บทที่ 69 ยอมตายเพื่อคนรู้ใจ
วันศุกร์บ่าย หนิงเหมิงไปบริษัทฮุ่ยมีเดียตามนัด
เธอมองเห็นคนสองคนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบริษัทฮุ่ยมีเดีย คนที่อยู่ด้านหน้ารูปร่างสูงโปร่ง สวมสูทรองเท้าหนัง ดูมีมาด คนที่อยู่ด้านหลังรูปร่างบึกบึน ใส่ชุดดำ สวมแว่นตากันแดดสีดำ กุมสองมือไว้ด้านหน้า ยืนแยกขา ท่าทางอย่างกับบอดี้การ์ดชัดๆ
หนิงเหมิงเดินตรงเข้าไป ชายร่างสูงโปร่งยื่นมือออกมาพร้อมทักทายเธอว่า “สวัสดีครับ”
หนิงเหมิงจับมือตอบรับพร้อมทักทายกลับ “สวัสดีค่ะ”
ชายร่างสูงโปร่งหันข้างพร้อมผายมือเชิญหนิงเหมิงเข้าบริษัท
หนิงเหมิงผายมือพร้อมพูดว่า “เชิญค่ะ” แต่ไม่ได้พูดกับชายร่างสูงโปร่ง เธอพูดกับชายร่างใหญ่ดูดุดันที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ประธานหลิ่ว เชิญค่ะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยถอดแว่น ใบหน้าชายหนุ่มแมนๆ ปรากฏขึ้นเต็มตา เขาเบิกตากลมโตเหมือนตกใจมาก
“ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมคือหลิ่วหมิ่นฮุ่ย!”
หนิงเหมิงกลั้นหัวเราะ “คุณอันจง พนักงานของคุณได้แนะนำลักษณะของคุณให้ฉันฟังก่อนหน้านี้แล้วค่ะ!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยโมโหมาก “ผอ. หนิง คุณพอจะรู้จักหมอที่รักษาอาการปากไม่มีหูรูดบ้างรึเปล่า”
“…ขออภัยด้วยค่ะ ฉันไม่ค่อยรู้จัก”
หนิงเหมิงกลั้นหัวเราะและตอบไป ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่าบางทีถ้าเอาความบ้าๆ บอๆ ในแต่ละวันของเจ้านายและพนักงานฮุ่ยมีเดียมาเรียบเรียงและเขียนบททำเป็นซิตคอม* ออนไลน์เรื่อง ‘เซอร์ไพรส์’** ไม่แน่นะอาจจะดังเป็นพลุแตกเลยก็ได้
หนิงเหมิงกลั้นหัวเราะและถามหลิ่วหมิ่นฮุ่ยว่า “ประธานหลิ่วคะ ทำไมต้องแอบสังเกตการณ์ฉันล่ะคะ”
หลังจากถูกจับได้หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็เปลี่ยนท่าที พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อก่อนคนที่มาพูดคุยกับผมเรื่องการลงทุนพีอีอะไรนั่นลูกไม้เต็มไปหมด ฉวยโอกาสตอนที่ผมคิดช้าตามไม่ทันจะให้ผมรับปากนั่นโน่นนี่ หลอกล่อจนผมจะลอยแล้ว ผมโดนหลอกล่อจนกลัวเลย ก็เลยส่งมือขวาออกไปรับหน้าซะก็หมดเรื่อง เพราะยังไงถ้าเขาถูกหลอกล่อ จะตอบรับอะไรก็ไม่เป็นผลอยู่แล้ว”
หนิงเหมิงทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา
ช่างหายากจริงๆ ที่ยังมีกลุ่มผู้ผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่ใสซื่อและตรงไปตรงมาเช่นนี้อยู่ในวงการบันเทิงในปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาอาจดูบ้าๆ บอๆ ไปบ้าง แต่การจุดประกายของศิลปะก็มาจากความบ้าๆ บอๆ ไม่ใช่เหรอ
เธอถามอีกฝ่ายว่า “ที่คุณทำแบบนี้ไม่กลัวว่าพอพวกพีอีบิ๊กๆ รู้ว่าคุณคือเจ้าของตัวจริง พวกเขาจะรู้สึกว่าคุณไม่ให้ความเคารพพวกเขารึเปล่าคะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยหัวเราะฮ่าออกมา “อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องไร้รสนิยมอยู่แล้ว คุยเรื่องไม่มีรสนิยมก็ต้องยอมรับวิธีที่ไม่มีรสนิยมได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นอยากได้อยากมีแต่ก็ไม่อยากถูกคนต่อว่าหรือดูถูก”
จู่ๆ หนิงเหมิงก็รู้สึกว่าหลิ่วหมิ่นฮุ่ยมีลักษณะเหมือนวัยรุ่นขี้โมโห เขาเสียดสีสังคมและยิ่งเสียดสีตัวเอง
เมื่อมองย้อนกลับไปที่เนื้อหาของซีรี่ส์ทั้งสองเรื่องที่ทำให้ผู้คนขบคิดหลังจากได้หัวเราะ หนิงเหมิงรู้สึกว่าหลิ่วหมิ่นฮุ่ยไม่ต้องการให้สิ่งที่เขากำลังทำกลายเป็นศิลปะตามกระแสนิยม แต่ในยุคที่เงินคือพระเจ้า ศิลปะจึงต้องก้มหัวให้เงินทุน งานศิลปะที่ดีก็หลีกเลี่ยงพันธนาการของเงินทุนไม่ได้ พวกหลิ่วหมิ่นฮุ่ยไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้ หากหลุดพ้นได้พวกเขาก็จะขาดเงินทุนสร้างภาพยนตร์สร้างสรรค์งานศิลปะ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเยาะเย้ยตัวเองในขณะที่ผลักตัวเองออกไปฝืนยิ้มให้กับเงินทุนตรงหน้า
หนิงเหมิงรู้สึกเศร้าใจกับยุคที่เงินคือพระเจ้าขึ้นมาทันที เงินตรากำลังทำให้ผลงานศิลปะหลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ
จู่ๆ เลือดในตัวหนิงเหมิงก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เกือบจะไม่ต้องเจรจาใดๆ เธอก็ตัดสินใจร่วมลงทุนกับบริษัทฮุ่ยมีเดียไปซะเลย
เธอพยายามควบคุมให้ตนเองสงบลงในขณะที่เลือดในตัวกำลังพลุ่งพล่าน
อันที่จริงเธอก็เป็นแบบนี้เช่นกัน อยู่ในจักรวรรดิแห่งเงินตราก็ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้ คึกคักก็เรื่องหนึ่ง ผลตอบแทนจากการลงทุนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในฐานะนักลงทุนมืออาชีพ เธอต้องระลึกไว้เสมอว่าต้องคำนึงถึงเรื่องหลังนี้ไว้ด้วย
หนิงเหมิงและหลิ่วหมิ่นฮุ่ยต่างเชิญให้อีกฝ่ายเดินเข้าห้องไปก่อนด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
ในห้องโถงใหญ่ของบริษัทมีโต๊ะขนาดใหญ่สองตัว มีพิซซ่าวางอยู่เต็มโต๊ะ เมื่อมองแวบแรกมันดูตระการตาและน่าประทับใจ พนักงานของฮุ่ยมีเดียที่นั่งอยู่รอบโต๊ะต่างหันมาทางหน้าประตูแล้วทักทายด้วยสายตา ทันทีที่หนิงเหมิงเดินเข้ามาข้างใน พวกเขาปรบมือด้วยท่าทางที่พร้อมเพรียง รอยยิ้มของพวกเขาก็สดใสแต่ดูไร้ความรู้สึก มองดูแล้วเหมือนพวกผีดิบที่หิวโหยและบ้าคลั่ง
อันจงก็อยู่ในที่นี้ด้วย เมื่อเห็นหนิงเหมิงเข้ามา เขาก็ส่งเสียงเฮอะๆ ก่อนจะกล่าว
“ประธานหลิ่วครับ เชิญคุณนายทุนมาร่วมกันทานพิซซ่าเร็วๆ เถอะครับ รีบๆ ให้พวกนี้กินรสทุเรียนลงท้องไปเร็วๆ นะครับ ขืนกลิ่นทุเรียนยังรมอยู่อีกสักพัก บุคลิกต่อต้านสังคมของผมคงเปิดเผยออกมาแน่ๆ!”
ขณะที่คนอื่นๆ ประเมินหนิงเหมิงไปพร้อมกับรับลูกไปว่าจริงด้วยๆ
หนิงเหมิงอยากจะหัวเราะอีก นี่เป็นกลุ่มคนที่วิเศษที่สุดที่เธอเคยเจอมา แม้พวกเขาจะพูดคำว่านายทุนกันติดปาก แต่เนื้อแท้ของพวกเขาไม่ได้ถือว่านายทุนคือผู้ที่ต้องประจบสอพลอหรือมองว่าต้องพยายามเยินยอ
หลังจากกินพิซซ่าไปสองชิ้น หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็เชิญหนิงเหมิงเข้ามาในห้องทำงานเพื่อคุยรายละเอียด เนื่องจากทั้งสองได้พบกันเป็นครั้งแรก หลิ่วหมิ่นฮุ่ยกังวลว่าจะเกิดภาวะสุญญากาศระหว่างการสนทนา เขาจึงเรียกให้อันจงมาร่วมพูดคุยด้วย เพราะอันจงรู้จักหนิงเหมิงอยู่ก่อนแล้วและเป็นคนที่ช่างพูดช่างคุย
แต่อันจงดันปฏิเสธเจ้านายของตัวเองทันทีด้วยเหตุผลที่ว่า “พวกคุณคุยกันเรื่องเงินๆ ทองๆ ผมไม่ชอบฟัง ไร้รสนิยม! ผมอยากกินพิซซ่าหน้าชีสชิ้นใหญ่อยู่ที่นี่!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยซึ่งถูกพนักงานของตัวเองปฏิเสธซึ่งๆ หน้าชี้ไปที่อันจงและขู่อย่างอ่อนโยน
“กินอิ่มแล้วก็ลองเดาดูว่าฉันจะไล่นายออกวันไหน ดูว่าเกินสามวันไหม ฮะ!”
หนิงเหมิงชอบบรรยากาศของบริษัทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ แต่ความจริงกอดกันแน่นเป็นกลุ่มก้อน หากพวกเขาไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว ก็คงจะไม่ได้มีท่าทางที่สนิทสนมอย่างจริงใจเช่นนี้
หนิงเหมิงและหลิ่วหมิ่นฮุ่ยนั่งเผชิญหน้ากันในห้องทำงานโดยมีโต๊ะน้ำชาทรงกลมเล็กๆ คั่นกลาง ทั้งสองดื่มน้ำชาไปพร้อมกับหารือเรื่องการลงทุน
หนิงเหมิงเริ่มสอบถามสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฮุ่ยมีเดียก่อน คำตอบของหลิ่วหมิ่นฮุ่ยตรงไปตรงมาจนอยากจะให้สติ๊กเกอร์ดอกไม้แดง
“กำไรสุทธิน่ะเหรอ อันที่จริงก็มีกำไรนะ แต่เพื่อเลี่ยงจ่ายภาษีให้น้อยลง พวกเราจึงแจ้งไปว่าผลประกอบการขาดทุน
ส่วนสินทรัพย์เหรอ อืม…สินทรัพย์ พวกเราเซ็นสัญญากับสาวสวยหลายคน ตอนนี้ยังไม่ดัง ประเมินมูลค่าคงยังไม่ได้เท่าไหร่ รอเราล่อลวงให้พวกเธอดังก่อน ถึงตอนนั้นพวกเธอก็จะกลายเป็นสินทรัพย์สำคัญของฮุ่ยมีเดีย!
กระแสเงินสดเหรอ กระแสเงินสดก็ยังโอเค เงินสดที่เข้ามาไม่กี่วันก็ไหลออกไป ไม่ต้องออกแรงเลย”
หนิงเหมิงฟังแล้วก็เกือบพ่นพรืดออกมา เธอสงสัยว่าทุกคนในบริษัทของหลิ่วหมิ่นฮุ่ยล้วนเป็นคนตลกเหมือนกันหรือเปล่า
หลังจากเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเงินโดยรวมของฮุ่ยมีเดียแล้ว ในใจหนิงเหมิงเบื้องต้นก็มีความมั่นใจ
เงื่อนไขตรงกับที่ตัวเองคาดหวังไว้ บริษัทไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปและกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและขยายตัว โดยรวมแล้วเป็นแนวโน้มการพัฒนาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
หนิงเหมิงบอกกับหลิ่วหมิ่นฮุ่ยว่าเธอได้ดูซีรี่ส์ออนไลน์ของบริษัทฮุ่ยมีเดียทั้งสองเรื่องแล้ว รู้สึกว่าทั้งสองเรื่องสนุกมาก
“จุดที่ซีรี่ส์ของพวกคุณมีคุณค่ามากที่สุดคือความสนุกสนานและไม่ตามกระแส มีจิตวิญญาณของตนเอง มุกตลกในบทละครเป็นมุกที่เข้าใจง่ายและมีระดับ”
ด้วยการประเมินนี้ดวงตาหลิ่วหมิ่นฮุ่ยเป็นประกายขึ้นมา “มีนายทุนมากมายมาคุยกับผม แต่คุณเป็นคนเดียวที่เข้าใจพวกเราดีที่สุด!”
หนิงเหมิงถามหลิ่วหมิ่นฮุ่ยว่าบริษัทมีโปรเจ็กต์อื่นๆ สำรองไว้รึเปล่า แนวทางในการพัฒนาและเป้าหมายหลักคืออะไร
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยตอบว่า “โปรเจ็กต์ในอนาคตของบริษัทเราก็คือมุ่งเน้นนำเอานิยายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาดัดแปลงใหม่”
เมื่อหนิงเหมิงได้ยินคำว่า ‘นิยายออนไลน์’ ดวงตาก็เบิกโพลงทันที หลิ่วหมิ่นฮุ่ยแสดงท่าทางภูมิอกภูมิใจ
“ผมเป็นคนอินเทรนด์ใช่รึเปล่า พวกเราในที่นี้เป็นอินเตอร์เน็ตพลัส* เหมือนกันนะ!”
หนิงเหมิงยิ้มขึ้นมาทันที
สิ่งที่หลิ่วหมิ่นฮุ่ยกล่าวนั้นถูกต้อง นิยายออนไลน์เกิดจากอินเตอร์เน็ตและโด่งดังจากอินเตอร์เน็ต สิ่งที่พัฒนาต่อยอดจากเนื้อเรื่องต่อไปมันไม่ใช่ ‘อินเตอร์เน็ตพลัส’ หรอกหรือ
เมื่อพูดถึงนิยายออนไลน์หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็หยุดไว้ไม่อยู่ หนิงเหมิงรู้สึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของอันจงที่ว่าในร่างเจ้านายของเขามีเจ้าหญิงตัวน้อยที่ชอบอ่านนิยายออนไลน์สิงร่างอยู่จริงๆ
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยพูดรัวไม่ได้หยุดถึงข้อดีของบริษัทตัวเองที่จะนำนิยายออนไลน์มาดัดแปลงเป็นละครออนไลน์
“หนิงเหมิง ผมไม่เรียกคุณว่า ผอ. หนิงแล้วนะ มันอึดอัดพิลึก! หนิงเหมิง คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ในประเทศจีนมีผู้คนติดตามอ่านนิยายในโลกออนไลน์กี่คน”
หนิงเหมิงส่ายหัวตอบ เธอรู้อยู่แล้วว่ามีเยอะมาก แต่จะเยอะถึงขั้นไหนนั้นเธอยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยชูสามนิ้วและพูดตัวเลขที่ทำให้หนิงเหมิงตกใจอย่างมาก “เกือบสามร้อยล้าน! และยิ่งสมาร์ตโฟนกลายเป็นของธรรมดา ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฐานของแฟนคลับนิยายออนไลน์มีมากขนาดไหน มันใหญ่มาก!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยทิ้งเวลาไว้สองวินาทีเพื่อให้หนิงเหมิงได้ตกอกตกใจแล้วเขาก็พูดต่อว่า “โดยส่วนตัวแล้วผมชอบอ่านนิยายออนไลน์ และเมื่อสองปีที่แล้วก็มีความคิดที่จะดัดแปลงนิยายออนไลน์ จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ได้ทยอยซื้อลิขสิทธิ์นิยายออนไลน์เก็บไว้ไม่น้อย” พูดถึงตรงนี้หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็ดูภูมิใจเล็กๆ “ผมเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เริ่มลงมือแต่เนิ่นๆ ตอนที่ผมเริ่มซื้อราคาลิขสิทธิ์ค่อนข้างถูก ต่างจากตอนนี้ที่ราคาขายนับวันยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ”
หนิงเหมิงรู้สึกว่าการคุยโวโอ้อวดยกยอตนเองของหลิ่วหมิ่นฮุ่ยไม่ใช่เรื่องที่น่ารำคาญเลย
เธอถามเขาว่า “แล้วคุณคิดว่าภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่สร้างจากการดัดแปลงนิยายออนไลน์มีข้อได้เปรียบพิเศษอะไรเมื่อเทียบกับบทละครที่เขียนขึ้นใหม่”
ความสนใจของผู้คนในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์จำนวนมากกับทรัพยากรด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์เอนเอียงมาทางนิยายออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ในนั้นต้องมีบางอย่างที่บทละครแบบดั้งเดิมไม่มี ยังไงซะคนในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ไม่ได้โง่ พวกเขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยอธิบายว่า “ข้อดีของภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่สร้างจากนิยายออนไลน์เมื่อเทียบกับละครอื่นๆ ก็คือนิยายดีๆ ที่มียอดอ่านสูงบนอินเตอร์เน็ต นั่นก็หมายถึงตัวมันมีแฟนคลับนิยายจำนวนมาก นวนิยายเรื่องนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากกลุ่มแฟนคลับไปแล้วถึงได้รับความนิยม ก็แสดงว่านิยายนั้นมีคุณค่า ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครชอบอ่าน ดังนั้นเด็กที่มีพันธุกรรมดี ถ้าหาคนดัดแปลงเนื้อหาเก่งๆ สักหน่อย คัดเลือกนักแสดงหน้าตาดีมีทักษะการแสดงถึงระดับ มันก็จะเติบโตอย่างไม่อาจหยุดยั้ง เพิ่มการประชาสัมพันธ์ลงไปอีกในภายหลัง จะคาดหวังให้เป็นผลงานซีรี่ส์แนวหน้าก็ย่อมเป็นไปได้ คอยดูนะอีกสองปีข้างหน้า ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายออนไลน์จะต้องดังมากขึ้น ดังสุดๆ ถึงตอนนั้นตลาดภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จะวุ่นวายมากขึ้น เพราะนิยายเองจะมีการแบ่งระดับสูงต่ำ มีทั้งผลงานดีๆ มีทั้งแบบตามกระแส มีทั้งเขียนเพื่อเรียกยอด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ เมื่อความโกลาหลพบกับความโกลาหล พวกที่นิ่งและหัวเราะได้เป็นคนสุดท้ายต้องเป็นคนที่ทำภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ยืนหยัดยึดมั่นในความตั้งใจอย่างพวกเราเท่านั้น”
หนิงเหมิงเห็นด้วยกับคำพูดของหลิ่วหมิ่นฮุ่ย เขาพูดซะจนเธอคึกคักขึ้นมาเลย
นิยายออนไลน์ดังย่อมเป็นเพราะการตอบสนองของแฟนคลับ ยังไม่ถ่ายทำก็ดังแล้ว นี่คือผลของแฟนหนังสือเป็นผู้สร้าง เป็นข้อได้เปรียบที่หาไม่ได้จากบทละครแบบเดิม
หนิงเหมิงรู้สึกว่าชายล่ำบึ้กอย่างหลิ่วหมิ่นฮุ่ยไม่เสียเวลาอ่านนิยายรักเปล่าๆ เลย คนอื่นอ่านเรื่องราวในนิยายเรื่องนี้ แต่เขากลับมองเห็นเรื่องราวที่นอกเหนือไปจากเนื้อเรื่องในนิยาย รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมนิยายออนไลน์ให้มีความเจริญก้าวหน้า
บนพื้นฐานคำพูดของหลิ่วหมิ่นฮุ่ย เธอยังให้ความคิดในมุมมองของตัวเองด้วยว่า “ข้อดีของสื่อใหม่ในอนาคตเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อแบบเดิมก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นละครออนไลน์และภาพยนตร์ออนไลน์จะมีพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ กลายเป็นสื่อหลักของผู้คนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาว และคนกลุ่มนี้ก็เป็นพวกที่มีอำนาจในการใช้จ่าย เต็มใจควักกระเป๋าจ่ายในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถึงแม้ว่าตอนนี้ละครออนไลน์ไม่อาจจะงัดข้อกับละครโทรทัศน์ก็ตาม แต่ก็ยากที่จะบอกว่าธุรกิจใดจะเหนือกว่าอีกฝ่าย แหล่งที่มาของรายได้สำหรับละครโทรทัศน์นั้นขึ้นอยู่กับค่าโฆษณาของสถานีโทรทัศน์เป็นหลัก และรายได้สูงสุดแค่ไหนก็เห็นกันอยู่ แต่ละครออนไลน์ไม่เหมือนกัน ชาวเน็ตทั้งหมดก็เป็นผู้บริโภคที่ซ่อนตัวอยู่ พูดโดยหลักการแล้วรายได้ของมันมีอยู่อย่างไม่จำกัด ดังนั้นฉันจึงเชื่อมั่นในการพัฒนาละครออนไลน์ในอนาคต และฉันก็ยินดีที่จะลงทุนในบริษัทที่เน้นผลิตละครออนไลน์เป็นหลัก”
คำพูดเหล่านี้เข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของหลิ่วหมิ่นฮุ่ย เขาตื่นเต้นมากจนปรบมือให้หนิงเหมิงพลางพูด
“พูดได้ดีมาก! พูดได้ดีจริงๆ!” สิ้นเสียงปรบมือ เขายังถามเธอด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “นี่…หนิงเหมิง พูดกันมาขนาดนี้แล้ว ดูแล้วคุณน่าจะอยากร่วมมือกับพวกเราสินะ งั้นผมขอถามอะไรสักคำได้รึเปล่า ก่อนหน้านี้คุณพูดในสายว่าคุณมีจุดเด่นเรื่องการควบรวมทรัพยากร ทรัพยากรที่คุณว่ามีอะไรบ้าง”
หนิงเหมิงยิ้มและพูดว่า “ฉันเคยบอกว่าปีนี้ฉันลงทุนในบริษัทแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดแพลตฟอร์มหนึ่ง ตอนนี้บริษัทนั้นกำลังเตรียมที่จะเข้าสู่เอ็นอีอีคิว คาดว่าในอีกไม่นานเท่าไหร่ ต่อไปศิลปินสาวสวยในสังกัดของคุณสามารถไปที่แพลตฟอร์มเพื่อเปิดการถ่ายทอดสดเพิ่มยอดไลค์ แล้วก็ให้สตรีมเมอร์ที่ได้รับความนิยมมาเป็นนักแสดงรับเชิญในละครเพื่อเรียกยอด นอกจากนี้ฉันมีคอนเน็กชั่นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและสื่อโฆษณาในมือที่สามารถร่วมมือกับละครของคุณได้ ฉันยังมีพี่ใหญ่ที่รู้จักกันอย่างดีซึ่งเขาอยู่ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขาได้พัฒนาบ้านเดี่ยวหรูหราทั่วประเทศ สามารถช่วยแก้ปัญหาโลเกชั่นในการถ่ายทำของคุณได้มากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรอีกอย่างที่สามารถนำมาบูรณาการได้ แต่ฉันยังไม่ได้ลงไปคุยในรายละเอียด เป็นแค่แนวคิดเบื้องต้น เรื่องใดที่ยังไม่มั่นใจเต็มสิบฉันก็จะยังไม่เอามาคุยโวโอ้อวดหรอก รอให้ฉันคุยเรียบร้อยแล้วค่อยบอกรายละเอียดให้คุณฟังอีกที ประธานหลิ่วคะ ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ในมือฉันตอนนี้ คุณพอใจไหมคะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยได้ฟังก็เกือบจะตกตะลึง พูดสองประโยคที่ไม่เกี่ยวกันเลย
“จัดการแบบนี้ สุดยอดมาก!! อย่าเรียกผมว่าประธานหลิ่ว เรียกผมว่าพี่หลิ่วเถอะ!”
หนิงเหมิงแทบจะร้องเพลงออกมาในใจ พี่หลิ่วพูดจา เหตุผลช่างเอนเอียง*
ช่วงท้ายของการสนทนาที่น่ายินดีนี้หนิงเหมิงและหลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็เปิดใจและไว้วางใจกันมากขึ้น หนิงเหมิงกล่าวว่าหลิ่วหมิ่นฮุ่ยเป็นคนในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ไม่ธรรมดาเพราะเขาไม่ทำตัวเจ้าเล่ห์ หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็กล่าวว่าหนิงเหมิงคือนักลงทุนที่ผิดปกติเพราะเธอไม่วางแผนเอาเปรียบคนอื่นเลย
หนิงเหมิงถามหลิ่วหมิ่นฮุ่ยว่าที่ผ่านมามีนักลงทุนมาพูดคุยกับเขาเยอะรึเปล่า
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยตบที่หน้าขาอย่างมีอารมณ์แล้วตอบว่า “เยอะสิ! มาคุยตั้งหลายคน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ”
“ทำไมถึงไม่สำเร็จคะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยเล่าว่า “นักลงทุนพวกนั้นดูใจกว้างมาก เปิดปากมาแต่ละครั้งพูดไปพูดมาก็มีแต่เงินๆๆ ไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยล้าน แต่พอจะนำเงินมาลงทุนหรือดำเนินงานจริงๆ ค่าใช้จ่ายทุกหยวนเขาไม่ให้คุณได้ไปฟรีๆ หรอก สุดท้ายเขาจะมาขูดรีดขูดเนื้อตั้งแต่ต้นทุนไปจนถึงกำไรจากเรา และพวกเขาก็จะเข้ามายุ่มย่ามการบริหารกิจการของผมอีก ผมไม่มีวันยอมให้เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด เอาคนนอกมาคุมคนใน จะให้ผมเปลี่ยนนักแสดงหลักเป็นเด็กของใครเมื่อไหร่ก็ได้ นี่มันล้อกันเล่นใช่ไหม สุดท้ายถ่ายละครดีๆ ออกมาไม่ได้ นี่ก็เท่ากับทำให้พวกเรากลายเป็นละครแสนเศร้าไปเลย”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยหยุดไปชั่วขณะ หน้าตาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา เขากลอกตาอย่างดูถูกพลางพูดไปด้วยว่า “นอกจากนี้นักลงทุนบางคนยังคิดว่าบริษัทเรามีตัวประหลาดเยอะมาก ไม่สามารถควบคุมได้ งั้นก็ไม่ร่วมลงทุนเลยดีกว่า” หลังจากที่เขากลอกตาอย่างรวดเร็วแล้วก็ถามหนิงเหมิงว่า “แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงมีความคิดที่จะร่วมลงทุนกับเรา”
หนิงเหมิงยิ้ม “ก็เพราะพวกคุณมีคนที่แปลกๆ เยอะไง!” หนิงเหมิงทำให้หลิ่วหมิ่นฮุ่ยฟังแล้วเข้าใจว่าคำพูดของเธอไม่ได้ล้อเล่นหรือเสียดสี แต่เป็นคำชมจากก้นบึ้งของหัวใจ “อันที่จริงฉันไม่กล้าพูดว่าฉันเข้าใจพวกคุณมาก ฉันมองออกเลยว่าไอเดียแปลกๆ ของพวกคุณมันทุ่มเทและยืนหยัดในศิลปะ ละครที่สร้างบนพื้นฐานของเงินเป็นละครรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ไร้จิตวิญญาณ แต่ความพากเพียรของคุณทำให้ละครของคุณมีจิตวิญญาณขึ้นมา”
ทำไมเธอถึงอยากจะลงทุนกับฮุ่ยมีเดีย
วังวนในอุตสาหกรรมบันเทิงในสังคมปัจจุบันนี้ ‘คนประหลาด’ ของฮุ่ยมีเดียยึดมั่นในงานศิลปะอันบริสุทธิ์ในหัวใจของพวกเขา การมีจิตใจยืนหยัดเช่นนี้จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกนักลงทุนรายอื่นใช้เงินจำนวนมากเปลี่ยนแปลงจุดยืน ทิ้งเธอไปหาคนอื่น
พวกเขาจะภักดีต่อผู้ที่เห็นคุณค่าของพวกเขา พวกเขาจะเป็นหุ้นส่วนที่ซื่อสัตย์ที่สุด และตราบใดที่เธอไม่ทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง พวกเขาก็จะไม่แปรพักตร์สู่ผู้เสนอราคาที่สูงกว่า
หลังจากจบคำพูดของหนิงเหมิง หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็แสดงอาการตกตะลึงต่อคำพูดของเธอ
ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น เขาพูดกับหนิงเหมิงอย่างตื่นเต้น
“หนิงเหมิง คุณรู้รึเปล่า ตอนนี้ผมพร้อมที่จะยอมตายเพื่อคุณ! ผมยอมแลกด้วยชีวิตเพื่อสหายคนสนิท ประโยคคลาสสิกภาษาจีนนี้ วันนี้ถือว่าผมแปลเป็นแล้ว”
ก่อนหนิงเหมิงจะกลับ หลิ่วหมิ่นฮุ่ยพาพนักงานทุกคนมาส่งเธอ เมื่อถึงหน้าประตูเขาก็พูดอย่างตื่นเต้น
“นี่ หนิงเหมิง ถึงแม้คุณจะเป็นนักลงทุนที่อายุน้อยที่สุดที่ผมเคยเจอมา แต่คุณคือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นมืออาชีพ และมีความคิดอ่านที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณสวยมากๆ เลย เอางี้ดีไหม เรายังมีละครอยู่เรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจสตาร์ตอัพ นางเอกเป็นคนสวยและเก่ง ฝ่าฟันชีวิตไม่ยอมแพ้ คุณมาเป็นนางเอกเรื่องนี้ให้ผมเถอะนะ?”
หนิงเหมิงแทบจะตามเกมไม่ทัน อยู่ดีๆ หลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็เปลี่ยนจากหัวข้อหลักในการเจรจาธุรกิจเป็นมาเรื่องแบบนี้ได้
เธอรีบตอบว่า “ไม่เหมาะหรอกค่ะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยยืนยันว่า “คุณนี่แหละเหมาะ เหมาะสมมาก รูปร่างหน้าตาของคุณขึ้นกล้องแน่นอนอยู่แล้ว! เอางี้นะ หนิงเหมิงถ้าหากคุณยอมมาเป็นนางเอก ผมก็จะทุ่มสุดตัว จะเล่นเป็นพระเอกเอง!”
ตัวหนิงเหมิงเกือบจะติดอยู่ที่โต๊ะต้อนรับหน้าประตูบริษัท
อันจงอดรนทนไม่ไหวปริปากออกมา “หนิงเหมิง อย่าไปตอบรับเขานะ เขาต้องเพิ่มฉากจูบเข้าไปอีก และปากของเขาสามารถดูดหนังหน้าคุณหลุดมาได้เลย!”
หนิงเหมิงยิ้มและขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่ ในขณะที่หลิ่วหมิ่นฮุ่ยขู่ว่าจะไล่อันจงออกในวันพรุ่งนี้
ขณะนั่งอยู่บนรถ เธออดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วแตะริมฝีปาก
การจูบปากมันจะมีรสชาติอย่างไรนะ
เชิงอรรถ
* Sitcom หรือ Situation comedy เป็นละครที่มีลักษณะเด่นคือตัวละครจะอยู่ในสถานการณ์จำลองเดียวกันจากตอนหนึ่งไปตอนถัดไป สถานการณ์จำลองมักจะเป็นในครอบครัว ที่ทำงาน หรือในวงเพื่อน มุกตลกในซิตคอมมีหลากหลาย แต่ปกติแล้วจะมีลักษณะเป็นแบบตัวละครนำเรื่องไป (Character-driven) นำมาซึ่งการใช้ Running gags (มุกซ้ำๆ ประจำตัวละคร ย้ำเรื่อยๆ ตลอดเรื่อง)
** เซอร์ไพรส์ หรือ ‘วั่นวั่นเหมยเสี่ยงเต้า’ (万万没想到) เป็นมินิซิตคอมซึ่งฉายออกอากาศผ่านเว็บไซต์ Youku เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2013 มีทั้งหมด 2 ซีซั่น เป็นซิตคอมที่แต่ละตอนจะเป็นเรื่องสั้นที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน มีทั้งเรื่องราวของอาชีพต่างๆ มนุษย์ต่างดาว และยมทูต ซึ่งได้รับรางวัลจากภาพยนตร์สั้นออนไลน์ดีเด่นจาก KingBonn Award ในปี 2014
* อินเตอร์เน็ตพลัส คือแผนปฏิบัติการที่นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงกล่าวขึ้นในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการผสมผสานอินเตอร์เน็ตเข้ากับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม และการเปลี่ยนจากการผลิตเชิงปริมาณไปสู่การผลิตเชิงคุณภาพ
* พี่หลิ่วพูดจา เหตุผลช่างเอนเอียง มาจากบทร้องอุปรากรของมณฑลเหอหนาน เรื่องฮวามู่หลาน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.