บทที่ 7
ถ้าทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โต จะต้องถูกยกประเด็นขึ้นมาถกกันอย่างจริงจังในระดับสูง และถูกลงโทษแน่นอน
หลังจากที่กล้ากระทำการอย่างอุกอาจ อิ๋งจิ่งก็ยอมรับความขี้ขลาดของตัวเอง เขาเริ่มเสียใจในภายหลัง ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกก็จะไม่ลงมือ สงบจิตสงบใจรอรับใบปริญญาไปดีกว่า แล้วก็ไปเรียนต่อต่างประเทศแบบแฮปปี้กันทุกคน
ผิดแผนหมดๆ!
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องจบสิ้นเสียแล้ว อิ๋งจิ่งหวาดกลัวการขอความช่วยเหลือจากทางบ้าน
แน่นอนว่าเขาไม่มีความกล้าที่จะบอกพ่อกับแม่ แต่ว่าได้บอกกับพี่สาวของตัวเองให้รู้เรื่องแล้ว
พี่สาวคนโตของตระกูลอิ๋งชื่อว่าอิ๋งเฉิน แก่กว่าอิ๋งจิ่งเจ็ดปี ทำงานประจำในฝ่ายบริหารระดับกลางของแผนกงานธุรกิจวิสาหกิจส่วนกลาง สไตล์การทำงานก็เป็นพวกประเภทแน่วแน่และเฉียบขาด ความยากลำบากแก้ไขคลี่คลายได้ง่ายๆ ถ้าเพียงแต่ขุดลึกลงไปในความสัมพันธ์ทุกระดับชั้น
อิ๋งจิ่งไม่เคยถูกบันทึกความผิดเลย ไม่มีแม้กระทั่งการเขียนพิจารณาตนเอง
หลังจากนั้นหนึ่งวันอิ๋งเฉินก็โทรศัพท์หาเขา พร้อมคำพูดซึ่งมีใจความสำคัญที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และตรงประเด็นว่า “ครั้งต่อไป ถ้าสู้ไม่ชนะก็อย่ากลับมา”
“…”
“ยังมีเงินใช้จ่ายไหม”
“หมดแล้ว” อิ๋งจิ่งพูดแบบซื่อสัตย์มาก “ไม่ใช่เพราะว่าผมไปเข้าร่วมงานประชุมโครงการนั่นหรอกเหรอ ก็เลยต้องซื้อชุดสูทจ่ายไปพันห้าแน่ะ”
“สิ้นเปลือง” อิ๋งเฉินพูดตามความจริง “ในปีนึงนายไม่ได้ใส่ถึงสองครั้งหรอก ไปเช่าชุดจากเว็ดดิ้งสตูดิโอมาสักชุดก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
อิ๋งจิ่งพูดเสียงเบาๆ แบบไม่เต็มใจว่า “ผมไม่ไปเช่าชุดที่เว็ดดิ้งสตูดิโอหรอก นั่นเป็นสถานที่ที่จะไปตอนถ่ายรูปแต่งงานต่างหาก”
เสียงหัวเราะดังมาจากปลายสาย “นายไม่ตั้งใจเรียนให้ดีๆ วันๆ เอาแต่คิดอะไรอยู่”
อิ๋งจิ่งไม่ส่งเสียงพูด แต่ทำหน้าทะเล้นกับอากาศเพื่อแสดงการต่อต้านอยู่ทางสายโทรศัพท์ฝั่งนี้
พูดคุยกันอีกสองประโยค อิ๋งเฉินก็ไปประชุม
คุยโทรศัพท์เสร็จไม่ถึงสองวินาทีก็มีข้อความเข้ามา อิ๋งจิ่งกดเปิดดู เป็นการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของยอดเงินธนาคารเจี้ยนหัง* อิ๋งเฉินโอนเงินให้เขาสามพันหยวน
‘หมายเหตุ : กินอะไรที่ดีๆ หน่อยล่ะ จำไว้ดื่มนมทุกคืนด้วย’
อิ๋งจิ่งนวดใบหน้า ดีจังเลยที่มีพี่สาว!
อารมณ์ที่มัวหมองถูกลมพัดปัดเป่าหายไปกว่าครึ่ง เหมือนกับว่าไม่ได้เศร้าเสียใจขนาดนั้นแล้ว
เหยๆๆ! อิ๋งจิ่งสะบัดหัว พูดในใจ ทำไมฉันจะต้องสนใจความรู้สึกของเขาด้วย ไม่สอบตกก็โอเคแล้ว
ร่างกายของคนเราหากเพียงผ่อนผันบางเรื่องให้ย่อหย่อนลงสักนิดก็จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ทำให้ยิ่งย่อหย่อนลงเรื่อยๆ เขาจึงเกิดความสลดหดหู่นับตั้งแต่นั้นมา
ความกระตือรือร้นและความเลือดร้อนในช่วงเวลานั้นของอิ๋งจิ่งได้ถูกน้ำเย็นจากหลายฝ่ายราดชโลมจนมอดดับไปแล้ว เขากลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง ถึงขนาดที่ว่ายิ่งมีท่าทางไม่แยแสสนใจอะไรมากขึ้น ส่วนหนังสือโครงการเล่มที่อยู่ๆ ก็ทำให้เกิดการสำแดงพรสวรรค์และพลังออกมานั้น ถูกเขาโยนทิ้งไปอย่างสิ้นเชิงและไม่ได้พลิกเปิดดูอีกเลย
คาบเรียนที่สามารถโดดเรียนได้ เขาจะไม่ไปเข้าเรียนอย่างเด็ดขาด
ส่วนคาบเรียนที่มีระดับความยากอยู่สักหน่อย หากว่าเวลาเรียนชนกันกับการถ่ายทอดสดการแข่งขันเอ็นบีเอพอดี อิ๋งจิ่งก็จะให้ฉีอวี้ช่วยเขาแถพอให้ผ่านไปได้ตอนที่อาจารย์เช็กชื่อ
พอหลังเลิกเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ร่างของท่านอิ๋งต้าหวังจะปรากฏตัวที่สนามบาสเกตบอลทุกวันจนฉีอวี้อดถามไม่ได้
“นายจะไปแข่งเอ็นบีเอเหรอ”
เพิ่งเล่นเสร็จครบทั้งเกม สภาพอากาศเริ่มหนาวขึ้นในปลายฤดูใบไม้ร่วง อิ๋งจิ่งใส่ชุดบาสเกตบอลสีส้ม กำลังคาบคอร์นเนตโตอยู่ มีครีมเลอะเป็นวงที่ตรงมุมปาก
“พรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะทานข้าวสี่ชามทุกมื้อ”
“ทำไมล่ะ”
“จะได้ตัวสูงๆ หน่อย ถ้าขายาว ใส่กางเกงแล้วจะดูดี”
“…”
พออิ๋งจิ่งดูเวลาแล้วเห็นว่ายังไม่ค่อยดึกเท่าไหร่ จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “เราออกไปเที่ยวกันเถอะ ถึงยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์”
ฉีอวี้ลำบากใจ “ดึกขนาดนี้แล้ว นายยังอยากจะไปไหนอีก”
“ร้านเหล้า” อิ๋งจิ่งอยากไปมาก “ฉันไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว! จริงสิ นายถามแฟนสาวของนายหน่อยสิ ดูว่าเธออยู่ที่ร้านไหน เราก็ไปร้านที่เธออยู่กันไง”
กู้จินจินแฟนสาวของฉีอวี้ทำงานเป็นฝ่ายขายสุราชนิดต่างๆ ไม่มีสถานที่ประจำแน่นอน วิ่งงานไปทั่วทุกที่
ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ฉีอวี้ไม่อาจโต้แย้งได้
ขณะที่เดินไป เขาก็ส่ายศีรษะอยู่ข้างหลังอิ๋งจิ่ง “มัวหลงเล่นเพลินจนจะสูญเสียความมุ่งมั่นตั้งใจไปแล้ว”
ยามค่ำคืนในย่านเวิลด์เทรดคึกคักจอแจเหมือนเป็นตอนกลางวัน
ร้านเหล้า C.V เพิ่งเริ่มเปิดกิจการ สามารถตั้งร้านที่นี่ได้แสดงว่าเป็นคนที่มีความสามารถมาก ผู้ที่มายกยอปอปั้นประจบสอพลอเจ้าของร้านก็ย่อมมีมากเช่นกัน
ชูหนิงคุยธุระตอนบ่ายจบและกินอาหารมื้อพบปะสังสรรค์กับเว่ยฉี่หลินแห่งฉี่หมิงอินดัสทรีเสร็จ แต่บังเอิญว่าเจ้าของร้านเหล้านี้เป็นเพื่อนของพวกเขาทั้งสองคนด้วย และเป็นคนมีชื่อเล่นที่เบียวมาก ชื่อว่าเสี่ยวลิ่วเหยีย*
แม้จะชื่อเหยีย แต่ก็ไม่ได้แก่เลยสักนิดเดียว อายุน้อยกว่าชูหนิงไม่กี่ปี คลุกคลีปะปนกับทั้งคนดีคนเลวในแวดวงสังคมไปทั่ว
แล้วชูหนิงก็เรียกกวนอวี้มาอีก เสี่ยวลิ่วทำงานละเอียด เตรียมห้องรับรองที่ดีที่สุดสองห้องไว้ให้พวกเขา พวกผู้ชายเล่นไพ่กัน ส่วนผู้หญิงพากันดื่มเหล้า ร้องเพลงอยู่ทางฝั่งนี้ กวนอวี้ลากชูหนิงกระโดดโลดเต้นรอบพื้นที่ ดนตรีคึกคักบรรเลง ศีรษะผู้คนขวักไขว่ไปมาเหมือนดอกไม้ตูมแต่ละช่อที่ผลิหน่อขึ้นมาในยามฤดูใบไม้ผลิ ทั้งหลงระเริงและปล่อยตัวปล่อยใจกันเต็มที่
กวนอวี้คึกสุดๆ “ยังไงในประเทศก็ดีกว่า! หนุ่มหล่อเยอะจริง!”
เงาแสงสลับภาพเลือนราง ชูหนิงยื่นมือออกไปผลักกวนอวี้ให้เซถอยไปหลายก้าว ชนเข้ากับเด็กหนุ่มแนวพั้งก์ที่สักแขนลายกิเลนเข้าพอดี
กวนอวี้ส่งเสียงบ่นครวญ แล้วจึงหันไปยิ้มให้เขาพร้อมกับพูดว่า “ขอโทษนะคะ”
ครั้นสบตากับเด็กหนุ่ม หลังจากมองดูจนแน่ใจแล้ว ทั้งสองคนก็กอดกันอย่างเป็นธรรมชาติ
กวนอวี้คล้องคอของเขา ส่วนเด็กหนุ่มก็โอบรอบเอวของเธอ ดนตรีเปลี่ยนเป็นอีกท่วงทำนองที่ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น เรือนร่างทั้งสองคนกอดแนบชิด เกยก่ายกัน ช่างเป็นภาพที่ชวนมอง
ส่วนผู้ชายไม่กี่คนที่อยู่ตรงกลางก็อยากจะเข้ามาร่วมแจมกับชูหนิง ทันทีที่เอื้อมมือเข้ามา ชูหนิงก็ก้าวหลบอย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงออกไปอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดทั้งสิ้น
กระโดดโลดเต้นได้ไม่กี่นาทีเธอก็รู้สึกเบื่อ จึงกลับไปที่ห้องรับรองเพียงลำพัง
ยังมีหุ้นส่วนคนอื่นอยู่ในห้อง เสี่ยวลิ่วเห็นชูหนิงเข้ามาก็พูดขึ้น “พี่หนิง สุดเหวี่ยงหรือยัง”
ชูหนิงชูนิ้วโป้งให้เขา
เสี่ยวลิ่วแฮปปี้มาก จากนั้นก็พูดจาลึกลับน่าสงสัยว่า “ยังมีของดีอยู่ด้านหลังอีกนะ”
เขาต่อสายโทรศัพท์แล้วพูด “เข้ามาเลย”
พอประตูเปิดก็มีคนเดินเข้ามาเป็นสาย
“อุ๊ย!” พวกผู้หญิงด้วยกันส่งเสียงอุทานอย่างตกใจปนตื่นเต้น
หนุ่มวัยรุ่นกว่าสิบคนยืนเรียงเป็นแถว มือสองข้างไพล่หลัง แต่ละคนตัวสูงร้อยแปดสิบห้า ส่วนสูงเพอร์เฟ็กต์ มีทั้งประเภทให้อารมณ์แบบน้องชายข้างบ้านที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้านดูดี มีทั้งประเภทที่เป็นหนุ่มโหดสุดล่ำฮอร์โมนชายพลุ่งพล่านทั่วร่าง แถมยังมีประเภทที่เนี้ยบรักษามาดสวมแว่นตาไร้กรอบและใส่ชุดสูทด้วย
เสี่ยวลิ่วชี้นิ้วบอก “ตั้งใจหน่อยล่ะ ช่วยปลอบให้สาวสวยทั้งหลายมีความสุขกันด้วย”
ล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นที่กล้าเล่นด้วยกันทั้งสิ้น บรรดาสาวๆ ทั้งป่าวประกาศและแสดงความกล้า เจตนาเน้นคำพูดแต่ละคำเป็นพิเศษ
“มีความสุขยังไงก็ได้ใช่ไหม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้อง ตบโต๊ะกันดังสนั่นลั่นฟ้าทันที
ชูหนิงนั่งอยู่ตรงมุมโซฟา เป็นคนที่ปลีกวิเวกอยู่นอกวงแห่งความครึกครื้นนั้น
“พี่หนิง” เสี่ยวลิ่วเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชูหนิงพูดแหย่ “เจ้าเด็กอ่อนหัด”
เสี่ยวลิ่วถูกเธอแซะจนชิน จึงไม่ได้ใส่ใจที่ถูกพูดแหย่เลยสักนิด เขาเชิดคางขึ้นชี้ไปทางผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยท่าทีร้ายๆ
“ผมวัดตัวหาไว้ให้พี่แล้วล่ะ”
นั่นคือคนประเภทที่รักษามาดสวมแว่นตาไร้กรอบนั่นเอง
“เหมือนไหม” เสี่ยวลิ่วหมายความถึงบางอย่าง
“เหมือนไหมอะไร” ชูหนิงโน้มตัวไปข้างหน้า จิ้มกีวี่ที่อยู่ในถาดขึ้นมา
“รักแรกของพี่ไง”
ชูหนิงโดนคำพูดนี้กระตุ้นอารมณ์เข้าให้แล้ว กัดคำเดียวก็ถูกปลายลิ้นเข้าอย่างจัง เจ็บจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เสี่ยวลิ่วเลิกคิ้วหนา “ผมรู้นะว่าพี่ชอบแบบนี้มาตลอด เป็นไงบ้างๆ”
ชูหนิงกลั้นความเจ็บนั้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ก็ไม่เท่าไหร่”
เสี่ยวลิ่วโบกมือให้กับทางนั้น หนุ่มรักษามาดก็เดินถือแก้วไวน์มาทางนี้
“พี่หนิง มีความสุขหน่อยน่า” เสี่ยวลิ่วลูบๆ ที่หลังมือของเธอ “สองปีมานี้ผมไม่เคยเห็นพี่จะคบหามีแฟนอะไรกับใครเลย”
เสี่ยวลิ่วเดินจากไป หนุ่มรักษามาดนั่งลงใกล้กับชูหนิง บนตัวเขามีกลิ่นน้ำหอมจางๆ
“ดื่มไวน์ไหมครับ” เสียงของเขาเหมือนเสียงทุ้มต่ำในรายการวิทยุตอนเที่ยงคืน
ชูหนิงขมวดคิ้วพลางรับแก้วมา
ชนแก้วกระทบกันแล้วเธอก็เงยหน้ายกดื่มหมดในอึกเดียว
หนุ่มรักษามาดเป็นคนที่เอาใจใส่ เขายื่นกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งให้ ชูหนิงไม่ได้รับ แต่เอาตัวพิงพนักโซฟาอย่างเกียจคร้าน จึงปรากฏส่วนโค้งสวยงามตรงหน้าอก ท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้คนคิดจินตนาการไปไกล
ชูหนิงมองเขา เงาแสงจากโคมไฟด้านบนสะท้อนในดวงตา อมยิ้มตรงมุมปาก
ชายหนุ่มพับเก็บกระดาษทิชชูแล้วก็เอนตัวเข้าไปใกล้ๆ คิดจะช่วยเธอเช็ดคราบไวน์ตรงริมฝีปาก แต่ชูหนิงเบี่ยงตัวหลบออกในหนึ่งวินาทีก่อนที่เขาจะได้เช็ดให้
“หือ” ชายหนุ่มเปล่งเสียงกระเส่าออกมาคำหนึ่ง
ชูหนิงสะบัดกระโปรงลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป “คืนนี้ฉันไม่ต้องการ นายเลิกงานได้เลย”
ครั้นเดินออกมาจากห้องรับรอง กระแสคลื่นแห่งความเร่าร้อนก็ถั่งโถมออกมา
ชูหนิงถอนหายใจลึกๆ เจ้าเด็กบ้าเสี่ยวลิ่วนี่อายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี เด็กสมัยนี้เล่นสนุกกันถึงขนาดนี้แล้วเหรอ
เธอไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์พร้อมขอเบียร์หนึ่งแก้ว พอเขย่งปลายเท้าเบาๆ ร่างกายก็หมุนเป็นวงตามเก้าอี้หมุน พลันเหลือบไปมองด้านข้าง ชูหนิงก็เห็นเงาร่างคนที่คุ้นเคยนั่งอยู่ตรงล็อกที่นั่งทางขวา
นิ้วมือของเธอที่ถือแก้วเบียร์อยู่ชะงักนิดหน่อย ชิ เขาอีกแล้ว
เบียร์เป็นโหลวางอยู่บนโต๊ะกลมตัวเล็ก กู้จินจินสวมชุดยูนิฟอร์มพร้อมที่คาดผมหูกระต่ายบนศีรษะ ยิ้มหวานปานดอกไม้
“เบียร์ตัวนี้ดีมากนะ สินค้าใหม่ รสชาติสุดยอดมากเลยล่ะ” หลังจากนั้นก็มองดูรอบๆ พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ฉันลดราคาให้นายนะ”
อิ๋งจิ่งพยักหน้า “โอเค”
ฉีอวี้ไม่ค่อยวางใจนัก “ลดราคาแล้วยังแพงไหมเนี่ย”
กู้จินจินมองเขาด้วยสายตาแอบเตือนแล้วพูดจายิ้มแย้มกับอิ๋งจิ่งอีกครั้ง “ไม่แพงนะ กล่องนี้ลดราคาแล้วก็อยู่ที่สามร้อยห้าสิบหยวน”
ฉีอวี้หายใจเฮือก “นี่ยังไม่แพงอีกเหรอ”
สายตาของกู้จินจินที่มองแฟนหนุ่มราวกับจะกินคน
อิ๋งจิ่งรู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นไรเลย “ไม่เป็นไรๆ ไปทำงานเถอะ ก็แค่ไม่กี่ขวด พวกเราดื่มหมดน่า”
กู้จินจินจากไปโดยใช้เรื่องที่ว่าจะไปขายของเป็นข้ออ้าง
ฉีอวี้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะสแกนคิวอาร์โค้ดหน่อย ดูซิว่าบนเถาเป่า* ราคาเท่าไหร่”
ติ๊ง มีข้อความเข้ามาก่อน จากกู้จินจิน
‘มีเงินไม่รู้จักหากำไร นายโง่ชะมัด’
ทำเอาฉีอวี้ยุ่งยากใจเข้าไปใหญ่ อิ๋งจิ่งจึงพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น “นายจะเจ้ากี้เจ้าการทำไม คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง สนุกๆ กันเถอะ”
เขาพาฉีอวี้ไปที่ฟลอร์เต้น เต้นโยกสะบัดมั่วซั่วตามฝูงคน
สายตาของชูหนิงมองตามเขาอยู่ตลอดเวลา มองดูสักพักก็ได้ข้อสรุปว่าเจ้าเด็กคนนี้เต้นไม่เป็นเลย มือเท้าเคลื่อนไหวแข็งทื่อเหมือนอาบน้ำขัดขี้ไคล
ย่ำอยู่ท่ามกลางแสงหลอดไฟพร่าเลือนแบบนี้ ประสาทสัมผัสก็แตกฉานซ่านเซ็นเอาได้ง่ายๆ
ชูหนิงยื่นแขนสองข้างไปข้างหลัง วางข้อศอกค้ำอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ ยกขานั่งไขว่ห้าง รองเท้าส้นสูงกระดิกขึ้นลงเบาๆ ตามจังหวะ เจ้าเด็กคนนี้รูปร่างดีใช้ได้เลยแฮะ เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วนำมาคลุมไหล่บนเสื้อแขนสั้นสีขาวล้วน
เขาเต้นจนเหงื่อออก เนื้อผ้าแนบชิดกาย ใส่กางเกงยีน CK ที่เป็นรุ่นคลาสสิก ขับให้สัดส่วนขายาวสะโพกผายดูเด่นออกมา
ชูหนิงค่อยๆ ละสายตา ก้มหน้าจิบเบียร์แล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ข้างๆ อิ๋งจิ่งก็มีเด็กวัยรุ่นสองคนใส่เสื้อกล้าม ย้อมผมสีเหลืองเพิ่มขึ้นมา
โอ้ ทักษะการเต้นแค่นี้ยังจะกล้าไปท้าเต้นกับคนอื่นอีก? ขณะเต้นๆ โดดๆ อยู่ เด็กหนุ่มสองคนนั้นเหมือนกำลังพูดอะไรที่ข้างหูอิ๋งจิ่ง อิ๋งจิ่งพยักหน้าทำท่าจะตามพวกเขาออกไป
ถึงที่นี่จะไม่ได้เละเทะวุ่นวาย แต่ถ้าจะทำเรื่องไม่ดีก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
อิ๋งจิ่งหันหลังกลับและก้าวเท้าเดินออกไปแล้ว
ชูหนิงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงแล้วก็ลุกขึ้นยืน
เสียงเพลงดังกระหึ่มอยู่ข้างหู เมื่อแสงไฟเปลี่ยนสีสันอย่างรวดเร็วก็แยงตาจนแทบจะทำให้ตาบอด
อิ๋งจิ่งรู้สึกวิงเวียน เกิดอาการมองเห็นทางไม่ค่อยชัดในชั่วพริบตา พลันรู้สึกแขนตึงๆ เหมือนถูกคนดึงรั้งเอาไว้
เมื่อเขาหันกลับมา ใบหน้างดงามของชูหนิงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าใกล้แค่เอื้อม
“นี่คุณ??” อิ๋งจิ่งประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง
ชูหนิงพาเขาออกมาจากฟลอร์เต้นแล้วพาไปตรงล็อกที่นั่ง
เบียร์เป็นโหลที่อยู่บนโต๊ะยังไม่ได้เปิด ชูหนิงไปนั่งตรงโซฟาแล้วก็ไม่พูดอะไร
อิ๋งจิ่งไม่สามารถข่มใจตัวเองได้เหมือนกับชูหนิง เขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนว่า “คุณมาหาผมมีธุระเหรอครับ”
ชูหนิงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง จะตอบก็ไม่ตอบ จะปฏิเสธก็ไม่ปฏิเสธ
หรือจะบอกเขาในทำนองที่ว่ากลัวเขาจะถูกคนชักพาเข้าสู่หนทางที่ผิด เสพยาปล้นชิงทรัพย์อะไรแบบนั้นดี
นิสัยรอบคอบระมัดระวังที่ได้มาจากการทำงาน เมื่อเกิดขึ้นโดยไม่มีการแยกแยะสถานการณ์ก็ทำให้ปวดหัวอยู่เหมือนกัน ชูหนิงรู้สึกเสียใจภายหลังนิดหน่อย ดันไปสนใจเรื่องไร้สาระที่เดิมทีก็สามารถเมินๆ มันไปได้
แน่นอนว่าอิ๋งจิ่งก็ไม่อยากจะรับน้ำใจเธอเหมือนกัน
คราวก่อนคำพูดคำจาที่ไม่ไว้หน้ากันของชูหนิงไม่ได้เหลือความประทับใจที่ดีไว้ให้เลยจริงๆ
เขาเองก็มีทัศนคติไม่ดี จงใจถามว่า “คุณเปลี่ยนความคิด และอยากจะคุยเรื่องการร่วมงานกันแล้วเหรอ”
คำถามที่เหมือนคนแก่มากประสบการณ์และเนื้อหาที่จงใจถามกันอย่างโต้งๆ แบบไร้ชั้นเชิงนี้ ชูหนิงฟังแล้วก็ยิ้มขำๆ อิ๋งจิ่งละสายตาจากฟันขาวดั่งเปลือกหอยของเธอ พอโมโหแล้วก็หมดความสนใจอีก
ดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนไป ดีเจเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงคลาสสิกภาษาอังกฤษ
อิ๋งจิ่งพลันเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ทว่าชูหนิงได้ยินไม่ชัด “หือ? อะไรนะ”
เขาลุกขึ้น ก้มตัวลงมานั่งใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว พูดเสียงดังข้างหูว่า “โครงการนี้ของผมเจ๋งมากนะ จะต้องทำเงินให้คุณได้อย่างแน่นอน”
ไอความร้อนจากตัวเด็กหนุ่มไต่ขึ้นมาบนลำคอ จั๊กจี้จนชูหนิงเกิดคันขึ้นมานิดหน่อย เธอเลิกคิ้วสองข้างขึ้นแล้วขานเสียงตอบ
“เจ๋งขนาดนั้นเชียว?”
อิ๋งจิ่งเกิดอาการท้อแท้ทันที ยกเบียร์ขึ้นมาหนึ่งขวด เอาวางไว้ที่ปากโดยใช้ทักษะฟันงัด ใช้นิ้วโป้งกดยันด้านบนอีกครั้ง และแล้วฝาขวดก็เปิดออกจนได้ เขายกซดอึกใหญ่ ลูกกระเดือกขยับเขยื้อนเสียงดังอึกอักๆ
ส่วนชูหนิงเองก็มีท่าทีผ่อนคลาย มองดูฟลอร์เต้นแบบผ่านๆ ตาก็เห็นกวนอวี้พิงตัวอยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มแนวพั้งก์ ทั้งสองเดินไปตรงที่นั่งอีกล็อกหนึ่งเพื่อเล่นเกมชู้สาวในแบบผู้ใหญ่กันต่อ
จู่ๆ ชูหนิงก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา เธอใช้ข้อศอกสะกิดอิ๋งจิ่ง
“อะไร” อิ๋งจิ่งวางขวดเบียร์ลง
แสงไฟน่าเวียนหัว แสงสีพร่ามัวไปหมด
ชูหนิงพูด “อายุน้อยขนาดนี้รู้จักคิดหาเงินเก่งเชียวนะ”
“…” คำพูดนี้ฟังเหมือนไม่ใช่คำชมแฮะ
“นี่ นั่นน่ะ” ชูหนิงยกนิ้วชี้ขึ้นมา ชี้ไปทางที่กวนอวี้อยู่ “วันนี้ฉันมาคุยงานกับลูกค้าน่ะ ก็คือผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสีแดงคนนั้น”
อิ๋งจิ่งงุนงง ทำสีหน้าสงสัยว่าเกี่ยวกับผมยังไง
ชูหนิงกระดิกนิ้วเพื่อบอกให้เขาเข้ามาใกล้ๆ อีกหน่อย “จะให้โอกาสนายได้หาเงินดีไหม”
อิ๋งจิ่งเพียงแต่ได้กลิ่นหอมบนตัวเธอ
“นายดูคล้ายกับแฟนคนแรกของเธอมาก นายไปอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเธอนิดนึง ดื่มเหล้านิดหน่อย พอดื่มจนเหนื่อยแล้วก็ขึ้นไปเปิดห้องพักผ่อนข้างบน หลับนอนอะไรแบบนั้นร่วมกันกับเธอหน่อยสิ” พอชูหนิงพูดเรื่องรักใคร่ได้เสียกันก็จุดเปลวไฟแห่งความหวาดผวาขึ้นในใจอิ๋งจิ่ง
เขาร้อนรุ่มเหมือนมีไฟมอดไหม้อยู่ภายในใจ อารมณ์พุ่งขึ้นกลางกระหม่อมทันควัน ความสลดหมดหวังเมื่อครู่นี้ถูกทำลายลงในคราวเดียว จุดเดือดทะลุปรอท ทำเอาเขาหน้าแดงฉาน
อิ๋งจิ่งมองชูหนิง แล้วจึงเอามือปิดหน้าอกของตัวเองแน่นด้วยสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันก็ขยับก้นกระเถิบไปทางขวา หลบออกห่างจากคนเหม็นโฉ่คนนี้
ชูหนิงอดไม่ไหว ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา
เธอเคาะโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน พูดแบบไม่หยอกเขาอีก “เบียร์นี่ฉันเลี้ยงนะ วางใจได้ ไม่ต้องให้นายขายตัวหรอก”
อิ๋งจิ่งมองหลังของเธอที่ค่อยๆ ห่างออกไป พลันเกิดความคิดขึ้นมา จึงรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
“คือว่า เดี๋ยวก่อนสิ”
* เจี้ยนหัง คือชื่อย่อของธนาคารการก่อสร้างแห่งประเทศจีน (China Construction Bank)
* ‘เหยีย’ หมายถึงคุณปู่หรือชายสูงอายุ หรืออาจใช้เรียกในเชิงยกย่องว่า ‘นายท่าน’ และใช้เป็นคำเรียกพระเจ้าได้ด้วย
* เถาเป่า คือแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก อยู่ในเครือของ Alibaba Group
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.