X
    Categories: First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอ บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 3 ยังไม่ถอดใจ?

เวลานี้อากาศด้านนอกหนาวกว่าตอนมา

เสื้อกันหนาวที่สามารถให้ความอบอุ่นได้ในตอนนี้กลับเปียกโชกไปซะแล้ว เวินอี่ฝานจึงโยนมันเข้ากระเป๋า เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน เวินอี่ฝานก็รู้สึกว่านี่แทบจะไม่ใช่ร่างกายเธออยู่แล้ว เธอเปิดประตูออกแล้วก็มองไปยังห้องฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งโดยอัตโนมัติ

ในเวลานี้ชายหนุ่มที่อยู่ห้องตรงข้ามน่าจะยังไม่กลับมา

โดยส่วนใหญ่แล้วช่วงตีสองตีสามจะเป็นเวลาที่เธอนอนหลับสนิท เขาจะเดินผ่านห้องเธอแล้วเคาะประตูสองทีโดยมีเจตนาร้ายแอบแฝง เคาะด้วยแรงอันหนักหน่วงคล้ายเสียงฟ้าผ่าในยามค่ำคืน จากนั้นก็จะเดินกลับไปยังห้องตนเองโดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

เป็นการยั่วโมโหคนอื่น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้สักที

เวินอี่ฝานแจ้งเจ้าของบ้านถึงเหตุการณ์นี้ไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด

หลังจากล็อกประตูเวินอี่ฝานก็ต้มน้ำร้อนกาหนึ่งแล้วถือโอกาสส่งข้อความผ่านวีแชตไปให้จงซือเฉียว

 

เวินอี่ฝาน : ฉันถึงบ้านแล้วนะ

 

บ้านของจงซือเฉียวอยู่ไกลจากจัตุรัสซั่งอัน ตอนนี้เธอจึงยังอยู่ในรถไฟใต้ดิน

 

จงซือเฉียว : เร็วขนาดนี้? ฉันยังเหลืออีกตั้งหลายสถานี

จงซือเฉียว : เอ๊ะ

จงซือเฉียว : เมื่อกี้พอฉันโดนลมพัด ก็เลยนึกย้อนไปถึงท่าทางของซังเหยียนในคืนนี้

จงซือเฉียว : เธอว่าซังเหยียนเขากลัวเธอหนาวหรือเปล่า ถึงได้โยนเสื้อคลุมมาให้เธอน่ะ? แล้วเขาก็ยังพูดอย่างรู้สึกไม่ดีด้วย เลยอ้างเหตุผลอย่างนั้นไป

 

เวินอี่ฝานหยิบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนออกมาจากตู้เสื้อผ้า พอเหลือบเห็นประโยคนี้ เธอก็หยุดชะงักไปทันที

 

เวินอี่ฝาน : พูดจาให้มันน่าเชื่อถือหน่อยนะ

 

จงซือเฉียวงุนงงขึ้นมาทันที

 

จงซือเฉียว : ที่ฉันพูดมันไม่น่าเชื่อถือตรงไหน!!!

เวินอี่ฝาน : เขามาเพื่อแก้ปัญหาต่างหากล่ะ

เวินอี่ฝาน : ฉันเดาว่าเขาคงกลัวฉันหนาวจนป่วย แล้วจะมาขอค่าหมอจากเขาล่ะมั้ง

จงซือเฉียว : ?

 

จงซือเฉียวนิ่งอึ้ง

 

จงซือเฉียว : งั้นเขาก็แค่วานคนอื่นให้เอาเสื้อคลุมมาให้เธอก็สิ้นเรื่องแล้วนี่

เวินอี่ฝาน : อากาศหนาวแบบนี้ มันไม่ง่ายหรอกนะ

จงซือเฉียว : ?

 

จงซือเฉียวพลันพูดไม่ออก เวินอี่ฝานจึงเตือนสติเพื่อน

 

เวินอี่ฝาน : เขาอาจจะหายืมเสื้อหนาวจากคนอื่นให้ไม่ได้ 

จงซือเฉียวนิ่งอึ้งไป

จังหวะนั้นมือถือก็สั่นเตือนว่าแบตเตอรี่อ่อน เวินอี่ฝานจึงวางมือถือลงบนโต๊ะเพื่อชาร์จแบตฯ แล้วเข้าห้องน้ำไป เธอค่อยๆ ชะล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออก ครั้นจ้องดวงหน้าตัวเองในกระจก จู่ๆ เธอก็ชะงักไป

เมื่อไม่นานมานี้ดวงตาที่คล้ายจะไม่คุ้นเคยคู่นั้นยังผุดขึ้นมาในความคิดของเธอ

เวินอี่ฝานหลุบตาลง โยนสำลีเช็ดเครื่องสำอางลงถังขยะพลางใจลอย

ไม่ต้องพูดถึงในเวลานี้ เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาสนิทสนมกันที่สุด เวินอี่ฝานก็ไม่ค่อยรู้จักซังเหยียนสักเท่าไหร่ ดังนั้นเธอเลยแยกไม่ค่อยออกว่าเขาแสร้งทำเป็นจำเธอไม่ได้หรือว่าเขาจำเธอไม่ได้จริงๆ

คล้ายเกมโยนเหรียญทายหัวก้อย

ไร้ร่องรอยให้ตามหา ไร้หนทางที่จะคาดเดา ทำได้เพียงพึ่งพาโชควาสนา

จากความเห็นของเธอ ความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้…ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น

 

พอเวินอี่ฝานเป่าผมจนแห้ง เธอก็เปิดคอมพิวเตอร์พิมพ์ต้นฉบับข่าวตามความเคยชินสักพัก จนกระทั่งเริ่มง่วงเธอจึงขึ้นเตียงแล้วหยิบมือถือมาจากบนโต๊ะ

หลังจากที่เธอเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นาน จงซือเฉียวก็ส่งมาอีกหลายข้อความ

 

จงซือเฉียว : อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ ถึงเขาจะจำเธอไม่ได้ อย่างน้อยพวกเราก็ได้เพ้อฝันให้ตัวเองกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง

จงซือเฉียว : ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าตอนที่เธอเจอกับซังเหยียน เธอรู้สึกยังไงบ้างอะ

 

ตามมาด้วยรูปไอคอนซุบซิบนินทา

เวินอี่ฝานครุ่นคิดสักครู่

 

เวินอี่ฝาน : เขาก็หล่อจริงๆ อะนะ

จงซือเฉียว : …

จงซือเฉียว : แค่นี้เองเหรอ

เวินอี่ฝาน : อย่างอื่นฉันยังคิดไม่ออกอะ ถ้าคิดได้แล้วค่อยบอกเธอนะ

เวินอี่ฝาน : ฉันนอนก่อนล่ะ ง่วงจัง

 

ถ้าพูดจากใจจริงแล้ว จะว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยนั่นก็คงโกหก แต่เธอคิดว่าไม่มีอะไรที่น่าพูดถึง ถ้าจะพูดขึ้นมาก็คงต้องลากมาเป็นโขยง สู้เอาเวลามานอนเพิ่มอีกหน่อยจะดีกว่า

เวินอี่ฝานวางมือถือไว้ด้านข้างแล้วเริ่มดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่เธอก็หลับไม่สนิทอย่างเคย

เธออยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอด ถูกก่อกวนด้วยความฝันที่มีแสงสีมากมายพิลึกกึกกือ เธอรู้สึกว่าวินาทีต่อมากำลังจะหลุดพ้นอยู่แล้ว ในขณะที่เธอหลับสนิท ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะไอ้งั่งข้างห้องมาตบประตูฉาดหนึ่ง

หญิงสาวเลิกผ้าห่มที่คลุมโปงอยู่ ไฟโทสะพลุ่งพล่านไปทั่วตัว

เวินอี่ฝานเป็นคนใจเย็นอย่างที่รู้กันดี ไม่ว่าจะประสบกับเรื่องอะไร เธอก็จะแก้ไขด้วยความสงบนิ่ง น้อยครั้งมากที่หน้าตาเธอจะแสดงอารมณ์พลุ่งพล่านออกมา

ทว่าคนเราก็ต้องการช่องทางที่จะระบายอารมณ์ออกมาบ้าง

ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นจากเตียงด้วยความกระฟัดกระเฟียดอย่างที่สุด

คนที่ถูกปลุกให้สะดุ้งตื่นก็จะขาดสติเป็นธรรมดา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์อย่างเธอ ในเมื่อวินาทีต่อไปเธอก็จะหลับสนิทอยู่แล้ว

เวินอี่ฝานลองสงบจิตสงบใจตัวเองลง เธอหวังเพียงว่าคนที่อยู่ด้านนอกจะทำเหมือนปกติ แค่มาเคาะไม่กี่ทีแล้วก็รีบจากไป

ใครจะไปคิดว่าครั้งนี้เขากลับเหมือนโดนผีเข้าสิง เสียงเคาะประตูยังดังไม่หยุด ปากก็ยังเรอออกมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

“ยังไม่ตื่นอีกเหรอ พี่สาวคนสวย ช่วยผมหน่อยสิ ห้องผมก๊อกน้ำเสีย…ผมขอมาอาบน้ำที่ห้องพี่หน่อยสิ…”

เวินอี่ฝานหลับตาลง ลุกขึ้นไปควานหากล้องถ่ายรูปมา เธอโฟกัสตำแหน่งให้ถ่ายไปทางประตู จากนั้นก็หยิบมือถือ โทรไปที่ 110 แจ้งความโดยเล่าถึงเหตุการณ์และแจ้งที่อยู่อย่างชัดเจน

โดนก่อกวนไปมาอยู่แบบนี้ ความง่วงงุนที่หลงเหลืออยู่ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

หญิงสาวที่พักอาศัยอยู่คนเดียว นอกห้องมีผู้ชายเมาเหล้ามาคอยก่อกวนในเวลากลางดึก เวินอี่ฝานคิดว่าตัวเองควรจะรู้สึกหวาดกลัวในสถานการณ์แบบนี้ ทว่าในเวลานี้เธอกลับรู้สึกโมโหและเหนื่อยล้า ไม่มีกำลังที่จะไปรู้สึกเป็นอย่างอื่นได้

เพราะไม่ได้รับการตอบสนองสักที ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงชายหนุ่มคนนั้นก็กลับห้องของเขาไป

เวินอี่ฝานนำคลิปที่อัดไว้ให้ตำรวจดู อีกทั้งเธอยังต้องการไปยังสถานีตำรวจเพื่อแก้ปัญหานี้ให้เด็ดขาด ในเมื่อเรื่องนี้สร้างความวุ่นวายไปจนถึงขั้นแจ้งตำรวจ เธอก็ไม่คิดที่จะจบด้วยดี เธอเตรียมจะย้ายออกหลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น

ในคลิปประตูถูกตบจนสั่นอยู่ตลอด มีเสียงผู้ชายงัวเงียแทรกมาเป็นระยะ ดูแล้วก็น่าหวาดกลัวเหมือนกัน

ตำรวจจึงไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้าม

ผ่านไปสักครู่ชายหนุ่มคนนั้นก็เปิดประตูออกมา เอ่ยอย่างรำคาญ “ใครอะ!”

ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้ เขาจึงสวมเพียงกางเกงขาสั้นรัดรูป เผยให้เห็นรอยสักรูปเสือที่น่าเกรงขามบนแขน เขามีรูปร่างบึกบึน กล้ามเนื้อนูนออกมาเป็นลูกๆ คล้ายกำแพง

“พวกเราได้รับแจ้งความ” ตำรวจเอ่ย “แจ้งว่าคุณไปก่อกวนเพื่อนข้างห้องในเวลากลางดึก”

“ก่อกวนอะไร” ผู้ชายคนนั้นเงียบไปหลายวินาที แสร้งทำเป็นงัวเงีย น้ำเสียงไม่ได้กระแทกกระทั้นเหมือนเมื่อครู่ “คุณตำรวจครับ ผมเพิ่งกินเหล้ากลับมา ผมเมาแล้วอาจจะเคาะผิดห้องมั้งครับ เป็นเพียงการเข้าใจผิดน่ะครับ”

ตำรวจปั้นหน้าจริงจัง “คนที่มาแจ้งความยังมีคลิปเป็นหลักฐานด้วย คุณเคาะผิดห้อง แล้วยังตะโกนว่าจะไปอาบน้ำห้องเขา อย่ามาพูดจาไร้สาระแถวนี้นะ เร็วเข้า ไปสถานีตำรวจกับพวกเรา”

ชายหนุ่มคนนั้นยังอธิบายอีกยืดยาว แต่พอเห็นว่าแก้ต่างอะไรไม่ได้แล้วก็รีบหยุดลงแต่โดยดี

เขาเงยหน้า จ้องเวินอี่ฝานที่ยืนอยู่ด้านหลังตำรวจด้วยแววตาลึกล้ำ

เวินอี่ฝานกอดอก ยืนพิงขอบประตู มองกลับไปที่เขาอย่างไร้อารมณ์ ดวงตาเธอแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก ไม่ได้หวาดกลัวสักนิด กลับดูเหมือนเธอกำลังจ้องอะไรที่สกปรก

 

พอไปถึงสถานีตำรวจ

ชายหนุ่มยังคงปากแข็ง บอกแต่ว่าตัวเองเมาเลยพูดจามั่วซั่ว ส่วนเวินอี่ฝานยืนอยู่อีกฝั่ง เล่าถึงสถานการณ์ในช่วงนั้นอย่างละเอียด ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเธอ จะว่าไปก็แค่ก่อกวนการใช้ชีวิตของเธอ ส่งผลให้เธอตื่นตระหนกตกใจง่ายก็เท่านั้น

สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยการที่ชายหนุ่มคนนั้นถูกปรับไม่กี่ร้อยหยวนและถูกกักตัวในห้องขังห้าวัน

ก่อนจะออกจากสถานีตำรวจ ตำรวจอาวุโสนายหนึ่งได้เอ่ยเตือนเธอด้วยความหวังดีว่าอย่าไปอยู่บ้านเช่ารวมกับคนอื่นเลย ไม่เพียงแต่จะมีปัญหาในด้านนี้เท่านั้น ยังมีอันตรายต่างๆ แฝงอยู่ด้วย

ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์หนึ่งที่คนเช่าห้องร่วมกันแล้วใช้ไฟมากเกินไปเป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ ที่ว่าการเมืองหนานอู๋ก็เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ รอให้นโยบายได้รับการอนุมัติก็จะเริ่มจัดการต่อไป

เวินอี่ฝานพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ

ด้านนอกท้องฟ้าสว่างแล้ว เธอจึงตัดสินใจตรงไปยังสถานีโทรทัศน์เลย

หลังจากที่เวินอี่ฝานกลับมายังเมืองหนานอู๋ เธอก็ส่งประวัติผ่านทางบริษัทจัดหางานไปยังรายการ ‘บอกข่าวเล่าต่อ’ ของสถานีโทรทัศน์หนานอู๋ ทางช่องตูซื่อ

รายการ ‘บอกข่าวเล่าต่อ’ เป็นรายการหนึ่งของทางสถานีโทรทัศน์ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องปากท้องของประชาชน วัตถุประสงค์หลักคือ ‘ใส่ใจชีวิตประชาชน ส่งต่อเสียงของพวกเขา’

เวินอี่ฝานคิดว่าเหตุการณ์ที่เธอประสบมาก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน เธอคิดเพ้อไปว่าจะนำเรื่องนี้เสนอขึ้นไปเป็นหัวข้อดีไหมพลางเดินเข้าออฟฟิศ

ด้านในเปิดไฟสว่างแล้ว แต่ยังไม่เห็นใคร

เธอจึงเดินไปชงกาแฟที่ห้องแพนทรี่ ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยจริงๆ แม้แต่ข้าวเช้ายังกินไม่ลง แต่เธอก็นอนไม่หลับ จึงสไลด์ดูแอพฯ ที่เกี่ยวกับข่าวแล้วเริ่มพิมพ์ต้นฉบับข่าว

เวินอี่ฝานใช้ชีวิตอย่างเซื่องซึมไม่มีชีวิตชีวาทั้งวัน

ตอนที่เด็กฝึกงานชื่อฟู่จ้วงซึ่งเพิ่งมาใหม่ออกไปสัมภาษณ์กับเธอ สีหน้าเขาดูลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด ท้ายที่สุดก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่ จึงโพล่งถามขึ้นมา

“พี่อี่ฝาน ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ”

เวินอี่ฝานถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองหงุดหงิดมาเกือบทั้งวันจากการนอนไม่พอ

เวินอี่ฝานอดทนอดกลั้นจนกระทั่งส่งต้นฉบับข่าวขึ้นไป นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ขอทำโอที เลิกงานปุ๊บก็เก็บของแล้วออกจากออฟฟิศเลย

ในตอนกลางคืนอุณหภูมิลดต่ำ ลมหนาวคล้ายกับดาบน้ำแข็งอันคมกริบพัดผ่านใบหูของเธอไป

เดินไปไม่กี่ก้าว เวินอี่ฝานก็ได้รับข้อความจากจงซือเฉียว

 

จงซือเฉียว : เวินอี่ฝาน ฉันจะตายอยู่แล้ว

 

“…” เวินอี่ฝานงุนงง

 

เวินอี่ฝาน : ?

จงซือเฉียว : ฉัน! จะ! ตาย! จริงๆ! นะ!

จงซือเฉียว : สร้อยข้อมือของฉันหาย!

จงซือเฉียว : เทพบุตรของฉันให้มา! ฉันเพิ่งใส่ไปได้ไม่กี่ครั้งเอง ฮือๆๆๆ!

เวินอี่ฝาน : หาไม่เจอเหรอ

จงซือเฉียว : ช่าย TAT

จงซือเฉียว : เช้านี้ตอนฉันอยู่ที่บริษัทถึงเพิ่งรู้ตัวว่ามันหายไป ฉันยังนึกว่าอยู่ที่บ้าน แต่พอกลับถึงบ้านก็หาไม่เจออะ

จงซือเฉียว : แต่ฉันคิดว่ามันคงหล่นอยู่ที่ผับของซังเหยียนนั่นแหละ

จงซือเฉียว : พอเธอเลิกงานแล้วช่วยไปถามให้ฉันหน่อยสิ ถ้าฉันต้องถ่อจากที่นี่ไปซั่งอัน มันไกลมากอะ

เวินอี่ฝาน : ได้จ้า

เวินอี่ฝาน : เธอก็อย่าเพิ่งร้อนใจไปนะ 

สมองเวินอี่ฝานคล้ายขึ้นสนิม เธอครุ่นคิดเรื่องทิศทางอย่างเชื่องช้า จากนั้นถึงค่อยก้าวเท้าไปในทิศทางใหม่ โชคดีที่ถนนตั้วลั่วอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินไปแค่เจ็ดแปดนาทีก็ถึง

พอเธอเดินลึกเข้าไปอีกก็เห็นผับ ‘จยาปัน’ ทันที

เธอเดินเข้าไปด้านใน

บนเวทีรูปทรงกลมมีวงดนตรีร็อก สไตล์เพลงต่างไปจากเมื่อคืน เสียงดนตรีหนักหน่วงจนทำให้คนหูชา แสงไฟภายในผับมืดสลัว บรรยากาศดูหรูหรา แสงจากโคมไฟหลากสีส่องวูบไหวไปมาอย่างรวดเร็ว

เวินอี่ฝานเดินไปยังหน้าเคาน์เตอร์บาร์

ภายในเคาน์เตอร์บาร์ยังคงเป็นบาร์เทนเดอร์ผมทองเหมือนครั้งที่แล้ว

เวินอี่ฝานเรียกเขา “สวัสดีค่ะ”

บาร์เทนเดอร์ยิ้มให้เธอพลางกล่าว “สวัสดียามเย็นครับคุณผู้หญิง อยากดื่มอะไรครับ”

เวินอี่ฝานส่ายหน้า พูดถึงจุดประสงค์ของการมาในทันที “เมื่อวานที่ฉันมากับเพื่อน ทำสร้อยข้อมือตกไว้ ไม่รู้ว่าพวกคุณเห็นหรือเปล่าคะ”

พอได้ยินคำพูดนี้บาร์เทนเดอร์ก็ดูเหมือนจะจำเธอได้ พยักหน้าทันที “มีครับ คุณรอสักครู่นะครับ”

“โอเคค่ะ รบกวนด้วย”

เวินอี่ฝานยืนรออยู่ที่เดิม

เธอเห็นบาร์เทนเดอร์ดึงลิ้นชักออกมา ควานหาด้านใน จากนั้นก็ดึงออกมาอีกลิ้นชักหนึ่งแล้วก็ค้นหาอีก จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก เงยหน้าพลางกวักมือเรียกใครบางคน “อวี๋จัว”

บริกรชายที่ถูกเรียกว่า ‘อวี๋จัว’ ก็เดินมา “พี่เสี่ยวเหอ มีอะไรเหรอครับ”

เวินอี่ฝานมองไป เพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบริกรชายที่ทำเหล้าหกรดใส่เธอ

บาร์เทนเดอร์ผมทองเอ่ยอย่างอึดอัดใจ “สร้อยข้อมือที่นายเก็บได้เมื่อวาน ฉันเก็บไว้ที่นี่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงหาไม่เจอล่ะ”

“หืม? สร้อยข้อมือเส้นนั้น…” อวี๋จัวก็สับสน แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ “อ๋อ จริงสิ ตอนที่พี่เหยียนลงมาหยิบเสื้อก็หยิบสร้อยข้อมือเส้นนั้นไปด้วยน่ะครับ”

“…”

เวินอี่ฝานนึกว่าตัวเองฟังผิด เธอชะงักไปทันที ก่อนจะอดโพล่งออกมาไม่ได้ “อะไรนะ”

อวี๋จัวพูดซ้ำในทันที “พี่เหยียนเอาไปแล้วครับ”

“…”

ครั้งนี้เวินอี่ฝานได้ยินอย่างชัดเจน เธอแทบไม่อยากจะเชื่อ

เจ้าของผับใหญ่โตขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะกล้าเอาทรัพย์สินที่ลูกค้าทำตกหล่นไว้ไปครอบครองอย่างหน้าด้านๆ

เห็นชัดว่าบาร์เทนเดอร์ไม่รู้เรื่องนี้ เขาได้แต่แสดงสีหน้าประหลาดใจ “พี่เหยียนจะเอาไปได้ยังไง งั้นเขาไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ”

อวี๋จัวทำหน้าเหวอทันที “ผมไม่รู้ครับ”

บรรยากาศเงียบงันไปชั่วครู่

บาร์เทนเดอร์ผมทองมองกลับไปที่เวินอี่ฝานอย่างอึดอัดใจเล็กน้อย “ต้องขออภัยด้วยครับ ปกติบอสจะเป็นคนจัดการเรื่องของหาย ไม่งั้นคุณทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ก่อน หรือไม่ก็รอสักครู่ เดี๋ยวผมจะติดต่อบอสให้ครับ”

เวินอี่ฝานไม่อยากอยู่ที่นี่นานเกินไป เธอคิดว่าถ้าพรุ่งนี้ค่อยมาเอาก็มีค่าเท่ากัน “ไม่เป็นไร ฉันทิ้งเบอร์ไว้แล้วกัน”

“โอเคครับ” บาร์เทนเดอร์หยิบนามบัตรจากด้านข้างยื่นให้เธอ “คุณเขียนไว้บนนี้แล้วกันครับ”

เวินอี่ฝานก้มหน้าลงเขียนตัวเลขแถวหนึ่งบนนั้นแล้วยื่นให้เขา “รบกวนคุณช่วยหาอีกครั้งด้วย ถ้าหาเจอแล้วโทรมาเบอร์นี้ได้เลย…”

เธอยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีคนทางด้านหลังหยิบนามบัตรไป

เวินอี่ฝานหันหน้าไปทันที แล้วก็เห็นซังเหยียนยืนอยู่ข้างหลัง เขายืนอยู่ใกล้มาก เหมือนว่าจะคุมขังเธอไว้ ชายหนุ่มมีรูปร่างผอมสูงและหล่อเหลา ตอนนี้เขาหันหน้าไปทางด้านข้าง ปรายตามองนามบัตรถึงสองครั้ง จากนั้นก็สบเข้ากับสายตาเธอ

ฉากโคมไฟแดงสุราเขียว* เสียงดนตรีที่ดังอึกทึกครึกโครมจนหูอื้อ บวกกับกลิ่นหอมจากยาสูบและไม้จันทน์ผสมปนเปกันไป

หน้าตาชายหนุ่มแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทว่าตอนนี้กลับมีท่าทางเอ้อระเหยลอยชายเล็กน้อย

ดวงตาที่คุ้นเคยระคนแปลกหน้า คล้ายว่าเขาจะจำเธอได้ แต่ทันใดนั้นมุมปากเขาก็ผ่อนคลายลง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ยังไม่ถอดใจอีกเหรอครับ”

เวินอี่ฝานตะลึงไป ไม่เข้าใจคำพูดของเขา

ซังเหยียนโยนนามบัตรกลับไปตรงหน้าเธอ ค่อยๆ ยืดตัวตรงแล้วก้าวถอยห่างไปเล็กน้อย

“คุณตั้งใจมาทิ้งเบอร์ไว้?”

บทที่ 4 คำที่ดูเป็นลูกผู้ชายที่สุด

น้ำเสียงเขาไม่เบาไม่ดัง แต่กลับเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาบนพื้นดิน ทันใดนั้นก็ชี้ทางสว่างให้แก่เวินอี่ฝาน

เมื่อคืนตอนที่เธอมาที่นี่ เธอพูดอะไรกับเขาไปบ้าง

‘ขอโทษครับ ที่นี่เป็นผับปกตินะครับ’

‘น่าเสียดายจัง’

“…”

เวินอี่ฝานเม้มปาก ความรู้สึกกระดากอายเข้าครอบงำเธออย่างมืดฟ้ามัวดิน

โชคดีที่รอบด้านเสียงดังหนวกหู บาร์เทนเดอร์จึงไม่ได้ยินคำพูดของซังเหยียน เพียงเอ่ยอย่างไม่สบายใจ

“พี่ ทำอะไรน่ะ” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ลิ้นชัก พูดเสียงสูงขึ้น “พี่เห็นสร้อยข้อมือที่วางอยู่ในนี้มั้ยครับ”

พอซังเหยียนได้ยิน เขาก็เหลือบมองแวบหนึ่ง

บาร์เทนเดอร์อธิบายว่า “ลูกค้าท่านนี้มาดื่มที่ร้านเราเมื่อคืนแล้วทำสร้อยข้อมือหล่นไว้ ตอนนั้นอวี๋จัวเก็บได้ ผม…” พอพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปแล้วเปลี่ยนคำพูด “พี่เป็นคนเก็บไว้ไม่ใช่เหรอ”

ซังเหยียนนั่งบนเก้าอี้สูง ร้องอ๋ออย่างขอไปที

“งั้นพี่เก็บไว้ที่ไหนครับ”

ซังเหยียนถอนสายตากลับมา สีหน้าไม่กังวลอะไร “ไม่เคยเห็นนะ”

“…” บาร์เทนเดอร์ผมทองสะอึกในทันใด เหมือนเขาจะพูดไม่ออกเพราะท่าทางที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ของซังเหยียน

ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวสองคนมาสั่งเหล้าที่เคาน์เตอร์บาร์

คล้ายว่าได้พบคนช่วยชีวิต บาร์เทนเดอร์จึงโพล่งไปทางซังเหยียน “บอสดูแลลูกค้าหน่อยนะครับ ผมไปทำงานก่อนล่ะ” จากนั้นก็หันไปทักทายหญิงสาวสองคนนั้น

ไม่รู้ว่าอวี๋จัวออกไปจากที่เกิดเหตุตั้งแต่เมื่อไหร่

ในเวลานี้เหลือพวกเขาเพียงสองคน

ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่แออัดเสียงดังโหวกเหวก แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่คนเดียวเมื่อบาร์เทนเดอร์พูดออกมาแบบนั้น คนหนึ่งยืน อีกคนหนึ่งนั่ง เหมือนตัดขาดออกจากบรรยากาศโดยรอบ ชวนให้รู้สึกแปลกชอบกล

ซังเหยียนหยิบแก้วใสที่สะอาดแล้วเข้าไปเทเหล้าเองจนถึงครึ่งแก้ว

ครู่ต่อมาเขาก็ดันแก้วมาตรงหน้าเธอ

เวินอี่ฝานมองไปอย่างนึกไม่ถึง

ปอยผมอันดกดำปรกลงมาตรงหน้าผากชายหนุ่ม ขนตาราวขนนกกา ภายใต้ลำแสงเช่นนี้ใบหน้าเขาจึงดูสว่างครึ่งมืดครึ่ง มือของเขายังถือกระป๋องเบียร์ที่มีเบียร์อยู่ครึ่งหนึ่งพลางเลิกคิ้วถาม

“จะให้ผมดูแลยังไงครับ”

คราวนี้เวินอี่ฝานมีความกล้าขึ้นมา รู้สึกคล้ายตัวเองมาเหล่ผู้ชายจริงๆ

เธอเงียบไปชั่วครู่ ไม่ได้แตะเหล้าแก้วนั้น “ไม่ต้อง ขอบคุณค่ะ”

…ฉากที่เงียบเหงา

เวินอี่ฝานเดาว่าซังเหยียนอาจจะรู้สึกอึดอัดเพราะคำอธิบายของบาร์เทนเดอร์คนนั้น จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เธอทิ้งเบอร์ไว้อีก เธอตระหนักว่าที่นี่คืออาณาเขตของเขา เลยไว้หน้าเขา ไม่เป็นฝ่ายรื้อฟื้นเรื่องเมื่อครู่

เธอกลับมาพูดเรื่องเดิม “เจ้าของผับเป็นคนจัดการเรื่องของหายที่นี่เหรอคะ”

ซังเหยียนยิ้มถาม “ใครบอกคุณครับ”

เวินอี่ฝานชี้ไปทางบาร์เทนเดอร์

ซังเหยียนก็มองตามไป กระแทกกระป๋องกับเคาน์เตอร์บาร์ด้วยแรงที่ลดลง

“เหอหมิงป๋อ”

เหอหมิงป๋อเงยหน้าขึ้นทันที “เอ๊ะ! อะไรครับพี่”

ซังเหยียนเอ่ยเสียงไม่ดังไม่เบา “คนอย่างฉันมีเวลาว่างมากถึงขนาดต้องมายุ่งเรื่องของหายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“…” เห็นชัดว่าเหอหมิงป๋ออึ้งๆ ไป บวกกับเขากำลังยุ่งอยู่ จึงพูดเพียงประโยคเดียว “พี่รอเดี๋ยว ผมชงเหล้าแก้วนี้ให้ลูกค้าก่อนนะครับ”

ท่าทางของซังเหยียนไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ

เวินอี่ฝานเม้มปาก วางนามบัตรลงข้างแก้วเหล้า “งั้นฉันทิ้งเบอร์ไว้ที่นี่ ถ้าพวกคุณหาเจอแล้วก็โทรบอกฉันได้เลย เดี๋ยวฉันค่อยมาเอา ขอบคุณค่ะ”

ซังเหยียนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงแต่แค่นเสียงอืมอย่างขอไปที

เวินอี่ฝานไม่รู้ว่าถ้าเขาปฏิบัติกับลูกค้าทุกคนแบบนี้ ผับแห่งนี้จะยังเปิดบริการต่อไปได้อย่างไร

เขาอาจจะทำแบบนี้แค่กับเธอคนเดียวก็เป็นได้

อาจเป็นเพราะเขาไม่พอใจในคำพูดของเธอ หรือไม่ก็เป็นเพราะยังฝังใจกับเรื่องราวในอดีต แสร้งทำเป็นจำเธอไม่ได้ แต่พอได้พบหน้าเธอก็ชักสีหน้าใส่ท่าเดียว

เวินอี่ฝานไปสถานีตำรวจตั้งแต่ตอนเช้ามืด ต่อมาก็ต้องวิ่งวุ่นไปสัมภาษณ์ถึงสามที่ พอกลับไปยังสถานีโทรทัศน์ก็ติดต่อกับเจ้าของบ้าน แจ้งว่าจะคืนห้องก่อนล่วงหน้า อีกทั้งยังต้องครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่ใหม่ แล้วยังต้องระวังชายหนุ่มข้างห้องจะมาเอาคืนอีก

เรื่องราวมากมายก่ายกองรอเธออยู่

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ท่าทางของซังเหยียนเพียงแค่นี้คล้ายจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ไม่รู้เพราะอะไร…

อาจเป็นเพราะความหงุดหงิดจากการนอนไม่พอที่ยังหลงเหลืออยู่ เธอจึงรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย

เวินอี่ฝานเอ่ยเสริมอีกประโยคด้วยเสียงเบา “มันเป็นของสำคัญมาก รบกวนพวกคุณด้วยนะคะ”

ขณะที่เธอกำลังเตรียมจะจากไป ซังเหยียนก็เอ่ยรั้ง

“รอเดี๋ยวครับ”

เวินอี่ฝานชะงักฝีเท้าทันควัน

ลูกกระเดือกของซังเหยียนขยับขึ้นลงก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาว่า “เหอหมิงป๋อ นายมัวชักช้าอะไรเนี่ย!”

“หืม?” เหอหมิงป๋องุนงง

“ของลูกค้าหล่นอยู่ตรงนี้” ซังเหยียนมองไปที่เขา พูดเน้นทีละคำ “แล้วไม่หา?”

ซังเหยียนพูดออกไปแล้ว เหอหมิงป๋อก็ควานหาอย่างกระตือรือร้นอีกรอบ คราวนี้ดันหาเจอในลิ้นชักด้านล่างอย่างน่าอัศจรรย์ เขาถอนใจโล่งอกแล้วยื่นให้เธอทันที

“ใช่เส้นนี้หรือเปล่าครับ”

เวินอี่ฝานรับมา “ใช่ค่ะ ขอบคุณมาก”

เหอหมิงป๋อหันไปมองทางซังเหยียนแวบหนึ่งก่อนจะลูบท้ายทอย

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ ทำให้คุณเสียเวลาไปมาก ทางเราต้องขออภัยจริงๆ ครับ”

ซังเหยียนดื่มเบียร์ต่อ ไม่พูดจาอะไรอีก

เวินอี่ฝานพยักหน้า กล่าวลาแล้วจากไป

ด้านนอกอากาศทั้งหนาวและชื้น คนบนถนนก็ดูบางตา มองไปทั้งถนนพาให้รู้สึกหนาวเหน็บและว่างเปล่า

เวินอี่ฝานรู้สึกหนาวจนไม่อยากแตะมือถือ เธอรีบส่งข้อความเสียงไปให้จงซือเฉียว

“สร้อยข้อมือหาเจอแล้วนะ”

หญิงสาวเอามือซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อ สูดหายใจเข้า แล้วก็ใจลอยอย่างประหลาด

ความทรงจำค่อยๆ เติมเต็มอารมณ์ความรู้สึก

เพราะเมื่อครู่เธอเพิ่งพบกับซังเหยียนที่น่าชัง แต่ในขณะเดียวกันก็คุ้นเคย

เธอนึกย้อนไปถึงฉากที่พวกเขาพบกันครั้งแรก…

วันนั้นเป็นวันเปิดเทอมชั้น ม.4 เวินอี่ฝานไปถึงโรงเรียนสาย

หลังจากมาถึงโรงเรียนเธอไม่มีแม้แต่เวลาที่จะกลับไปเก็บของที่หอ เลยวานให้คุณลุงช่วยนำกระเป๋าสัมภาระไปฝากคุณน้าที่คุมหอไว้ หลังจากนั้นก็รีบวิ่งแจ้นไปที่ห้องเรียนชั้น ม.4 ที่ตึก A เธอยังต้องเดินขึ้นไปถึงชั้นสี่

เวินอี่ฝานเดินผ่านโถงทางเดินเพื่อจะเข้าไปด้านใน ขณะก้าวผ่านเครื่องกดน้ำของโรงเรียน นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับซังเหยียน

หนุ่มน้อยรูปร่างผอมสูงราวนกกระสากำลังยืนอยู่ เขาสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินขาวของโรงเรียน กระเป๋านักเรียนแขวนอยู่ที่แขนอย่างสบายๆ หน้าตาหล่อเหลาระคนเย่อหยิ่ง สีหน้าราบเรียบ มองดูแล้วไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่ ซึ่งต่างจากท่าทางของเธอโดยสิ้นเชิง

เหมือนกับเขาจะไม่รู้ว่าระฆังดังแล้ว ซังเหยียนรองน้ำอยู่ตรงนั้น ดูท่าทางไม่รีบร้อนแต่อย่างใด

เวินอี่ฝานกำลังจะรีบวิ่งไปที่ห้องเรียน เธอรู้แค่ว่าห้องเรียนของตัวเองอยู่บนชั้นสี่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงจุดไหน

เธอไม่อยากเสียเวลาอยู่แบบนี้จึงชะงักฝีเท้าลง คิดจะถามทาง

‘โทษทีนะ’

ซังเหยียนปิดก๊อก เสียงน้ำไหลหยุดลงตามไปด้วย เขาค่อยๆ หมุนปิดฝาขวดก่อนจะหันหน้ามามองเธอ

เขามองมาแค่แวบเดียวก็เบนสายตากลับไป ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเธอเลย

ครั้งนั้นเวินอี่ฝานยังไม่รู้จักเขา รู้สึกแต่เพียงว่านักเรียนคนนี้ไม่กลัวการเข้าเรียนสายเลย กล้ามาเต๊ะท่ากดน้ำในเวลาเรียนอย่างนี้ เอ้อระเหยและไม่มีความหวาดกลัวอย่างนักเรียนใหม่สักนิด กลับยิ่งดูเหมือนจอมยุทธ์ผู้เจนโลกที่ท่องยุทธภพมานานปี

ดังนั้นเธอจึงลังเลอยู่หลายวินาที เปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘…รุ่นพี่?’

ซังเหยียนเลิกคิ้ว มองมาที่เธออีกครั้ง

‘ขอถามหน่อย’ เวินอี่ฝานเอ่ย ‘รุ่นพี่รู้มั้ยว่า ม.สี่ ห้องสิบเจ็ดอยู่ตรงไหน’

ครั้งนี้ซังเหยียนไม่ได้แสดงท่าทีไม่แยแสอีกต่อไป เขาเชิดคางขึ้น เอ่ยอย่างใจดี ‘เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวา’

เวินอี่ฝานพยักหน้า รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ แต่ซังเหยียนไม่พูดอะไรอีก

และเวินอี่ฝานก็ไม่ได้ยินคำลงท้ายอย่างเช่น ‘ก็ถึงแล้ว’

เด็กสาวเกรงว่าเขายังพูดไม่จบ เนื่องจากเธอเป็นคนรอบคอบจึงต้องถามอีก ‘จากนั้นล่ะ’

‘จากนั้น?’ ซังเหยียนก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า น้ำเสียงเอ้อระเหยและน่าตีเป็นที่สุด ‘จากนั้นก็มองป้ายห้องเอาเองสิ หรือจะต้องให้รุ่นพี่ไปอ่านให้ฟังทีละห้องเหรอ…’ เขาเน้นเสียงคำสุดท้าย ออกเสียงอย่างชัดเจน ‘รุ่น-น้อง’

‘…’

เวินอี่ฝานเอ่ยขอบคุณอย่างอารมณ์ดี

เธอเดินไปตามทางที่เขาบอก พอเลี้ยวขวาก็เห็นป้ายชั้น ม.4 ห้องสิบห้า พอเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ห้องที่อยู่ด้านในสุดก็คือห้องสิบเจ็ด เวินอี่ฝานเร่งฝีเท้า พอไปถึงหน้าห้องก็ตะโกนด้วยเสียงไม่ดังมาก

‘หนูมาแล้วค่ะ’

คุณครูประจำชั้นที่พูดอยู่หน้าห้องมองมาทางเธอพลางถามว่า ‘เธอคือซังเหยียนเหรอจ๊ะ’

เวินอี่ฝานส่ายหน้า ‘คุณครูคะ หนูชื่อเวินอี่ฝานค่ะ’

‘อ๋อ อี่ฝานนี่เอง’ คุณครูประจำชั้นมองไปที่ใบรายชื่อ รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ‘ในรายชื่อเหลือแค่เธอและซังเหยียนที่ยังมาไม่ถึง ครูดูแล้วนึกว่าชื่อนี้น่าจะเป็นชื่อผู้หญิงมากกว่า เลยนึกว่าเป็นเธอน่ะจ้ะ’

คุณครูประจำชั้นยังไม่ทันอนุญาตให้เธอเข้ามาในห้อง ด้านหลังเวินอี่ฝานก็มีเสียงผู้ชายโพล่งออกมา

‘ผมมาแล้วครับ’

เวินอี่ฝานหันไปมองตามเสียงโดยอัตโนมัติ

เธอจึงได้เห็น ‘รุ่นพี่’ ที่เพิ่งบอกทางให้เธอมายืนอยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนยืนห่างกันเพียงสองก้าว พอเดินเข้ามาใกล้เธอจึงสังเกตเห็นว่าเขาตัวสูงปรี๊ดเลย

ยืนห่างกันเพียงแค่นี้ยังต้องเงยหน้ามองเขา

ท่าทางเขาดูเย็นชา เพิ่มความกดดันขึ้นอีกหลายส่วน ตัวเขาแฝงไปด้วยกลิ่นหอมจากไม้จันทน์อ่อนๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี

หน้าตาเขาดูเฉยเมย เอ่ยอย่างไม่จริงใจ ‘ขอโทษครับคุณครู ผมมาสายครับ’

‘พวกเธอสองคนเข้ามาก่อนเถอะ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นจ้ะ’ คุณครูประจำชั้นชี้ที่นั่งที่ยังว่างอยู่สองที่ แล้วก็ถือโอกาสถาม ‘ทำไมถึงมาสายตั้งแต่วันแรกเลยล่ะ พวกเธอสองคนมาด้วยกันเหรอ’

ตำแหน่งที่คุณครูประจำชั้นชี้เป็นแถวสุดท้ายที่อยู่ด้านในสุด

ตำแหน่งที่นั่งสองที่เรียงติดกัน

เวินอี่ฝานตอบคำถามไปตามจริง ‘ไม่ได้มาด้วยกันค่ะ พอดีที่บ้านหนูมีธุระอื่นในช่วงเช้า เลยมาส่งหนูช้าไปหน่อย บวกกับที่หนูไม่ค่อยรู้จักทาง ดังนั้นหนูจึงมาสายค่ะ’

‘เป็นอย่างนี้นี่เอง’ คุณครูประจำชั้นพยักหน้าแล้วมองไปทางซังเหยียน ‘แล้วเธอล่ะ’

‘พ่อผมไม่รู้ว่าผมขึ้น ม.สี่ แล้วอะครับ’ ซังเหยียนเดินเข้าไปยังที่นั่งที่อยู่ด้านนอก วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แล้วพูดอย่างเหนื่อยหน่าย ‘ถึงได้ส่งผมไปทางฝั่งโรงเรียนมัธยมต้นครับ’

‘…’

บรรยากาศเงียบกริบทั้งห้อง แต่ในชั่วพริบตาก็ถูกปกคลุมด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา ห้องเรียนที่เงียบเชียบดูครึกครื้นขึ้นมาในทันใด

เวินอี่ฝานก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น

‘งั้นวันหลังตอนคุณพ่อส่งเธอมาโรงเรียนก็เตือนท่านหน่อยแล้วกัน’ คุณครูประจำชั้นเลยหัวเราะตามไปด้วย ‘พอได้แล้ว พวกเธอสองคนนั่งลงเถอะ’

ซังเหยียนพยักหน้าพลางรับคำ เลื่อนเก้าอี้ออกมา ขณะที่เขากำลังจะนั่งลงจู่ๆ ก็สังเกตเห็นเวินอี่ฝานที่ยืนอยู่ไม่ไกล

เขาชะงักไปทันที ‘เธอจะนั่งด้านนอกหรือด้านใน’

ทั้งสองคนสบตากัน

เวินอี่ฝานรีบหุบยิ้มโดยพลัน เอ่ยอย่างลังเล ‘ด้านในแล้วกัน’

พื้นที่ในห้องเรียนไม่กว้างนัก โต๊ะเรียนแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม ทุกกลุ่มจะประกอบด้วยเจ็ดแถวในแนวตั้งและสองแถวในแนวนอน แถวหลังสุดไม่เหลือพื้นที่สักเท่าไหร่ เก้าอี้จึงเบียดกับผนัง ถ้าจะเข้าไปด้านในต้องให้คนที่อยู่ด้านนอกลุกขึ้นก่อน

ซังเหยียนไม่ได้พูดอะไรอีก ลุกเดินออกมาด้านนอกก้าวหนึ่งเพื่อหลีกทางให้เธอ

คุณครูประจำชั้นที่ยืนบนแท่นก็เริ่มบรรยาย ‘ครูขอแนะนำตัวเองอีกรอบแล้วกัน ครูจะเป็นคุณครูประจำชั้นของพวกเธอไปหนึ่งปี และเป็นครูสอนวิชาเคมีด้วยจ้ะ’ เธอพูดไปพลางเคาะที่กระดานดำ ‘นี่คือชื่อของครู’

บนกระดานดำมีตัวอักษรสามตัวเขียนอย่างสละสลวยว่า ‘จางเหวินหง’ รวมถึงเบอร์โทรศัพท์เรียงกันอยู่แถวหนึ่ง

เวินอี่ฝานหยิบกระดาษกับปากกาออกมาจากกระเป๋านักเรียน จดเอาไว้อย่างจริงจัง

ผ่านไปสักครู่จู่ๆ นักเรียนชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็เอนตัวมาทางด้านหลัง ข้อศอกวางอยู่บนโต๊ะของซังเหยียน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกัน เขาหันหน้ามาเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าทะเล้น

‘แม่นางซัง ชื่อของนายเหมือนชื่อผู้หญิงจริงๆ นะ’

‘…’

เวินอี่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย

ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของคุณครูตอนที่เธอเพิ่งมาถึงห้องเรียน

‘ในรายชื่อเหลือแค่เธอและซังเหยียนที่ยังมาไม่ถึง ครูดูแล้วนึกว่าชื่อนี้น่าจะเป็นชื่อผู้หญิงมากกว่า’ พอได้ยินเวินอี่ฝานก็เบนความสนใจไปยังตัวของซังเหยียน

เขามีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ต้องมานั่งในตำแหน่งที่เล็กและแคบ ขายาวเหยียดของเขายัดเข้าใต้โต๊ะไม่ได้ เหมือนโดนมัดแขนมัดขาไว้ ขาข้างหนึ่งก็เลยต้องวางไว้ด้านนอก เขาหลุบตาลงต่ำ ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเขายังไม่ตื่นเต็มที่และไม่ค่อยอยากมาเรียนเท่าไหร่

ซังเหยียนมองหน้านักเรียนชายคนนั้นซึ่งๆ หน้าอย่างไร้อารมณ์

‘ฉันไม่ได้เป็นคนพูดนะ เมื่อกี้คุณครูเป็นคนพูด แต่พอครูพูดแบบนี้ ฉันลองมาคิดดูอีกทีก็ทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มจริงๆ อะแหละ’ นักเรียนชายพยายามกลั้นยิ้ม ‘ถ้านายเป็นผู้หญิง ฉันต้องจีบนายแน่’

ซังเหยียนกวาดตามองอีกฝ่ายทั้งบนและล่าง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเนิบๆ ‘ซูเฮ่าอัน นายไม่สำเหนียกตัวเองบ้างเหรอ’

ซูเฮ่าอันถาม ‘อะไร’

‘ถ้าฉันเป็นผู้หญิง ฉันจะไปปิ๊งคางคกเรอะ’

‘…’ ซูเฮ่าอันทำหน้าบูดบึ้งโดยพลัน เงียบไปสามวินาที ‘นายออกไปให้พ้นเลย!’

เวินอี่ฝานเบนความสนใจไปฟังพวกเขาสองคนคุยกัน เธอก็อยากจะขำก๊ากอยู่บ้าง

น้ำเสียงแบบนี้ทำให้เธอนึกไปถึงเมื่อครู่ที่ซังเหยียนเรียกตัวเองว่ารุ่นพี่ แล้วเรียกเธอว่ารุ่นน้อง เธอชะงักไปชั่วครู่แล้วพึมพำในใจ หน้าไม่อายเลยจริงๆ

จู่ๆ จางเหวินหงก็ถูกคุณครูอีกท่านหนึ่งเรียกออกไป

เมื่อไม่มีคุณครูคอยคุม เสียงในห้องเรียนก็ค่อยๆ ดังจ้อกแจ้กจอแจ

‘อีกอย่างชื่อฉันน่ะ…’ ซังเหยียนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อไปอีกว่า ‘พ่อฉันถึงกับเปิดพจนานุกรมจงหวาเจ็ดวันเจ็ดคืนเลยนะ แล้วยังเปิดประชุมในบ้านอีกหนึ่งร้อยแปดสิบครั้ง จากนั้นค่อยมาเลือกอีกตั้งหลายรอบ…’

เวินอี่ฝานนั่งเท้าคาง หัวสมองค่อยๆ ว่างเปล่า คอยฟังที่เขาพูดทีละคำทีละประโยค

เธอก็ได้ยินเขาหยุดไปหลายวินาทีแล้วเล่าต่อจนจบ ‘จึงเลือกคำที่ดูเป็นลูกผู้ชายที่สุด’

ฉากหลังที่โหวกเหวกโวยวายย่อมแฝงไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย เวินอี่ฝานจ้องคำที่อยู่บนสมุดจดบันทึก เธอถอนใจเบาๆ วิจารณ์ด้วยเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ‘ผลสุดท้ายชื่อนายยังไม่ดูเป็นลูกผู้ชายเท่าชื่อฉันเลย…’

‘…’

ซูเฮ่าอันหัวเราะ ‘ฮ่า’ ออกมาเสียงหนึ่งอย่างเยาะเย้ย ‘งั้นทำไมนายไม่ชื่อซังเหยียเมินเอ๋อร์ (ลูกผู้ชาย) ไปเลยล่ะ’

อยู่ดีๆ เวินอี่ฝานก็ถูกจี้ต่อมฮา เธอจึงก้มหน้าแอบหัวเราะหึๆ แต่พอผ่านไปสักพักใหญ่จู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ว่าซังเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังไม่ยอมตอบซูเฮ่าอันสักที

เงียบเป็นเป่าสาก…

คราวนี้เงียบเสียจนเหมือนไม่มีใครอยู่

เธอหันไปมองซังเหยียนในทันใด

ถึงได้พบว่าซังเหยียนกำลังจ้องมาที่เธอ ไม่รู้เขาจ้องเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาดำขลับแฝงความเย็นชาเล็กน้อย จุดแสงอาทิตย์เล็กๆ ที่ตกลงมาที่หางตาของเขาก็ไม่ได้แต่งแต้มให้ดูอ่อนโยนขึ้นสักส่วน

เขาไม่เก็บอาการเลย สายตานั้นแฝงไปด้วยการตรวจสอบและพิจารณาอยู่เล็กน้อย

เวินอี่ฝานหัวใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

‘…’

เขาคงไม่ได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้มั้ง

ไม่หรอกน่า?

คงไม่ถึงขั้นนั้นมั้ง?

เธอยังไม่ทันได้ข้อสรุป ซังเหยียนก็ใช้ปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะ พูดไปตามใจ ‘อ้อ จริงสิ ยังไม่ได้ถามชื่อเธอเลย’

เวินอี่ฝานหยุดหายใจไปโดยพลัน กำปากกาไว้ในมือ

‘เพื่อนใหม่’ ซังเหยียนหันหน้ามา เอ่ยอย่างเหยียดหยามเล็กน้อย ‘เธอชื่อไรอะ’

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 มี.. 65 เวลา 12.00 .

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: