บทที่ 69
เฝิงจื่อหยางโทรศัพท์มาหา
ท่าทางเขาไม่ได้อารมณ์ดีสบายๆ เหมือนก่อนหน้านี้ที่เคยเป็น ทันทีที่ต่อสายติดก็เอ่ยด้วยเสียงแห้งผาก
“เสี่ยวหนิงเอ๋อร์”
ชูหนิงตกใจกับน้ำเสียงเช่นนี้ของเขา นิ้วของเธอที่ตอนแรกยังจิ้มเขี่ยๆ อยู่บนหน้าอกของอิ๋งจิ่งก็หยุดนิ่ง เธอถามเขา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
อิ๋งจิ่งเหลือบมองดูชื่อที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วเกิดความรู้สึกไม่พอใจ เอานิ้วของชูหนิงกลับมาวางบนหน้าอกตัวเองอีกครั้งด้วยท่าทีฉุนเฉียว
ชูหนิงเตะเขาเบาๆ ใต้ผ้าห่มแล้วก็ลุกขึ้นลงจากเตียง
เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้า เท้าเปลือยเปล่า เอวบางร่างน้อย และยังมีรอยนิ้วมือแดงๆ อยู่บนนั้นด้วยเล็กน้อย
ชูหนิงเป็นคนที่สวยมาจากภายใน บุคลิกรูปร่างดี อิ๋งจิ่งเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัดหอบหายใจแฮกๆ อยู่บนหมอน
เฝิงจื่อหยางพูดแค่ไม่กี่คำ สีหน้าท่าทีชูหนิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “พวกนายสองคนคุยกันดีๆ อย่าวู่วามเด็ดขาด ต้องให้ฉันช่วยอธิบายไหม”
“เธออย่ามา ฉันแก้ปัญหาเองได้” เฝิงจื่อหยางสุดจะทนกับเสียงตะโกนกรีดร้องที่ดังอยู่ข้างหู ตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดงุ่นง่านใจ สะบัดเสื้อคลุมกันลมออกไป เอามือเท้าเอวข้างหนึ่ง ท่าทางเต็มทนสุดๆ
“ฉันเอาช่วงเวลาสาววัยรุ่นของตัวเองไปแลกกับจิตใจที่เหี้ยมโหดของนายชัดๆ!”
“ถ้าไม่พอใจก็ปล่อยฉันไปสิ เธอเห็นฉันเป็นอะไร!”
ฝั่งนั้นมีเสียงผู้หญิงดังแทรกเข้ามา อารมณ์รุนแรงและพลุ่งพล่าน
ชูหนิงไม่ได้ฟังจนจบทั้งหมด เฝิงจื่อหยางก็วางสายไป
อิ๋งจิ่งเกาะติดเข้ามาจากด้านหลัง กอดเธอไว้และจูบบนไหล่ของเธอ “กล้านะ อ่อยเล่นกับคู่หมั้นคนก่อนต่อหน้าแฟนคนปัจจุบัน”
ชูหนิงถูกเขาจุ๊บจนจั๊กจี้ เบนตัวหลบทันที “เจ้าหมอนี่แปลกๆ แฮะ”
อิ๋งจิ่งมีความรู้สึกไม่พอใจต่อเฝิงจื่อหยาง ก็เลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี “คุณห่วงเขา”
ชูหนิงชำเลืองมองเขา “ทำไมนายใจแคบขนาดนี้”
“ใครใช้ให้เขาเคยเป็นคู่หมั้นของคุณกันล่ะ ถึงจะแค่เป็นแบบปลอมๆ ก็เถอะ”
ชูหนิงจนปัญญากับเขา “ขี้หึง”
ก็แค่แสดงออกด้วยคำพูดสนุกปากเท่านั้น เมื่อผ่านพ้นไปแล้วอิ๋งจิ่งก็ยังคิดแทนเธอแล้วเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา”
“เขามีแฟนสาวคนหนึ่ง ก็…ก็คือว่า…” ชูหนิงทำเสียงกระแอม สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากจะอธิบาย
“แอบคบกัน” อิ๋งจิ่งพูดออกมาตรงๆ
ชูหนิงพยักหน้าอย่างหวาดๆ “อือ ช่วงนี้ทั้งสองคนมีเรื่องกันรุนแรงมาก”
เมื่อฟังจบแล้วอิ๋งจิ่งมีท่าทีสงบนิ่งมาก “ถ้าไปต่อไม่ได้แล้วจริงๆ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมัดไว้ให้อยู่ร่วมกัน แต่ถ้ามีความรู้สึกต่อกันจริงๆ ระหว่างคบกันต่อให้ทรมานแค่ไหนก็ยังจะได้ผลลัพธ์ที่ดี”
ชูหนิงพูดอย่างร่าเริง “โอ้ คุณครูอิ๋ง”
“คุณต่างหากที่เป็นคุณครูของผม” อิ๋งจิ่งยักคิ้วให้เธอ พูดด้วยจังหวะสบายๆ ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป “แต่ว่าเมื่อกี้นี้คุณครูสอนเสียงดังไปหน่อย ได้อารมณ์สยิวมากเลย”
“…” ชูหนิงกลั้นหายใจ สงบใจไม่ลง ขึงตาจ้องเขาแต่สีหน้าดันแดงแปร๊ด
ว่าด้วยเรื่องความไร้ยางอาย ผู้ชายเป็นต่อกว่านิดหน่อยเสมอ
เพิ่งผ่านเวลาสองทุ่ม ห้วงราตรีปกคลุมเข้ามาเงียบๆ
ทั้งสองคนอยู่ตัวติดกันนานมากจนเบื่อ ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก ขณะคิดจะออกไปหาอาหารกิน เฝิงจื่อหยางก็โทรศัพท์มาอีกแล้ว
ชูหนิงกับอิ๋งจิ่งกำลังคอยลิฟต์ โอบกอดพูดคุยหัวเราะคิกคักกันอยู่ เมื่อรับสายแล้วฟังเพียงไม่กี่คำ สีหน้าของชูหนิงก็เปลี่ยนไป
“ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังวางสายเธอหันหน้ากลับไปหาอิ๋งจิ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ “นายไปทานเองเถอะ ขอโทษนะ ฉันต้องไปหาเขาหน่อย”
น้อยนักที่จะมีช่วงเวลาที่ชูหนิงตื่นตระหนกแบบนี้
“คุณอย่าลนลาน” อิ๋งจิ่งกดไหล่ของเธอไว้ เหมือนให้การปลอบโยนเต็มที่ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
“แฟนของเฝิงจื่อหยางโดนกระตุ้นอารมณ์ บอกว่าจะไปพูดคุยอธิบายเหตุผลกับผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัว เฝิงจื่อหยางรีบเดินทางไปที่นั่นแล้ว” นี่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ชูหนิงเผยสีหน้าลำบากใจ “ครอบครัวตระกูลเฝิงเข้าร่วมงานเลี้ยงกันในวันนี้” เธอเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แม่ฉันก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมด้วย”
อิ๋งจิ่งพูดทันทีว่า “ผมจะไปกับคุณด้วย”
“ไม่ต้อง วุ่นวายเกินไป แม่ของฉัน…” ชูหนิงส่งเสียงถอนใจ “ให้ฉันไปดูลาดเลาเหตุการณ์ก่อนได้ไหม”
อิ๋งจิ่งเข้าใจในเหตุผลจึงไม่สร้างปัญหาวุ่นวายเพิ่มให้เธอ รีบพูดตอบทันที “โอเค คุณขับรถช้าๆ ระวังหน่อยนะ”
ประตูลิฟต์เปิดออก
“เฮ้” อิ๋งจิ่งดึงมือของชูหนิงเอาไว้ “เจอเรื่องอะไรอย่าเพิ่งตื่นตกใจ ถ้ามีอะไรโทรศัพท์หาผมนะ”
เมื่อถึงช่วงเวลาที่สำคัญ คนคนนี้กลับมีท่าทีสุขุมและอารมณ์นิ่งได้จริงๆ สายตาของอิ๋งจิ่งแน่วแน่มาก ไม่มีอาการตื่นตระหนก พอมองแล้วก็ให้ความรู้สึกใจสงบมาก
จากย่านชุมชนไปก็ใช้เวลาไม่นานนัก สถานที่จัดงานอยู่บนถนนวงแหวนที่สี่ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงถ้ารถไม่ติด
เหมือนจะเป็นงานประมูลการกุศล จัดเสียยิ่งใหญ่อลังการ และยังเชิญดาราเกรดรองหลายคนมาเป็นลูกเล่นเรียกแขกในงาน งานเลี้ยงแบบนี้ชูหนิงเห็นมานักต่อนักแล้ว ความจริงเป็นงานที่น่าเบื่อมาก ไม่ได้มีคุณค่าสาระอะไร เมื่อใกล้จะถึงเธอก็โทรศัพท์หาเฝิงจื่อหยาง
“นายอยู่ไหนน่ะ”
“ฉันกำลังจอดรถ ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้”
“โอเค ฉันจะไปถึงในอีกสองนาที”
ชูหนิงกลับพวงมาลัยรถ แล้วก็เห็นเจ้าของรถแลนด์โรเวอร์
เธอกดแตรรถสั้นๆ สองที เฝิงจื่อหยางก็กดเสียงแบบเดียวกันตอบกลับมาเพื่อบอกว่าเห็นเธอแล้ว ทั้งสองคนลงจากรถมาเจอกัน ชูหนิงพูดอย่างร้อนใจ
“ทำไมเรื่องกลายเป็นแบบนี้”
เฝิงจื่อหยางตาแดงเรื่อ ไม่ได้เกิดจากสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง ทว่าเกิดจากความไม่พอใจล้วนๆ เสื้อคลุมกันลมของเขาก็เป็นรอยพับย่น กระดุมคอเสื้อเชิ้ตด้านในหายไปสองเม็ด ชูหนิงตาไว เพียงแค่เห็นก็เข้าใจว่ามีเรื่องกันจริงๆ
“ฉันยอมเลยจริงๆ ว่ะ เอาความตายมาบีบคั้นฉัน เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว!” เฝิงจื่อหยางโมโหสุดๆ แสดงอารมณ์โกรธออกมาไม่มียั้ง
ชูหนิงพูดเตือน “โอเคๆ ก็ต้องแก้ปัญหาใช่ไหมล่ะ ฉินเหมี่ยวไปหาแม่นายจริงๆ เหรอ”
“ฉันไม่รู้” เฝิงจื่อหยางพูดพลางเดินนำชูหนิงเข้าไปในโถงงานเลี้ยง “เธอส่งข้อความสิบกว่าข้อความมาให้ฉัน ฉันว่าเธอสิ้นสติไร้เหตุผลไปหมดแล้ว” เฝิงจื่อหยางจับดึงเส้นผมของตัวเองอย่างสลดหดหู่ “เวร!”
ชูหนิงพลันพูดเสียงดังลั่น “ใช่เธอหรือเปล่า!”
เธอชี้นิ้วไปทางซ้าย มีคนร่างผอมบางสภาพจิตใจไร้วิญญาณกำลังจะเดินเข้าไปในงานเลี้ยง
เฝิงจื่อหยางหยุดชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็พุ่งตัวออกไป
ชูหนิงกลัวว่าเขาจะเกิดเรื่อง “เฝิงจื่อหยาง!”
ฉินเหมี่ยวสภาพจิตใจย่ำแย่สุดๆ เกิดอาการตื่นตกใจในทันที เมื่อเห็นเฝิงจื่อหยางก็ยิ่งถูกกระตุ้นจนเป็นหนักกว่าเดิม เธอกรีดร้องเสียงแหลม
“นายอย่าเข้ามา! ไอ้ผู้ชายกาก!!”
เฝิงจื่อหยางก็ยิ่งโมโห เอานิ้วชี้เธอ “เธอทำตัวเป็นผู้เป็นคนได้ไหม?!”
แล้วฉินเหมี่ยวก็เริ่มร้องไห้ ร้องไห้หนักเกินจริง เสียงร้องออกมาดูรุนแรงแต่ข้างในใจกลับขลาดกลัว
“นายทิ้งฉัน! นายเห็นฉันเป็นตัวอะไร! จะสั่งให้มาหรือไปก็ได้สินะ ใช่ไหม! หลายปีมานี้ตลอดวัยสาวของฉันเสียเปล่าไปเหมือนให้อาหารหมา!”
เฝิงจื่อหยางพลันยิ้มทันที รอยยิ้มนี้ช่างเย็นเยียบ สิ้นหวัง และทุกข์เศร้า
“ฉันทบทวนตัวเองเรื่องเธอแล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดและละอายใจเลย ฉินเหมี่ยว เบื้องบนเขากำลังมองดูอยู่นะ” เขายกมือขึ้นมา เอานิ้วชี้ชี้ตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า เค้นคำพูดแต่ละคำออกมา “หลายปีมานี้ฉันปฏิบัติกับเธอยังไง ฉันปฏิบัติกับครอบครัวของเธอยังไง เธอพูดโดยใช้มโนธรรมสำนึกของตัวเองสิ บอกฉันสิ!”
ชูหนิงตกใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอไปดึงเฝิงจื่อหยางไว้ “เฮ้” ทว่าถูกสะบัดมือออก
เบ้าตาเฝิงจื่อหยางแดงไปหมด “มีคำขอไหนที่เธอขอแล้วฉันจัดการทำให้ได้ไม่ดีบ้างเหรอ อย่าพูดถึงอย่างอื่นเลย แค่เรื่องหางานของเด็กๆ บรรดาญาติโกโหติกามากมายสารพัดพวกนั้นของเธอ ฉันจัดการหาให้ไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว ที่ฉันให้เธอออกไปทำงานไม่ใช่ว่าฉันขาดแคลนเงิน เลี้ยงดูแฟนของฉันไม่ได้ แต่ว่าเธอดูสภาพของตัวเองหน่อยเถอะ ขี้เกียจจนจิตใจว่างเปล่ากลวงไปหมดแล้ว ฉินเหมี่ยว เป็นผู้หญิงน่ะ อย่างแรกเลยตัวเองต้องเคารพตนเองก่อน”
คำที่กล่าวนี้มีเหตุผล แต่ก็มีการระบายใส่อารมณ์มากเกินไป
ฉินเหมี่ยวพูดเสียงเกรี้ยวกราด “ยังบอกว่าเกลียดฉันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ! ฉันไม่สนๆ!”
ทว่าเฝิงจื่อหยางกลับใจเย็นมาก สายตาเรียบเฉย มองเธอและพูดต่อ “ความรู้สึกของฉันเป็นความรู้สึกที่มีจริงๆ แล้วเธอล่ะ เธอไม่มั่นใจในตัวเอง หวาดกลัว หมักหมมทั้งหมดไว้ในใจและไม่ยอมที่จะเผชิญหน้า มีแต่ลดทอนความรู้สึกของเราสองคนในช่วงหลายปีมานี้ ฉินเหมี่ยว คบกันด้วยดีจากกันด้วยดีเถอะ เราสองคนอย่าดันทุรังกันอีกเลย โอเคไหม”
เมื่อผู้ชายอย่างเขาที่ทำงานใหญ่ๆ พูดเรื่องราวเล็กน้อยที่เป็นรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ออกมา ก็ย่อมกลายเป็นการลดคุณค่าตัวเองให้กลายเป็นคนใจแคบเป็นธรรมดา
แต่ความวกวนสับสนของความรักจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรกก็เป็นเพียงแค่สิ่งจำเป็นของชีวิตในการเปลี่ยนแปลงสู่หนทางที่ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ชายจะมีความรู้สึกรักเราหรือไม่นั้นสามารถเห็นได้จากในสายตา
เพียงแค่มอง แม้แต่ชูหนิงยังเข้าใจว่าเฝิงจื่อหยางตัดสินใจเด็ดขาดแล้วจริงๆ
คนแบบเขานี้ เวลารักใครแล้วก็จะมอบให้ทั้งชีวิต
เวลาที่ไม่รักก็ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยคำพูดเจรจาสักคำเดียว
…ไร้หัวใจ
เป็นคำพูดที่ไม่น่าฟัง แต่ก็ทิ่มแทงเข้าสู่หัวใจจริงๆ รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนก็พูดใส่ตรงจุดนั้น ฉินเหมี่ยวเป็นคนหน้าบาง ในสถานการณ์แบบนี้ก็ทุ่มเทสุดตัว เธอตะโกนร้องโหวกเหวกเหมือนเป็นบ้า ลงไปนั่งร้องไห้ที่พื้นทันที
ชูหนิงทนดูต่อไปไม่ไหว ยื่นกระดาษทิชชูให้อีกฝ่ายด้วยเจตนาดี “อย่านั่งบนพื้นเลย มันเย็นนะ”
ทว่าฉินเหมี่ยวกลับตบใส่หลังมือของเธออย่างแรง “ไปให้พ้น!”
ชูหนิงเจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ซึ่งในตอนนี้เองเกิดความโกลาหลขึ้นที่ประตูทางเข้าโถงงานเลี้ยง เฝิงจื่อหยางสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เวรแล้ว
คุณแม่เฝิงอยู่ในชุดกระโปรงสไตล์กี่เพ้า ต่างหูหยกที่ใส่ขยับสั่นไหวโดยปราศจากลมพัด บุคลิกเยือกเย็นและไม่เป็นมิตร มีคนไปบอกเธอว่าเห็นเฝิงจื่อหยางที่ประตูทางเข้า เหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้นนิดหน่อย คุณแม่เฝิงยังจะสามารถนั่งติดที่อยู่ได้ยังไง
ไม่ถึงสองวินาทีชูหนิงเองก็ช็อก
ข้างหลังยังมีเฉินเยวี่ยตามมาด้วย!
นายหญิงของสองครอบครัวมารวมตัวกันครบทีม
“จื่อหยาง”
“ชูหนิง”
จบเห่กัน จะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว
แต่ฉินเหมี่ยวซึ่งอยู่บนพื้นเหมือนบ้าคลั่งไปแล้ว จับจุดตายของเฝิงจื่อหยางได้อย่างแม่นยำในชั่วพริบตา เธอพลันลุกขึ้นทันที พูดตะโกนสุดเสียงต่อหน้าคุณแม่เฝิง
“คุณคิดว่าลูกชายคุณเป็นคนดีจริงๆ เหรอ?!”
เฝิงจื่อหยางตะโกนด้วยความโมโห “หุบปาก!”
ชูหนิงเองก็ใบหน้าขาวซีด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยื้อดึงมือของฉินเหมี่ยวไปอีกทาง “เฮ้!”
คุณแม่เฝิงกับเฉินเยวี่ยมองตากัน เกิดความสงสัยขึ้นทั้งคู่ เมื่อมองมาที่สามคนนี้อีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเสียแล้ว
ฉินเหมี่ยวผลักชูหนิงออกไป ไม่สนใจแยแสอะไรอีกแล้ว “พวกเขาโกหก! กำลังโกหกพวกคุณอยู่! หลอกว่าคบกัน แสร้งทำตัวเป็นคู่รัก แสร้งพูดว่าจะหมั้นกัน! ปิดบังความจริงหลอกลวงคนอื่น คนหนึ่งหวังเงิน อีกคนหวังความมั่นคง! เป็นพวกชั่วกันทั้งหมดแหละ!”
กลิ่นอายความขัดแย้งในบรรยากาศถูกจุดปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
ชูหนิงพลันหลับตาลง คิดในใจ เรื่องทั้งหมดนี้มันอะไรกันเนี่ย
เมื่อมองผู้ใหญ่สองคนนั้นอีกครั้ง คุณแม่เฝิงดูจะจำฉินเหมี่ยวได้แล้ว รู้สึกเนืองๆ ว่าเคยเห็นที่ไหน ที่แท้ก็หญิงสาวคนที่เฝิงจื่อหยางเคยพามาที่บ้านเมื่อสองปีก่อน เพียงแต่ว่าตอนนั้นคุณแม่เฝิงยืนกรานไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปในบ้าน เพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ
ผู้หญิงวัยรุ่นที่แสนอ่อนแอบอบบางตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เหอะ ช่างแตกต่างห่างกันลิบลับกับพละกำลังอันยิ่งใหญ่ที่เจอในค่ำคืนนี้
คุณแม่เฝิงมีทั้งลักษณะความเข้มงวดของความเป็นนักวิชาการสไตล์โบราณหัวเก่า แล้วก็มีความดุโหดของความเป็นนายหญิงแห่งครอบครัวตระกูลใหญ่ ทั้งให้ความสำคัญกับหน้าตาภาพลักษณ์เป็นที่สุด ความจริงเช่นนี้ทำให้เธอไม่อาจยอมรับได้เลย และความรักความลำเอียงที่ตอนแรกเธอมีให้ชูหนิง ตลอดจนความรู้สึกติดค้างในตอนที่หญิงสาวเลิกกันกับลูกชายเธอได้สลายหายไปจนหมดสิ้น
เธอเหลือบมองชูหนิงอย่างนิ่งสงบ
แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ยังหวังว่าจะมีโอกาส บางทีอาจจะเป็นความเข้าใจผิดก็ได้นะ?
บรรยากาศกำลังแน่นิ่ง ไม่มีใครทันสังเกตเห็นฉินเหมี่ยวที่โมโหถึงขีดสุด จู่ๆ เธอก็เอื้อมมือไปทางชูหนิง
ชูหนิงโดนผลักอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ทั้งหมดเป็นเพราะแก! ที่เฝิงจื่อหยางเปลี่ยนใจไปเป็นเพราะแกคนเดียวเลย!” ฉินเหมี่ยวผมเผ้าหลุดลุ่ยกระเซอะกระเซิง หน้าตาดุร้ายเหี้ยมโหด ขาดสติจนหมดสิ้น
ชูหนิงล้มคะมำลงไปอย่างแรงจนมึนไปหมด หมดสภาพไปนาน
ซึ่งในขณะนี้เองก็มีคนโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าวิ่งโผล่พรวดมาจากทางไหน
“หนิงเอ๋อร์ ลุกขึ้น”
กล่าวโดยสัตย์จริง เฝิงจื่อหยางได้แต่รู้สึกเสียใจและเป็นกังวล ปลายนิ้วยังไม่ทันจะแตะโดนตัวเธอก็ถูกคนคนนี้ชนกระเด็นออกมา
อิ๋งจิ่งขวางเฝิงจื่อหยางไว้อย่างแน่นหนา เปี่ยมไปด้วยความเป็นศัตรู แล้วก็ปกป้องชูหนิงไว้ในอ้อมแขนของตัวเองเหมือนเป็นการประกาศอำนาจครอบครอง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม!”
เมื่อเห็นอิ๋งจิ่งอย่างชัดเจนแล้ว ชูหนิงก็ตกใจแทบกระอักเลือด “นะ…นายมาได้ยังไง?!”
“ไม่วางใจไง ก็เลยเรียกรถตามมา” และยังลอบสังเกตดูจากตรงที่ไกลๆ อยู่นานมากแล้ว ข่มใจอยู่นานมาก ไม่ว่าจะเสียงดังโหวกเหวกมากขนาดไหนก็ยังสามารถรักษาสติไว้ได้ เตือนตัวเองว่าอย่าไปสร้างปัญหาให้เธอ แต่เมื่อครู่เห็นชูหนิงถูกคนผลัก ใครมันจะยังทนได้ไหวกันเล่า!
คราวนี้แหละงามหน้าแล้ว คู่กรณีสี่คนออกโรงพร้อมหน้ากันครบทีม ในสายตาของคุณแม่เฝิงกับเฉินเยวี่ยแล้ว แต่ละคนดูหน้าตาเหมือนเป็นคู่ชู้สาวกัน
ไม่มีใครโง่ คุณแม่เฝิงเห็นอิ๋งจิ่ง ความหวังในโอกาสที่มีริบหรี่เมื่อครู่นี้ล้วนแตกสลายเป็นชิ้นๆ
เธอพูดอย่างเย็นชา “อ้อ? เธอบอกว่าจื่อหยางกับชูหนิงแสร้งคบกันปลอมๆ เหรอ”
ฉินเหมี่ยวจนมุมไร้ซึ่งทางหนีทีไล่ ตัดสินใจพยักหน้าพูด “ใช่!”
คุณแม่เฝิงไม่สะทกสะท้านใดๆ สีหน้านิ่งเฉย “แล้วเขาล่ะ” เธอชี้ที่อิ๋งจิ่ง
ชูหนิงพลันตกใจทันที รู้สึกว่าสายตาของเฉินเยวี่ยกำลังจ้องจิกมาที่เธออย่างคมกริบ
เฝิงจื่อหยางกำลังจะไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“พวกเขาตัวปลอมหรือเปล่าผมไม่รู้หรอก แต่ผมนี่แหละตัวจริง” อิ๋งจิ่งพูดอย่างเปิดใจ ปล่อยให้คนมองสบตา ไม่มีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ฉันต่างหากที่เป็นแฟนตัวจริงเสียงจริงของเธอ
ชูหนิงไม่อาจอธิบายความรู้สึกในชั่วขณะนี้ได้เลย ทั้งรู้สึกช็อก ทั้งตื้นตัน ทั้งดีใจ และเศร้าโศก
แต่คุณแม่เฝิงและเฉินเยวี่ยต่างกำลังปั้นหน้าขึงขังจริงจัง
บรรยากาศย่ำแย่ถึงขีดสุด
ละครตลกร้ายในค่ำคืนนี้เหมือนระเบิดลงครั้งใหญ่ที่สะสมมานาน
เริ่มต้นด้วยความโกลาหลวุ่นวาย จบลงด้วยความยุ่งเหยิงอลหม่าน
สุดท้ายก็ยังเป็นอิ๋งจิ่งที่ไปหาพนักงานโรงแรมบอกให้เรียกรถมาเพื่อให้พาฉินเหมี่ยวกลับไปส่ง เฝิงจื่อหยางเหนื่อยเพลียเต็มที ส่วนชูหนิงหกล้มเจ็บแขนแทบแย่ อิ๋งจิ่งกลายเป็นที่พึ่งของทั้งสองคน ให้เฝิงจื่อหยางนั่งที่เบาะหลัง และให้ชูหนิงนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
“คุณห้ามหันกลับไปมองเขา” เขาขับรถ พูดจาบงการ “มองได้แต่ผม”
หลังขับมาได้สักพักหนึ่ง ชูหนิงก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “นายไปส่งฉันกลับบ้านนะ”
…บ้านตระกูลจ้าว
อิ๋งจิ่ง “โอเค ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”
เฝิงจื่อหยาง “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเถอะ”
ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน
‘ป้าบ!’ อิ๋งจิ่งตบพวงมาลัยรถ เอ่ยด้วยความวู่วามมาก “ถ้านายยังขืนพูดอีกคำ ฉันจะโยนนายลงจากรถ!”
เฝิงจื่อหยางเองก็ไม่พอใจ “บ้าเอ๊ย นี่มันรถฉันนะ!”
“โอเคๆ พวกนายสองคนอย่าทะเลาะกัน” ชูหนิงพูดอย่างปวดหัว “ไม่ต้องไปสักคน ฉันกลับเองคนเดียว”
ชายหนุ่มสองคนพูดค้านพร้อมกัน “ไม่ได้!”
ชูหนิงหัวเราะเยาะ สีหน้าท่าทางเหนื่อยล้า “เฝิงจื่อหยาง นายพูดเองไม่ใช่เหรอ ถ้าไปบ้านฉันตอนนี้คืออยากให้ฉันตายเร็วขึ้นใช่ไหม”
“ฉัน…” เฝิงจื่อหยางอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
“นายก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” ชูหนิงถอนใจแผ่วๆ เมื่อเผชิญหน้ากับอิ๋งจิ่ง น้ำเสียงก็อ่อนลงและพูดอย่างน้อยใจมาก “แม่ฉันเป็นคนที่หัวดื้อสุดๆ ให้เธอทำความเข้าใจสักหน่อย ไว้ฉันพูดกับเธออย่างชัดเจนแล้ว ฉันจะพานายไป”
อิ๋งจิ่งตั้งใจคิดทบทวนอยู่นานมาก ในครั้งนี้เขาไม่ได้โกรธ แต่ว่ารู้จักให้อภัยและเข้าอกเข้าใจ เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย พูดเสียงอู้อี้
“ตั้งแต่เด็กจนโต ผมเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่มากนะ คุณต้องเชื่อผมสิ”
เฝิงจื่อหยางหัวเราะเยาะเย้ย “ยินดีกับนายด้วยนะ ชนตะปู* แล้วไง”
“ฉันชนตะปูก็ไม่เป็นไรนี่นา คืนนี้นายเจอทุเรียน** เข้าไป ช่างทิ่มแทงหัวใจ”
“บ้าเอ๊ย ไอ้เด็กเวร!”
“หึ ไอ้ขี้แพ้!”
เอาล่ะ เป็นศัตรูคู่อริที่ไม่ยอมกันเลยสินะ
ชูหนิงหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง เงาปรากฏวูบวาบแวบผ่านใบหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ เมื่อกลับถึงบ้านตระกูลจ้าว เฉินเยวี่ยก็คลุ้มคลั่งระบายอารมณ์ใส่เธอ
“ชูหนิง! แกชักจะเหิมเกริมกล้ามากเกินไปแล้วนะ?!”
ชูหนิงใช้ไม้อ่อนสยบไม้แข็ง ใช้ใบหน้ายิ้มแย้มเข้าสู้ เปลี่ยนรองเท้าอย่างช้าๆ “แม่อย่าเพิ่งโมโหก่อนสิ ฟังที่หนูจะอธิบายกับแม่ก่อน”
“จะอธิบายอะไรอีก!” เฉินเยวี่ยโกรธแล้วจริงๆ สีหน้าขาวซีด ริมฝีปากก็สั่นเล็กน้อย “แกแสร้งคบกัน แสร้งปลอมตัวเป็นคู่หมั้นกัน แกไม่รู้สึกเกรงกลัวสักหน่อยเลยเหรอ”
ชูหนิงฝืนใจทนต่อไป ยังคงยิ้ม “หนูจะกลัวทำไมล่ะ ทำให้แม่เสียหน้าเหรอ หรือว่าขโมยเงินจากในบ้านไปเหรอ”
“แกยังกล้าพูด!”
“มีอะไรที่หนูจะไม่กล้าพูด” ชูหนิงไม่ใช่คนอ่อนหัด หากใช้เหตุผลก็จะไม่เสียเปรียบ “ใช่ เรื่องนี้หนูผิดจริงๆ แต่ว่าหนูไม่ได้ลักขโมยชิงทรัพย์ใคร ตกลงเป็นเอกฉันท์ร่วมกัน แล้วก็จบลงอย่างสันติ ไม่ได้ทำเรื่องอำมหิตชั่วช้าสาหัสผิดมนุษย์มนา หนูไม่ได้รู้สึกว่าต้องละอายใจ”
ในมุมของชูหนิงแล้ว กล่าวอย่างสัตย์จริง ระหว่างเธอกับเฝิงจื่อหยางก็เหมือนเป็นการร่วมมือกันทำธุรกิจ
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องคืนนี้ เรื่องนี้ก็จะจบลงอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ
เธอเดาเฉินเยวี่ยออก ประเด็นหลักของความคิดแม่เธอไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้เลย
แล้วก็จริงอย่างที่คาด
“แล้วคนที่ชื่ออิ๋งจิ่งนั่นเรื่องราวมันเป็นยังไงอีก” เฉินเยวี่ยถามขึ้นมา
“แฟนหนูเอง” ชูหนิงตอบอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ใจ
“แฟนอะไรกัน ยังเด็กตัวกะเปี๊ยก โผล่หัวผุดมาจากไหนก็ไม่รู้ ฉันไม่เห็นด้วย!”
“แม่มาเห็นด้วยไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว เขาไม่ได้คบเป็นแฟนกับแม่ไง” ชูหนิงเองก็พูดจาร้ายกาจ ทำเอาคนจนปัญญาทำอะไรเธอไม่ได้
เฉินเยวี่ยไปนั่งหลังตรงบนโซฟา หน้าตาเหมือนเปาบุ้นจิ้นสอบเค้นความ
“เขาอยู่ที่ไหน”
“ซิ่งเฉิง”
“ไกลขนาดนั้น ไม่ไหว”
“ไกลอะไร รถไฟความเร็วสูงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
“พ่อแม่ทำอะไร”
“นายทหารเก่าที่ปลดประจำการแล้ว”
เฉินเยวี่ยตอบสนองอย่างรุนแรง “แบบนั้นไม่ไหวเลย!”
“แม่จะพูดไม่ไหวเยอะแยะมากมายทำไม เป็นทหารปลดประจำการแล้วมีปัญหายังไงกับแม่เหรอ”
“เจ้าคนที่ชื่ออิ๋งจิ่งนี่ทำการทำงานอะไร”
ชูหนิงมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไม่มีงาน”
“เป็นคนว่างงาน?!”
“นักศึกษามหาวิทยาลัย”
เฉินเยวี่ยลุกขึ้นตบโต๊ะ “ฉันไม่เห็นด้วย!”
ชูหนิงหมดอารมณ์จะสู้ต่อ ลุกขึ้นพูดทิ้งท้ายยืนกรานว่า “ถ้าแม่เห็นด้วยแล้ว วันหลังหนูจะพาเขามาพูดคุยเป็นเพื่อนแม่ เขาเป็นนักศึกษาดีเด่น มีความรู้มากมาย บุคลิกดีมีการศึกษา เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ถ้าแม่ไม่เห็นด้วย…” ชูหนิงพูดอย่างเด็ดขาด “หนูก็จะจัดการแบบไม่เห็นด้วย”
คำพูดเพียงประโยคเดียวเอ่ยออกมาตรงๆ แต่ความหมายในเชิงข่มขู่ที่อยู่ในคำพูดปรากฏเด่นชัด
ในช่วงบั้นปลายชีวิตครึ่งหลังของเฉินเยวี่ยนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็คืออยู่เพื่อมีหน้ามีตา
เธอต้องการเกียรติ ต้องการยกสถานะตัวเองให้สูงขึ้น ต้องการมีข้อได้เปรียบที่มีคุณค่าสามารถโอ้อวดได้ ตัวเองดิ้นรนไม่มีผลสำเร็จอะไรเบ่งบาน ก็ตั้งความคาดหวังทั้งหมดไว้กับชูหนิง แต่ลูกสาวคนนี้ดันมีความคิดของตัวเอง ไม่ยอมถูกคนอื่นบังคับ
เป็นม้าป่าพยศที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งจริงๆ!
เฉินเยวี่ยโมโหมาก “ชูหนิง แกไม่ได้เป็นไรใช่ไหม หาอะไรดีๆ ไม่หา ยังจะไปหาคนที่เด็กกว่าตัวเอง? เขาเป็นนักศึกษายากจนคนหนึ่ง จะซื้อบ้านได้ยังไง จะเลี้ยงครอบครัวได้ยังไง”
“บ้านหนูเป็นคนซื้อ ครอบครัวหนูเป็นคนเลี้ยง หนูเต็มใจ” ชูหนิงพูดอย่างผ่อนคลายสบายๆ
เป้าหมายของเธอชัดเจน คือการบอกเรื่องของอิ๋งจิ่งต่อหน้าแม่ ถึงยังไงจะช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี
ชูหนิงบิดขี้เกียจอย่างพอใจมาก “หนูจะขึ้นไปเอาเสื้อผ้าบางส่วน”
คราวก่อนที่กลับมาบ้านเธอทิ้งเสื้อผ้าไม่กี่ตัวเอาไว้ในห้องนอน
ชูหนิงขึ้นไปชั้นบนพลางฮัมเพลง คำว่า ‘กล้าหาญ’ ตัวโตๆ ปรากฏอยู่บนแผ่นหลัง
ห้องนอนของเธอที่บ้านตระกูลจ้าวใหญ่มาก แถมข้าวของในตู้เสื้อผ้าก็เต็มแน่น
หาเสื้อผ้าได้ประมาณสิบนาทีก็ถือกระเป๋าเดินทางเตรียมจะกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ผลกลายเป็นว่า…
“เอ๊ะ? ทำไมประตูเปิดไม่ออก”
ชูหนิงหมุนลูกบิดประตู ดึงไปมาตั้งหลายครั้งแล้ว ทันใดนั้นก็พลันคิดขึ้นได้ แล้วก็เกิดความหนักใจทันที
เสียงตะโกนด้วยความโมโหดังลั่นทั่วบ้านตระกูลจ้าว “แม่! ล็อกประตูทำไม!!”
เฉินเยวี่ยที่หมดหนทางไป จึงใช้กำลังป่าเถื่อนกักบริเวณชูหนิงให้อยู่ในบ้านเสียเลย
ชูหนิงทั้งเตะประตู ตะโกนร้อง ทุบผนัง ทำหมดแล้วก็ไม่ได้ผล เฉินเยวี่ยนั่งดื่มชาดอกไม้อยู่บนโซฟาด้วยสภาพจิตใจที่สงบนิ่ง
แหกปากเสียงดังไปสิ ตามใจชอบเลย
ถึงยังไงจ้าวเผยหลินที่เป็นสามีก็เดินทางไปทำงานนอกสถานที่ที่ประเทศเยอรมัน ไม่มีทางกลับมาในช่วงสิบวันหรือครึ่งเดือน เฉินเยวี่ยตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ยอมให้ลูกสาวไปหาแฟนที่เป็นลูกของครอบครัวทหารเก่าปลดประจำการแล้วอะไรนั่นเด็ดขาด ขังไว้ก่อนสักหนึ่งคืน ให้ใจเย็นลงหน่อยแล้วค่อยคุยกัน
ผลคือไม่นึกเลยว่าเมื่อชูหนิงเดือดขึ้นมาแล้วจะกล้าทำทุกอย่าง
ห้องนอนอยู่ที่ชั้นสอง เธอเปิดหน้าต่างมองลงไป ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด
แล้วในตอนนี้เอง ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลจ้าวก็ค่อยๆ เปิดออก แสงไฟสูงของรถยนต์ส่องตรงเข้ามา แสงเข้าตาจนเธอต้องหรี่ตามอง
รถอาวดี้สีดำคันหนึ่งขับอยู่ข้างหน้า ข้างหลังยังมีรถแลนด์โรเวอร์สีดำอีกคันขับตามมาด้วย เลขท้ายของป้ายทะเบียนรถเป็นเลขตองแปดที่ช่างดูจองหองและทรงอิทธิพล
จ้าวหมิงชวนลงมาจากรถ มองแวบเดียวก็เห็นชูหนิงที่เอาขาข้างหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนขอบหน้าต่าง ทำท่าจะกระโดดลงมา
นานๆ ทีที่จ้าวหมิงชวนจะไม่มีงานเลี้ยงในแวดวงสังคมธุรกิจ เขาเพิ่งกลับมาจากงานปาร์ตี้เล่นไพ่กับกลุ่มเพื่อน ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมกันลมแบบลำลองสีเนื้ออ่อนที่มีความยาวปานกลาง เป็นสไตล์ที่ดูอ่อนโยนและสุภาพ แต่เมื่อสวมใส่อยู่บนตัวของเขา บุคลิกที่ดุร้ายไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
เขาแหงนศีรษะขึ้นมามองด้วยนัยน์ตาที่ล้ำลึก มองชูหนิงซึ่งอยู่ที่ชั้นสองอย่างพูดไม่ออก
ชูหนิงเหมือนเจอผู้ช่วยชีวิต ส่งเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว “จ้าวหมิงชวน!”
ขณะเดียวกันขาขวาที่ส่ายอยู่ด้านในขอบหน้าต่างก็ก้าวข้ามตามมา
จ้าวหมิงชวนใบหน้าปราศจากอารมณ์ และไร้ซึ่งอาการสะทกสะท้าน
ชูหนิงมองเขาลงมาจากที่สูง กระอึกกระอักแล้วตะโกนพูดว่า “รับฉันไว้!”
จากนั้นเธอก็พลันกระโดดลงมาทันที
จ้าวหมิงชวนตาไวขยับอย่างปราดเปรียว อ้าแขนสองข้างออกมาพลางสาวเท้าก้าวใหญ่ขยับไปทางขวาสองที และก็เล็งรับเธอไว้อย่างแม่นยำ
ชูหนิงลงมาอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างปลอดภัย ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
แต่แรงกระแทกหนักมากเกินไป ชนจ้าวหมิงชวนจนเกือบจะล้มลงบนพื้น
เดิมทีจ้าวหมิงชวนก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีอยู่แล้ว เขาหิ้วตัวโยนเธอไปไว้ข้างๆ กระทั่งโมโหก็ยังมีความอึมครึมในน้ำเสียง
“ดึกดื่นเที่ยงคืนมาดักกรรโชกทรัพย์รึไง หือ?”
* ชนตะปู เปรียบเปรยว่าถูกปฏิเสธ หรือถูกอีกฝ่ายตอกกลับมา
** ทุเรียน เป็นคำพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่าอาลัยอาวรณ์
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.