X
    Categories: Master of My Own ขอโทษที ฉันไม่ใช่เลขาคุณแล้วWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Master of My Own ขอโทษที ฉันไม่ใช่เลขาคุณแล้ว เล่ม 3 บทที่ 73

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 73 ผมกลับมาหาคุณ

หนิงเหมิงแหงนหน้ามองลู่จี้หมิง

ไฟเซ็นเซอร์บนทางเดินบันไดสาดแสงสีเหลืองนวลลงมา บรรยากาศราวกับอบอุ่นขึ้นด้วยแสงนี้ แสงไฟตกกระทบลงบนหัวไหล่ของลู่จี้หมิงทำให้ลายเส้นบนตัวเขาดูอ่อนโยนขึ้นมา

เขานั่งอยู่ตรงนั้น มองลงมาเบื้องล่าง แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความสับสน

แสงเหลืองนวลของดวงไฟและชายหนุ่มที่อยู่ใต้แสงอำพันนี้ที่กำลังมองลงมา ทำให้ช่วงเวลาการเริ่มต้นปีใหม่ถูกย้อมด้วยความรู้สึก

หนิงเหมิงกระแอม เธอยืนอยู่ด้านล่างเปล่งเสียงทักทายคนที่นั่งอยู่ด้านบน

ลู่จี้หมิงเลิกคิ้วถามตรงๆ “ไปเคานต์ดาวน์กับคนเขามาแล้ว?”

หนิงเหมิงคิดทบทวนดู ตัวเองได้ไปร่วมเคานต์ดาวน์กับคนเขาจริงๆ ไปกับคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง

ดังนั้นเธอจึงตอบว่า “ใช่”

หางตาลู่จี้หมิงกระตุกแล้วกระตุกอีก ทำเหมือนไม่ใส่ใจแล้วก็เริ่มงานสำรวจสำมะโนประชากร

“ไปกันกี่คนล่ะ สนุกกันไหม”

“หลายคนเลย แถมยังสนุกมากด้วย”

หางตาลู่จี้หมิงกระตุกต่อไปไม่หยุด หนิงเหมิงสงสัยว่าเมื่อคืนเขานอนไม่หลับตลอดคืนเลยหรือเปล่า

ลู่จี้หมิงถามต่ออีกว่า “ไปกับพวกรุ่นพี่ของคุณเหรอ”

เขาแทบจะทำตัวเหมือนพวกปาปารัซซี่ไปแล้ว การก้าวล่วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่นได้เริ่มต้นขึ้น

หนิงเหมิงตัดสินใจยุตินิสัยเสียของลู่จี้หมิงที่เอาแต่พูดเรื่องส่วนตัวของคนอื่นไม่หยุด ใช้วิธีการเดียวกันมาถามบ้าง

“ฉลองปีใหม่ทั้งที ทำไมคุณถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ไปอยู่ฉลองกับนางฟ้าของคุณเหรอ”

เธอล้ำเส้นเข้าไปในโลกส่วนตัวของเขาเล็กน้อย อาศัยการล้ำเส้นคนอื่นเพื่อปกป้องโลกส่วนตัวของตัวเอง

แต่ลู่จี้หมิงกลับไม่สนใจ เขาตอบคำถามอย่างเปิดเผยว่า “เธอไม่ค่อยสบาย ยังไม่ถึงสี่ทุ่มก็กินยานอนหลับไปแล้ว”

เขายอมสละเส้นแบ่งความเป็นส่วนตัวของเขาให้คนอื่นรุกเข้าไป แต่หนิงเหมิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป

เมื่อคิดได้แล้วเธอก็ถามว่า “เมื่อกี้ทำไมถึงได้โทรมาหาฉันล่ะ”

ลู่จี้หมิงจ้องเขม็งด้วยอาการตกตะลึง “มีเหรอ” จากนั้นเขาก็วกกลับมายังหัวข้อที่ถูกเบี่ยงประเด็นไปก่อนหน้าอย่างดึงดัน “แล้วคุณล่ะ คุณยังไม่ได้บอกเลย กับรุ่นพี่ของคุณเที่ยวกันสนุกไหม”

ลู่จี้หมิงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ร้องไม่ตะโกน ไม่เหวี่ยงไม่วีน เขานั่งนิ่งๆ และถามต่อด้วยท่าทางที่ดึงดันและเชื่อฟังไปด้วย

ผิดไปจากสภาวะปกติของเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกคน…

หนิงเหมิงคาดเดาเอาว่าคืนนี้ลู่จี้หมิงดื่มเหล้ามาแน่ๆ เลย

ลู่จี้หมิงที่ดื่มเหล้าไม่เป็นอันตราย หลังจากดื่มเขาจะปล่อยพื้นที่ส่วนตัวออกมาบ้างก็ไม่เป็นไร

หนิงเหมิงตอบเขา “ไม่ได้ไปกับรุ่นพี่ เขาไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง”

ลู่จี้หมิงเปล่งเสียงโอ้ออกมา ดวงตาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็สวมวิญญาณปาปารัซซี่มือสมัครเล่นให้ถึงที่สุด “งั้นก็ไปกับพวกหนุ่มล่ำบึ้กจากบริษัทมีเดียใช่รึเปล่า”

หนิงเหมิงครุ่นคิด คิดว่าลู่จี้หมิงกำลังพูดถึงหลิ่วหมิ่นฮุ่ย

“ก็เปล่านะ”

ลู่จี้หมิงเปล่งเสียงโอ้ออกมาอีกครั้ง เสียงโอ้ที่ออกมาครั้งนี้เหมือนจะอารมณ์ดี

“งั้นก็ดี” คำพูดนี้เขาพูดออกมาเหมือนกับถอนหายใจเบาๆ

หนิงเหมิงฟังไม่ถนัดจึงถามเขา “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”

ลู่จี้หมิงยืนยันไปว่า “ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”

หนิงเหมิงรู้สึกว่าการสนทนานี้เข้าสู่โหมดกระอักกระอ่วน ในเมื่อกระอักกระอ่วนก็น่าจะรีบตัดบทให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

เธอมุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดไปเพื่อกลับเข้าบ้าน ระหว่างก้าวขึ้นบันไดก็ถามไปด้วยว่า “ทำไมคุณมานั่งอยู่นี่ ไม่กลับบ้านกลับช่อง”

“ในห้องเสียงดังเอะอะมากเลย”

หนิงเหมิงก้าวขึ้นไปอีกสองขั้น

โอ้ ใช่ เสียงดังมากจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เธอกำลังลงจากตึกก็ได้ยินเสียงแล้ว เธอคิดว่าน่าจะเหมือนปีที่ผ่านมาที่มีผู้คนกลุ่มหนึ่งเปิดปาร์ตี้ในห้องรับแขกของเขา

ขณะหนิงเหมิงกำลังก้าวขึ้นบันไดก็พูดอีกว่า “ถ้าส่งเสียงดังมากก็ไล่พวกเขาออกไปซะก็หมดเรื่องไม่ใช่เหรอ” ปีที่แล้วก็ไล่ออกไปนี่

ลู่จี้หมิงตอบเสียงเบา “แบบนั้นก็จะเงียบมากน่ะสิ”

หนิงเหมิง “…”

คาดไม่ถึงจริงๆ โลกใบนี้จะมีผู้ชายหาเรื่องงี่เง่าแบบนี้ได้ยังไง

หนิงเหมิงก้าวขึ้นบันไดไปอีกขั้น เธอขึ้นมาถึงจุดหมายแล้ว ตอนนี้ปลายเท้าของเธออยู่ตรงขั้นบันไดเดียวกันกับก้นของลู่จี้หมิง เธอขยับเข้าไปชิดติดผนัง ส่วนลู่จี้หมิงนั่งติดกับราวบันได

หลังจากหนิงเหมิงพูดอะไรออกมาพอเป็นพิธีก็คิดจะก้าวผ่านลู่จี้หมิงเดินออกไปยังทางเดินแล้วเข้าบ้านไป

แต่ขณะที่เธอกำลังคิดจะยกเท้าขึ้น จู่ๆ ลู่จี้หมิงก็ลุกพรวดขึ้นมา

หนิงเหมิงได้กลิ่นเหล้าไม่อ่อนแต่ก็ไม่เข้มโชยออกมาจากตัวเขา

เขาดื่มเหล้าอย่างที่คาดไว้ และเขาก็แปลงกายแล้วจริงๆ

ลู่จี้หมิงยืนพิงราวบันได ยื่นขาที่ยาวๆ ออกมาแบบไม่ได้ใส่ใจ ราวกับว่าถ้ายื่นขาออกแล้วจะทำให้สามารถยืนได้สบายขึ้น แต่การยื่นเท้าออกมาแบบส่งเดชนี้กลายเป็นสิ่งกีดขวางทางเดินของหนิงเหมิง

หนิงเหมิง “…”

เธอหันไปมองลู่จี้หมิง อยากให้เขาเก็บขาเข้าไปอย่ากีดขวางทาง แต่ขณะที่หันไปหน้าของเธอก็ตรงกับหน้าของเขาพอดี ทำให้สติเธอเลือนหายไปเล็กน้อย

สีหน้าเขาดูสับสนและลังเลทำอะไรไม่ถูก

การแสดงออกนั้นทำให้เขาดูไร้เรี่ยวแรงไร้พลังอย่างที่ไม่เคยเป็น หนิงเหมิงลืมเรื่องที่จะให้เขาเก็บขาไปครู่หนึ่ง ความสนใจของเธอถูกดึงดูดไปที่ความอ่อนแอของผู้ชายคนนี้ที่แสดงออกมา

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” หนิงเหมิงครุ่นคิดก่อนจะถามอย่างสุภาพอ่อนโยน

ลู่จี้หมิงเลิกคิ้วสองข้างแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและสับสน “คุณเคยคบผู้ชายที่อายุน้อยกว่าคุณไหม”

สายตาของหนิงเหมิงมองผ่านดวงตาของเขาและหลบสายตาโดยเร็ว “การคบหาที่คุณพูดถึงหมายความว่ายังไง”

คิ้วของลู่จี้หมิงคลายลงและขมวดแน่นขึ้นอีก “เป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ไม่ขับไล่ไสส่งคนอื่นออกไป”

หนิงเหมิงตกตะลึง เขากำลังกลุ้มใจว่าห่างเหินกับนางฟ้าของเขามากไปหรือเปล่า

จู่ๆ เธอก็คิดถึงเมื่อไม่นานมานี้ที่ลู่จี้หมิงเคยบอกกับหลิ่วหมิ่นฮุ่ยว่าเขายังโสดอยู่

เพราะฉะนั้นเขาเลยกังวลว่าอยากจะตามจีบนางฟ้าแต่ไม่รู้ว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกันยังไงดี?

หนิงเหมิงหัวเราะออกมา เริ่มพูดไปเรื่อยเปื่อย “คุณออกจะมุทะลุกับคนอื่นๆ ทำไมกับนางฟ้าของคุณถึงได้ซื่อบื้อนักล่ะ เอาความบ้าที่คุณมีกับผู้อื่นออกมา ผลักนางฟ้าของคุณเข้าหลังกำแพง ถ้าเธอมีท่าทีขัดขืน คุณเข้าไปกอดก็สิ้นเรื่อง อย่าให้มันเกินพอดี ถ้าเธอไม่ขัดขืน คุณก็จูบเธอเลย แบบนี้ก็แฮปปี้ด้วยกันทุกฝ่ายไง”

อันที่จริงแล้วหนิงเหมิงก็รู้ว่าที่ตัวเองพูดไปมันไม่ถูก คำพูดนี้ของเธอเป็นข้อสรุปมาจากในนิยายเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ความรู้สึกของเธอตอนที่พูดแบบนี้ก็รู้สึกว่าหยอกล้อไปหน่อย ลู่จี้หมิงเคยทำอะไรมามาก มาทำเป็นไร้เดียงสาต่อหน้าเธอซึ่งยังไม่เคยเสียจูบแรกไปด้วยซ้ำ จะให้เธอไม่คิดถึงละครตบจูบก็ยากแล้ว

หนิงเหมิงสังเกตว่าเมื่อสิ้นเสียงเธอ ใบหน้าของลู่จี้หมิงก็แดงขึ้นจริงๆ

ไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หรือว่าในหัวกำลังคิดฉากที่เธอพูดถึงอยู่ ความรู้สึกก็มาเลย

ลู่จี้หมิงหน้าแดงก่ำ เป่าปากพร้อมพูดออกมา “คุณไม่ต้องมาแซวผมเลย! ผมดูคุณก็ซื่อบื้อเหมือนกัน! คุณก็รีบเข้า สัญญาว่าจ้างงานจะสิ้นสุดแล้วใช่รึเปล่า รีบไปเก็บของแล้วกลับมาที่บริษัทจี้หมิงแคปปิตอล รู้ไหมว่าตอนนี้วุ่นวายขนาดไหน!”

ลู่จี้หมิงพูดเสียงแข็งพร้อมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเรียกตัวหนิงเหมิงกลับบริษัทจี้หมิงแคปปิตอลเพื่อปกปิดสาเหตุที่หน้าแดงซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความไร้เดียงสา

บทสนทนาของเขาตรงไปตรงมาเป็นไม้บรรทัด ทำให้หนิงเหมิงอดจะประชดออกมาไม่ได้

“ประธานลู่คะ คุณต้องขนาดนี้ไหม กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องไปรับคุณจากสถานที่อโคจรแล้วส่งคุณกลับบ้าน คุณไม่เคยเจออะไรบ้าง ทำไมตอนนี้คุณดูไม่ประสีประสาขนาดนี้ล่ะ”

สิ่งที่ทำให้หนิงเหมิงคาดไม่ถึงก็คือคำพูดของเธอทำให้ลู่จี้หมิงโมโหขึ้นมา ในที่สุดเธอก็รู้ว่าลู่จี้หมิงที่กลายเป็นเด็กดีหลังจากดื่มเหล้าก็ยังโมโหได้ด้วย

ลู่จี้หมิงที่ฉุนเฉียวยกแขนสองข้างขึ้นล็อกไหล่ของหนิงเหมิงโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน เขาดันจนเธอหลังชิดผนังแล้วเขาก็ประชิดเข้ามา ก้มหัวลง ถามอย่างดุร้ายและท้าทาย

“ผมต้องขนาดนี้อะไร ก็ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นยากอะไร!”

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ไปห้าวินาที หนิงเหมิงก็ตกตะลึงพูดไม่ออก

หลังของเธอพิงชิดติดผนัง เงยหน้ามองเห็นใบหน้าของลู่จี้หมิงได้ชัดเจน

มือสองข้างของเขาเหมือนเหล็กร้อนๆ มันร้อนผ่าวไปถึงกระดูกที่ไหล่ของเธอ พวกเขาไม่เคยอยู่ใกล้กันขนาดนี้มาก่อน ใกล้จนลมหายใจของอีกฝ่ายปะทะใบหน้าอีกฝ่าย ไฟเซ็นเซอร์ดับลง หลังจากที่เขาหายตัวไปในความมืดอย่างกะทันหัน เขาก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นเหมือนภาพที่ตัดแล้วค่อยๆ ลอยขึ้นตรงหน้าเธอ

ภายใต้ความมืดพวกเขาจ้องมองกันและกัน ไร้ซึ่งเป้าหมาย ไร้ซึ่งความหมายใดๆ

ขณะนั้นโลกก็เงียบอย่างที่สุด เธอไม่ได้ยินเสียงอื่นใด อีกครู่หนึ่งก็มีเสียงอึกทึกดังในหู เสียงหัวใจเต้นวิ่งผ่านตามเส้นชีพจรเข้าสู่โสตประสาท

สงบและอึกทึกขัดแย้งกันอยู่ภายใน จนทำให้หนิงเหมิงลืมที่จะขัดขืน

ดังนั้นลู่จี้หมิงจึงทำตามคำพูดมั่วๆ ของเธอที่ว่า ‘ถ้าเธอมีท่าทีขัดขืน คุณเข้าไปกอดก็สิ้นเรื่อง อย่าให้มันเกินพอดี ถ้าเธอไม่ขัดขืน คุณก็จูบเธอเลย’

ดังนั้นเมื่อรอให้เสียงเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ บนโลกกลับมาที่โสตประสาทของหนิงเหมิง เธอเห็นหัวของลู่จี้หมิงกำลังโน้มลงมาหาเธอ และริมฝีปากของเขากำลังโจมตีตรงเข้าที่ริมฝีปากเธอ

หนิงเหมิงตกใจสุดขีดจนเส้นเลือดในสมองเกือบแตก สองมือผลักเข้าที่หน้าอกลู่จี้หมิงอย่างแรง เสี้ยววินาทีนั้นรีบถอยห่างจากวงแขนของเขา

หนิงเหมิงเห็นดวงตาของลู่จี้หมิงเบิกกว้าง และสายตาที่มองจ้องตรงมาเหมือนกับสายตาตอบสนองช้าที่คนดื่มเหล้ามักจะเป็น หางตาที่มากความรู้สึกของเขากำลังกระตุก กระตุกจนหนิงเหมิงอยากหยุดมันไว้ เธอสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจภายใต้ฝ่ามือของตัวเอง ราวกับว่าได้ติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจความถี่สูงไว้ด้วย หัวใจเต้นรุนแรงและรวดเร็วมาก กราฟชีพจรกลายเป็นเส้นขึ้นลงถี่ๆ

หนิงเหมิงรู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากที่หัวใจเต้นเร็วมากนี้ เธอรวบรวมแรงผลักลู่จี้หมิงออกไป ไฟโกรธที่ไม่มีชื่อ ความอับอายโมโหในใจพุ่งขึ้นจนถึงขีดสูงสุด

“ลู่จี้หมิง คุณเสียสติไปแล้วรึไง ทำไมต้องเอาฉันมาเป็นหนูทดลองด้วย!”

ไฟเซ็นเซอร์สว่างขึ้นจากเสียงตะโกนของเธอ ใต้แสงไฟความสกปรกในหัวใจคนเริ่มเปิดเผยชัดขึ้น แสงไฟจุดประกายความอับอายและความโกรธของหนิงเหมิงขึ้นมา เธอไม่เพียงแต่โกรธอีกฝ่ายเท่านั้น ยังแอบโกรธตัวเองด้วย

เธอต้องระบายความอับอายและความคับแค้นใจนี้ออกไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นคืนนี้เธอต้องอกแตกตายแน่

ดังนั้นเธอจึงยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนเท้าลู่จี้หมิงอย่างเดือดจัด ลู่จี้หมิงเจ็บจนร้องเสียงหลงตัวงอ หนิงเหมิงเดินเข้าไปผลักประตูเหล็กแล้วเดินออกไปจากบันไดด้วยความขุ่นเคือง

เธอโกรธจัด โกรธมากจนไม่เห็นว่าหน้าประตูเหล็กมีคนยืนดูฉากนี้อยู่

เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก ความโกรธที่พองตัวจนทำให้เธอเดินเชิดนั้นทันทีที่ปิดประตูก็ลมรั่ว เธอตัวอ่อนทรุดพิงอยู่หลังประตู เสียงเต้นของหัวใจดังก้องอยู่ในหูอีกครั้ง

เธอเริ่มสั่น

เธอโกรธมาก

คนเลวอย่างลู่จี้หมิงถือดีอะไรเอาเธอไปเป็นหนูทดลอง

หนิงเหมิงบอกกับตัวเองในใจว่าหากต่อไปลู่จี้หมิงยังมีพฤติกรรมหยาบคายเช่นนี้อีก ต่อให้เป็นเพราะดื่มเหล้าจนขาดสติก็ตาม เธอจะต้องตบสั่งสอนแบบไม่ต้องเกรงใจสักฉาด เรียกสติเขากลับคืนมา เตือนสติให้เขาทำตัวเป็นคนดี อย่าทำเรื่องหยาบช้า

 

อารมณ์โกรธของหนิงเหมิงค่อยๆ หายไป

เจิงอวี่หังผู้ซึ่งนั่งยองๆ ดูฉากนี้อยู่หลังประตูเหล็กมาตลอดก็เดินเข้าไปที่บันได

ลู่จี้หมิงกลับไปนั่งที่ขั้นบันไดอีกครั้ง เขาถอดรองเท้าแล้วนวดเท้า ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยถาม

“มีบุหรี่ไหม”

เจิงอวี่หังโอบไหล่เขาพลางนั่งลงข้างๆ

“บุหรี่ช่วยอะไรนายไม่ได้หรอก ไอ้ลาโง่” เขาปฏิเสธที่จะให้บุหรี่ลู่จี้หมิง “ฉันอยู่คุยเป็นเพื่อนนายดีกว่า”

ลู่จี้หมิงหัวเราะหึๆ “ฉันคุยได้ไม่นานนะ อีกสักพักต้องรีบไปดูอาเมิ่ง เธอกินยานอนหลับ ฤทธิ์ยาใกล้หมดแล้ว หากเธอตื่นมาพบว่าอยู่กับตัวเองคนเดียวในคืนวันสิ้นปี น่าสงสารมากนะ”

แสงไฟเซ็นเซอร์ดับลง เจิงอวี่หังกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง ใต้แสงที่สว่างอีกครั้งเขาขมวดคิ้วและตักเตือนลู่จี้หมิง

“หมิงหมิง นายว่านายมันบ้าหรือเปล่า รู้อยู่ว่าพี่เมิ่งกินยาเข้าไปเม็ดหนึ่งก็นอนไปสองชั่วโมง นายยังหาเรื่องออกมา”

ลู่จี้หมิงแสยะยิ้มทะเล้น “ก็ฉันมาเจอนายไง”

เจิงอวี่หังไม่ยอมรับสิ่งที่เขาพูดออกมา “นายแม่ง! นายกลับมาเพราะใครคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ แล้วคนที่สมใจอยากก็คือนาย สารเลวไหมเนี่ย หมิงหมิง นายคิดจะทำอะไรกันแน่”

ลู่จี้หมิงใช้สองมือเสยผม หว่างนิ้วดึงเส้นผมออกไปด้านข้าง “ฉันสงสารอาเมิ่ง เดิมทีการได้อยู่ข้างเธอคือสิ่งที่ฉันต้องการ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้อย่างที่ตั้งใจแล้ว แต่ฉันก็อดจะกลับมาเจอไม่ได้ นายว่าฉันเป็นอะไร”

เจิงอวี่หังหัวเราะเสียงเย็น “นายเองยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง”

ลู่จี้หมิงก็หัวเราะเช่นกัน หัวเราะราวกับคนโง่เขลา “ตอนนี้อาเมิ่งกำลังต้องการฉัน คราวนี้เธอถูกทำร้ายอาการสาหัสแล้ว ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น แม้แต่ฉันก็ยังผลักออก แต่ก็ต้องมีใครสักคนที่คอยดูแลป้อนยาป้อนน้ำเธอ ฉันจำเป็นต้องคอยดูแลเธอ ไม่งั้นอาการป่วยของเธอจะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ”

เจิงอวี่หังชำเลืองมองลู่จี้หมิง “นายจะพูดเรื่องพวกนี้กับฉันทำไม อธิบายให้ฉันฟังหรืออธิบายให้ตัวเองฟังกันแน่”

นิ่งไปสักพักเขาก็จุดบุหรี่มาสองมวน มวนหนึ่งสูบเอง อีกมวนเสียบเข้าไปในปากของลู่จี้หมิง

เขาพ่นควันออกมาแล้วพูดกับลู่จี้หมิงว่า “หมิงหมิง มีบางเรื่องที่คนอื่นก็ช่วยเหลือนายไม่ได้ นายก็ดูเอาแล้วกัน สุขสันต์วันปีใหม่นะ หวังว่าปีใหม่นี้นายจะราบรื่นไปตลอดทั้งปี ขอให้นายและคนรอบข้างนายมีความสุขกันทุกคน”

ลู่จี้หมิงคีบบุหรี่ หรี่ตาแล้วสูดควันเข้าไปเต็มปอด

เขาไอออกมา ก่อนจะพูดว่า “สมพรปาก”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน สิงหาคม 65)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: