บทที่ 5
ชูหลี่เอ่ยเรียก “เหล่าเหมียวคะ”
“อะไร”
“คุณได้ยินเสียงอะไรไหมคะ”
“เสียงอะไรเหรอ”
“เสียงหัวใจของหญิงสาวอย่างฉันที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ”
“…”
หลังจากที่แม่นางเจี่ยนทำให้หัวใจของเธอแตกสลายไปแล้ว ทัศนคติทั้งสามด้านของชูหลี่ก็ถูกโจมตีอีกครั้งอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นจึงทำให้เธอตะลึงงันไปชั่วขณะ เพราะโจ้วชวนในความคิดของเธอไม่ใช่แบบนี้
หญิงสาวเปิดเวยป๋อของโจ้วชวนดูอีกครั้งอย่างตั้งใจ ภาพลักษณ์ของโจ้วชวนต้องแบบนี้…
ผู้อ่าน Q : เทพโจ้วชวนเสียงไพเราะน่าฟังมาก น่าจะหล่อมากแน่ๆ เลย เสียดายที่ไม่ได้ออกมาแจกลายเซ็น ท่านดูลึกลับมากเลย น่าเสียดายจัง! ฉันเคยได้ยินหลายคนบอกว่าท่านสูงมาก!
โจ้วชวน A : พวกคุณชมผมแบบนี้มันทำให้ผมเขินนะครับ ที่ไม่ได้แจกลายเซ็นเพราะเกรงว่าพวกคุณจะผิดหวัง หากได้เจอผู้ชายประเภทที่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน จะให้ผมทำยังไง ถ้าถึงตอนนั้นแล้วผมไปทำร้ายหัวใจสาวๆ อย่างพวกคุณเข้า
ผู้อ่าน Q : ปกติแล้วท่านเทพอ่านหนังสือเรื่องอะไรคะ ตรงนี้มีเจ้าหมาวัยมัธยม* อยู่ตัวหนึ่ง
โจ้วชวน A : ถ้าเป็นนักเรียนมัธยมไม่ควรอ่านหนังสือที่น่าเบื่อถูกต้องไหมครับ คุณครูของคุณก็คงแนะนำผลงานที่มีชื่อเสียงทั่วไปอย่าง ‘เหมันตคาม’ โดยส่วนตัวรู้สึกว่าหนังสือเรื่อง ‘มายา รัก ละครสัตว์’ ‘ตรอกร้อยเรื่องราว’ และหนังสือชุด ‘The Summer of the Ubume’ ของ นัตสึฮิโกะ เคียวโกกุนั้นดีมากเลย! หากมีเวลา แนะนำให้ทุกท่านลองจัดรายการหนังสือดูนะครับ
ไม่ใช่…
‘คุณว่างมากนักเหรอ’
‘อยากโดนบล็อกหรือไง’
‘หลงหยางสิบแปดกระบวนท่า’
ชูหลี่ “…”
หลงหยาง* กับผีสิ! นายเคยอ่านหรือไง! ฉันก็รู้จักตาแก่เข็นรถ** เหมือนกัน!!
หัวใจสาวๆ อย่างพวกคุณอย่างงั้นเหรอ แล้วฉันล่ะ! ฉันไม่ใช่สาวๆ ตรงไหน!
โจ้วชวนที่เห็นในโพสต์กับโจ้วชวนที่เพิ่งพิมพ์ข้อความมาไม่เหมือนกันเลยสักนิด!!!
เมื่อทัศนคติทั้งสามด้านถูกโจมตีจนชูหลี่ไม่สามารถระงับคำด่าในใจได้ ดังนั้นเธอจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเลือกอีเมลต้นฉบับยี่สิบรายการและรวบรวมมันไว้ที่เดียวกันก่อนจะกดบันทึกข้อมูล ในขณะเดียวกันก็พูดคุยกับ Mr. L ผ่านคิวคิวในเชิงลึก…เรื่องนิสัยภายในและภายนอกที่ไม่ตรงปกของนักเขียนตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ เธอกำลังพูดถึงโจ้วชวนและตัดสินเขาด้วยอารมณ์อย่างแท้จริง แต่กลับไม่ได้พูดออกมาว่านักเขียนคนนั้นคือโจ้วชวน เพียงค่อนแคะว่ามีนักเขียนมือฉมังระดับเทพคนหนึ่งที่ในเวยป๋อนั้นดูน่ารักใสๆ แต่พอได้คุยกันจริงๆ แล้วน่าด่ามาก
Mr. L ที่หายไป : เธอก็พูดอยู่ว่าเจอในเวยป๋อ ในเวยป๋อก็มีแต่คนที่แกล้งทำเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ
Mr. L ที่หายไป : ต่อจากนี้เธอจะเจอคนแบบนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ
Mr. L ที่หายไป : วันนั้นเธอเองก็เคยเจอกับตัว อย่างสิ่งมีชีวิตที่เสียงดังโวยวายไร้เหตุผลในกอง บ.ก. ไม่ใช่เหรอ
Mr. L ที่หายไป : อย่ากังวลไปเลย ยังไงเธอก็ยังมีโจ้วชวน เทพผู้แสนอ่อนโยนอยู่ในใจ
ชูหลี่ “…”
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นักเขียนที่ฉันคลั่งรักอยู่ในใจก็เป็นคนดีมากเลยนะ ฉันรักเขามาสิบปีแล้ว!
Mr. L ที่หายไป : เธอยังมีหน้ามามีนักเขียนที่คลั่งรักอีก ไม่ใช่โจ้วชวนหรอกเหรอที่เธอรักที่สุด เธอนี่โลเลจริงๆ ตกลงรักใครกันแน่
คุณพระ! ดันมาบอกว่านักเขียนที่เรารักที่สุดคือโจ้วชวน
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ไม่บอกนายหรอก…ช่างเหอะ ได้โปรดอย่าพูดถึงนักเขียนคนไหนอีกเลย ฉันปวดหัวจะแย่แล้ว
Mr. L ที่หายไป : ดูรูปลักษณ์อันแสนเปราะบางของเธอสิ ทำไมถึงได้มัวมาอยู่ในสังคมที่กัดกินคนแบบนี้กันนะ ลาออกเลย อย่าไปสนใจ พี่ L จะเลี้ยงดูหนูเอง
ชูหลี่ “…”
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : อ้อ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ประโยคล่าสุดที่พิมพ์มานี่พิมพ์มาในฐานะอะไร ความรู้สึกแบบชายหญิง? เรารู้จักกันมาสามปี แต่ในที่สุดนายอยากจะมีความรักบนโลกออนไลน์กับฉันงั้นเหรอ
Mr. L ที่หายไป : ในฐานะเจ้าของและสัตว์เลี้ยง
Mr. L ที่หายไป : …ความรักบนโลกออนไลน์ ไม่ได้เห็นคำนี้มาสิบปีแล้ว เธอมาจากปีไหนกันเนี่ย ไม่แปลกใจเลยที่ได้ทำนิตยสารคนแก่อย่างเส้นทางแห่งดวงดาว
ชูหลี่เงียบไป ในขณะนั้นก็กด Ctrl+V ‘สวัสดีค่ะ คุณสามารถส่งต้นฉบับมาที่กล่องข้อความนี้ ขอบคุณค่ะ (≧ω≦) !!!’ วางข้อความส่งไปยังผู้หลงทางที่น่ารักอีกหนึ่งท่าน…อันที่จริงแล้วหญิงสาวอยากจะบอก Mr. L ว่าเธออยากทำนิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวมากกว่า อย่างน้อยในกล่องข้อความของนิตยสารผู้สูงวัยอย่างเส้นทางแห่งดวงดาวน่าจะไม่มีคนทึ่ม บ้า และน่ารักที่ทำให้อึ้งทึ่งได้มากมายขนาดนี้
และเธอก็ติดอยู่กับคนทึ่ม บ้า และน่ารักพวกนี้ทั้งวัน เดิมทีชูหลี่นึกว่าการทำงานในวันแรกจะจบลงแค่นี้ แต่เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน เหล่าเหมียวก็เข้ามามอบหมายงาน…
“ชูหลี่”
ชูหลี่ที่กำลังขลุกอยู่กับการคัดลอกและวางส่งเสียง “คะ?”
“ถึงแม้ว่าฉันจะดึงโจ้วชวนมาร่วมงานด้วยได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราพักนี้ค่อนข้างตึงเครียด”
“อ่า…” ยังไม่ทันได้แสดงสีหน้าเสียใจ เธอก็พูดอย่างฝืนใจว่า “อย่างงั้นเหรอคะ”
ทันใดนั้นเหล่าเหมียวก็ปรบมือขึ้นหนึ่งครั้ง ราวกับว่าคิดบางอย่างออกอย่างน่าประหลาดใจ
“พอพูดถึงโจ้วชวนขึ้นมา งั้น…พอดีเลย ฉันมีสัญญาจะให้เขาเซ็นอยู่ฉบับหนึ่ง และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราค่อนข้างตึงเครียด เธอพอจะเข้าใจใช่ไหม…”
ชูหลี่ “…”
…ไม่เข้าใจค่ะ
“พรุ่งนี้เช้าเธอจะต้องออกไปทำงานนอกสถานที่แล้วเอาสัญญาไปให้เขาเซ็น ในช่วงหนึ่งเดือนนี้โจ้วชวนกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดที่เมืองของพวกเราพอดี และคนที่มาใหม่อย่างเธอก็จะได้มีโอกาสคุ้นเคยกับนักเขียนด้วย ต่อไปเธอจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระฉัน…”
ชูหลี่เบิกตาจ้องมองเหล่าเหมียวที่กำลังดึงเอกสารจำนวนมากออกมาจากด้านล่างสุดของแฟ้ม จากนั้นก็ยื่นมือออกไปรับเอกสารนั้นมาไว้กับตัวอย่างงุนงง
หญิงสาวเหลือบมองที่เอกสารในมือของตน บนหน้าปกมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้อยู่ไม่กี่ตัวว่า…‘สัญญาการตีพิมพ์ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ’ ชูหลี่ตะลึงอยู่นานแล้วถามตนเอง
“เราเนี่ยนะจะต้องไปหาเทพโจ้วชวน?”
“ท่านเทพอะไรกัน นั่นเป็นคำเรียกของผู้อ่านที่ใช้เรียกนักเขียน เพื่อความเป็นมืออาชีพ บ.ก. ต้องเรียกนักเขียนว่า ‘อาจารย์’ สิ” ไม่กี่วินาทีขณะที่ชูหลี่กำลังตะลึงงันอยู่นั้น เหล่าเหมียวได้เขียนที่อยู่ จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปในมือของเธอแล้ว เมื่อเขาได้ยินเธอพูดก็หัวเราะ “ใช่ เธอไม่ดีใจเหรอ”
ชูหลี่ “…”
ฉันควรจะมีความสุขที่ตัวเองได้เข้าใกล้รูปถ่ายและลายเซ็นของเขาขึ้นอีกก้าวหนึ่งสิ
…ถ้าในตอนนี้ทุกคนทั้งห้องทำงานยกเว้นเราสองคนไม่ได้กำลังยุ่งอยู่ จะมีใครมองมาที่ร่างอันเย็นเฉียบราวกับไร้วิญญาณด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจกันบ้างไหม
ขณะที่เสียงกริ่งเลิกงานดังขึ้น ชูหลี่ก็ปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอก้มมองสัญญาการตีพิมพ์ในมือที่กำลังเฝ้ารอความโชคดีจากโจ้วชวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบมันขึ้นมา จากนั้นก็เปิดไปเจอคำว่าตีพิมพ์ครั้งแรกสี่หมื่นห้าพันเล่ม…แค่สี่หมื่นห้าเองเหรอ
เธอรีบเรียกเหล่าเหมียวที่กำลังลุกขึ้นเตรียมจะเลิกงาน “เอ๊ะ! เหล่าเหมียว สัญญาฉบับนี้มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทำไมตีพิมพ์ครั้งแรกแค่สี่หมื่นห้าพันเล่มเองคะ”
เหล่าเหมียวหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมาพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา “แล้วเธอนึกว่าเท่าไรล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ…สี่แสนห้าหมื่นหรือเปล่าคะ”
ถึงยังไงเขาก็เป็นโจ้วชวน เทพผู้ยิ่งใหญ่…
รอยยิ้มมุมปากอันแสนเยือกเย็นของเหล่าเหมียวเริ่มชัดเจนขึ้น “เด็กน้อย นี่มันปี 20XX ไม่ใช่ปี 1913 กับจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกสี่แสนห้า เธอคิดว่าหนังสืออย่าง ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ คุ้มค่ากับการที่หัวหน้าต้องนำของไปจำนำเพื่อเอาเงินมาจ่ายให้โรงพิมพ์ไหมล่ะ”
ชูหลี่ “…”
แต่ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ไม่ใช่หนังสือในปี 1913 หรือเปล่า
เหล่าเหมียววางกระเป๋าลงพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างซึ่งดึงดูดความสนใจของชูหลี่ “งั้นเธอลองเดาดูสิว่านิตยสารแสงแห่งจันทราในแต่ละเดือนมีจำนวนการตีพิมพ์ที่เท่าไร”
“แปดแสนกว่าเล่มเหรอคะ”
ทั้งกองบรรณาธิการเริ่มเกิดความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
เหล่าเหมียวบอก “ลดลงมาหนึ่งหลัก”
ชูหลี่ “?”
“แปดหมื่นจ้า”
“…”
ชูหลี่เริ่มรู้สึกอึดอัดจนวางตัวไม่ถูก
“ตัวเลขนี้ความหมายพ้องเสียงกับคำว่า ‘นิตยสารขายดี’ so! ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ เป้าหมายของพวกเราคือการดิ้นรนจนเฮือกสุดท้าย ยิ่งอยู่มานานก็ต้องยิ่งเฉิดฉาย”
“…”
…ไม่รู้ว่าถ้าลาออกตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานเลย จะกลายเป็นผู้ที่ทำลายสถิติคนแรกของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยหรือเปล่า
วันที่สอง
ชูหลี่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ขณะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ หางตาก็เหลือบไปเห็นสัญญาของอาจารย์โจ้วชวนที่เมื่อคืนนี้วางไว้ข้างหมอน ทันใดนั้นก็นึกถึงเสียงตะโกนดังลั่นจากกอง บ.ก. ในวันนั้น ‘ตีพิมพ์ลองตลาดดูก่อนสักสามหมื่นสองพันเล่ม เห็นผมเป็นขอทานงั้นเหรอ!’
…อย่าว่าแต่สุนัขจิ้งจอกที่บ้าคลั่งตัวนั้นหรือเทพองค์ไหนเลย แค่บรรดานักเขียนฝีมือเทพทั้งหลายที่เดินออกมาจากกอง บ.ก. แสงแห่งจันทราก็ไม่มีใครเทียบชั้นโจ้วชวนได้แล้ว…หญิงสาวจึงรู้สึกกังวลใจว่าตอนที่ยื่นสัญญาให้โจ้วชวน และเมื่ออีกฝ่ายเห็นจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกแล้ว จะโยนสัญญาใส่หน้าเธอเหมือนกับที่ตัวสัญญาอยู่ใกล้หน้าเธอตอนนี้ไหม
ทันใดนั้นชูหลี่ก็เปลี่ยนสีหน้า เธอต้องยอมรับความจริงว่า…ช่วงเวลานี้เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันอันแสนเลวร้าย เธอไม่ได้โง่ แค่ใช้หัวแม่เท้าคิดยังเข้าใจได้เลย เรื่องที่เหล่าเหมียวบอกว่าพักนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจ้วชวนไม่ค่อยดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลอุบายเท่านั้น ถ้าให้พูดจริงๆ ต้นตอก็คือจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรก ‘สี่หมื่นห้าพัน’ ในสัญญานี้ต่างหากที่เป็นชนวนก่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา
แต่ในเมื่อสำนักพิมพ์มอบหมายหน้าที่ให้เธอแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นเธอจึงลุกไปอาบน้ำ เป่าผมจนแห้ง และหยิบแฟ้มเดินออกจากห้องไป
บ้านที่โจ้วชวนซื้อตั้งอยู่ในเขตพื้นที่หรูใจกลางเมือง G แค่มองก็รู้แล้วว่าราคาต้องแพงหูฉี่ โดยแขกผู้มาเยือนจะต้องบันทึกข้อมูลลงในสมุดเข้าเยี่ยม ชูหลี่เห็นว่าบ้านเลขที่ตรงกันกับที่อยู่ที่เหล่าเหมียวให้ไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นบ้านเดี่ยวสไตล์ตะวันตกที่มีสนามหญ้าอยู่หน้าบ้าน เธอยืนอยู่หน้าประตูรั้วและนิ่งเงียบไป ในหัวนึกถึงห้องขนาดเล็กเพียงสี่สิบตารางเมตรของตนเองที่ดูราวกับบ้านหมาห้องนั้น แถมยังต้องนั่งรถไปทำงานอีกตั้งชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองต้องดิ้นรนอีกกี่ชาติจึงจะซื้อบ้านแบบนี้ได้…
นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ มีทั้งเงิน ทั้งเวลา ชีวิตดี๊ดี ทุกอย่างในชีวิตช่างสมบูรณ์แบบเสียจริง
ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้คุยกับนักเขียนขั้นเทพ นอกจากประโยคที่ว่า ‘ท่านเทพคะ ฉันชอบงานเขียนของคุณมากเลยค่ะ’ จะพูดอะไรดีล่ะ ‘อาจารย์คะ ฉันรักงานเขียนของคุณมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะแค่เล่นละครตบตาก็ตาม’ แบบนี้เหรอ
ขณะนี้มีทั้งความหดหู่และตื่นเต้น เธอกดกริ่งด้วยท่าทีนอบน้อม
เสียงกริ่งที่ประตูดังอยู่นาน
ชูหลี่กดกริ่งที่ประตูไปพร้อมๆ กับพยายามยืนเขย่งเท้าเพื่อที่จะมองผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไปข้างใน เธอยืนรออย่างกระสับกระส่าย จนกระทั่งมีสุนัขพันธุ์อลาสกัน มาลามิวต์* ตัวหนึ่ง…มันยืนขึ้นเพื่อเปิดประตูที่เปิดค้างไว้ครึ่งบานให้เธอ เมื่อยื่นมือออกไปลูบหัว มันก็แกว่งหางอย่างว่องไว ราวกับว่าหางของมันจะหลุดออกจากตัว
ชูหลี่กระซิบกับเจ้าสุนัขว่า “เด็กดี พ่อแกล่ะ เรียกพ่อแกมาเปิดประตูเร็ว!”
เจ้าสุนัขพันธุ์อลาสกันเห่าขึ้นมา “โฮ่ง…โฮ่ง…”
จากนั้นชูหลี่ก็ได้ยินเสียงของผู้ชายที่ทุ้มต่ำปนแหบแห้งราวกับเพิ่งตื่นนอนผ่านอินเตอร์คอมในระยะใกล้
“มันชื่อเอ้อร์โก่ว ไม่ได้ชื่อเด็กดี และผมก็เป็นพี่ชาย ไม่ใช่พ่อของมัน ส่วนคุณที่อยู่ด้านนอกคือใครกัน”
ชูหลี่ “…”
อะไรกัน
เธออึ้งไปชั่วขณะ เพิ่งรู้ตัวว่าตรงประตูมีกริ่งอยู่ แต่ไม่รู้ว่าระบบการโทรถูกเชื่อมต่อตอนไหน…เสียงแหบพร่าของผู้ชายในยามเช้าทำเธอหน้าแดง…ไม่แปลกใจเลยที่มีคนบอกว่าแค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกว่าโจ้วชวนนั้นหล่อแบบวัวตายควายล้มกันเลยทีเดียว…
เป็นโจ้วชวน
อาจารย์โจ้วชวน
คนที่กำลังพูดอยู่ในบ้านตอนนี้คืออาจารย์โจ้วชวน!
ชูหลี่ยากที่จะระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ได้ จึงตบหัวเจ้าสุนัขตัวโตเบาๆ และเรียกชื่อมันว่า ‘เอ้อร์โก่ว’ จากนั้นก็กระแอมอยู่ในลำคอแล้วแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“อาจารย์โจ้วชวนใช่ไหมคะ สวัสดีค่ะ ฉันชูหลี่ เป็น บ.ก. คนใหม่จากนิตยสารแสงแห่งจันทราของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย วันนี้นำสัญญาการตีพิมพ์ครั้งแรกของ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ มาเสนอเซ็นค่ะ…”
เสียงตรงกริ่งหน้าประตูเงียบลง
เวลาผ่านไปนานจนทำให้เธอสงสัยว่าเขาคงไม่ได้พิงประตูแล้วหลับไปใช่ไหม ขณะนั้นเองน้ำเสียงอันราบเรียบของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา…
“เปิดสัญญาไปหน้าที่หนึ่ง”
“ค่ะ”
“เปิดหรือยัง”
“เปิดแล้วค่ะ”
“จำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรก อ่าน”
ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก เนื่องจากเพิ่งตื่นนอน
“อาจารย์เป็นหวัดเหรอคะ”
“อ่าน”
“สี่หมื่นห้า”
“…”
“…”
“เอ้อร์โก่ว ส่งแขก”
“โฮ่ง!”
“…”
เธอยืนอึ้งที่หน้าประตูบ้านอยู่หลายวินาที จากนั้นก็เพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง โธ่เอ๊ย…ไม่มีโอกาสให้เขาเอาสัญญามาฟาดหน้าเลย แถมยังโดนปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ได้พบหน้าเลยด้วยซ้ำ…
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!
อาจารย์คะ รีบออกมาแล้วเอาสัญญามาฟาดหน้าฉันก็ยังดีค่ะ!!!
เธอแก้ไขสถานการณ์ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ต่อให้ตายก็ไม่กลัวอะไรแล้ว ชูหลี่ไม่ละความพยายามในการกดกริ่งประตูบ้านของโจ้วชวน เธอกดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนเจ้าเอ้อร์โก่วก็กระโดดขึ้นลงไปมา อยากให้ชูหลี่เข้ามาเกาหูให้อย่างกระวนกระวายใจ…ดังนั้นคนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวก็ทำลายความสงบของเช้านี้ไปจนหมดสิ้น ขณะกดกริ่งครั้งที่สิบ เจ้าเอ้อร์โก่วก็เขย่าประตูรั้วเหล็กเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด…จนเพื่อนบ้านและคนอื่นๆ กำลังจะโทรแจ้งตำรวจอยู่นั้น…
ในที่สุดประตูบ้านสไตล์ตะวันตกบานเล็กที่ปิดสนิทนั้นก็เปิดออก! แกร๊ก…
ชูหลี่กำลังจะเอื้อมมือไปกดกริ่งเป็นครั้งที่สิบเอ็ด เธอเบิกตามองชายร่างสูงผู้หนึ่งในชุดนอนลายชินจังที่กำลังก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงบวกกับมีรอยคล้ำใต้ตา ปลายจมูกที่แดงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นหวัด และสวมรองเท้าแตะ ถึงแม้สภาพจะดูย่ำแย่แถมยังมีใบหน้าซีดเซียว แต่ทว่าไม่อาจบดบังความหล่อของเขาได้เลย…
ในเวลานี้เองชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปยังประตูรั้วเหล็กอีกด้านด้วยสีหน้าอาฆาต “เมื่อคืนนี้ผมเขียนงานยันตีสี่! สิบโมงครึ่งวันนี้ก็ถูกปลุกเสียงดังหนวกหู! แต่ในเมื่อตื่นแล้วก็ช่างมัน ไม่เป็นไร แต่นี่ผมยังต้องมาเจอกับความอัปยศอดสูเรื่องการตีพิมพ์ต้นฉบับครั้งแรกที่สี่หมื่นห้า! สี่หมื่นห้า! บิดาไปทำเวรกรรมอะไรไว้! สี่หมื่นห้า! เพิ่มให้อย่างจริงใจมาตั้งหมื่นสามพันเล่มจากครั้งที่แล้วที่ให้พิมพ์แค่สามหมื่นสองพันเล่ม! สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยของพวกคุณเห็นผมเป็นขอทา…”
โจ้วชวนไม่สามารถพูดต่อจนจบได้ เปลือกตาของเขายกสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่แสนเยือกเย็นคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ตรงประตูรั้วเหล็กอีกฝั่ง สีหน้าของเธอคนนั้นเปลี่ยนไปราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
เขาย่นจมูกเผยให้เห็นอารมณ์ที่ถูกยั่วยุและความหยิ่งยโส ทำให้ชูหลี่รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าเวลานี้เสียงของเขาขึ้นจมูกเนื่องจากอาการหวัดและเพิ่งตื่นนอน ทำให้ความน่าเกรงขามลดลงเล็กน้อย
“ว่าไง”
คนที่อยู่หลังประตูรั้วเหล็กก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าว…สีหน้าของเธอยังคงอึ้งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ รวมถึงทัศนคติทั้งสามด้านของเธอก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเช่นกัน…
นี่มันนายสุนัขจิ้งจอก
นายสุนัขจิ้งจอกคือโจ้วชวน
นายสุนัขจิ้งจอกก็คือโจ้วชวน
ตาลุงสุนัขจิ้งจอกที่ใส่ชุดนอนลายชินจังนี่…คือองค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยก!
Excuse me!!!!
ชูหลี่คิดอย่างสงบนิ่ง องค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยกดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ นอกจากจะเป็นนักแสดงแล้ว เขายังเป็นสุนัขจิ้งจอกด้วย ฉันจะเล่าเรื่องตลกให้คุณฟัง ฉันเคยฝันฤดูใบไม้ผลิ ถึงคุณ ในฝันนั้นมีคุณและฉันเป็นตัวเอก
ท่ามกลางความสับสน เป็นเวลาสิบกว่าวินาทีถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองว่าจริงๆ แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่ ดังนั้นเธอจึงจำใจกลับไปเกาะอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กแต่โดยดี พร้อมกับแสดงสีหน้าที่จริงใจให้กับคนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง แม้เขากำลังโมโหจนถึงขีดสุดจากการที่ต้องตื่นนอน
“ไม่ใช่ค่ะ อาจารย์ คุณฟังฉันพูดก่อน…”
โจ้วชวนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีรังเกียจ “ผมไม่ฟัง”
“ดะ…ดะ…เดี๋ยวก่อนค่ะ!” ชูหลี่จับประตูรั้วเอาไว้ “คุณจะให้สุภาพสตรียืนรออยู่แบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ไม่มีสุภาพสตรีคนไหนที่สร้างความอัปยศให้ผมด้วยตัวเลขเพียงสี่หมื่นห้าพัน”
“…”
ราชสีห์ผู้บ้าคลั่ง สุนัขจิ้งจอกผู้หยิ่งยโส จากนัตสึฮิโกะ เคียวโกกุ ไปจนถึงเรื่อง ‘หลงหยางสิบแปดกระบวนท่า’
ชูหลี่ค้นพบแล้วว่าตนเองคิดผิดมหันต์…ไม่ใช่นักเขียนมือเทพทุกคนในวงการนี้ที่เป็นคนบ้าจอมหลอกลวง คนบ้าก็มีแต่โจ้วชวนเท่านั้นแหละ!
บทที่ 6
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : QAQ ทำงานมาเหนื่อยมากเลย…แล้วก็โกรธมากด้วย
Mr. L ที่หายไป : เธอโกรธมาก? ฉันก็เพิ่งโดนคนอื่นทำให้โกรธแทบตายมาเหมือนกัน…เป็นการปะทะกันในศึกสุดยอดสงครามแห่งอาชีพ และฉันก็กำลังจะดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่านายยังมีงานทำ!
Mr. L ที่หายไป : ขนาดคนที่ใช้คำว่า ‘ความรักบนโลกออนไลน์’ ซึ่งไม่รู้ว่าคลานออกมาจากสุสานโบราณหลุมไหนอย่างเธอยังมีงานทำเลย แล้วทำไมคนอย่างฉันถึงจะไม่มีงานทำล่ะ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : โอ๊ะ! น้ำเสียงพร้อมปะทะมาก ดูเหมือนว่านายจะโกรธมากจริงๆ นะ
Mr. L ที่หายไป : ใช่ โกรธมาก ขอโทษด้วยที่พูดตรงๆ แม้แต่อากาศในตอนนี้ ฉันยังรู้สึกโกรธจนเกลียดเลย
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : …
เธอไม่ได้รับคำปลอบใจจาก Mr. L แต่อย่างใด…แต่กลับกลายเป็นการพ่นเรื่องไร้สาระของตนเองด้วยคำพูดเพียงสองประโยคที่ชวนให้เจ้าหนุ่มนั่นโกรธเกลียดแม้กระทั่งอากาศ เมื่อถึงหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ชูหลี่ก็เก็บโทรศัพท์ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องประชุมบริษัททั้งที่ยังคงคิดมากอยู่
…แต่ไม่รู้ว่ามันคือภาพลวงตาหรือเปล่า ครั้นเมื่อชูหลี่ก้าวเข้าไปในห้องทำงานก็รู้สึกได้ว่าเสียงเงียบลง ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก ทันใดนั้นเหล่าเหมียวผู้ที่นั่งอยู่ข้างเธอก็หัวเราะออกมา
“ออกไปข้างนอกแป๊บเดียวเอง กลับมาแล้วเหรอ การกลับมาอย่างไวโดยไร้ความสำเร็จก็ถือเป็นมาตรฐานอย่างหนึ่งของการเป็น บ.ก. นะ”
ถึงแม้ผู้คนในห้องทำงานจะยุ่งอยู่กับงาน แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันชำเลืองมองมาที่เธอ อย่างไรก็ตาม ชูหลี่รับรู้ได้ว่าที่จริงแล้วทุกคนกำลังเงี่ยหูรอฟังเธออยู่…เธอหยิบสัญญาฉบับนั้นออกมาจากกระเป๋าโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะของเหล่าเหมียว
“ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสจะยื่นสัญญาให้เขาโยนใส่หน้าฉันเลยค่ะ”
เหล่าเหมียวหัวเราะออกมาอย่างอำมหิตมากยิ่งขึ้น “เขาปล่อยหมามากัดเธอหรือยัง”
ชูหลี่มองไปที่เหล่าเหมียว พูดเตือนสติเขาอย่างระมัดระวัง “นั่นมันสุนัขพันธุ์อลาสกันนะคะ ไม่ใช่ทิเบตัน มาสทิฟฟ์*”
“รูปร่างก็เหมือนกันอยู่”
“ไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
“แล้วโจ้วชวนล่ะ เขาว่าไงบ้าง”
ชูหลี่นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วจึงยกมุมปากขึ้นอย่างยั่วเย้า ทำน้ำเสียงและท่าทางล้อเลียนบุคคลที่อยู่หลังประตูรั้วเหล็ก
“ตีพิมพ์ครั้งแรกสี่หมื่นห้าพันเล่ม หยามกันเกินไปแล้ว เห็นผมเป็นขอทานหรือไง!”
เหล่าเหมียวหันมามองแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คนอื่นในห้องทำงานต่างก็พากันหัวเราะ มีเพียง บ.ก. คนใหม่ที่ไม่กล้าหัวเราะออกมาดังๆ ชูหลี่หัวเราะเบาๆ ข่มความรู้สึกเอาไว้จนหน้าแดง…ไม่ได้รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าขันเลย รู้สึกเพียงว่ามันน่าท้อใจมากกว่า
เมื่อวางสัญญาลงบนโต๊ะแล้ว เธอจึงกระซิบว่า “เหล่าเหมียว ฉันทำงานนี้ต่อไม่ไหวจริงๆ ค่ะ…แม้แต่ประตูรั้ว ท่านเทพโจ้วชวนยังไม่เปิดให้ฉันเลย หมาที่เขาเลี้ยงยังเป็นมิตรกว่าเขาเป็นหมื่นๆ เท่าเลยค่ะ”
“เขาดุเหรอ”
“ดุมากเลยค่ะ”
ดุเหมือนกับตัวละครในนิยายเรื่องหลงหยางสิบแปดกระบวนท่า
เหล่าเหมียวหมุนเก้าอี้ เล่นปากกามาร์กเกอร์ในมือ “นั่นเป็นเพราะเธอไม่สามารถเจรจาได้ต่างหากล่ะ”
ชูหลี่ “…”
คุณเจ๋ง คุณมีความสามารถ คุณก็ไปสิ! ไปเผชิญหน้ากับคนบ้า! ไปเถียงต่อหน้าเขาเลย!
ชูหลี่โกรธแต่ไม่กล้าพูด
เหล่าเหมียววางเฉยต่อชูหลี่ซึ่งกำลังเงียบและเต็มไปด้วยอารมณ์ต่อต้าน เขาโยกตัวบนเก้าอี้ไปมา ยกขาขึ้นไขว่ห้าง และพูดอย่างเฉยเมย
“เธอนี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์เลยจริงๆ ยิ่งเป็นนิสัยของนักเขียนพวกนี้แล้วยิ่งไม่รู้จัก ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมหัวหน้าถึงจ้างเธอ (อวี๋เหยาคิด : เพราะความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่น) เพราะความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่นอย่างงั้นเหรอ หัวหน้าพูดแบบนี้แล้วฉันอยากจะอ้วก เธอไม่ใช่นางเอกซีรี่ส์ญี่ปุ่นที่จะมีความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่นจนสามารถเอาชนะใจนักเขียนได้…มา เด็กน้อย เธอนั่งลง วันนี้ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่เธอ ฉันจะแนะนำแนวทางในการเจรจาให้เธอเอง…”
ชูหลี่ “…”
หญิงสาวบอกตนเองว่านี่คือสิ่งที่ไม่อาจหลีกหนีได้ในโลกของการเป็นผู้ใหญ่ เธอไม่สามารถลากเก้าอี้มาแล้วมัดร่างของคนที่โยนความผิดให้เธอ แถมยังจะสั่งสอนเธอ เขานับเป็นคนที่แปลกประหลาดจนยากจะอธิบาย เพราะคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอคนนี้ดูไม่น่าไว้ใจ แต่ก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้อาวุโสกว่า และยังเป็นที่ปรึกษา…ดังนั้นเธอจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนั่งลง ลองฟังในสิ่งที่เหล่าเหมียวอยากจะพูด
ที่เหนือความคาดหมายก็คือเหล่าเหมียวได้ให้สิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระเน้นๆ ไว้มากมาย และสามารถนำไปใช้ได้จริง ก่อนอื่นเขาอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของวงการสื่อสิ่งพิมพ์ให้เธอฟัง…
อันดับแรก สูตรการคำนวณค่าตอบแทนของงานเขียนคือจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรก x ราคาหนังสือที่กำหนดไว้ x ค่าลิขสิทธิ์ (หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์) = จำนวนค่าตอบแทนของการเขียนบทความ
ในปี 20XX สถานการณ์ปัจจุบันของวงการสื่อสิ่งพิมพ์มีอยู่ว่านิยายรักทั่วไปและนิยายวัยรุ่นมีจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกอยู่ที่แปดพันถึงห้าหมื่นเล่ม จะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้นักเขียนหกถึงแปดเปอร์เซ็นต์ โดยทั่วไปแล้วเงินเดือนนักเขียนแนวโรแมนติกมือฉมังอยู่ที่สองหมื่นหยวน ส่วนพวกนักเขียนนิยายทั่วไปที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงจะได้เกือบๆ แปดพันหยวน บางครั้งอาจถูกรังแก โดยบางสำนักพิมพ์จะจ่ายให้ทั้งเล่มอย่างน้อยสามพันถึงห้าพันหยวน โดยที่ไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ เมื่อทำยอดขายได้สามหมื่นเล่มขึ้นไปก็จะถือว่าเป็นหนังสือขายดี
สูงขึ้นไปอีกหน่อยก็คือนักเขียนมือฉมังระดับตัวท็อป ปกติเป็นไปได้ที่จะตีพิมพ์ครั้งแรกหนึ่งแสนถึงสามแสนเล่ม ค่าลิขสิทธิ์สูงสุดอยู่ที่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แต่มีนักเขียนเพียงไม่กี่คนในประเทศเท่านั้นที่สามารถทำได้ถึงจุดนั้น
…พูดง่ายๆ ก็คือชูหลี่คิดว่าหนังสือเหล่านั้นน่าจะมียอดขายทะลุหลายแสนเล่ม แต่จริงๆ แล้วเหตุการณ์แบบนี้เคยมีอยู่แค่ในปี 1913 เท่านั้น ไม่ใช่ในปี 20XX
เหล่าเหมียวบอก “ส่วนโจ้วชวนที่เป็นระดับตัวท็อปจะมีจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงสองปีที่ผ่านมาอยู่ที่แปดหมื่นถึงหนึ่งแสน ค่าลิขสิทธิ์อยู่ที่เก้าเปอร์เซ็นต์”
พระเจ้า! แปดหมื่นถึงหนึ่งแสน!
สองถึงสามเท่าของสามหมื่นสอง!
ชูหลี่ตกตะลึง “ถ้าอย่างนั้นทำไมตอนแรกพวกเราถึงพูดออกมาได้ว่าจะตีพิมพ์สามหมื่นสอง ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะโกรธขนาดนี้ ทำไมโจ้วชวนถึงไม่จุดไฟเผาสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยนะ…อ้อ! มีเบอร์โทรติดต่อเขาไหมคะ ฉันอยากจะโทรไปขอโทษเขา”
“เธอรู้หรือเปล่าว่าการเปรียบเทียบทำให้เกิดความงดงาม นี่คือวิธีการเจรจาต่อรองที่ฉันต้องการจะบอกกับเธอ…ในด้านการทำนิตยสารพวกเรายังใหม่ ถึงแม้ว่าสำนักพิมพ์นี้จะมีมานานมากแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ทำนิยายแนวแฟนตาซีตะวันออก เราให้นักเขียนทั่วไปอยู่ที่แปดพัน อยากออกหนังสือก็มา ไม่อยากทำก็ไปให้พ้นหน้าเสีย แต่เราให้โจ้วชวนสามหมื่นสอง…สุดท้ายเพิ่มให้เป็นสี่หมื่นห้าพัน
เธอรู้ไหมว่านี่หมายความว่ายังไง ถ้าให้เขาตีพิมพ์ครั้งแรกหนึ่งแสน คิดเป็นค่าลิขสิทธิ์สิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็จะแฮปปี้มาก…สมมติว่าหนังสือแต่ละเล่มมีราคาสามสิบห้าหยวน เราต้องให้ค่าลิขสิทธิ์เขาสามแสนห้าหมื่นหยวน! สามแสนห้าเลยนะเธอ! พวกเราต้องแบกรับต้นทุนหนังสือต่อเล่มประมาณยี่สิบสองเปอร์เซ็นต์ เธอลองคิดดูสิว่าเป็นเงินเท่าไร…พวกเราเป็นสำนักพิมพ์นะ เจ้านายเราเป็นนักธุรกิจไม่ใช่หลู่ซวิ่น* นักธุรกิจก็ต้องหาเงิน พวกเราไม่ใช่แหล่งสังคมสงเคราะห์ในอุดมคติ หัวหน้าต้องให้เงินเดือนเธอไว้ซื้อข้าวกิน เธอจะกินอะไร ถ้ามัวแต่เพ้อว่าจะเอาเงินให้โจ้วชวนจนหมด”
ชูหลี่ “…”
“ที่ฉันพูดมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ”
ชูหลี่ “…”
มีกับผีอะไรล่ะ
เหล่าเหมียวพูดต่อ “ดังนั้นจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกคือสี่หมื่นห้าพัน และสำนักพิมพ์ของเราก็จริงใจมาก ให้ฟ้าดินเป็นพยาน เธอควรเอาเรื่องพวกนี้ไปบอกโจ้วชวน ถ้าเปรียบเทียบกับนักเขียนคนอื่นแล้ว จะเห็นว่าเขาได้เยอะกว่าหลายเท่า คนที่มั่นใจในตัวเองสูง จิตใจพวกเขาจะสั่นคลอนทันทีถ้าถูกโน้มน้าว เธอลองแสดงวาทศิลป์โดยการขายฝันให้เขาฟัง บอกว่านี่เป็นโครงการใหม่ของสำนักพิมพ์เรา เราต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อให้เขาขายหนังสือเล่มนี้ให้ได้ ถึงเวลานั้นต่อให้ใช้วิธีขายหนังสือให้หมดแล้วค่อยเพิ่มจำนวนการตีพิมพ์ในครั้งต่อไปมันก็ไม่ต่างกันเท่าไร! เธอลองดูสิ ถ้าเธอพูดแบบนี้ เขาจะต้องใจอ่อนแล้วตอบตกลงแน่นอน…”
จากนั้นบนใบหน้าของชูหลี่ก็เต็มไปด้วยคำถาม
“ฉันพูดไปหมดแล้ว พรุ่งนี้เธอค่อยลองไปใหม่นะ”
หัวหน้า บ.ก. อย่างอวี๋เหยาปรบมือให้ชูหลี่ขึ้นมาก่อน ทันใดนั้นเองทั้งห้องทำงานต่างก็ปรบมือให้เธอเสียงดังเกรียวกราว มีเพียงชูหลี่เท่านั้นที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคำถาม
เธอรู้สึกว่าเหล่าเหมียวจะไม่ยอมรามือ หากยังไม่เห็นเธอถูกโจ้วชวนทุบกับตาตัวเองสักครั้ง แล้วให้เขาจ่ายเงินค่าหีบห่อและค่าส่งพัสดุเพื่อส่งเธอมาทาง SF Express**
…ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนร่วมงานใหม่ไปเอาความอาฆาตแค้นขนาดนี้มาจากไหน
แต่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการยืนกดกริ่งที่หน้าประตูรั้วบ้านของโจ้วชวนในวันที่สองเลย
โชคดีที่วันนี้โจ้วชวนดูเหมือนจะตื่นเช้า เพราะไม่มีอาการงัวเงียแต่อย่างใด สิบนาทีให้หลังชูหลี่จึงได้ไปนั่งบนโซฟาในบ้านเขาอย่างราบรื่น แต่ที่โชคร้ายก็คือหลังจากที่ชายหนุ่มเปิดประตูให้เธอ เขาก็ชงกาแฟดื่มและอ่านอีเมลอย่างไม่สนใจ นอกจากจะทำกาแฟสดแบบมือโปรให้ชูหลี่ดื่มหนึ่งแก้วแล้ว เขาก็ทำท่าเหมือนเธอซึ่งนั่งอยู่ข้างเอ้อร์โก่วบนโซฟาเป็นอากาศธาตุ
เป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าสำนักพิมพ์มีข้อเสนอที่ต่ำเกินไป ทำให้ชูหลี่ขาดความมั่นใจในตนเอง เธอจึงนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่บนโซฟา ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาแม้แต่น้อย
ดังนั้น…หนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น
เมื่อโจ้วชวนดื่มกาแฟและจัดการอีเมลของตนเองเสร็จเรียบร้อยก็หันหน้ามา เขาเห็นหญิงสาวนั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟากับเจ้าสุนัขพันธุ์อลาสกัน มาลามิวต์ ท่าทางช่างดูน่าสงสาร
โจ้วชวน “…”
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าของ เอ้อร์โก่วก็ยกอุ้งเท้าขึ้นมาสะกิดหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
ชูหลี่ “…”
โจ้วชวนกระแอมแล้วพูดเสียงเรียบ “เมื่อวานเพิ่งตื่นนอนเลยมีอาการงัวเงีย ไม่ได้ทำให้คุณตกใจใช่ไหม”
ชูหลี่ “…”
กลัวจนแทบจะวิ่งหนีแล้ว ขอบคุณนะคะ
ฉันในตอนนี้แค่เห็นท่านเทพก็ฉี่จะราดแล้ว
ชูหลี่ห้ามความคิดตนเองแล้วส่ายหน้า รู้สึกได้ว่าการที่โจ้วชวนเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาดูเหมือนการแสดง จากนั้นเธอจึงขยับริมฝีปาก…พยายามอยู่นานก็ยังรู้สึกว่าเธอทำตามเทคนิคขายฝันที่เหล่าเหมียวบอกมาไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงดันซาลาเปาที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นพูดว่า…
“อาจารย์คะ ทานซาลาเปาสักหน่อยไหมคะ ดื่มกาแฟตอนท้องว่างในยามเช้าไม่ดีต่อสุขภาพ อีกอย่าง อาจารย์เหมือนจะเป็นหวัดอยู่นะคะ”
โจ้วชวนรับซาลาเปามา เหลือบมองสองครั้ง กินเข้าไปคำหนึ่ง แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลก็จ้องไปที่เธอ
“รสชาติไม่เลวเลย ขอบคุณนะ แต่ผมอยากจะเตือนคุณไว้ ซาลาเปานี่ไม่คู่ควรแก่ค่าลิขสิทธิ์แสนกว่าหยวนหรอกนะ”
ชูหลี่ “…”
ทันใดนั้นชูหลี่ก็ก้มหน้ามองดูสัญญา แล้วค่อยๆ เก็บกลับไปเงียบๆ…เธอลังเลอยู่พักหนึ่งและยืดตัวตรง ก่อนจะอ้างคำพูดที่เหล่าเหมียวเคยบอกมาพูดให้เขาฟังอย่างตะกุกตะกัก แต่เมื่อพูดไปเรื่อยๆ ก็คล่องขึ้นจนเกือบจะมั่นใจกับคำพูดของตนเองแล้ว ดังนั้นในตอนท้ายเธอจึงใช้วาทศิลป์กึ่งจริงกึ่งเสแสร้ง
“อาจารย์คะ เซ็นสัญญาให้พวกเราเถอะนะคะ ให้โอกาสพวกเราสักครั้งเถอะค่ะ พวกเราจะขยันทำหนังสือเล่มนี้ออกมาให้ดี…ขอเพียงแค่มันเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนี้ไม่ต้องพูดถึงการตีพิมพ์ครั้งแรกที่แสนเล่มหรอกค่ะ ต่อให้เป็นสองแสนพวกเราก็จะตั้งใจคว้ามาเพื่อคุณให้ได้!”
โจ้วชวนบีบซาลาเปาที่เหลืออยู่ คิดใคร่ครวญแล้วยิ้ม “…คำพูดช่างขายฝันเสียจริง คุณคิดว่าตัวเองเป็นหม่าเหลียง* ผู้มีพู่กันวิเศษหรือไง”
ชูหลี่ “…”
ท่านเทพคะ คุณจะเชื่อไหมว่าถ้าฉันถ่ายรูปคุณในสไตล์นี้แล้วโพสต์ลงในเวยป๋อจะต้องมีคนแชร์เป็นล้าน บดขยี้โทมินจุน** ได้แน่ๆ แฮชแท็ก #ช็อก! ยายตัวร้ายกับนายต่างดาว!*** ใบหน้าที่แท้จริงขององค์ชายผู้อ่อนโยนดั่งหยกคือนายตัวร้าย
โจ้วชวนผู้ที่ไม่รู้ว่ากำลังถูกตำหนิ ยื่นซาลาเปาที่เหลือในมือคืนให้ชูหลี่และพูดสั้นๆ ว่า “กินเสีย”
ชูหลี่เหลือบมองซาลาเปาที่อยู่ในมือเขา แสดงสีหน้าราวกับว่าซาลาเปานั้นโรยยาเบื่อหนูลงไป เธอจึงทำท่าตกใจแล้วโบกมือปฏิเสธ
“ฉันเคยกินแล้วค่ะ ซาลาเปานี้ซื้อให้คุณโดยเฉพาะ คงจะไม่ดีถ้ามามือเปล่า…”
งั้นก็ซื้อมาสองลูกเลยสิ?
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว กวาดตามองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม เธอดูซื่อบื้อเล็กน้อย แต่อาจเป็นเพราะความร้อนของซาลาเปาที่ถืออยู่ในมือ เขาจึงรู้สึกว่าทำไมเธอช่างดูสบายตา ต่างจากพวกเหล่าเหมียวราวฟ้ากับดิน
และคำว่า ‘ซื้อให้คุณโดยเฉพาะ’ หกพยางค์นี้ฟังแล้วก็รื่นหูเป็นพิเศษ
เมื่อทานของคนอื่นแล้ว ดังนั้นพอเอ่ยปาก น้ำเสียงของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นมาเล็กน้อย
“สาวน้อย คุณอย่ามาเสียเวลากับผมเลย สี่หมื่นห้ามันต่ำเกินไป ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงิน…แต่หลังจากเรื่องนี้หลุดออกไป ผมจะถูกคนเขาหัวเราะเยาะเอาได้ หยวนเยวี่ยน่ะเป็นบริษัทใหญ่ไม่เป็นไรหรอก แต่คนอื่นเขาจะพูดถึงผมว่ายังไงล่ะ เขาจะพูดกันได้ว่าที่นี่ทำให้โจ้วชวนลดตัวลงมากอดขาบริษัทพวกเขา”
ยากนักที่คนเราจะพูดออกมาอย่างจริงใจ ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะที่โบกมือให้กับเจ้าหมาที่นั่งอยู่ข้างกายชูหลี่ไปด้วย เมื่อเอ้อร์โก่วกระโดดลงจากโซฟามายังข้างกาย เขาก็ค่อยๆ ป้อนซาลาเปาในมือเข้าไปในปากของเอ้อร์โก่ว…ชายหนุ่มปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างใจกว้างและอบอุ่น ส่วนชูหลี่มองไปที่เขาอย่างตรงไปตรงมา…
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่โจ้วชวนพูด เธอก็รู้สึกว่าเขาพูดไม่ผิดเลยสักนิด…ก่อนจะจ้องไปที่หน้าตาอันหล่อเหลาและเฉยเมย ราศีของเขาแผ่กระจายออกมาอย่างสว่างไสว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหลือความหวังใดๆ แล้ว…
ความหวังสุดท้ายนั้นไม่ใช่วาทศิลป์ของเหล่าเหมียว แต่กลับเป็นมือของโจ้วชวนที่ยื่นมาให้
เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันใด ที่โจ้วชวนเป็นแบบนี้เพราะจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกนั้นต่ำเตี้ยจนเกินไป เหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติกัน จึงรู้สึกเหมือนโดนดูถูกและมีน้ำโหขึ้นมาทันที อาจเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความภูมิใจและหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก…
และคนแบบนี้…
ชูหลี่นั่งยืดตัวตรง “แต่ถ้าหนังสือที่ตีพิมพ์ครั้งแรกสี่หมื่นห้าพันเล่มขายหมดในทันที สัญญาชั่วคราวนี้อาจปรับเป็นเท่าตัวก็ได้นะคะ อาจารย์คะ ก่อนหน้านี้หนังสือของอาจารย์ก็ขายได้เป็นแสนๆ เล่ม แต่ครั้งนี้กลับไม่มั่นใจว่าหนังสือตัวเองจะขายได้เยอะขนาดนั้นเหรอคะ”
โจ้วชวนตะลึงงัน ทันทีที่ได้ยิน เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอแวบหนึ่งและยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันขาว
“นี่คุณยั่วยุผมเหรอ”
หญิงสาวเริ่มแสดงความเข้มแข็งเพื่อให้โจ้วชวนยอมรับความพ่ายแพ้และแสดงความอ่อนแอออกมา เธอเดินนวยนาดและยิ้มอย่างสวยงาม ก่อนจะถือซาลาเปามาให้เจ้าหมาที่นอนหมอบอยู่ข้างกายเป็นการปลอบขวัญ
“ฉันจำได้ คุณเคยพูดว่า ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ เป็นนิยายเล่มใหม่ที่สุดยอดมากของคุณ”
โจ้วชวนเคยพูดไว้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธไม่เท่ากับว่าเขากลืนน้ำลายตัวเองหรือ ดังนั้นจึงได้แต่เงียบไป ส่วนชูหลี่ก็แอบสังเกตสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง เสียดายที่ชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดผ่านทางสีหน้าเลย
สิบนาทีต่อมา โจ้วชวนก็ลุกขึ้นยืน ก้มลงมองใบหน้าเรียวเล็กของหญิงสาวที่มองตนเองอยู่บนโซฟาแล้วพูดขึ้น
“ผมมีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่ามันคงไม่ได้จริงๆ สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยไม่มีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้ผมร่วมงานกับพวกคุณ…ขอบคุณสำหรับซาลาเปาของคุณ ถึงแม้ว่ากาแฟของผมจะไม่ได้ราคาถูกเลยก็ตาม เอ้อร์โก่ว ส่งแขก”
“โฮ่ง!”
ชูหลี่ “…”
วันนี้โจ้วชวนเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ
ทัศนคติอันแสนเย่อหยิ่งของเขาทำให้ผู้คนสิ้นหวัง
ชูหลี่รู้ดีว่าหากตอนนี้พูดอะไรออกไปคงจะยิ่งน่ารำคาญ ตัวเธอเองก็ไม่มีความมั่นใจใด จึงทำได้เพียงยืนขึ้นก่อนวางนามบัตรลงแล้วพูดประโยคที่ฟังดูไร้สาระว่าถ้าหากเปลี่ยนใจ สามารถติดต่อกลับได้ตลอดเวลา ก่อนจะบอกลาเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบา จากนั้นชายหนุ่มก็มองหญิงสาวที่ก้มหัวให้แล้วเดินจากไป…
ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากโถงทางเดิน ทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่คุ้นเคย จึงหยุดเดิน เลิกคิ้วสูง ก่อนจะถอยหลังสองก้าวแล้วย่อตัวลง…อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปยังกองขยะเก่าที่วางอยู่ข้างห้องโถงซึ่งถูกห่อไว้เหมือนกำลังจะเอาไปทิ้ง แล้วดึงคอลเล็กชั่นภาพวาดออกมาหนึ่งฉบับ
เพียงแค่เห็นหน้าปกชูหลี่ถึงกับตะลึงตาค้าง นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้เจอสิ่งนี้ในบ้านของโจ้วชวน…คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคอลเล็กชั่นภาพวาดของแม่นางเจี่ยน แถมยังเป็นรุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นห้าสิบฉบับแรกพร้อมลายเซ็นด้วย
เมื่อก่อนเธอกับ Mr. L เคยช่วยกันแย่งชิงคอลเล็กชั่นภาพวาดนี้ถึงสี่ห้าวันจนนอนหลับไม่สนิทอยู่หลายคืนเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็ได้มาไว้ในครอบครอง ก่อนจะร้องไห้ฮือๆ ด้วยกันทั้งคืน เพราะตื่นเต้นจนทนไม่ไหว…ในที่สุดคอลเล็กชั่นภาพวาดฉบับนี้ได้กลายมาเป็นเหมือนหนังสือรับรองความเป็น ‘ติ่งผู้คลั่งไคล้แม่นางเจี่ยน’
…โจ้วชวนมีคอลเล็กชั่นภาพวาดฉบับนี้ได้อย่างไร
เธอถือตรงมุมของคอลเล็กชั่นภาพวาดไว้แล้วหันไปหาโจ้วชวนด้วยสีหน้ามึนงง ไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้
“อาจารย์คะ คุณก็ชอบแม่นางเจี่ยน…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค เธอหันไปมองโจ้วชวนอีกครั้ง และในวินาทีนั้นก็พบว่าเขาแปลงร่างไปแล้ว…
เหลือเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขาใช้มือข้างหนึ่งยันโซฟาเอาไว้ กระโดดขึ้นสูงยิ่งกว่าหลิวเสียง* จากนั้นก็แปลงร่างเป็นยูเซน เซนต์ลีโอ โบลต์** นักวิ่งร้อยเมตรที่รีบวิ่งมาตรงหน้าเธอแล้วแย่งหนังสือไป!
…ชูหลี่ไม่เคยเห็นหนุ่มเนิร์ด*** ที่คล่องแคล่วว่องไวเช่นนี้มาก่อน และในเวลานี้หนุ่มเนิร์ดกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ เขาก้มตัวเพื่อยัดคอลเล็กชั่นภาพวาดฉบับนั้นกลับไปที่กองขยะเก่าอย่างรวดเร็ว
“หลานสาวผมชอบน่ะ ปิดเทอมฤดูร้อนนี้เขามาเที่ยวเล่นที่บ้านผม…สำหรับนักวาดนอกกระแสแบบนี้ เฮ้อ! ยังไม่คู่ควรมาล้างเท้าให้ผมเลย”
เมื่อพูดจบก็จามออกมา ปลายจมูกนั้นเริ่มแดง
ชูหลี่ยังรู้สึกช็อกไม่หาย เธอได้แต่จ้องใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างามของชายหนุ่มที่กำลังเหยียดหยามด้วยท่าทีเย็นชาและนิ่งเฉย…
‘ยังไม่คู่ควรมาล้างเท้าให้ผมเลย’
‘ยังไม่คู่ควรมาล้างเท้าให้ผมเลย’
‘ยังไม่คู่ควรมาล้างเท้าให้ผมเลย’
ชูหลี่ “…”
ร้ายกาจเหลือเกิน
ท่านเทพ…เป็นสาวน้อยซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์**** หรอกเหรอ
* เจ้าหมาวัยมัธยม เป็นถ้อยคำที่ผู้พูดอยู่ในวัยมัธยมใช้เสียดสี เยาะเย้ยตนเองที่เรียนหนักและเหนื่อยกับการใช้ชีวิตเหมือนหมาตัวหนึ่ง
* หลงหยาง อ้างอิงมาจากชื่อหลงหยางจวิน ชายรูปงามผู้เป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์เว่ยหวังในสมัยจั้นกั๋ว ภายหลังใช้เป็นคำสแลงเพื่อกล่าวถึงชายรักร่วมเพศ
** ‘ตาแก่เข็นรถ’ เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการแนะนำท่าร่วมรักของชายชรา และเป็นชื่อเรียกท่าร่วมรักท่าหนึ่ง
* อลาสกัน มาลามิวต์ เป็นสุนัขลากเลื่อนแถบอาร์ติกที่เก่าแก่ที่สุดพันธุ์หนึ่ง หูตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม กระบอกปากเรียวเล็กน้อย ขนมีหลายสี ขนชั้นนอกหยาบหนา ขนชั้นในอ่อนนุ่ม
* ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ เป็นสุนัขสายพันธุ์โบราณ มีถิ่นอาศัยอยู่ในทิเบตหรือบริเวณเอเชียกลางไปถึงประเทศอินเดีย มีอุปนิสัยที่หวงถิ่นฐานและดุร้ายมาก สูงราว 61 ถึง 72 เซนติเมตร
* หลู่ซวิ่น เป็นนามปากกาของ โจวจางโช่ว นักเขียนชาวจีนที่สำคัญคนหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมากจะเป็นผู้เขียนวรรณคดีจีนสมัยใหม่ รวมทั้งวรรณคดีคลาสสิกจีน
** SF Express เป็นชื่อบริษัทขนส่งพัสดุของจีน
* หม่าเหลียง ตัวละครเด็กหนุ่มชาวนาจากนิทานเรื่อง พู่กันวิเศษ (Magic Brush) ผู้ซึ่งสามารถเสกสรรสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็นจริง เพียงแค่จรดปลายพู่กัน
** โทมินจุน ชื่อพระเอกในซีรี่ส์เกาหลี เรื่องยายตัวร้ายกับนายต่างดาว โดยเป็นมนุษย์ต่างดาวที่อยู่บนโลกมนุษย์มากว่า 400 ปี หน้าตาหล่อเหลา แต่มักจะมีสีหน้าเรียบนิ่งเสมอ และนิสัยเย็นชา
*** ‘ยายตัวร้ายกับนายต่างดาว’ ละครโทรทัศน์แนวรักโรแมนติกดราม่าของเกาหลี ถ่ายทอดเรื่องราวของชายจากต่างดาวที่มาติดอยู่บนโลกมนุษย์และเกิดความรักความผูกพันกับดาราสาวคนดัง
* หลิวเสียง เป็นอดีตแชมป์โลกและเหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันวิ่งกระโดดสูงชาวจีน
** ยูเซน เซนต์ลีโอ โบลต์ เป็นอดีตนักวิ่งระยะสั้นชาวจาเมกา โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักวิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
*** เนิร์ด คือคนที่ดูมีสติปัญญาดีกว่าคนปกติ ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน และส่วนใหญ่จะถูกเพื่อน ๆ มองว่าเป็นเด็กเรียนหรือหนอนหนังสือ
**** สาวน้อยซากุระ เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง ‘ซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์’ เธอเป็นสาวน้อยอายุ 10 ขวบ ซึ่งชีวิตพลิกผันต้องกลายเป็นมือปราบไพ่ทาโรต์ เป็นผลงานของ Clamp กลุ่มนักวาดที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1996
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.