X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 126

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 126

โจ้วชวนพาชูหลี่เที่ยวเล่นที่เมือง C อยู่หลายวัน ที่ควรกินก็กิน ที่ควรดื่มก็ดื่ม หลายวันมานี้โจ้วกู้เซวียนปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องที่โจ้วชวนถูกใส่ร้ายว่ามีนักเขียนเงาคอยเขียนงานให้ ไม่มีใครรู้ว่าตกลงเขาคิดอย่างไรกันแน่ โจ้วชวนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน…แต่หลังจากการเผชิญหน้าโต้เถียงกันในคืนนั้น เขาก็คร้านที่จะต่อปากต่อคำเรื่องนี้กับพ่อของเขาอีก ถือเสียว่าการกลับมาครั้งนี้คือการมาเที่ยวเป็นเพื่อนชูหลี่

เวยป๋อของโจ้วชวนตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่โพสต์ ‘แถลงการณ์ของหมาป่าผู้หิวโหย’ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคำพูดใส่ร้ายเหล่านั้นจะปล่อยเขาไป…

วันอาทิตย์ตอนบ่าย ในอินเตอร์เน็ตได้แฉ ‘จุดด่างพร้อย’ ใหม่ออกมา มีคนไปค้นใบแสดงยอดขายรวมของร้านหนังสือซินหวาของ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ซึ่งจนถึงตอนนี้ทั้งหมดมีเพียงราวๆ หนึ่งแสนสองหมื่นเล่มเท่านั้น ในฐานะที่รับผิดชอบช่องทางการขายหนังสือแบบรูปเล่มเป็นหลัก ร้านหนังสือซินหวาจึงนับจำนวนยอดขายแค่ช่องทางนี้ และบอกว่าที่จริงแล้วยอดขาย ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ นั้นห่างไกลกับ ‘ยอดขายฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกหนึ่งล้านเล่ม’ ที่กล่าวเอาไว้ในตอนแรกและไม่ใช่แค่นิดเดียวเท่านั้น!

บรรดาชาวเน็ตฮือฮากันอีกครั้ง ต่างพูดกันว่า ‘ว้าว ท่านเทพคนนี้หน้าไม่อายชะมัด แต่งยอดขายหนังสือของตัวเองก็ได้ด้วย!’

“เรื่องนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าในวงการมีคนคิดจะจัดการคุณ” ชูหลี่นอนอยู่บนหลังของโจ้วชวน กอดคอเขาไว้ ส่วนโจ้วชวนนอนคว่ำอยู่บนเตียง เล่นโทรศัพท์มือถือ ทั้งสองนอนทับกันเป็นชั้นๆ ใบหน้าของเธอแนบชิดกับหน้าของเขา “คนปกติที่ไหนจะรู้จักค้นใบแสดงยอดขายอะไรนั่น และดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าปกติยอดขายจะต้องเกินจริงจนกลายเป็นจุดด่างพร้อยของคุณได้ จึงทำเป็นไปตรวจสอบ…แต่สำหรับในวงการนี้เห็นได้บ่อยมาก นักเขียนทุกคนแทบจะรู้กันกลายๆ แล้วว่าเป็นการสร้างกระแสและโฆษณาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่นักอ่านไม่รู้กันสักหน่อย”

“ใครกัน” โจ้วชวนถาม

“คนที่ไม่ยินดีที่คุณได้เข้าชิงรางวัลล่ะมั้ง” ชูหลี่ลูบไล้ใบหน้าเขา “คนที่เกลียดคุณ”

“งั้นก็เยอะจะตายไป” โจ้วชวนแค่นหัวเราะ “คืนนี้ดูซิว่าเขาจะพูดอะไรอีก คาดว่าคงจะมีต่อจากนี้…”

และแล้วความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าโจ้วชวนเป็นคนปากอัปมงคลจริงๆ

ตอนกลางคืนคลื่นระลอกแรกยังไม่ทันสงบก็ผุดขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน…ครั้งนี้เป็นคลิปเสียงสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์และผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ล้วนแปลงเสียงเป็นเสียงตลก…

ผู้สัมภาษณ์ A : โอ้ ท่านผู้นำ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ พูดถึงเหตุการณ์ลมฝนคาวเลือดบนอินเตอร์เน็ตของนักเขียนชื่อดังโจ้วชวนในครั้งนี้สักหน่อยสิ

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : เรื่องนี้ฉันเองก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน…มีนักเขียนเงาหรือไม่มีฉันไม่รู้หรอก ยังไงซะก็ไม่มีหลักฐานใช่ไหมล่ะ แต่ยอดขายนั่นน่ะ คิกๆๆ…

ผู้สัมภาษณ์ A : โอ้อวดหลอกลวงจริงๆ ใช่ไหม

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : ใช่ ยอดตีพิมพ์ครั้งแรกของ หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว น่าจะมีแค่ประมาณสามแสน ตัวเลขระบุจำนวนจริงๆ ฉันก็ไม่ชัวร์ ฉันเองก็ฟังเพื่อนพูดมาเหมือนกัน ไม่ได้พูดเก่งเหมือนสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยหรอก…ตอนนี้ตลาดหนังสือแบบรูปเล่มโดยภาพรวมนั้นลดฮวบลง พวกคุณไม่รู้หรอกว่าตอนนี้วงการนี้น่ะย่ำแย่แค่ไหน จะมีหนังสือที่ยอดขายเกินล้านเล่มโผล่มาได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก

ผู้สัมภาษณ์ A : คุณกำลังบอกใบ้อะไรอยู่

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : คิกๆๆ ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นแหละ!

ผู้สัมภาษณ์ A : ตอนแรก หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่วใน Dangdang กับ JD.Com* ก็บอกว่ายอดขายอยู่ในอันดับแรกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : อันดับนั่นน่ะซื้อได้นี่นา

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : ยิ่งไปกว่านั้นนั่นเป็นอันดับแรกของยอดขายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้น คุณคิดดูสิ ถ้าวันที่เปิดขายวันนั้นมีแค่หนังสือของคุณเล่มเดียว ส่วนหนังสือเล่มอื่นๆ ขายมานานมากแล้ว ยอดขายวันหนึ่งมีแค่เจ็ดแปดเล่ม แล้วคุณจะไม่เป็นที่หนึ่งได้ยังไงล่ะ ถึงจะมีคนซื้อแค่ยี่สิบเล่มก็เป็นที่หนึ่งอยู่ดี…ช่องทางที่ไม่เห็นยอดขายแบบนี้เล่นตุกติกได้ง่ายที่สุด

ผู้สัมภาษณ์ A : แต่ยอดสั่งซื้อล่วงหน้าของเถาเป่าก็เยอะมากนะคะ

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : การประมาณการนั่นเป็นของจริง กำลังซื้อส่วนใหญ่กระจุกอยู่ที่เถาเป่า ดังนั้นร้านค้าออนไลน์อื่นๆ ก็น่าจะถูกแบ่งกำลังซื้อไปบางส่วน…สรุปแล้วยอดตีพิมพ์ครั้งแรกของ หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว ก็คือราวๆ สามแสนกว่าเล่ม ไม่มีทางมากไปกว่านี้แล้ว

ผู้สัมภาษณ์ A : ความสำคัญของยอดขายเกินจริงคืออะไรคะ

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : ก็ทำให้เกิดอุปาทานว่าหนังสือดังมาก ดึงดูดนักอ่านให้ซื้อตามกระแส และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือดึงดูดตัวแทนลิขสิทธิ์…พอหนังสือของคุณดัง นักพัฒนาด้านทรัพย์สินทางปัญญาทั้งเกม ภาพยนตร์ และซีรี่ส์ก็จะมาเยือนถึงประตูเพื่อขอซื้อ ราคาของสิ่งที่โปร่งใสชิ้นหนึ่งกับสิ่งที่เป็นไฟชิ้นหนึ่งจะเหมือนกันได้เหรอ ใช่ไหมล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนกัน การขายลิขสิทธิ์ หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่วไปพัฒนาเป็นเกม ภาพยนตร์ และซีรี่ส์ ถ้าไม่ได้ถึงสี่ล้านห้าล้าน โจ้วชวนอาจขี้เกียจแม้แต่จะคุยกับคุณก็ได้…

ผู้สัมภาษณ์ A : นี่เป็นการหลอกลวงไม่ใช่หรือไง

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : อิทธิพลของตลาดน่ะ นี่นับว่าหลอกลวงด้วยเหรอ

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : นี่นับว่าด่างพร้อยด้วยเหรอ ฉันคิดว่าก็ดีอยู่นะ หึๆๆๆ เทียบกับการมีนักเขียนเงาแล้ว เรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้น่าประหลาดใจเท่าไร…

ผู้สัมภาษณ์ A : พวกเราแค่อยากรู้จักอา…ท่านเทพโจ้วชวนจากมุมมองต่างๆ ว่าสรุปแล้วเป็นคนที่ชอบหลอกลวงหรือเปล่า

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : เอาเถอะๆ ก็มีเหตุผลเหมือนกัน

ผู้สัมภาษณ์ A : ขอบคุณที่ให้สัมภาษณ์ค่ะ

ผู้ถูกสัมภาษณ์ B : ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ว่างๆ อยู่น่ะ

การสัมภาษณ์สิ้นสุดลงเท่านี้ ชูหลี่สบตากับคนที่ถือโทรศัพท์แวบหนึ่ง เธออึกอัก ขณะที่โจ้วชวนรีบเอ่ยขึ้นมา

“เดี๋ยวก่อน”

ชายหนุ่มก้มหน้ากดโทรศัพท์ ใช้แอพฯ เปิดดนตรีประกอบการ์ตูนเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ ก่อนจะยื่นมือทำท่า ‘เชื้อเชิญ’ ให้กับชูหลี่

“เชิญเริ่มการแสดงของคุณได้”

“ทุกสาขาอาชีพ คนที่ชอบเรียกนักเขียนว่า ‘อาจารย์’ มากที่สุดจะต้องเป็นคนในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์แน่นอน เมื่อกี้คนสัมภาษณ์คนนั้นเกือบจะหลุดปากเรียกคุณว่า ‘อาจารย์โจ้วชวน’ และคนที่ถูกสัมภาษณ์คนนั้นรู้ข้อมูลหนังสือของคุณอย่างละเอียด เปิดปากพูดว่าสามแสนกว่า แม้ว่าจะจงใจไม่พูดถึงตัวเลขที่เฉพาะเจาะจง แต่ใช้ตัวเลข ‘สามแสน’ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แสดงว่าเขามั่นใจในความจริงของเรื่องนี้มาก จากนั้นเขาก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับนักพัฒนาทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาและลิขสิทธิ์ ดูเหมือนว่าพูดถึงส่วนได้ส่วนเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังเตือนนักพัฒนาเหล่านั้นว่าอย่าให้ค่าลิขสิทธิ์ที่สูงขนาดนั้นกับคุณ แสดงว่าเขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณรุนแรงที่สุดตรงไหน…”

“แล้วยังไง”

“และระหว่างที่ว่าร้ายคุณ คนถูกสัมภาษณ์ยังถือโอกาสว่าร้ายเรื่อง ‘สวนสนุกที่หายไป’ ซึ่งพูดว่ายอดตีพิมพ์ครั้งแรกก็ทะลุหนึ่งล้านเล่มเหมือนกัน ถึงยังไงหนังสือขายดีในช่วงนี้ก็คือเล่มนี้…และมีแค่เล่มเดียว คนที่ถูกสัมภาษณ์ไม่เพียงแค่ว่าร้ายคุณธรรมดาๆ แต่ดูเหมือนว่าเขายังต้องการพุ่งเป้าไปที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยด้วย หรือไม่ก็ฉัน…”

“สรุปแล้วก็คือ”

“ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คนถูกสัมภาษณ์คนนี้แปลงเสียงด้วย ไม่สู้ทำตอนจบไปเลยว่า…ฉันคือเหล่าเหมียว รองหัวหน้า บ.ก. ตกอับที่เพิ่งถูกเฉดหัวออกมาจากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ที่พูดมาข้างต้นล้วนเป็นความจริง พวกคุณโปรดเชื่อฉัน!”

“…”

“เรื่องทุเรศๆ พวกนี้ ตายแล้วยังจะแพร่พิษจากศพทำให้คุณสะอิดสะเอียนอีก…พอเห็นว่ามีโอกาสแก้แค้นก็เข้ามาเหยียบย่ำ” ชูหลี่ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปตบโทรศัพท์ที่อยู่ในมือโจ้วชวน “พูดจบแล้ว ปิดดนตรีประกอบได้แล้ว หงุดหงิดชะมัด เวลานี้ยังมีแก่ใจจะสนุกอยู่ได้”

โจ้วชวนยิ้มพลางปิดดนตรีประกอบการ์ตูนเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ มองวีแชตในโทรศัพท์แวบหนึ่ง ห้องแชตกำลังจะระเบิดเพราะคลิปเสียงสัมภาษณ์นั่นอย่างที่คิดจริงๆ…พายุระลอกใหม่เรื่อง ‘ต่อรองราคา’ ‘ขอร่วมมือในราคาต่ำ’ ‘นิยายของคุณไม่คุ้มกับเงินมากมายขนาดนั้น ความร่วมมือระหว่างพวกเราคงต้องพิจารณากันใหม่’ ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง…

ดูเหมือนว่าตลอดทั้งบ่ายจะเสียหายกันไปหลายล้าน

โจ้วชวนปิดโทรศัพท์มือถือทันที หลุบตาลง หลังจากคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “เย็นนี้กินอะไรดี”

ชูหลี่เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ท่าทางหงอยๆ “ตามใจสิคะ”

“กินหม้อไฟก็แล้วกัน มาเมือง C ทั้งทีจะไม่กินหม้อไฟได้ยังไง” ชูหลี่ไม่พูดจา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเธอ “พูดอะไรหน่อยสิ”

“ฉันแค่อยากระเบิดน่ะ”

รอยยิ้มของโจ้วชวนไม่เปลี่ยน “ผมยังไม่ระเบิดเลย ทำไม ยังไม่ได้แต่งงานกับผมก็เริ่มเป็นห่วงว่าบัตรเครดิตธนาคารของผมจะหดหายซะแล้ว คุณเตรียมการรอบคอบดีจริงๆ เลยนะสหาย”

ชูหลี่เลิกเปลือกตาแล้วถลึงตาใส่โจ้วชวนครั้งหนึ่ง เห็นเขายิ้มทะเล้นเหมือนกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกเล็กน้อย จากนั้นก็ถูกเขาลากตัวออกไปข้างนอกเตรียมตัวไปกินมื้อเย็น…

 

เรื่อง ‘ยอดขายปลอม’ ที่เป็นประเด็นร้อนในวันอาทิตย์ สำหรับโจ้วชวนแล้วนับว่าเป็น ‘พายุวิกฤตศรัทธา’ ครั้งหนึ่ง

นักอ่านจรที่ถูกปิดหูปิดตาตามการชักนำของคนทั้งสองคนในคลิปเสียงสัมภาษณ์อย่างง่ายดายนำคำว่า ‘ยอดขายปลอม’ มาบวกกับ ‘นักเขียนเงา’ แล้วเขียนเครื่องหมายเท่ากับ จากนั้นก็จับโจ้วชวนกดลงไปบนเก้าอี้แห่ง ‘การหลอกลวง’ โดยสมบูรณ์ ทั้งยังตรึงเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา…

ระหว่างทางใช่ว่าจะไม่มีใครออกมาพูด เรื่องยอดขายเกินจริงแบบนี้ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ถือเป็นเรื่องปกติมาก นักเขียนทุกคนล้วนทำกันทั้งนั้น…แต่เดิมทีคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงหนังสือจริงๆ ก็มีไม่เท่าไร ในจำนวนนั้นที่เป็นแฟนคลับของโจ้วชวนและยินดีออกมาพูดแทนเขามีนับนิ้วได้ ถ้าเทียบกับคนที่เชื่อคนส่วนใหญ่และตัดสินคนอื่นง่ายๆ เหล่านั้นแล้ว แทบจะจมหายท่ามกลางทะเลมนุษย์ทุกๆ นาที…

สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยในฐานะที่โฆษณายอดขายเกินจริงก็ถูกด่าสาดเสียเทเสียเช่นกัน เวลานี้จึงไม่สะดวกที่จะออกมาพูดแทนโจ้วชวน

โจ้วชวนเองก็อยู่ในความสงบ หลังกลับจากเมือง C ถึงเมือง G แล้วก็ไม่ออกไปไหนเลย…

เขาอัพเดตนิยายตอนต่อไปบนเวยป๋อตามปกติ เพียงแต่การแชร์และคอมเมนต์ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่ามีคนกำลังเลิกเป็นแฟนคลับเขาจริงๆ และบางครั้งก็ได้รับคอมเมนต์ที่ว่า ‘นิยายเรื่องใหม่ล่าสุดของคุณตอนนี้เขียนเองหรือเปล่า พอคิดถึงเรื่องนี้ก็อ่านต่อไปไม่ได้แล้ว’

การเจรจาสัญญาลิขสิทธิ์ของ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ก็หยุดชะงักเช่นกัน ตามปกติแล้วเมื่อเขียนหนังสือจบเล่มหนึ่ง ลิขสิทธิ์ทั้งหมดจะขายได้ภายในเวลาประมาณสองเดือน ตอนนี้ใกล้จะครึ่งปีแล้ว ลิขสิทธิ์ทั้งหมดยังอยู่ในมือ เห็นทีว่ามีเพียงสองทางเลือกคือถ้าไม่ขายในราคาต่ำก็ต้องปล่อยให้เน่าอยู่ในมือ…

ภายนอกโจ้วชวนไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้แก่ใจดีว่าตนได้เดินทางมาถึงหุบเหวในสายอาชีพเสียแล้ว

จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนเขาอาจมองว่าการใส่ร้ายทั้งหมดเป็นละครสนุกๆ ไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่ร้ายแรงต่อตัวเขา…

แต่ตอนนี้มีเสียแล้ว เพราะสำหรับนักเขียน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนักอ่านนั่นเอง

นักเขียนคนหนึ่งจะถูกกังขาก็ได้ จะถูกหมิ่นประมาทก็ได้ และยอมรับได้ว่าจิตวิญญาณในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองแห้งขอดจนจำเป็นต้องทะลวงจุดที่ตีบตันออกไปใหม่อีกครั้ง แต่สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดคืออะไร…

คือข้อกังขาที่มาจากนักอ่าน

ความจริงแล้วการเขียนนิยายคือการนำเรื่องราวที่อยากบอกเล่าเล่าให้กับคนที่อยากฟังได้ฟังอย่างเรียบง่าย แม้บางคนอาจพ่นถ้อยคำแย่ๆ เช่น ‘แหวะ’ ‘ไม่สนุก’ ‘น่าเบื่อ’ แต่สำหรับนักเขียนแล้วสามารถยิ้มและปล่อยผ่านไปได้ ทว่าสิ่งที่นักเขียนรับไม่ได้คือการที่นักอ่านของตนเองหันหลังจากไป

แม้ว่าเป็นแค่ความสัมพันธ์ง่ายๆ ระหว่างการเขียนนิยายกับการอ่านนิยาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หลังจากนักอ่านคุ้นชินกับการทิ้งคอมเมนต์ว่า ‘ผิดหวังกับคุณมาก’ แล้วหันหลังจากไป บางทีนักอ่านคนนี้อาจคิดว่านักเขียนคงไม่เห็นคอมเมนต์ของเขา…

แต่ในความเป็นจริงนักเขียนเห็นเสมอ และสิ่งที่รอคอยนักเขียนอยู่คือสภาพจิตใจที่ดิ่งลงเหวภายในหนึ่งวัน หรือไม่ก็เป็นการคิดวนไปวนมา

เมื่อคอมเมนต์แบบนี้นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นักอ่านที่จากไปนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากคำซุบซิบนินทานับวันยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ…ความเสียหายก็เริ่มปรากฏออกมาจนถึงขั้นนิ่งดูดายไม่ได้

แต่จะทำอะไรได้ สิ่งที่น่าเศร้าก็คือการที่ทำอะไรไม่ได้เลย…

เมื่อคนคนหนึ่งถูกกำหนดให้กลายเป็นคนที่ถูกสังคมประณาม เขาพูดอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมด ถึงขั้นอาจมีคนถามเขาว่าถ้าคุณไม่ได้ทำ ทำไมต้องแก้ตัวมากมายขนาดนั้นด้วย

ผู้คนคงสืบสาวราวเรื่องกันจนท้ายที่สุดก็วนเวียนอยู่แต่ว่าสรุปแล้ว ‘บันทึกแห่งบูรพา’ คือผลงานเรื่องแรกของเขาใช่หรือไม่ ถ้าหากใช่ล่ะก็ ทำไมคนคนหนึ่งถึงได้มีสำนวนภาษาและวิธีการเขียนที่เป็นรูปเป็นร่าง ทั้งยังมีความเป็นผู้ใหญ่ติดตัวมาแต่เกิดขนาดนี้

คำหมิ่นประมาทในอินเตอร์เน็ตจะสงบลงได้จำเป็นต้องนำต้นฉบับ ‘ผลงานชิ้นแรก’ ของจริงที่เขียนด้วยลายมือซึ่งถูกเก็บไว้บนชั้นหนังสือออกมา…

แต่โชคไม่ดีที่ของสิ่งนี้คือปมในใจบนเส้นทางการเขียนของโจ้วชวนซึ่งแตะต้องไม่ได้

เพราะหนังสือเล่มนี้ ทำให้เขาสาบานว่าจะไม่เขียนนิยายโรแมนติกอีกต่อไป ดังนั้นผลงานหลังจากนั้นทั้งหมดล้วนเป็นแนวผู้ชายทั้งสิ้น

เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้เขากับพ่อไม่ลงรอยกัน ผลงานในมือก็ไม่ให้พ่อของเขาอ่านอีกต่อไป ถึงขั้นที่ว่าตอนแรกเริ่มที่โจ้วชวนยังไม่ดังขนาดนั้นก็ปฏิเสธที่จะให้โจ้วกู้เซวียนออกหน้าเขียนคำนิยมให้อย่างอวดดี

เขาถึงขั้นปฏิเสธไม่ให้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยติดคำห้าพยางค์ที่เรียบง่ายและไม่มีใครสนใจว่าจริงหรือไม่อย่างคำว่า ‘โจ้วกู้เซวียนแนะนำ’ ตอนที่กำลังโปรโมต…

ดังนั้นสุดท้ายแล้วโจ้วชวนจึงเลือกที่จะเงียบ

สี่วันผ่านไปเพียงพริบตา

สำหรับบรรดาขามุงทั้งหลาย เรื่องนี้พวกเขาแทบจะลืมเลือนไปหมดแล้ว เมื่อพวกเขาหันไปทุ่มเทกับการใช้ชีวิตของตัวเอง ทำงาน และเรียนหนังสือ เรื่องที่พูดคุยหลังมื้ออาหารก็เปลี่ยนจาก ‘นักเขียนเงาของโจ้วชวน’ กลายเป็นเรื่องซุบซิบในวงการบันเทิงอื่นๆ แล้ว…

แต่ข้อกังขาและคอมเมนต์ว่าร้ายที่พวกเขาทิ้งไว้ในเวยป๋อของโจ้วชวนยังคงอยู่

ตอนนี้มีกลิ่นบุหรี่ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องของโจ้วชวนและกระป๋องเบียร์กองพะเนินเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ อยู่หน้าประตูห้อง…เมื่อชูหลี่เลิกงานกลับบ้าน เธอต้องหิ้วกระป๋องเบียร์ถุงหนึ่งเดินไปทิ้งที่จุดทิ้งขยะของหมู่บ้านวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเก็บขยะที่นั่งรอเก็บกระป๋องโดยเฉพาะทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

“สาวน้อย ทำไมบ้านเธอถึงได้ดื่มเบียร์เยอะแยะขนาดนั้นทุกวันล่ะเนี่ย คงไม่ใช่ว่ามีคนกำลังติดเบียร์อยู่หรอกนะ เธอต้องเตือนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ป่วยเป็นพิษสุราเรื้อรังเอาซะหรอก ลูกชายคนโตของฉันก็ติดเบียร์จนป่วยเหมือนกัน…”

ภายใต้แสงอาทิตย์ ชูหลี่ที่กำลังหิ้วถุงขยะสั่นสะท้านอย่างแรงราวกับว่ามีคนยื่นมือล้วงเข้ามาในอกเธอ กระชากหัวใจ จากนั้นก็พยายามบีบเค้นและขยี้มัน

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือเวลานี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ตั้งแต่การปลอบประโลมในตอนแรกเริ่มจนถึงการนิ่งเงียบในเวลาต่อมา…ชูหลี่ลากฝีเท้าที่ชาหนึบกลับถึงบ้าน เธอจ้องมองประตูห้องบานนั้นที่ปิดสนิทตลอดเวลา

ทำให้เธอคิดถึงเมื่อก่อนที่นานมาแล้ว ตอนที่พวกเขายังไม่ได้คบกัน โจ้วชวนเคยขังตัวเองอยู่ในห้องเพราะอารมณ์ไม่ดี เปิด ‘Lost River’ แล้วก็เปิด ‘ที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต’ ฟัง…ในตอนนั้นอย่างมากที่สุดเขาก็แค่เศร้า แต่ไม่ถึงกับใกล้ตาย

ชูหลี่เดินไปที่ประตูบานนั้น ยืนนิ่ง งอนิ้วแล้วเคาะประตู

“โจ้วชวน”

“…”

“โจ้วชวน คุณเปิดประตูหน่อย”

“…”

“โจ้วชวน คุณออกมาคุยกับฉันหน่อยได้ไหม”

“…”

“โจ้วชวน…”

ขณะที่เสียงของคนที่อยู่นอกประตูค่อยๆ เจือสะอื้นก็มีเสียงแกร๊กดังขึ้น ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก…คนที่อยู่ด้านในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย หนวดเครารกครึ้ม เขาโผล่หน้าออกมาจากหลังช่องประตูที่เปิดแง้มไว้แล้วมองคนที่ก้มหน้าอยู่นอกประตู นิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา

“ทำไมร้องไห้อีกแล้ว”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยการทอดถอนใจ เขายื่นมือออกไป ใช้ปลายนิ้วที่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่เช็ดน้ำตาให้เธอ

“ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย” เสียงของชายหนุ่มสงบนิ่งมาก “หลายวันมานี้ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ ก็แค่มีเรื่องบางอย่างที่คิดไม่ตกเลยหักโหม…คิดๆ ดูแล้วก็แปลกมากเหมือนกันนะ ตั้งใจเขียนมาตั้งหลายปีขนาดนั้น แฟนคลับที่เอาแต่พูดว่าชอบผมก็กลายเป็นแอนตี้แฟนง่ายๆ เพราะข่าวโคมลอยที่ไม่มีแม้แต่หลักฐาน แถมยังระบายกับคนอื่นไปทั่วว่าตัวเองไปชอบนักเขียนที่ไม่ควรค่าให้ชอบตั้งหลายปี…”

ชูหลี่เงยหน้ามองชายหนุ่ม มองริมฝีปากของเขาที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ จู่ๆ ก็กลัวขึ้นมา…

“เพราะงั้นผมคิดดีแล้ว ทำอย่างนี้ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไร งั้นไม่เขียนแล้วดีกว่ามั้ง”

เขายังคงเอ่ยคำพูดที่น่ากลัวที่สุดออกมาแบบนี้

หากให้อธิบายว่าตอนนั้นเธอคิดอะไรอยู่ ชูหลี่กลับรู้สึกว่า ‘เบื้องหน้าพลันมืดสนิท’ อย่างที่ว่ากันจริงๆ และไม่ใช่แค่พูดไปอย่างนั้น เธอกลั้นลมหายใจเฮือกหนึ่งไว้ที่อก จะหายใจออกมาก็ไม่ได้ จะหายใจเข้าไปก็ไม่ลง อึดอัดจนแทบจะลืมไปแล้วว่าการหายใจปกติเป็นอย่างไร…

น้ำตาหยุดไหลแล้ว เธอมองโจ้วชวนด้วยท่าทีนิ่งงัน

“โจ้ว…โจ้วชวน ฉันรู้ว่าคุณไม่ต้องการ บ.ก. ไม่ต้องการให้ใครมารับผิดชอบอาชีพนักเขียนของคุณ คุณไม่เชื่อใจใคร…” สมองของชูหลี่แทบจะว่างเปล่า “แต่แค่ครั้งเดียว แค่ครั้งนี้เท่านั้น คุณเชื่อฉันสักครั้งได้ไหม”

เธอยื่นปลายนิ้วเย็นเฉียบออกไปจับมือโจ้วชวนอย่างระมัดระวัง ของเหลวใสเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงบนหลังมือของเขา…

“ยังไงซะก็ไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว คุณส่งต้นฉบับเรื่องนั้นมาให้ฉัน ฉันจะลองดู…พวกเรามาลองกันเถอะ” ชูหลี่ก้มหน้าลง ร้องไห้โดยไร้เสียง “ฉันจะพยายามและจะทำให้ดีที่สุด ทรัพยากรทั้งหมด เส้นสายทั้งหมด ต่อให้หลังจากนี้ฉันจะเป็น บ.ก. ไม่ได้แล้ว ฉันก็ยินดี”

บรรยากาศตกสู่ความเงียบงัน

น้ำใสๆ ไหลกลิ้งไปตามหลังมือของชายหนุ่มและหยดลงพื้น

หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาร้องไห้จนแข้งขาอ่อน ทรุดนั่งลงกับพื้น มือยังคงกำนิ้วชี้ของเขาไว้แน่น เหมือนกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้…

โจ้วชวนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคำพูดที่โพล่งออกมาง่ายๆ ของตนเอง สำหรับอีกคนแล้วจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้…

ราวกับว่าฟ้าถล่มลงมาหมดแล้ว

ความหวาดกลัวและความกระสับกระส่ายรุนแรงราวกับภูเขาทลายผืนดินปริแตกปานนั้น

 

* JD.Com หรือจิงตง คือแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าออนไลน์สำหรับร้านค้าของทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: