X
    Categories: Dear Mr. MOF หวานละมุน... คุณที่รักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Dear Mr. MOF หวานละมุน… คุณที่รัก บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 4 บีบซูอี้ขึ้นมัดมือชก

 หญิงสาวที่เป็นเพื่อนบ้านของฉันเป็นสาวไต้หวันใจดี แบ่งปันข้าวหน้าพะโล้ให้ฉันกินอยู่บ่อยๆ ดังนั้นพวกเค้กและอาหารที่ฉันทำในคาบเรียนปฏิบัติ ถ้าเขมือบคนเดียวไม่หมดก็จะเอามาแบ่งกับเธอคนละครึ่ง

เธอแค่ไม่ดีในบางเรื่อง…เพื่อนบ้านชาวไต้หวันคนนี้ชอบฟังเพลง จะฟังก็ฟังเถอะ แต่ใส่หูฟังหน่อยดีไหม ดูแต่งตัวเป็นสาวทันสมัย ทำไมไม่หาซื้อหูฟังมอนสเตอร์ตามเทรนด์ไว้สักอันล่ะ อันหนึ่งก็ไม่ได้แพงเสียหน่อย อย่างน้อยก็ถูกกว่ากระเป๋าชาแนลพวกนั้นแล้วกัน คุณสมบัติหูฟังแบบมีเมมโมรี่ในตัวของแอปเปิ้ลเองก็ดีมากนะ โทนเสียงแจ่ม ประสิทธิภาพดีเยี่ยม หรือจะใช้แบบที่แถมมากับโทรศัพท์มือถือก็ได้ ไม่ต้องเสียเงิน

แต่เธอบอกฉันว่าชอบเปิดออกลำโพงมากกว่า…ถ้าอย่างนั้นก็เลือกเวลาหน่อยได้ไหมล่ะ

ก็เธอชอบเปิดออกลำโพงแบบไม่เลือกเวลานี่นา

สาวเอาแต่ใจแค่นึกอยากฟังเพลงก็จะเปิดเพลงขึ้นมาแบบไม่เลือกเวลา ฟังไปได้สักพักก็จะเริ่มร้องตาม จากนั้นร้องไปร้องมาก็เริ่มร้องไห้ ร้องไห้ให้กับความรักที่ผ่านพ้นไปของเธอ ร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับคนรักที่จากไปของเธอ…ร้องห่มร้องไห้ถึงขนาดนี้ ฉันเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะเคาะประตูตักเตือนว่าเธอกำลังรบกวนความฝันอันสดใสของฉันอย่างรุนแรง

ปัญหาก็คือฉันไม่อยากฟังเพลงดอนทรายใต้น้ำที่หายไปแล้วเข้าใจหรือเปล่า เธอเองก็ไม่ได้อยากให้เขากลับมาหรอกไม่ใช่หรือไง ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาจะกลับมาได้ยังไงล่ะ

ให้ฉันแนะนำนะ เปลี่ยนเป็นเพลงรีบกลับมาเถอะนะจะดีเสียกว่า เขาจะได้เอาความคิดถึงกลับมาหาเธอ และอย่าฟังเพลงฉันคิดถึงคุณอีกเลยนะ ถ้าเรื่องราวในอดีตมันจืดจางไปแล้ว เชิญเธอเก็บซ่อนมันเอาไว้ลึกๆ ในใจเถอะ อย่า! มา! ร้อง! ให้! ฉัน! ได้! ยิน!

เฮ้อ พูดได้เท่านี้แหละนะ แค่นี้ฉันก็แทบจะติดสำเนียงไต้หวันของเธอมาอยู่แล้ว ฉันขอไปสงบสติอารมณ์ที่สถาบันก่อนล่ะ ถ้ากลับมาแล้วต้องเปลี่ยนเพลงให้ฉันนะ…ระวังเถอะ ฉันจะฟ้องเจ้าของบ้านให้

…คราวนี้จะฟ้องจริงๆ แล้วนะ!

 

พอฉันมาถึงสถาบันก็เปลี่ยนเป็นชุดยูนิฟอร์มของสถาบันก่อนจะลงไปกินมื้อกลางวันที่ห้องครัวชั้นล่าง

พระอาทิตย์ตั้งตรงศีรษะในเวลาเที่ยง ฉันไม่อยากออกไปข้างนอก ยังไงเสียที่สถาบันอย่างน้อยก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นๆ ส่วนอยู่ทำอะไรน่ะเหรอ…ก็คงทำอะไรสักอย่างนั่นแหละ

ทำอะไรดีนะ…งั้นไปจัดชั้นวางของที่ชั้นสามแล้วกัน ยังไงฉันก็ว่างอยู่แล้วนี่นา

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟสอนคาบเรียนปฏิบัติอยู่ที่ห้องข้างๆ พอเห็นฉัน เขาก็เดินเข้ามาหา “ซูอี้ คุณทำอะไรอยู่น่ะ”

“จัดชั้นวางของน่ะค่ะเชฟ”

เขาจะดูว่าฉันจัดได้ยอดเยี่ยมหรือเปล่างั้นเหรอ โรครักความสะอาดผนวกเข้ากับโรคย้ำคิดย้ำทำของสาวราศีกันย์ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแม่งานคหกรรม เรื่องจัดเก็บรวมกันนับว่ายอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งเลยล่ะ

“อืม…” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟพยักหน้าให้ “คุณเตรียมของเสร็จแล้วเหรอ หยิบแม่พิมพ์ซูเฟล่แล้วหรือยัง”

ฉันนิ่งอึ้งไป เขาให้หยิบอะไรนะ

“ยัง…ยังไม่ได้หยิบค่ะ”

หรือว่าฉันจำตารางสอนผิดไป วันนี้ฉันมีสอนงั้นเหรอ…ให้ตายสิ!

ฉันลืมสอนงั้นเหรอ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันนะ!

“ตามผมมา” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเอ่ยขึ้น “ผมจะบอกให้ว่าคุณหยิบมันได้จากที่ไหน”

“เชฟ…เชฟคะ รอเดี๋ยว” ฉันรีบเรียกเขาเอาไว้ เดี๋ยวนะ…นี่มันเรื่องอะไรกัน รอให้ฉันจัดระเบียบความคิดหน่อยสิ “คุณบอกว่าให้หยิบแม่พิมพ์เหรอคะ แต่แม่พิมพ์อันนี้เอาไว้ให้คาบเรียนสาธิตตอนบ่ายสามครึ่งใช้นี่คะเป็นคาบที่สามของระดับสูง”

“ก็ใช่ไง คาบเรียนนั้นจะทำซูเฟล่ไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึง “คุณเตรียมแม่พิมพ์แล้วหรือยังล่ะ”

ฉันว่าแล้วเชียวว่าวันนี้เป็นวันพักของฉัน มีสอนเสียที่ไหนกันล่ะ! เกือบหลงว่าตัวเองจำผิดแล้วไง

“คือเชฟคะ…คาบสอนนั้นไม่ใช่ของฉันค่ะ”

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟสีหน้าดำทะมึน “งั้นใครสอนกับผมล่ะ”

“แฮรา…” ใช่เธอหรือเปล่านะ…ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่แล้วล่ะ แฮราค่ะ”

“แฮราเป็นใคร”

“สาวเกาหลีไงคะเชฟ”

“งั้นเธออยู่ที่ไหนล่ะ”

“ฉันไม่รู้ค่ะเชฟ”

“แล้วเธอเตรียมของเรียบร้อยหรือยัง”

“ไม่รู้ค่ะ…น่าจะยังนะคะ…ฉันยังไม่เห็นของของเธอเลย”

สีหน้าของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟน่ากลัวขึ้นทุกขณะ ซูอี้น้อยกลัวจังเลย “เธอยังไม่มาอีกเหรอ”

“…”

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วก็น่าจะยังไม่มาแน่ๆ…

“คุณรู้หรือเปล่าว่าเธอจะมาเมื่อไหร่”

“ฉัน…ไม่รู้ค่ะเชฟ”

“นี่ก็ตั้งกี่โมงแล้ว โทรไปหาเธอหน่อยซิ!”

“แต่ว่า…ฉันไม่มีเบอร์ของเธอนี่คะ…”

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟสูดลมหายใจลึก เดินไปยังโทรศัพท์ที่ใช้โทรภายในซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ แต่ไม่ทันไรโจแอนนาที่รับผิดชอบการจัดคาบสอนก็ลุกขึ้นมา

ฉันได้ยินพวกเขาใช้ภาษาฝรั่งเศสคุยกันเร็วจี๋ ในประโยคสอดแทรกด้วยชื่อ ‘แฮรา’ และ ‘ซูอี้’ อยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งคู่พูดกันเร็วเหลือเกิน ในฐานะที่ฉันยังเป็นมือใหม่กับภาษาฝรั่งเศสก็ทำได้เพียงรับรู้ข้อมูลแค่นี้เท่านั้น

ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย…

ระหว่างรอจนกระทั่งมิสเตอร์เอ็มโอเอฟกับโจแอนนาเดินเข้ามาด้วยกัน ฉันก็เช็ดถูสเตชั่นทำงานไปได้ประมาณแปดร้อยรอบแล้ว แล้วทำไมสองคนนี้ถึงมองฉันด้วยสายตาดุดันนักล่ะ จะทำอะไรกันคะ

มองจนฉันกลัวแล้วนะ…

เป็นโจแอนนาที่เอ่ยปากขึ้นก่อน “ซูอี้ ตอนนี้เธอไม่ได้มีเรื่องอื่นต้องไปทำใช่หรือเปล่า”

“คะ? ไม่มีค่ะ…” จริงๆ แล้วฉันควรจะบอกไปว่าฉันมีธุระใช่ไหมนะ

“คาบเรียนตอนบ่ายสามครึ่งเธอเข้าสอนกับเชฟได้ไหม” โจแอนนาถาม

“คะ? ฉันเหรอ…แล้วแฮราล่ะคะ”

ฉันเหลือบมองมิสเตอร์เอ็มโอเอฟแวบหนึ่ง แต่บังเอิญว่าเขาเองก็มองฉันอยู่เหมือนกัน

“ตอนนี้ติดต่อแฮราไม่ได้ เธอมีธุระอื่นหรือเปล่า” โจแอนนาถามอีกครั้ง

“อ๋อ…ไม่มีค่ะ” ฉันกลัวว่าอีกเดี๋ยวแฮรามาแล้วจะหาว่าฉันไปแย่งคาบสอนของเธอน่ะสิ…

อาจเป็นเพราะว่าฉันตอบรับค่อนข้างช้า โจแอนนาจึงลากฉันไปที่อีกฝั่งหนึ่ง “ถ้าเธอไม่เต็มใจสอนกับเชฟก็บอกมาได้เลยนะ ไม่เป็นไร”

ไม่ใช่อย่างที่คิดกันสักหน่อย…

ไม่รอให้ฉันได้ปริปากอธิบายอะไร มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็เดินเข้ามา “ซูอี้ คุณไม่เต็มใจสอนกับผมเหรอ”

“ไม่ใช่นะคะ…” ฉันชักเริ่มไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟกะพริบตาสีฟ้าคู่สวย “งั้นผมจะถือว่าคุณเต็มใจก็แล้วกันนะ”

นี่ก็ผิดกติกาไปหน่อยนะ ถึงขั้นใช้แผนหนุ่มหล่อพิชิตใจสาวแบบนี้! ฉันก็ได้แต่วางอาวุธยอมจำนนโดยศิโรราบ “ฉัน…ยินดีมากๆ เลยค่ะที่จะได้สอนด้วยกันกับคุณ”

“ซูอี้ ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว เธอต้องรีบแล้วนะ” โจแอนนาตบไหล่ฉันแล้วหันไปหามิสเตอร์เอ็มโอเอฟ “เชฟคะ งั้นฉันลงไปก่อนนะคะ ส่วนซูอี้ก็ต้องฝากคุณแล้ว มีอะไรก็โทรมาที่โทรศัพท์ห้องทำงานฉันนะ”

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟพยักหน้าให้โจแอนนา จากนั้นก็เดินออกไป

อีกสองชั่วโมงจะต้องขึ้นสอนแล้ว นี่มันมัดมือชกกันนี่นา!

 

ในที่สุดเสี่ยวซูที่ถูกมัดมือชกก็เตรียมวัตถุดิบทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยก่อนบ่ายสามโมง เวลานี้ฉันรู้สึกได้แต่เพียงความเหนื่อยล้า ซึ่งทั้งหมดก็มาจากการเร่งมือทั้งนั้น

พอไปเคาะประตูห้องเรียนสาธิตก็พบว่าเชฟนอร์มังดีกำลังสาธิตการทำอาหารฝรั่งเศส คาบของเขายังไม่จบ และดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะยังอีกสักพักจึงจะเลิก นี่มันผีซ้ำด้ำพลอยชัดๆ

“คุณยืนอยู่ที่หน้าห้องเรียนของผมตลอดเลย มีอะไรหรือเปล่า” เชฟนอร์มังดีกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก

“เชฟคะ คือฉัน…” ฉันไม่กล้าถามเชฟนอร์มังดีว่าอีกนานแค่ไหนเขาถึงจะเลิกสอน “อีกเดี๋ยวฉันมีสอนที่ห้องเรียนนี้ค่ะ จะขอเข้าไปเอาวัตถุดิบในลิฟต์ออกมาได้หรือเปล่าคะ คือฉันอยากเอาเนยแช่ตู้เย็นน่ะค่ะ”

เนยต้องแข็งถึงจะแบ่งได้ง่าย…อีกอย่างตอนนี้ห้องเรียนนี้ก็ร้อนอย่างกับห้องอบซาวน่าแน่ะ เนยของฉันจะต้องร้อนขึ้นแน่ๆ

เชฟนอร์มังดีทำหน้ามุ่ย “คุณเป็นใคร เข้าสอนกับเชฟคนไหน”

“ฉัน…”

“เธอเป็นผู้ช่วยสอนของเอ็มโอเอฟ”

คนที่เอ่ยขึ้นมาคือมิสเตอร์เอ็มโอเอฟ เขาสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ของตัวเองเดินมายืนนิ่งอยู่ข้างหลังฉัน กวาดตามองทั้งสเตชั่นอย่างดูแคลนด้วยสายตาคมกริบ “ซูอี้เป็นผู้ช่วยสอนของเอ็มโอเอฟ แต่ว่าเชฟครับ ผมอยากถาม คุณคิดว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอ”

กรี๊ด! ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือเปล่า มิสเตอร์เอ็มโอเอฟใช้คำว่า ‘คุณ’ กับเชฟนอร์มังดี นี่เขาใช้ภาษาสุภาพอย่างนั้นเหรอ

เชฟนอร์มังดีเหลือบมองมิสเตอร์เอ็มโอเอฟแวบหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างเกรงกลัว ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

“ซูอี้บอกเขาไปสิว่ากี่โมงแล้ว!”

“…บ่ายสามห้านาทีค่ะเชฟ” ฉันทำใจดีสู้เสือ แต่ว่าเสียงกลับสั่นเครือ

น่ากลัวจังเลย…ต้องสยดสยองขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!

“เชฟครับ…คุณควรจะจบคาบเรียนสาธิตของคุณไปตั้งแต่บ่ายสามแล้ว ตอนนี้ช้าไปห้านาที แถมอากาศในห้องเรียนยังร้อนระอุ หลังจากนี้ยี่สิบห้านาทีผมต้องขึ้นสอน ผู้ช่วยของผมก็ยังเข้าไปเตรียมตัวไม่ได้ คุณคิดจะให้นักเรียนของผมรอไปถึงเมื่อไหร่กัน ผมเรียกให้พวกเขาไปดื่มสตาร์บัคส์ที่ร้านตรงหัวมุมแล้วค่อยกลับมาได้หรือเปล่า พ่อครัวไม่รักษาเวลากันเลยเหรอครับ หรือว่าแค่คุณคนเดียวที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ?”

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟใช้โทนเสียงนิ่งเรียบราวกับว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร ทว่าทั้งห้องเรียนกลับเข้าสู่ความเงียบงันในทันใด เชฟนอร์มังดีไม่เอ่ยอะไร มือขวาถือกระบวยยาวกวนวนสะเปะสะปะอยู่ในหม้อ

ผู้ช่วยสอนอาหารฝรั่งเศสเจียงเจียงเจียงเจี้ยงยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่อีกฝั่ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“ซูอี้!”

ฉันตัวสั่นเทา หนังหัวชาไปครู่หนึ่ง “ค่ะ!”

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟออกคำสั่ง “ยกของเข้าไปวางข้างใน!”

น่ากลัวจังเลย ท่าทางของเทพบุตรน่ากลัวจังเลย อีกเดี๋ยวจะต้องอยู่ให้ห่างๆ จากเขาสักหน่อยแล้ว กลัวจังว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย ฉันขี้ขลาดจะตาย อย่าทำให้ฉันตกใจกลัวเลยนะคะ

 

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเข้าสอนไปได้ครึ่งคาบแฮราก็มาถึงห้อง เขาได้ยินเสียงเคาะประตูจึงส่งสัญญาณให้ฉันไปเปิด พอเห็นว่าเป็นแฮราเขาก็กลอกตาไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็เรียกให้ฉันปิดประตูแล้วเข้ามาในห้อง

แม่สาวน้อย…กลับไปทำจิตอธิษฐานด้วยความเคารพบูชาซะนะ แล้วเง็กเซียนฮ่องเต้จะคุ้มครองเธอเหมือนที่ผ่านๆ มา

ผ่านไปครู่หนึ่งมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็เรียกให้ฉันไปหาคอนยักหรือบรั่นดีคอนยักให้เขาที่ห้องครัวชั้นล่าง

“ซูอี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมผมถึงต้องให้คุณไปหาคอนยักมา”

หา?

หัวใจน้อยๆ ของฉันยังไม่กลับสู่สภาพปกติเลยนะ นี่เขาจะสอนความรู้ให้ฉันต่อหน้านักเรียนเลยงั้นเหรอ ฉันส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะเชฟ”

“เพราะผมจะใส่มันลงไปในซูเฟล่น่ะสิ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟกล่าวจบก็เทคอนยักลงไปทันทีครึ่งขวด

ฉันปากอ้าตาค้าง

แล้วนี่มันจะยังกินได้ไหมเนี่ย! มิสเตอร์เอ็มโอเอฟโกรธจนเพี้ยนไปแล้วงั้นเหรอ

ผู้คนต่างพูดกันว่าใช้เหล้าคลายทุกข์ แต่นี่เขาจะใช้เหล้าดับโมโหเหรอ ถ้ารู้สึกโกรธขนาดนี้สู้เอาขวดเหล้ากระแทกพื้นไปเลยจะสะใจกว่าไหมนะ ไม่เข้าใจวิธีคิดของชาวฝรั่งเศสเลยสักนิด

 

พอหมดคาบเรียนแล้ว มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็ถามฉันขึ้นมาว่า “ซูอี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าคอนยักที่ดีที่สุดผลิตจากที่ไหน”

สุดท้ายแล้วเขาก็ยังจะสอนความรู้ให้ฉันจนได้…แต่เขาก็ทำถูกต้องแล้วล่ะ

“ที่ไหนเหรอคะเชฟ”

“ที่ช็องปาญเล็ก แล้วก็ช็องปาญใหญ่ยังไงล่ะ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟกล่าว

เมืองช็องปาญแบ่งเป็นเล็กกับใหญ่ด้วยเหรอ

ฉันอ่านหนังสือน้อยกว่าคุณแน่ๆ แต่คุณก็อย่าโกหกฉันเลยนะ ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็มีอยู่จริงๆ เสียด้วยสิ…แห่งหนึ่งเรียกว่าเขตช็องปาญใหญ่ หรือ Grande Champagne อีกแห่งหนึ่งคือเขตช็องปาญเล็ก หรือ Petite Champagne ซึ่งทั้งคู่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของประเทศฝรั่งเศส

ฉันอ่านหนังสือมาน้อยนี่เอง

“ซูอี้…คุณจะต้องรู้จักฝรั่งเศสให้มากกว่านี้หน่อยนะถึงจะใช้ได้” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟตบหัวฉันเบาๆ “จริงสิ ทำไมโจแอนนาที่ฝ่ายกิจการนักเรียนถึงได้บอกว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อนของคุณล่ะ”

“หา?” นี่เขาวนกลับมาหัวข้อสนทนานี้ได้ยังไงกัน คิดไม่ถึงเลยว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟจะถามคำถามนี้ ฉันตื่นตกใจเสียจนถอยหลังไปก้าวใหญ่

“คุณถอยไปไกลขนาดนั้นทำไม กลัวผมเหรอ”

“ไม่…ไม่กลัวค่ะ…”

ไม่กลัวก็แปลกน่ะสิ! คุณเล่นถามคำถามที่ฉันไม่อยากตอบ เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งได้เห็นด้านที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักของคุณไปนะ แล้วจะไม่กลัวได้ยังไงกันล่ะ!

“ซูอี้มานี่สิ มาข้างๆ ผมนี่”

“…ค่ะ”

ปีศาจร้ายในตำนานปรากฏกายแล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะกินซูอี้น้อยเข้าไป!

“วันนี้เป็นวันพักผ่อนของคุณเหรอ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถามอีกรอบหนึ่ง

“ค่ะ…” ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าโจแอนนาจะเอาฉันมาขาย แย่แล้ว…จะให้พูดยังไงดีล่ะ

บอกเขาว่าฉันมีเพื่อนบ้านประหลาดที่ชอบเปิดลำโพงฟังเพลงงั้นเหรอ เธอร้องเพลงเสียงดังหนวกหูแถมยังปลุกให้ฉันตื่น และฉันก็รู้สึกว่าข้างนอกมันร้อน สู้มาจัดชั้นวางของที่สถาบันดีกว่า เพราะที่สถาบันมีเครื่องปรับอากาศเย็นๆ คอยเป่า…งั้นเหรอ

“วันนี้เป็นวันพักผ่อนของคุณ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟพูดกับฉันอีกรอบโดยเปลี่ยนเป็นประโยคบอกเล่า

“แหะๆ…” ฉันทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ สองครั้ง

ทว่าเขาไม่ได้ถูกเสียงหัวเราะของฉันหลอกล่อ ทั้งยังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “บอกผมมาซิว่าไม่มีคาบสอนแล้วคุณมาที่สถาบันทำไม”

ฉันแสร้งทำตัวผ่อนคลาย “ฉันมาสถาบันเพื่อกินมื้อกลางวันแล้วก็ตากแอร์ค่ะเชฟ”

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ทั้งหมดนั่น…เพื่อที่จะได้เจอเขาต่างหากล่ะ

ฉันมา…ก็เพราะว่าอยากเจอเขา เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่กล้าบอก เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันยังไม่แน่ใจนัก ทั้งไม่แน่ใจในตัวเขา และไม่แน่ใจในตัวฉันเองด้วย

ฉันไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: