บทที่ 6
เมื่อถึงเวลา การประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
ฝ่ายนายทุนนั่งประจำที่แถวแรก หลังกล่าวคำพูดสั้นๆ แล้วก็เริ่มเปิดฉาก ตัวแทนโครงการกล่าวปาฐกถาตามลำดับ อิ๋งจิ่งได้ลำดับที่สองนับจากหลัง ฉีอวี้พูดด้วยความสนใจเล็กน้อย
“สาขาออกแบบได้ลำดับที่สาม”
สมเป็นลูกรักตัวจริงของมหาวิทยาลัยเลย
ครั้นดูได้สองรอบ อิ๋งจิ่งก็เข้าใจแล้วว่าผู้ที่เก่งกาจมีศักยภาพทั้งหมดล้วนมุ่งตะลุยไปข้างหน้าลูกเดียว อย่างพี่ชายคนที่พูดกับเขาเมื่อครู่นี้ อิ๋งจิ่งแอบค้นไป่ตู้ดูบริษัทของเขา ดูท่าทางเก่งใช้ได้เชียวแหละ
บรรดาผู้บรรยายโครงการเหล่านี้แต่ละคนเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการทั้งนั้น ทักษะในการพูดดีเลิศ บรรยากาศในงานช่างงดงามมาก
คนเราก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนแรกเริ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แสดงจุดเด่นและข้อดีทั้งหมดของตนเองออกมาเสียใหญ่โต ทำให้เกิดความภาคภูมิใจเหมือนเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่* จนเมื่อได้หลอมรวมเข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้วจึงพบว่านกกระเรียนในฝูงไก่เป็นเรื่องจริง แต่เหมือนกับว่าตนเองจะไม่ใช่นกกระเรียน…ตัวนั้น
อิ๋งจิ่งประหม่านิดหน่อย
คนพวกนี้มันยังไงกันเนี่ย ช่างจ้อกันเหลือเกิน พูดเก่งกันเกินไปแล้วมั้ง!
ถึงตาของสาขาเอกการออกแบบอากาศยานผู้ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน ผู้บรรยายนำอิ๋งจิ่งก็รู้จัก เป็นประธานสภานักศึกษาควบตำแหน่งคนขี้ประจบตัวท็อปของรองอธิการบดี อ้อ ไม่สิ คนสนิทเบอร์หนึ่งต่างหาก เขาสวมชุดสไตล์ซุนยัตเซ็นที่ไม่รู้ว่าไปได้มาจากไหน ใส่แว่นกรอบดำ แล้วก็เอ่ยปากพูด
“อันดับแรก ได้มาอยู่ร่วมในสถานที่เดียวกันกับทุกท่านซึ่งเป็นบุคคลที่โดดเด่นในแวดวงธุรกิจ ช่างเป็นเกียรติของผมจริงๆ ครับ อันดับต่อมา ผมอยากขอบคุณมหาวิทยาลัยของผมที่มอบโอกาสสำหรับการแนะนำตัวนักศึกษาให้กับบริษัทในครั้งนี้ให้ผม”
อิ๋งจิ่งขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเตรียมความพร้อมของเขาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างราบรื่น และภายใต้การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอากาศยานในช่วงไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นเทรนด์ที่นิยมกันแพร่หลาย อากาศยานไร้คนขับได้นำมาประยุกต์ใช้กับขอบเขตสาขางานที่หลากหลาย บวกกับการสนับสนุนอย่างแข็งขันในระดับประเทศ เทคโนโลยีจึงค่อยๆ เติบโตสุกงอมไปทีละขั้น มองเห็นโอกาสภายภาคหน้าในทางธุรกิจ
หากสังเกตดูสักนิดจะเห็นว่าฝ่ายนายทุนที่อยู่แถวหน้าล้วนตั้งใจฟังกันอย่างรอบคอบและจริงจัง
สายตาของอิ๋งจิ่งเหลือบไปทางด้านขวา
ชูหนิงนั่งตัวตรง กำลังก้มหน้าพลิกเปิดดูเอกสารข้อมูลผ่านๆ ดูเหมือนจะอ่านค้นข้อมูลบางอย่าง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองผู้พูด ส่วนโค้งตรงใบหน้าด้านข้างของเธอสวยจริงๆ ระหว่างจุดเหรินจง* และริมฝีปากมีส่วนเว้าเล็กน้อย
สีปากสวยจังเลย
เสียงพูดบนเวทีกลายเป็นเสียงหึ่งๆ ดังอื้ออึง จากนั้นอิ๋งจิ่งก็กลับมารู้ตัวอีกครั้ง รู้สึกใจวาบหวิวกับความฟุ้งซ่านของตัวเองเมื่อครู่นี้อย่างบอกไม่ถูก
“นายตื่นเต้นเหรอ” จู่ๆ ฉีอวี้ก็ถามขึ้นมา
“หะ…หา? ตื่นเต้น อ้อ ไม่ได้ตื่นเต้น” น้ำเสียงอิ๋งจิ่งละล่ำละลัก เหมือนหัวขโมยที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องเลวร้าย
“…”
ไม่นานก็ถึงตาพวกเขาแล้ว
อิ๋งจิ่งเป็นผู้บรรยายหลัก ส่วนฉีอวี้ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมมือ
เขาดึงชายเสื้อด้านล่างของชุดสูทเล็กน้อย แอบสูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงสาวเท้าก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางสายตาของสาธารณชนที่มองดูอยู่
ชูหนิงวางหนังสือโครงการในมือลง ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแล้วก็มองเขา
อิ๋งจิ่งในตอนนี้เตรียมการมาอย่างดีพร้อมและมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็มีทั้งชื่อเสียงมหาวิทยาลัยที่คอยช่วยส่งเสริมสนับสนุน และด้วยการหนุนนำของคนวัยหนุ่ม พลังความกล้าหาญพลุ่งพล่านแถมพละกำลังยังกระปรี้กระเปร่าโหมกระหน่ำมาอย่างเต็มที่ ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ เขามั่นใจเต็มเปี่ยมกับโครงการของตัวเอง
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยการบินฯ C ผมชื่ออิ๋งจิ่งครับ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอันล้ำค่ามารับฟังแนวคิดการออกแบบของผมนะครับ”
ไม่มีวาจาประจบประแจงและเจตนาป้อยอเอาใจแต่อย่างใด การเริ่มเปิดฉากเช่นนี้ทั้งเปิดเผยและรวบรัด
ชูหนิงชะงัก อิ๋งจิ่ง? เป็นชื่อที่แบบว่าเบ่งบานเปิดรับขนาดนี้เลยเหรอ
เธอพลิกกลับไปเปิดดูหน้าปกของหนังสือโครงการ อ๋อ ที่แท้ก็คำว่าจิ่งที่แปลว่าความแจ่มจรัสของหยก
“วันนี้สิ่งที่ผมจะมาแนะนำแก่ทุกท่านคือความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีการจำลองเสมือนจริงด้านเครื่องยนต์อากาศยานครับ” เสียงของเด็กวัยรุ่นดังชัดเจนและไพเราะ ไม่มีเสียงเอ๋อร์* ที่เป็นสำเนียงพูดในแบบปักกิ่ง แล้วก็ไม่มีการพูดทำนองไล่เสียงสูงต่ำในลักษณะเชิงเทคนิคแต่อย่างใด เขาพูดจาชัดถ้อยชัดคำ คำพูดที่ออกมาดังก้องกังวาน
ภาพสไลด์เปลี่ยนไปทีละภาพๆ การอธิบายแบบมืออาชีพที่ละเอียดแม่นยำก็เริ่มลงรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ไปทีละลำดับ
อิ๋งจิ่งยิ่งพูดก็ยิ่งออกรส จากตอนแรกสุดที่กังวลจนผ่อนคลาย กระทั่งถึงตอนนี้ที่ตื่นเต้นจนแทบจะระเบิด เขาก็ยังพูดจาอย่างฉะฉาน ออกจะมีความรู้สึกชื่นมื่นในแบบที่ว่า ‘ยายอิ๋งขายแตง ขายเองชมเอง’**
กระทั่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นของเขากวาดมองมาที่ความเคลื่อนไหวของชูหนิง
ตอนแรกชูหนิงยังค่อนข้างที่จะสนใจฟัง สามนาทีต่อมาสีหน้าเรียบเฉย พอห้านาทีต่อมาการแสดงออกดูไม่ได้จดจ่ออยู่ที่การฟังอีกแล้ว สุดท้ายเธอไม่แม้แต่จะมองดู และปิดหนังสือโครงการของพวกเขาทันที
ราวกับเป็นการพิพากษาครั้งสุดท้ายตอนปิดฝาโลงศพว่ายังคงเป็นพวกประเภทที่ไม่ดี ใช้ไม่ได้อยู่นั่นเอง
อิ๋งจิ่งรู้สึกว่าวินาทีก่อนตนเองยังมีไฟอยู่ในจุดเดือดอยู่เลย พอมาวินาทีนี้ก็ถอดใจหมดไฟเสียแล้ว
โชคดีที่มาถึงช่วงท้ายแล้ว ขาดความสมดุลทางสภาพอารมณ์นิดหน่อยก็คงไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากนัก ครั้นเขาพูดจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นที่ด้านล่างเวที หร็อมแหร็มอยู่ไม่กี่วินาที พอจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปรบมือแบบสุภาพและเป็นมิตร
อิ๋งจิ่งเดินเคว้งลงจากเวที ฉีอวี้กระซิบเสียงเตือนจากข้างหลัง “นายเดินมือกับขาไปทางเดียวกันแน่ะ”
“…”
แต่เดิมจิตใจที่กระสับกระส่ายอยู่แล้วก็ยิ่งดูงุ่นง่านเข้าไปอีก เขากลับมานั่งที่ตำแหน่งเดิม มารู้ตัวอีกทีเหงื่อก็ท่วมทั้งหลังแล้ว
หลังจากรอให้ทีมโครงการกล่าวคำพูดทั้งหมดเสร็จสิ้นก็จะได้รับคำตอบของรอบแรกภายในเวลาครึ่งชั่วโมง อันที่จริงพอเลิกประชุมแล้วจะมีฝ่ายนายทุนดำเนินการติดต่อขั้นต้นกับโครงการที่พวกเขาให้ความสนใจ ซึ่งภายในห้านาทีก็มีห้าบริษัทที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อิ๋งจิ่งนั่งอยู่ตรงที่เดิม กำกางเกงสูทไว้ด้วยความกังวล
“ขอบคุณมากเลยครับ!!” ไม่ไกลออกไปมีเสียงโห่ร้องดีใจของวัยรุ่นดังแว่วมา เป็นกลุ่มของสาขาเอกการออกแบบอากาศยานที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันนั่นเอง
ฉีอวี้พูดว่า “พวกเขาได้รับเลือกแล้ว”
อิ๋งจิ่งยังมีความหวังในใจ “พวกเราก็คงได้แหละ รออีกหน่อย อย่ารีบร้อน!”
แบบนี้ยิ่งเหมือนเป็นการพูดกับตัวเองเลย
สามสิบนาทีต่อมา สถานที่ประชุมว่างเปล่าแล้ว
ฉีอวี้ทอดถอนใจ พูดกับอิ๋งจิ่งที่ไม่ขยับเขยื้อนตัวเลย “เราไปกันเถอะ”
อิ๋งจิ่งเอียงหน้าหันไปถามว่า “เป็นเพราะฉันพูดจาผิดพลาดเหรอ”
ฉีอวี้เอ่ย “ไม่หรอก นายพูดได้ดีมาก”
“งั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกล่ะ”
ฉีอวี้อ้าปากจะพูดอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีคำพูดเปล่งออกมาสักคำเดียว
จู่ๆ อิ๋งจิ่งก็ลุกขึ้นยืน
“เฮ้! นายจะไปไหน!” ฉีอวี้ตกใจยกใหญ่ ไม่สามารถไล่ตามหลังเพื่อนที่เผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็วได้ทัน
ห้องโถงเล็กที่อยู่ภายนอกสถานที่ประชุมยังมีผู้คนอยู่อีกเยอะมาก มีทั้งฝ่ายนายทุน มีบริษัทที่ถูกเลือก กำลังพูดจาทักทายกันอย่างสุภาพ หรือสื่อสารแลกเปลี่ยนความร่วมมือกันอยู่ อิ๋งจิ่งค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง แล้วอยู่ๆ ก็เกิดอาการดื้อดึงขึ้นมา คว้าเอาคนดวงซวยคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ มาถาม
“สวัสดีครับ เมื่อสักครู่นี้ผมเป็นคนทำรายงานการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแบบจำลองเสมือนจริงเองครับ ผมชื่ออิ๋งจิ่ง ขอโทษอย่างยิ่งนะครับที่รบกวนคุณ”
ทันทีที่เปล่งคำพูดนี้ ทุกสายตาล้วนมองมาทางเขา
เหตุผลที่เลือกคนดวงซวยคนนี้เพราะอิ๋งจิ่งจำได้ว่าเขาเป็นคนที่ดูท่าทางค่อนข้างมีประสบการณ์และมีอำนาจในการพูดท่ามกลางบรรดาเหล่านายทุนทั้งหมด
อิ๋งจิ่งถามตรงๆ แต่เพราะความตรงไปตรงมาจึงกลับกลายเป็นดูเหมือนจริงใจและจริงจัง
“ผมอยากขอคำปรึกษาจากคุณครับ คือว่าการพูดบรรยายโครงการของผมมีส่วนที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนหรือไม่ครับ”
ชายชราตะลึงงัน หลังจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี
หลังจากคนที่อยู่รอบๆ ได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกเริงร่าขึ้นมากันหมด
บางทีรอยยิ้มอาจจะดูเจตนาดี แต่ในขณะนี้อิ๋งจิ่งมองดูแล้วเหมือนลูกบอลปุกปุยที่เต็มไปด้วยหนามแหลมซึ่งแต่ละอันจ้องจะทิ่มแทงใส่เขาด้วยเจตนาชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องขำๆ
เขานึกในใจ เหอะ น่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบเส้นสายกันทั้งหมดแหละ
ก็เหมือนกับที่มหาวิทยาลัยลำเอียงเข้าข้างสาขาเอกการออกแบบอากาศยานมาตลอดไง!
อายุในช่วงยี่สิบต้นๆ ล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคำว่าหนุ่มสาวเต็มไปด้วยพละกำลังล้นเหลือ เลือดลมสูบฉีดเต็มที่ และด้วยสถานการณ์ที่ต้องประสบกับความอยุติธรรมมาอย่างยาวนาน บวกกับอดหลับอดนอนมาหลายวัน แต่สิ่งที่ทำออกมาก็ยังไม่ได้รับการเห็นดีเห็นชอบ อีกทั้งบางทีอาจเป็นเพราะท่าทางของชูหนิงที่ปิดหนังสือโครงการด้วย
เวลานี้อิ๋งจิ่งสิ้นหวังสลดใจเหมือนตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เอ่ยถามอีกครั้งด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“คุณได้โปรดช่วยชี้แนะด้วย ผมเปลี่ยนได้ ผมสามารถทำให้ดีขึ้นได้ครับ”
เสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตรยิ่งดังกระหึ่มมากขึ้น
เด็กหนุ่มคนนี้ช่างเซ่อซ่าดูน่ารักจริงๆ
ทุกคนเหมือนกำลังมุงดูสิ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญ และไม่แม้แต่จะคิดว่าการร้องขอของเขาเป็นเรื่องจริงจัง ทว่าในตอนนี้ชูหนิงก็ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา
“แนวคิดการออกแบบโครงการดีนะ มีความเป็นมืออาชีพมาก เทคโนโลยีขั้นสูง มีการมองการณ์ไกลมากพอสมควร”
เธอเบี่ยงตัวก้าวออกมาจากฝูงชน รูปร่างบอบบาง กิริยาท่าทางก็งามสง่า เสียงพูดหนักแน่นเอาจริงเอาจัง ไม่กระโชกโฮกฮาก แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นรีบเร่งไปเสียทั้งหมด
อิ๋งจิ่งสบตากับเธอ ในใจเริ่มลั้ลลาผ่อนคลายลงได้นิดหน่อย
ชูหนิงพูดต่อ “แต่ความเป็นไปได้ต่ำเกินไป”
อิ๋งจิ่งอธิบายแก้ต่าง “เรื่องความเป็นไปได้ไม่มีปัญหาครับ พวกผมได้สาธิตให้เห็นแบบจำลองขั้นพื้นฐานบนพาวเวอร์พ้อยต์แล้วครับ”
ชูหนิงพูดต่อ “ดี งั้นขอถามหน่อย ตั้งแต่การก่อสร้างจนถึงการประยุกต์ใช้งานจริง จำเป็นต้องใช้เวลานานแค่ไหน”
อิ๋งจิ่งสูดลมหายใจรวมพลัง เหมือนกับจะต้องร่ายคำพูดยาวเหยียด แต่พอคิดอย่างละเอียด เขาเองก็ใจฝ่อเสียแล้ว
“ต่อให้สามารถลงทุนแล้วนำมาใช้งานในเวลาสั้นๆ ได้ก็เถอะ งั้นขอถามอีกว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงรูปธรรมในแง่ไหนได้บ้างล่ะ”
“การวิจัยและการพัฒนาทางเครื่องยนต์อากาศยานครับ” เหมือนเป็นฉากเกมไพ่โป๊กเกอร์ ตกเป็นรองอยู่ทว่าจู่ๆ จับได้ไพ่เด็ดเสียอย่างนั้น อิ๋งจิ่งพูดเสียงสูง แสดงความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ทุกท่านคงรู้จักเครื่องโบอิ้ง 777* กันสินะครับ การออกแบบเครื่องบินทั้งลำและการทดสอบในส่วนสำคัญแต่ละจุดก็เป็นคุณูปการจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแบบจำลองเสมือนจริง ซึ่งทำให้แต่เดิมที่มันต้องใช้ระยะเวลาที่ครบกระบวนในการพัฒนาถึงแปดปีย่นระยะเป็นใช้เวลาเพียงห้าปีเท่านั้น”
ชูหนิงพูด “จากแปดปีย่นย่อเป็นห้าปี?”
อิ๋งจิ่งตอบ “ถูกต้องครับ!”
ชูหนิงสงบนิ่ง พูดแบบรวบย่อเฉพาะคำสำคัญ “แปดปี? ห้าปี?”
น้ำเสียงเช่นนี้ช่างเย็นเฉียบเหมือนมีสะเก็ดน้ำแข็งซึมผ่านรำไร ไร้ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ชูหนิงพลันยิ้มออกมา คำพูดในเชิงคำถามกลายเป็นคำยืนยันที่พูดพอให้ผ่านไปแบบไม่อธิบายลงลึก
“อ๋อ ห้าปี”
สถานประกอบการเป็นองค์กรที่ว่าด้วยคำว่ากำไรอยู่แล้ว วงจรการลงทุนห้าปีก็ใกล้ขีดจำกัดของสถานประกอบการส่วนใหญ่เข้าไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโครงการที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้ ไม่สามารถประเมินค่าได้ และเป็นตัวถ่วงในทุกด้าน
พูดไปจนแล้วจนรอดก็สามารถสรุปเป็นคำพูดง่ายๆ ได้ว่า “ไม่มีหวัง ขอโทษนะ”
ความหมายของชูหนิงเป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเธอไม่อยากใช้ความรู้สึกมาเดิมพันกับอนาคตในวันพรุ่งนี้
เพียงคำพูดเดียว พออิ๋งจิ่งได้ยินก็เกิดอาการปลายหูแดงก่ำ ปวดแปลบหน้าอก ความไม่ย่อท้อไม่เกรงกลัวอันตรายเมื่อต้องออกจากกระท่อมเพื่อเข้าสู่การทำงานครั้งแรกนั้นได้แตกสลายกลายเป็นผุยผงอย่างสมบูรณ์ ภายใต้คำพูดซื่อตรงที่ฟังแล้วไม่เข้าหูคน จึงได้รู้ว่าที่แท้การเคารพตนเองที่มีอยู่น้อยนิดนั้นช่างแสนจะอ่อนแอบอบบางราวกับปีกจักจั่น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
นี่เป็นสไตล์การทำงานในแบบของชูหนิงมาโดยตลอด
ตรงไปตรงมา และมองเชิงภววิสัย* กล่าวโดยทั่วไปแล้วนี่ถือว่าเป็นจุดเด่น แต่สำหรับอิ๋งจิ่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นความเลือดเย็นและไร้ความปรานีอยู่บ้าง
ออกรบไร้ซึ่งชัย แพ้พ่ายกลับมา
อิ๋งจิ่งเคว้งคว้างไปหมด สูญสิ้นเรี่ยวแรงกำลังทั่วร่าง
ฉีอวี้พูดปลอบเขา “ไม่เป็นไรหรอก เราเองก็ได้รับการยอมรับแล้วไม่ใช่เหรอ”
เขายังคงดื้อดึงอยู่นั่นเอง อิ๋งจิ่งพูดอย่างไม่ยอมว่า “ฉันว่าพวกเขาไม่เข้าใจเลย ก็แค่พวกคนประเภทที่ทำธุรกิจแบบเอาง่ายเข้าว่า”
ฉีอวี้พูด “สามารถทำธุรกิจได้ง่ายๆ แล้วทำไมจะต้องไปทำให้วุ่นวายอีกล่ะ”
หมู่มวลโทสะจุกค้างอยู่ในลำคอของอิ๋งจิ่ง จะกลืนก็กลืนไม่ลง จะคายก็คายไม่ออก เขาคับข้องใจแทบตาย
พอถึงมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็มีท่าทีน่าเวทนาอยู่สักหน่อย
ทางฝ่ายสาขาเอกการออกแบบอากาศยานนั้นเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
“ฉันบอกแต่แรกแล้วไง พวกเขาไม่ไหวหรอก ตอนออกเดินทางยังจะมาขึงผ้าโฆษณาป่าวประกาศ เป็นเด็กอ่อนหัดไหมล่ะ”
“แบบว่าต้องมาร่วมผสมโรงให้ได้ มหาวิทยาลัยก็แถลงออกมาแล้ว แบบนี้ไม่เสียเวลาหรือไง”
“แถมยังมีกลุ่มแฟนคลับอีก บ้าเอ๊ย เหมือนกับกลุ่มลัทธิเลยว่ะ”
หลังจากอิ๋งจิ่งกลับมาถึงห้องพักแล้วก็ตรงไปนอนแผ่ร่างตายซากบนเตียงทันที ในวันต่อมาฉีอวี้เรียกเขาให้ไปเข้าเรียน เขาดึงผ้าห่มคลุมปิดหัวไว้ พลิกตัวหันกลับไปกัดฟันนอนต่อ
เผอิญว่าคาบเรียนนี้เป็นคาบของลี่โจวซานพอดี หลังจากเลิกเรียนเขาก็เรียกฉีอวี้ไว้ “ไอ้เจ้าหนูนั่นล่ะ”
ฉีอวี้เกาหัวแกรกๆ ตัวสั่นงันงก “ปราณชีวิตได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังบำเพ็ญเพียรฝึกความสงบเสงี่ยมอยู่ครับ”
ลี่โจวซานขึ้นเสียงสูง “นายบอกเขาเลยนะ ขืนตอนบ่ายโดดเรียนอีก เทอมนี้อย่าคิดว่าจะผ่าน!”
ฉีอวี้ทำตัวเป็นกระบอกเสียงอย่างซื่อๆ ตามระเบียบ
อิ๋งจิ่งที่ยังนอนตายซากอยู่บนเตียงจู่ๆ ก็กระตุกฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาเด้งผลุงลุกนั่งเหมือนสปริง ยันตัวกับหัวยุ่งกระเซิงเหมือนรังนกขึ้นมา
“มีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันสอบผ่าน! โครงการนี้เขาเป็นคนมอบให้เอง นี่พวกเราก็ทำงานให้เขาหรอก! แล้วคนที่ขายขี้หน้าก็ไม่ใช่เขาด้วย!”
“ชู่วๆๆ นายเบาเสียงหน่อยสิ” ฉีอวี้คิดจะเอามือปิดปากเขาไว้ “ตอนที่ฉันเพิ่งเข้ามา เห็นเจ้ากรอบแว่นดำเล่นอยู่ที่ห้องที่อยู่ติดกันเนี่ย”
เจ้ากรอบแว่นดำชื่อเต็มคือหลัวจยา เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนที่ได้รับเลือกโครงการอากาศยานเมื่อวานนั่นเอง
คำพูดนี้แทนที่จะโดนเจ้ากรอบแว่นดำได้ยินเข้าเสียก่อน แต่กลายเป็นว่าถูกลี่โจวซานที่อยู่ตรงประตูทางเข้าได้ยินเข้าเสียแล้ว
ฉีอวี้ใจเต้นระส่ำระสายแทบบ้า “ศาสตราจารย์ลี่”
อิ๋งจิ่งพลันผงะ ตามมาด้วยการแสดงออกแบบไร้ซึ่งความเกรงกลัวด้วยท่าทีแบบว่า ‘ที่ฉันพูดเป็นความจริง’
ทว่าลี่โจวซาน…ไม่มีการตำหนิ ไม่มีการก่นด่า ไม่มีแม้กระทั่งคำพูดสักคำเดียว
สันหลังของเขาโค้งงออย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากหมกตัวอยู่ในห้องปฏิบัติการมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเขาจะตัวสูง แต่หลังที่ตรงแหน็วที่ว่านั้นหายไปนานแล้ว
ลี่โจวซานมองดูอิ๋งจิ่งครู่หนึ่ง สายตาที่มองมานี้มีความหมายไม่ชัดเจนนัก ทว่าอิ๋งจิ่งกลับมองเห็นถึงความเจ็บจี๊ดเหมือนกับถูกทิ่มแทงใจ
เขาหันหน้าไปทางอื่น จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หัวรั้นไม่มีแผ่วลงเลยสักนิด
ลี่โจวซานเดินจากไปแล้ว
ฉีอวี้รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง “เฮ้ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก ไม่ได้รับเลือกก็เป็นเรื่องปกติมากนี่นา คำพูดของบอสสาวคนนั้นก็ค่อนข้างมีเหตุผลมากเลยนะ”
เป็นเพราะว่ามีเหตุผลไงล่ะ ถึงจะเป็นความจริงแต่ก็สิ้นหวังชะมัด
“นายจะเข้าใจอะไร” อิ๋งจิ่งทิ้งคำพูดไว้ เมื่อล้างหน้าและบ้วนปากแบบลวกๆ แล้วก็สวมเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปข้างนอก
แต่เจ้ากรอบแว่นดำที่อยู่ห้องข้างๆ ก็เดินออกมาพอดี
ทั้งสองคนประจันหน้ากัน
อิ๋งจิ่งมองตรงไปไม่มีล่อกแล่กทางอื่น เชิดคอเรียวยาวขึ้น เจ้ากรอบแว่นดำเองก็ทำตัวเป็นเด็ก จงใจตะโกนพูดกับเพื่อนร่วมชั้น
“ความจริงฉันก็ไม่ได้ทุ่มเวลาอะไรมาก ห้องปฏิบัติการได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษจากสาขาอยู่แล้ว ฉันใช้งานได้สะดวกสบาย ไม่ได้เอาเวลาพักผ่อนไปเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะอดหลับอดนอนสามสี่คืนหรอก”
อิ๋งจิ่งหยุดฝีเท้า ซักถามด้วยเสียงเย็นๆ “นายพูดถึงใครกัน”
หลัวจยาเอามือลูบคาง ทำเป็นยียวน “ใครร้อนตัวขึ้นมาก็คนนั้นแหละ”
เสือสองตัวอยู่ร่วมเขาลูกเดียวกันไม่ได้ ยิ่งมีความผยองในแบบวัยรุ่นก็ยิ่งเป็นการเติมน้ำมันในกองเพลิงเข้าไปอีก โดยพื้นฐานแล้วคงต้องจบเห่
อิ๋งจิ่งเกิดอาการโทสะเดือดพุ่งพรวดขึ้นมาทันที เขาใช้มือคว้าจับคอเสื้อของหลัวจยาไว้
“พูดจาภาษาคนได้ไหมวะ!”
หลัวจยาคนนี้มีหน้าตาแบบผู้ชายเนิร์ดทั่วไป ส่วนสูงคือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแบบกลางๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าอิ๋งจิ่งที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบแล้ว ไม่มีข้อได้เปรียบเลยสักนิด
เขาถูกรัดจนสะดุดล้มลงไปกับพื้น หลังจากลุกขึ้นได้ก็เหวี่ยงหมัดออกไปต่อยคางอิ๋งจิ่งจนได้รับบาดเจ็บ
พอความเดือดดาลคั่งแค้นครอบงำก็ทำเอาขาดสติกันไปหมด ทั้งสองคนสู้ตะลุมบอนกันทันที เดี๋ยวก็ร้องเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เดี๋ยวก็เป็นเสียงอื้ออึงของกำปั้น ทั้งหมดล้วนลงมือกันอย่างเต็มเหนี่ยว
เมื่ออิ๋งจิ่งถูกลากตัวออกมา เขาเดินขากะเผลก ส่วนหลัวจยา…ล้มอยู่บนพื้นแล้ว คนราวสามถึงห้าคนพยุงไว้ก็ยังลุกไม่ขึ้น
“ถ้าพูดไม่ได้ก็หุบปากซะ” อิ๋งจิ่งหอบหายใจจนหน้าอกกระเพื่อม สะบัดข้อศอกไปข้างหลัง ผลักฉีอวี้ที่กำลังขวางเขาอยู่ออกไปแล้วชี้ไปที่หลัวจยา ในดวงตามีความโกรธแค้นชิงชังอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย “แกฟังฉันไว้ให้ดี วันนี้ฉันอิ๋งจิ่งแพ้แล้ว แต่ว่าไม่ได้แพ้ให้แก!”
การทะเลาะวิวาทกันระดับนี้แถมอยู่ภายในสถานศึกษาแห่งนี้ซึ่งมีบรรยากาศเชิงวิชาการเข้มข้นมาก สามารถอธิบายโดยใช้คำว่าเป็นคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ได้เลย กลายเป็นประเด็นหัวข้อสนทนาของทุกหอนอนอยู่สามวัน
“พระเจ้า หลัวจยาถูกต่อยจนร้องโอดโอย อิ๋งจิ่งต่อยเก่งชะมัดเลย”
“นี่มันจะมีอะไรแปลกกันล่ะ ฉันได้ยินว่าพ่อเขาเป็นแม่ทัพภาคนะ มาจากครอบครัวนายทหาร สภาพร่างกายต้องผ่านด่านมาแล้วแหละ”
“อุ๊ย แหม ทำไมเธอพูดจาทะแม่งๆ ออกมาเนี่ย ออกแนวลามกหน่อยๆ แฮะ”
“ใช่ที่ไหน! เธอคิดไม่ดีเองชัดๆ”
“แต่ว่ารูปร่างอิ๋งจิ่งดีมากจริงๆ นะ ฮ่าๆๆๆ”
คำพูดซุบซิบระหว่างผู้หญิงช่างครึกครื้นมีสีสัน แล้วก็วกกลับมาที่ประเด็นหลักอย่างรวดเร็ว
“พวกเธอรู้กันไหม ปีนั้นผลคะแนนของอิ๋งจิ่งดีมากเชียวล่ะ ตัวเลือกแรกที่กรอกคือมหาวิทยาลัยชิงหวา*”
“แล้วทำไมมาเรียนที่มหาวิทยาลัยการบินฯ C ล่ะ”
“พลาดในการสอบเกาเข่า** มั้ง น่าเสียดายมาก ขาดแค่ไม่กี่คะแนนเอง”
ลมพัดใบไม้ไหวเบาๆ พัดพาให้เกิดความสงบเงียบ
“…อา”
“เฮ้อ…”
* นกกระเรียนในฝูงไก่ เปรียบเปรยถึงคนที่มีความสามารถ หรือเป็นที่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
* จุดเหรินจง คือจุดสำหรับฝังเข็มหรือกระตุ้นเลือดลม เป็นจุดที่อยู่ระหว่างปากกับจมูก ใช้บำบัดรักษากรณีเป็นลมหมดสติในภาวะฉุกเฉินด้วยการกดจุดตรงตำแหน่งนี้
* เสียงเอ๋อร์ หรือเอ๋อร์ฮว่าอิน (儿化音) คือการออกเสียงโดยม้วนลิ้นให้ปลายลิ้นแตะที่เพดานปาก และคนปักกิ่งมักจะพูดลงท้ายประโยคด้วยคำว่า ‘เอ๋อร์’
** มาจากนิทานพื้นบ้าน‘ยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง’ มีชายคนหนึ่งชื่อหวังพัวเป็นชาวซีอวี้ปลูกแตงหาเลี้ยงชีพ เนื่องจากแตงของหวังพัวรูปร่างลักษณะไม่น่าดู จึงไม่มีใครกล้าซื้อ เขาสาธยายว่าแตงของตัวเองหวานกว่าแตงโมทั่วไปสิบเท่า หวานเหมือนน้ำผึ้ง ในตอนแรกแจกให้ชิมก็ยังไม่มีใครกล้าชิม แต่เมื่อมีคนกล้าชิมหนึ่งคนก็เริ่มมีคนบอกต่อไปเรื่อยๆ จนขายดี แตงของหวังพัวก็คือแคนตาลูปในปัจจุบัน นอกจากนี้คำว่า ‘พัว’ พ้องเสียงกับคำที่แปลว่า ‘ยาย’ และหวังพัวชอบพูดมากและจู้จี้จุกจิกเหมือนยายแก่ คนจึงตั้งฉายาให้ว่า ‘ยายหวัง’
* โบอิ้ง 777 เครื่องบินเชิงพาณิชย์แบบลำตัวกว้าง ใช้เครื่องยนต์สองตัว มีพิสัยบินระยะไกล การใช้งานปลอดภัยและเสถียร เครื่องพิสัยไกล มีขนาดใหญ่จุคนได้มาก
* ภววิสัย (Objectivity) หรือปรวิสัย คือสิ่งที่มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริง เงื่อนไขที่เป็นความจริง ไม่เกี่ยวกับความคิดหรือความรู้สึก
* มหาวิทยาลัยชิงหวา เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของจีน ถือเป็นสถาบันการศึกษาที่ติดระดับท็อปโลก ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง มีชื่อเสียงเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
** เกาเข่า คือการสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัยของจีนแผ่นดินใหญ่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.