บทที่ 127
อารมณ์ของคนเราคือสิ่งที่แปลกประหลาดมากอย่างหนึ่ง…ก็เหมือนกับโจ้วชวน วินาทีก่อนหน้านี้เขาคิดตกแล้ว และรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นไร แต่วินาทีต่อมากลับคิดไม่ตกเสียแล้ว และรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
บอกไม่ได้ว่าอารมณ์ไปถึงขอบเขตที่จวนเจียนจะขาดผึงตั้งแต่เมื่อไร
ถ้านึกย้อนกลับไปดีๆ ดูเหมือนว่าหนึ่งวินาทีก่อนหน้านี้เขาสามารถบอกคนที่เป็นห่วงด้วยรอยยิ้มว่า ‘ผมไม่เป็นไร’ ได้ แต่วินาทีต่อจากนั้น เมื่อนึกถึงนักอ่านที่จากไป นึกถึงความรู้สึกตอนที่พวกเขาหันหลังจากไป นึกถึงท่าทางของพวกเขาที่พูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น จู่ๆ อารมณ์ด้านลบก็โถมเข้ามา…
ความรู้สึกที่สั่งสมมาหลายวันก็ระเบิดออกมา
จริงๆ แล้วนักอ่านที่ให้กำลังใจเขาบนเวยป๋อหรือไม่ก็ผ่านการส่งอีเมลให้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยก็มีไม่น้อยเหมือนกัน พวกเขาเชื่อเสมอว่าโจ้วชวนไม่ใช่นักเขียนอย่างที่คนข้างนอกพูดกัน…กำลังใจเหล่านี้สำคัญอย่างมาก ชั่ววินาทีนั้นโจ้วชวนรู้สึกว่าตนเองได้รับการช่วยชีวิตและมีแรงลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง…
แต่ยี่สิบข้อความที่ให้กำลังใจย่อมมีข้อความแดกดันถากถางปะปนอยู่หนึ่งข้อความ และนั่นก็ลบล้างกำลังใจที่ได้รับมาทั้งหมดได้เช่นกัน…
เขาไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยหรือไม่สนใจได้
“…”
ขณะนั้นเองโจ้วชวนมองชูหลี่ที่นั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างเท้าเขา คิดในใจว่าเธอเองก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกันสินะ ใช้ชีวิตอยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดในบ้านทุกวัน…ความจริงแล้วเขาควรกอดเธอ ลูบหลังเธอเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วปลอบเธอว่าไม่เป็นไร ร้องไห้ทำไม ทุกอย่างมันจะผ่านไป
แต่พอพยายามขยับนิ้วทั้งสิบแล้ว กลับพบว่าแม้แต่แรงงอนิ้วก็ยังไม่มี…เขาได้แต่ฝืนใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดกุมมือนุ่มๆ ข้างนั้นที่กำลังกำนิ้วชี้ของเขาไว้พลางเอ่ย
“ขอโทษ”
“คุณขอโทษอะไร!”
“…ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ขอโทษที่ไม่มีบทพระเอกอย่างที่ควรมีในนิยาย และไม่มีที่พึ่งพิงให้คุณหลังจากฟ้าถล่มลงมา…
ผมเป็นอย่างที่คิดนั่นแหละ…
ผมเขียนนิยายโรแมนติกไม่ได้
โจ้วชวนประคองชูหลี่ไปนั่งลงบนโซฟา เอ้อร์โก่วรู้ว่านายหญิงที่พามันไปเดินเล่นทุกวันร้องไห้และรู้สึกได้ถึงความเศร้าของเจ้านายที่ให้อาหารมันทุกวัน จึงส่งเสียงครางหงิงๆ หางไม่ยกขึ้น แต่ลู่ลงตรงหว่างขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็หันหลัง ก้มหน้าหูลู่กลับไปนอนขดตัวที่คอกของตัวเอง
ส่วนโจ้วชวนนั่งลงบนโซฟาเงียบๆ ปล่อยให้ชูหลี่ร้องไห้จนพอใจ…
ชายหนุ่มมองคนข้างกายที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและไม่ยอมปล่อยมือเขา คำพูดหุนหันพลันแล่นของเขาที่ว่า ‘ไม่เขียนแล้ว’ ทำให้เธอตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…
โจ้วชวนถอนหายใจ ใช้มือลูบศีรษะเธอ รู้สึกว่าตนเองไม่ควรเป็นอย่างนี้…ทว่าเมื่อเดินออกจากห้อง เห็นเธอร้องไห้เพราะเรื่องของเขา…ชั่วพริบตานั้นอารมณ์ด้านลบก็พุ่งถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตระหนักได้ว่าตนเองไม่อยากให้เรื่องนี้ทำร้ายหรือถ่วงคนรอบข้างอีก ไม่อย่างนั้นเจียงอวี่เฉิงที่ถูกเรียกว่า ‘ทายาทแห่งวรรณกรรม’ หรือชูหลี่ก็จะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย
แต่ผลคือทำเรื่องให้แย่ลงกว่าเดิมเพราะความวู่วามของตนเอง พูดถ้อยคำที่ไม่ควรพูด ทำให้เธอร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม…
มีวิธีที่พอจะชดเชยได้หรือเปล่า
…ตอนนี้มองดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะมี
เมื่อครู่นี้เธอพูดถึงเรื่องต้นฉบับพวกนั้น ตอนนี้โจ้วชวนเองก็ลังเลอยู่บ้างเหมือนกัน ในหัวมีเสียงกำลังพูดว่ารับปากเธอสิ เอาต้นฉบับนั่นให้เธอซะ นายต้องคิดว่าเธอไม่ใช่แฟนของนาย ต้องสลัดเรื่องของความรู้สึกทิ้งไป และควรยอมรับความสามารถในฐานะ บ.ก. ของเธอ
บ.ก. เหรอ
บ.ก. ส่วนตัวเหรอ
ไม่ใช่ยาพิษสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องต่อต้านขนาดนี้…
ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าหลังจากสั่วเหิงตกต่ำ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เคยบ่นว่าเหล่าเหมียวว่าเขาทำตรงไหนไม่ถูกหรือทำตรงไหนไม่ดี…เพราะคนที่ใกล้จะตาย ถ้ายังกลัวยาพิษ มันออกจะตลกเกินไป
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
วันนี้โจ้วชวนเดินออกจากห้องของตัวเอง เดินเข้าไปในห้องหนังสือ จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในนั้นทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ชูหลี่ลุกขึ้นจากโซฟาทั้งที่ตาบวมเหมือนลูกท้อ เธอดูเวลา ปรากฏว่าใกล้จะถึงเวลาเข้างานแล้ว…ในห้องรับแขกว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ประตูห้องของโจ้วชวนเปิดทิ้งไว้ ข้างในไม่มีคนอยู่
หญิงสาวเดินมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ ค่อยๆ เปิดประตู มองแวบเดียวก็เห็นชายหนุ่มฟุบอยู่บนโต๊ะหนังสือหลับสนิท…ข้างมือเขามีต้นฉบับปึกใหญ่วางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ตามลำดับอย่างสุดความสามารถ ลายมือและเนื้อกระดาษสีออกเหลืองบ่งบอกถึงระยะเวลาที่ของสิ่งนี้ดำรงอยู่ บางแผ่นเขียนไปเขียนมามีสูตรเคมีหรือไม่ก็ทดเลขคณิตศาสตร์โผล่มาด้วย…ขณะที่เรียนหนังสืออยู่ คนคนนี้คงฉวยเอามาใช้กะทันหันตอนที่ไม่มีกระดาษเขียนต้นฉบับอยู่ใกล้มือ…
จากนั้นก็เว้นไว้สองสามบรรทัด แล้วเขียนเนื้อหาต่อจากก่อนหน้านี้ที่ยังเขียนไม่จบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…ตอนนั้น ‘การสร้างสรรค์ผลงาน’ สำหรับโจ้วชวนแล้วคงจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายและบริสุทธิ์มากสินะ
หญิงสาววางกระดาษลง ขณะกำลังจะหมุนตัวกลับไปหยิบผ้าห่มที่ห้องรับแขกมาห่มให้เขาก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลัง…ชูหลี่หันไปมองชายหนุ่มด้านหลังที่ลุกขึ้นมาจากโต๊ะช้าๆ ส่งยิ้มให้เขา แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ฉันทำคุณตื่นหรือเปล่าคะ”
โจ้วชวนคลึงหัวคิ้ว “เปล่า”
เงียบไปสักพัก จากนั้นทั้งสองต่างก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกัน…
หลังจากตะลึงงันไปเล็กน้อยก็สบตาและยิ้มให้กัน โจ้วชวนเอ่ยเสียงราบเรียบ “คุณพูดก่อนสิ”
“โจ้วชวน ฉันรอคอยว่าสักวันหนึ่งคุณจะมอบต้นฉบับปึกนั้นให้ฉัน แต่ฉันหวังว่าตอนนั้นในสายตาคุณ คนที่รับต้นฉบับจะไม่ใช่แฟนของคุณ แต่เป็น บ.ก. ของคุณ…” ชูหลี่ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเนิบช้า “ฉันไม่อยากใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเราบีบบังคับให้คุณทำเรื่องใดๆ ก็ตามที่คุณไม่อยากทำ แต่ตอนนี้การนำต้นฉบับผลงานเรื่องแรกของคุณมาประกาศต่อสาธารณะคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ฉันคิดดูแล้ว คุณเองก็มีความกังวลของคุณเหมือนกัน…” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ถ้าคุณคิดดีแล้วค่อยมอบมันให้ฉัน ในฐานะ บ.ก. ฉันสาบานว่าจะทำมันอย่างสุดความสามารถ เหมือนกับที่ฉันทุ่มเททำหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมือฉัน ฉันจะดูแลมันอย่างดี จะใช้มันเป็นสื่อกลางที่ดีที่สุด จะทำให้นักเขียนและนักอ่านได้ทำความเข้าใจกัน”
“…”
ชายหนุ่มที่อยู่หลังโต๊ะได้ยินดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมเองก็กำลังคิดจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี” โจ้วชวนหลุบตา วางมือลงบนต้นฉบับที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ผมอยากให้คุณให้เวลาผมหน่อย ให้ผมได้คิดอีกสักพัก”
ชูหลี่พยักหน้า “งั้นฉันไปทำงานแล้วนะคะ”
“ไปเถอะ”
ชูหลี่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จากนั้นก็หยุดลงอีกครั้ง แล้วหันหน้าไปมองโจ้วชวน…เมื่อสบตากับชายหนุ่ม เธอยันกรอบประตูไว้ ปลายนิ้วจิกกับกรอบประตูจนทิ้งรอยเล็บเล็กๆ ไว้รอยหนึ่ง เอ่ยถามอย่างลังเล
“…งั้นวันนี้ยังจะอัพเดตไหมคะ”
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความระมัดระวังและหวาดกลัว เหมือนกับบีบบังคับให้ตัวเองเงยหน้าเผชิญกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฝันร้าย เธอกลืนน้ำลายลงไปดังเอื๊อก สิ่งที่คิดอยู่ในใจคือถ้าโจ้วชวนพูดอะไรที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังอย่างเมื่อวานนี้อีกครั้ง ฉันจะ…จะ…เอาเถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทำอะไร
…‘การเขียน’ สร้าง ‘โจ้วชวน’
…เป็นส่วนหนึ่งที่เขาขาดไม่ได้
…เมื่อเห็นปลายนิ้วของเขาโลดแล่นบนแป้นพิมพ์ เคาะเรื่องราวสนุกๆ ออกมาทีละเรื่อง ใบหน้าด้านข้างที่กำลังจดจ่อคือภาพที่ชูหลี่คุ้นเคยมาตั้งแต่แรกแล้ว…
…เธอจะสูญเสียไปไม่ได้
…เขาเองก็สูญเสียไปไม่ได้เช่นกัน
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของชูหลี่ เธอจ้องชายหนุ่มโดยที่ตาไม่กะพริบ กระทั่งใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ผงกศีรษะพลางส่งเสียง “อืม” เธอก็ปล่อยมือจากกรอบประตู วิ่งเหยาะๆ ราวกับสายลมพัดไปยังเบื้องหน้าเขาและประทับจูบลงบนริมฝีปากเขา…
โจ้วชวน คำพูดที่ว่า ‘งั้นไม่เขียนแล้วดีกว่ามั้ง’ ก็ถือซะว่าเป็นความลับระหว่างเราสองคนก็พอ ฉันจะช่วยคุณยัดมันกลับลงไปในกล่องแพนโดร่าเอง…คุณรับปากฉันสิว่าอย่า…อย่าเปิดมันออกมาอีกเลย
ต่อมาเป็นวันพุธ โจ้วชวนไม่มีความเคลื่อนไหว
วันพฤหัสบดี โจ้วชวนยังคงเงียบ
วันศุกร์ โจ้วชวนเงียบต่อไปจนทำให้ชูหลี่อยากจะเตือนเขาว่า ‘คุณมีต้นฉบับอยากให้ฉันอ่านหรือเปล่า’
จากนั้นก็เป็นวันเสาร์
ขณะที่คนทำงานพักผ่อน ขณะที่เด็กประถมไม่ต้องไปเรียน ขณะที่ชูหลี่คิดอย่างปวดหัวว่าเรื่องราวทั้งหมดยังไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด เธอเตรียมตัวใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ที่แย่ที่สุดในชีวิตด้วยความหดหู่ใจ เช้าวันเสาร์ ชูหลี่ทำอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เปิดโทรทัศน์ดูด้วยความเคยชิน จากนั้นก็ตะลึงงัน เพราะพบว่าที่พ่อสามีของเธออยู่ในโทรทัศน์
“…”
โจ้วกู้เซวียนปรากฏตัวในรายการ ‘ทอล์กโชว์’ ที่เรตติ้งสูงมาก ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างยิ่ง ทุกบ้านแทบจะดูกันหมดในตอนเช้าและเวลากินอาหารเช้า…ขณะนั้นเขากำลังพูดเรื่องของโจ้วชวน
“เมื่อนานมาแล้วสักช่วง ม.ห้า ม.หก โจ้วชวนเคยเอาต้นฉบับที่เขาเขียนมาให้ผมอ่าน…ในที่นี้ผมใช้คำว่า ‘เขียน’ เพราะเป็นการเขียนทีละตัวอักษรลงบนกระดาษ…ตอนนั้นผมบอกเขาว่าโจ้วชวน ถ้าแกอยากเขียนหนังสือล่ะก็ ฉันจะสนับสนุนแก แต่แกยังเด็ก อยากเขียนหนังสือก็ไปเขียนสิ่งที่จริงจังหน่อย สิ่งพวกนี้จะเป็นผลดีต่อแก
ทำไมฉันพูดอย่างนี้น่ะเหรอ…เพราะว่าตอนที่แกกำลังเขียนสิ่งที่จริงจังน่ะ ยกตัวอย่างเช่นแกเขียนนิยายประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ถัง ในฐานะนักเขียน แกก็ต้องไปค้นคว้า ต้องคาดหวังว่าผลงานของตัวเองจะมีข้อมูลครอบคลุมไปทุกด้าน ดังนั้นระหว่างที่แกกำลังศึกษาค้นคว้าก็จะได้สัมผัสกับความรู้มากมายที่ไม่ได้จากห้องเรียน ความรู้พวกนี้จะเป็นความรู้ตกตะกอนและจะติดตัวแกตลอดไป ใช้เป็นประโยชน์ได้ตลอดชีวิต
นี่เป็นทัศนคติที่ฉันคิดว่าวัยรุ่นควรจะมีต่องานเขียนของตัวเอง…ไม่ใช่พอเริ่มเขียนก็นึกถึงแต่ชื่อเสียง นึกว่าตัวเองจะได้เป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์อะไรนั่น นึกถึงเรื่องเงินทอง…สิ่งเหล่านี้หลังจากแกโตขึ้นค่อยสัมผัสมันยังไม่สายหรอก ตอนเริ่มเข้าวงการแกควรมีทัศนคติที่ดีและบริสุทธิ์เพื่อเผชิญหน้ากับการเขียนต่อไป”
“อาจารย์โจ้วกู้เซวียนพูดถึงงานเขียนในปีแรกของอาจารย์โจ้วชวนกับเราที่นี่ งั้นเรากลับไปที่ประเด็นหลักของวันนี้กันนะครับ อาจารย์ ตอนนั้นคุณได้ชี้แนะแนวทางการเขียนเรื่อง ‘บันทึกแห่งบูรพา’ ให้อาจารย์โจ้วชวนจริงหรือไม่ครับ”
พิธีกรยิ้มแล้วส่งไมค์ให้โจ้วกู้เซวียน
“เมื่อครู่นี้ผมก็กำลังตอบคำถามนี้ยังไงล่ะครับ สิ่งที่เขาเขียนในตอนนั้นผมไม่เห็นด้วยและไม่คิดว่าเขาจะต้องรีบร้อนโด่งดังในฐานะนักเขียน…ดังนั้นผมไม่มีทางทำเรื่องฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติพรรค์นี้หรอก
ผมรู้ว่าตอนนี้ในอินเตอร์เน็ต ผู้คนรู้สึกว่าผลงานแจ้งเกิดเรื่องแรกของเขามีความเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่ผลงานเรื่องแรกของเขา ก่อนหน้านี้เขาเคยมีประสบการณ์สร้างสรรค์งานเขียนที่ยาวหลายแสนตัวอักษรมาก่อน…”
กล้องของรายการแพนไปทางผู้ชมที่อยู่ในที่นั้น ทุกคนล้วนตกตะลึง แต่ละคนต่างทำสีหน้าเหมือนกับบอกว่า ‘เรื่องนี้พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย’
อาจารย์โจ้วกู้เซวียนใบหน้าไร้อารมณ์
“เพราะผลงานเรื่องนั้นทำให้เราพ่อลูกทะเลาะกันใหญ่โต โจ้วชวนฉีกต้นฉบับส่วนหนึ่งทิ้งและอีกส่วนหนึ่งเผาทิ้งต่อหน้าผม ส่วนต้นฉบับที่เหลือผมไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว ถ้าพวกคุณสนใจล่ะก็ ไปขอดูจากเขาได้…”
ผู้ชมในรายการส่งเสียงฮือฮา เสียงถกเถียงกันดังกระหึ่มไปทั่วสารทิศ
“ส่วนความจริงของเรื่องนี้ ถ้าอยากจะพิสูจน์นั้นง่ายมาก ไปถามเพื่อนสมัยมัธยมปลายของเขาดูก็รู้แล้ว น่าจะมีคนไม่น้อยเคยอ่านนิยายบ้าๆ นั่น…ผมเคยได้ยินว่าตอนนั้นมันเป็นที่นิยมมากในโรงเรียนของเขา ทุกคนเอาแต่เวียนกันอ่านไม่หยุด
ผมไม่รู้ว่าทำไมมีคนบางคนต้องกุเรื่องเกี่ยวกับผลงานของลูกชายผม…พวกคุณมีหลักฐานหรือเปล่า พยานบุคคลก็ดี พยานวัตถุก็ดี…พวกคุณไม่มีเลย
แต่ผมมี ผมมีพยานบุคคล เป็นเพื่อนของโจ้วชวนที่ได้อ่านต้นฉบับที่เขาเขียนในตอนนั้น และผมเองก็มีพยานวัตถุเหมือนกัน แน่นอนว่าพยานวัตถุพวกคุณต้องไปเอาที่โจ้วชวนเอง แม้ผมคิดว่าเขาอาจไม่ให้พวกคุณก็เถอะ เพราะหลายปีมานี้การพูดถึงต้นฉบับนั่นขึ้นมา ทำให้เขาเหมือนหมาบ้า…
ผมอยากเตือนคนบางคนไว้ ณ ที่นี้สักหน่อย โลกน่ะไม่ได้สวยงามอย่างที่มองเพียงฉากหน้า และไม่ได้ดำมืดอย่างที่พวกคุณจินตนาการหรอก…ประตูทางเข้าของสมาคมนักเขียนเปิดกว้างต้อนรับนักเขียนหนุ่มสาวที่มีความสามารถอยู่เสมอ ถ้าพวกคุณอยากเข้าร่วมก็ทำผลงานของพวกคุณออกมาให้ดี ผลงานคืออิฐเคาะประตู* เพียงหนึ่งเดียวที่นำพวกคุณเข้าสู่สมาคมนักเขียนได้”
การสัมภาษณ์ของรายการดำเนินมาใกล้ช่วงสุดท้าย ดูเหมือนว่าเวลาสัมภาษณ์คงจะเป็นวันพุธของสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นหนึ่งวันก่อนที่ชูหลี่กับโจ้วชวนจะนั่งเครื่องบินกลับไปที่บ้านของโจ้วชวน…
เพียงแต่รายการถูกจัดให้ออกอากาศในตอนนี้เท่านั้น…ปากบอกว่า ‘ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก ให้พวกเขาด่าแกต่อไปนั่นแหละ’ แต่ความจริงแล้วกลับลงมือก่อนที่ลูกชายจะเปิดปากขอร้องเสียอีก
“…โอ้”
ชูหลี่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เข้าอินเตอร์เน็ตด้วยความสับสนเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจในทันทีคือปฏิกิริยาของชาวเน็ตที่มีต่อเรื่องนี้…
เวยป๋อที่เคยโพสต์กันก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งถูกขุดขึ้นมา เช่น
‘เมื่อหลายปีก่อน ก่อนเรื่อง ‘บันทึกแห่งบูรพา’ โจ้วชวนก็มีผลงานอื่นๆ ด้วย ฉันเคยอ่าน’
‘ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายของโจ้วชวน ไม่รู้ว่าพวกคุณกำลังว่าร้ายใครอยู่ ‘บันทึกแห่งบูรพา’ น่ะ ฉันเคยเห็นเขาเขียนตอนชั่วโมงทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือกับต้นฉบับตีพิมพ์ต่างกันแค่คำที่เขียนผิดเท่านั้นแหละ’
‘พวกคุณต้องไม่รู้แน่ว่านิยายโรแมนติกเรื่องแรกที่โจ้วชวนเขียนตอนนั้นสนุกแค่ไหน สาวๆ อย่างพวกเราน่ะล้วนเป็นแฟนคลับเขาทั้งนั้น แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญก็คือเขาหล่อมากด้วยยังไงล่ะ’
…เวยป๋อเหล่านี้ล้วนโพสต์ไว้เมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่ตอนนั้นถูกกลบด้วยกระแสโจมตีโจ้วชวน
ในตอนนี้เองรายการก็เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว และถึงกับมีช่วงไฮไลต์พิเศษส่งท้ายด้วย…
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการอัดรายการไม่กี่วัน สำหรับเรื่องยอดขายเกินจริงของโจ้วชวน ทางรายการได้ต่อสายโทรศัพท์เพื่อสัมภาษณ์สดโจ้วกู้เซวียนอีกครั้ง!
โจ้วกู้เซวียนยังคงแสดงออกได้อย่างเจนจัด…
“ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น คุณเอาหนังสือในช่วงไม่กี่ปีมานี้ไปค้นหาจำนวนที่นักอ่านเลือกซื้อจากชั้นวางเองสักครั้งก็ได้ คุณจะพบเองว่าตัวเลขยอดขาย ‘หนังสือขายดี’ ต่างจากที่คุณคิดกันไว้…ถ้าทุกคนพูดเกินจริงกันหมดล่ะก็ ก็คงไม่ดีที่จะพุ่งเป้าไปที่คนคนเดียวแล้วบอกว่าเขาพูดเกินจริงใช่ไหมล่ะ คุณไม่พูดเกินจริง คนอื่นก็ต้องพูดเกินจริงอยู่ดี คุณทนได้เหรอที่หนังสือตัวเองขายได้สามแสน แต่ผลสุดท้ายชื่อเสียงกลับอยู่ในระดับเดียวกันกับหนังสือที่ขายได้สามหมื่น ทว่ากลับพูดเอาเองว่าขายได้สามแสนห้า
ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่จ่ายไปในราคาสูงแล้วคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไม่ต้องโมโหหรอก จริงๆ แล้วสิ่งที่พวกคุณซื้อไปสุดท้ายก็ยังเป็นหนังสือขายดีอยู่ดี…‘สิ่งที่พวกคุณจ่ายห้าล้านเพื่อให้ได้มาคือหนังสือที่มียอดขายเกินจริงหนึ่งล้านแต่ยอดขายจริงสามแสน’ งั้นถ้าบอกว่า ‘คุณจ่ายหนึ่งล้าน สิ่งที่ได้มาก็แค่หนังสือที่มียอดขายเกินจริงสามแสนแต่ยอดขายจริงสามหมื่น’…ความจริงแล้วไม่ต่างกันเลย อยู่ที่วิธีพูดเท่านั้น คุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าสำนักพิมพ์จะพูดเกินจริงไปเท่าไร ตัวมันเองขายได้มากก็ต้องพูดเกินจริงให้มากขึ้น ไม่ส่งผลต่อความจริงที่ว่ามันคือหนังสือขายดี…ผมพูดอย่างนี้พวกคุณเข้าใจไหม…แน่นอน ผมคิดว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรค่าแก่การสนับสนุน ทั้งวงการสื่อสิ่งพิมพ์ควรตกลงกันและหยุดการพูดเกินจริงพรรค์นี้ไปซะ”
แม้จะรู้สึกว่ามีตรงไหนสักอย่างที่ผิดปกติ แต่ทุกคำพูดกลับมีเหตุผลและหลักฐาน ทำให้คนเชื่อถือ
ชูหลี่พบว่าในยามปกติโจ้วชวนมักจะเจ้าบทบาทและแสดงได้อย่างลื่นไหล…ดูท่าทางนิสัยนี้คงจะได้มาจากพ่อของเขาเต็มๆ
อาจารย์โจ้วกู้เซวียนเป็นพ่อปลาไหลที่ภายนอกฉาบไว้ด้วยท่าทีจริงจังของแท้ ทั้งห้องส่ง รวมถึงพิธีกร ทุกคนล้วนถูกคำพูดของเขาทำให้ตะลึงงัน…ท่าทางเชื่อมั่นของเขาไม่ใช่สิ่งที่ทางรายการจะเตรียมล่วงหน้าไว้ได้
“…”
ชูหลี่วางรีโมตลงแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปยังหน้าประตูห้องโจ้วชวน ฟังความเงียบงันข้างใน จากนั้นก็ยื่นมือไปเคาะประตูดังก๊อกๆ
“โจ้วชวน? คุณตื่นก่อนนะคะ ออกมานี่หน่อย…เมื่อกี้อาจารย์โจ้วกู้เซวียนล้างมลทินให้คุณอยู่ในทีวีด้วยล่ะ การล้างมลทินครั้งนี้เป็นการซักล้างระดับตราอินทรี* เลยนะ ซักล้างไปถึงช่อง CCTV เชียว สุดยอดมากเลย!”
* อิฐเคาะประตู เปรียบเปรยถึงวิธีที่ใช้ในการแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์
* ตราอินทรี เป็นชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องปากชื่อดังของจีน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.