยียนจือเข้าไป พื้นปูพรมขนแกะหนานุ่ม เหยียบลงไปไม่ทำให้เกิดเสียงอะไร เธอรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

ลู่เริ่นอายุเกินหกสิบแล้ว แต่มองดูแล้วยังกระฉับกระเฉงมาก เขาสวมชุดสูทจึงทำให้ดูเป็นสุภาพบุรุษมาก และเพราะอายุจึงทำให้ดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น บุคคลนี้เป็นตำนานที่มีอิทธิพลในวงการแฟชั่นมายี่สิบปี เป็นปรมาจารย์ที่ดีไซเนอร์ทุกคนยอมรับ ลู่เหยียนจือได้รับมรดกจากพ่อทั้งความสามารถและพรสวรรค์ ทำให้ตำนานนี้ยืดยาวออกไป แม้ว่าวันนี้ลู่เริ่นจะรามือ ผู้อำนวยการการออกแบบของเวย์เปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถเรียกลมเรียกฝนในวงการได้

หลังจากที่ลู่เหยียนจือแนะนำ ลู่เริ่นก็ส่งนามบัตรให้กับถงเสี่ยวโยวด้วยท่าทางที่สุภาพ ขณะที่ได้เจอกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้เธออยากจะหยิบนามบัตรออกมาสักใบ แต่นามบัตรของเธอยังพิมพ์คำว่าโอลิมปิกไว้ จึงได้อ้อมแอ้มตอบไปว่า “ฉันไม่ได้เอานามบัตร…”

“นามบัตรของคุณยังเป็นของชิก อีกหน่อยก็ต้องเปลี่ยนแล้ว” ลู่เหยียนจือกู้สถานการณ์ให้เธอด้วยน้ำเสียงสบายๆ

ที่จริงในใจของถงเสี่ยวโยวก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่ วันนี้เธอมีโอกาสได้เจอกับลู่เริ่น เธอจึงอดที่จะสอบถามไม่ได้ “ขอโทษนะคะ ทำไมคุณถึงวิจารณ์ชิกแบบนั้นเหรอคะ”

ลู่เริ่นถามกลับว่า “คุณคิดว่าลู่ซิงเฉิงไม่ควรโดนวิจารณ์เหรอครับ”

“แต่ว่านิตยสารชิกเป็นเลือดเนื้อของสำนักพิมพ์ ฉันรู้สึกว่าคำวิจารณ์นั่น…มันไม่ค่อยตรงตามความเป็นจริงนัก” ถงเสี่ยวโยวแก้ตัวกลับเบาๆ โดยเฉพาะนางแบบที่ต้องยืนถ่ายแบบท่ามกลางลมหนาวนั่น บรรณาธิการที่จัดหน้าข้ามคืน ความเหน็ดเหนื่อยของพวกเขาถูกทำลายกลายเป็นขี้เถ้าเพียงเพราะคำพูดของลู่เริ่นประโยคเดียว

ลู่เริ่นยิ้ม “แฟชั่นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล เป็นเรื่องผิวเผิน มันทั้งสั้นแล้วก็ไม่ปกติ ดีไซเนอร์ที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์ตัวเองกับคนอื่น” เขาพูดอย่างสุภาพพร้อมกับยื่นมือมาจับมือเธอ “หวังว่าคุณจะมาเป็นส่วนหนึ่งของเวย์ เป็นดีไซเนอร์ที่ไม่ต้องการการพิสูจน์ตน”

นี่ก็ทำให้ถงเสี่ยวโยวที่ละทิ้งความฝันไปแล้วถึงกับน้ำตาไหล

เป็นเพราะตื่นเต้นจนเกินไป ถงเสี่ยวโยวจึงนอนไม่หลับทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสว่างรำไรถึงได้หลับไป ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ถึงตื่นขึ้นมา เมื่อเปิดตาขึ้นก็เห็นซ่งหรูหรูนั่งอยู่ที่หัวเตียงจ้องมองตัวเธอเขม็ง ทำเอาเธอตกใจจนต้องกระโดดขึ้นมา “ซ่งหรูหรู เธอทำเอาคนตกใจตายเลย”

“ฉันไม่เข้าใจ” ซ่งหรูหรูทึ้งหัวตัวเองอย่างเจ็บปวด “ฉันไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์ คำนวณอยู่สามวันสามคืน วันเดือนปีเกิดของแกทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนชะตาได้”

“ไม่ใช่ว่าสามสิบปีก็เปลี่ยนทีหรอกเหรอ” ถงเสี่ยวโยวเอ่ยขึ้น “จะว่าไปกว่าฉันจะเปลี่ยนโชคชะตาได้ เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอยังเป็นคนอยู่อีกไหม”

“ก็เพราะฉันเป็นคนถึงไม่เข้าใจไง” ซ่งหรูหรูนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ตอนนี้ขอบตาที่ดำคล้ำก็ใหญ่กว่าดวงตาเสียอีก “เธอรอก่อน ฉันจะต้องหาคำตอบให้ได้ วิทยาศาสตร์จะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงครึ่งหนึ่ง”

“เธอเผยแพร่เรื่องงมงาย ยังจะกล้าพูดว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องหลอกลวงครึ่งหนึ่งเหรอ”

“แน่นอน” ซ่งหรูหรูยกไอแพดโปรขนาดใหญ่ฟาดไปที่ถงเสี่ยวโยว เกือบจะฟาดจนเธอหมดสติ “เธอดูสิ นี่มันวิทยาศาสตร์ไหม”

ถงเสี่ยวโยวเลื่อนหน้าจอดู ภาพบนหน้าจอคือหน้าแรกของข่าวบันเทิง ด้านซ้ายเป็นข่าวที่เธอเข้าไปทำงานกับเวย์ ด้านขวาเป็นภาพเวินซีกอดจูบกับมู่หยาง ภาพทั้งสองคนชัดเจนอย่างที่สุด แม้แต่แววตาก็ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน นี่คือคู่รักที่กำลังตกหลุมรักกัน

ซ่งหรูหรูอธิบายว่า “นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดตรงทางเดินในงานเลี้ยงฉลองประจำปี วันนั้นเวินซียังเป็นแฟนของลู่ซิงเฉิงนะ เธอว่าทำไมนักข่าวถึงได้เก่งกาจขนาดนี้ สามารถไปดึงภาพจากกล้องวงจรปิดมาเขียนข่าวได้”

ถงเสี่ยวโยวกลืนน้ำลายลงคอ “แล้ว…แล้วลู่ซิงเฉิงล่ะ”

ซ่งหรูหรูยื่นมือไปเลื่อนหน้าจอแทนเธอ “อ้อ อยู่ตรงนี้เอง”

หน้าถัดไปเป็นรูปลู่ซิงเฉิงสวมหมวกสีเขียว บทความใต้ภาพล้วนแล้วแต่เป็นการประชดประชันแดกดันลู่ซิงเฉิง จากเขาที่ยโสโอหังจนถึงวันนี้ถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัว แม้จะเห็นอยู่ว่าเขาเป็นผู้ถูกทำร้าย แต่ข้อความทั้งหมดแสดงออกมาว่า ‘สมน้ำหน้า’

“ได้ยินว่าเช้านี้ลู่ซิงเฉิงจัดงานแถลงข่าว ใครจะไปรู้ว่าก่อนงานแถลงข่าวพวกนักข่าวจะขุดคุ้ยข่าวนี้ออกมา ตอนที่ลู่ซิงเฉิงถูกยิงคำถามใส่ก็ควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ถึงกับทำร้ายนักข่าวไปคนนึง…” ซ่งหรูหรูถอนหายใจ “อีกสักพักข่าวนี้ก็คงจะมีหน้าต่างที่ไว้กดส่งต่อแล้วล่ะ”

“นี่…” ถงเสี่ยวโยวปากสั่น พูดอะไรไม่ออก

“คิดถึงตอนที่ถูกเขาทรมานขนาดนั้น ก็ถือว่าได้แก้แค้นแล้วล่ะ” ซ่งหรูหรูพอใจกับเรื่องนี้มาก “เพียงแต่ไม่ค่อยถูกต้องตามดวงสักเท่าไหร่ ถือว่าเป็นการท้าทายฉันอย่างมาก”

“ฉันทำเองนั่นแหละ” ถงเสี่ยวโยวตะโกนออกมาอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ ทำเอาซ่งหรูหรูตกใจจนตกจากเตียงลงมาที่พื้น

“หา?”

ถงเสี่ยวโยวร้อนรนจนพูดไม่รู้เรื่อง “เวินซีกับมู่หยาง ที่จริงฉันรู้ว่าพวกเขา…” ในวันงานเลี้ยงฉลองประจำปีเธอบังเอิญเห็นข้อความที่เวินซีส่งมาให้มู่หยางโดยไม่ได้ตั้งใจ เวินซีนัดมู่หยางให้ไปที่ทางเดินหลังงานจบ เพราะข้อความนี้วันนั้นเธอถึงได้ใจลอยไม่มีสติ แล้วสุดท้ายก็ทำถ้วยหลุดมือจนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา

“เธอบอกว่าเธอรู้เรื่องมู่หยางกับเวินซีมาก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าลู่ซิงเฉิงรู้แล้วบอกเลิกกับเวินซีก่อน ข่าววันนี้ก็จะไม่เป็นแบบนี้” ซ่งหรูหรูสมแล้วที่เรียนปรัชญามา สามารถจัดการความคิดได้ในระยะเวลาอันสั้น

ถงเสี่ยวโยวพยักหน้า “แต่ฉันไม่ได้บอกเขา หลายครั้งที่ฉันคิดจะบอกเขา แต่…” เธออธิบายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็หยุดชะงัก ไม่ว่าเธออยากจะบอกไปสักกี่ครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด บางทีจิตใต้สำนึกเธออาจจะอยากให้ลู่ซิงเฉิงซวยบ้าง อยากจะเห็นเขาผิดพลาด เห็นท่าทางดูไม่ได้ของเขา เธอไม่มีเหตุผลที่จะแก้ตัว

เธอก็เหมือนกับคนที่เกลียดชังลู่ซิงเฉิง อยากจะเห็นเขาตกลงจากสวรรค์จนร่างแตกละเอียด ไม่อาจฟื้นตัวกลับมาได้อีก

ถงเสี่ยวโยวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก นิ้วมือสั่นจนกดตัวเลขไม่ได้ เธอสูดหายใจลึกหลายครั้งถึงได้กดเบอร์ลู่ซิงเฉิงออกไป

“บ.ก. คะ…” เธอเอ่ยปากขึ้น ที่จริงแล้วเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการโทรศัพท์ครั้งนี้จะมีความหมายอะไร เป็นการขอโทษหรืออยากจะรู้ผล ไม่ว่ายังไงทั้งหมดนี้ก็เพียงเพื่อจะชดเชยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจของเธอ แต่สำหรับลู่ซิงเฉิงนั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลยสักนิด

เสียงทางปลายสายเงียบสงัด อยู่ๆ เธอก็อยากจะได้ยินเสียงลู่ซิงเฉิงเรียกเธอว่าโอลิมปิกหรือศูนย์ห้าตัว แต่ไม่มีเลย “ไม่ต้องเรียกฉันว่า บ.ก. ชิกเปลี่ยน บ.ก. ใหม่แล้ว วันนี้ฉันออกจากตำแหน่งแล้ว”

ในวงการนี้ไม่มีใครโด่งดังขึ้นมาอย่างเงียบๆ คนที่มีชื่อเสียงก็คือคนที่มีความสามารถมาก ที่สำคัญคือสามารถออกคำสั่งได้ ลู่ซิงเฉิงคือคนที่โชคดีที่สุด เพราะเขาใช้เวลาเพียงสิบปีก็สามารถยืนอยู่บนยอดดอยได้ ทว่าการตกลงไปใต้หน้าผาก็ง่ายดายเหลือเกิน ต่อให้เป็นลู่ซิงเฉิงก็ใช้เวลาเพียงสิบวัน

 

เพียงคืนเดียวดาวนำโชคก็กลายเป็นดาวอัปมงคล ยอดขายของนิตยสารตกวูบ งานเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนฤดูกาลเกิดอุบัติเหตุ เขาถูกสวมเขา ทำร้ายคนอื่นต่อหน้าผู้คนมากมาย ตอนนี้ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งอีก ในขณะที่ข่าวลู่ซิงเฉิงทำร้ายนักข่าวถูกเผยแพร่ออกไป เรื่องราวด้านลบของเขาก็ยิ่งปะทุออกมาเหมือนกับดอกไม้ไฟระเบิด

อย่างเช่นลู่ซิงเฉิงเคยดูถูกนางแบบที่อ้วนขึ้นมาหนึ่งกิโลกรัมว่าเป็นตุ่มน้ำ เสนอให้เธอไปที่คณะกายกรรมเรียนวิธีเหยียบบนตุ่มน้ำ เขาเคยไล่พนักงานออกเพราะพนักงานไม่ทำโอที ซ้ำยังเคยโทรศัพท์ไปหาพวกเขาตอนกลางดึกเพื่อให้มาทำงานที่บริษัท

แม้กระทั่งที่ถงเสี่ยวโยวเข้าร่วมรายการ ‘สถานีถัดไป รันเวย์’ ก็ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึง เพื่อต้องการให้คนมาสนใจอ่านนักข่าวก็ใส่สีตีไข่ลงไป บอกว่าถงเสี่ยวโยวเป็นดีไซเนอร์ที่มีพรสวรรค์ แต่ลู่ซิงเฉิงกลัวว่าพรสวรรค์จะถูกเปิดเผย จึงตั้งใจจะซื้อกรรมการในรายการให้เธอได้ศูนย์ห้าตัว แล้วยังมีดีไซเนอร์เล็กๆ อีกกลุ่มหนึ่งสนับสนุน บอกว่าตัวเองเคยถูกลู่ซิงเฉิงกดขี่ข่มเหง

พูดกันด้วยใจเป็นธรรม ลู่ซิงเฉิงใช้จมูกมองคน เขาจำแม้แต่ชื่อของถงเสี่ยวโยวไม่ได้ แล้วจะมาอิจฉากับกดเธอเอาไว้ได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นลู่ซิงเฉิงเป็นคนที่รู้จักมองคน เรื่องที่กดคนอื่นที่ทั้งเปลืองแรงและไม่น่าเปิดเผยแบบนี้เขาไม่มีทางที่จะทำ แล้วนักข่าวที่เขียนว่าเธอมีพรสวรรค์ก็เป็นคนเดียวกับคราวที่แล้วที่ตำหนิเธอที่ได้ศูนย์ห้าตัวคนนั้น

แม้กระทั่งกำแพงก็ยังถูกคนจำนวนมากผลักให้ล้มได้ แล้วใครจะไปใส่ใจว่าจะเป็นการผลักอย่างอ่อนโยนหรือไม่

หากไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ ในเวลานี้ถงเสี่ยวโยวก็น่าจะร้องตะโกนอย่างมีความสุข ในที่สุดคนที่บ้าบิ่นหลงตัวเองมากๆ อย่างลู่ซิงเฉิงก็ตกลงมายังจุดต่ำต้อย จะมีอะไรที่มีความสุขมากไปกว่านี้อีก

แล้วเธอก็ยิ่งงุนงงขึ้นไปอีก เห็นชัดๆ ว่าทั้งโลกกำลังมีความสุข แต่เธอกลับทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิด ถ้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ก็รู้สึกเหมือนการมองดูมือถือคนอื่นจะทำให้ตาบอดจริงๆ

แต่ซ่งหรูหรูก็เยียวยาเธออย่างรวดเร็ว “เธอไม่ได้บอกเขาให้ทันเวลา แต่เธอไม่ใช่คนที่ให้มู่หยางกับเวินซีแอบเป็นชู้กัน จะว่าไปอูฐผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ต่อให้ลู่ซิงเฉิงถูกไล่ออกแต่เขาก็คนละระดับกับเธอ” เธอพูดไปก็จิ้มถงเสี่ยวโยวไป “คนเขาเก็บเงินมาตั้งหลายปี ต่อให้ตอนนี้จ่ายออกอย่างเดียวไม่มีรายรับเข้ามาก็ยังมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต ส่วนเธอน่ะยังพักอยู่ในห้องรวมเมื่อศตวรรษที่แล้ว ขี่จักรยานไฟฟ้าไปทำงาน แม้แต่เงินเดือนที่ใหม่ก็ยังไม่ได้รับ เธอเป็นห่วงเขา เขายังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร”

คนช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด เมื่อคิดได้ว่าลู่ซิงเฉิงมีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ความรู้สึกผิดในใจของถงเสี่ยวโยวก็สูญสลายไปในทันที และเมื่อนึกกลับไปถึงตอนที่ลู่ซิงเฉิงทรมานตัวเธอ ถงเสี่ยวโยวจึงตัดสินใจสร้างบัญชีขึ้นมาเพื่อเปิดเผยความลับของเขา

ทว่าการทำงานในเวย์ยุ่งมาก เรื่องการเปิดเผยความลับจึงถูกถงเสี่ยวโยวทิ้งไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว การทำงานในวันแรกเธอถูกพาไปที่โกดัง ในโกดังมีการจัดเรียงชั้นวางสินค้าสูงจนถึงเพดาน บนชั้นวางเต็มไปด้วยผ้าชนิดต่างๆ และยังมีเครื่องทอผ้าแบบโบราณอีกเครื่องหนึ่ง

ลู่เหยียนจือเป็นคนพาถงเสี่ยวโยวเข้ามาดูโกดัง สำหรับผ้ามากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้เขามีความเข้าใจเป็นอย่างดี “ชั้นเอทั้งหมดเป็นพวกเส้นใย ขนาด และความสั้นยาวของเส้นใยเป็นตัวบอกสัมผัสของเนื้อผ้า เส้นใยที่มีความหนา สัมผัสของเนื้อผ้าจะค่อนข้างแข็ง ให้ความรู้สึกแข็งกระด้าง ส่วนเส้นใยที่ละเอียดจะทำให้ผ้านุ่ม สีสม่ำเสมอ ที่นี่มีทั้งเส้นใยจากพืช เส้นใยจากสัตว์ และเส้นใยสังเคราะห์ ส่วนชั้นบีก็คือผ้า…”

เขาพูดไปแล้วก็นั่งอยู่ตรงหน้าเครื่องทอผ้า เปิดประตูตู้ที่อยู่ด้านข้าง ด้านในเต็มไปด้วยหลอดด้ายสีต่างๆ เขาเลือกหลอดด้ายหลายหลอดไปวางไว้บนเครื่องทอผ้า ขาทั้งสองข้างเหยียบลงบนตีนเหยียบอย่างสม่ำเสมอ เขาสอดด้ายพุ่ง ไปมาอย่างคล่องแคล่วด้วยมือทั้งสองข้าง ด้ายแต่ละเส้นถักทอเข้ากับด้ายยืน แววตาดำขลับที่มุ่งมั่นของเขาส่องประกายออกมา แสดงถึงความรักที่ออกมาจากใจ การทำซ้ำไปซ้ำมาของเขาทำให้ผ้าผืนนี้ยาวขึ้นเรื่อยๆ…

ถงเสี่ยวโยวไม่เคยจับเครื่องทอผ้ามาก่อน แบบนี้ช่างเหมือนกับสาวทอผ้ากำลังทอผ้า ขณะที่ลู่เหยียนจือทำก็ดูไม่ได้ขัดตา ซ้ำยังเหมือนกับศิลปินกำลังเล่นเปียโน เขานั่งหลังตรง ท่าทางงดงามเป็นจังหวะ ขยับอย่างรวดเร็วเรียบร้อย

ลู่เหยียนจือทอผ้าไปก็อธิบายไป “ในฐานะที่เป็นดีไซเนอร์ คุณต้องเข้าใจบุคลิกของผ้าด้วย”

“ผ้ามีบุคลิกด้วย?” เธอย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ

ลู่เหยียนจือพยักหน้า “ผ้าและเสื้อผ้าต่างก็มีบุคลิกของตัวเอง ถึงพวกมันจะไม่เหมาะกับคุณ แต่คุณก็ต้องทำตัวให้เหมาะกับมัน เปลี่ยนแปลงหรือว่าสร้างสรรค์มันขึ้นมา” เขาพูดแล้วหยุดมือ ผ้าที่ทอออกมาสั้นๆ ก็สามารถเห็นสีและลายที่เป็นเอกลักษณ์ได้แล้ว

“คุณสุดยอดมาก มิน่าล่ะผ้าที่ ‘เหยียนเก๋อ’ ใช้ถึงไม่มีในตลาด” ถงเสี่ยวโยวทอดถอนใจ

“นี่คืออาวุธลับของเหยียนเก๋อ” เมื่อเขายิ้มขึ้นมาใบหน้าก็ยิ่งดูสงบนิ่งมากขึ้น เขาลุกขึ้นส่งสัญญานให้ถงเสี่ยวโยวนั่งลงที่เครื่องทอผ้า โอบแขนทั้งสองข้างของเธอจากทางด้านหลัง ช่วยขยับกระสวยและผลักฟืมแทนเธอ

“เหยียบเท้าขวา” เสียงเบาๆ ของเขาดังขึ้นข้างหูเธอ ถงเสี่ยวโยวเหยียบเท้าข้างขวาลงไปอย่างเชื่อฟัง ด้ายยืนบนล่างของเครื่องทอผ้าแยกออกจากกัน เขาใช้มือซ้ายผลักฟืมออกไปด้านหน้า แผ่นอกทางด้านซ้ายก็ยิ่งเข้าใกล้ไหล่ทางด้านซ้ายของเธอมากขึ้น ถงเสี่ยวโยวกระเถิบตัวมาทางด้านหน้าโดยอัตโนมัติ ลู่เหยียนจือใช้มือขวาพุ่งกระสวยไปทางซ้ายของด้ายยืนที่กางออกอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือซ้ายรับกระสวย สองมือซ้ายขวาสลับกันไปโอบถงเสี่ยวโยวที่ห่อตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“เหยียบขาซ้าย” เขาร้องเตือนขึ้นมา การทำงานของมือทั้งสองข้างสลับกันไปมาไม่ได้หยุด ถงเสี่ยวโยวจ้องมองเส้นด้ายที่ถี่ยิบเขม็ง ไม่กล้าจะมองไปทางอื่น เท้าทั้งสองข้างก็เหยียบสลับซ้ายขวา ทุกจังหวะก็เป็นจังหวะเต้นของหัวใจด้วย

ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวอยู่แสนไกล ดาวสาวทอผ้าส่องสว่าง

มือเรียวขาวขยับไปมา ทอถักทอผ้ามิขาดสาย

ทอผ้าช่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆ

สัปดาห์ต่อมาลู่เหยียนจือให้เธออยู่ที่โกดังเพื่อทำความคุ้นเคยกับผ้า ในวันที่เงียบสงบมีเพียงแค่คนกับสิ่งทอ เธอมีความรู้สึกที่สงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โยนเรื่องการทำงานหลายปีที่ผ่านมาและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตทิ้งไป กรอบความคิดมีความว่างเปล่าและสงบนิ่ง นอกจากเรื่องกรอบความคิดแล้ว ทางด้านข่าวสารถงเสี่ยวโยวก็แทบจะตัดขาดกับโลกภายนอก อยู่ในสภาวะเก็บตัว

สัปดาห์ต่อมาเป็นงานเดินแฟชั่นโชว์ประจำซีซั่นของเวย์ เสื้อผ้าสำเร็จรูปชุดคอลเล็กชั่นยูของถงเสี่ยวโยวก็เตรียมจะเปิดตัวเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน แคตวอล์กกลางลานใหญ่ทั้งหรูหราและดึงดูดสายตา เหมือนเป็นงานแสดงแฟชั่นที่ให้ประชาชนทุกคนได้ชื่นชม

หากพูดว่าที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้และเป็นที่สนใจนั้นเป็นความฝันที่ไม่น่าเป็นจริง ในตอนนี้ถงเสี่ยวโยวกลับยิ่งได้รับรู้ถึงคำที่เรียกว่าท่ามกลางสายตาคนนับล้านจริงๆ มีชื่อเสียงขึ้นมาชั่วข้ามคืน เสื้อผ้ายูคอลเล็กชั่นได้ถูกสวมไปเดินบนแคตวอล์ก ทำเอาทั้งงานคึกคักขึ้นมา

ความคึกคักนี้ทำเอากบที่อยู่แต่ในน้ำอุ่นอย่างถงเสี่ยวโยวถูกโยนเข้าไปในน้ำเดือด ผิวพองจนถลอกไปหมด เมื่อการเดินแบบชุดของยูคอลเล็กชั่นจบ นักข่าวด้านล่างเวทีก็เปลี่ยนมุมกล้องไปยังม้ามืดที่สวรรค์ส่งลงมา

“ดีไซเนอร์ถง การเดินแบบครั้งนี้เป็นการเดินแบบผลงานเสื้อผ้าของคุณเป็นครั้งแรก อยากทราบว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง”

“ดีไซเนอร์ถง ได้ยินว่าตอนที่คุณอยู่ที่ชิก คุณถูก บ.ก. ลู่ซิงเฉิงกลั่นแกล้ง แล้วต่อไปคุณยังสามารถร่วมงานกับชิกได้อีกไหม”

“ดีไซเนอร์ถง คอลเล็กชั่นใหม่ของคุณจะออกมาเมื่อไหร่ จะเข้าร่วมสี่งานใหญ่แฟชั่นวีกไหม”

แสงแฟลชสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไมโครโฟนยื่นเข้ามาถึงปาก ถงเสี่ยวโยวรู้สึกเหมือนถูกรถถังทับแบน การที่ได้รับความสนใจมากขนาดนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย ต้องมีชีวิตท่ามกลางสายตาของผู้คน ทุกวันต้องเหมือนกับแสดงละคร ทันใดนั้นเธอก็คิดขึ้นมาว่าหากหน้างานมีฝนตกลงมาก็คงจะดีมาก พวกนักข่าวก็คงจะสลายไปหมด

ความคิดในหัวเพิ่งเกิดขึ้น ท้องฟ้าก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดัง

เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ถงเสี่ยวโยวถึงกับมึนงง

นี่…นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเปลี่ยนโชคชะตาเท่านั้นแล้ว นี่มันเป็นการฝืนลิขิตฟ้าเลย

หลังเสียงฟ้าผ่าก็มีฝนตกหนักลงมาทันที เม็ดฝนขนาดใหญ่ตกลงมาที่พื้น ไฟบนแคตวอล์กที่เปิดกลางแจ้งเซ็นทรัลสแควร์ดับหมด งานเดินแฟชั่นโชว์ต้องหยุดชั่วคราว กลุ่มดีไซเนอร์ นางแบบนายแบบ และดาราต่างพากันออกจากบริเวณนั้นไปหลบในตึกใกล้ๆ นักข่าวโดนผู้ชมผลักจนต้องกระจายตัวออกไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่อาจจะรวมตัวกันได้

ถงเสี่ยวโยวเดินเข้าไปในห้องด้วยอาการมึนงง ตอนที่ลู่เหยียนจือเดินมาข้างๆ เธอก็ยังไม่ได้สติกลับมา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเอ่ยถาม

ถงเสี่ยวโยวกลืนน้ำลายลงคอ ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ไม่มีอะไรค่ะ เมื่อครู่รู้สึกมึนนิดหน่อย”

“งั้นเดี๋ยวผมส่งคุณกลับก่อน” ลู่เหยียนจือกวักมือเรียกให้ผู้ช่วยไปขับรถมา ด้านหลังของเขามีคนเดินออกมาสองคน เป็นคนที่ถงเสี่ยวโยวคุ้นเคย คนหนึ่งก็คือแดลี่ อีกคนหนึ่งก็คือซาร่าห์ หลิน หัวหน้ากอง บ.ก. ของชิก ได้ยินว่า ซาร่าห์ หลิน มาเป็น บ.ก. คนใหม่ ลู่เหยียนจือแนะนำเธอ “ชิกอยากจะขอสัมภาษณ์คุณลงนิตยสารฉบับหน้า บ.ก. หลินตั้งใจจะมานัดเวลากับคุณโดยเฉพาะ”

“คะ?”

คนที่กดชิกลงไปคือลู่เริ่นไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงให้เธอไปสัมภาษณ์ล่ะ งั้นก็แปลว่าเป้าหมายของพวกเขาคือลู่ซิงเฉิงอย่างนั้นเหรอ ทั้งหมดนี้เพื่อบีบให้ลู่ซิงเฉิงออกไป

ซาร่าห์ หลินไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางพิลึกของถงเสี่ยวโยว จึงเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้ “คุณเป็นคนที่มีความสามารถขนาดนี้ แต่อยู่กับลู่ซิงเฉิงเขากลับมองไม่เห็น ซ้ำยังกดขี่คุณต่างๆ นานา ตอนนี้ฉันเป็น บ.ก. แล้ว อยากจะร่วมงานกับดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถเช่นคุณ แล้วทางนิตยสารกับรายการสถานีถัดไป รันเวย์ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือระยะยาว รับรองว่าต่อไปจะไม่มีทางเกิดศูนย์ห้าตัวอีกแน่นอน”

บนสรุปนี้ฟังดูดีมากเลย ปีศาจร้ายถูกจัดการ ประชากรโลกจับมือและมีความรักให้แก่กัน แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันแหม่งๆ ล่ะ

ดูเหมือนลู่เหยียนจือจะเห็นความลังเลของถงเสี่ยวโยว จึงขึ้นมาช่วยเธอจากสถานการณ์น่าอึดอัด “เรื่องเวลาพวกเรากลับไปดูตารางงานก่อน ตอนนี้คุณถงไม่ค่อยสบาย ผมจะไปส่งเธอก่อน”

ซาร่าห์ หลินพยักหน้าอย่างเกรงใจ พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนและเป็นกันเอง “แดลี่ ไปส่งคุณถงกับคุณลู่หน่อย”

ถงเสี่ยวโยวยังจำได้ถึงตอนที่ตัวเองทำงานเบ็ดเตล็ดอยู่ในแผนกออกแบบนั้น ทุกครั้งที่ไปกองบรรณาธิการก็จะต้องเจอกับการชักสีหน้า ซาร่าห์ หลินยังเคยใช้เธอขนคอลลาเจนสิบลังไปที่ห้องทำงาน แต่เธอคงจำไม่ได้แล้ว

แดลี่ขึ้นมากางร่มให้กับถงเสี่ยวโยวและลู่เหยียนจือ ทั้งสามคนเดินออกจากตึกไป พวกนักข่าวกรูกันเข้ามา พวกเขาจึงได้แต่เร่งฝีเท้าเดินไปที่รถที่จอดอยู่ข้างถนน

ไม่รู้ว่ารถของดาราคนไหนปาดหน้าไปอย่างรวดเร็ว รีดน้ำที่อยู่บนถนนขึ้นมา ถงเสี่ยวโยวตกใจ ลู่เหยียนจือรีบเอาตัวเองบังไว้ โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด

รถเบรกอย่างรวดเร็ว แล้วก็ตามมาด้วยเสียงปัง มีเสียงคนกรีดร้อง มีคนร้องด้วยความตกใจ

“พระเจ้า นั่นมันลู่ซิงเฉิง”

ท่ามกลางฝนตกหนัก รถสปอร์ตสีแดงโดนน้ำฝนชะล้างจนสว่างสะดุดตา แอ่งน้ำด้านหน้ารถมีคนนอนอยู่คนหนึ่ง เขาสวมเสี้อยืดกางเกงยีนง่ายๆ นอนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลาในตอนนี้นอกจากดูไม่ได้แล้วยังอนาถ

ผู้คนมุงรุมเข้ามา พวกนักข่าวรีบยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเป็นพัลวัน

“ถ่ายเร็ว ถ่ายเร็วเข้า”

“ทำไมลู่ซิงเฉิงถึงได้เป็นแบบนี้”

“ได้ยินว่าเขาล้มละลายด้วย ตอนนี้จนมาก ไม่เหลืออะไรเลย”

ถงเสี่ยวโยวไม่รู้ว่าด้วยระยะเวลาสั้นๆ ทำไมลู่ซิงเฉิงถึงได้กลายเป็นแบบนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่ สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือสายตาของเขาที่จ้องมองมาที่เธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

 

ถงเสี่ยวโยวกับแดลี่ส่งลู่ซิงเฉิงไปโรงพยาบาล กระดูกหัวเข่าขวาแตกแต่ไม่หนักมาก จึงเลือกที่จะรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป หมอได้เข้าเฝือกให้เขาเพื่อให้ข้อไม่ขยับเป็นเวลาสามสิบห้าวัน กระดูกจะได้สมานกันเอง

แดลี่เข็นผู้ป่วยออกจากห้องฉุกเฉิน ลู่ซิงเฉิงมีสีหน้าดำคล้ำไปตลอดทาง โคลนแข็งติดผิวขาวสะอาดของเขา แม้แต่มือเรียวยาวของเขาคู่นั้นก็ไม่อาจหลีกพ้น ซอกเล็บดำไปหมด ถงเสี่ยวโยวซื้อกระดาษทิชชูเปียกส่งให้แดลี่ช่วยเขาเช็ดทำความสะอาด ลู่ซิงเฉิงมองด้วยสายตาดูถูก หันหน้าไปอย่างยโส “ฉันไม่เคยใช้ยี่ห้อนี้”

ซ่งปั้นเซียนกล่าวไว้ว่า ‘หนึ่งชีวิต สองชะตา สามเฟิงสุ่ย สี่บุญกรรม ห้าร่ำเรียน หกอย่าดึงดัน’ สภาพลู่ซิงเฉิงในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะถือมั่นเกินไป ขณะที่เขาหันหน้าไปนั้นคนไข้เตียงข้างๆ ก็เปิดม่านพลาสติกหนาๆ เดินเข้ามา เสียงเพียะดังขึ้น ม่านกว้างขนาดเท่าฝ่ามือสะบัดโดนหน้าของลู่ซิงเฉิงอย่างจัง

ลู่ซิงเฉิงนิ่งงันไปทันที ยอมให้แดลี่เข็นเข้าไปในห้องผู้ป่วยเพื่อเช็ดหน้า

เสียกเรียกเข้ามือถือของถงเสี่ยวโยวดังขึ้น เธอหยุดยืนรับโทรศัพท์อยู่หน้าห้องคนไข้ คนที่โทรเข้ามาคือซ่งหรูหรู “เสี่ยวโยว นิตยสารฉันจะไปภูเขาเหมาซันเพื่อฝึกตนกันอย่างเร่งด่วน ฉันเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็จะออกเดินทางเลย เธออยู่ที่ไหน”

ถงเสี่ยวโยวหันกลับไปมองในห้องคนไข้แวบหนึ่งแล้วตอบไปว่า “อยู่ที่อูฐผอมตายนี่ไง”

อูฐที่ผอมตายยังใหญ่กว่าม้า แต่หงส์ที่ถูกถอนขนก็สู้ไก่ไม่ได้ ที่ผ่านมาลู่ซิงเฉิงไม่ใช่อูฐที่อดทนทำงานหนักโดยไม่พูดอะไร เขาเป็นหงส์ที่มีสีสันงดงาม ดื่มเพียงน้ำค้างยามเช้า กินยอดไผ่อ่อน พักผ่อนอยู่ที่ต้นอู๋ถงเท่านั้น

แดลี่กอบกระดาษทิชชูสกปรกออกมา ถงเสี่ยวโยวถามเรื่องที่สงสัยมานาน “เขาเป็นยังไงบ้าง” เธอเจอลู่ซิงเฉิงเมื่อคราวที่แล้วเขายังขับเฟอร์รารี่อยู่เลย

“อ้อ ประมาณว่าเงินที่เอาไปลงทุนเกิดขาดทุน ทำร้ายคนอื่นก็ต้องชดใช้ รถชนก็ต้องชดใช้ ซ้ำยังขาดรายได้ เดิมใช้เงินอย่างกับเบี้ยก็ไม่มีเงินเหลืออยู่แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งค่าส่วนกลางก็ไม่มีจะจ่าย” แดลี่บอกเล่าโศกนาฏกรรมของลู่ซิงเฉิงในอาทิตย์นี้อย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ราวกับเป็นซับไตเติ้ล

ในคำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยคนี้ ถงเสี่ยวโยวก็สามารถเห็นภาพได้เป็นฉากๆ บางทีเพราะโลกนี้ไม่มีการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นด้วยตัวเองอยู่ แต่เพราะเธอเป็นเทพแห่งความโชคร้าย แม้จะไม่ได้ผ่านเรื่องเหล่านี้มาเองแต่ก็สามารถคิดถึงความอเนจอนาถนี้ได้เพราะเคยสัมผัสมาก่อน

แดลี่โยนกระดาษทิชชูทิ้งไป สะบัดมืออย่างรังเกียจ “เอาล่ะ ฉันต้องกลับก่อนล่ะนะ ไม่งั้นซาร่าห์ หลินคงไม่ปล่อยฉันแน่ๆ”

ถงเสี่ยวโยวแสดงสีหน้าทุกข์ใจ อดที่จะถามแดลี่ไม่ได้ “แล้วทำไมแม้แต่คนที่เขาเคยดันให้ดังก็ไม่มีใครมาช่วยพูดให้เขาเลยเหรอ” คนที่เกลียดเขาจะซ้ำเติมก็เข้าใจได้ แต่คนที่เขาเคยทำให้ดังขึ้นมาล่ะ

“เพราะไม่มีใครกล้ายืนบนคุณธรรมระดับสูงน่ะสิ คุณมีน้ำใจก็เป็นการบอกว่าคนอื่นเนรคุณ คุณกล้าจะพูดความจริงก็กำลังบอกเป็นนัยว่าคนอื่นเย็นชาไร้ความรู้สึก” แดลี่ยิ้ม “แม้แต่ฉันก็ไม่มีทางจะจากชิกไปเพราะเขาเด็ดขาด”

ถงเสี่ยวโยวอึ้งไปเลย

แดลี่ตามลู่ซิงเฉิงโลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่นมานานหลายปี เข้าใจกฎของวงการนี้ดี “ไม่มีใครจะเห็นใจผู้แพ้ แต่คุณเป็นผู้แพ้เพียงคนเดียวที่ลู่ซิงเฉิงรับเอาไว้”

 

ถงเสี่ยวโยวเดินกลับไปห้องคนไข้ ลู่ซิงเฉิงที่นอนอยู่บนเตียงหลับไปแล้ว หากไม่มีเรื่องราวที่ผ่านมา ตอนนี้ลู่ซิงเฉิงก็ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนเลย แม้ตอนนี้เขาจะนอนหลับ แต่ความยโสของเขาก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย

การดังชั่วข้ามคืนทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตื่นขึ้นมาแล้วเสียชื่อเสียงไปหมดสิ้น ในชีวิตของลู่ซิงเฉิงคงไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้จะอเนจอนาถแต่ก็ยังไม่เสียสติ ถงเสี่ยวโยวนับถือเขาจริงๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดออก ลู่เหยียนจือนำผู้ก่อเหตุที่ยังยโสมาที่โรงพยาบาล มู่หยางมีสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเข้ามาถึงก็โวยวาย “ลู่ซิงเฉิงยากจนจนเสียสติแล้วใช่ไหม รถฉันขับช้าขนาดนั้นยังจะชนเข้ามาได้อีก นี่ตั้งใจจะเรียกเงินหรือเปล่า”

ทันทีที่เขาพูดจบ ท้ายทอยก็ถูกตบเข้าอย่างแรง เวินซีเป็นสาวสวยหาใครเทียบไม่ได้จริงๆ แม้แต่วิธีการตบคนก็ยังเท่เหลือเกิน เมื่อถูกตบมู่หยางก็สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ เขาทำปากยื่นไปยังลู่ซิงเฉิงที่อยู่บนเตียง “พิการหรือยัง”

“กระดูกแตก ต้องเข้าเฝือก หมอบอกว่าพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้” ถงเสี่ยวโยวตอบ

“งั้นก็ไม่สาหัสสิ” มู่หยางค้อนไปที “เขานอนลงได้ทุกอย่างก็สงบสุข”

เมื่อฝ่ามือที่สองตบลงมามู่หยางก็สงบเสงี่ยมไปเลย เขาบ่นเสียงเบาๆ ว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย เขาเป็นแบบนี้แล้วยังจะไปงานเดินแฟชั่นโชว์อีกทำไม เห็นแล้วไม่หงุดหงิดหรือไง”

จริงสิ เขาถูกขับออกจากวงการแล้ว ลู่ซิงเฉิงจะไปให้รู้สึกหงุดหงิดทำไม นอกเสียจากว่าจะรักเอามากๆ

“ทางเราจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ค่าชดเชยก็จ่ายให้เต็มที่” เวินซีมองไปทางถงเสี่ยวโยวแล้วพูดอย่างจริงใจ

ถงเสี่ยวโยวโบกไม้โบกมือ “ตอนนี้ฉันไม่ใช่ผู้ช่วยเขาแล้ว…”

เวินซีมองไปที่ลู่เหยียนจือที่อยู่ข้างๆ แล้วก็เข้าใจอะไรบางอย่างได้ “ขอโทษด้วยค่ะ ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ฉันก็ลืมไปเลย” เธอพูดแล้วก็ผลักมู่หยาง “คุณออกไปซื้อพวกแคลเซียมมาหน่อย แล้วก็เติมเงินเข้าไปในบัตรรักษาพยาบาลด้วย ตอนนัดตรวจก็ต้องใช้อีก”

“ผมจะไปรู้ได้ไงว่าซื้อที่ไหน” มู่หยางบ่นพึมพำขึ้นมา ลู่เหยียนจือดูออกว่าเวินซีมีอะไรจะพูดอีกจึงได้ก้าวขึ้นไปตบไหล่ของมู่หยาง

“ไป ผมพาคุณไปเอง”

ชายหนุ่มทั้งสองเดินออกไป ในห้องคนไข้ก็มีเพียงเวินซีกับถงเสี่ยวโยวที่ยังมีสติอยู่

“มีบางเรื่อง…” ในความรู้สึกของถงเสี่ยวโยว เวินซีเป็นคนที่ตรงไปตรงมา สวย และเด็ดขาด เหมาะกับความงดงามทุกอย่างบนโลกนี้ น้อยครั้งนักที่เธอจะมีทีท่าลังเลเช่นนี้ น่าจะมีเรื่องรู้สึกผิดที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้

“ไม่ใช่อย่างที่ในอินเตอร์เน็ตเขาพูดกัน ฉันกับมู่หยางเป็นรักแรกของกันและกัน ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของเราเป็นความลับมาตลอด ต่อมาเพราะเรื่องบางเรื่องทำให้เราต้องเลิกกันเพราะทิฐิ ฉันรู้ว่าเขาเกลียดลู่ซิงเฉิง แล้วลู่ซิงเฉิงก็มาที่ชิกพอดี…” เสียงพูดของเธอค่อยๆ เบาลง “ช่างเถอะ อธิบายไปก็ยิ่งเหมือนฉันทำเป็นอินโนเซนต์ ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ เดิมฉันก็หาโอกาสที่จะพูดกับลู่ซิงเฉิง แต่ไม่คิดว่าจะโดนนักข่าวเปิดโปงซะก่อน แล้วยังทำให้ลู่ซิงเฉิงเดือดร้อนอย่างมาก…”

ถงเสี่ยวโยวเข้าใจในทันที ที่แท้ลู่ซิงเฉิงไม่ถูกกับมู่หยางก็เพราะเวินซีนี่เอง เธอสวยขนาดเป็นต้นเหตุของสงครามก็ยังได้ ย่อมมีค่าพอให้ลู่ซิงเฉิงกับมู่หยางเป็นอริกันได้อย่างแน่นอน

ขณะที่เธอพูดอยู่นั้นมือก็หยิบการ์ดใบหนึ่งส่งให้ถงเสี่ยวโยว “ฉันรู้ว่าตอนนี้เขาลำบากมาก แต่เขาเห็นฉันก็จะโมโหมาก ส่วนฉันก็รู้สึกละอายเมื่อต้องเจอกับเขา ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ คุณช่วยออกหน้าเอาเงินนี้ให้เขาด้วย ฉันอยากจะคบกับมู่หยางและก็อยากสบายใจด้วย”

“แต่ว่า…” ถงเสี่ยวโยวรับการ์ดมาอย่างลำบากใจ ให้เธอเอาเงินให้ลู่ซิงเฉิง นี่มันยาจกฟื้นตัวกำลังดูหมิ่นเศรษฐีตกอับชัดๆ

ลู่ซิงเฉิงที่อยู่บนเตียงร้องซี้ดขึ้นมา เวินซีมองเขาอย่างรู้สึกผิด ยื่นมือเข้าไปกอดถงเสี่ยวโยวที่กำลังสับสน จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากห้องคนไข้

น้ำหอมที่เธอใช้คือโจมาโลนกลิ่นพอมกราเนต นัวร์ กลิ่นฟรีเซีย และอิงลิชแพร์ น้ำหอมเข้มข้นทั้งสามกลิ่นผสมกันช่างเหมาะกับคนที่ดื่มด่ำกับความรักอย่างเวินซี ถงเสี่ยวโยวถือบัตรเอทีเอ็มแล้วหันมองลู่ซิงเฉิงที่นอนอยู่บนเตียง ตอนนี้เขาน่าจะเหมาะกับน้ำหอมลิ่วเสินอย่าคิดว่าภาพภายนอกจะแย่ แต่จริงๆ แล้วเขาหรูหราและมีจิตวิญญาณเหมือนกับคนทุกคน

ตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้นถงเสี่ยวโยวมาโรงพยาบาลเพื่อทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลของลู่ซิงเฉิง เธอตั้งใจจะใช้เงินที่เวินซีให้มาจ้างพยาบาลเพื่อดูแลลู่ซิงเฉิง แล้วก็ไปช่วยเขาจ่ายค่าส่วนกลาง เหตุผลก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว บอกว่านี่คือการตอบแทนที่เขาไม่ไล่เธอออกหลังจากที่ร่วมรายการสถานีถัดไป รันเวย์

บนโลกมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง เขาสูงส่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งหรือมีสถานะทางสังคมที่สุดยอดอะไร ต่อให้เขาเป็นคนที่สูญเสียอำนาจไป แต่ก็ยังคงสูงส่งอยู่ ยังคงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

ลู่ซิงเฉิงเป็นคนที่สวรรค์เลือกแล้ว

“คนที่ไม่ให้ไล่เธอออกก็คือเวินซี เธอไปตอบแทนเขาสิ” ลู่ซิงเฉิงนอนพิงอยู่บนเตียงคนไข้ กำลังเปิดดูนิตยสารแฟชั่นฉบับหนึ่งอยู่

นี่มันทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ถงเสี่ยวโยวกำบัตรเอทีเอ็มเอาไว้โดยไม่รู้จะทำยังไงต่อดี

ดูท่าทางนิตยสารฉบับนี้ไม่ได้ทำให้เขาพอใจ ลู่ซิงเฉิงโยนไปข้างๆ อย่างรังเกียจแล้วปรายตามองเธอ “ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธอ เก็บความเห็นใจไร้สติของเธอเอาไว้ อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วเธอจะไม่ต้องรู้สึกผิดต่อฉันอีก”

เมื่อพูดขึ้นมาถงเสี่ยวโยวก็เหมือนถูกมีดแทงเข้าอย่างแรง ก็จริง เดิมก็คิดว่าอูฐผอมตายยังไงก็ใหญ่กว่าม้า เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกผิดมากเหลือเกิน แดลี่พูดถูก คนเราอย่ามีระดับคุณธรรมสูงนัก หากถูกคุณธรรมผูกมัดเมื่อไหร่ก็เรียกว่าถูกจูงจมูกเมื่อนั้น

ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “งั้น…จะทำยังไง”

ลู่ซิงเฉิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา ดวงตาที่เย็นชามาตลอดคู่นั้นมีประกายออกมา เขากระดิกนิ้วเรียกถงเสี่ยวโยว “ฉันจะให้เธอดูแลฉัน”

 

ห้องรับแขกในคอนโดฯ ของลู่ซิงเฉิงมีเก้าอี้นวดแสนสบายอยู่หนึ่งตัวซึ่งหันไปทางกระจกบานใหญ่ ทางนอกหน้าต่างก็สามารถมองเห็นป้ายโฆษณาของตึกบริษัทเวย์ที่อยู่ใจกลางเมือง เมื่อตึกนี้เปิดไฟขึ้นในตอนกลางคืน ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่สว่างไสวที่สุดของเมืองซี

ในเวลานี้ลู่ซิงเฉิงกำลังนั่งพิงอยู่ที่เก้าอี้นวดอย่างเกียจคร้าน ตาก็มองไปที่ถงเสี่ยวโยวที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวแบบเปิด เข้าไปที่เวย์แล้วยังไง ผู้ช่วยของเขาลู่ซิงเฉิง ใครก็อย่าคิดที่จะแย่งไปได้

“เดี๋ยวก็กินข้าวได้แล้ว” ถงเสี่ยวโยวผัดกับข้าวในกระทะพร้อมกับพูดไปด้วย

ลู่ซิงเฉิงนอนเกียจคร้านบนเก้าอี้ไม่ยอมขยับตัว เขายื่นมือทั้งสองออกไปพร้อมกับพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันยังไม่ได้ล้างมือ”

ถงเสี่ยวโยวตักกับข้าวจากกระทะใส่จานด้วยความรวดเร็ว แล้วไปห้องน้ำบิดผ้าขนหนูมาให้ลู่ซิงเฉิงเช็ดมือ มือของขุนพลลู่เคยใช้ชี้ชะตาบ้านเมืองและเรียกลมเรียกฝนด้วย จะดูแลแบบขอไปทีได้อย่างไร

“ทำไมเย็นอย่างนี้ ตอนนี้ฉันออกกำลังกายไม่ได้ ระบบปลายประสาทก็ไม่ค่อยดี เธออยากให้ฉันพิการใช่ไหม”

เขาพูดแล้วดูเหมือนจะมีเหตุผล ถงเสี่ยวโยวรู้สึกผิดที่ไม่ละเอียดพอ จึงรีบใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ มาส่งให้ ลู่ซิงเฉิงวางหน้ามือและหลังมือทั้งสองข้างลงบนผ้าขนหนูอุ่นๆ ด้วยท่าทางที่งดงาม แล้วก็มีขันทีถงเสี่ยวโยวประคองไปที่โต๊ะอาหารประหนึ่งไทเฮา

บนโต๊ะมีกับข้าวสามอย่างและน้ำแกงอีกหนึ่ง ก็คือสันในเปรี้ยวหวาน ผัดผักสามอย่าง ผักกาดผัดกระเทียม ซุปขาหมูตุ๋นถั่วเหลือง

เซ็ตอาหารสมบูรณ์แบบ

ลู่ซิงเฉิงหยิบตะเกียบออกมาอย่างเชิดๆ เขี่ยไปที่สันในก่อน “ไขมันหนึ่งกรัมทำให้เกิดพลังงานเก้ากิโลแคลอรี” แล้วก็เขี่ยผัดผักสามอย่าง “มันฝรั่งที่ทอดในน้ำมันหนึ่งร้อยกรัมจะให้พลังงานหกร้อยสิบสองกิโลแคลอรี” สุดท้ายตะเกียบก็ไปหยุดห่างจากผักกาดผัดกระเทียมหนึ่งเซนติเมตร เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะขึ้นมา “กระเทียมบด โอ้ สวรรค์ เธอเป็นผู้หญิงที่กินกระเทียมด้วย? หรือว่าเธอจะกินทุเรียนด้วย”

ถงเสี่ยวโยวพยักหน้า “ใช่ ฉันกิน”

ลู่ซิงเฉิงวางตะเกียบลง เลิกคิ้วมองไปที่ถงเสี่ยวโยว “แล้วยังซุปขาหมูต้มถั่วเหลือง ฉันอยู่ในช่วงเร่งน้ำนมหรือไง ไม่เพิ่มปลาตะเพียนเข้าไปตุ๋นด้วยเลยล่ะ”

หลายปีที่ผ่านมาลู่ซิงเฉิงเคยชินกับการเอาเหตุผลเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมคนอื่น ในเมื่อเขาอยู่บนเหตุผล ทำไมเขาถึงต้องยอมให้คนอื่นล่ะ

ถงเสี่ยวโยวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา “ฉันไปถามแดลี่มาแล้วนะ เขาบอกว่าอาหารพวกนี้คืออาหารที่คุณชอบ ส่วนขาหมูฉันเพิ่มเข้าไปเอง เหมาะกับช่วงที่คุณบาดเจ็บ”

“ที่ฉันกินเป็นฝีมือของเชฟในโรงแรมเซ็นเตอร์ พวกเขาเข้มงวดเรื่องการควบคุมน้ำมันที่อยู่ในอาหารรวมทั้งสัดส่วนของโปรตีนกับไฟเบอร์ เธอที่คิดเลขไม่เป็นเหมาะที่จะทำแค่มะเขือเทศผัดไข่ เข้าใจไหม” ลู่ซิงเฉิงให้ศูนย์คะแนนสำหรับอาหารบนโต๊ะนี้อย่างเลือดเย็น “ช่างเถอะ ฉันกินอย่างละคำ ที่เหลือเธอกินให้หมด กินทิ้งกินขว้างจะต้องตกนรก”

ถงเสี่ยวโยวได้แน่นิ่งเงียบ ถ้ากินทิ้งกินขว้างจะต้องลงนรกแล้วล่ะก็ บ.. คุณควรจะต้องเหมานรกชั้นสิบแปดอยู่ยาวเลยสินะ

ลู่ซิงเฉิงคีบเนื้อสันในเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ คิดว่าจะไม่กินรอบที่สอง แต่เมื่อฟันล่างกับฟันบนได้มาสัมผัสกัน รสชาติก็ระเบิดอยู่ในปาก

นี่มันอร่อยมากเลย

ด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่ม สัดส่วนของน้ำเปรี้ยวหวานก็เพอร์เฟ็กต์อย่างที่สุด แม้กระทั่งขนาดของเนื้อก็ยังพอดีคำเหมาะกับการเคี้ยวอย่างยิ่ง

ลู่ซิงเฉิงเงยหน้าขึ้นมองถงเสี่ยวโยว เธอยืนรออยู่ตรงหน้าโต๊ะ ดูไม่เหมือนดีไซเนอร์ที่ดังเป็นพลุแตก แต่กลับเหมือนนักเรียนที่กำลังรอคุณครูให้คะแนนอยู่

ตะเกียบของลู่ซิงเฉิงค่อยๆ ยื่นไปที่สันใน ทำเป็นพูดไปเรื่อยเปื่อย “ที่เธอทำกับข้าวนี่เรียนกับใครมาล่ะ”

ถงเสี่ยวโยวตอบอย่างตั้งใจและจริงจัง “พ่อฉันเป็นอดีตหัวหน้าเชฟในโรงแรมเซ็นเตอร์”

ลู่ซิงเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง คีบสันในชิ้นที่สามวางไว้ในชาม “โอลิมปิก”

“คะ?”

“ทำไมเธอถึงหลงเดินทางผิด”

 

ลู่เหยียนจือกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว กินข้าวไม่กี่คำก็เข้าไปในห้องทำงาน ในห้องทำงานมีเครื่องทอผ้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่เครื่องหนึ่ง ราวแขวนด้านข้างแขวนผ้าตัวอย่างที่เขาทอมือเต็มไปหมด

เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง ลู่เหยียนจือหยุดพันด้ายลุกขึ้นไปเปิดประตู ที่หน้าประตูมีเฉิงเพ่ยอวี้ถือถ้วยขนมหวานยืนอยู่

“แม่” ลู่เหยียนจือยิ้ม “กลับมาจากสถานสงเคราะห์แล้วเหรอครับ”

เฉิงเพ่ยอวี้พยักหน้าพร้อมกับเดินเข้ามา วางถ้วยขนมหวานลงที่โต๊ะทำงาน มองดูผ้าที่อยู่บนเครื่องทอ พื้นเป็นลายตาสับปะรดสลับกับลายเส้นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดที่เป็นระเบียบ วิธีการทอแน่นหนา เนื้อผ้าก็โปร่ง เธอจึงถามขึ้น “ทอผ้าอีกแล้วเหรอ”

“ตัวอย่างเซ็ตที่แล้วส่งไปที่โรงงานแล้ว” ลู่เหยียนจือกินขนมหวานพร้อมกับพูดไปด้วย “อาทิตย์หน้าคงจะได้ความคิดเห็นกลับมา”

“ได้ยินว่าที่บริษัทรับดีไซเนอร์ใหม่เหรอ” แม้ว่าปกติเฉิงเพ่ยอวี้จะทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ แต่ก็ยังคงติดตามเรื่องสำคัญของเวย์อยู่

“ครับ” ลู่เหยียนจือพยักหน้ารับ “เมื่อก่อนเธอทำงานที่ชิก ผมชอบการดีไซน์ของเธอมากครับ”

เฉิงเพ่ยอวี้มองลูกชาย ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “นอกจากนี้ล่ะ”

“นอกจากนี้?” ลู่เหยียนจือก้มหน้ากินของหวาน แววตาล้ำลึกและอ่อนโยน “ผมต้องการเธอมากครับ”

เฉิงเพ่ยอวี้ไม่พูดอะไร รับถ้วยขนมหวานที่ลูกชายทานเสร็จกลับมาแล้วตบไหล่เขาอย่างห่วงใย “อย่าทำงานจนดึกล่ะ มันเสียสุขภาพ”

“ครับ” ลู่เหยียนจือพยักหน้า เหมือนกับคนทั่วๆ ไปที่ไม่ว่าตอนอยู่นอกบ้านจะโหดร้ายยังไง แต่กับแม่ของตัวเองก็ยังเป็นลูกที่เชื่อฟังอยู่ดี

แน่นอนว่าคนเราย่อมไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน ลู่เหยียนจือเป็นเด็กที่ว่าง่าย ตั้งแต่เด็กก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ โตขึ้นก็กตัญญู ส่วนลู่ซิงเฉิงเป็นโรคจูนิเบียว ตั้งแต่เด็ก ทำตัวใหญ่ตั้งแต่เด็ก โตขึ้นก็บ้าอำนาจ

แม้ว่าเขาจะกินอาหารจนหมดโต๊ะ แต่ถึงจะกินอาหารที่คนอื่นทำก็ยังไม่มีทีท่าเกรงใจแม้แต่น้อย อยากจะเรียกใช้ก็ไม่มีละเว้น อยากจะออกคำสั่งก็ออกคำสั่ง “โซฟาที่ห้องรับแขกก็ดีนะ เธอนอนที่นี่แล้วกัน”

ถงเสี่ยวโยวที่ล้างจานเสร็จก็ตั้งใจจะกลับบ้านถึงกับอึ้งไป “ให้ฉันพักที่นี่?”

ลู่ซิงเฉิงเอียงหน้าไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างยามค่ำคืน น้ำเสียงเศร้าๆ “เวินซีชอบทิวทัศน์ยามค่ำคืน เธอชอบไหม”

ชื่อของเวินซีก็เหมือนจิ้มไปที่จุดอ่อนของถงเสี่ยวโยว เธอรีบจนล้มนอนลงไป “ฉันชอบนอนบนโซฟาดูวิวยามค่ำคืน”

ลู่ซิงเฉิงใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเข้าไปห้องนอนยิ้มๆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะบอกลา “ราตรีสวัสดิ์”

ตอนนี้เขาทั้งบาดเจ็บและตกงาน นอกจากนอนแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถงเสี่ยวโยวไม่เหมือนกัน เธอมีนัดส่งรายงานให้กับลู่เหยียนจือในเช้าวันพรุ่งนี้เกี่ยวกับสิ่งที่สัมผัสได้หลังจากเข้ามาที่เวย์ เธอมีอาการกลัวบางอย่างตั้งแต่เล็ก นั่นก็คือโรคกลัวการหารือ พูดให้เห็นภาพก็คือเธอไม่อาจจะคุยวิจารณ์ความรู้สึกในใจของตัวเองกับใครได้ ดังนั้นเมื่อคิดทบทวนดูแล้วถงเสี่ยวโยวคิดว่าตัวเองไม่อาจพูดคำพูดทั้งหมดออกมาได้ แต่ยังไงซะเขียนคร่าวๆ ไว้ก็น่าจะพอได้

เธอหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา เพียงครู่เดียวความคิดของถงเสี่ยวโยวก็พรั่งพรูออกมา ทั้งไอเดียที่อยู่ในใจ ในสมองก็มีแบบสเก็ตช์ของชุด แม้กระทั่งขนาดของกระดุมก็ยังอยากจะถกกับคนอื่น แล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นลู่เหยียนจือด้วย เมื่อย้อนคิดกลับไปวันนั้นที่เขาสอนเธอทอผ้า ถงเสี่ยวโยวก็เหมือนเป็นเพียงกวางน้อยวิ่งชนไปมั่ว ที่เขียนไปอย่างรวดเร็วนั้นก็รีบลบแล้วเขียนใหม่อีกครั้ง

ประตูไม้ของห้องนอนยังเหลือช่องเล็กๆ ด้านล่างอยู่ ผู้ทรงอิทธิพลอย่างลู่ซิงเฉิงกำลังก้มอยู่ที่ร่องประตูมองลอดดูความเคลื่อนไหวด้านนอก

“เขียนรายงานยังจะเคลิบเคลิ้ม” ลู่ซิงเฉิงส่ายหน้าอย่างระอา เขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของคนประเภทนี้ได้ ชอบแล้วจะทำให้สำเร็จได้เหรอ คิดถึงจนนอนไม่หลับจะทำให้ชีวิตไปถึงจุดสูงสุดได้หรือไง ตอนนี้ในใจลู่ซิงเฉิงไม่ได้คิดอะไร มีเพียงแค่จะกลับไปยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง

เขาได้ยินว่าถงเสี่ยวโยวไปที่เวย์ หากต้องการจะจัดการกับลู่เหยียนจือกับลู่เริ่นสองพ่อลูก และจะกลับไปยืนที่จุดสูงสุดอีกครั้ง เธอคนนี้จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด นอกจากจะโง่แล้วยังอินโนเซนต์อีก แล้วยังมีใจที่ถูกคุณธรรมผูกมัดเอาไว้ได้ง่ายๆ เมื่อรวมทั้งหมดนี้แล้วมันก็เหมือนเขียนอยู่บนใบหน้าว่าให้รีบมาใช้ประโยชน์จากฉันสิ

ลู่ซิงเฉิงจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ก็ต้องเหยียบขึ้นไปสิ

ผ่านไปไม่นานถงเสี่ยวโยวก็เหมือนกับคนทั่วไปที่หลับระหว่างการทำงาน รายงานทั้งปึกถูกทับไว้ใต้แขน ลู่ซิงเฉิงผลักประตูออกไป เพื่อไม่ให้เสียงดังจนเธอตื่น เขาจึงทิ้งไม้ค้ำยันและเดินด้วยขาข้างเดียวเข้าไป

เพราะเป็นคนขายาว เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เดินไปถึงโต๊ะน้ำชา รายงานเกี่ยวกับเวย์อยู่ตรงหน้าเขา ลู่ซิงเฉิงโค้งตัวลงไปอย่างสวยๆ เพื่อจะหยิบมันขึ้นมา

ทว่าก้มลงไปหยิบ…ก็หยิบไม่ถึง

หยิบอีกครั้ง…ก็เกือบได้แล้ว

ครั้งที่สาม…ก็ยังไม่ได้อีก

เพราะขาขวาเข้าเฝือกไว้อยู่จึงไม่อาจจะงอได้ ลู่ซิงเฉิงได้แต่โน้มตัวลงไปชนกับโต๊ะน้ำชา แต่จะทำอย่างไรได้เพราะต่อจากเอวลงไปก็คือขาที่งอไม่ได้ จึงทำให้เขาไม่อาจจะแตะได้แม้แต่ขอบโต๊ะ ลู่ซิงเฉิงตัดสินใจหาอะไรมาค้ำเพื่อให้เขาสามารถโน้มเอวลงไปได้ ชั้นวางกระถางดอกไม้ข้างโซฟามีความสูงพอเหมาะพอดี ลู่ซิงเฉิงใช้มือซ้ายจับชั้นเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ยื่นไปสุดแขน ในที่สุดก็แตะที่ปลายกระดาษได้

ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม

จู่ๆ มือซ้ายเขาก็ลื่น ชั้นวางกระถางดอกไม้เสียสมดุลจึงล้มใส่หัวของถงเสี่ยวโยว ชั้นวางนั้นเป็นไม้แกะสลักรูปด้วยไม้โปร่ง แต่กระถางดอกไม้ด้านบนเป็นกระเบื้องเซรามิกน่ะสิ

กระแทกใส่หัวแม่นี่ตายไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอจะมาตายในบ้านของเขาไม่ได้

ลู่ซิงเฉิงรีบใช้ขาซ้ายเกี่ยวชั้นเอาไว้ มือทั้งสองข้างยื่นไปรับกระถางดอกไม้ที่กำลังตกลงมา

แต่เขาลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ทำอะไรได้สะดวก นอกจากจะรับกระถางดอกไม้ไว้ไม่ได้แล้วยังโยนขึ้นไปในอากาศอีก

และในขณะนั้นเองถงเสี่ยวโยวก็ลืมตาขึ้นมาเหมือนกับโชคช่วยเอาไว้ สายตาก็ทันเห็นกระถางดอกไม้ที่โยนขึ้นไปสูงมาก แล้วมันก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ตามด้วยเสียงดังปัง

ลู่ซิงเฉิงล้มจนลุกไม่ขึ้น

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: