บทที่ 62
ชูหลี่ทิ้งใบแนะนำหนังสือฉบับทดลองพิมพ์ไว้ให้โจ้วชวนเชยชม ส่วนตัวเองส่งไฟล์ให้เหล่าเหมียวและอวี๋เหยาคนละฉบับ พร้อมกันนั้นก็ใช้โอกาสนี้บอกข่าวร้ายเรื่องที่เจียงอวี่เฉิงไม่ยอมเซ็นสัญญากับพวกเขา พอทำทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็กระโดดขึ้นเตียงเตรียมจะนอน…ก่อนนอนมีข้อความเข้ามาว่าอวี๋เหยาได้รับไฟล์ของเธอแล้ว แล้วสักครู่ก็ตอบกลับมา…
อวี๋เหยา : ใบแนะนำหนังสือยังไม่โอเค ตรงที่บรรยายเกี่ยวกับแม่นางเจี่ยนดูเรียบไปหน่อย ยังไม่น่าสนใจพอ แก้อีกหน่อยนะ ต้องเขียนให้ดูเกินจริงเข้าไว้
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : …แค่เขียนในใบแนะนำหนังสือ ฉันก็จะอ้วกแล้วนะคะ
อวี๋เหยา : เชิญเลย อ้วกเสร็จแล้วก็มาเขียนให้ฉันต่อ
อวี๋เหยา : ส่วนสัญญาเรื่อง ‘สวนสนุกที่หายไป’ เธอไม่ต้องกังวล ฉันเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจียงอวี่เฉิงจะไม่ยอมเซ็นสัญญา ถ้าเดาไม่ผิดเขาน่าจะกำลังรอดูหลัง ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ของโจ้วชวนวางขายแล้วค่อยตัดสินใจ ถึงยังไงเขาก็เป็นเจียงอวี่เฉิง อยู่กับความเป็นจริงมากกว่าโจ้วชวน พูดไปเธออาจจะไม่เชื่อ แต่ถ้าโจ้วชวนอยู่ในยุคโบราณก็คงเป็นกวีแนวโรแมนติกตามแบบฉบับดั้งเดิมทำนองเดียวกับหลี่ไป๋* นั่นแหละ
ชูหลี่ “…”
หญิงสาวจับโทรศัพท์มือถือได้ไม่กี่วินาทีสมองก็ว่างเปล่าเสียแล้ว อยู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้มีบางคนเปรียบเทียบตัวเองกับตัวแทนจัดจำหน่ายว่าเป็น ‘น้ำผึ้งกับหมี’ การเปรียบเทียบแบบนี้…แปลว่าตัวแทนจัดจำหน่ายคือวินนี่เดอะพูห์** งั้นเหรอ
ดูสิ ช่างเป็นความคิดที่โรแมนติกมาก
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ฝาโลงของหลี่ไป๋แทบจะปิดไว้ไม่อยู่แล้ว ทำไมหัวหน้า บ.ก. ต้องทำให้ฉันนอนไม่หลับในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยคะ
อวี๋เหยา : ฮ่าๆๆ!
อวี๋เหยา : อืม ใช่แล้ว ฉันเห็นเจียงอวี่เฉิงโพสต์รูปตั๋วหนังสามใบในเวยป๋อ…โจ้วชวนก็ไปด้วยใช่ไหม ทำไมเธอไม่แชร์ต่อล่ะ ที่ไปดูหนังก็เสียเปล่าน่ะสิ โอกาสคุยโวโอ้อวดอย่างนี้พลาดได้ยังไงกัน
ชูหลี่ “…”
คุยโวโอ้อวด? คุยโวโอ้อวดกับใคร
สำนักพิมพ์ซินตุ้นเหรอ
โบกผ้าเช็ดหน้าด้วยความลำพองใจอย่างเห็นได้ชัด : ดูสิ นักเขียนที่พวกคุณใช้จำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกแสนกว่าเล่มก็ซื้อตัวไปเซ็นสัญญาไม่ได้ แต่ถูกพวกเราหลอกมาได้ด้วยบัตรกำนัลดูหนังมูลค่าสิบแปดหยวนใบเดียว ฮ่าๆๆ น่าโมโหไหมล่ะ
ชูหลี่สับสนไปหมด แต่ก็ไม่อยากเอาคำถามไร้สาระประเภทนี้ไปถามอวี๋เหยา จึงทำได้เพียงแค่ล็อกอินเข้าไปในเวยป๋อของนิตยสารแสงแห่งจันทราเพื่อแชร์โพสต์ของเจียงอวี่เฉิง
‘ดีใจอย่างยิ่งที่ได้ดูหนังเรื่องนี้กับอาจารย์จนจบ ได้รับทั้งประโยชน์และได้แบ่งปันความรู้สึกร่วมกันมากมาย สู้ไปด้วยกันนะ [ยิ้ม]!’
…แม้ข้อความจะเรียบง่ายอย่างไรก็ไม่อาจห้ามไม่ให้นักอ่านบางส่วนเข้ามาคอมเมนต์ใต้โพสต์ได้อยู่ดี…
‘โอ้พระเจ้า ไปดูหนังกับท่านเทพเจียงอวี่เฉิง! อิจฉาสุดๆ!’
‘นี่เรียกได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษเลยนะ…ได้ยินมาว่าเจียงอวี่เฉิงก็หล่อไม่เบา เป็น บ.ก. นี่ดีขนาดนี้เลยเหรอ อีกอย่างที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยเซ็นลายเซ็นให้ใคร ปกติแฟนคลับจะเจอเขาสักครั้งก็ยากเย็นเหลือเกิน…ว่าแต่มีตั๋วหนังสามใบ อีกใบคงไม่ใช่ของโจ้วชวนใช่ไหม เหอะๆ’
‘QAQ ฉันอยากเป็น บ.ก. ที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยจังเลย ท่านเทพเจียงอวี่เฉิงของฉัน อ๊าๆๆ!’
‘ดูจากลักษณะการพูด แอดมินน่าจะเป็นผู้หญิงใช่ไหม…ไปดูหนังกับเจียงอวี่เฉิงและโจ้วชวนพร้อมกันในครั้งเดียวเลยเหรอ’
‘ไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไร…’
‘ยังตั้งใจแชร์ต่ออีกต่างหาก ดูแล้วก็ดูไปสิ อยู่เงียบๆ ไม่ได้เหรอ ขี้อวดจัง’
ชูหลี่ไล่อ่านคอมเมนต์บางส่วน ในจำนวนประมาณเจ็ดถึงแปดคอมเมนต์จะมีข้อความแปลกๆ สักหนึ่งข้อความ…เธอแคปภาพหน้าจอคอมเมนต์เหล่านี้ส่งไปในกลุ่มวีแชตกอง บ.ก. นิตยสารแสงแห่งจันทรา อวี๋เหยาพิมพ์ ‘…’ มาเป็นคนแรก ส่วนอาเซี่ยงตามมาติดๆ…
ช้างที่บินได้ : ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ แรงเกินไปแล้ว
อวี๋เหยา : …ฉันก็งงเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะชูหลี่ ฉันไม่เคยมีนักเขียนชายที่หน้าตาดีและมีความเป็นไอดอลขนาดนี้มาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ไปดูหนังจะมีแฟนคลับไม่ชอบใจด้วย
จิ๊บๆๆๆ : คงไม่ใช่มือปืนไซเบอร์ของซินตุ้นฝั่งนั้นส่งมานะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!
ชูหลี่คิดในใจ ‘ฮ่าๆๆๆ’ อะไรกันล่ะ ตลกตรงไหนยะ ฉันหัวร้อนไปหมดแล้วเนี่ย
ขณะที่กำลังรู้สึกเซ็งอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เธอจึงตอบกลับไปโดยอัตโนมัติ “ไม่ได้ล็อกค่ะ” หลังจากนั้นประตูก็เปิดออก…
ชายหนุ่มยืนหันหลังให้แสงอยู่นอกประตู มองดูเธอที่อยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ ภายใต้แสงจันทรา เธอนั่งอยู่กลางเตียงในห้องใต้หลังคา ชุดนอนกระโปรงสีขาว ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนสีขาว ราวกับทั้งตัวของเธอถูกฝังเข้าไปในกองหิมะ
แววตาของโจ้วชวนเปล่งประกาย รู้สึกว่าห้องใต้หลังคาและเตียงของชูหลี่ดูน่านอนสบายอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มพยายามหักห้ามใจไม่วู่วามเข้าไปลองจริงๆ เพียงมองดูปฏิกิริยาของเธอก่อนจะเปลี่ยนท่ายืน
เขาพูดโดยใช้ประโยคบอกเล่า “เห็นในเวยป๋อแล้วนะ” ต่อจากนั้นก็ใช้ประโยคคำถามแบบต้องการคำตอบ “คุณไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง ไปแชร์เวยป๋อของเจียงอวี่เฉิงทำไม ยังมีคนที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นต้องเล่นเวยป๋ออีกเหรอ”
“…ฉันคิดว่าคุณจะขึ้นมาทะเลาะกับฉันเสียอีก ที่แท้คุณก็เห็นแล้วเหมือนกันเหรอคะ” ชูหลี่เกาหน้าพลางพูดทีเล่นทีจริง “อวี๋เหยาเป็นคนให้ฉันแชร์เวยป๋อ เมื่อก่อนเธอมีแต่นักเขียนผู้หญิง คงคิดไม่ถึงว่าแฟนคลับสาวๆ จะบ้าคลั่งนักเขียนไอดอลขนาดนี้…”
มือของโจ้วชวนจับอยู่ที่กรอบประตู เงาสูงใหญ่แทบจะบังประตูมิด แสงที่สาดส่องจากข้างหลังทำให้ชูหลี่มองสีหน้าเขาไม่ชัด ชายหนุ่มเงียบลง เป็นครั้งแรกที่เขาเถียงเธอไม่ถึงแปดร้อยคำเพียงเพราะแค่คำว่า ‘ไอดอล’ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ให้ผมไปบอกให้พวกเขาเงียบไหม”
ชูหลี่ตกใจ “อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวมันจะออกมาแย่กว่าเดิมนะคะ”
“งั้นจะยอมปล่อยให้พวกเขาด่าเหรอ”
“ยังไงคนที่พวกเขาด่าก็คือเวยป๋อของสำนักพิมพ์แสงแห่งจันทรา ไม่ได้กล่าวถึงชื่อฉันสักหน่อย” ชูหลี่คิดแล้วพูดต่อไป “ก็ไม่ได้โกรธอะไรมากนักหรอกค่ะ”
“ผมว่าคุณคงเพี้ยนไปแล้ว”
“…”
ชายหนุ่มพูดจบก็ใช้สายตาจ้องมองชูหลี่ก่อนหันหลังเดินจากไป ตอนออกจากห้องเขาไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เธอ…หญิงสาวได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับบันไดห้องใต้หลังคาเริ่มไกลออกไป จนกระทั่งหายไป เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาเดินไปไกลแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนดูเวยป๋ออีกครั้ง
ขณะนี้ใต้โพสต์ในเวยป๋อมีมากกว่าสี่ร้อยคอมเมนต์แล้ว ข้อความแปลกๆ ก็น่าจะมีประมาณสามสิบสี่สิบคอมเมนต์ได้…และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คอมเมนต์เพิ่มขึ้นได้สักพักอยู่ๆ ก็หยุดลง ชูหลี่รู้สึกประหลาดใจ จนกระทั่งเธอได้รับภาพแคปหน้าจอจากอวี๋เหยา…
หลังจากที่โจ้วชวนลงไปไม่ถึงห้านาที เวยป๋อของเขาก็อัพเดตนิยายตอนใหม่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้แฟนคลับที่ป่วนอยู่ในเวยป๋อทางการของนิตยสารหายกันในพริบตา
ในเวยป๋อของเจียงอวี่เฉิงมีแฟนคลับคนหนึ่งคอมเมนต์ว่า ‘บ.ก. สาวไปด้วยกันกับเจียงอวี่เฉิงและโจ้วชวนเหรอ อิจฉาจังเลย’ ขณะที่เจียงอวี่เฉิงตั้งใจตอบกลับคอมเมนต์นี้โดยเฉพาะ และใช้คำตอบแบบสบายๆ ‘ไม่ใช่ สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยให้บัตรกำนัลดูหนังมาเยอะมาก ให้นักเขียนและทั้งกอง บ.ก. ไปดูด้วยกัน’
ขณะเดียวกันเพื่อเน้นย้ำว่าคำพูดของเจียงอวี่เฉิงเป็นความจริง สั่วเหิงก็คอมเมนต์ในโพสต์เวยป๋อทางการของสำนักพิมพ์แสงแห่งจันทราว่า ‘เป็นหนังที่คุ้มค่าแก่การดูมาก :)’…
แต่ละคนใช้คำพูดที่ดูคลุมเครือ ทั้งยังอัพเดตในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ แฟนคลับจึงค่อยๆ หมดความสนใจ แถมยังสร้างเรื่องตบตาว่าครั้งนี้ไปดูหนังด้วยกันทุกคนอีก…
ชูหลี่ทักไปขอบคุณเจียงอวี่เฉิงในแชตคิวคิวส่วนตัว แล้วก็ทักไปขอบคุณสั่วเหิง…การปรากฏตัวของเธอครั้งนี้ทำให้หญิงสาวประหลาดใจ คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เหล่าเหมียวบอก งั้นใครเป็นคนให้เธอทำแบบนี้กันนะ…เรื่องนี้ใช้แค่นิ้วเท้าก็ยังเดาออก
ตอนที่ชูหลี่ทักไปขอบคุณโจ้วชวน ปฏิกิริยาโต้ตอบของเขายังแปลกเหมือนเดิม ชายหนุ่มตอบกลับมาเพียง ‘?’ จากนั้นก็ตอบกลับมาอีกเหมือนอยากให้คนอื่นวุ่นวายใจอย่างไรอย่างนั้น ‘ผมแค่อัพเดตนิยายตอนใหม่ คุณจะมาขอบคุณทำไม แฟนคลับต่างหากที่ต้องรักและขอบคุณผม อีกอย่างนิยายเรื่องนี้ใช่ว่าผมจะเซ็นสัญญากับคุณสักหน่อย’
“…”
โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งไปแล้วเข้านอนดีกว่า
เรื่องราววุ่นวายก่อนนอนที่เกิดขึ้นเพราะการแชร์โพสต์เวยป๋อก็ถูกเธอปัดทิ้งไป
สามวันต่อมา ชูหลี่จมอยู่กับความคิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พูดไปคนอื่นก็คงจะไม่เชื่อ ใบแนะนำหนังสือบ้าๆ ฉบับนั้น ชูหลี่แก้ไปแก้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน…
วันจันทร์
เธอถูกเหล่าเหมียวตำหนิอย่างหนัก “นักเขียนพู่กันที่เขียนชื่อเรื่องตรงหน้าปกสำคัญขนาดนั้น ทำไมเธอไม่พูดถึงเลย” ชูหลี่ได้แต่ตำหนิตัวเอง จากนั้นก็รีบเอาชื่อนักเขียนพู่กันเพิ่มลงตรงกลางระหว่างโจ้วชวนกับแม่นางเจี่ยน หญิงสาวเข้าไปค้นข้อมูลในไป่ตู้เล็กน้อย นักเขียนพู่กันท่านนี้มีหลายฉายา เธอจึงเลือกฉายาที่ดูเป็นสากลสักหน่อยเพื่อป้องกันการถูกคัดลอก…
ตอนแรกเหล่าเหมียวก็บอกอย่างละเอียดว่าตรงไหนควรแก้อย่างไร แต่ต่อมากลับสั่งอย่างลวกๆ แค่ “ตรงนี้ไม่โอเค” “ตรงนั้นเขียนแบบนี้ไม่ได้” ทำให้ต้องแก้แนะนำเนื้อหาโดยย่อและคำนิยมโดย บ.ก. แปดรอบสิบรอบ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานในวันอังคาร ใบแนะนำหนังสือฉบับที่เก้าก็เข้าตาเหล่าเหมียว หลังจากนั้นจึงส่งไปให้อวี๋เหยา
อวี๋เหยาเหลือบมองหนึ่งทีแล้วเอ่ยกับชูหลี่ “เมื่อตอนค่ำวันเสาร์บอกเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ ตรงที่เขียนเกี่ยวกับแม่นางเจี่ยนยังไม่น่าสนใจพอ ทำไมเธอยังไม่แก้อีก”
…นั่นหมายความว่าใบแนะนำหนังสือนี้ต้องมีฉบับที่สิบถึงสิบเอ็ด
ชูหลี่ใจสลายแตกเป็นเสี่ยงๆ
หญิงสาวนำใบแนะนำหนังสือกลับมาดูก็พบว่าอวี๋เหยาพูดไม่ผิด ตรงที่เกี่ยวกับแม่นางเจี่ยนเธอยังไม่ได้แก้จริงๆ…คิดไปคิดมาก็น่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เธอถูกแฟนคลับของเจียงอวี่เฉิงรุมต่อว่าที่มายุ่งกับคนที่พวกเขารัก ทำเอาเวียนหัวตาลายจนลืมแก้จุดนี้ไปเลย…ชูหลี่จึงรีบเอาใบแนะนำหนังสือกลับไปแก้เป็นครั้งที่สิบ
เธอเขียนไปว่าแม่นางเจี่ยนเป็นนักวาดสไตล์โบราณมือหนึ่งของประเทศ มีแฟนคลับนับล้าน ชื่อเสียงโด่งดังเรียกฟ้าเรียกฝน ประกอบกับได้ร่วมงานกับโจ้วชวน ไม่มีใครสู้ได้แน่นอน นอกจากนี้ถ้านักอ่านที่ชื่นชอบวรรณกรรมแนวโบราณสนใจ สามารถฟังตัวอย่างฉบับอ่านบรรยายสำหรับคนตาบอดได้
พอเขียนมาถึงตรงนี้จึงค่อยอดทนต่ออาการคลื่นไส้ได้ และเมื่อผ่านด่านของอวี๋เหยามาได้แล้ว จากนั้นก็ส่งให้อาจารย์ซย่าตรวจสอบอีกครั้ง
หลังจากที่อาจารย์ซย่าอ่านดูแล้วก็แก้ไปอีกหลายรอบ เนื่องจากถูกวิจารณ์เรื่องการใช้คำ เช่น ‘รูปแบบการใช้คำอยู่ในระดับง่าย’ ‘เขียนเหมือนเด็กประถมเขียนเรียงความ’ ชูหลี่จึงถูกบังคับให้เขียนข้อความบ้าๆ เหล่านี้กว่าหลายร้อยคำซ้ำไปซ้ำมา
สุดท้ายก่อนเลิกงานเย็นวันพุธ
เธอได้รับแจ้งจากอาจารย์ซย่าในคิวคิวว่าใบแนะนำหนังสือผ่านแล้ว ชูหลี่ที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดีใจจนแทบร่ำไห้ กล่าวขอบคุณจากใจจริง และนำใบแนะนำหนังสือส่งให้ฝ่ายการตลาด
วันศุกร์
ฝ่ายการตลาดเก็บข้อมูลยอดสั่งซื้อล่วงหน้าของตัวแทนจัดจำหน่ายในวันแรกครบแล้ว…จากนั้นก็ส่งตารางข้อมูลมาให้ชูหลี่ ก่อนที่จะกดบันทึกและเปิดออกดู หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นราวกับยืนอยู่หน้าโทรศัพท์เพื่อโทรสายด่วนสอบถามคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนในปีนั้นไม่มีผิด ตอนที่ลูกศรเม้าส์คลิกไปที่ไฟล์ตารางข้อมูล เธอได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงอยู่กลางอกอย่างชัดเจน…
หน้าจอคอมพิวเตอร์สะท้อนให้เห็นดวงตาทั้งสองข้างของเธอที่เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นและใจจดใจจ่อ
เมื่อแอบมองไปรอบๆ ก็พบว่าทุกคนต่างกำลังยุ่งเรื่องของตัวเองโดยไม่ได้สนใจเธอ ชูหลี่จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และรีบเปิดตารางข้อมูล…
วันนี้ฝ่ายการตลาดได้รับใบสั่งซื้อจากตัวแทนจัดจำหน่ายหนังสือรวมแปดสิบเจ็ดแห่ง จำนวนใบสั่งซื้อรวมทั้งหมดสี่หมื่นห้าพันสองร้อยเล่มพอดิบพอดี
“…”
นี่เพิ่งจะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าวันแรก!
นอกจากจำนวนตัวแทนจัดจำหน่ายที่เคยร่วมงานกับสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยแล้ว ก็น่าจะมีตัวแทนจัดจำหน่ายทั้งรายเล็กรายใหญ่ทยอยตามกันมาอีกสี่ร้อยกว่าเจ้า…นั่นหมายถึงหนังสือที่ขายออกไปในวันนี้สี่หมื่นห้าพันกว่าเล่มอาจเป็นแค่ตัวเลขที่ไม่ถึงหนึ่งในห้าของยอดสั่งซื้อล่วงหน้าทั้งหมด!!!
อีกทั้งวันนี้ยอดสั่งซื้อล่วงหน้าก็ทะลุเกินจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยระบุไว้ในสัญญาของโจ้วชวน…หมายความว่าจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกในสัญญาจะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน ด้วยสถานการณ์ที่ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ขายได้ถึงสี่หมื่นห้าพันกว่าเล่มในวันแรกเช่นนี้ ประธานใหญ่ของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยเห็นเข้าก็สบายใจได้แล้ว ยิ่งตีพิมพ์เยอะต้นทุนก็ยิ่งต่ำ ถ้าขายดีพวกเขาต้องตีพิมพ์มากขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้ยอดตีพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้อาจพุ่งสูงขึ้นไปถึงแสนห้าหรือสองแสนเล่มก็เป็นได้!
แสนห้า นี่ก็ทะลุเป้าที่โจ้วชวนตั้งเอาไว้แล้ว
ความดีใจในอกราวกับจะผลิออกเป็นดอกไม้ เม้าส์ของเธอคลิกไปที่ตารางข้อมูลจนเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ทำใจปิดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ชูหลี่เปิดดูจำนวนใบสั่งซื้อจากตัวแทนจัดจำหน่ายหนังสือไม่กี่เจ้าหลายรอบ…จากนั้นก็จ้องมองไปยัง ‘จำนวนรวม : สี่หมื่นห้าพันสองร้อย’ รู้สึกมีความสุขราวกับดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง
ปากที่อ้าค้างถึงกับหุบไม่ลง
เรื่องที่น่ายินดีแบบนี้ต้องแชร์ให้ทุกคนรับรู้
เธอบันทึกภาพหน้าจอที่แสดงให้เห็นยอดรวมใบสั่งซื้อของวันนี้อย่างเบิกบานใจ แล้วส่งไปในแชตกลุ่ม บ.ก. นิตยสารแสงแห่งจันทรา กลุ่ม บ.ก. สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยที่มีอาจารย์ซย่าอยู่ด้วย แล้วก็แชตส่วนตัวของโจ้วชวน…
แต่ละกลุ่มต่างส่งมีม ‘ปรบมือ’ ราวกับฉลองปีใหม่ แต่มีโจ้วชวนเพียงคนเดียวที่ไม่มีการตอบรับใดๆ ชูหลี่จึงสั่นหน้าต่างแชตอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งชายหนุ่มปรากฏตัว เขาตอบเธอแค่ ‘.’ หญิงสาวที่อ้าปากค้างอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ปากแทบจะฉีกไปถึงใบหูแล้ว…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : อ๊าๆๆ อาจารย์เห็นไหมคะ! สี่หมื่นห้า! วันแรกก็สี่หมื่นห้าแล้ว! ยังมีร้านหนังสืออีกสี่ร้อยกว่าร้านที่จะทยอยตามมา!!!!!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ยอดตีพิมพ์ครั้งแรกหกหลักแน่นอน
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ฉันบอกแล้วว่าคุณทำได้แน่นอน!!!! สัญญาตีพิมพ์ครั้งแรกที่จำนวนน้อยเป็นบ้าฉบับเดียวจะขัดขวางไม่ให้คุณเฉิดฉายได้ยังไง!!!!
โจ้วชวน : .
โจ้วชวน : ได้ๆ งั้นแสดงความยินดีให้ตัวผมเอง
โจ้วชวน : ที่แท้ผมก็เป็นน้ำผึ้งที่ล่อตาพวกหมีจริงๆ ด้วย ขอยอดตีพิมพ์ครั้งแรกให้ผมสักสองแสนนะ รู้ว่าสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยมีเงิน ผมพิสูจน์ตัวเองแล้ว พวกคุณยังจะไม่ควักกระเป๋าจ่ายอีกเหรอ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : [มีมพยักหน้ารัวๆ]
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : อาจารย์ซย่าบอกว่าการโปรโมตแบบต่อเนื่องไม่มีหยุดของฉันตลอดช่วงไม่กี่เดือนนี้ก็มีผลด้วย แถมยังมีความดีความชอบในการเขียนใบแนะนำหนังสือได้ดีรวมอยู่ในนั้นด้วยนะ!!!!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : โอ้พระเจ้า ซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหล ฉันจะร้องไห้จริงๆ นะ ถ้าร้องไห้เสียงดังกลางกอง บ.ก. จะไม่โดนเหล่าเหมียวหัวเราะเยาะใช่ไหม
โจ้วชวน : …รู้แล้วๆ คุณเขียนได้ดี
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ต้องสู้รบทั้งในด้านสติปัญญาและความกล้าหาญกับแม่นางเจี่ยนทุกวัน ฉันผู้ที่เรียนศิลปศาสตร์มาแทบอยากจะพลิกกฎหมายสัญญาจากหัวไปหาง พอทำสัญญาฉบับนี้เสร็จ ฉันแทบไปสอบเป็นผู้พิพากษาได้เลยนะคะ!!!
โจ้วชวน : …รู้แล้วๆ ลำบากคุณแล้ว
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : สปอยล์ทั้งในเวยป๋อทั้งในเว็บไซต์ทุกวัน ต้องกดหัวบังคับแม่นางเจี่ยนขอความร่วมมือให้ช่วยกันโปรโมต เธอคงคิดจะแทงฉันอยู่ในใจจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วแน่ๆ
โจ้วชวน : …รู้แล้วๆ ว่าคุณน้อยใจ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : รวมๆ แล้วฉันแก้ใบแนะนำหนังสือไปยี่สิบกว่ารอบ!! ฉันบันทึกไว้ทุกรอบเลยนะคะ!!! ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันจะแคปภาพหน้าจอให้ดู ดูสิๆ ฉันแคปหน้าจอส่งไปให้คุณดูแล้ว…
โจ้วชวน : …แม่เจ้า บอกว่ารู้แล้วไง!!! พอได้หรือยัง!!! ยังต้องให้ผมพูดอะไรอีก ชมอะไรอีก นี่คลังคำศัพท์ผมหมดจนแทบจะต้องไปหาในไป่ตู้เพิ่มแล้ว!!!!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : …
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ขอฉันดีใจหน่อยสิคะ
จุดไข่ปลาที่เปลี่ยนอารมณ์กะทันหันของอีกฝ่ายทำเอาชายหนุ่มซึ่งกำลังพิมพ์ ‘ชมเด็กประถมอย่างไรดี’ บนหน้าเว็บไซต์ไป่ตู้ในคอมพิวเตอร์อยู่ต้องหยุดชะงัก เขาจ้องมองไปยังจุดไข่ปลาแสนเย็นชาที่เปลี่ยนไปในเสี้ยววินาทีก่อนจะเงียบไปพักหนึ่งแล้วปิดหน้าไป่ตู้ลง
โจ้วชวน : …ผมก็ไม่ได้พูดว่าไม่ให้คุณดีใจสักหน่อย
โจ้วชวน : เอาเป็นว่าคืนนี้ไปกินข้าวข้างนอกกัน เป็นรางวัลที่คุณเขียนใบแนะนำหนังสือไปยี่สิบกว่าฉบับ
โจ้วชวน : ล็อบสเตอร์ รังนก เนื้อราชามังกร คุณอยากกินอะไร
กอง บ.ก. ทางนี้ ชูหลี่ที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยิ้มจนตาเป็นสระอิ
เธอปิดหน้าต่างแชตส่วนตัวที่เพื่อนร่วมงานส่งข้อความมาแสดงความยินดีกับชัยชนะลง และยกมือขึ้นเพื่อจะพิมพ์ตอบกลับโจ้วชวน ในตอนนั้นเองอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหล่าเหมียวถอนหายใจมาจากโต๊ะข้างๆ
“นักเขียนที่มีแฟนคลับของตัวเองนี่ดีจริงๆ สามารถทำยอดขายได้อย่างเหลือเชื่อ แถมยังช่วยกระจายข่าวในสำนักพิมพ์ได้ด้วยว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะใบแนะนำหนังสือของ บ.ก. คนใหม่เขียนได้ดี ช่างเป็น บ.ก. ที่มีพรสวรรค์จริงๆ”
ชูหลี่ลดมือลงก่อนจะหันไปมองเหล่าเหมียว จากนั้นก็มองกลุ่มแชตของ บ.ก. สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย มีคนพูดกับเหล่าเหมียวทีเล่นทีจริงตามคาดว่า ‘จะโดนคนใหม่แซงหน้าแล้วนะ’ ด้วยคำพูดแบบนี้…ในจังหวะนี้ ทำให้เหล่าเหมียวหันหน้ามามองชูหลี่
“ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ได้อ่านใบแนะนำหนังสือจริงๆ บ้าง หรือแค่ได้ยินชื่อโจ้วชวนก็หลับตาเติมเลขศูนย์ข้างหลังลงในใบสั่งซื้อไปหลายตัว จะเติมมากเติมน้อยก็แล้วแต่ความต้องการ”
“…”
คำพูดของเหล่าเหมียวเหมือนเอากะละมังน้ำเย็นมาราดกลางหัวในเดือนพฤศจิกายน…
จริงอยู่ที่เหล่าเหมียวกำลังอิจฉา แต่ที่เขาพูดมาก็ไม่ได้ผิด ทุกๆ ขั้นตอนแทบจะนำแสดงโดยหมีและน้ำผึ้งทั้งหมด แต่ผึ้งที่บินตามหลังน้ำผึ้งหึ่งๆ อยู่ตลอดอย่างเธอกลับไม่มีใครสนใจ…แน่นอนว่าหมีก็ไม่ได้เข้ามาหาเพราะผึ้งอยู่แล้ว ในสายตาของพวกมันมีแต่น้ำผึ้งเท่านั้น
…งั้นก็หมายความว่ายอดขายสี่หมื่นห้าพันสองร้อยเล่มนี้ อย่างมากสุดก็แค่สองร้อยเล่มเท่านั้นที่แลกมาด้วยการอดหลับอดนอนแก้ใบแนะนำหนังสือของเธอ
ชูหลี่เริ่มยิ้มไม่ออก แต่คาดไม่ถึงว่าอวี๋เหยาจะรีบเงยหน้าขึ้นมาพูดทันที
“เหล่าเหมียว เลิกพูดอะไรไม่ดูกาลเทศะสักทีได้ไหม”
เหล่าเหมียวจึงพุ่งความสนใจไปที่อวี๋เหยาแทน “ถ้าเธอเก่งขนาดนั้น งั้นคุณก็ให้เธอดูแลสั่วเหิงแล้วกัน สั่วเหิงกำลังหาหัวข้อสำหรับนิยายเรื่องใหม่อยู่พอดี…ให้ชูหลี่รับผิดชอบตั้งแต่แรก ถ้าโด่งดังขึ้นมาก็ถือว่าผมแพ้” จากนั้นเขาก็หันไปกดแป้นพิมพ์และพูดเสียงดัง “งานสบายๆ มีใครบ้างที่ทำไม่ได้ ก่อนหน้านี้นิยายของโจ้วชวนเล่มไหนๆ ก็ตีพิมพ์ขายได้แสนสองแสนเล่มทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ยืนมองเขาลูกอื่นอยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์นับเป็นความสามารถอะไร เก่งจริงก็สร้างภูเขาขึ้นมาเองสิ!”
ชูหลี่ลุกขึ้นยืน “แล้วคุณจะเอายังไง”
“เธอเป็นมือใหม่ที่มีพรสวรรค์ไม่ใช่หรือไง ลองดูสิว่าจะใช้ความสามารถจริงๆ ของ บ.ก. ทำให้นิยายเรื่องนี้มียอดตีพิมพ์ครั้งแรกสามแสนห้าหมื่นเล่มได้ไหม ห้ามพึ่งโจ้วชวน พึ่งแต่ตัวเอง…ถ้าทำได้ ตำแหน่งรอง บ.ก. ก็เป็นของเธอไปเลย”
ชูหลี่หรี่ตาเล็กน้อย คิดดูแล้วก็ยิ้มออกมาพลางพยักหน้า “ได้”
อันที่จริงเธอไม่รู้หรอกว่าจะทำได้ไหม…รู้แค่ว่าก่อนหน้านี้หนังสือดังๆ ของโจ้วชวนก็ตีพิมพ์ที่ประมาณสองแสนสามหมื่นเล่ม จำนวนสามแสนห้าหมื่นเล่มที่อีกฝ่ายพูดถึงเป็นสถิติที่โจ้วชวนยังไม่เคยทำได้ ถ้าเธอทำได้เหล่าเหมียวจะยอมสละบัลลังก์รอง บ.ก. ให้เธอ
แต่ถ้าทำไม่ได้อย่างมากก็แค่โดนเยาะเย้ยประโยคสองประโยค ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก
อีกอย่างตอนนี้เธอก็เดือดจนหัวร้อนแล้วด้วย…
เธอขุดหลุมฝังตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว “ส่งสั่วเหิงมาให้ฉันก็ได้ งานนี้ฉันรับผิดชอบเอง ถ้าคุณไม่เต็มใจดูแล เดี๋ยวฉันลงมือเอง!”
* หลี่ไป๋ คือกวีเอกของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง
** วินนี่เดอะพูห์ หรือหมีพูห์ เป็นตัวละครหมีในการ์ตูนสำหรับเด็ก มีนิสัยชอบกินน้ำผึ้ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.