X
    Categories: Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 1 พบกันในลิฟต์

(1)

ห้าโมงครึ่งเป็นเวลาที่เหล่านักศึกษากรูกันออกมาจากห้องเรียนและห้องสมุดเพื่อเข้าไปยังโรงอาหารและห้องกดน้ำร้อนพอดี ซังอู๋เยียนกินมื้อเช้ามาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว อยู่ในระหว่างทางเดินไปเรียนด้วยตนเอง หลังจากนั้นสิบนาทีเธอก็ได้ยินวิทยุกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยเริ่มออกอากาศ

เมื่อท่วงทำนองที่คุ้นหูจบลง เสียงของสวี่เชี่ยนก็ดังขึ้น สวัสดียามบ่ายค่ะ ฉันคือสวี่เชี่ยน ถึงเวลาของเพลงยอดนิยมในทุกๆ วันพุธกันอีกแล้วนะคะ เพลงแรกเป็นเพลงใหม่ที่ถูกแนะนำเข้ามา จากนั้นก็ตามด้วยชาร์ตเพลงของอาทิตย์นี้

ห้องกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยมักสร้างสีสันอยู่ตลอดเวลา มีรายการครบครันเสียยิ่งกว่าตอนที่ซังอู๋เยียนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เสียอีก แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ไปที่ห้องกระจายเสียงนานมากแล้ว

เธอรอเฉิงอินอยู่ที่ใต้อาคารเรียนที่สี่ในสวนดอกไม้เล็กๆ ไม่กี่นาทีก็เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มเริงร่า

“เป็นอะไรไปน่ะ หน้างงเชียว” เฉิงอินเอ่ยถาม

“เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงของสวี่เชี่ยนเข้าแล้วน่ะสิ”

“ฉันว่าเคลิบเคลิ้มไปกับความหึงหวงของตัวเองล่ะสิไม่ว่า”

“เปล่านะ!” ซังอู๋เยียนยืนกรานปฏิเสธ

“ยังจะบอกว่าเปล่าอยู่อีก เธอนี่…” เฉิงอินกล่าวไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ก็ถูกซังอู๋เยียนตัดบท

“ชู่…” เธอทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง เบนหน้าตะแคงหูอย่างใจจดใจจ่อ สักครู่ใหญ่ๆ ก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

เฉิงอินเงียบเสียงลง ผ่านไปสักครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยถามเบาๆ “เป็นอะไรไป”

ซังอู๋เยียนกล่าว “เธอฟังเพลงนี้สิ”

วิทยุกระจายเสียงกำลังเปิดเพลงเพลงหนึ่ง เป็นเสียงแผ่วเบาอ้อยส้อยของนักร้องชายที่ร้องเพลงบรรยายความรู้สึกราวกับว่าผสมผสานเข้ากับจิตใจคนได้

 

ฉันหลงทางอยู่ในทุ่งหญ้า

ลมพัดต้นหญ้าเอนราบ

มีคนเคยร้องเพลงไว้ว่าผืนฟ้าดั่งกระโจม

 

ตอนกลางคืน ซังอู๋เยียนกับเฉิงอินพูดคุยกัน

“แล้วมันคือเพลงอะไรกันแน่ล่ะ เพราะซะขนาดนั้น”

“ดูเหมือนจะเป็นนักร้องใหม่นะ”

“อยากรู้จังเลย” ซังอู๋เยียนทอดถอนใจ

“เธอโทรไปถามสวี่เชี่ยนก็รู้แล้วนี่” เฉิงอินเสนอความคิดเห็นแรก

“ตีให้ตายฉันก็ไม่โทรไปหรอกน่า”

“ค้นเอาจากอินเตอร์เน็ตสิ จริงด้วย คืนนี้กินอะไรกันดีล่ะ”

ซังอู๋เยียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านไม่มีข้าวสารแล้ว เมื่อเทียบกับการหาว่าเพลงนั้นชื่อเพลงอะไร เรื่องหลังเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

เมื่อตอนเริ่มเรียนในปีนี้ ซังอู๋เยียนกับเฉิงอินเพื่อนยากก็ย้ายออกมาเช่าห้องข้างนอกด้วยกันและก็จุดไฟทำกับข้าวเอง ใกล้จะปิดเทอมแล้ว มหาวิทยาลัยไม่ได้เข้มงวดสักเท่าไร อีกทั้งตอนนี้เธอก็ทำงานพาร์ตไทม์อยู่ที่สถานีวิทยุ เกรงว่าบางครั้งถ้ากลับช้าจะกลับไปที่หอก็ไม่สะดวก

บ่ายวันศุกร์ซังอู๋เยียนไม่มีเรียนก็เลยไปที่สถานีวิทยุ ตอนกลางคืนเป็นเวลาออกอากาศของหัวหน้าสถานีวิทยุเนี่ยซี หลังจากซังอู๋เยียนเข้ามาในสถานีก็ทำแต่งานจุกจิกทั้งนั้น เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ช่วยของเนี่ยซีเพิ่งจะลาออกไป พอดีว่าไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม หัวหน้าแผนกเห็นว่าซังอู๋เยียนเป็นคนหัวใช้ได้ ก็เลยให้เธอเข้ามาทำแทนเป็นการชั่วคราว

เนี่ยซีค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองนี้ แล้วก็เป็นมิตรกับคนอื่นๆ ธรรมดาแล้วเป็นคนทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง ซ้ำยังปฏิบัติกับคนอื่นเป็นอย่างดี ซังอู๋เยียนเรียกว่า ‘พี่ซี’ เหมือนๆ กับบรรดารุ่นน้องในสถานี

ซังอู๋เยียนหอบจดหมายกองโตมาจากลุงที่เฝ้าประตูอยู่ชั้นหนึ่ง ทั้งหมดเป็นจดหมายที่ผู้ฟังส่งมาให้เนี่ยซี เธอเปิดออกดูทีละฉบับแทนเนี่ยซี ที่ควรตอบกลับก็ตอบกลับไป ที่ควรจะส่งต่อก็ส่งต่อไป แต่ดูเหมือนว่าทุกๆ ครั้งซังอู๋เยียนเห็นเนื้อหาที่เธออ่านแล้วก็อดขำไม่ได้

เธออ่านจดหมายให้คนอื่นๆ ในสถานีฟัง ทุกคนต่างก็ขำออกมากันหมด

เนี่ยซีมักจะส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “อู๋เยียน เธอนี่เป็นสาวน้อยที่ทำให้ใครต่อใครมีความสุขจริงๆ นะ”

ซังอู๋เยียนจัดการกับของกองโตเสร็จสรรพก็ไปกินมื้อเย็นที่โรงอาหาร ส่วนเนี่ยซีมาเตรียมตัวที่ห้องทำงานอยู่ก่อนแล้ว

“พี่ซี มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ”

เนี่ยซีขยิบตาให้เธอ ปรับเสียงให้เบาลงแล้วเอ่ยว่า “อยากใช้เพลงใหม่ๆ สักสองสามเพลงน่ะจ้ะ เลยลองเอามาประกอบกันเพื่อดูผลลัพธ์น่ะ”

“ค่ะ” ซังอู๋เยียนส่งสายตาให้ ‘คุณทำต่อไปเถอะ’ แล้วเตรียมตัวไปยังห้องข้างๆ

หลังจากหันหลังกลับไป ซังอู๋เยียนก็ได้ยินเนี่ยซีเปลี่ยนเพลง ทำนองของอินโทรแรกเริ่มฟังคุ้นหู ทันใดนั้นเธอก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเป็นเพลงที่เธอได้ฟังเมื่อวันก่อนนี่เอง

เธอรีบร้อนหันกลับไป แล้วถามด้วยเสียงอันดังลั่น “พี่ซี นี่เพลงอะไรเหรอคะ”

เนี่ยซีกำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนอะไรบางอย่าง บวกกับเสียงดนตรีดังขึ้นมาอีกครั้ง จึงไม่ได้ยินว่าซังอู๋เยียนถามอะไรไปชั่วขณะ

“พี่ซี เพลงที่เปิดอยู่ตอนนี้ชื่อเพลงอะไรเหรอคะ” ซังอู๋เยียนถามอีกครั้ง

“เธอหมายถึงเพลงที่เปิดตอนนี้น่ะเหรอ” พี่ซีถาม “ชื่อเพลงเปลือกหอยลิเบียจ้ะ”

“เพราะจังเลยค่ะ” ซังอู๋เยียนกล่าวพลางทอดถอนใจ

“เยี่ยมไปเลยนะ ถึงจะเป็นนักร้องใหม่ แต่พี่ว่าคงจะขายดิบขายดีเชียวล่ะ”

“ดีจริงๆ นั่นแหละค่ะ แค่ฟังก็เคลิ้มแล้ว”

พอเนี่ยซีเห็นท่าทีของเธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อู๋เยียน ที่นี่มีซีดีสำรองอยู่อีกแผ่น ถ้าเธออยากได้ พี่จะให้เธอยืม”

ซังอู๋เยียนได้ฟังก็พยักหน้าหงึกๆ

พอเลิกงานแล้วกลับไปถึงบ้านซังอู๋เยียนก็คว้าเอาซีดีออกมาจากกระเป๋าถือแล้วใส่ลงในเครื่องเล่นซีดี เพลงเพลงนั้นเป็นชื่อเดียวกับชื่อคอนเซ็ปต์อัลบั้มทั้งหมด และยังถูกจัดไว้เป็นเพลงแรก

เธอฟังไปหลายรอบในรวดเดียว ถึงคิดขึ้นได้ว่าจะหาเนื้อเพลงที่แนบมากับซีดี

ด้านหน้าแผ่นพับใบเล็กๆ เป็นภาพนักร้องใหม่หน้าตาหล่อเหลาคนนั้น เขาเป็นหนุ่มน้อยที่โดดเด่น เป็นดาวรุ่งที่ได้รับความนิยมที่สุดในเวลานี้ ภาพด้านข้างอันหล่อเหลาของเขาสะท้อนออกมาภายใต้แสงขมุกขมัว

ซังอู๋เยียนเปิดหน้าแรกออกดูก็เห็นเป็นภาพวาดทิวทัศน์ ไม่ใช่ภาพเหมือนของชายหนุ่มคนนั้น ภาพวาดนั้นช่างงดงามเหลือเกิน เป็นภาพทะเลทรายที่มีแสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงส่องลงบนเส้นขอบฟ้า และกักเก็บแสงเจิดจรัสกระจ่างตาของดวงดาวหลายดวงที่กะพริบอยู่ใกล้ๆ กับดวงอาทิตย์จนหมดสิ้น ห่างออกไปไม่ไกลมีเปลือกหอยอันหนึ่งที่ราวกับถูกย้อมด้วยแสงสุกสกาวภายใต้แสงอาทิตย์ยามตกดิน

ฝั่งภาพประกอบเป็นเนื้อเพลงของเพลง ‘เปลือกหอยลิเบีย’

 

ฉันหลงทางอยู่ในทุ่งหญ้า

ลมพัดต้นหญ้าเอนราบ

มีคนเคยร้องเพลงไว้ว่าผืนฟ้าดั่งกระโจม

ท้องฟ้าจ๋าท้องฟ้า

ดาวไถโปรดชี้ทางให้ฉันที

ฉันหลงทางอยู่ในทะเลทราย

ทรายสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา

คนโบราณเคยเรียกมันว่าเกลียวคลื่นทะเลทราย

เกลียวคลื่นหนอเกลียวคลื่น

เธอจะแผดเผาฉันจนเหี่ยวแห้งเลยหรือไม่

 

ส่วนตัวฉันก็หลงทางอยู่ในใจของเธอ

ที่รักของฉัน

เธอยินดีที่จะเป่าเปลือกหอยลิเบียให้ดังขึ้นเพื่อฉันหรือไม่

เป็นแตรสัญญาณให้กับฉัน

 

ฉันหลงทางอยู่ในเมือง

ตึกรามสลับซับซ้อน

ที่รักได้โปรดบอกฉันว่าบ้านของเธออยู่ที่ใด

บ้านของฉันหนอบ้านของฉัน

แบ่งแยกทะเลแดงอ้อมลิเบียไป

 

สูดดมบารากู่ขวดหนึ่ง

ผูกผ้าโพกศีรษะที่ด้านหนึ่ง

ดวงตาสีดำขลับ

กล่าวถึงความรู้สึกอันอบอุ่น

เปลือกหอยลิเบียของฉัน

ดวงดาวพุ่งตกโปรยปราย

 

เนื้อเพลงเข้าใจไม่ยากเลยสักนิด ค่อนข้างจะมีกลิ่นอายแบบโบราณ แตกต่างจากสไตล์เพลงที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ของดนตรีอาหรับ ท่วงทำนองเพลงแบบนี้กับเนื้อร้องแบบนี้เมื่อผสมผสานเข้าด้วยกัน ก็ราวกับว่ามีเจ้าชายอาหรับกำลังเล่นเปียโนร้องเพลงเพื่อหญิงที่รักสุดหัวใจอยู่ในทะเลทรายจริงๆ

ซังอู๋เยียนเห็นชื่อคนทำเพลงด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวหนังสือสี่ตัวที่สั้นและเรียบง่ายเรียงกันอยู่ด้านหน้าสุด

 

คำร้อง : อีจิน

(2)

ซังอู๋เยียนมักจะเหลือบมองคำว่า ‘อีจิน’ สองพยางค์ที่ค่อนข้างคุ้นตา แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนกันแน่ ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็เข้านอน

น่าเสียดายที่เพิ่งจะเช้ามืด ซังอู๋เยียนก็ถูกไก่ตัวผู้ที่หญิงชราชั้นสามเลี้ยงเอาไว้ปลุกจนตื่น ทรมาทรกรรมมาหลายวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรหญิงชราจะเอาไก่ตัวนั้นมาตุ๋นกินเสียที

ซังอู๋เยียนคลุมโปงแล้วนอนต่อ น่าเสียดายที่เหมือนว่าไก่ตัวนั้นจะกินยากระตุ้นประสาทเข้าไป มันจึงโก่งคอขันเสียงดัง และหลังจากนั้นมือถือก็ดังขึ้น

ซังอู๋เยียนเห็นสายเข้าปรากฏเป็นชื่อเว่ยเฮ่า หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น ไม่รู้ว่าจะรับสายหรือว่าไม่รับสายดี

เธอไม่กล้ากดรับ เสียงเรียกเข้าจึงดังวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เงียบไป

เธอยังไม่ทันผ่อนลมหายใจ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงเป็นเว่ยเฮ่าเหมือนเดิม

“นายคนนี้ก็จริงๆ เลยนะ ไม่รู้หรือไงว่ารุ่งเช้าคนอื่นเขาหลับเขานอนกันอยู่” เฉิงอินกล่าว

“ก็ใช่น่ะสิ” เธอขมวดคิ้ว

“รับสายเถอะ ยังไงเขาก็กินเธอไม่ได้สักหน่อย”

“เรื่องอะไรล่ะ!” ซังอู๋เยียนกล่าวพลางเอามือถือซุกไว้ในผ้าห่มด้วยความตึงเครียด

สายหลุดไปอีกครั้ง แล้วก็ดังขึ้นอีก

ซังอู๋เยียนเลยวางหมอนทับลงไปอีกชั้นเพื่อทับมือถือไว้ ผ่านไปนานสองนานเสียงเรียกเข้าจึงหยุดลง

แต่ว่ารุ่งเช้าดีๆ ที่ไม่มีคาบเรียนและนอนได้จนตะวันสายโด่งก็ถูกทำลายลงเสียอย่างนั้น

ซังอู๋เยียนลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างซังกะตาย เหม่อลอยอยู่ในห้องสักครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจออกจากบ้านไปยังถนนเสี่ยวซีเพื่อกินเสี่ยวหลงเปาที่เธออยากกินมานาน

เช้าตรู่อย่างนี้ นอกจากนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่รีบร้อนเดินไปเรียนด้วยตนเอง บนถนนหนทางก็แทบไม่มีคนเลย ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิดหน้าร้าน

รถฉีดถนนแล่นไปอย่างเชื่องช้าพลางเปิดเพลงไปตามทาง

ซังอู๋เยียนเดินไปตามทางพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทีเดียว ก่อนหน้านี้ที่ตื่นเช้าหากไม่ใช่เพื่อจะรีบไปสถานีก็เพื่อกลับไปยังมหาวิทยาลัย นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างนี้

ฉะนั้นเธอจึงกินจนแน่นท้องแล้วเดินออกมาจากร้านซาลาเปา เดินต่อไปก็เลี้ยวเข้าสวนสาธารณะ

ในสวนสาธารณะกลับคึกคักกว่ามาก บางคนก็เต้นแอโรบิก บางคนก็กำลังวิ่ง

ที่ริมทะเลสาบมีเด็กน้อยตัวอ้วนกลมเรียนไทเก๊กอยู่กับผู้สูงอายุอย่างเอาจริงเอาจัง เธอเห็นท่าทีเงอะงะน่าเอ็นดูของเด็กน้อยคนนั้นก็รู้สึกสุขใจเลยนั่งลงที่เก้าอี้ข้างทาง

 

อาจเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศดี แม้ว่าจะเพิ่งปลายเดือนกันยายน แต่ว่าอากาศร้อนก็ลดอุณหภูมิลงแล้ว เธอนั่งอยู่อย่างนั้นบนเก้าอี้กลางแจ้ง สายลมอ่อนพัดช้าๆ สบายใจและสดชื่น จนกระทั่งรู้สึกว่าอากาศค่อนข้างหนาวเย็น

สีของท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปค่อยๆ สว่างขึ้น ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นค่อยๆ ลอดผ่านชั้นเมฆ

เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนที่ซังอู๋เยียนเพิ่งจะมาถึง ชายหนุ่มก็นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว เขาหันหน้าไปทางทะเลสาบอยู่คนเดียว หลับตาทั้งสองข้างลงเงียบๆ รูปลักษณ์ของคนคนนั้นทำให้ซังอู๋เยียนรู้สึกดีเอามากๆ ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะแอบดูใบหน้าด้านข้างของเขาให้มากขึ้นสักสองหน

ริมฝีปากของเขาซีดเซียว บางและเม้มแน่น ใบหน้าไร้อารมณ์แลดูค่อนข้างเฉยเมย

เพราะว่าเขาหลับตาอยู่ ซังอู๋เยียนจึงอาจหาญปลุกความกล้าขึ้นจ้องมองเขาให้นานอีกหน่อย เธอสายตาดีมากมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้ห่างกันหลายเมตรก็สามารถสังเกตเห็นได้ว่าขนตาของเขาดำขลับและหนาทึบ บนล่างประกบเข้าด้วยกันราวกับพัดอันเล็กๆ

แต่เพราะว่าเขาหลับตาอยู่ ก็เลยไม่เห็นดวงตา

ซังอู๋เยียนเชื่อมาโดยตลอดว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การมีดวงตาที่งดงามคู่หนึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สาวงามจะต้องมีพร้อม เพราะฉะนั้นสำหรับการประเมิน ‘คนหล่อเหนือใคร’ สี่คำนี้ เธอจะเก็บคำว่า ‘เหนือใคร’ สองคำนี้เอาไว้ รอให้เห็นภาพรวมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ

บริเวณใกล้ๆ มีคนเฒ่าคนแก่หลายคนกำลังฝึกออกเสียง และมีคนที่ตะโกนเข้าหาทะเลสาบ ว่ากันว่าทำอย่างนี้แล้วจะสามารถขับไล่พิษออกจากช่องอกได้ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยปรับอารมณ์ และทำให้อายุยืนยาว

ซังอู๋เยียนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาจึงนึกอยากจะฮัมเพลง ก็เลยเลียนแบบพวกเขา เธอลุกขึ้น สองมือเท้าเอว หันหน้าไปยัง ‘ผืนน้ำอันกว้างใหญ่’ ร้องเพลงออกมาด้วยเสียงสูง

“ขวาสามรอบ ซ้ายสามรอบ หมุนๆ ก้น หมุนๆ คอ นอนเร็วตื่นเช้าพวกเรามาออกกำลังกาย สะบัดมือ สะบัดเท้า หมั่นหายใจเข้าลึกๆ กระโดดโลดเต้นตามคุณปู่ ฉันก็จะไม่แก่…”

เมื่อเปล่งเสียงร้องดังลั่น ‘คุณปู่’ ที่กำลังทำแอโรบิกยามเช้าอยู่ด้านข้าง เมื่อถูกเธอนำมาร้องเป็นเพลงอย่างนี้ก็ขัดเขินไม่กล้าหมุนเอวหมุนก้นต่ออีก หยุดเคลื่อนไหวลงช้าๆ

เอ่อ ดูเหมือนว่าจะติงต๊องไปหน่อยสินะ เธอใคร่ครวญแล้วเปลี่ยนไปเป็นอีกเพลง

“ธงแดงห้าดาวโต้ลมโบกสะบัด ติ๊งๆ เสียงเพลงต่องๆๆ เพลงร้องว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปประเทศอันเป็นที่รักของเราจะเดินไปติ๊งๆๆๆๆ…”

เมื่อร้องเพลง ‘สรรเสริญประเทศชาติ’ ออกมาได้ท่อนหนึ่ง คุณป้าที่วิ่งถอยหลังเหยาะๆ อยู่ด้านข้างก็ตกใจ ขาสะดุดกันจนเกือบล้มลง

แต่ว่าที่คุ้มค่าแก่การยินดีก็คือเมื่อสักครู่นี้ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นนอกจากจะตะแคงหูฟังตอนที่เธอร้องประโยคแรกแล้ว หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบ

เวลาซังอู๋เยียนร้องเพลงไม่เคยจำเนื้อเพลงมาก่อน พอเจอส่วนที่ร้องไม่เป็นก็ฮึมฮัมไปตามเรื่องตามราวหรือไม่ก็ใส่ประโยคมั่วซั่วที่ไม่ได้สอดคล้องกันเข้าไปเองนิดๆ หน่อยๆ

เห็นได้ชัดว่า ‘ติ๊งๆ’ กับ ‘ต่องๆ’ หลังธงแดงห้าดาว ล้วนเป็นการออกเสียงแทนเนื้อเพลงที่เธอไม่รู้

อีกทั้งทุกคราวที่ร้องคาราโอเกะ เธอหยิบไมโครโฟนขึ้นมาอ้าปากร้องได้ไม่เกินสามประโยคก็จะถูกทุกคนทุบตีให้วางไมค์

เฉิงอินส่ายหน้าพลางถอนหายใจอยู่บ่อยๆ ‘พวกเราคิดไม่ออกเลย ยังไงเธอก็เป็นถึงผู้ประกาศของสถานีที่แม้จะไม่เคยออกอากาศด้วยเสียงหวานๆ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย แต่ว่าพอร้องเพลงออกมาทำไมถึงได้น่าเวทนาแบบนี้ล่ะ’

ช่างเถอะๆ…ซังอู๋เยียนหุบปาก ส่ายหน้าไปมา

ที่นี่มีคนเฒ่าคนแก่อยู่เยอะ อย่างไรก็อย่าร้องเพลงยอดนิยมที่ทำให้หวนคิดถึงอดีตเลยจะดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าเธอทำให้ภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์ของประเทศชาติอันยิ่งใหญ่ต้องแปดเปื้อน

ซังอู๋เยียนคิดอยู่เงียบๆ ในใจ เตรียมตัวร้องเพลงที่คนทุกชนชั้นซาบซึ้ง

ตอนนั้นเองจู่ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองศรัทธาในเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ ของสวีกวนกัว เพลงนี้มีชื่อเสียงมากทีเดียว แล้วก็ค่อนข้างเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอครุ่นคิดเนื้อเพลงอยู่ในสมอง แล้วเปิดปากร้องขึ้นอีกครั้ง

 

สายลมรุ่งอรุณบางเบาพัดผ่าน

พัดกลิ่นหอมจากเรือนผมเธอ

ทำให้ฉันไขว่คว้าอยู่ท่ามกลางสายลมยามเช้า

กลิ่นของเธอ

ฉวยโอกาสที่ยังไม่ฟ้าสาง

ฉวยโอกาสที่เธอยังไม่รู้ความลับนี้

ฉันอยู่ภายใต้แสงสว่างสีครามของท้องนภา

 

เพราะว่าชื่นชอบ ดังนั้นเพลงนี้จึงถูกร้องอยู่นับครั้งไม่ถ้วนในบ้านของเธอ อย่างน้อยๆ ก็จำเนื้อเพลงได้ท่อนหนึ่ง

ซังอู๋เยียนเคลิบเคลิ้มอยู่กับความพึงพอใจของตัวเองอยู่สักครู่

คราวนี้คนที่สะดุดเท้าไม่เยอะเหมือนคราวก่อนแล้ว ถือว่ามีพัฒนาการที่ดี

ทว่าชายหนุ่มอีกฝั่งหนึ่งที่ห่างออกไปสิบเมตรกลับหันหน้ามาเพราะเสียงเพลงของซังอู๋เยียน สีหน้าที่เดิมทีดูอบอุ่น จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา

เขาหันหน้ามาพลางลืมตาทั้งสองข้าง จนกระทั่งดวงตาคู่นั้นปรากฏให้เห็นช้าๆ ซังอู๋เยียนก็ถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ

เขามีดวงตาที่สวยมากๆ

ดวงตาคู่นั้นมีขนตาหนาทึบ เข้มราวกับทาสี

 

หลังจากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ซังอู๋เยียนถามเขาว่า ‘คุณรู้รึเปล่าว่าครั้งแรกที่ฉันเห็นดวงตาของคุณ ฉันนึกถึงอะไร’

เขาไม่แน่ใจ

เธอยิ้มพลางเอ่ย ‘นึกถึงลูกแก้วสีดำที่แช่อยู่ในน้ำน่ะสิ’

ความจริงแล้ว จะว่าไปเวลานี้อารมณ์ของชายหนุ่มก็ค่อนข้างแปลกประหลาด หรือไม่สู้บอกว่าไม่สบอารมณ์สุดขีดเลยจะดีกว่า

ซังอู๋เยียนกลัดกลุ้ม ฉันร้องเพลงของสวีกวนกัว แล้วเขาจะไม่สบอารมณ์ไปทำไม หรือว่าเขาเป็นแฟนคลับผู้บ้าคลั่งของสวีกวนกัวกันนะ เวลานั้นสมองน้อยๆ ของซังอู๋เยียนก็มีข่าวฉาวของแฟนเพลงที่ติดตามศิลปินอย่างเอาเป็นเอาตายมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด

ฉะนั้นขณะที่ดวงตาที่ไร้เปลือกห่อหุ้มยังไม่ทันได้ตกกระทบลงที่ตัวของเธอ ซังอู๋เยียนก็หยุดร้องทันควัน หยิบกระเป๋าแล้วรีบร้อนเดินจากไป

(3)

ตอนเที่ยงซังอู๋เยียนกลับไปยังหอพักนักศึกษาเพื่อหยิบของ พอดีพบเข้ากับหลี่ลู่ลู่ที่อยู่เตียงชั้นบนถือกะละมังล้างหน้ากลับมาจากห้องอาบน้ำรวม

“ฉันก็ว่าใคร ที่แท้ก็คุณซังนี่เอง” หลี่ลู่ลู่กล่าว “ทำไมล่ะ กลับมาสังเกตการณ์เหรอจ๊ะ”

หลี่ลู่ลู่ชอบพูดจาหยอกล้อซังอู๋เยียนเป็นพิเศษ

“ฉันกลับมาเอาเสื้อผ้าน่ะ”

“จริงสิ เว่ยเฮ่ามักจะโทรมาหาเธอตอนดึกๆ อยู่บ่อยๆ น่ารำคาญมากๆ เลย เธอช่วยทำให้พวกเราหมดห่วงได้รึเปล่า”

“อืม” ซังอู๋เยียนก้มหน้าก้มตาจัดลิ้นชักพลางเอ่ยปากตอบ

“เธอนี่นะ…” หลี่ลู่ลู่หยุดชะงักแล้วโบกมือใส่ “ไม่พูดแล้ว”

“พูดไปก็เท่านั้นแหละน่า” ซังอู๋เยียนกดมือลงบนริมฝีปากพลางกล่าวไปด้วย

“จริงสิ ไม่รู้ว่านายเว่ยเฮ่าพบเจอคนแบบเธอได้ยังไง โชคร้ายไปแปดชาติเลยนะเนี่ย”

ซังอู๋เยียนหัวเราะหึๆ

“คืนวันเสาร์มากินข้าวด้วยกันนะ อย่าเอาแต่ขดตัวอยู่ในบ้านรกรุงรังของเธอทั้งวันทั้งคืนเลยน่า มาสนุกกับทุกคนกันนะ”

“ไม่อยากไปน่ะ” ซังอู๋เยียนคอตก

“เธอต้องลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของฉัน ถ้าเธอกล้าไม่ไปล่ะก็ คอยดูว่าคนอย่างฉันจะหวดเธอให้ตายได้รึเปล่า”

หลี่ลู่ลู่ข่มขู่ วิธีนี้ใช้ได้ผลกับซังอู๋เยียนมากๆ เลยล่ะ

 

ปรากฏว่าเมื่อถึงคืนนั้นตอนที่กินหม้อไฟกันเว่ยเฮ่าก็อยู่ด้วย ซังอู๋เยียนขมวดคิ้วพลางมองไปยังหลี่ลู่ลู่

“คนบ้านเดียวกันน่า ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นสักหน่อย” หลี่ลู่ลู่กล่าวโดยไม่ได้เงยหน้าด้วยซ้ำ

กินข้าวกันทั้งหมดแปดคน หญิงสี่ชายสี่พอดี

เมื่อซังอู๋เยียนเปิดประตูเข้ามาก็คิดว่า โอ้โห รวมกันเล่นไพ่นกกระจอกได้สองโต๊ะพอดีเลยนะเนี่ย

ทุกคนมาจากเมือง B ต่างเป็นคนบ้านเดียวกัน ซังอู๋เยียนรู้จักหมดทุกคน

เว่ยเฮ่านั่งอยู่ข้างๆ ของข้างๆ ซังอู๋เยียนอีกที ตรงกลางมีหลี่ลู่ลู่คั่นอยู่ ซังอู๋เยียนไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเองก็ดูท่าทางปกติดี อยู่กันอย่างสันติตลอดเวลา

แต่เมื่อกินข้าวไปได้ครึ่งทาง กับข้าวบางอย่างไม่พอกิน หลี่ลู่ลู่จึงเรียกพนักงานให้เอาเมนูมาให้ เธอเอ่ยถามเว่ยเฮ่าอย่างลวกๆ ไปว่า “สุดหล่อ นายว่าสั่งอะไรมาอีกดี”

เว่ยเฮ่าไม่แม้แต่จะคิดก็โพล่งออกมา “เพิ่มเนื้อวัวอีกชุดก็แล้วกัน อู๋เยียนชอบกิน”

แล้วตะเกียบของซังอู๋เยียนก็หยุดชะงัก

พอกับข้าวยกมา หลี่ลู่ลู่ก็นำเนื้อวัวจานใหญ่ลงไปต้มในหม้อรวดเดียว แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบตะเกียบของซังอู๋เยียนก็ไม่ได้คีบลงไปแม้สักครั้งเดียว

หลังจากกินเสร็จแล้ว คนทั้งหมดจะไปร้องคาราโอเกะด้วยกันอีก

หลี่ลู่ลู่กับทุกๆ คนสนุกสุดเหวี่ยงกันจะเป็นจะตาย มีเด็กสาวคนหนึ่งถอดรองเท้ากระโดดขึ้นไปบนโซฟาอย่างสะเปะสะปะพลางกุมไมค์ร้องเพลงอย่างบ้าคลั่ง มีแต่ซังอู๋เยียนกับเว่ยเฮ่าที่ต่างคนต่างนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งซ้ายและขวา

คนบ้านเดียวกัน A “ซังอู๋เยียน ร้องเพลงสิ”

คนบ้านเดียวกัน B “อย่าๆๆ รอให้ฉันอุดหูก่อน”

ซังอู๋เยียนพลันอารมณ์เสีย ลุกขึ้นได้ก็เอ่ยขึ้นว่า “บ้านแกน่ะสิ!”

หลี่ลู่ลู่หัวเราะ “เว่ยเฮ่า เพลงที่นายเก็บเอาไว้น่ะ พวกเราเลือกให้นายแล้วนะ เพลงต่อไปก็คือ…” กล่าวไปก็ยื่นไมโครโฟนให้เว่ยเฮ่า

เว่ยเฮ่ารับไมโครโฟนมาด้วยความเหนื่อยหน่าย จากนั้นดนตรีก็บรรเลงขึ้นเป็นเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ ที่ซังอู๋เยียนร้องไว้เมื่อตอนกลางวัน

มองดูเขาถือไมโครโฟนด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน แต่ทำให้ซังอู๋เยียนย้อนนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งเมื่อก่อนนี้

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเว่ยเฮ่าที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ค่อยจะร้องเพลงสักเท่าไร แค่ร่วมทำวงดนตรีกับเพื่อนๆ ชื่อ ‘eleven’ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย A ตัวเองเป็นเพียงแค่มือเบสอยู่เงียบๆ เท่านั้น ส่วนสวี่เชี่ยนที่เป็นผู้ประกาศของสถานีวิทยุในมหาวิทยาลัยในเวลานี้เป็นนักร้องนำในวงดนตรีของพวกเขา

ปีนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่สวี่เชี่ยนไม่อยู่ คนทั้งกลุ่มร้องเพลงกันอยู่ในห้องคาราโอเกะ ซังอู๋เยียนดื่มจนเมา กอดไมโครโฟนไม่ปล่อย ทั้งยังส่งเสียงดังเอะอะ ‘ลู่ลู่ช่วยฉันเลือกเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ ฉันจะร้อง…สิบรอบเลย’

ไม่ต้องพูดถึงสิบรอบหรอก ซังอู๋เยียนเพิ่งร้องได้สามประโยค คนทั้งกลุ่มก็พากันตะลึงงัน นี่เรียกว่าร้องเพลงอย่างนั้นเหรอ นี่มันเสียงปีศาจที่ทำลายจิตใจอันแน่วแน่ชัดๆ แต่ว่าตอนนั้นเธอดื่มจนเมาแล้ว ไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนอื่นๆ กอดไมโครโฟนเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนกับ ‘เจ้าแม่ครองไมค์’ ไม่มีผิด

‘อู๋เยียน เพลงนี้ไม่ได้ร้องแบบนี้สักหน่อย’ เว่ยเฮ่าเกลี้ยกล่อมเธอ

‘ถ้างั้นร้องยังไงล่ะ’ เธอหยุดถาม

‘ร้องให้เธอฟังเอาไหมล่ะ’

‘เอา…สิ ถ้าร้องไม่ถูกฉันจะ…ปรับเงินนาย!’ ซังอู๋เยียนเมาจนสะอึกออกมา ‘ไม่สิๆ ปรับเป็น…เหล้า’

เธอกล่าวไปก็คลายมือออก

เว่ยเฮ่าถึงได้เกลี้ยกล่อมจนเอาไมโครโฟนมาจากมือเธอได้

ในตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เว่ยเฮ่าร้องเพลงต่อหน้าทุกๆ คน ‘ท้องนภาสีคราม’ เพียงครึ่งเพลง แต่กลับร้องแล้วส่งต่อความรู้สึกไปให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ดียิ่งกว่านักร้องเดิมเสียอีก

ร้องไปรอบหนึ่ง ทุกคนก็พากันตกตะลึง ทว่าได้ยินแต่เพียงเสียงของซังอู๋เยียนที่หัวเราะด้วยความเมากรึ่มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า ‘ไม่เลวเลยนี่นา ก็แค่ร้องแย่กว่าฉัน…นิดหน่อยเอง’

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เล่าต่อกันจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย โชว์ของพวกเขาก็กลายเป็นโชว์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในค่ำคืนรับน้องในสาขาของพวกเขาทุกๆ ครั้ง

แล้วตอนนี้หลี่ลู่ลู่ก็พูดถึงเพลงนี้ขึ้นมา เพียงเพราะอยากให้พวกเขาสองคนเชื่อมความสัมพันธ์กันอีกครั้ง

แต่น่าเสียดายที่ระหว่างพวกเขาไม่มีภาพเหตุการณ์แบบที่หลี่ลู่ลู่จินตนาการเลยสักนิด ซังอู๋เยียนหัวเราะด้วยความจนใจ ท่วงทำนองที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง เว่ยเฮ่ามองตัวหนังสือแล้วร้องออกมา

 

สายลมบางเบาพัดผ่านใบหน้าของฉัน

ทำให้ฉันรู้ว่า

ฟ้าใกล้รุ่งสาง

สิ่งที่บางเบาคือใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ

ให้ได้ฉันยินยล

ความงดงามของเธอ

บางเบา โอ้ บางเบา

สายลมรุ่งอรุณบางเบาพัดผ่าน

พัดกลิ่นหอมจากเรือนผมของเธอ

ทำให้ฉันไขว่คว้าอยู่ท่ามกลางสายลมยามเช้า

กลิ่นของเธอ

ฉวยโอกาสที่ยังไม่ฟ้าสาง

ฉวยโอกาสที่เธอยังไม่รู้ความลับนี้

ฉันอยู่ภายใต้แสงสว่างสีครามของท้องนภา

ยิ้มให้เธอ

สิ่งที่บางเบาคือความอ่อนโยนของเธอ

ทำให้ฉันใจสลาย

ความดีของเธอ

 

เสียงดนตรียังไม่ทันจบ แต่ว่าซังอู๋เยียนไม่อยากฟังต่อแล้ว เธอหยิบกระเป๋าและมือถือลุกขึ้นยืนแล้วผลักประตูห้องเดินออกไป

เมื่อเสียงเอะอะโวยวายส่วนใหญ่ล้วนหายวับไปที่หลังประตูกั้นเสียง เธอก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

จู่ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเช้าวันนั้นที่เธอยืนร้องเพลงนี้อยู่ที่ริมทะเลสาบอย่างโง่เง่า ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ แต่เป็นเพราะว่าใจของเธอยังคงหลงเหลือความคิดถึงสิ่งละอันพันละน้อยอยู่

ทันใดนั้นเธอก็เริ่มรู้สึกเกลียดชังเพลงนี้ขึ้นมา

ขณะนั้นเว่ยเฮ่าก็ตามออกมาด้วย

“อู๋เยียน” เว่ยเฮ่ารั้งเธอไว้

“ฉันออกมาสูดอากาศน่ะ” เธอสะบัดมือของเขาออก

“ทำไมต้องหลบฉันด้วยล่ะ”

“ฉันเปล่า”

“เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ย้ายหอ เจอกันที่มหาวิทยาลัยก็เดินอ้อมไป ยังเรียกว่าเปล่าอีกเหรอ” เว่ยเฮ่ากล่าว “ถ้าโอนหน่วยกิตได้ เธอก็คงรีบย้ายมหาวิทยาลัยไปแล้ว”

“ฉันไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเพราะนาย ที่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ก็เพราะว่าฉันเป็นคนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้แหละ แล้วที่ฉันเดินอ้อมก็เพราะว่า…” ซังอู๋เยียนหยุดชะงัก สมองคิดหาข้ออ้างอย่างรวดเร็ว “ก็เพราะว่านายคือเว่ยเฮ่า ดาราใหญ่ของมหาวิทยาลัย ฉันกลัวว่าถนนจะกว้างไม่พอ แล้วจะไปขวางทางนายเข้าน่ะสิ”

ฉันถนัดเรื่องการเถียงข้างๆ คูๆ แบบนี้ที่สุด

เว่ยเฮ่าหัวเราะด้วยความจนใจ “ไม่อยากติดต่อกับฉันจริงๆ เหรอ”

“ไม่อยาก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แค่ไม่อยาก”

“เรื่องของฉันกับสวี่เชี่ยน มันมีเรื่องที่จะต้องอธิบายให้เธอฟัง…”

“เว่ยเฮ่า” ซังอู๋เยียนตัดบทเขา “ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แค่ไม่อยากฟังนั่นแหละ” เธอกล่าว

ทั้งสองคนโต้เถียงกันจนย้อนกลับไปที่จุดเดิม

และแล้วเว่ยเฮ่าก็พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกับซังอู๋เยียนที่เป็นคนประเภทอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้

“เมื่อไหร่เธอจะโตสักทีล่ะ อู๋เยียน”

“ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” เธอเอ่ย

“ฉันไปส่งเอง”

“ไม่ต้อง!”

(4)

เมื่อกลับมาถึงห้อง ซังอู๋เยียนก็ปีนขึ้นเตียงด้วยความกลัดกลุ้ม

ภายในห้องเงียบสงัด เจ้าของห้องไม่ได้ติดทีวีให้ เธอเองก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อ ดังนั้นความบันเทิงเดียวของการกลับห้องก็คืออ่านหนังสือ เปิดเพลง ฟังวิทยุ

ตั้งแต่เรียนมัธยมปลายเป็นต้นมาเธอก็เริ่มเป็นผู้จัดรายการอยู่ที่สถานีวิทยุ ชอบเก็บสะสมเพลงเพราะๆ หลากหลายแนว ทั้งเพลงยอดนิยม เพลงโบราณ เพลงร็อก…เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ย้ายบ้านก็จะมีซีดีมากกว่าเสื้อผ้าเยอะมาก จนสามารถใส่กล่องใหญ่ๆ ได้เลย

แต่ว่าเวลานี้เพลงอะไรเธอก็ฟังไม่เพราะเลยสักเพลง

“ทำไมถึงไม่บอกเขาให้ชัดเจนล่ะ” เฉิงอินเอ่ยถาม

“เธอว่าจำเป็นเหรอ”

 

คืนวันเสาร์ซังอู๋เยียนโทรรายงานคนที่บ้านถึงสถานการณ์ในอาทิตย์นี้

“พ่อคะ หนูอยากกินบัวลอย” ซังอู๋เยียนออดอ้อนกับโทรศัพท์

“ได้ๆๆ แล้วเงินพอใช้รึเปล่าล่ะ พรุ่งนี้ให้พ่อฝากเงินเพิ่มให้ลูกไปซื้อบัวลอยน้ำขิงกินไหม” คุณพ่อซังเอ่ยปาก

ขณะเดียวกันคุณแม่ซังก็กำลังบ่นอยู่ข้างๆ “ค่าใช้จ่ายของทุกๆ เดือนที่เธอใช้อยู่ก็มากกว่าเสี่ยวฉยงที่อยู่ข้างบ้านตั้งเท่าไหร่ คุณยังกลัวว่าลูกจะไม่มีเงินซื้อบัวลอยน้ำขิงกินอีกเหรอคะ”

“แต่ว่าหนูอยากกินไส้งาที่พ่อทำเองนี่นา” ซังอู๋เยียนไม่ได้สนใจคุณแม่ซัง ยังคงออดอ้อนต่อไป

“เดี๋ยวพ่อจะทำให้พรุ่งนี้นะ อาทิตย์หน้าลุงอวี๋จะไปประชุมที่เมือง A ให้เขาเอาไส้ไปให้ลูกก็ได้ แต่ว่าลูกต้องเอาไปห่อเองนะ”

“ไม่เอาค่ะ หนูอยากกินฝีมือพ่อ หนูคิดถึงพ่อ แล้วก็คิดถึงบ้านด้วย”

“ถ้างั้น…” คุณพ่อซังลำบากใจ “เยียนเยียน งั้นอาทิตย์หน้าลูกกลับมาดีกว่ามั้ง”

“แล้วคาบเรียนล่ะคะ”

“ไม่ต้องเข้าเรียน พวกเราลาหยุดกัน”

“ไร้สาระ!” คุณแม่ซังแย่งโทรศัพท์ไปทันที “อู๋เยียน ลูกกับพ่อของลูกอย่าได้เออออกันให้มากนัก พ่อโอ๋ลูกจนไร้เหตุผลไปหมดแล้ว ตัวเองก็เป็นครูบาอาจารย์ ไม่รู้ว่าสั่งสอนนักเรียนได้ยังไง”

ซังอู๋เยียนหัวเราะหึๆ

คุณแม่ซังกล่าวต่อไป “อู๋เยียน เดือนหน้าก็จะรายงานตัวนักศึกษาปริญญาโทแล้วนะ ลูกก็คิดให้ดีๆ ว่าจะสอบเข้าปริญญาโทหรือว่าจะเข้าสู่สังคมการทำงาน อีกอย่างอย่าได้ฝากความหวังเอาไว้ที่พ่อของลูกล่ะ ลูกสาวของศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย M เรียนหนังสือเกิดมีนอกมีในขึ้นมา ใครๆ นินทาจะขายขี้หน้าขนาดไหนกัน!”

“ค่ะ” เมื่อคุณแม่ซังพูดถึงเหตุผลขึ้นมา ซังอู๋เยียนก็ทำได้แต่เพียงพยักหน้าคล้อยตามเท่านั้น

บ้านอื่นเขามีแต่พ่อดุแม่ใจดี แต่ว่าบ้านของเธอกลับมีแม่ดุพ่อใจดีไปเสียได้

“ที่แม่พูดน่ะจำได้หรือเปล่า” คุณแม่ซังเอ่ยถาม

“จำได้ค่ะ”

“อาทิตย์ก่อนเว่ยเฮ่าโทรมาที่บ้านเพื่อถามเบอร์มือถือลูก ดูท่าทางร้อนใจ แม่เห็นแล้วก็ยังกลุ้มใจไปด้วย ถ้าลูกไม่ยินดีจะคบหากับเขาจริงๆ ก็คุยกันให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นต่อไปพ่อของลูกกับลุงเว่ยจะคบหากันยังไงล่ะ”

คบหาไม่คบหาอะไรกัน แม่ของเธอช่างพูดจาตรงไปตรงมาเสียเหลือเกิน

ระหว่างเธอกับเว่ยเฮ่าน่ะไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

 

อากาศค่อยๆ เย็นขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้คาบเรียนที่มหาวิทยาลัยมีไม่มาก ทุกๆ วันซังอู๋เยียนจะไปจองที่ที่ห้องสมุด ทบทวน อ่านหนังสือ ทำข้อสอบ แต่ว่านอกจากเรียนพิเศษสองวิชาตอนเสาร์อาทิตย์ เวลาที่เหลือทั้งหมดก็ใช้ไปกับที่สถานีวิทยุ

ความจริงแล้ว การสอบเข้าปริญญาโทไม่ใช่เรื่องยากมากนักสำหรับเธอ

หากใช้คำพูดของเฉิงอินก็คือ ‘อย่าได้มองว่าปกติเธองกๆ เงิ่นๆ หรือว่าสมองช้า เรื่องเรียนเธอก็ไม่ได้โง่อะไร’

‘เธอใช้คำว่าไม่ได้โง่มานิยามทุนอันดับหนึ่งของฉันซะแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเธอก็จัดอยู่ในประเภทไม่ค่อยโง่เท่าไหร่สินะ’ ซังอู๋เยียนตอบโต้

ที่สถานีปรับเปลี่ยนบางรายการไปบ้าง เดิมทีตารางรายการเพลงฮิตออกอากาศประจำตอนหกโมงวันจันทร์ถึงศุกร์ แต่เพราะอัตราของผู้ฟังกับความนิยมของเนี่ยซีพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจึงได้ทำการปรับเปลี่ยนรายการใหม่

เนี่ยซีเป็นคนจัดรายการทางด้านนี้มาตลอด จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับวงการนี้ บวกกับมีคอนเน็กชั่นอยู่บ้าง จึงสามารถเชิญเบอร์ใหญ่ๆ ที่คนอื่นเชิญไม่ได้มาสัมภาษณ์ที่สถานีได้เป็นครั้งคราว

อย่างเช่นวันนี้ คนที่มารายการคือสวีกวนกัว ไอดอลของซังอู๋เยียน

สวีกวนกัวเป็นศิลปินมาหลายปีซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ว่าตั้งแต่อัลบั้มเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ เมื่อไม่กี่ปีก่อนเริ่มได้รับความนิยมจากผู้คนอีกครั้ง เขาจึงคัมแบ็กกลับมาอย่างยิ่งใหญ่

“เพลงเพลงหนึ่งนำพาความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มาให้ คุณคิดว่าความสำเร็จนี้หลักๆ แล้วมาจากสาเหตุอะไรคะ เป็นการดำเนินการทางธุรกิจ หรือว่าเป็นการยกระดับของตัวคุณเอง” เนี่ยซีพูดคุยอย่างค่อนข้างเป็นกันเอง “คนที่รู้จักคุณดีต่างก็รู้ว่าในวงการคุณมีชื่อเสียงในเรื่องของความขยัน”

สวีกวนกัวหัวเราะ “แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรักความชื่นชอบของแฟนเพลงที่มีให้เสมอมา บริษัทเพลงก็ให้การสนับสนุนผมเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าต้องขอบคุณอาจารย์อีจินด้วย”

“ค่ะ อาจารย์อีจินเป็นผู้เขียนเนื้อร้องของเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ นะคะ” เนี่ยซีอธิบายกับผู้ฟังคร่าวๆ

“เขาเป็นคนมีความสามารถมากจริงๆ ครับ” สวีกวนกัวกล่าวต่อไป “ผมรู้ว่าเพลงของอาจารย์อีจินต่อให้มีเงินมากก็ยากจะได้มา ในตอนนั้นเขาปฏิเสธบริษัทเพลง พวกเราต่างก็หมดหวังกัน” สวีกวนกัวไตร่ตรองอยู่สักครู่

“แต่ว่าก็พบทางออกท่ามกลางความสิ้นหวังนะคะ” เนี่ยซีหัวเราะ

“เพราะฉะนั้นจึงต้องขอบคุณอาจารย์อีจินเป็นอย่างสูงเลยครับ” สวีกวนกัวกล่าวด้วยความจริงใจ

จนกระทั่งตอนนี้ ซังอู๋เยียนที่อยู่ข้างนอกก็คิดขึ้นได้ว่าที่แท้อีจินเป็นคนเขียนเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ นี่เอง มิน่าวันนั้นอ่านเนื้อเพลง ‘เปลือกหอยลิเบีย’ ถึงได้รู้สึกว่าชื่อผู้แต่งดูคุ้นตานัก

อีจินผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ซังอู๋เยียนเคยได้ยินชื่อมาก่อน

สองปีมานี้เพลงเพลงเดียวของคนคนนี้สามารถผลักดันคนคนหนึ่งให้ดังเป็นพลุแตกได้ แต่ว่าเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบเป็นจุดสนใจแบบสุดๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เคยเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชนมาก่อน แล้วก็ปฏิเสธการสัมภาษณ์จากสื่อบันเทิงต่างๆ อีกด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอายุ รูปร่างหน้าตา ประสบการณ์ชีวิตโดยย่อ แม้กระทั่งเป็นชายหรือว่าหญิงก็เพิ่งจะเปิดเผยออกมาไม่นานนี้เอง

นี่ยังเคราะห์ดีที่มีข่าวฉาวออกมาพร้อมกันด้วย

ปีนี้มีสาวสวยคนหนึ่งประกาศลงในอินเตอร์เน็ตว่าตัวเองเป็น ‘อีจิน’ จากนั้นก็เปิดบล็อกของตัวเองต่อสาธารณะ มิหนำซ้ำยังเปิดเผย ‘เรื่องราวที่จำเป็นต้องกล่าวถึง’ ระหว่างสวีกวนกัวออกมาเป็นตุเป็นตะ

ในตอนแรก เมื่อหินก้อนกระทบจนเกิดคลื่นนับพันก็เกิดความวุ่นวายใหญ่โตขึ้นในวงการบันเทิง กระทั่งมีเว็บไซต์ทำสัมภาษณ์พิเศษเพื่อสัมภาษณ์ถึงแรงจูงใจในการสร้างสรรค์ผลงาน

ฝ่ายนักข่าวถามว่า ‘ทำไมถึงได้ใช้ชื่อว่าอีจินครับ’

สาวสวยหัวเราะอย่างสงบเสงี่ยม ‘จากวันวานถึงวันนี้เป็นเรื่องราวความรักอันคลุมเครือและอบอุ่นที่เกิดขึ้นกับฉันค่ะ และจากโบราณจวบจนปัจจุบันยังเป็นการกล่อมเกลาทางวัฒนธรรมจีนที่ฉันได้รับมาตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากไปเรียนที่ต่างประเทศหลายปีก็มีความคิดบางอย่างเข้ามาและผสมผสานกัน ฉะนั้นฉันก็เลยใช้ชื่ออีจินที่มีนัยสองชั้น’

ฝ่ายนักข่าว ‘เยี่ยมไปเลยนะครับ แค่คำสองคำง่ายๆ ก็แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งขนาดนี้เชียว’

สุดท้ายคนที่ออกมาล้างมลทินด้วยเรื่องจริงก็คือบริษัทของสวีกวนกัว ไม่ใช่ของฝ่ายอีจิน

‘ข่าวฉาวของเธอกับสวีกวนกัวเป็นเรื่องที่เกิดจากการปั้นแต่งขึ้นมาทั้งหมด’

‘พวกคุณมีหลักฐานอะไรคะ’

‘ความจริงแล้วง่ายมากๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นตัวปลอม เพราะว่าความจริงแล้วอีจินเป็นผู้ชายครับ’

บรรดานักข่าวพากันฮือฮา

‘ถ้าอย่างนั้นจะเชิญอีจินมาร่วมงานรับรองของนักข่าวได้ไหมคะ’ มีนักข่าวเอ่ยถาม

ผู้แถลงการณ์ผายมือออก ‘ขอโทษด้วยครับ เรื่องนี้…พวกเราไม่สามารถทำได้’

ตอนนั้นเฉิงอินวิเคราะห์พลางเอ่ยขึ้นว่า ‘ผู้ชายคนนี้เก็บเนื้อเก็บตัวจนอยู่ในระดับโรคจิตแล้วนะ’

‘เธอสิโรคจิต’ ซังอู๋เยียนขมวดคิ้ว

‘นี่ฉันกำลังชมเขาอยู่นะ’

‘เธอคิดว่ามีคนใช้คำว่าโรคจิตมาชื่นชมคนอื่นด้วยหรือไง’

‘ก็ฉันนี่ไง’

(5)

ช่วงสายวันอังคาร คนในสถานีต่างพักผ่อนกันอยู่ เมื่อวานซังอู๋เยียนลืมมือถือเอาไว้ในลิ้นชัก ก็เลยขี่จักรยานโซซัดโซเซกลับไปเอาที่สถานีด้วยตัวเอง

เธอจอดจักรยานเอาไว้ที่ด้านนอกแล้วขึ้นลิฟต์ไป

ปรากฏว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังรอลิฟต์อยู่ที่นั่นเหมือนกัน บังเอิญมากๆ เลย เขาก็คือผู้ชายที่มีดวงตาน่าหลงใหลที่เจอกันที่ริมทะเลสาบเมื่อคราวก่อนคนนั้น แต่ว่าในตอนนี้สีหน้าของเขากลับค่อนข้างเอาจริงเอาจัง มือจับไม้เท้าเอาไว้

ไม้เท้าโลหะสีขาวธรรมดาๆ เพรียวบาง ดูท่าทางน้ำหนักเบา

ซังอู๋เยียนสงสัย คนคนนี้อายุยังน้อย ต้องพยุงไม้เท้าแล้วเหรอ

ชายหนุ่มรูปร่างตรงสูง เพียงแค่ดูจากสัดส่วนแล้วค่อนข้างผ่ายผอม ตัวก็เล็ก คนที่มีพวงแก้มมีเบบี้แฟตอย่างซังอู๋เยียนกลายเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีเขายืนตัวตรงอยู่ตรงกันข้ามกับประตูลิฟต์พอดี ยืนรอให้ลิฟต์ลงมาเงียบๆ แววตาไม่มีความรีบร้อนเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ซังอู๋เยียนมาแล้ว เขาก็ขยับออกไปด้านข้างครึ่งก้าวอย่างมีมารยาท

ซังอู๋เยียนเพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจ ในเวลานี้นอกจากคนที่เข้ากะแล้วก็แทบจะไม่มีคนใช้ลิฟต์ ทำไมถึงได้มีหนุ่มหล่อแบบนี้อยู่ที่นี่ล่ะ หรือว่ามาคุยเรื่องโฆษณานะ

ไม่รู้ว่าเขารู้สึกได้ว่าซังอู๋เยียนกำลังพิจารณาเขาอยู่หรือว่าอย่างไร ชายคนนั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย ซังอู๋เยียนจึงรีบเก็บสายตากลับไป

เธอรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังแผงจอของลิฟต์ มองตรงไปยังตัวเลขที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เก้า แปด เจ็ด…

ขณะนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“อืม ผมจะขึ้นไปเอง คุณไม่ต้องลงมาหรอก”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ชายหนุ่มก็ตอบกลับไปเรียบๆ ว่า “แนวตั้งทางซ้ายมือ แถวที่สามจากบนลงล่าง ผมจำได้แล้ว”

จากนั้นก็วางสายไป

การคุยโทรศัพท์ที่สั้นกระชับและเข้าใจแจ่มแจ้งแบบนี้ เรียบง่ายเสียจนกระทั่งรู้สึกว่าค่อนข้างเย็นชา อีกทั้งยังเจือด้วยความเหนื่อยหน่ายรำไร

ช่างเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ซังอู๋เยียนจำกัดความให้

‘ติ๊งต่อง’ ลิฟต์มาแล้ว

ชายหนุ่มชะงัก อย่างกับว่าจะให้เธอเข้าไปก่อน

เลดี้เฟิร์สต์ เหตุผลเป็นอย่างนั้น ซังอู๋เยียนจึงก้าวเข้าไปก่อนโดยไม่ลังเล จากนั้นก็หันไปกดปุ่มเลขชั้นถึงได้พบว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวมาข้างหน้า เขากดไม้เท้าให้ต่ำลงแล้วเคาะที่ประตูลิฟต์เบาๆ ทั้งซ้ายและขวา จากนั้นจึงเอื้อมมือประคองตัวกับวงกบลิฟต์แล้วค่อยก้าวเข้ามา

ซังอู๋เยียนที่ยืนอยู่กับที่ปากอ้าตาค้าง

เขาเป็นคนตาบอด!

ไม้เท้าสีขาวที่ทำด้วยโลหะธรรมดาๆ ก็คือไม้เท้านำทาง

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอมองไปยังดวงตาของเขาอีกครั้ง สายตาของเขาตกกระทบไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป ไม่มีจุดโฟกัสจริงๆ ด้วย ดวงตาดำขลับคู่นั้นใสสะอาดเป็นประกาย มันสวยงาม ทว่ากลับมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น…

เมื่อเกิดเสียงดัง ‘ปึง’ ซังอู๋เยียนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองหดลีบลงอย่างรุนแรง จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายออก บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร

เสียใจ เสียดาย เห็นอกเห็นใจ เวทนาสงสาร หรือว่าปลงตก…ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาในใจทั้งหมดแล้ว

นึกย้อนกลับไปตอนรุ่งเช้าที่เจอกันครั้งแรกในสวนสาธารณะ เขานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบเป็นนานสองนาน อยู่ในท่าหลับตา ตอนนั้นเขากำลังทำอะไรอยู่นะ กำลังใจจดใจจ่อฟังเสียงของโลกใบนี้ หรือว่ากำลังคาดหวังอย่างเงียบๆ รอให้แสงอาทิตย์ตกกระทบที่ดวงตากันแน่?

ภายในลิฟต์ซังอู๋เยียนยืนอยู่ข้างหลัง เขายืนอยู่ข้างหน้า

เดิมทีซังอู๋เยียนคิดว่าชายหนุ่มจะขอให้เธอช่วยกดลิฟต์ให้ แต่ก็ไม่เห็นเขาเอ่ยปากเสียที เธอจึงเอ่ยถามเขาก่อน “ให้ช่วยอะไรไหมคะ”

เขาชะงักไป สักครู่จึงหันหน้ามา จากนั้นก็มองตรงไปข้างหน้า เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ไม่ต้อง ขอบคุณครับ”

หลังจากสองคำนั้น เขาก็เม้มปากเอาไว้แน่น

มารยาทในการปฏิเสธคนอย่างกับว่าอยู่ห่างกันไกลแสนไกลทำให้ซังอู๋เยียนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าความรู้สึกไม่สบอารมณ์นี้ถูกความเห็นอกเห็นใจที่มีอยู่มากเป็นล้นพ้นกลบจนมิด

เธอเห็นเขายกมือขวาขึ้น ใช้มือคลำไปยังปุ่มกดทั้งสองแถวที่ด้านขวาของประตูลิฟต์ จากบนลงล่าง นิ้วมือลูบผ่านผิวสัมผัสไปอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงเลื่อนลงไปข้างล่าง

ปุ่มลิฟต์มีทั้งหมดสองแถว เขาลูบไปยังแถวที่อยู่ด้านขวามือ

ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปยังชั้นบน ซังอู๋เยียนคิดอยู่ว่าเขาจะขึ้นไปแค่ชั้นสองหรือเปล่า จนกระทั่งเขากดปุ่ม ลิฟต์ก็เลยผ่านจุดหมายไปแล้ว ดังนั้นใจของซังอู๋เยียนจึงรอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

นิ้วมือของเขาประสาทสัมผัสไวมาก เมื่อสัมผัสกับปุ่มแรก ‘สิบสอง’ เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย แล้วจึงเลื่อนลงข้างล่างต่อไป

มองนิ้วมือที่เฉียดผ่านปุ่มเหล่านั้นไปอย่างเชื่องช้า จู่ๆ ซังอู๋เยียนก็นึกถึงตอนที่เขาคุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาได้

เขาบอกว่า ‘แนวตั้งทางซ้ายมือ แถวที่สามจากบนลงล่าง ผมจำได้แล้ว’ นั่นเป็นขั้นตอนที่คนอื่นอธิบายให้เขาฟังว่าจะกดปุ่มลิฟต์อย่างไร เพราะปุ่มของลิฟต์ตัวนี้ไม่มีสัญลักษณ์ตัวอักษรเบรลล์

เขาคลำไปถึงปุ่ม ‘สิบ’ ก็หยุดลง แล้วกดลงไปอย่างไม่ลังเล

แต่ว่าซังอู๋เยียนกลับตะลึงงัน ไฟของชั้นสิบกลับดับลงเสียอย่างนั้น

ความพิเศษของลิฟต์สถานีตัวนี้ก็คือเมื่อกดปุ่มชั้นใดชั้นหนึ่งลงไปสองครั้งก็แปลว่ายกเลิก ซังอู๋เยียนเองก็จะขึ้นไปที่ชั้นสิบพอดี ทำกลับไปกลับมาแบบนี้ก็หมดกันน่ะสิ

ชายหนุ่มไม่รับรู้เลยสักนิด ดูเหมือนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง

ซังอู๋เยียนครุ่นคิด แล้วจึงเอื้อมมือออกไปเบาๆ อ้อมไปทางด้านข้างของเขา จากนั้นก็กดลงบนปุ่ม ‘สิบ’ อีกครั้งเงียบๆ การกระทำทั้งหมดซังอู๋เยียนมั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มไม่สามารถรับรู้ได้ ถึงได้วางใจ

ซังอู๋เยียนทำได้แต่เพียงถอนใจอยู่ภายในใจเท่านั้น ทำอย่างกับว่าเป็นโจร เธอลูบไปที่กระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้ตัว ไม่มีกุญแจ

“ว้าย!” เธออดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตื่นตะลึง

เสียงเอะอะแบบนี้ระคายหูเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในลิฟต์

ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหว

ซังอู๋เยียนปิดปากเอาไว้ จากนั้นก็รื้อหาในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ก็ยังไม่มีเหมือนเดิม

เธอขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ประมาณสองวินาที รู้สึกเหมือนกับว่าจะลืมล็อกรถจักรยาน แล้วกุญแจก็คล้องอยู่กับตัวล็อกรถและวางอยู่ด้วยกันในตะกร้าจักรยาน

ซังอู๋เยียนมองหน้าจอแวบหนึ่ง เห็นว่าเพิ่งถึงชั้นหกก็เลยกดไปที่ปุ่มชั้นเจ็ดอย่างรีบร้อน รอจนลิฟต์หยุด เมื่อประตูเปิดแล้วเธอก็พุ่งตัวออกไป เตรียมตัวเปลี่ยนลิฟต์เพื่อลงไปที่ชั้นล่าง

ระหว่างที่ซังอู๋เยียนรอคอยอยู่ด้วยความรีบร้อนก็ชำเลืองมองชายหนุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าดวงตาสดใสคู่นั้นกำลังหายลับไปหลังประตูลิฟต์อย่างช้าๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 65  เวลา 12.00 น.

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: