X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 123

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 123

ชูหลี่พบว่าอาจารย์นักแสดงที่หลังจากพอใจแล้วจะอ่อนโยนเป็นพิเศษและพูดเก่งเป็นพิเศษ

จากประสบการณ์การสั่งดีลิเวอรี่ที่ผ่านมา หากวันนั้นโจ้วชวนอยากกินโจ๊ก แต่ชูหลี่อยากกินข้าวราดแกง โดยปกติแล้วจะต้องกินโจ๊กอย่างแน่นอน…ครั้งนี้เมื่อชูหลี่ใช้มือข้างเดียวหยิบโทรศัพท์เปิดแอพฯ ดีลิเวอรี่เลื่อนดูว่าจะกินอะไร ชายหนุ่มก็นั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ ใช้ผ้าพันแผลพันนิ้วที่ไม่มีเลือดไหลให้เธออย่างระมัดระวัง

“กินอะไรดีคะ”

“แล้วแต่คุณ”

“…แฮมเบอร์เกอร์”

“ได้”

คนคนนี้ไม่ค่อยชอบกินอาหารตะวันตกเท่าไรนัก อย่างมากก็กินขนมปังปิ้งเป็นมื้อเช้า แถมยังโวยวายอยู่บ่อยๆ ว่าถ้ามื้อเช้าได้กินข้าวด้วยจะดีแค่ไหน…

ชูหลี่วางโทรศัพท์มือถือลงแล้วมองโจ้วชวนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้า หลังจากปล่อยมือของเธอที่พันแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปเอาขี้ผึ้งมาจากไหน มือข้างหนึ่งถือขี้ผึ้ง ส่วนมืออีกข้างยื่นมาตรงชายกระโปรงของเธอ…ปลายนิ้วของโจ้วชวนยังไม่ทันแตะชายกระโปรงของดี หญิงสาวก็หดตัวถอยหลังทันทีราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเลิกคิ้ว

“ไม่เจ็บหรือไง ทายาสิ”

น้ำเสียงนั้นฟังดูสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง

ชูหลี่บอกว่าจะจัดการเอง โจ้วชวนก็ไม่ขัด ส่งขี้ผึ้งให้เธอแต่โดยดีแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือของเธอมาสั่งดีลิเวอรี่ต่อ…ชูหลี่รับขี้ผึ้งมา หมุนฝาแล้วควักขี้ผึ้งเย็นๆ ออกมานิดหน่อย ปลายนิ้วล้วงเข้าไปใต้กระโปรง คลำหาบริเวณที่ยังเจ็บอยู่แล้วทาลงไป ขี้ผึ้งกระตุ้นให้ผิวหนังแสบอีกครั้ง เธอร้อง “อ๊ะ” แล้วสั่นอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นบรรยากาศที่เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ก็เปลี่ยนไป

ชูหลี่รู้สึกได้ถึงสายตาอันเร่าร้อนคู่หนึ่งที่กำลังกวาดผ่านใบหน้าของตนไปมา เธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าคนที่เดิมทีควรตั้งใจสั่งดีลิเวอรี่เวลานี้กลับเอี้ยวศีรษะมามองตน ในดวงตาคู่นั้นราวกับแฝงไปด้วยความมืดดำที่เธอคุ้นเคย…

เธอเก็บมือกลับมา ทั่วทั้งร่างตื่นตัว “มองอะไรคะ”

“…คุณอย่าส่งเสียงสิ อย่าสั่นด้วย”

“อะไรเล่า ก็ฉันเจ็บนี่!”

“คุณคิดดูสิ ถ้าข้างๆ ผู้ชายมีสาวน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ มืออยู่ใต้กระโปรงตัวเอง แถมยังส่งเสียงร้องอือๆ อาๆ ไปพลาง ตัวสั่นไปพลาง ภาพนี้จะส่งผลอะไรรู้ไหม” โจ้วชวนจ้องชูหลี่พลางเอ่ยอย่างเนิบช้า “คุณทำอย่างนี้ ผมก็ยิ่งอยากทำให้คุณเจ็บมากขึ้น”

คำพูดประโยคนี้ทำเอาชูหลี่แข้งขาอ่อน จิกนิ้วเท้าแล้วด่าว่า “คนทุเรศ” แล้วใช้ขี้ผึ้งในมือเขวี้ยงใส่เขา

ชายหนุ่มรับขี้ผึ้งไว้ได้พอดี อีกทั้งยังส่งโทรศัพท์มือถือที่สั่งดีลิเวอรี่เรียบร้อยแล้วคืนให้ชูหลี่ เปิดตลับยาแล้วควักออกมานิดหน่อย บังคับให้เธออ้าขา…เมื่อเทียบกับตัวเธอเองแล้ว โจ้วชวนมือไม่เบาแต่ก็ไม่หนัก บวกกับปลายนิ้วหยาบกร้าน ชูหลี่จึงรู้สึกเจ็บจนแยกเขี้ยว…

“เจ็บๆๆ”

“แบบนี้ล่ะ” ผ่อนแรงลงเล็กน้อย

“ดีขึ้นหน่อย แต่ยังเจ็บอยู่…โอ๊ย คุณจะทายาก็ทายาไปสิ อย่าแตะไปทั่ว” ชูหลี่กดมือของชายหนุ่มเอาไว้ แล้วถลึงตาใส่เขา

“ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย คุณก็อย่าขยับนักสิ ผมกำลังทายาให้คุณอยู่นะ…เมื่อกี้ทำนานไปหน่อย ดูเหมือนว่าจะเสียดสีจนผิวถลอกนิดหน่อย”

น้ำเสียงของโจ้วชวนสบายๆ กระทั่งหลังมือและนิ้วมือที่งอขึ้นแตะส่วนอื่น…ชูหลี่หอบหายใจพลางคว้าหมอนอิงบนโซฟาขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ กัดริมฝีปากไว้แน่น ความร้อนทั่วทั้งร่างราวกับมารวมกันที่ท้องน้อย…จากนั้นก็สลายกลายเป็นกระแสอุ่นๆ กล้ามเนื้อต้นขาเกร็ง ความคิดทั้งหมดถูกมือใหญ่ที่กดอยู่ใต้กระโปรงของเธอดึงดูดไป…

ถ้าไม่ลองก็คงไม่รู้ว่าตัวเองจะหมกมุ่นได้ถึงขนาดนี้

ด้านหลังหมอน ชูหลี่ต้องงอนิ้วแล้วกัดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา ขณะที่เนื้อผ้าเสียดสีกัน ข้อมือของชายหนุ่มก็ขยับเบาๆ อากาศเย็นๆ ลอดเข้ามายังใต้กระโปรง…ขณะที่กำลังมึนงงก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเขา เขาแตะอีกครั้ง จากนั้นเอามือออกมา รับหมอนที่ถูกเขวี้ยงมาตรงหน้า แล้วพูดตามความสัตย์จริง

“ครั้งนี้ตั้งใจน่ะ”

ชูหลี่หน้าแดงยังไม่ทันหายก็ใช้มืออันสั่นระริกที่มีรอยกัดดึงกระโปรงลง “ไม่ทาแล้ว ไม่ทาแล้ว ถลอกก็ถลอกไปสิ…”

โจ้วชวนราวกับไม่ได้ยินเสียงบ่นอุบอิบของเธอ ก้มลงมองหลังมือตนเอง “คุณเปียกอีกแล้ว”

เขาพูดคำว่า ‘อีกแล้ว’ ได้อย่างจี้ใจดำ ทำชูหลี่ยกมือสองข้างอุดหูตัวเองแล้วพูด “โอ๊ย…” ชายหนุ่มค่อยๆ โน้มตัวไปดึงมือทั้งสองข้างของเธอออก

“ผมช่วยคุณนะ?”

ช่วยยังไง ชูหลี่มึนงง

ราวกับมองออกว่าหญิงสาวที่กำลังมองตนอย่างงุนงงในขณะนี้กำลังจะถามอะไร ชายหนุ่มคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดหน้าตาย

“ใช้ปาก”

“…” ชูหลี่ชักมือกลับมาจากมือใหญ่ของชายหนุ่ม แล้วเอ่ยอย่างจริงจังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณไสหัวไปไกลๆ ฉันเลยนะ”

…สุดท้ายก่อนที่ดีลิเวอรี่จะมาส่ง ชูหลี่ผลักโจ้วชวนออกไปแล้วกระโดดลงจากโซฟา พอเท้าถึงพื้นก็เข่าอ่อนเกือบทรุดลงไปนั่งกับพื้น ยังคงเป็นชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังดึงเธอไว้อย่างตาไวมือเร็วถึงได้ไม่ขายหน้า

ชูหลี่เดินกะเผลกขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา ใช้พลาสติกพันนิ้วและบริเวณที่ถลอกบนขาก่อนไปอาบน้ำ…ขณะที่พันอยู่ถึงได้เห็นแผลอย่างชัดเจน มันแดงและถลอกจริงๆ น่ากลัวจนทนดูไม่ได้

 

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ผิวถลอกแล้วจริงๆ คุณทำอะไรลงไปเนี่ย

โจ้วชวน : ถ่ายรูปให้ดูหน่อยสิ

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ชิ! จะขโมยรูปโป๊ฟรีๆ น่ะสิ!

โจ้วชวน : พูดอย่างนี้ คุณไม่ให้ผมดูแล้วผมจะดูแลคุณยังไง

 

ชูหลี่โยนโทรศัพท์มือถือ แล้วเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องอาบน้ำ

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ชูหลี่ก็เก็บกระเป๋าเตรียมไป ‘พบญาติผู้ใหญ่’ กับโจ้วชวน

พูดตามตรงเธอรู้สึกกังวลนิดหน่อย แม้ว่าเธอจะเก่งอยู่ในสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย กล้าไล่ตามก้นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่เพื่อทวงต้นฉบับ แต่เมื่อจะได้พบกับผู้นำแห่งโลกวรรณกรรมที่แท้จริง เธอกลับรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง ในหัวเต็มไปด้วย ‘ฉันควรพูดอะไรดี’ ‘ฉันควรทำอะไรดี’ ‘ทำยังไงถึงจะแสดงให้เห็นว่าฉันมีการศึกษา’…

ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นถึงพ่อของโจ้วชวนเชียวนะ

ดังนั้นหนึ่งคืนก่อนออกเดินทาง ชูหลี่แอบตะบี้ตะบันอ่านผลงานของโจ้วกู้เซวียนที่ได้รับรางวัลบุปผางามแห่งวรรณกรรมเล่มนั้น…การไปครั้งนี้ต้องพูดถึงเรื่องรางวัลบุปผางามแห่งวรรณกรรมแน่นอน และเรื่องที่โจ้วกู้เซวียนเคยได้รับรางวัลนี้ในคราวที่แล้วก็ไม่ใช่ความลับอะไร โอกาสดีๆ ที่จะได้ประจบว่าที่พ่อสามีอย่างนี้ ชูหลี่ไม่อยากพลาด

ขณะที่เธอทำอย่างนี้ โจ้วชวนเองก็ย้ายม้านั่งไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ สิ่งที่แตกต่างออกไปคือเล่มที่เขาเปิดอ่านเป็นเทพนิยายผู้ใหญ่ฉบับภาษาต่างประเทศ มีท่าทางที่ทั้งอวดดีและน่ารักปนอยู่บ้าง…อ่านหนังสือไปพลาง เงยหน้ามองชูหลี่ที่ขมวดคิ้วอ่านหนังสือไปพลาง หลังจากนั้นสักพักเขาก็พลิกไปอีกหน้า

“โจ้วชวน ตัวเอก A ในนี้พูดว่าแต่ไรมาโรงเรียนการทหารหวงผู่ล้วนมีชีวิตอยู่ในใจของนักเรียนทุกคน จิตวิญญาณนั้นจะคงอยู่นับหมื่นนับพันปี และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น…‘จิตวิญญาณ’ ในที่นี้คืออะไรคะ”

“มีอยู่ตรงคำนำนักเขียนน่ะ”

“อ้อ”

“…”

โจ้วชวนวางหนังสือในมือลง เท้าคางด้วยมือข้างเดียวมองหญิงสาวที่พลิกเปิดหน้าคำนำพึ่บพั่บเพื่อหาคำตอบอยู่ใต้โคมไฟไม่ใกล้ไม่ไกล

…เธอคนนี้เกิดมาเพื่อเป็น บ.ก. สินะ อย่างไรเสียถ้าเธอต้องการ เธอก็มักจะหว่านล้อมจนนักเขียนคล้อยตามได้

เมื่อนึกถึงตอนนั้นเขาถูกเธอหลอกล่ออย่างไร นึกถึงเจ้าพ่อปลาไหลอย่างเจียงอวี่เฉิง อีกทั้งสั่วเหิงที่ตอนนี้ไม่ยอมตัดใจจากเธอ อากุ่ย…และยังมีนักเขียนที่มารวมตัวกันโขยงหนึ่งหลังจากเธอได้ขึ้นเป็นรองหัวหน้า บ.ก.

…นอกจากนี้ไม่ใช่แค่คนเดียวที่พูดกับโจ้วชวนว่า ‘บ.ก. ที่ทำ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ให้คุณทำไมถึงดีขนาดนี้ล่ะเนี่ย แถมยังฉลาดอีก อิจฉาจริงๆ ดูเหมือนว่าคุณจะสนิทกับเธอมาก ต่อไปการออกหนังสือก็คงไม่ต้องกังวลแล้วสินะ…’

คำพูดนี้หมายความว่าอะไรโจ้วชวนรู้ดีแก่ใจ

หากเป็นเมื่อก่อน บางทีเขาอาจปฏิเสธไปตรงๆ และบอกคนพวกนั้นว่าออกหนังสือที่ไหนก็เหมือนกันหมด สำนักพิมพ์ไหนให้เงื่อนไขดีย่อมเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์นั้น

แต่ตอนนี้เขารู้สึกลังเลกับคำตอบแบบนี้อยู่เล็กน้อย เขาคงจะเปลี่ยนไปตอบเชิงขบขันอย่างไม่ใส่ใจแล้วปล่อยเบลอ หรือไม่ก็ตอบไปว่า ‘ใครจะรู้ล่ะ’ อย่างคลุมเครือ…

มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้และเห็นกับตาว่าเธอเคยทำอะไร เคยไขว่คว้าช่วงชิงอะไร และเคยพยายามทุ่มเทมากแค่ไหนเพื่อนักเขียน…วันนั้นที่งานหนังสือ เขามองเธออยู่ไกลๆ จากด้านล่างเวทีแจกลายเซ็นของเจียงอวี่เฉิง เธอยืนอยู่สี่ชั่วโมงตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่บ่นเลยสักคำ น้ำก็ไม่ได้กินเลยสักอึก ยืนอยู่ข้างๆ นักเขียนอย่างระแวดระวังเพื่อคอยคุ้มกันเขา…ตอนนั้นโจ้วชวนเกิดภาพจินตนาการแปลกประหลาด หากเวลานั้นคนที่นั่งอยู่บนเวทีแจกลายเซ็นเป็นเขาก็คงดี

ความอิจฉาที่ถึงขั้นโมโหเดือดดาลในเวลาต่อมา ก็คงเกิดขึ้นมาจากความคิดนี้ในตอนแรกเริ่ม

ไม่เกี่ยวกับว่าตอนนี้เธอเป็นแฟนเขาหรือไม่ ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาในตอนนี้ไม่ใช่ ‘แบบนั้น’ เขาก็ยังคง…

“บนหน้าฉันมีอะไรเหรอคะ” คนที่อยู่ใต้โคมไฟเงยหน้าขึ้นมา ลูบใบหน้าของตนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจ้องฉันขนาดนี้ล่ะ”

อืม จริงๆ ก็เกี่ยวอยู่นิดหน่อย ชายหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์พลางคิดอย่างคนตบหน้าตัวเองว่าอย่างมากที่สุดก็เป็นคะแนนพิเศษล่ะมั้ง อย่างไรเสียรอยยิ้มที่หวานจนปวดฟันแบบนี้ก็ทำให้คนไม่มีทางปฏิเสธได้เลย อย่างน้อยเขาในฐานะแฟนของเธอก็ทำไม่ได้

“คุณไม่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือของตาแก่นั่นขนาดนี้ก็ได้ เจอกันครั้งนี้ไม่ได้คุยกันเรื่องที่ผมมีชื่อเข้าชิงแล้วถูกให้ร้ายเป็นหลักสักหน่อย ถ้าเขาหลงตัวเองถึงขั้นเอาแต่พูดถึงหนังสือของตัวเอง แล้วถามคำถามเชิงลึกขนาดนั้นกับคุณ ผมจะสู้กับเขาเอง”

“…พูดถึงเรื่องนี้ ฉันนึกว่าคุณไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ของพ่อคุณซะอีก” ชูหลี่เปิดไปที่หน้าปก “แต่พอฉันถามคำถามในหนังสือไปเรื่อยเปื่อย คุณก็รู้หมดเลยว่าคำตอบอยู่หน้าไหน”

“…”

โจ้วชวนรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด จากนั้นเขาก็ก้มหน้าพลิกหนังสือในมือของตนต่อไป

“อันที่จริงคุณยังนับถือพ่อตัวเองอยู่สินะคะ” ชูหลี่ยื่นขาไปเตะเขาที่ใต้โต๊ะหนังสือ “เพราะงั้นการได้เข้าชิงในครั้งนี้จริงๆ แล้วก็แอบดีใจอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ ไม่ได้ไม่แยแสเหมือนกับที่แสดงออกมาขนาดนั้น”

“คุณนี่พูดมากจริงๆ”

“โจ้วชวนของเราน่ะนะ” ชูหลี่ปิดหนังสือแล้วลุกขึ้น ยื่นมือไปลูบผมของชายหนุ่มพลางยิ้มกว้าง “ถึงปากจะบอกว่าอายุยี่สิบแปด ผ่านปีนักษัตรของตัวเองมาแล้วสองครั้ง แต่จิตใจยังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดอยู่เลย โอ๋ๆ เด็กดีๆ…”

“…”

ชายหนุ่มจับมือเธอที่วางอยู่บนศีรษะตนอย่างจงใจ จากนั้นก็โยนหนังสือในมือทิ้งไป ดึงคนที่นั่งอยู่บนเท้าแขนมานั่งในอ้อมกอด มือข้างหนึ่งรัดไว้ที่เอวของเธอไม่ให้ขยับมั่วซั่ว ก่อนจะยืดคอไปจูบมุมปากเธอ

“ผมเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบแปดที่ยังไม่โตเต็มที่หรือว่าเป็นชายฉกรรจ์อายุยี่สิบแปด คุณยังไม่แจ่มแจ้งอีกหรือไง”

“…” ชูหลี่นิ่งอึ้งไป ก้มหน้าสบตาเขา หลังจากตระหนักได้ว่าเขากำลังพูดจาไร้สาระก็ประคองหน้าเขาไว้ “โจ้วชวน ถ้าคนในครอบครัวคุณไม่ชอบฉันจะทำยังไง คิดว่าฉันเป็นนางจิ้งจอกที่อาศัยหน้าที่การงานล่อลวงลูกชายของพวกเขาต่างๆ นานา…”

“ช่วงนี้คุณกำลังอ่านต้นฉบับอะไร”

“…งานเขียนแนว TVB น่ะค่ะ ตระกูลของพระเอกทำกิจการขนาดใหญ่ที่ผูกขาดธุรกิจขนมหวาน นางเอกคือคนขายข้าวเหนียวอยู่ข้างถนน”

“…ต้นฉบับนี้ถูกตีกลับไปแล้ว เหตุผลคือมีช่องโหว่มากเกินไป นำมาซึ่งผลกระทบต่อสังคมในทางที่ไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นคุณก็แค่ลืมว่าตัวเองเป็นคนขายข้าวเหนียวซะ แล้วเชิดเงินซองแดงที่พ่อแม่ของผมให้แฟนสาวของลูกชายตามมารยาทตอนที่พบกันครั้งแรกไป แบ่งเงินกันสองคน หาหน้าร้านให้กับร้านข้าวเหนียวของคุณ ทำให้คุณไม่ต้องตากลมตากฝน” มือใหญ่ของโจ้วชวนจับศีรษะของเธอให้ก้มลงมา แล้วงับมุมปากของเธอ “นอกจากนั้นเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วยล่ะ”

“…” ชูหลี่งับปลายลิ้นของชายหนุ่ม จากนั้นก็เอ่ยอย่างขอไปที “ตอนนี้คุณควรปลอบฉันว่า…ไม่เป็นไร พวกเขาจะต้องชอบฉันแน่นอนไม่ใช่เหรอ”

“…ผมต้องรู้ว่าพวกเขาชอบลูกสะใภ้ไหม แถมยังต้องทะเลาะกันทั้งวันด้วยเหรอ” โจ้วชวนกล่าวอย่างจนคำพูด “ครอบครัวผมไม่เคยมีข่าวว่าสองพ่อลูกลงมือฆ่ากันตายสักหน่อย เพราะงั้นสรุปว่าไม่ต้องกลัวหรอก ครอบครัวผมล้วนเป็นสุภาพชน”

“?”

“สุภาพชนใช้วาจาไม่ใช้กำลัง พ่อผมคือจอมยุทธ์แป้นพิมพ์ พยัคฆ์กระดาษในชีวิตจริง ไม่ใช้กำลังทำร้ายใครหรอก”

“…ทำไมจู่ๆ ฉันรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณพ่อลูกก็ค่อนข้างดีนี่”

“ขายข้าวเหนียวจนโง่ไปแล้วสินะคุณน่ะ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: