บทที่ 2 อยู่ต่อเป็นผู้ช่วยสอนที่สถาบัน
ก่อนที่จะมาเป็นผู้ช่วยสอนที่สถาบันแบบเต็มตัว ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยได้พูดคุยกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟสักเท่าไรนัก เพราะมิสเตอร์เอ็มโอเอฟสอนในชั้นเรียนขนมหวานของเชฟระดับสูงเท่านั้น ช่วงที่เริ่มเรียน ฉันยังเป็นแค่เชฟมือใหม่จึงไม่มีโอกาสเข้าเรียนในคาบเรียนของเขา
และเดิมทีฉันเองก็ไม่ได้มีความคิดจะอยู่ที่สถาบันต่อแบบยาวๆ จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้ทำความสนิทสนมกับบรรดาเชฟเอาไว้เท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่นี่อาจเป็นโอกาสในการขอฝึกงานที่ดียิ่งขึ้นได้
ฉันเรียนมาถึงระดับกลางแล้ว มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็อยู่ในช่วงมุ่งเข้าสู่การประกวดเอ็มโอเอฟ ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงไม่ได้จัดตารางให้เขาสอนอีก จึงไม่มีใครได้เห็นหน้าเห็นตาของเขาเลยในระยะนี้ ได้ยินแค่ว่าเขาขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ชั้นสามเพื่อทำบททดสอบจนดึกดื่น และบางครั้งจะมีนักเรียนเห็นเขาเดินออกมาล้างมือบ้าง แต่ก็อยู่ในท่าทางรีบร้อนตลอด ฉันเองก็เคยเจอเขาหลังเลิกเรียนในรถไฟฟ้าใต้ดินครั้งหนึ่ง แต่เกรงว่าเขาจะลืม ‘ยายคนซื่อบื้อ’ อย่างฉันไปนานแล้ว
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันก็เลยได้ยินเรื่องเม้าท์มอยเกี่ยวกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟในท้องตลาดมาไม่น้อย
อายุของเขาเป็นปริศนา ดูแล้วน่าจะสักยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดได้มั้ง แต่ว่ารูปร่างหน้าตาของคนยุโรปก็ช่างหลอกตาเหลือเกิน ดูอย่างมาดามเจ้าของบ้านที่ฉันเช่าอยู่สิ…ฉันคิดมาตลอดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ชื่นชอบ ‘แฟชั่นยุค 60’ อายุมากสุดก็น่าจะมากกว่าแม่ของฉันสักปีสองปี แต่ที่ไหนได้กลับเป็นคุณยายผู้ทันสมัยไปเสียได้
ตอนนั้นฉันขอตกแต่งห้องที่เช่าใหม่ซึ่งจำเป็นต้องให้เจ้าของบ้านเซ็นรับรองเพื่อยืนยันก็เลยได้เห็นบัตรประชาชนของมาดามเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ มาดามเกิดปี 1949
ปี 1949…มีเคล็ดลับให้ดูอ่อนกว่าวัยจริงๆ เสียด้วย!
ถ้าคาดเดากันตามทฤษฎีนี้แล้ว มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเองก็น่าจะไม่ได้อายุแค่ยี่สิบเจ็ดแน่ๆ และเมื่อพิจารณาปริมาณเส้นผมและตีนผมแล้ว คาดว่าจะต้องสามสิบขึ้นไปอย่างแน่นอน แต่คงเกินสามสิบไปไม่มากเท่าไหร่ อาจจะประมาณสามสิบเอ็ดสามสิบสองนี่แหละ
ชีวิตส่วนตัวของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟเองก็เป็นปริศนา ว่ากันว่าเขาแต่งงานแล้ว หย่าแล้ว แม้แต่คนที่บอกว่าคู่สมรสของเขาเสียชีวิตไปแล้วก็มี จริงสิ…มีคนบอกว่าเขาเป็นเกย์ด้วยนะ
ขอร้องล่ะ! อย่าเดามั่วไปหน่อยเลย ก็แล้วทำไมจะต้องคิดว่าคนหล่อและมีความสามารถต้องเป็นเกย์กันหมดด้วยล่ะ ถึงฉันจะชื่นชอบโมเมนต์ของพ่อหนุ่มผมลอนกับคุณถั่วในทีวีนั่นเหมือนกัน แต่ในชีวิตจริงก็ช่วยไว้ชีวิตบรรดาสาวโสดหน่อยได้หรือเปล่า
แต่พี่เจี๋ยเองก็มีคำพูดที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย เขาบอกไว้ว่า ‘ชายคนไหนไม่ได้สวมแหวนก็ถือว่าเขายังโสด มองแล้วให้รีบเข้าไปจับจองซะ!’
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟใช้โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นห้าเอส แต่ไม่ได้ลงแอพฯ โซเชียลมีเดียเอาไว้เลย ไม่ว่าจะเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือว่าอินสตาแกรม แถมเขายังเสียดสีนักเรียนที่วันๆ เอาแต่จับโทรศัพท์มือถือว่ายอมให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามาบงการสมองของตัวเองอีกด้วย
นี่มันยุคดิจิตอลแล้วนะ หรือว่ายังมีคนที่ไม่ต้องการผูกสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อยู่ด้วย
ทว่าความคิดของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง “ผมไม่จำเป็นจะต้องแชร์ชีวิตของตัวเองให้คนอื่นดูเสียหน่อย ถ้ามีธุระจริงๆ ค่อยส่งข้อความหรือโทรศัพท์เอาก็พอ”
เขาพูดได้ถูกต้องจนฉันหมดเหตุผลที่จะโต้แย้งเลยล่ะ
ฉันเลยถามเขาว่า “แล้วนอกจากสอน ตอนอยู่ระหว่างทางมาสถาบัน ระหว่างทางกลับบ้าน แล้วก็ระหว่างดื่มกิน ปกติคุณทำอะไรบ้างคะ”
ตอนนั้นมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็โพล่งออกมาว่า “คิดเมนูใหม่ๆ”
“งั้นนอกจากคิดเมนูใหม่ล่ะคะ”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟตอบโดยไม่คิดเลยสักนิด “ทดลองเมนูใหม่”
“นอก! เหนือ! จาก! เมนู! ล่ะ! คะ!”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็ยังตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ถ้างั้นก็ดูปลาว่ายน้ำไปมา”
ที่บ้านของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟมีตู้ปลาขนาดใหญ่ เลี้ยงปลาสวยงามเอาไว้ตู้หนึ่ง เวลาไม่มีอะไรทำเขาก็จะจ้องมองมัน ก่อนหน้านี้เขาจ้องมองปลาเหล่านั้นอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันกับเขาจ้องมองมันอยู่ด้วยกันสองคน…มองตลอดทั้งบ่าย
แหะๆ
สนุกดีออก…แล้วก็มีรสนิยมมากๆ เลยด้วย หรือไม่จริงคะ
ฉันทำได้เพียงหัวเราะแหะๆ
หลังจากฉันได้เลื่อนระดับไปสู่ชั้นสูงแล้วก็เลยได้เข้าเรียนในคาบเรียนสาธิตของเขา และตอนนั้นเขาไม่ใช่เชฟธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเอ็มโอเอฟสวมชุดยูนิฟอร์มที่มีธงชาติบนปกเสื้อเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีแค่บรรดาเอ็มโอเอฟเท่านั้นถึงจะได้รับเกียรตินี้ และเกียรติยศของเอ็มโอเอฟนี้ได้รับมาจากประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้มอบให้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่สถานะของเขาจะแตกต่างออกไป
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเกลียดนักเรียนที่สวมเครื่องแบบสกปรกและยับยู่ยี่เป็นที่สุด ดังนั้นทุกครั้งก่อนจะถึงคาบเรียนของเขาหนึ่งวัน ฉันไม่เพียงเอายูนิฟอร์มของตัวเองออกมาซัก แต่ยังใช้เตารีดรีดให้เรียบกริบเป็นพิเศษอีกด้วย
ฉันพยายามขนาดนี้…แน่นอนว่าก็เพื่อที่จะได้เป็นที่จดจำในสายตาของเขา
ฉันโอเวอร์เกินไปอย่างนั้นเหรอ ขอร้องล่ะ…ฉันยังไม่ถึงขั้นซื้อเครื่องแบบใหม่สักหน่อย!
แต่ประเด็นหลักจริงๆ ก็คือเครื่องแบบเบอร์ศูนย์มันไม่มีขายแล้วน่ะสิ…แหะๆ
หลังรออยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ เพียงเพื่อจะได้เป็นคนแรกที่พูดว่า “Bonjour เชฟ” เขาจะยิ้มและตอบฉันกลับมาว่า “บงชูร์” จากนั้นก็เอนตัวหลบให้ฉันและนักเรียนคนอื่นๆ เข้าไปในห้องเรียน
เพียงแค่ประโยคทักทายที่สุภาพและธรรมดาเสียไม่มีนั่นก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นตึกตักไม่หยุด
ใช่แล้ว…หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันนี่แหละ เธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าน่ะ…อดทนอีกหน่อยนะ พวกเรายังต้องเดินกันไปอีกไกล
จากนั้นก็ต้องเข้ายึดที่นั่งตรงกลางของแถวแรกให้ได้ ฉันจะคลาดสายตาจากเทพบุตรในแต่ละท่วงท่าไปไม่ได้
การที่มิสเตอร์เอ็มโอเอฟได้เป็นเอ็มโอเอฟตั้งแต่อายุยังน้อยมีเหตุผลของมันอยู่ เพราะการสาธิตของเขาทำอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ค่อยๆ อธิบายเป็นข้อๆ อย่างละเอียดและชัดเจนด้วยท่าทางอันคล่องแคล่ว
และตั้งแต่คาบแรกนั้นเป็นต้นมา ฉันก็จำได้เพียงดวงตาสีฟ้าอ่อนชวนหลงใหลของเขา และเสียงทุ้มต่ำอันเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ทะลุผ่านหัวใจของฉันไปไม่หยุดหย่อน
นักเรียนซูอี้…นี่เธอยังตั้งใจเรียนอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เห็นได้ชัดเลยว่าทำไม่ได้
ฉันได้กลายเป็นแฟนคลับสาวผู้คลั่งไคล้ไร้สติของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟอย่างเป็นทางการแล้ว หรือจริงๆ ควรจะเรียกว่าเป็นหญิงสาวผู้หลงใหลเขาอย่างโงหัวไม่ขึ้นดีล่ะ
แต่ตัวฉันไม่มีทางยอมรับหรอก!
เพราะฉันไม่ได้คลั่งไคล้ไร้สติหรือแค่หลงใหลรูปลักษณ์ของเขา แต่เป็นแฟนตัวจริงที่มีรักแท้ให้เขาต่างหาก รักแท้น่ะเข้าใจหรือเปล่า!
หลังเรียนคาบเรียนสาธิตเสร็จแล้ว ฉันก็ตามมาจ้องมองเขาสอนในคาบเรียนปฏิบัติต่อ สุดท้ายเมื่อรวมทุกคาบที่ฉันเข้าเรียนแล้วก็นับว่าได้มองเขาแค่สามครั้งเหมือนมองดาวมองพระจันทร์เท่านั้น
ทำไงได้ล่ะ…นักเรียนในชั้นปีเดียวกับฉันมีมากเกินไปจริงๆ นี่นา แค่คาบของหวานระดับสูงก็แบ่งออกเป็นแปดกลุ่มแล้ว แต่มีคนบอกเหมือนกันนะว่ากลุ่มอื่นๆ ได้เข้าเรียนตั้งหกครั้ง
มากกว่าเป็นเท่าตัวเลยนี่!
อารมณ์เสียอะ เริ่มจะโมโหแล้วนะ…เรื่องนี้ก็ไม่ยุติธรรมเหมือนกัน!
แต่ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีโอกาสก็สร้างโอกาสขึ้นมาซะเองเลยสิ เข้าเรียนกับเทพบุตรไม่ได้ก็ต้องไขว่คว้าให้ได้เข้าเรียนกับเทพบุตร!
แนวความคิดอันชั่วร้ายนี้เดิมทีมีต้นทุนมาจากประเทศของฉัน และฉันไม่คิดจะรออะไรต่อไปอีกสักนิดเดียว กลางเดือนมิถุนายนก็จะถึงพิธีจบการศึกษาแล้ว ดังนั้นการซื้อตั๋วเครื่องบินเอาไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก แต่ว่าตรงหน้าฉันกลับมีอะไรที่ดึงดูดใจมากกว่าน่ะสิ…และเพื่อสิ่งที่ยั่วยวนใจนี้ ฉันจะพยายามอยู่ต่อให้ได้เลยล่ะ
เพื่อมิสเตอร์เอ็มโอเอฟแล้ว…ก็ทำได้เพียงขยายเวลากลับบ้านของฉันออกไปเท่านั้น
นักเรียนที่เรียนไปถึงระดับสูงทุกคนจะมีโอกาสยื่นขอฝึกงาน และหนึ่งในการฝึกงานนั้นรวมการอยู่ช่วยสอนที่สถาบันเอาไว้ด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะอยู่เคียงข้างกับเทพบุตร…การเป็นผู้ช่วยสอนที่สถาบันก็เป็นโอกาสสุดท้าย และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของฉันด้วย
เดือนมีนาคมฉันจึงตรงไปยังฝ่ายกิจการนักเรียนเพื่อยื่นคำขอ เดือนเมษายนทำแบบทดสอบ หลังจากนั้นก็รอการแจ้งผลกลับมา
ช่วงเวลาแห่งการรอคอยช่างแสนยาวนาน เพราะว่าโจแอนนาที่รับผิดชอบการช่วยสอนในฝ่ายกิจการนักเรียนกับเชฟปากกว้างที่เป็นคนจัดระเบียบการฝึกงานของนักเรียนต่างผลัดกันไปพักร้อน
ชาวฝรั่งเศสไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ ขอเพียงไม่มีธุระก็มักจะออกไปขุดเส้นลวดกัน พวกเขาเรียกมันว่าการดื่มด่ำกับชีวิต
แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ฉันคุ้นชินแล้ว การเร่งให้คนฝรั่งเศสทำอะไรสักอย่างมีแต่จะเพิ่มความอึดอัดใจให้ตัวเอง ดังนั้นในเวลานี้นอกจากรอคอย…ฉันก็ทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น
รอจนกระทั่งพวกเขากลับมาก็ปลายเดือนพฤษภาคมแล้ว ฉันยังไม่มั่นใจนักว่าควรจะกลับบ้านหรืออยู่ที่นี่ต่อดี และถ้าหากยังไม่ซื้อตั๋วเครื่องบินตอนนี้ราคาก็จะขึ้นอีกเป็นเท่าตัว!
แต่ใครจะสนใจล่ะว่าตั๋วเครื่องบินของฉันจะราคาขึ้นเป็นเท่าตัวหรือเปล่า แถมใกล้จะเข้าสู่สัปดาห์แห่งการสอบแล้ว ดังนั้นมาตั้งใจเตรียมตัวสอบกันเถอะ
เอาล่ะ…ไว้สอบเสร็จแล้วค่อยถามใหม่อีกที
จนกระทั่งวันหนึ่งของช่วงต้นเดือนมิถุนายน หลังฉันสอบดึงน้ำตาลซึ่งเป็นการสอบอย่างสุดท้ายเสร็จสิ้นก็นั่งบื้ออยู่บนเก้าอี้หวายในสวนดอกไม้ที่ชั้นล่าง พอเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็เห็นข้อความถามถึงวันกลับบ้านเป็นกุรุสจากพี่เจี๋ย รวมถึงแจ้งเตือนอีเมลใหม่หนึ่งฉบับ
พอจิ้มนิ้วลงบนไอคอนรูปไปรษณีย์สีฟ้าก็พบว่าโจแอนนาเป็นคนส่งอีเมลมา และในนั้นมีเพียงประโยคที่เขียนไว้ว่า
‘Pourriez-vous venir signer le contrat d’assistant, s’il vous plaît?’
(คุณสามารถเซ็นสัญญาผู้ช่วยได้หรือไม่)
สวรรค์ยังใส่ใจฉันอยู่ เขาบอกให้ฉันอยู่ต่อล่ะ!
จากนั้นฉันก็อยู่ที่นี่ต่อไป เย่!
ไม่ว่าจะเวลาไหน มิสเตอร์เอ็มโอเอฟของฉันก็ไม่เคยขาดแคลนแฟนคลับ โดยเฉพาะแฟนคลับสาวๆ
ฉะนั้นแล้ว ต่อให้ฉันจะเป็นผู้ช่วยสอนได้สำเร็จ และตั้งแต่นี้ไปก็จะใกล้ชิดทำความสนิทสนมกับเขา แต่เพื่อที่จะดึงดูดสายตาของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟและเพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานจากเขา ฉันเองก็ต้องลำบากลำบนไม่น้อยทีเดียว
ฉันยอมรับว่าตัวเองไม่ร่าเริงและทันสมัยมากพอ อีกทั้งยังไม่ได้สวยพริ้งสะดุดตาขนาดนั้นด้วย เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจพึ่งพารูปลักษณ์ ฉันก็ทำได้แค่ใช้ปฏิภาณไหวพริบเข้าสู้ เพราะถึงอย่างไรตัวฉันที่มีทักษะเพียงน้อยนิดก็ไม่อยู่ในสายตาของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟอยู่แล้ว สุดท้ายจึงทำได้เพียงเช็ดหยาดเหงื่อที่มาจากความขยันหมั่นเพียรเท่านั้น
สองเดือนกว่าๆ ไม่อยากเป็นเพียงผู้ช่วยสอนที่เขาจำชื่อไม่ได้
สองเดือนกว่าๆ อยากให้เขาจดจำฉันได้
สองเดือนกว่าๆ ถ้าเขาเองก็ชอบฉันเหมือนกัน มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.