บทที่ 2 เมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง
เมื่อวันหยุดช่วงปิดเทอมหมดลง ฉันก็กลับกรุงเทพฯ พร้อมข้าวของมากมายจากต่างจังหวัดที่พ่อแม่ขนซื้อให้เอามาฝากญาติมิตรทั้งหลาย
พอเรียนจบฉันก็ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ มาตลอด นานๆ ทีถึงจะกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ ทุกครั้งที่ฉันกลับไปหาทั้งสองคนจะดีใจและมีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเป็นลูกสาวคนเดียวแต่พ่อแม่ก็ไม่เคยบังคับกะเกณฑ์เรื่องการใช้ชีวิตเลย พ่อแม่ไว้ใจฉันมาก ทำให้ฉันมีอิสระอย่างเต็มที่และได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีแบบไม่ขาดตกบกพร่องมาตลอด ทำให้ฉันอยากตอบแทนพระคุณด้วยการเป็นลูกที่ดีทำให้พ่อแม่มีความสุข ฉันสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตอิสระตามใจตัวเองต่อไปอีกสักพัก แล้วก็จะย้ายกลับไปอยู่พร้อมหน้าครอบครัวพ่อแม่ลูกที่ต่างจังหวัดอย่างถาวร…
จังหวะการกดกริ่งหน้าประตูอย่างไร้มารยาทของใครบางคนที่ดังขึ้นในเช้าวันเสาร์บรรยากาศน่านอนเช่นนี้ เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยเลย หนำซ้ำเสียงกริ่งยังดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด แสดงให้เห็นถึงความไร้สมบัติผู้ดีของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ถ้าแขกคนดังกล่าวเป็นญาติผู้ใหญ่ ฉันก็ต้องกราบขออภัยเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วย เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาที่ฉันกำลังมีความสุขแสนสบายอยู่บนเตียงกว้างอันอบอุ่น ทำให้รู้สึกไม่ดีกับการถูกรบกวนทุกรูปแบบ
ขณะที่ฉันยังมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น ทำให้ต้องพยายามฝืนลุกจากเตียงอย่างยากเย็น แต่พอคิดได้ว่าคนที่มากดกริ่งรัวๆ นั่นอาจเป็นแขกของฉัน จึงทำให้ฝ้ายต้องมาปลุก ก็นึกขอโทษอยู่ในใจที่ปล่อยให้ฝ้ายเป็นคนลุกไปเปิดประตู
พอพบว่าฝ้ายยืนรออยู่หน้าประตูห้องนอนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนมีเหตุด่วนเหตุร้ายรุนแรงเกิดขึ้น ฉันก็พลันตาสว่าง “มีอะไรเหรอฝ้าย!”
“ปู…ปู…ปู…” ฝ้ายมีอาการเลิ่กลั่กลนลาน และกลายเป็นคนพูดติดอ่างไปแล้ว
“ว่าไง มีอะไร” อะไรกันนะที่ทำให้มนุษย์แสนนิ่งจิตมั่นใจสงบอย่างฝ้ายเกิดอาการประสาทแดกจนสั่นคลอนเช่นนี้
“ปู…ต้องใช่แน่ๆ เลย ฉันจำได้ จำได้จริงๆ นะ!” ฝ้ายยังพูดด้วยอาการละล่ำละลัก ก่อนฉุดฉันออกจากห้องนอนด้วยท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย
แล้วฉันก็พลันชะงักฝีเท้ากึก ยืนตะลึงตัวชาอยู่กับที่ ดวงตาเบิกโตจนแทบถลนขณะจ้องมองไปยังร่างสูงของชายหนุ่มรูปลักษณ์คุ้นตาที่ฉันจดจำเขาได้เป็นอย่างดีทั้งยามหลับและยามตื่น เรือนผมสีดำสนิทแม้จะดูยุ่งๆ แต่ถูกซอยสั้นรับกับศีรษะได้รูปและเค้าโครงหน้าอันโดดเด่น รูปร่างแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…เควิน ริชชี่!
“ใช่มั้ยปู ใช่แล้วใช่มั้ย!” ฝ้ายกระตุกแขนฉันเขย่าอย่างแรง
คำอธิษฐานที่ฉันแทบจะลืมเลือนมันไปแล้วกลับกลายเป็นความจริงหลังจากเวลาผ่านมาหลายเดือน ทั้งที่ฉันปลงจนเลิกหวังไปตั้งแต่วันที่เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดตอนปิดเทอม ใครจะไปรู้ว่าปาฏิหาริย์จะต้องรอคิวยาวตั้งสี่เดือน!
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่เควินเข้ามาปรากฏตัวในห้อง แต่ฉันก็ยังคงตกอยู่ในสภาพจิตตื่นๆ และเสียอาการจนทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้น ฝ้ายเป็นคนโทรเรียกต้าเข้ามาที่ห้องเพื่อล้อมวงฟังคำบอกเล่าจากเควิน ริชชี่ด้วยความสนอกสนใจ เควินมีความกันเองและเป็นมิตรอย่างน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าภาพลักษณ์ที่พบเห็นได้จากสื่อ เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจนไม่ผิดเพี้ยนด้วยน้ำเสียงสุภาพน่าฟัง โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นคำพูดนั้นผ่านริมฝีปากสีระเรื่ออย่างคนมีสุขภาพดีของเขาต่อหน้าต่อตาแบบสดๆ
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันไปเรื่อยๆ มีแต่ฉันที่ยังตั้งสติไม่ได้ เลยไม่สามารถร่วมวงสนทนากับเขาได้อย่างเป็นปกติ ทำได้แค่รับฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ แต่มันช่วยไม่ได้ที่เป็นแบบนี้ เพราะวันก่อนตอนดูหนังเรื่องหนึ่ง ฉันดันเผลอไปจินตนาการถึงเควินด้วยฉากเลิฟซีนในหนังเรื่องนั้น การเจอเควินตัวเป็นๆ ในวันนี้จึงทำให้ฉันสติกระเจิงจนควบคุมไม่ได้เกินเหตุ
เควินเล่าให้พวกเราฟังว่าเช้าวันนี้พอออกจากห้องอัดเสียงเขาก็ต้องขับรถกลับตามลำพัง เนื่องจากเป็นเช้าวันเสาร์การจราจรจึงไม่คับคั่งเท่าวันธรรมดา ทำให้สังเกตเห็นว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งที่มีผู้ชายสองคนอยู่ข้างใน ขับตามเขามาตั้งแต่ที่จอดรถ พอเขาตัดสินใจหักเลี้ยวอย่างกะทันหันเข้ามาที่คอนโดฯ แห่งนี้ รถคันนั้นก็ยังตามเข้ามาด้วย เควินไม่ได้พักอยู่ที่นี่แต่เลือกเข้ามาหลบเพราะมีคีย์การ์ดที่เพื่อนลืมไว้อยู่ในรถ แต่ครั้นเข้ามาในตึกแล้วดันจำไม่ได้ว่าห้องของเพื่อนที่เขาเคยมาแค่ครั้งเดียวอยู่ชั้นไหน นาทีนั้นเขากำลังลนเพราะเห็นว่าสองคนนั้นขับตามขึ้นมาบนชั้นจอดรถได้ จึงรีบสุ่มกดลิฟต์ขึ้นมามั่วๆ แล้วก็มาเลือกกดกริ่งหน้าห้องฝ้ายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาไม่ทันเห็นว่าสองคนนั้นตามเข้ามาในตึกจากที่จอดรถได้ไหม
อย่างไรก็ตาม มันน่าอัศจรรย์มากที่เควินเลือกห้องของฝ้ายเป็นที่พึ่ง!
ในที่สุดคำอธิษฐานของฉันก็เป็นจริง แม้ว่าฉันจะยังไม่ได้เอ่ยปากพูดกับเขาสักคำก็ตาม…ต้ากับฝ้ายพยายามช่วยเหลือเพื่อให้ฉันได้มีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างเต็มที่ แต่ฉันกลับเอาแต่ใจเต้นโครมครามจนทำอะไรไม่ถูก แล้วมันน่าขายหน้าสุดๆ ก็ตรงที่เควินดูเหมือนจะรู้ทันเราทุกอย่างเขาจึงมองฉันด้วยสายตาขบขันอย่างไม่ปิดบัง ในสายตาเขาคงเห็นฉันเป็นแฟนคลับรุ่นเดอะที่กำลังตื่นเต้นจนเสียสติ
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือตอนนี้ฉันยังอยู่ในสภาพดูไม่ได้อย่างรุนแรง ผมเผ้ายุ่งรุงรัง หน้าตาหลังตื่นนอนใหม่ๆ สดเสียยิ่งกว่าปลาในตลาด แถมยังนุ่งชุดนอนเป็นเสื้อย้วยๆ กับกางเกงเห่ยๆ ที่ใช้มาตั้งแต่ ม.ปลาย น่าอนาถสุดๆ
“บางทีพวกนั้นอาจเป็นแฟนคลับโรคจิตที่คลั่งไคล้คุณมากก็ได้นะคะ”
ฉันสะดุ้งเบาๆ กับคำสันนิษฐานยายต้า เพราะเควินอาจกำลังคิดในใจว่าตรงนี้ก็เหมือนจะมีแฟนคลับโรคจิตอยู่คนหนึ่ง…
เควินยิ้มเจื่อน “ถึงจะเป็นแฟนคลับจริง แต่ทำแบบนี้มันน่ากลัวเกินไปนะครับ”
“นั่นสินะ แล้วส่วนใหญ่คุณคงคุ้นเคยกับแฟนคลับที่เป็นเด็กๆ มากกว่า พอเจอผู้ใหญ่ที่มาตามด้วยวิธีนี้คงหลอนน่าดู” ต้าว่า
ทำเอาแฟนคลับวัยผู้ใหญ่ที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้ด้วยเริ่มรู้สึกร้อนตัวนิดๆ แต่ยังนิ่งไว้เหมือนไม่รู้สึก
“แล้วคุณแน่ใจหรือคะ ว่าพวกนั้นไม่ได้ถูกจ้างมาอุ้มฆ่า” ต้าโพล่งถาม
“คงไม่ใช่หรอกครับ” เควินยิ้มตอบ
“จะแจ้งตำรวจมั้ยคะ” ฝ้ายถามเควิน
“คิดว่าคงไม่ ผมเพิ่งเคยเจอแบบนี้ครั้งแรก ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
“แต่น่าจะแจ้งตำรวจนะคะ” ต้าแนะนำด้วยท่าทางเป็นห่วง “ยังไงฉันจะลองไปขอหลักฐานจากกล้องวงจรปิดของคอนโดฯ มาเก็บไว้ให้ เผื่อมีข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ได้ทีหลัง ถ้าเกิดว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่แฟนคลับ”
เควินขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะมองนาฬิกาแล้วขอตัวกลับเพราะคิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว
“แต่ก็น่าจะรออีกซักพักค่อยออกไปดีกว่านะคะ บางทีพวกนั้นอาจจะดักรออยู่ที่รถของคุณ” ต้าเตือนเขาด้วยความรอบคอบ “คุณทำงานจนถึงเช้าแบบนี้คงเพลียน่าดู ท่าทางคุณง่วงมาก ขับรถตอนนี้อาจจะอันตราย ถ้าไม่รังเกียจเข้าไปนอนพักก่อนค่อยกลับดีมั้ยคะ”
ฉันพยายามเก็บซ่อนความตื่นตกใจเอาไว้อย่างมิดชิด ขณะคิดในใจว่า… ‘เควินจะนอนพักที่นี่!’
เควินมีท่าทีลังเลอย่างหนัก แต่ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ต้าบอกรวมถึงสถานการณ์ที่บีบบังคับ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ แต่อาจเป็นเพราะเขาเห็นว่าเราทั้งสามดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไรก็ได้ เลยยอมตกลงนอนพักที่นี่อย่างง่ายดาย
ถึงฉันจะยังไม่ได้คุยกับเควินสักคำ แต่ก็ต้องถือว่าในที่สุดแล้วคำอธิษฐานของฉันก็เป็นจริง ตอนนี้ฉันขอแค่อย่าให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันก็แล้วกัน แค่ได้มีความทรงจำเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยได้เจอเควินใกล้ๆ ได้มองเขานานๆ แค่นี้ก็พอใจแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เควินต้องนอนพักในห้องฝ้ายแทนที่จะเป็นห้องฉัน ก็จะให้เขานอนห้องฉันได้ยังไง ในเมื่อมันมีแต่รูปเขาเต็มไปหมด เขาคงรู้สึกแปลกพิกลถ้าต้องนอนมองหน้าตัวเองที่ถูกแปะไว้ทั่วทั้งห้องจนผนังแทบไม่มีที่ว่าง
“ไม่ต้องเกรงใจนะคะ จะนอนหลับนานแค่ไหนก็ได้ สบายใจได้ว่าจะไม่มีแฟนคลับโรคจิตที่ไหนแอบตามเข้าไปทำอะไรคุณในห้องแน่นอน” ต้าบอกกับเควิน แล้วก็ปรายตามามองฉันอย่างมีความหมาย ทำเอาฉันสะอึกและเผลอตวัดตามองเควินอย่างยั้งไว้ไม่ทัน เลยเห็นเขากระตุกยิ้มขันที่แสดงว่าเข้าใจทุกอย่าง หน้าฉันร้อนซู่ขึ้นมาทันทีด้วยความอับอายขายหน้ามากกว่ารู้สึกเขิน
“นี่แกโง่หรือโง่กันแน่ยายปู ทำไมเอาแต่นั่งบื้ออยู่ได้ อยู่ๆ ก็มีบุญก้อนโตหล่นทับแท้ๆ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังเชียวนะ” ต้าโวยวายอย่างหัวเสียด้วยความไม่ได้ดั่งใจเมื่อเห็นฉันเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ
ฉันถอนใจยาวแล้วนั่งลงที่ขอบเตียงใกล้กับต้า “ฉันก็อยากหายตื่นเต้นแล้วคุยกับเขาเหมือนที่แกกับฝ้ายทำ แต่มันทำไม่ได้นี่นา”
“ซื่อบื้อ” ต้าด่า
“เออ” ฉันยอมรับ
ต้าถลึงตาใส่ด้วยสีหน้าบึ้งตึงพร้อมกับจิ้มนิ้วที่หัวฉันแรงๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนฉันด้วยท่าทางหงุดหงิด
ฉันรู้สึกอิจฉาต้ากับฝ้ายจริงๆ ที่สามารถพูดคุยกับเควินได้อย่างเป็นปกติแบบนั้น อดคิดไม่ได้ว่าหากเควินเกิดมาสะดุดรักเพื่อนฉันคนใดคนหนึ่งเข้าแล้วคบกัน ฉันจะทำใจได้หรือเปล่า…แต่ได้ไม่ได้ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ และแฟนคลับที่ดีต้องยินดีได้กับทุกความสุขสมหวังของศิลปินที่เราชื่นชอบ
จะว่าไปจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ใช่แฟนคลับที่ชื่นชอบเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจสักเท่าไหร่ บางทีอาจจะไม่ต่างอะไรจากแฟนคลับโรคจิตที่แอบสะกดรอยตามเขาเลยก็ได้ เพียงแต่ไม่มีเวลา ไม่มีแรงฮึด และไม่หน้าด้านพอที่จะทำอย่างพวกนั้นบ้างเท่านั้นเอง ป่านนี้เควินคงนอนสะดุ้งเพราะหลับไม่สนิทก็ได้ เพราะถูกฉันแอบคิดถึงอย่างไม่บริสุทธิ์ใจด้วยความฟุ้งซ่าน
พอนึกถึงวันที่เหนื่อยจนคิดจะเลิกชอบเขาตอนนั้นขึ้นมาก็ขำตัวเอง ตอนนี้อย่าว่าแต่เลิกชอบตลอดไปเลย เพราะแค่เลิกนึกถึงเขาสักห้าวินาทียังทำไม่ได้แล้ว เพราะการเจอเขาในวันนี้มันกำลังทำให้ฉันยิ่งหลงเขาหนักกว่าเดิม ถ้าเขาดูร้ายกาจและนิสัยแย่กว่าที่เห็นสักนิด แบบที่ผิดจากภาพของเขาที่ฉันเคยรับรู้ผ่านสื่อมาก่อนหน้านี้ ฉันก็คงจะเลิกปลื้มเขาได้ไม่ยาก แต่เขากลับไม่มีอะไรทำให้ผิดหวังเลยสักนิด ไม่ว่าจะด้วยความที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ หรือเพราะได้รับการฝึกฝนให้รักษาภาพลักษณ์ที่ดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่สรุปแล้วก็คือเขาเป็นคนที่ดูดีมีเสน่ห์ทุกองศาทุกมุมมองและทุกการเคลื่อนไหวจริงๆ แถมนิสัยก็น่ารักมากด้วย
ดังนั้นฉันก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยด้วยการชอบเขาต่อไป แล้วก็คลั่งไคล้ไปเรื่อยๆ จนเบื่อไปเอง แต่ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ล่ะก็ ฉันคงต้องบอกว่าต่อให้ได้แฟนเป็นตัวเป็นตนฉันก็ไม่มีทางเลิกชอบเควินได้แน่นอน!
หลังอาบน้ำเสร็จฉันก็เลือกชุดนานเหมือนคิดว่าจะได้ไปเดตกับเควิน ทั้งที่เขายังนอนหลับปุ๋ยและชาตินี้จะไม่มีวันไปเดตกับฉัน ในที่สุดฉันก็เลือกได้ชุดกระโปรงยาวครึ่งน่องสีน้ำตาลอ่อน แล้วชวนฝ้ายออกไปซื้อของกินมาเตรียมไว้รอให้เควินตอนตื่นนอน ซื้อถ่านมาใส่กล้องดิจิตอลที่วางทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งานมาหลายเดือน…ถูกต้อง! เราตั้งใจจะขอถ่ายรูปกับเควินไว้เป็นที่ระลึก!
ฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของเควินจากนิตยสารมาหลายเล่ม ส่วนใหญ่เขามักจะบอกว่าตัวเองชอบชีวิตที่เรียบง่าย เขาไม่ใช่คนเรื่องมากกับการกินการอยู่ ขอแค่มีความสะอาดที่ได้มาตรฐานก็พอ วันว่างหรือช่วงพักผ่อนเขาชอบดูหนังและอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน มีแค่ขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่หาได้จากร้านสะดวกซื้อทั่วๆ ไปก็อยู่ได้แล้ว ฟังดูเหมือนการใช้ชีวิตกับเควิน ริชชี่มันช่างง่ายดายราวกับความฝัน…ก็น่าจะแค่ฝันน่ะแหละ เพราะในความเป็นจริงแล้วซูเปอร์สตาร์แถวหน้าอย่างเขาชีวิตนี้คงไม่เคยมีอะไรเรียบง่ายเลย
ก่อนที่จะหลับเควินได้เขียนเลขทะเบียนรถของเขาไว้ให้เราด้วย ฉันกับฝ้ายจึงพากันไปสำรวจที่รถของเขาให้ พบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติที่รถของเขา แต่พบรถเก๋งต้องสงสัยจอดอยู่ถัดไปอีกสองช่อง น่าจะเป็นคันที่เควินให้รายละเอียดเอาไว้ไม่ผิดแน่ ซึ่งในรถมีผู้ชายนั่งอยู่ด้วยกันสองคนตามที่เควินบอกเช่นกัน สรุปว่าพวกเขาคงไม่ได้พักอยู่ที่นี่ เพราะไม่มีคีย์การ์ดเข้าตึก หรืออาจจะแค่ตั้งใจดักรอเควินอยู่ตรงนี้ ถ้าเป็นแฟนคลับจริงก็มีพลังในการตามตื๊อรุนแรงมาก เพราะถ้าเป็นฉันคงไม่มีความอดทนและความพยายามในการทำอะไรแบบนี้
“ถ้าเขาประสงค์ร้ายกับเควินหรือตั้งใจก่ออาชญากรรม คงไม่อยู่รออย่างใจเย็นแบบนี้แน่ เพราะถ้าเควินแจ้งความก็โดนจับเท่านั้นเอง แสดงว่าน่าจะเป็นแค่แฟนคลับธรรมดา เลยไม่กลัวว่าถ้าโดนตำรวจรวบตัวจะทำให้เดือดร้อน”
“นั่นสิ เขาอาจจะอยากขอถ่ายรูป หรือแค่รอขอลายเซ็นก็ได้” ฝ้ายเห็นด้วยกับฉัน
ตอนที่ฉันกับฝ้ายกลับถึงห้องเควินยังนอนหลับอยู่ หลังจากนั้นต้ากับฝ้ายก็มานั่งทำงานอยู่ด้วยกันเงียบๆ ส่วนฉันก็นั่งตรวจการบ้านนักเรียนไปด้วยอารมณ์ฟุ้งซ่านที่พยายามควบคุมเอาไว้ เควินคงหมดแรงจริงๆ ถึงหลับสนิทขนาดนี้ในบ้านคนอื่นได้ลงคอ อันที่จริงเขาควรมีความหวาดระแวงบ้างนะ แล้วก็น่าจะรู้สึกได้ถึงรังสีประหลาดบางอย่างจากฉันด้วย หรือเควินอาจจะเป็นคนโลกสวยมากเว่อร์…
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ฉันเพิ่งหงุดหงิดกับข่าวเควินกับนาตาลีแอบคบกัน ซึ่งมันน่าเจ็บใจตรงที่นาตาลีเป็นสาวน้อยวัยใสลูกครึ่งไทย-อังกฤษที่เพิ่งอายุสิบเจ็ดปี ในขณะที่ฉันเลยวัยใสมานานหลายปีและอายุเท่ากับเควินพอดี ต่อมาทั้งคู่ก็ออกมาปฏิเสธข่าวแบบคนดังในวงการบันเทิงส่วนใหญ่ อ้างว่าเป็นแค่เพื่อน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเชื่อเรื่องนั้น ยกเว้นฉัน…ที่พร้อมจะเชื่อทุกคำพูดของเควินอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะฉันเป็นแฟนคลับประเภทที่จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อ และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อแล้วสบายใจ
‘แกจะหงุดหงิดข่าวเขากับนาตาลีไปทำไม ในเมื่อแกเป็นแค่แฟนคลับ ไม่ใช่แฟน’ ตอนนั้นต้าพยายามตอกย้ำเพื่อเตือนสติฉัน แต่ว่าฉันก็ไม่ค่อยจะมีสติ จึงโต้กลับไปว่า
‘คงหงุดหงิดเพราะฉันเป็นแฟนคลับที่อยากเป็นแฟนเขาจริงๆ’
‘เลิกฝันแล้วก็รีบไปโรงเรียนได้แล้วจ้าาา’
‘เออ…นาตาลีอายุพอๆ กับนักเรียนฉันเลยนี่นา นี่สเป็กเควินเด็กขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย’
‘เครียดไปแกก็เด็กลงไม่ได้หรอกปู รีบไปสอนนักเรียนเถอะ’
ก็จริงของนาง เครียดไปยิ่งแก่ง่ายหนักกว่าเดิมอีกต่างหาก…
“หิวรึเปล่าคะ ทานอะไรก่อนมั้ย ฉันซื้อของกินมาให้เยอะแยะเลย มีแต่ของที่เควินชอบทั้งนั้นเลยนะคะ ฉันเลือกมาให้อย่างดีเพราะเคยอ่านมาจากสัมภาษณ์”
นั่นคือสิ่งที่ฉันฝึกท่องในใจมานับร้อยๆ เที่ยว เพื่อเอาไว้พูดกับเควินตอนที่เขาออกมาจากห้องนอนฝ้าย แล้วในที่สุดตอนนี้ฉันก็ทำสำเร็จอย่างงดงาม แม้เสียงฉันจะสั่นๆ และมันก็ดูเปลือกปลอมจนไม่เป็นธรรมชาติเลยสักนิดเดียว
“ขอบคุณมากครับ” เควินตอบและยิ้มให้อย่างสุภาพ
หัวใจฉันเต้นระทึกรุนแรงเมื่อเฝ้ามองดูเควินที่มีหยดน้ำเกาะพราวบนใบหน้า ปลายผมเขาเปียกชื้น พอได้หลับเต็มอิ่มแล้วท่าทางเขาดูสดใสกว่าเมื่อเช้าหลายเท่า
“ผ้าเช็ดหน้าค่ะ”
ฉันตะลึงมองฝ้ายที่ยื่นผ้าขนหนูลายทางสีฟ้าขาวให้เควินด้วยใบหน้ายิ้มละไม นั่นมันผ้าเช็ดหน้าของฉันนี่ ฝ้ายช่างเป็นเพื่อนที่แสนดี แสนน่ารัก เหมือนนางฟ้านางสวรรค์มาโปรด ฉันรักเธอจริงๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นฉันซักแล้วและเพิ่งหยิบออกมาใช้เมื่อเช้านี้ กลิ่นจึงหอมสะอาดมีอนามัย ตอนนี้เควินกำลังใช้มันซับน้ำจากใบหน้าของเขา ลมหายใจของเขากำลังสัมผัสกับผ้าขนหนูเนื้อนุ่มของฉันอย่างรุนแรง…
ไม่นะ…ฉันรีบดึงตัวเองออกจากภวังค์อันน่าขนลุกแทบไม่ทัน!
“คุณน่าจะยังไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้า ก่อนจะกลับทานอะไรเสียหน่อยละกันนะคะ ตอนนี้เย็นมากแล้วด้วย ปูเพิ่งทำกับข้าวเสร็จพอดี” ฝ้ายชวนเควินทานข้าวเย็นด้วยกัน แล้วฉันก็ต้องลอบยิ้มอย่างยินดีเมื่อเขาตอบตกลง
“คุณทำเองเหรอครับ” เควินถามด้วยสีหน้าท่าทีเก๋ไก๋ราวกับมีกล้องจับภาพอยู่ตรงหน้า
ฉันหลุบตาลงมองผัดมะกะโรนีทะเลที่เพิ่งทำเสร็จเรียบร้อยบนโต๊ะพลางพยักหน้าตอบเขาด้วยความภาคภูมิใจ เควินกล่าวขอบคุณด้วยท่าทางที่ดูดีใจจริงๆ เขาคงหิวมากนั่นเอง ฉันคงต้องขอบคุณนิตยสารเล่มนั้นที่เคยถามเขาว่า ‘เมนูโปรดของคุณคืออะไร’
เควินตั้งหน้าตั้งตาทานอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนต้ากับฝ้ายก็ช่วยกันเยินยอฉันให้เขาฟังเสียยกใหญ่ แบบที่ว่าถ้าเควินไม่ใช่เควินแต่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ฉันคงขายออกแน่นอน แต่เขาคือเควิน ริชชี่ ต่อให้เพื่อนช่วยกันอวยจนไส้แตก ฉันก็ขายไม่ออกแน่นอน
แต่แค่เห็นเควินชอบผัดมะกะโรนีทะเลของฉันและทานมันด้วยท่าทางมีความสุขขนาดนี้ ฉันก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหลพราก เขาชอบถึงขนาดขอเติมถึงสามจานรวด ทำเอาฉันยิ้มไม่หุบจนเพื่อนพากันแซว ฉันจะเก็บเอาความประทับใจในวันนี้เอาไว้ตลอดกาล มีลูกก็จะเล่าให้ลูกฟัง มีหลานก็จะเล่าให้หลานอีก แล้วก็จะทำเป็นบันทึกพงศาวดารไว้ให้ทายาททุกลำดับได้อ่าน
หลังมื้อเย็น เควินก็อนุญาตให้พวกเราถ่ายภาพร่วมเขาเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เหมือนเขาไม่กลัวเลยว่าถ้าเกิดมีภาพหลุดออกไปให้ใครเห็นจะกลายเป็นข่าววุ่นวาย พวกเราจึงช่วยเซฟเขาด้วยการจัดโพสกันอย่างเหมาะสม ไม่ยืนหรือนั่งชิดเกินไป ไม่แตะเนื้อต้องตัวเขา ไม่เลือกโลเกชั่นที่สุ่มเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด แล้วตอนถ่ายภาพคู่กันฉันก็ต้องหักห้ามใจอย่างมากที่จะไม่ลวนลามเขาแม้แต่ปลายก้อย และฉันภูมิใจจริงๆ ที่ตัวเองสามารถควบคุมกิเลสได้
เควินยอมเซ็นชื่อลงบนสิ่งของมากมายที่ฉันขนออกมากองโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ แถมยังไม่ขี้เกียจที่จะยิ้มให้ฉันที่นั่งมองเขาด้วยสายตาปลาบปลื้มด้วยความใจดีและใจเย็นสุดๆ ที่ฉันพยายามข่มความขัดเขินเอาไว้และพยายามกลั้นใจทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่สติหลุด ก็เพราะรู้ดีว่าโอกาสแบบนี้จะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง
มีสายโทรเข้ามาที่มือถือเควินเป็นระยะ เขาขอลุกไปคุยโทรศัพท์ครั้งละประมาณสิบนาที กระทั่งเครื่องร้องเตือนว่าแบตเตอรี่อ่อน ต้าจึงเสนอให้เขายืมสายชาร์จมือถือรุ่นเดียวกันจากเธอ ฉันรู้สึกรำคาญตัวเองขึ้นมาทันทีที่นึกอิจฉายายต้าอย่างไม่มีเหตุผลเพราะเรื่องแค่นี้ ฉันชักจะอาการหนักเกินไปแล้ว
เควินขลุกอยู่กับเราจนค่ำมืดและไม่มีทีท่าว่าจะอยากกลับบ้านง่ายๆ ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยกับการที่ต้องมาเสียเวลาอยู่กับเราที่นี่ทั้งวัน แม้ว่าเควินจะไม่มีออร่าของความเจ้าชู้อยู่เลย แต่จริงๆ แล้วก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง การตกอยู่ในวงล้อมของสาวๆ ที่แสดงตัวว่าปลื้มเขาอย่างออกนอกหน้า อาจจะทำให้เขารู้สึกดีอยู่บ้างก็ได้ แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะอยากอยู่รอจนกว่าจะแน่ใจจริงๆ ว่าพวกที่ตามเขามาเมื่อเช้าจะถอดใจกลับไปแล้ว
เควินมองนาฬิกาข้อมือเมื่อเอนด์เครดิตเลื่อนขึ้นมาบนจอทีวีหลังจากหนังที่เราดูจบลง ตอนนี้สามทุ่มแล้ว ต้าหยิบรีโมตมากดช่องรับสัญญาณจากเคเบิลทีวีและปิดเครื่องเล่นดีวีดี
“รบกวนทุกคนมาทั้งวันแล้ว ผมคงต้องกลับแล้วล่ะครับ”
“จะกลับแล้วเหรอคะ” ฉันเผลอหลุดปากถามเขาด้วยเสียงละห้อยโหยหาอย่างลืมตัว เควินหันมาพยักหน้าพลางยิ้มให้
“แต่ว่า…” เขาเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณปูเกินไป ก่อนกลับผมอยากทานผัดมะกะโรนีทะเลอีกจานได้ไหมครับ”
ฉันตะลึงมองเขาอย่างเหลือเชื่อ ไม่คิดเลยว่าเควินจะน่ารักกับแฟนคลับขนาดนี้ ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาหิวจริงๆ หรือแค่ทำเพราะอยากให้ฉันดีใจ แต่ฉันโคตรจะดีใจเลย
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ปูซื้อของมาเตรียมไว้ทำให้เควินเต็มเลย จะทานอีกกี่จานก็ได้ ปูต้องอยากทำให้เควินอยู่แล้วล่ะ”
ต้าเพื่อนรัก ฉันรักเธอ
หลังจากนั้นฉันก็ไปเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำผัดมะกะโรนีทะเลให้เควินหนึ่งที่ ส่วนพวกเราทั้งสามยังคงอิ่มตื้อจากมื้อเย็น เควินช่างเป็นซูเปอร์สตาร์ที่กระเพาะโตอย่างน่าทึ่ง
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
เสียงถามจากร่างสูงที่เดินเข้ามาเงียบๆ ทำเอาฉันตกใจแทบทิ้งชามใส่กุ้งกับปลาหมึกสดลงบนพื้นครัวอเนกประสงค์ของฝ้าย
“ไม่มีค่ะ คุณไปนั่งดูทีวีรอดีกว่า” ฉันบอกแล้ววางชามลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนเหลือบมองไปหน้าทีวี ต้ากับฝ้ายไม่ได้สนใจมองมาทางเราเลย
“ไม่เอา ผมอยากดูคุณทำอาหารมากกว่า” เควินบอกพลางนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ตัวหนึ่ง
ฉันต้องรีบซ่อนรอยยิ้มดีใจสุดขีดเอาไว้แทบไม่ทัน หัวใจเต้นตึกตักเหมือนจะระเบิด จากที่หวั่นไหวมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยิ่งหนักกว่าเดิมอย่างยั้งไม่อยู่ สายตาคมกริบของเควินทำให้รู้สึกระทดระทวยจนยืนแทบไม่อยู่ แต่ก็ต้องยืนให้อยู่ เพราะต้องทำผัดมะกะโรนี
“คุณต้ากับคุณฝ้ายบอกว่าคุณปูเป็นครูสอนชั้น ม.ปลาย ท่าทางยังเด็กอยู่เลย”
ฉันปลื้มใจกับคำชมของเควินมากที่เขาบอกว่าฉันดูเด็ก ถึงจะฟังออกว่าเป็นแค่คำชมตามมารยาทก็เถอะ ฉันอยากเชื่อในสิ่งที่ทำให้ตัวเองสบายใจ
“ฉันเพิ่งเริ่มสอนได้ปีเดียว” ฉันบอกเขาเสียงเบา พยายามบังคับไม่ให้สั่น ไม่อยากดูโก๊ะกังถังแตกต่อหน้าเขามากไปกว่านี้ อย่างน้อยก็อยากดูปกติ “คุณไปนั่งรอก่อนก็ได้นะคะ คงยังไม่เสร็จง่ายๆ” ไม่ได้อยากไล่ให้เขาไปห่างๆ เลย แต่ถ้าเขายังอยู่ใกล้ๆ คงมีผลต่อสติสตังฉันจนรสชาติผัดมะกะโรนีออกมาแย่
“ขอรอตรงนี้ดีกว่า ผมอยากดูว่าคุณทำยังไงบ้าง ปกติผมจะติดรสชาติที่แม่ทำให้ทานมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยชอบอาหารที่คนอื่นทำเลย จนได้ทานของคุณวันนี้”
คืนนี้พอเควินกลับไปแล้ว ฉันจะคงนอนตายอย่างสงบอยู่บนเตียงท่ามกลางรูปภาพของเขาที่ติดอยู่ทั่วห้อง ฉันรู้ว่าเขากำลังหว่านเสน่ห์ให้แฟนคลับอย่างฉันยิ่งคลั่งไคล้หนักกว่าเดิม แต่แฟนคลับอย่างฉันชอบมาก ฉันโอเคทุกอย่าง
“วันนี้ผมอาจจะโชคร้ายนิดหน่อย แต่โชคดีมากที่มาเจอพวกคุณ”
นี่คงเป็นวิธีการสนทนาอย่างใกล้ชิดกับแฟนคลับในรูปแบบหนึ่งของเควิน มิน่าเขาถึงมีแต่คนรักมากมายเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นเพราะเขาวางตัวได้น่าประทับใจอย่างนี้นี่เอง
“คุณหายมาทั้งวันแบบนี้ ที่บ้านไม่เป็นห่วงแย่หรือคะ” ฉันรู้ว่าเขาอยู่กับน้องชายแค่สองคนที่บ้าน
“โทรคุยกันแล้วครับ น้องชายผมก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน”
เควินเหมือนมิได้รับรู้เลยว่าการที่เขามาอยู่ใกล้ขนาดนี้อาจทำให้หัวใจฉันหยุดเต้นได้ตลอดเวลา เขาคุยกับฉันอย่างเป็นกันเองและเป็นปกติเพราะไม่ได้คิดอะไรด้วย ในขณะคนที่คิดไปไกลมาตั้งแต่เช้าอย่างฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้วล่ะ
“คุณปูเป็นครูสอนวิชาอะไรหรือครับ” เควินเป็นฝ่ายหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้เงียบเกินไป
“ภาษาอังกฤษค่ะ”
“ถนัดสอนภาษาไทยให้ฝรั่งรึเปล่าครับ ผมอยากขอมาเรียนด้วยบ้าง”
ฉันถึงกับมือไม้อ่อนเผลอทำตะหลิวหลุดมือตกใส่กระทะค่อนข้างแรง เควินคงตกใจจึงเงียบไปเลย ฉันหน้าร้อนผ่าวอย่างอับอาย ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าตัวเองทำให้ฉันเสียอาการอย่างหนัก เพียงแต่ฉันพยายามทำเหมือนปกติดีต่อหน้าเขา เขาคงไม่ค่อยคุ้นเคยกับ ‘ตัวตื่นตูม’ แบบฉันสักเท่าไหร่ และตอนนี้อาจจะหลอนมาก
“คุณสามคนรู้จักกันมานานแล้วหรือครับ” เควินเปลี่ยนเรื่องคุย เลิกขอมาเรียนภาษาไทยด้วยอีก
“ตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วค่ะ ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่โอนย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ตอนมาใหม่ๆ ฉันไม่ค่อยคุ้นกับที่นี่ แต่จะมีต้ากับฝ้ายคอยช่วยเหลือเสมอ จนถึงมหาวิทยาลัยเราก็สอบได้ที่เดียวกันแต่คนละคณะ แต่เราก็ยังคบกันมาจนถึงตอนนี้” ฉันอาจจะเล่าละเอียดเกินไป เควินน่าจะงงเล็กน้อย “แต่ต้ากับฝ้ายเขารู้จักกันมาก่อนค่ะ ครอบครัวเขาสนิทกันมานานแล้ว”
“ดีจังนะครับ ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่เลย พูดจริงๆ ก็เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีเพื่อนเลยด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงเควินฟังปกติดี แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะลอบมองตาเขาเพื่อค้นหาแววเศร้าสลดของคนขาดเพื่อน แต่ดูเหมือนเขาจะสดใสดี คงไม่มีใครอารมณ์อ่อนไหวเท่าฉัน
“แล้วเพื่อนคนที่อยู่คอนโดฯ นี้ล่ะคะ คนที่ลืมคีย์การ์ดไว้ในรถคุณ”
“เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานมากกว่าครับ ไม่ใช่เพื่อนที่คบกันแบบพวกคุณสามคน”
ฉันทำเสียงรับรู้เบาๆ
“ห้องนี้น่าอยู่มากเลยนะครับ อาจจะเป็นเพราะคุณสามคนทำให้บรรยากาศมันน่าอยู่ขึ้น”
‘น่าอยู่ก็มาอยู่ด้วยกันสิคะ นอนที่ห้องฉันก็ได้ ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ’
ล้อเล่นนน ฉันไม่ได้พูดออกไปหรอก แต่ก็เป็นสิ่งที่อยากพูดออกไปจริงๆ คิดว่าชาติหน้าอาจจะกล้าพูด
“บ้านที่ไทยมีผมกับน้องชายอยู่ด้วยกันสองคน น้องผมยังเรียนอยู่ แต่ก็ชอบรับงานถ่ายแบบเดินแบบถ่ายโฆษณา บอกว่าให้เรียนจบก่อนค่อยทำก็ไม่ฟัง วันๆ เราแทบไม่เจอหน้ากัน” เควินเล่าเรื่องของเขาให้ฟังด้วยน้ำเสียงแบบชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย “ตอนมาใหม่ๆ ผมมาอยู่กับน้องชายของแม่ แต่เขาย้ายไปอยู่อเมริกาแล้ว พอน้องชายผมจบไฮสกูลก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อน ส่วนพ่อแม่ผมนานๆ ทีถึงจะเจอกัน”
ฉันอยากบอกเควินเหลือเกินว่าประวัติส่วนตัวพื้นๆ พวกนี้แฟนคลับอย่างฉันรู้หมดทุกอย่าง ขอฟังเรื่องส่วนตัวแบบท็อปซีเคร็ตไม่มีหรือไงนะ แต่จริงๆ การได้ฟังเรื่องพื้นๆ จากปากเขาโดยตรงแบบนี้มันน่าดีใจมาก บางทีฉันอาจรู้ชีวประวัติส่วนตัวของเควินมากกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ เพราะฉันเคยอ่านมาหมดทั้งบทสัมภาษณ์ของพ่อ แม่ น้องชาย น้าชาย และคนรอบตัวเขา
เควินตัดสินใจมาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในเมืองไทยหลังจากจบไฮสกูลเพราะเขาเริ่มมีงานในวงการบันเทิงไทยตอนมาเที่ยวเมืองไทยช่วงเรียนไฮสกูล
แม้จะเป็นศิลปินยอดนิยมที่มีงานล้นทะลักเขาก็สามารถเรียนจบตามเกณฑ์ปกติได้ หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาก็ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมาเรื่อยๆ หลายคนคาดเดาว่าเควินไม่มีวันตัดขาดจากวงการบันเทิงและไม่มีทางกลับไปเป็นวิศวกรตามสายงานที่เรียนมา เพราะเขาเป็นศิลปินที่ครบเครื่องและเพียบพร้อมมากพอที่จะก้าวหน้าอยู่ในวงการนี้ต่อไปได้อีกยาวนาน
ในที่สุดผัดมะกะโรนีทะเลหน้าตาสวยปิ๊งก็เสร็จสมบูรณ์แม้ว่าแม่ครัวจะมีสภาพอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อยเพราะผู้ชาย การต้องใกล้ชิดกับเควินตามลำพังภายในครัวแคบๆ มีผลต่ออารมณ์ฉันค่อนข้างมาก ทว่าอาหารของฉันก็ออกมาดีอย่างน่าพอใจ
“เควินนี่ดีจังนะ ดึกป่านนี้ยังกินอาหารแคลอรีสูงแบบนี้ได้โดยไม่อ้วน” ต้าเดินมาเปิดตู้เย็นในครัวพลางมองผัดมะกะโรนีจานโตของเควินอย่างทึ่งจัด
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมต้องทำงานหนัก แล้วก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นกินจุขนาดนี้ยังไงก็อ้วน” เควินอธิบายก่อนจะลงมือรับประทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย
“ท่าทางเควินจะชอบผัดมะกะโรนีของปูเป็นพิเศษเลยนะคะ” ฝ้ายตั้งข้อสังเกตยิ้มๆ
“นั่นสิ จ้างยายปูไปเป็นแม่ครัวที่บ้านสิ ครั้งละร้อยสองร้อยยายปูก็ไปแล้วล่ะค่ะ”
เควินหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของต้า แต่หน้าฉันร้อนฉ่าเหมือนกระทะหอยทอดทันที ที่ต้าพูดมันก็น่าฟังอยู่หรอก แต่ว่าที่มันบอกว่าร้อยสองร้อยก็ไปนั่นก็ดูถูกฉันเกินไป เควินดูขบขันแต่ฉันก็ไม่อยากเป็นตัวตลกในสายตาเขา ฉันอยากเป็นผู้หญิงที่ดูดีมีเสน่ห์สำหรับเขามากกว่า…
เดี๋ยวนะ ฉันเป็นแฟนคลับเขา และภูมิใจกับการเป็นแฟนคลับ ดังนั้นเขาจะคิดว่าฉันตลกดีหรือเห็นว่าฉันมีเสน่ห์มันก็ไม่ได้ต่างกัน
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย เควินก็ขอบคุณพวกเราและขอตัวกลับอีกครั้ง คราวนี้ฉันรู้สึกใจหาย แม้ว่าวันนี้จะมีความสุขมากแต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไงก็ไม่พอ ฉันเผลอมองตามเควินตาละห้อยอยู่นานจนเขาหันมาสบตาเข้าอย่างจัง เขายิ้มให้อย่างสุภาพโดยไม่ได้พูดอะไร ฉันเลยหน้าแดงเพราะทั้งเขินทั้งอายและเพราะคิดไปไกล
แต่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น เควินขอยืมโปรแกรมตกแต่งภาพรุ่นใหม่ที่ฝ้ายเพิ่งซื้อมา เพื่อเอาไปใช้กับคอมพิวเตอร์ที่บ้านของเขา เขาแลกเบอร์โทรศัพท์และอีเมลแอดเดรสกับฝ้ายเพื่อการติดต่อคืนโปรแกรมในภายหลัง ซึ่งตอนที่เควินเอ่ยปากออกมาว่ากำลังอยากใช้โปรแกรมนี้ ต้าก็รีบเอาของฝ้ายมายัดใส่มือเขาทันที
เอาอีกแล้ว มันแย่จริงๆ ที่ฉันรู้สึกอิจฉาฝ้ายที่เควินยืมแผ่นโปรแกรมของเธอไป จากที่ฉันเคยอารมณ์อ่อนไหวเป็นปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นหลายเท่าภายในวันเดียวเพราะเควิน แต่อย่างน้อยฉันก็มีความหวังว่าอาจได้พบกับเควินเหมือนวันนี้อีกครั้งเพราะแผ่นโปรแกรมที่เขายืมฝ้ายไป
ขอขอบคุณช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์…
บทที่ 3 ฟุ้งซ่าน
พักนี้เพื่อนรักทั้งสองคนของฉันมีอาการ ‘เควินฟีเวอร์’ กันอย่างหนัก จนแฟนคลับตัวจริงอย่างฉันถึงกับทำตัวไม่ถูก
เควินยังไม่ได้คืนโปรแกรมสำเร็จรูปที่ยืมฝ้ายไป แต่ตอนนี้ต้ากับฝ้ายจะส่งอีเมลไปทักทายเขาแทบทุกวัน เควินพยายามตอบกลับอย่างสม่ำเสมอแม้จะออกตัวว่าไม่ค่อยมีเวลาว่าง บางครั้งพวกเขาก็ออนไลน์คุยกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง โทรหากันบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้ากับฝ้ายช่วยกันหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายสองคนที่ขับรถตามเควินวันนั้นมาให้ ก็ยิ่งทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้าไปขอคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดของทางนิติบุคคลของคอนโดฯ เพื่อสังเกตดูพฤติกรรมของชายต้องสงสัยในวันนั้น แล้วเอาทะเบียนรถที่มีไปค้นข้อมูล สืบจนรู้ว่าทั้งสองคนเป็นใครมาจากไหน แล้วก็สรุปได้ในที่สุดว่าพวกเขาน่าจะไม่ใช่คนที่มีพิษภัยอะไร และเป็นแฟนคลับของเควินจริงๆ ไม่ใช่บุคคลที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงกับเควินอย่างที่เรากลัว ถึงแม้จะเป็นแฟนคลับที่โรคจิตไปหน่อยก็เถอะ เอาจริงๆ ฉันก็อาจจะคลั่งไคล้เควินในระดับเดียวกับพวกนั้นก็ได้…
ด้วยเหตุผลทั้งหมด ทำให้ต้ากับฝ้ายมีความสนิทสนมกับเควินในระดับที่ทำให้ฉันได้แต่อิจฉา ลึกๆ แล้วฉันก็อยากร่วมสนิทด้วย แต่ไม่รู้ทำไมต่อมกระดี๊กระด๊าถึงไม่ยอมทำงานเลย จะมีก็แต่ต่อมอารมณ์แปรปรวนที่หลั่งความขี้อิจฉากับความหงุดหงิดออกมาแทน ทุกวันนี้จึงได้แต่เฝ้ามองต้ากับฝ้ายสนุกกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับเควินอยู่ห่างๆ เหมือนตัวเองเป็นแค่คนนอกเพราะมันไม่มีช่องว่างให้แทรกเข้าไปได้เลย
ทั้งที่ฉันชอบบอกตัวเองว่าให้เชื่อในสิ่งที่ทำให้สบายใจเอาไว้ แต่มนุษย์อารมณ์อ่อนไหวที่บางครั้งก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแบบฉันกลับมีวิธีคิดแปลกๆ เมื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต มีแต่ความหวาดระแวงและไม่มั่นใจ ในขณะที่ตอนนี้ต้ากับฝ้ายคงไม่รู้สึกเลยว่าฉันมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่พบกับเควินในวันนั้น จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพรจากปาฏิหาริย์ที่ได้มาให้คุณหรือให้โทษกันแน่
พักนี้ฉันคิดถึงเควินแบบแปลกๆ อย่างหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ คิดเลยเถิดไปไกลเกินกว่าที่เคยจินตนาการอย่างยั้งตัวเองไม่อยู่ มันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่เคยมีต่อเขาแบบแฟนคลับกับศิลปินเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคือความรัก ความหลง หรือว่าความสับสนในชีวิตกันแน่ แต่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติมากขึ้นทุกขณะเวลาคิดถึงเรื่องเควิน ความฝันในแต่ละคืนก็มีแต่เขาเต็มไปหมด เหมือนความปรารถนาในส่วนลึกกำลังพรั่งพรูล้นเอ่อจนไม่อาจสะกดกลั้น เป็นอารมณ์ความรู้สึกต่อเควินที่เข้มข้นรุนแรงกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัวจนน่าตกใจ
ฉันเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่อาจเป็นอาการผิดปกติทางจิตที่ควรรีบไปพบแพทย์ เวลาที่คิดถึงและโหยหาเควินขึ้นมาอย่างผิดปกติขึ้นมาฉันจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังป่วยเป็นโรคจิตเภทชนิดใดชนิดหนึ่ง ถึงจะพยายามเตือนตัวเองให้มีสติสักแค่ไหน แต่ก็ยังคงคิดฟุ้งซ่านถึงเขาไม่เลิก จนฉันเริ่มกลัวตัวเองมากขึ้นและมากขึ้น
แต่ขืนเล่าให้ใครฟังคงไม่วายโดนหัวเราะเยาะและหาว่ามันเป็นแค่อาการของคนอ่อนหัดที่ไม่เคยมีความรัก พอตกหลุมรักใครคนหนึ่งเข้าก็เลยไปไม่เป็นและควบคุมตัวเองไม่ได้ แค่ได้ใกล้ชิดกับศิลปินที่ตัวเองหลงใหลเพียงวันเดียวก็เพ้อเจ้อจนประสาทกลับไปหมด
ฉันได้แต่หวังว่าที่ตัวเองอาการหนักขนาดนี้เป็นเพราะอยู่ๆ ก็ได้เจอและใกล้ชิดกับเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ตื่นเต้นตกใจจนเสียขวัญไปหมด แล้วอีกไม่นานก็จะปรับสภาพได้เอง และความรู้สึกอ่อนไหวจนเกินเหตุเหล่านี้ก็จะจางหายไป…
จริงๆ ฉันควรปรึกษาเพื่อน แต่แค่คิดว่าจะคุยเรื่องพวกนี้ให้ต้ากับฝ้ายฟังขนก็ลุกชันไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกต่อต้าน ต่อให้สนิทกันมากแค่ไหนแต่คนอย่างฉันก็ไม่ใช่คนเปิดเผยที่จะพูดเรื่องแบบนี้กับใครได้ง่ายๆ แต่ในที่สุดประสบการณ์ครั้งนี้ก็สอนฉันให้รู้ว่าคนเราจำเป็นต้องมีใครสักคนไว้คอยพูดทุกอย่างด้วยได้อย่างไม่ต้องระวัง ไม่อย่างนั้นก็ต้องพึ่งพาจิตแพทย์สถานเดียว
หรือว่าตอนนี้ฉันควรจะรีบหาแฟนสักคนจริงๆ เอาคนที่ธรรมดาเหมือนกัน เข้ากันได้ทุกเรื่อง และยอมรับได้ทุกอย่างที่ฉันเป็น แต่ก่อนอื่นก็คงต้องตัดความรู้สึกฟุ้งซ่านเพราะเควินทิ้งก่อน อย่างน้อยก็ควรลดอาการคิดถึงเขาอย่างรุนแรงผิดปกติตอนนี้ลงให้ได้สักครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ทำเพื่อสุขภาพจิตของตัวเอง ฉันก็ควรกลับมามีสติเพื่อพ่อแม่และนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของฉันด้วย
‘อาจารย์ขา ดูนี่สิคะ เควินมีข่าวกับนาตาลีอีกแล้ว’ นักเรียนของฉันเอาหนังสือพิมพ์ข่าวบันเทิงมาให้ดูช่วงพักกลางวันเมื่อวานนี้ ตอนนั้นฉันได้แต่ยิ้มกับนักเรียนเหมือนไม่ใส่ใจ ในขณะที่ความหึงหวงแล่นพล่านจนปั่นป่วนในกระเพาะอาหาร… พอได้สติก็ตกใจมากที่ตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้น
ในที่สุดฉันอาจจะเป็นบ้าไปจริงๆ ก็ได้ ถ้าหากต้องปั้นหน้าโกหกใครๆ และเก็บกดความรู้สึกทั้งหมดนี้เอาไว้ข้างในคนเดียวจนล้นทะลัก เพราะฉันคิดว่าอาการตอนนี้มันอาจจะหนักพวกแฟนคลับโรคจิตที่ชอบส่งแหวนหมั้นและชุดแต่งงานไปให้ศิลปิน หรือชอบประท้วงโดยการทำร้ายร่างกายตัวเองต่อหน้าสาธารณชน ไม่ก็ส่งจดหมายลาตายไปให้ดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ฯลฯ
แต่ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น และไม่อยากให้ตัวเองเป็นหนักยิ่งกว่านั้น เพราะมันน่ากลัวเกินไป ฉันจะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ซึ่งอาจต้องเลิกคิดถึงเรื่องเควินโดยเด็ดขาด จะเอาอนาคตอันสดใสของตัวเองมาทิ้งเพราะการหมกมุ่นทุรนทุรายถึงผู้ชายคนเดียวไม่ได้ ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะสายเกินไป
ตอนนี้ฉันถึงขนาดพาลโกรธไปถึงเครือข่ายมือถือที่เคยส่งข้อความมาบอกให้ฉันขอพรในคืนนั้น ซึ่งพอฉันอธิษฐานแล้วก็ได้เจอกับเควินจริงๆ แล้วก็เป็นบ้า… ถ้าไม่ได้ขอพรแบบนั้นไปก็อาจจะไม่ต้องพบกับเควินอย่างใกล้ชิดจนทำให้เสียสติ แล้วตอนนี้ฉันก็คงยังเป็นแค่แฟนคลับธรรมดาคนหนึ่งที่ปลาบปลื้มศิลปินในดวงใจอย่างคนปกติทั่วไป แทนที่จะเป็นบ้า
“ปู นั่นทำอะไรอยู่ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” ฝ้ายเคาะประตูถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงดังโครมครามจากในห้องนอนฉัน
ฉันชะงักมือที่บรรจงเรียงซ้อนรูปภาพเควินทั้งหมดไว้บนเตียงกว้าง “ไม่ได้มีอะไร ฝ้ายเข้ามาสิ”
เป็นไปตามคาด ฝ้ายเข้ามายืนตะลึงมองพฤติกรรมของฉันอย่างไม่เชื่อสายตา ข้าวของเกี่ยวกับเควินทุกอย่างถูกกองรวมกันอยู่บนเตียง จนห้องฉันโล่งโปร่งตาขึ้นเป็นกอง
“ปู… นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร แค่ทำความสะอาดห้อง” ฉันยิ้มขันกับอาการของอีกฝ่าย แม้จะสะเทือนใจอยู่ลึกๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าอาการตื่นตระหนกของฝ้ายช่วยสะกิดให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาอีกหน่อย ลืมตาตื่นจากการหลงละเมอเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
“อ๋อ รู้แล้ว ปูได้รูปใหม่ของเควินมาใช่ไหมล่ะ ก็เลยเอารูปเก่าออก หรือแค่อยากแกะออกมาติดใหม่เพื่อเปลี่ยนมุม…”
“เปล่าฝ้าย ไม่ใช่อย่างนั้น คือว่าตอนนี้ฉันเปลี่ยนมาชอบ เดวิด เบ็กแฮมแล้ว ก็เลยต้องเก็บรูปพวกนี้ไว้ก่อน” มุกนี้เพิ่งคิดได้เมื่อประมาณสองวินาทีก่อน
ฝ้ายเบิกตาโตอีกครั้ง แต่สีหน้างงงันของเธอดูน่ารักอย่างประหลาดจนฉันอดขำออกมากิ๊กหนึ่งไม่ได้
“ตอนนี้ชอบเบ็กแฮมมากกว่าเควินอีกเหรอ”
“เอ่อ ก็ อื้อ ใช่…” ฉันตอบอึกอัก
ฝ้ายวิ่งปรู๊ดหายไปอย่างรวดเร็วก่อน แล้วลากเอาต้าเข้ามาด้วยอีกคน ซึ่งฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับการทำแบบนี้เลยจริงๆ ก็ต้ามันน่ากลัว
“อย่าบอกว่าแกคิดจะโอนกรรมสิทธิ์ความชอบของตัวเองมาให้พวกเรา เพราะเห็นว่าตอนนี้เรากำลังเครซี่เควิน” ต้าถามด้วยสีหน้าขบขัน ดวงตาเป็นประกาย ในขณะที่ฉันได้แต่หัวเราะขื่น “ตอนที่แกชอบเควินพวกเราไม่ได้พิศวาสไปด้วย แต่พอพวกเราเริ่มหลงเสน่ห์เขา แกก็เลิกชอบไปดื้อๆ เนี่ยนะ”
“เรื่องของฉัน” ฉันเริ่มเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ต้ากระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง ขมวดคิ้วมองมาด้วยสายตาจ้องจับผิดอย่างหนัก ชนิดที่ว่าทำให้ฉันอึดอัดจนหายใจลำบาก
“บอกมาตามตรงเถอะว่าแกเกิดนึกอะไรขึ้นมาถึงได้ทำแบบนี้ แล้วไอ้มุกเดวิด เบ็กแฮมอะไรนั่นก็ไม่ต้องเอามาอ้างกับฉันเลยนะ ไม่หลงเชื่อง่ายๆ อย่างฝ้ายหรอก”
ฝ้ายหันไปค้อนเคืองต้าทีหนึ่ง
“คือว่า…” ฉันตั้งท่าอธิบายอย่างจริงจัง “ฉันแค่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูภูมิฐานสมกับการเป็นครูมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะการไปมัวเพ้อถึงดารามันเริ่มมีผลกระทบต่อการทำงานแล้ว ตั้งแต่เจอนักเรียนตอนไปคอนเสิร์ตฉันก็ถูกแซะถูกแซวมาตลอดจนทำตัวไม่ถูก แถมยังมีคนหาว่าฉันตอแหลที่แอ๊บมาดเข้มตอนอยู่โรงเรียน แต่แอบไปกรี๊ดผู้ชายแบบเสียสติอยู่หน้าเวที ไม่ว่าจะอธิบายยังไงก็ไม่มีใครฟัง เด็กๆ ก็ชอบเอาเรื่องของเควินมากรี๊ดกร๊าดกับฉันให้ครูคนอื่นเห็นบ่อยๆ มันเลยเสียการปกครองไปหมดตอนนี้”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ” ต้าพึมพำด้วยท่าทางคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่าจะคล้อยตามเหตุผลของฉันบ้างแล้ว
“อื้อ” ฉันพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง รู้สึกสบายใจที่อย่างน้อยเหตุผลของฉันก็ไม่ใช่เรื่องโกหก
“แล้วแกจะไม่ตอบเมลที่เควินส่งมาเลยหรือ อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อน”
“ทำไมฉันต้องตอบ ก็เขาส่งมาให้พวกแกสองคนไม่ใช่รึไง แล้วช่วงนี้งานฉันก็เยอะมากด้วย ไม่มีเวลาทำอะไรแบบนั้นหรอก”
ต้านิ่วหน้ามองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์แบบที่ฉันไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนหายใจติดขัดอีกแล้ว
“ฉันว่า…แกดูฟุ้งซ่านแล้วก็ดูสับสนในชีวิตแปลกๆ” ต้าสรุปแล้วเด้งตัวลุกจากที่นอนอย่างคล่องแคล่ว
กรี๊ดดด ทำไมมันถึงฉลาดอย่างนี้เนี่ย!
“แต่อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เควินจะแวะมาที่นี่ แกคงไม่ได้คิดจะตัดเป็นตัดตายชนิดที่ว่าจะไม่ยอมพบหน้าเขาอีกเลยใช่ไหม”
ได้ยินดังนั้นแล้วฉันก็ใจหายวูบจนอึ้งงันไป ความรู้สึกหวั่นไหวแบบนี้มันน่ารำคาญจริงๆ แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้าให้เรียบเฉยที่สุด “ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะออกไปไหนรึเปล่า”
“อย่ามาทำเป็นเย็นชาหน่อยเลยยายปู ฉันว่าพรุ่งนี้พอได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งแกก็คงเสียอาการเหมือนเดิมนั่นแหละ
ฉันจะไม่ยอมเสียอาการตามที่ยายต้าคาดการณ์ไว้เด็ดขาด เพราะฉันจะไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเควินอีกต่อไปแล้ว ฉันจะตั้งสติให้ดี จะแข็งแกร่ง และเอาชนะความอ่อนไหวของตัวเองให้ได้เลยคอยดู
ตอนนี้ฉันมีอยู่แค่สองทางเลือก คือยับยั้งความรู้สึกที่มีต่อเควินไว้ให้ได้แล้วก็ตัดใจจากเขาซะ กับรีบไปรักษาอาการทางจิต ซึ่งแน่นอนว่าฉันยังไม่อยากไปพบจิตแพทย์
แต่ทำไมฉันต้องตื่นเต้นและคิดถึงแต่เรื่องเควินจะมาที่นี่ตลอดเวลาขนาดนี้ด้วยเนี่ย ดังนั้นเมื่อฉันพบว่าตัวเองพยายามปล่อยวางแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ จึงต้องหาสิ่งอื่นมาดึงความสนใจ…
ฉันรวบรวมสมาธิเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจโดยการโทรศัพท์ถึงแม่ แล้วก็พบว่ามันช่วยบรรเทาความฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี แม่บอกให้แวะไปเยี่ยมป้ามณี ญาติผู้ใหญ่ที่ฉันเคยอาศัยอยู่ด้วยสมัยที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ใหม่ๆ เพราะตอนนี้ป้ามณีอยู่คนเดียว เนื่องจากลูกสาวของป้ามณีที่อายุน้อยกว่าฉันสองสามปีเพิ่งหนีตามผู้ชายไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
ไม่อยากเชื่อเลยว่าสมัยนี้ยังมีผู้หญิงที่ตัดสินใจหนีตามผู้ชายอยู่อีก ฉันจำได้ว่า ‘พิมล’ ลูกสาวของป้ามณีเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยมาก ตอนฉันอาศัยอยู่ด้วยเราไม่ค่อยสนิทกัน เพราะพิมลชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวเงียบๆ เพื่อทำงานศิลปะที่เธอหลงใหล ฉันไม่ค่อยเข้าใจความเป็นพิมลมากนัก แต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะกล้าทำเรื่องแบบนั้น… หรือจริงๆ แล้วอาการของฉันที่เกิดจากเควิน ไม่ได้ผิดปกติจนอาจเป็นโรคจิตเภทอย่างที่นึกกลัว เพราะการตกหลุมรักใครสักคนจนขาดสติ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปและยากที่จะควบคุมความรู้สึก เพียงแต่ว่าอาการของฉันอาจจะออกแนวเก็บกดมากเกินไปเท่านั้นเอง…
ตกลงว่าวันนี้ฉันจะออกไปเยี่ยมป้ามณี แต่ก่อนออกไปต้องเขียนจดหมายแนบรูปถ่ายเพื่อส่งถึงพ่อกับแม่ด้วย เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทั้งสองคนคงดีใจถ้าได้เห็นรูปถ่ายที่ฉันดูสุขภาพดีมีความสุขแบบนี้ มันเป็นรูปที่เควินถ่ายให้ตอนเขามาขอความช่วยเหลือจากเราในวันนั้น เป็นรูปที่มีฉันกับต้าและฝ้ายนั่งเรียงกันที่โซฟา ตอนที่ถูกเควินมองผ่านเลนส์กล้องดิจิตอล ฉันตื่นเต้นมาก ประหม่าจนมือเย็นไปหมด แล้วก็เขินจนแก้มแดงเปล่งปลั่งแบบมีเลือดฝาดอย่างเป็นธรรมชาติ ดูสุขภาพดีสุดๆ ไปเลยไหมล่ะ
“นั่นแกจะไปไหน เควินกำลังมาแล้วนะ เขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้” ต้าที่ตอนนี้มาอยู่ในห้องฝ้ายแล้ว ร้องโวยวายออกมาทันทีเมื่อเห็นฉันเดินออกจากห้องนอนในลักษณะที่เดาได้ว่ากำลังจะออกไปข้างนอก
“สรุปว่าตอนนี้ปูไม่ได้ชอบเควินแล้วจริงๆ เหรอ” ฝ้ายทำหน้าเศร้า เสียงหวานใสฟังดูหดหู่จนฉันพลอยห่อเหี่ยวไปด้วย
ฉันฝืนยิ้มอย่างที่ทำให้รู้ตัวว่ากำลังอาการหนัก… “แม่บอกให้ไปเยี่ยมป้าที่บ้าน แกมีปัญหานิดหน่อย แล้วฉันก็ไม่ได้ไปเจอป้าตั้งนานแล้วด้วย”
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุยของเรา หัวใจฉันระทึกขึ้นมาอย่างน่ากลัวทันที เพราะเดาได้ว่าเป็นเควินแน่นอน
“มาเร็วจัง” ต้าอุทานออกมาด้วยท่าทางดีใจ หล่อนหันมาทางฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนดีใจที่ตัวเองเป็นผู้ชนะ คงคิดว่าพอเห็นหน้าเควินแล้วฉันจะระทดระทวยและยอมเปลี่ยนใจไม่ไปหาป้าแล้ว
ต้าไปเปิดประตูให้เควินซึ่งมาพร้อมกับน้องชายของเขา ฉันเคยเห็น ‘เจอเรมี่’ ตามหน้านิตยสารกับโฆษณาทีวีบ่อยๆ ตัวจริงเขาดูทะเล้นสดใส และน่าจะช่างพูดกว่าพี่ชายหลายเท่า
“คุณปูจะออกไปไหนหรือครับ” เควินถามเมื่อเห็นฉันยืนถือรองเท้าและกระเป๋า ทำท่าเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากก็โดนต้าพูดตัดหน้า
“จริงๆ ธุระแกก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรนี่นา เอางี้ ฉันสัญญาว่าพรุ่งนี้จะไปหาป้าแกเป็นเพื่อน วันนี้อยู่คุยกับเควินก่อนดีกว่า นะ” ต้าพูดพลางเดินมาแย่งรองเท้ากับกระเป๋าฉันไปหน้าตาเฉย แล้วก็ยื่นหน้ามากระซิบขู่ที่ข้างหู “อย่าได้ขัดใจฉันเชียวนะ!”
เควินเอาโปรแกรมสำเร็จรูปที่ยืมไปมาคืน แล้วเอาบัตรวีไอพีของคอนเสิร์ตครบรอบยี่สิบปีของค่ายเพลงต้นสังกัดมาให้เราเป็นการขอบคุณ ตอนที่เควินยื่นบัตรให้นั้น ฉันรีบเอื้อมมือไปรับอย่างไวด้วยความลืมตัว แววตาที่ใช้มองเขาเป็นประกายระยับด้วยความยินดี แต่มันก็ดับวูบไปทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นแววขบขันของยายต้า สีหน้าหล่อนเหมือนกำลังบอกว่า เห็นไหมล่ะ ฉันว่าแล้ววว…
ครั้งก่อนเควินก็เห็นแล้วว่าฉันไม่ค่อยพูด เพราะหนักไปทางชอบคิดในใจ… คราวนี้เขาก็คงไม่ผิดสังเกตเท่าไหร่ที่ฉันเอาแต่เงียบกริบ แต่เจอเรมี่ดันมีความมุ่งมั่นจะที่จะชวนฉันคุยมากเสียจนต้ากับฝ้ายมองมายิ้มๆ อย่างจับผิด แล้วก็หยอกเย้าเป็นระยะกันจนฉันปั้นหน้าไม่ถูก ฉันนึกอยากขอตัวออกไปหาป้าแต่ก็โดนต้ากับฝ้ายกันท่าจนไม่มีจังหวะให้ทำได้
เจอเรมี่อายุยี่สิบปี เขาพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งหูเล็กน้อย รูปลักษณ์โดยรวมดูไม่ค่อยแตกต่างจากเควินที่อายุยี่สิบสามปีมากนัก พวกเขาเป็นพี่น้องที่มีความแตกต่างทางสรีระค่อนข้างน้อย แต่ดูเหมือนว่านิสัยใจคอจะไม่เหมือนกันเลย เควินค่อนข้างเงียบขรึมและขี้อายเมื่อเทียบกับน้องชาย แต่อาจจะด้วยความเป็นคนดังและต้องทำงานในวงการบันเทิง เลยทำให้เขายอมเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเดิมมาเป็นคนที่เฟรนด์ลี่และคุยเก่งขึ้น ซึ่งมันทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาและเจิดจ้ามาก โดยเฉพาะตอนปรากฏตัวในที่สาธารณะและตามสื่อต่างๆ
เจอเรมี่เข้ากับเราได้เร็วมาก จนไม่ทันไรก็ดูเหมือนจะสนิทกับเรามากกว่าเควินที่เคยเจอเรามาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเจอเรมี่น่ารำคาญนิดหน่อย เพราะเขาพูดมากเกินไป
บ่ายวันนั้นเควินชวนเราออกไปทานข้าวข้างนอก เพราะอยากขอบคุณที่เราเคยช่วยเขาไว้เมื่อครั้งก่อน ตอนแรกเราพยายามปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่เจอเรมี่ก็ช่วยพี่ชายคะยั้นคะยออีกแรงจนเรายอมออกไปด้วยจนได้
เควินและเจอเรมี่พาพวกเราไปทานอาหารทะเลแห่งหนึ่ง การตกแต่งร้านแบบเน้นธรรมชาติและความเป็นทะเลทำให้ได้บรรยากาศที่น่าประทับใจ ลูกค้าในร้านค่อนข้างบางตา แต่เจอเรมี่บอกว่าช่วงเย็นถึงดึกคนจะแน่นมาก
อย่างน้อยความช่างคุยของเจอเรมี่ก็ช่วยดึงความสนใจของฉันไปได้มาก วันนี้ฉันจึงไม่ค่อยรู้สึกหมกมุ่นกับเควินสักเท่าไหร่ แต่หลายครั้งที่บังเอิญสบตากับเควินเข้า ฉันก็ยังใจสั่นและประหม่าจนควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่เช่นเดิม
“เป็นเพราะเควินเล่าเรื่องพวกคุณให้ผมฟัง ผมเลยขอตามมาด้วย ดีใจจังที่เราได้เป็นเพื่อนกัน” เจอเรมี่ยิ้มหวานอย่างเปิดเผยพอๆ กับคำพูด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครติดบ่วงเสน่ห์ของความสดใสอ่อนเยาว์ของเขาเลย เราจึงปล่อยเขาพูดไปเรื่อยๆ อย่างสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง “เควินบอกผมว่ามีคนหนึ่งหน้าตาเหมือนแม่เรา”
แต่คราวนี้คำพูดของเจอเรมี่เรียกร้องความสนใจจากพวกเราได้มากมาย
“เจ!” เควินเอ็ดน้องชายเบาๆ แต่อีกฝ่ายยิ้มร่า
“เราสามคน ใครหรือคะ“ ต้ารีบถาม
“ปูไงครับ” เจอเรมี่มองฉันและยิ้มกว้าง
เราสามคนอึ้งไปนาน ส่วนเควินทำเสียงกระแอมกระไอออกมาคล้ายมีอะไรติดคอ
“ไม่ได้บอกว่าเหมือน แค่คล้ายๆ” เควินออกตัวเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ” เจอเรมี่พูดพลางหัวเราะ
เควินเสยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็เงียบไป ปล่อยให้เจอเรมี่พูดอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ ฉันแอบชำเลืองไปทางเควินแวบหนึ่ง เห็นหน้าเขาแดงเรื่อ คงโกรธที่น้องชายเอาเรื่องที่ตัวเองตั้งข้อสังเกตเล่นๆ มาบอกเราหน้าตาเฉย
“พอเจอปูผมก็เห็นด้วยกับเควินทันที แม่เราเป็นคนสวยนะครับ นอกจากหน้าตาจะคล้ายกันแล้ว ท่าทางบางอย่างก็ดูเหมือนกันจนผมยังตกใจเลย” เจอเรมี่พูดพลางหัวเราะเบาๆ
หรือว่าที่อยู่ๆ เควินก็เข้ามาคุยกับฉันในครัวตอนนั้นมันเป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง เขาคงเห็นฉันแล้วคิดถึงแม่ที่อเมริกาขึ้นมา เขายังบอกด้วยนี่นาว่าผัดมะกะโรนีทะเลของฉันมีรสชาติใกล้เคียงกับที่แม่ของเขาทำให้ทาน
ไม่รู้ว่าฉันควรดีใจหรือเศร้าใจดี สาวน้อยบางคนอาจประทับใจผู้ชายคนหนึ่งด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทำให้นึกถึงคุณพ่อที่แสนดีของเธอ แต่น่าจะไม่มีผู้ชายคนไหนตกหลุมรักผู้หญิงสักคนเพราะเธอเหมือนแม่เขา เควินคงคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าขำมากกว่า…
อ๊ะ! ฉันตั้งใจว่าจะเลิกหมกมุ่นกับความคิดแบบนี้แล้วไม่ใช่เหรอ โอเค พอ หยุดแค่นี้!
“ฉันว่าถ้าไม่ได้เควินแกได้น้องชายเขาก็ดีเหมือนกันนะ ท่าทางเจอเรมี่จะชอบแกมากด้วย”
ต้ายุยงส่งเสริมเรื่องเจอเรมี่มาตั้งแต่กลับจากทานอาหารเมื่อวาน จนถึงตอนนี้ที่เรากำลังขับรถกลับจากการไปเยี่ยมป้ามณี จนฉันชักจะเริ่มหมดแรงกับการปฏิเสธ
“นั่นสิ ปูบอกว่าเลิกชอบเควินแล้วนี่นา ถ้าลองคบเจอเรมี่จริงๆ อาจจะดีก็” ฝ้ายก็เอากับเขาด้วยหรือนี่
“ไม่ดีกว่า เขาอายุน้อยกว่าตั้งหลายปี แถมยังพูดมากด้วย”
“ก็ลองคบดูก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยเลิกกันก็ได้นี่”
“มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอแก” ฉันถามอย่างเหนื่อยใจ
“ตอนนี้ฉันกับฝ้ายกำลังปลื้มเควิน แกไม่เอาด้วยแล้วก็ลองคุยกับน้องชายเขาดูสิ ฉันไม่อยากเห็นแกอยู่อย่างหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ พวกเราจะได้เป็นสองคู่ชู้ชื่นพอดี”
คู่บ้าอะไรของแกมีห้าคน
“ต้านี่ชอบพูดเล่นเรื่อยเลย” ฝ้ายหัวเราะ
“เควินกับเจอเรมี่ก็หน้าตาเหมือนๆ กัน แกไม่เห็นต้องคิดเยอะเลย แกเคยคลั่งเควินขนาดนั้น ทำไมจะชอบเจอเรมี่ไม่ได้”
“โอ๊ยยย แกเลิกพูดเถอะน่า ไม่เอาก็ไม่เอาสิ ต่อไปคงไม่ได้เจอกันแล้ว เมื่อวานเขาก็แค่พากันมาขอบคุณแล้วก็เอาของมาคืน ยังไงก็ไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนตอนนี้เพื่อนรักกำลังทำให้อาการฉันทรุดหนักลงอีก ทั้งที่ฉันเพิ่งออกจากห้องไอซียูมาไม่นาน
“ทำไมจะไม่ได้เจอกัน ตอนนี้ฉันกำลังจะพาแกไปเขาอยู่เนี่ย แกนี่มันซื่อบื้อจริงๆ ฉันขับรถมาคนละทางกับทางกลับบ้านเลยไม่เห็นเหรอ”
ฉันเบิกตากว้างแทบถลน “แกว่าอะไรนะ!”
ต้าหัวเราะร่วน “ก็ว่าอย่างที่แกได้ยินนั่นแหละ”
“เรากำลังจะไปดูหนังกับเควินกับเจอเรมี่น่ะปู” ฝ้ายรายงานด้วยยิ้มหวานจ๋อย
ฉันอึ้งมองฝ้ายเหมือนไม่เคยเห็น รู้สึกเหมือนโดนเพื่อนหลอกมาฆ่าหมกป่า
“ถ้าบอกก่อน ปูก็คงไม่ยอมมาด้วยใช่ไหมล่ะ เจอเรมี่โทรมานัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ไม่ ไม่จริงงง ฉันไม่อยากไปปป!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.