X
    Categories: Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2

 หลังจากที่ชูหนิงวิ่งไปแล้วก็ไม่หันกลับมาอีก

ตลอดทั้งเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเกิดขึ้นไม่เกินห้านาที และแล้วเรื่องเซอร์ไพรส์นี้ก็ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง จางหายไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลับถึงหอพัก เพื่อนร่วมห้องสามคนมีเพียงแค่ฉีอวี้เท่านั้นที่อยู่ห้อง อิ๋งจิ่งเดินไปข้างๆ อีกฝ่ายแล้วเหลือบมองดู

“วาดอะไรน่ะ”

ฉีอวี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา กำลังเหลาดินสอให้แหลมเปี๊ยบ “ส่วนผิวตัดระนาบด้านในของบาลานเซอร์*ต้องใช้ตอนเข่าคาบทดลองตอนเย็น”

ฉีอวี้เป็นคนหูหนาน ภาษาจีนกลางจึงไม่ค่อยเป๊ะนัก เรียนที่ปักกิ่งมาสามปีก็ดีขึ้นมากโข แต่จนแล้วจนรอดเสียงผสมนาสิกเพดานอ่อนเพดานแข็งก็ยังพูดได้ไม่คล่องแคล่ว

อิ๋งจิ่งสะกิดไหล่เพื่อนแล้วพูดแก้ให้ถูกต้อง “เป็น เข้า ต่างหาก พูดตามฉันซิ เข้าคาบทดลอง เข้านอน”

ฉีอวี้เป็นคนซื่อๆ ที่ไขว่คว้าความก้าวหน้า ว่าแล้วเขาก็พูดตามสองรอบจริงๆ “เข้าคาบทดลอง เข้านอน…”

ประตูถูกเปิดออกพอดี หัวหน้าห้องตัวอ้วนผู้ใส่แว่นตาพลันเบิกตาโพลง “บ้าเอ๊ย! กลางวันแสกๆ พวกนายสองคนทำอะไรกันเนี่ย!”

อิ๋งจิ่งยิ้มแฉ่งฟันขาวจั๊วะ “เริ่มเรียนคาบวิชาอาจารย์อิ๋งไง”

หัวหน้าห้องตัวอ้วนพูดตัดบท “ระวังหน่อยเถอะ ฉันเตือนนายนะ นายจำไว้เลยว่าต้องส่งแบบร่างวิทยานิพนธ์ของอาจารย์เหมาในตอนเย็นด้วย นี่เป็นรอบที่สามแล้ว ขืนไม่ส่งอีกคงไม่ผ่านจริงๆ”

อิ๋งจิ่งตบไหล่ฉีอวี้เล็กน้อย ส่งสายตาแห่งความรักให้เงียบๆ

ฉีอวี้มองเขาสองวินาทีก่อนจะหันหน้ากลับไปอย่างเชื่องช้า วาดภาพร่างต่อไป แล้วเขาก็ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว

อิ๋งจิ่งเอาฝ่ามือปัดนิ้วทั้งสามนั้นออกไป “ได้ ข้าวสามมื้อ ตกลง!”

 

ตอนบ่ายสามโมงครึ่งมีคาบเรียนทดลอง คนอื่นๆ นอนกลางวันเงียบๆ กันพักหนึ่ง ส่วนอิ๋งจิ่งกินข้าวเสร็จแล้วก็วิ่งแจ้นไปเล่นบาสเกตบอลที่สนาม ตัวร้อนเหงื่อโชกกลับมา แถมยังหิ้วไอศกรีมแท่งมาหนึ่งถุง ทันทีที่เข้ามาภายในทางเดินหอพักก็ร้องตะโกน

“ใครจะกินไอติมมาที่ห้องสามศูนย์แปดนะ มาก่อนได้ก่อน!”

เหมือนตีระฆังดังก้องในหุบเขายามเช้าตรู่ เสียงดังไพเราะเสนาะหู มวลวิหคแตกฉานซ่านเซ็น ปลุกช่วงบ่ายที่อับเฉาให้ตื่นขึ้นมา

อิ๋งจิ่งเป็นคนที่ป็อปปูล่าร์ ห้องนอนหมายเลขสามศูนย์แปดของเขามักเป็นห้องที่ครึกครื้นที่สุดเสมอ

ไอศกรีมมีไม่พอกับความต้องการ แจกจ่ายหมดในชั่วพริบตา

“คอร์นเนตโตเป็นของฉัน อย่าแย่งนะ อย่าแย่ง!”

มือของอิ๋งจิ่งถูกเพื่อนร่วมชั้นฉุดรั้งไว้ ชุดบาสเกตบอลถูกดึงลงมากว่าครึ่งกลายเป็นชุดเปิดไหล่ทันที เขาพยายามออกแรงเอี้ยวศีรษะเบี่ยงตัวหลบไปข้างๆ เพื่อลอกกระดาษที่ห่อไอศกรีมออก พออ้าปากกัดคำหนึ่งก็ต้องร้องว้าก เย็นเกินไปแล้ว!

เขาเป่า “ฟูดฟาดๆ” ทันที หลังจากนั้นก็เหยียดมือออกไป เอาคอร์นเนตโตที่แหว่งไปครึ่งหนึ่งยื่นให้พวกเขา “นี่ไง ให้พวกนาย”

ฝูงเพื่อนร่วมชั้นร้องโห่กันเกรียว “อี๋!!”

คาบเรียนตอนบ่ายสามโมงครึ่ง พวกอิ๋งจิ่งเพิ่งจะออกจากหอพักก่อนถึงเวลาคาบเรียนสิบนาที มันเป็นเรื่องเสียเปรียบถ้าหากมาถึงห้องปฏิบัติการก่อนล่วงหน้าสักหนึ่งนาที ครั้นอิ๋งจิ่งกับฉีอวี้เดินเข้าไปก็เห็นผู้หญิงไม่กี่คนในชั้นเรียนตั้งกลุ่มล้อมวงกันอยู่

จางไหวอวี้รีบโบกมือเรียกพวกเขา “อิ๋งจิ่ง นายมาดูนี่ให้หน่อยสิ!”

โจวหยวนหัวหน้าห้องตัวอ้วนไม่พอใจ “เรามีกันตั้งมากมายหลายคนขนาดนี้ ทำไมเรียกแค่อิ๋งจิ่งล่ะ”

“ถ้านายเก่งจริงก็สอบให้ได้ที่หนึ่งสิยะ ฉันจะขอคำปรึกษานายทุกวันเลย”

กลิ่นความบาดหมางลอยโชยคุกรุ่น อิ๋งจิ่งพูดปลอบเพื่อนผู้ชายก่อนว่า “สุภาพบุรุษที่ดีไม่สู้รบกับสตรี”

“เหอะ”

หลังจากนั้นก็เดินไปหาเพื่อนผู้หญิงแล้วพูดกระซิบว่า “กุลสตรีที่ดีไม่สู้รบกับบุรุษ”

“อื้มๆ”

ดูเหมือนว่าคนที่หน้าตาดีพูดจาอะไรก็ค่อนข้างทำให้คนยอมเชื่อได้หมดแหละนะ

“ทำไมอันนี้ไม่สว่างเหรอ”

“ฉันดูหน่อย” โต๊ะตัวนี้เตี้ยเล็กน้อย อิ๋งจิ่งจึงก้มตัวลง ชี้วงจรตรงส่วนครึ่งท้ายแล้วพูดว่า “ตรงนี้เชื่อมต่อสายกลับด้าน” เขาถอดหลอดไฟเซ็นเซอร์สามดวงบนสายไฟออกมา แล้วปรับเปลี่ยนตำแหน่งนิดหน่อย “โอเค เปิดสวิตช์ได้”

พอเชื่อมต่อกับกระแสไฟฟ้าแล้วบรรดาผู้หญิงก็อุทานด้วยความตกใจ “ว้าว!!”

เมื่อครู่แผงวงจรพิมพ์* ยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลย ตอนนี้ไม่ใช่แค่สว่างโร่เท่านั้น หลอดไฟเล็กๆ ไม่กี่ดวงนั้นยังถูกประกอบเป็นรูปหัวใจเสียด้วย

สว่างจ้า

“จะให้พวกเธอขึ้นไปเปิดแสงไฟบนภูเขาเอ๋อเหมย** เลยเอาไหม!” จู่ๆ ก็มีเสียงติติงเข้มงวดดังขึ้นมา

บรรยากาศเงียบสงบในบัดดล ทุกคนเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ หัวหดเดินกลับไปนั่งที่อย่างรวดเร็ว มีทั้งคนที่พลิกเปิดตำรงตำรา หยิบปากกงปากกาว่ากันไปตามประสา ส่วนอิ๋งจิ่งแลบลิ้นแล้วหันหลังกลับไปเรียกชื่อด้วยท่าทีเรียบร้อยตามระเบียบ

“ศาสตราจารย์ลี่”

ลี่โจวซานในวัยห้าสิบกว่าๆ แวบแรกที่เห็นเขามีรูปร่างกลมนิดหน่อย อ้วนท้วนเล็กน้อยแบบนี้ รูปร่างหน้าตาช่างไม่เหมือนกับนักวิชาการในความหมายแบบดั้งเดิมเลย แล้วก็หน้าตาดุร้ายแบบนี้อีก เขาเลยเป็นที่ขึ้นชื่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

“เละเทะสะเปะสะปะ วุ่นวายไปหมด นี่เป็นวัสดุสำหรับการทดลอง ไม่อนุญาตให้นำมาใช้ทำเรื่องอื่น!” ลี่โจวซานชี้ไปที่หัวใจดวงใหญ่เป้งแล้วถามอิ๋งจิ่งว่า “นายเตรียมที่จะเอามันไปใช้ร่วมการแข่งขันหรือเปล่า ฮะ?”

อิ๋งจิ่งยิ้มแหยๆ หัวเราะแหะๆ สองที “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”

หนวดกระจ้อยร่อยของลี่โจวซานแทบจะกระพือด้วยความโมโห เขาพ่นคำเทศนาที่คล้ายกับว่า ‘ใส่ถุงเท้าก่อนแล้วค่อยสวมรองเท้า เป็นหลานก่อนแล้วค่อยเป็นปู่’* ต่อเนื่องไปอีกหลายนาที ทุกประโยคที่ลี่โจวซานพูด อิ๋งจิ่งก็แอบท่องคำพูดต่อไปของเขาออกมาเงียบๆ อย่างรวดเร็ว

อัตราความแม่นยำแบบไม่ใช่ก็ใกล้เคียงที่เกือบจะตรงเป๊ะเช่นนี้ ทำเอาอิ๋งจิ่งอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา

“นายทำฉันเสียเวลาตลอดเลย เริ่มเรียนได้แล้ว” ลี่โจวซานเหมือนตาเฒ่าน้อยที่ขี้หงุดหงิดอารมณ์เสีย เอามือสองข้างไพล่หลังแล้วเดินจากไป

อิ๋งจิ่งเผ่นมานั่งข้างๆ ฉีอวี้ กางหนังสือออก แต่ความจริงแล้วเขาวางมือถือไว้ด้านล่างแอบเล่นเกมเที่ยวอีเที่ยว** ในกลุ่มเพื่อนสนิทมีคนแซงอันดับเขาไปแล้ว ไม่ได้ ต้องช่วงชิงที่หนึ่งกลับมาให้ได้

ฉีอวี้ถาม “นายเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในสัปดาห์หน้าแล้วหรือยัง”

“ยัง การแข่งขันนั่นต้องเตรียมตัวอะไร ก็แค่การเปลี่ยนม่านสลับหน้าฉากของมหาวิทยาลัยปีละครั้ง คงถูกพวกเรียนสาขาเอกการออกแบบอากาศยานคว้าตำแหน่งไปทุกรอบแหละ สาขาของเราก็แค่พระรองที่ช่วยส่งเสริมความนิยม จริงสิ ตอนค่ำเล่นบาสกันเถอะ”

“ไปเล่นด้วยไม่ได้หรอก”

“ทำไม ไปไหน” อิ๋งจิ่งเอ่ยถามเสียงเบา “ไปรับเธอเหรอ”

ฉีอวี้พยักหน้า “อือ วันนี้เธอเลิกงานดึกน่ะ”

อิ๋งจิ่งขานรับ “นายคิดจะขี่จักรยานเสี่ยวหวงเชอ*** อีกเหรอ”

“อือ เธอเลิกงานดึกมาก ไม่มีรถไฟใต้ดินแล้ว”

เพียงประโยคเดียวเบาๆ เกมเที่ยวอีเที่ยวที่กำลังกระโดดอยู่ก็ตายพอดี

อิ๋งจิ่งรู้สึกไม่แช่มชื่นนัก เขาปิดโทรศัพท์มือถือแล้วพูดว่า “ถึงยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องตรวจห้องนอน งั้นฉันไปกับนายด้วยก็แล้วกัน โอเค เอาตามนี้แหละนะ”

“…”

ฉีอวี้เด็กหนุ่มคนซื่อ กว่าจะสามารถออกเดินทางจากหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ มาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขามีแฟนสาวคนหนึ่งที่เติบโตและเที่ยวเล่นสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กชื่อว่ากู้จินจิน เธอดร็อปเรียนไปก่อนนานแล้ว และเมื่อปีที่แล้วก็มาที่ปักกิ่ง อิ๋งจิ่งไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ แต่ได้ยินฉีอวี้คุยโทรศัพท์กับเธอบ้างเป็นครั้งคราว พูดจาเสียงเบาๆ ท่าทางเขาจะคล้อยตามอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น

ขี่จักรยานสาธารณะไปรับแฟนสาวที่เข้างานกะดึก แล้วยังพาเธอกลับไปส่งที่ห้องเช่าอีก นั่นก็เพื่อที่จะประหยัดเงินค่ารถ

อิ๋งจิ่งแอบคิดแบบซื่อบื้อว่า เป็นแฟนกันมีอะไรดีงั้นเหรอ ลำบากจะตาย

 

ตอนค่ำพวกเขานั่งรถไฟใต้ดินสายสิบสามไปสถานีซีจื๋อเหมินเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง แล้วเดินถนนไปอีกหน่อยจนถึงถนนสายร้านเหล้า

ไฟนีออนหลากสีสันดูสวยงาม ทำให้ท้องฟ้าอาบย้อมด้วยแสงสว่างที่ขมุกขมัว เหมือนมีผ้าทอผืนหนึ่งปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ กลางคืนมีน้ำค้างแข็ง อิ๋งจิ่งสวมเสื้อฮู้ดที่ใส่ตั้งแต่ตอนกลางวันตัวนั้นอยู่ก็ยังหนาวจนเกือบจะแข็ง เขาเอามือใส่เข้าไปในกระเป๋า แทบอยากจะล้วงลงไปให้กระเป๋าทะลุ

ฉีอวี้ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ทำไมนายไม่ใส่กางเกงลองจอนล่ะ”

อิ๋งจิ่งพูดแบบงงๆ “ทำไมนายพูดจาอย่างกับแม่ของฉันเลยเนี่ย ฉันผ่านหน้าหนาวได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ตอนบ่ายฉันยังกินไอติมตั้งสองแท่งนะ ฉันไม่กลัวหนาวมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ทั้งสองคนหาเรื่องพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อ พอห้าทุ่มกู้จินจินก็เดินออกมาจากประตูร้านเหล้า เธอมีภูมิคุ้มกันร่างกายมากกว่าอิ๋งจิ่งเสียอีก ใส่กระโปรงสั้นปล่อยให้ขาสองข้างโล่งโจ้งเดินโงกเงกท่ามกลางสายลม

แม้จะอยู่ห่างกันไกล ทว่าก็สามารถมองเห็นได้ว่าเธอแต่งหน้าและกำลังพูดจาหน้าตายิ้มแย้มขำขันเดินออกมาพร้อมกับลูกค้าชายวัยกลางคนไม่กี่คน มือของชายหนึ่งในนั้นวางอยู่บนเอวของเธอ

อิ๋งจิ่งเบิกตามองจนตาแทบถลน แล้วก็มองดูฉีอวี้ที่อยู่ข้างๆ

เอ่อ น่าแปลกมาก

แฟนหนุ่มตัวจริงกลับไม่มีอาการสักนิด การแสดงออกดูอดกลั้น ฝืนข่ม และเก็บกดเอาไว้ มือเท้าเหมือนถูกอะไรกั้นขวาง เขาทำเหมือนกับว่าคุ้นชินจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

กู้จินจินเองก็เหมือนไม่ได้ต่อต้านมากมายนัก ทำทีกึ่งเต็มใจกึ่งปฏิเสธ จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่างกับคนเหล่านั้น หัวเราะคิกคักกันทั้งวง จากนั้นก็มีรถโฟล์กสวาเกนพาสสาตสีดำสองคันขับเข้ามา พอประตูรถเปิดออก กู้จินจินก็เข้าไปนั่งข้างในด้วยความยินดีปรีดา

อิ๋งจิ่งโกรธขึ้นมาทันที พลันผลักฉีอวี้อย่างแรง “มัวเหม่ออะไรอยู่! ไปเรียกเธอลงมาสิ!”

เมื่อตื่นจากความฝัน ฉีอวี้ก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วฉุดคนลงมาจากรถแบบมึนๆ ส่วนอิ๋งจิ่งก็ถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วรีบตามหลังไปติดๆ

กู้จินจินหวีดร้องเสียงแหลม “นายทำฉันเจ็บนะ! นายทำอะไรเนี่ย!”

ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้จับเอวของกู้จินจินพูดขึ้นมา “โอ้?”

ฉีอวี้กับกู้จินจินส่งเสียงทะเลาะกันนิดหน่อย ทำให้ชายคนนั้นหงุดหงิดจนสุดจะทน “เธอจะไปไม่ไป?”

กู้จินจินหันกลับไป พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไปค่ะเถ้าแก่” หลังจากนั้นก็หันมามองฉีอวี้ด้วยท่าทีโมโหสุดๆ “นี่คือลูกค้าคนสำคัญของฉัน นายอย่าสร้างปัญหาได้ไหม”

“ซื้อเหล้าก็ส่วนซื้อเหล้าสิ ทำไมต้องไปกับเขาด้วยล่ะ”

“แค่กินของว่างมื้อดึกเท่านั้นเอง ทำการขายมันยากมากนะ นายไม่มีทางเข้าใจหรอก” กู้จินจินสะบัดมือของเขาออก

ขอบตาของฉีอวี้เริ่มแดงแล้ว นิ่งเงียบอยู่ครึ่งวินาที จู่ๆ ก็ยกกำปั้นขึ้นต่อยหน้าลูกค้าคนที่ว่านั่นทันที

และแล้วเหตุการณ์ก็โกลาหลเกินกว่าจะควบคุมได้

มีทั้งเสียงร้องกรี๊ดของผู้หญิง เสียงออกแรงสู้อย่างดุเดือดของชายวัยฉกรรจ์ แถมยังมีวัยรุ่นสองคนที่อุกอาจปราศจากความเกรงกลัว

เกิดความอลหม่านวุ่นวายในทันที

ฉีอวี้ที่ในยามปกติมีนิสัยเชื่อฟังว่าง่าย เขาทนสู้โดยอาศัยแรงฮึด แต่ไม่ทันไรก็กลายเป็นว่าโดนอัดเละเสียแล้ว ส่วนอิ๋งจิ่ง…อื้อ! คนที่ไม่ใส่กางเกงลองจอนอยู่ในสภาพร่างกายที่ดีกว่าแฮะ

แต่ฝ่ายนั้นมีกันตั้งห้าคน คุณพระช่วย เขาสู้ไม่ไหวหรอก!

เห็นมานักต่อนักแล้วเหตุการณ์ที่ก่อเรื่องกันหลังจากดื่มเหล้า คนที่สัญจรผ่านไม่มีใครอยากเข้ามาร่วมเกลือกกลั้วด้วยเลย แค่มามุงดูความครึกครื้นสักหน่อยยังไม่อยากจะดู ตอนเดินผ่านก็รีบพากันหลบอย่างไว

 

ชูหนิงออกมาจากห้องประชุม ขณะลงบันไดสุภาพบุรุษอย่างเลขาฯ โจวที่เป็นคนสนิทของตระกูลเฝิงคอยช่วยพยุงมือของเธอ

“ช้าหน่อยครับ”

“ไม่เป็นไรน่า” ชูหนิงวางไม้เท้าลง ยิ้มพลางโอภาปราศรัย “วันนี้รบกวนคุณแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เลขาฯ โจวกล่าว “พื้นที่รอบๆ ของโครงการนี้เป็นพื้นที่โซนหลักที่ราชการส่วนภูมิภาคจะโยกย้ายมาในอนาคต จะสามารถวัดผลกำไรได้ในอีกหนึ่งปีให้หลังครับ”

ชูหนิงพยักหน้ายิ้มๆ

วันนี้เธอใส่เดรสยาวถึงข้อเท้าเพื่อปิดบังเฝือกไว้ สวมเสื้อโค้ตเข้าชุดกันกับเสื้อสูทสไตล์ตะวันตก ท่าทางดูทั้งทะมัดทะแมงและปราดเปรียว เธอลงบันไดด้วยขาที่ ‘เดี้ยง’ ข้างหนึ่ง ส่วนคนขับรถมารออยู่ที่ประตูทางเข้าแล้ว

เลขาฯ โจวเปิดประตูรถให้เธอ กล่าวคำฝากฝังด้วยเจตนาดี “คุณผู้หญิงเป็นห่วงขาของคุณ ขอให้หายเร็วๆ นะครับ ผมเองก็เฝ้ารอการจัดเลี้ยงงานหมั้นของคุณกับคุณจื่อหยางเช่นกันครับ”

ชูหนิงยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งในรถก็พลันหยุดชะงักลงด้วยเสียงความเคลื่อนไหวซึ่งดังแว่วมาจากพื้นที่ที่ห่างออกไปกว่าสิบเมตร

เธอเอียงหน้าหันไปมอง

อิ๋งจิ่งที่ใบหน้ามอมแมมคลุกฝุ่นดินกำลังตกเป็นรอง มองมาอย่างน่าสังเวช

ทั้งสองคนสบตากันในความมืดยามค่ำคืน

อิ๋งจิ่งแววตาเป็นประกาย รีบคว้าคอเสื้อด้านหลังของฉีอวี้อย่างรวดเร็วแล้ววิ่งหนีมาทางนี้ “เดี๋ยวก่อน รอผมด้วย!”

ชูหนิงเบนสายตากลับไปด้วยท่าทีเรียบเฉยแล้วขึ้นรถต่อไปอย่างไม่แยแส

เลขาฯ โจวก็ไม่สนใจถามไถ่ เข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับทันที

อิ๋งจิ่งอ้าปากแยกเขี้ยวอย่างเจ็บปวด หอบแฮกๆ ร้องขอความช่วยเหลือ “ผมกำลังจะถูกฆ่าแล้ว! ว้ากกก ผมจะตายแล้ว!”

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไร้ผล

รถอาวดี้ A6 สีขาวเคลือบแสงสีเงินเอี่ยมอ่องราวกับดาบที่ถอดออกจากด้ามฝักขับตรงแน่วออกไป

“จบเห่ๆ” อิ๋งจิ่งสภาพร่อแร่แทบจะโดนเด็ดทิ้งอยู่รอมร่อ ที่ด้านหลังพวกคุณลุงในวงเหล้าพวกนั้นก็ด่าโหวกเหวกไล่ตามเขามาแล้ว

ฉีอวี้หอบหายใจอย่างแรง กู้จินจินร้องไห้พลางหันกลับไปมอง “ทำยังไงดีเนี่ย ทั้งหมดเป็นเพราะว่านายน่ะวู่วาม! ฮือๆๆ”

บ้าเอ๊ย

อิ๋งจิ่งที่เป็นหมาหงอยโสดไร้คู่ รู้สึกว่ายายแฟนสาวของเพื่อนคนนี้ช่างน่ารำคาญจริงๆ

เขาพูดเสียงดังลั่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่ได้ซื้อประกันไว้!”

“เอ๋?”

“เธอต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ฉัน”

กู้จินจินแกล้งทำเป็นนิ่งทันที

ทันใดนั้นผู้คนด้านหลังก็ยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

อิ๋งจิ่งมองไฟท้ายที่ส่องแสงริบหรี่กำลังเลือนหายไปด้วยความสิ้นหวัง

แต่ทันใดนั้นรถอาวดี้คันนั้นก็จอด แถมไม่กี่วินาทีต่อมายังถอยหลังกลับมาหลายเมตร มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาพอดี

อิ๋งจิ่งนึกว่าตนเองตาพร่าไป

จนกระทั่งกระจกรถเลื่อนลงมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นหน้าผาก ดั้งจมูก ริมฝีปากของชูหนิง ซึ่งภาพนี้เหมือนกับภาพฉายแบบสโลว์โมชั่น ทั้งยังง่ายสุดๆ ต่อการสร้างความประทับใจแรกให้ตราตรึง

อิ๋งจิ่งกลั้นหายใจ

ชูหนิงเม้มปากนิดหน่อย มองเขาแวบหนึ่งโดยไม่พูดไม่จา

อิ๋งจิ่งเปิดประตูรถที่ปลดล็อกเรียบร้อยแล้วรีบเผ่นถลาเข้ามาในรถอย่างไว เรี่ยวแรงของเขามหาศาลอย่างกับลูกบอลไฟโจมตี ชูหนิงถูกเขาชนจนกระทั่งตัวเคลื่อนไปมากกว่าครึ่งเมตร ร่างกายแทบจะนาบติดกับประตูรถอีกฝั่ง

สีหน้าเธอดูอดกลั้น…เจ็บ เจ็บหน้าอก

หลังอิ๋งจิ่งขึ้นรถแล้ว กู้จินจินกับฉีอวี้ก็ตามเข้ามาติดๆ

‘โครม!’ ออกแรงปิดประตูรถเต็มเหนี่ยว ตัดขาดจากความโกลาหลวุ่นวาย

อิ๋งจิ่งลูบหน้าอก โคตรตื่นเต้นเลย!

ความเงียบสงบภายในรถถูกทำลายลง ชูหนิงแนบติดกับประตูรถ และอิ๋งจิ่งก็อยู่ติดกับเธอโดยไร้ซึ่งช่องว่างขวางกั้น ลมหายใจร้อนผ่าวรดอยู่ที่ลำคอของเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กลิ่นกายของคนแปลกหน้าปะปนกับกลิ่นเหงื่อไคล กลิ่นคาวเลือด กลิ่นฝุ่นดิน กลิ่นผสมปนเปสารพัดสารพันพรั่งพรูเข้ามาในจมูกของชูหนิง ที่น่าแปลกคือเธอแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นได้นิดหน่อย เหมือนจะได้กลิ่นหอมจางๆ ของหลันเยวี่ยเลี่ยง

อิ๋งจิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่เหมาะสม จึงรีบผลักดันฉีอวี้ไปอีกทาง “เขยิบไปหน่อยๆ” แล้วก็หันหน้ากลับมาอีกครั้ง พูดขอบคุณชูหนิงอย่างจริงใจ “เถ้าแก่คนสวย ขอบคุณนะครับ!”

แก่?

ชูหนิงจับความคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกที่ฉับไว แอบไม่ปลื้มอยู่ในใจนิดหน่อย ทว่ากลับเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงสงบ

“อือ”

ผู้ชายคนนี้น้ำเสียงท่าทางเหมือนสุนัขรับใช้ที่ขี้ประจบชัดๆ แต่มีดีอยู่ที่ว่าหน้าตาหล่อเหลา ตาสองชั้นสวยงามได้รูป ช่างสะดุดตาสะดุดใจ แม้ว่าจะเป็นคนขี้ประจบสอพลอ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าน่ารังเกียจขนาดนั้น

เลขาฯ โจวที่นั่งอยู่ข้างคนขับคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าชูหนิงจะหยุดรถ แม้ว่าในรถจะเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่เขารู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควรเลยจริงๆ ที่จะให้เธอเบียดเสียดอยู่ด้านหลัง ดังนั้นเลขาฯ โจวจึงบอกกับคนขับรถเสียงเบาๆ

“จอดรถ เสี่ยวหนิง ผมจะเปลี่ยนที่กับคุณนะครับ”

ชูหนิงพยักหน้า ภายในรถก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

อิ๋งจิ่งมองซ้ายมองขวา พวกเขาสามคนหน้าตามอมแมมเปรอะเปื้อนฝุ่นเหมือนผู้ลี้ภัยเลย แตกต่างกันอย่างยิ่งกับชูหนิงที่แต่งตัวเนี้ยบสะอาดสะอ้าน

อิ๋งจิ่งก้มศีรษะลง จ้องมองรองเท้าของตัวเอง แล้วเหลือบมองไปทางเธออีกครั้ง เบื้องล่างเป็นกระโปรงยาว ขาซ้ายใส่รองเท้าส้นสูงสีอ่อนโทนเดียวกับสีชุด ขาขวาใส่เฝือกไว้อย่างแข็งแรงแน่นหนา

อิ๋งจิ่งประหลาดใจ “เอ๊ะ? วันนี้ตอนเช้าคุณยังวิ่งได้เร็วมากอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

ชูหนิงขมวดคิ้ว รู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที

“คุณยกขาขึ้นสูงแล้วเอาเฝือกออก กระแทกจนเฝือกแตกเป็นเสี่ยงเลย แถมยังหายวับไปอย่างกับลมกรด” อิ๋งจิ่งมองชูหนิง กะพริบตาเพื่อดูให้ชัด มองให้แน่ใจ “ผมจำคนไม่ผิดหรอก เอ่อ พอตอนบ่ายคุณก็ล้มอีกแล้วเหรอ”

“…”

เลขาฯ ประจำตระกูลเฝิงที่กำลังดื่มน้ำอยู่สำลักเสียงดัง ปิดปากกระแอมกระไออย่างแรง สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องมองขาที่ใส่เฝือกของชูหนิง ท่าทีคาดคั้นล้วนมุ่งมาที่เธอแบบนี้ แทบเป็นการบีบบังคับให้เธอระเบิดออกมา

ความเงียบเอาชนะทุกสิ่ง บรรยากาศช่างน่าอึดอัดจริงๆ

นิ้วมือของชูหนิงสั่นสะท้านเล็กน้อย จับกระโปรงยาวที่คลุมปิดเข่าไว้แน่น เธอกำสุดแรงเหมือนกำลังบิดหัวของใครอยู่อย่างนั้นแหละ

ไม่ควรเมตตาสงสารให้ความช่วยเหลือหรือข้องเกี่ยวกับคนที่มีพิษภัยเลย สุดท้ายกลับนำความเดือดร้อนมาสู่ตัว

สีหน้าของเธอยังคงเงียบสงบไม่สะทกสะท้าน ทว่าภายในใจกลับด่าแหลกปานดอกไม้กินคนที่บานแย้มรอเขมือบอยู่นานแล้ว

อุบ๊ะ! ไอ้เจ้าเด็กเวรนี่!

 

 

* บาลานเซอร์ (Balancer) เป็นอุปกรณ์ผ่อนแรงที่ใช้สำหรับแขวนยกสิ่งของที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ติดตั้งง่าย ป้องกันการตกหล่นได้ดี และรับน้ำหนักได้อย่างสมดุล

* แผงวงจรพิมพ์ หรือ PCB (Printed Circuit Board) คือส่วนพื้นฐานสำคัญของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ใช้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือประกอบเป็นวงจรแทนการต่อวงจรด้วยสายไฟ

** ภูเขาเอ๋อเหมย หรือเอ๋อเหมยซาน เป็นหนึ่งในสี่มหาคีรีอันเลื่องชื่อทางพุทธศาสนาในประเทศจีน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน และถูกจัดให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม

* ‘ใส่ถุงเท้าก่อนแล้วค่อยสวมรองเท้า เป็นหลานก่อนแล้วค่อยเป็นปู่’ หมายถึงชีวิตคนเราต้องผ่านประสบการณ์ความยากลำบาก พ่ายแพ้ล้มเหลวเป็นไปตามลำดับขั้นตอน จะประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับนับถือได้ จำเป็นต้องอาศัยความขยันพากเพียรบากบั่น เตรียมพร้อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

** เที่ยวอีเที่ยว เป็นเกมในแอพพลิเคชั่นวีแชต (WeChat) สามารถใช้งานได้โดยการดาวน์โหลด WeChat Mini Program เป็นเกมเก็บแต้มตามจำนวนกล่องสี่เหลี่ยมที่กระโดดได้ ซึ่งแต่ละกล่องมีฟังก์ชันให้แต้มที่แตกต่างกัน

*** เสี่ยวหวงเชอ หรือจักรยานสาธารณะโอโฟ (ofo) มีจุดเด่นเป็นจักรยานคันสีเหลือง ให้บริการจักรยานสาธารณะแบบไร้สถานี

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: