X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 63

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 63

เหล่าเหมียวเองก็คาดไม่ถึงว่าชูหลี่จะตกลงรับปากเร็วขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ตอบรับเรื่องยอดตีพิมพ์ครั้งแรกจำนวนสามแสนห้าหมื่นเล่มของโจ้วชวน กระทั่งเรื่องสั่วเหิงก็ยังตอบรับด้วย…เขาตะลึงไปชั่วขณะแล้วก็หัวเราะขึ้นมาพลางส่งช่องทางการติดต่อสั่วเหิงให้ชูหลี่ในคิวคิว

“ได้ๆๆ ฉันให้เธออยู่แล้ว จะเสียงดังอะไรขนาดนั้น กลัวฉันเปลี่ยนใจงั้นเหรอ…อยากได้นักเขียนคนนี้ก็เอาไป มีอะไรต้องเสียดายกัน งานก็ขายไม่ได้ แย่ลงเรื่อยๆ ทุกปี”

“…เหล่าเหมียวคะ เอาสั่วเหิงให้ชูหลี่ดูแลไม่น่าจะดีมั้ง ตั้งแต่เจียงอวี่เฉิงมาอยู่ที่นี่แล้วลงนิยายรายตอนเพิ่มอีกคน ต้นฉบับเรื่องสั้นของเหอหม่าก็มักจะถูกตีกลับ ไม่ได้ลงในนิตยสารมาสองสามฉบับแล้ว นอกจากสั่วเหิงกับเหนียนเหนียน นักเขียนคนอื่นที่คุณดูแลอยู่ก็ไม่มีใครลงผลงานได้แล้ว…” เสี่ยวเหนี่ยวพูดแทรกขึ้นมา แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเหล่าเหมียวหันมาถลึงตาใส่

จากนั้นเหล่าเหมียวหมุนเก้าอี้กลับไป “จริงๆ ฉันก็ไม่อยากดูแลพวกที่ขายไม่ออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ช่วงนี้กำลังปรึกษากับสำนักพิมพ์เรื่องงานอื่นอยู่…คนเราน่ะนะ ไม่ควรดื้อดึงพาตัวเองเดินจนมุมหรอก นี่มันยุคไหนกันแล้ว ยังมีใครซื้อนิตยสารทุกสัปดาห์เพื่ออ่านนิยายอีก!”

เขาพูดไปก็เหลือบตามองชูหลี่ไปด้วย

ชูหลี่พึมพำหน้านิ่ง “พูดอะไรไร้สาระ ฉันไม่ฟังหรอกนะ”

ระหว่างที่พึมพำก็ทักคิวคิวของสั่วเหิงไปด้วย…สั่วเหิงเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนมากกว่าที่คิด หลังจากที่แจ้งว่าต้องเปลี่ยน บ.ก. ผู้รับผิดชอบ เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่งเพียงแค่ อ้อที่แฝงความหมายลึกซึ้งแล้วเงียบไป…ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ การเปลี่ยน บ.ก. ผู้รับผิดชอบกะทันหันคงทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทอดทิ้ง

ชูหลี่ทำได้เพียงลดความไม่สบายใจของสั่วเหิงลง วิธีการที่หญิงสาวคิดได้คือพยายามพูดคุยเกี่ยวกับนิยายเรื่องใหม่ของอีกฝ่าย ทำให้เธอลืมเรื่องที่ถูกทอดทิ้งให้เร็วที่สุดและปรับตัวให้ได้…แต่ทว่าสิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือเพิ่งจะเอ่ยปากพูดเรื่องผลงานใหม่ สั่วเหิงก็ตอบกลับมาทันที…

 

สั่วเหิง : อ้อ ครั้งที่แล้วเหล่าเหมียวให้ฉันเขียนแนวน่ารักสดใสเกี่ยวกับเทพเซียนที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ฉันเริ่มเขียนช่วงแรกแล้วค่ะ

 

พูดเสร็จเธอก็ส่งต้นฉบับที่มีแค่ช่วงแรกมาให้ ชูหลี่อ่านไปนิดหน่อย…เห็นถึงความพยายามของเธอที่จะเขียนให้น่ารักสดใสได้อย่างชัดเจน แต่…สั่วเหิงเป็นนักเขียนที่เคยโด่งดังจากนิยายรักแนวโบราณ นักอ่านชื่นชมเพราะเธอใช้สำนวนภาษาที่แทรกความละเอียดอ่อนไว้ในความยิ่งใหญ่ ทั้งยังชอบเรื่องราวของสตรีผู้เข้าโรมรันในสมรภูมิรบจากปลายปากกาของเธอ…

ทำไมนักเขียนแบบนี้ต้องเขียนแนวน่ารักสดใสด้วยล่ะ

ชูหลี่ปิดต้นฉบับและแสดงความคิดเห็นกับสั่วเหิงอย่างใจเย็น แต่เพิ่งพูดจบสั่วเหิงก็ถามกลับมาอย่างรวดเร็ว…

 

สั่วเหิง : งั้นตอนนี้มีเรื่องอะไรที่เป็นที่นิยมบ้าง นักอ่านชอบอ่านอะไร สตาร์คราฟต์*? แนวโบราณ? แนวทะลุมิติ? อ้อ หรือว่าแนวน่ารักๆ ที่ตัวเอกมีคนแปลงร่างเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ได้ ฉันเขียนได้หมดเลยนะคะ

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : …ไม่ต้องสนใจว่าตอนนี้เรื่องอะไรเป็นที่นิยม คุณมีแนวไหนที่อยากจะเขียนไหมคะ

สั่วเหิง : จริงๆ ก็มีนะคะ ฮ่าๆๆ แต่เหล่าเหมียวบอกว่าแนวที่ฉันอยากเขียนไม่มีทางดังแน่ๆ เลยไม่ยอมให้เขียนเพราะว่าตอนนี้คนอ่านนิยายรักแนวโบราณมีน้อยมาก

สั่วเหิง : เหล่าเหมียวบอกว่านักเขียนที่ไม่มีกระแสแล้วอย่างฉัน ทางที่ดีควรเขียนแนวที่รับประกันได้ว่าดังแน่นอน จำพวกแนวยอดนิยมที่แม้แต่นักเขียนมือใหม่ก็สามารถเขียนจนดังได้ อีกอย่างฉันเป็นนักเขียนเก่า บางทีอาจช่วยให้ฉันกลับไปอยู่ในสายตาของทุกคนได้อีกครั้งฉันคิดว่าเขามีเหตุผลมากเลยทีเดียว

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : …

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ตอนนี้เขาไม่ใช่ บ.. ผู้รับผิดชอบของคุณแล้ว ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองนะคะ

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ลองคิดดูนะคะว่าตอนแรกทำไมสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยถึงรับคุณเข้ามาเรารับคุณเพราะว่าอยากเห็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ ไม่ใช่รับคุณมาเพื่อเขียนสิ่งที่ ไม่ใช่สั่วเหิงก็เขียนได้’…

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ไม่รู้ว่าที่ฉันพูดแบบนี้พอจะทำให้คุณเข้าใจได้บ้างไหมคะ

สั่วเหิงเงียบไปชั่วขณะ

น่าจะรู้สึกทึ่งเกินไปกับความต้องการของชูหลี่และเหล่าเหมียวที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

เงียบไปสักพัก เธอจึงบอกว่าจะเลือกเรื่องที่อยากเขียนออกมาสักสองสามเรื่อง เมื่อเสร็จแล้วจะส่งให้ชูหลี่เลือก หญิงสาวเห็นด้วยอย่างยิ่งและกำหนดเวลาส่งไว้อย่างชัดเจน…

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว สั่วเหิงก็พูดทิ้งท้ายกับชูหลี่ไม่กี่ประโยค…

 

สั่วเหิง : อ้อ เวลา บ.. ทุกคนพูดกับฉันเรื่องแนวที่จะเขียนหรือโครงเรื่อง มักจะพูดว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ ส่งเมื่อไรก็ได้

สั่วเหิง : มีแต่คุณที่บอกว่า ห้ามผัดวันประกันพรุ่ง แถมยังนัดเวลาส่งต้นฉบับไว้เรียบร้อย

สั่วเหิง : ฮ่าๆๆๆๆ เหมือนไม่มี บ.. เอาไฟลนก้นตามต้นฉบับกับฉันมาหลายปีแล้ว ฉันน่ะ บางทีเห็นคนอื่นบ่นว่าโดนทวงต้นฉบับก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังเบ่งใส่ฉันอยู่

สั่วเหิง : แปลกจริงๆ

สั่วเหิง : รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นที่ต้องการแล้ว

สั่วเหิง : ขอบคุณนะคะ

 

ชูหลี่ “…”

ยายคนนี้

คงจะโดนพวกที่มัวแต่ตัดสินคนอื่นว่า นักเขียนคนนี้ไม่ขายออกกลั่นแกล้งเข้าแล้วจริงๆ

หลังจากที่คุยกับสั่วเหิงเสร็จ ชูหลี่ก็เงยหน้าขึ้นมามองอวี๋เหยาครู่หนึ่ง ทำให้รู้ว่าอวี๋เหยาที่ปกติมักนั่งทำงานที่โต๊ะของเธออย่างใจจดใจจ่อจนแทบจะไม่เงยหน้าขึ้นมา วันนี้กลับใจลอย แถมพอสบตากับหญิงสาวก็ทำตัวไม่ถูกอีกด้วย

แต่อวี๋เหยาก็ยิ้มให้ชูหลี่เล็กน้อยอย่างมีนัยฝากฝัง เหมือนกำลังพูดว่าฝากดูแลลูกด้วยนะ

 

เมื่อเรื่องของสั่วเหิงจบลงเรียบร้อย ช่วงบ่ายก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก

ฝ่ายการตลาดบอกว่าร้านหนังสือซินหวาที่ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้แจ้งมาว่าในช่วงปลายเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเวลาเดียวกับกำหนดการวางจำหน่ายเรื่อง ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ มีหนังสือใหม่ของผู้กำกับและนักเขียนระดับโลกอย่างแฮร์มันน์เรื่อง ‘อย่าทำให้นกกางเขนตกใจ’ ที่จะวางจำหน่ายเช่นกัน ตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านจึงจำเป็นต้องยกให้กับหนังสือเล่มนี้ ถ้าสองเรื่องวางจำหน่ายชนกัน ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ อาจจะไม่ได้วางในตำแหน่งหนังสือขายดี…

พอชูหลี่เห็นข้อความนี้ก็รู้สึกว่ากระเพาะปั่นป่วนขึ้นมา…เรื่องที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว อยู่ๆ อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน มีหนังสือ ‘อย่าทำให้นกกางเขนตกใจ’ ของแฮร์มันน์โผล่มาขวางทาง…

ราวกับรู้กันทั้งโลกว่าเธอกับเหล่าเหมียวกำลังเดิมพันกัน แล้วคลื่นลูกใหญ่ก็ซัดมาทางเธอ!!!!

อย่าว่าแต่โจ้วชวนที่เทียบกับนักเขียนท่านนี้ไม่ได้ ร้านหนังสือซินหวาเป็นร้านหนังสือระดับประเทศ เป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ไม่ต้องพูดถึงฝ่ายการตลาด ต่อให้เป็นอาจารย์ซย่าก็ล่วงเกินฝ่ายนั้นไม่ได้…แต่เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะเหลือแค่ยอมหลีกทางให้ด้วยการตีพิมพ์และวางจำหน่าย ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ก่อนกำหนดวิธีเดียวแล้ว!

ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงจำนวนสามแสนห้าหมื่นเล่ม วันนี้ตัวแทนจัดจำหน่ายเพิ่งจะเริ่มสั่งซื้อล่วงหน้าเป็นวันแรกก็ต้องเตรียมเร่งตีพิมพ์แล้ว ยืดเวลาออกไปก็ได้แค่ไม่กี่วัน พอรวมกับจำนวนหนังสือที่จำเป็นต้องใช้จัดวางที่ตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านหนังสือซินหวา ถ้ายื้อสุดแรงเกิดแล้วยอดตีพิมพ์ครั้งแรกก็คงได้มากสุดแค่สองแสนเล่มเท่านั้น…

หนุ่มน้อยผู้ทำหน้าที่ประสานงานจากฝ่ายการตลาดซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อต้นปีเหมือนกับชูหลี่ ตอนนี้ทักมาถามในคิวคิวอย่างน่าสงสาร…

 

หนุ่มน้อยฝ่ายการตลาด : พี่สาว ทำยังไงดีล่ะ T_T ดูท่าแล้ว ถ้าไม่สละตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านหนังสือก็ต้องรีบตีพิมพ์ครั้งแรกก่อนกำหนดเดิมเพื่อให้ทันวางจำหน่ายในตำแหน่งหนังสือขายดีตอนต้นเดือนหน้า ถ้าตีพิมพ์ก่อนกำหนดในตอนนี้ก็มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าจำนวนสี่หมื่นห้าพันเล่ม รวมกับจำนวนที่ร้านหนังสือซินหวาต้องการ รวมแล้วแสนกว่าๆ ได้! ดูแล้วต้นทุนค่อนข้างสูงอยู่นะ

หนุ่มน้อยฝ่ายการตลาด : เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ประธานใหญ่ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเอง น้ำเสียงดูเหมือนถ้าทำพังก็ไสหัวออกไปได้เลย

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : …

ปกติการจัดวางที่ตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านหนังสือต้องใช้ประมาณสองร้อยเล่ม

แม้ว่าร้านหนังสือซินหวาจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ทั่วประเทศมีร้านหนังสือซินหวาหมื่นกว่าแห่ง แต่ปกติตำแหน่งหนังสือขายดีจะมีแค่ในร้านที่อยู่ใกล้โรงเรียนหรือร้านขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเท่านั้น ดังนั้นตำแหน่งหนังสือขายดีมีเพียงประมาณไม่กี่ร้อยแห่งทั่วประเทศ…

ลองคำนวณโดยอิงจากร้านที่ใหญ่ที่สุดสี่ร้อยแห่งแล้ว แค่วางอยู่ตรงตำแหน่งที่ว่าอย่างเดียวก็ต้องใช้แปดหมื่นเล่ม

แต่ก็เพียงแค่แปดหมื่นเล่มเท่านั้น เมื่อรวมกับยอดสั่งซื้อของตัวแทนจัดจำหน่ายต่างๆ ในระยะสองสามวันแรก ซึ่งก็น่าจะอยู่ที่ประมาณแสนกว่าเล่ม ตัวเลขจำนวนนี้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยต้องตะครุบจับไว้ให้มั่นแน่นอน…แต่ปัญหาหลักอยู่ที่แปดหมื่นเล่มที่จัดวางในร้านหนังสือซินหวา เพราะหลังจากครบกำหนดเวลาการจัดวางที่ตำแหน่งหนังสือขายดีแล้ว ร้านหนังสือซินหวามีสิทธิ์คืนสินค้าส่วนที่ขายไม่หมดได้

เรื่องดีๆ อย่างการจัดวางที่ตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านหนังสือก็ไม่ได้ให้ทำแบบฟรีๆ ทางสำนักพิมพ์ต้องเอาเปอร์เซ็นต์กับสิทธิ์คืนสินค้าไปแลก…พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเป็นหนังสือทั่วไปจะต้องหักให้ร้านหนังสือซินหวาสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์จากราคาปก แต่ถ้าวางที่ตำแหน่งหนังสือขายดีจะต้องหักให้ร้านห้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งปกติตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วไปจะสามารถคืนสินค้าได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าร้านหนังสือซินหวาให้โปรโมตที่ตำแหน่งหนังสือขายดีก็จะมีสิทธิ์คืนสินค้าได้มากถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเพื่อตำแหน่งดีๆ สำหรับโปรโมตหนังสือก็ต้องยอมแบกรับความเสี่ยงจากการถูกคืนสินค้าจำนวนมาก!

จากที่กล่าวมาข้างต้น สำนักพิมพ์คงจะตะครุบยอดตีพิมพ์แปดหมื่นเล่มนี้ไว้ ส่งผลให้ตัวแทนจัดจำหน่ายรายอื่นที่สั่งห้าหมื่นเล่มสามารถตีพิมพ์เพิ่มอีกสองหมื่นเล่มจนกลายเป็นเจ็ดหมื่นเล่มได้ แต่พอมีร้านหนังสือซินหวาเข้ามาก็อาจเปลี่ยนเป็นตีพิมพ์เพิ่มให้ได้แค่ห้าพันเล่มเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องรอสินค้าที่คืนมาหลังจากร้านหนังสือซินหวาขายเรียบร้อยแล้ว…

ชูหลี่ “…”

หญิงสาวนั่งนับนิ้วคิดตัวเลขอยู่นาน แล้วจึงเปิดรายชื่อตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วไปที่สั่งซื้อหนังสือล่วงหน้าดูอีกรอบ คำนวณจนครบก็ส่งให้หนุ่มน้อยฝ่ายการตลาดไปติดต่อพวกเขา ลองดูว่าสามารถแจ้งล่วงหน้าได้หรือไม่ว่าจะจัดส่งหนังสือไปแค่ส่วนหนึ่งก่อน…

แต่ไม่ว่าเธอจะนับอย่างไร จำนวนรวมทั้งหมดยังห่างจากที่เดิมพันกับเหล่าเหมียวไว้ ‘สามแสนห้าหมื่นเล่ม’ อีกเยอะ

ขณะนี้เองไม่รู้ว่าเหล่าเหมียวได้ยินข่าวนี้มาจากไหน เขามีท่าทางดีใจราวกับมีมสุนัขน้อยขนสีเหลือง นั่งไถเม้าส์ดูเถาเป่าด้วยใบหน้าที่แสดงความรู้สึกเต็มเปี่ยม

“โอ๊ะโอ คิดไม่ถึงเลยนะ เท้าหน้าเพิ่งจะเดิมพัน เท้าหลังผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงผลแพ้ชนะก็ออกแล้ว…รวมๆ แล้วเหลือเวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์กว่าให้เธอทำยอด ชูหลี่ เธอว่าจะทำยังไงดีล่ะ”

ชูหลี่ไม่ได้สนใจเขา เธอยืนขึ้นมามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาเล็กน้อย ขณะนั้นเหล่าเหมียวกำลังเลื่อนๆ ดูเพื่อเลือกของใส่ตะกร้า…

ทำให้ชูหลี่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจึงตบมือ “ใช่แล้ว! พวกเรายังไม่ได้นับยอดสั่งซื้อของตัวแทนจัดจำหน่ายหนังสือออนไลน์นี่นา!”

“แล้วไง” เหล่าเหมียวพูดแล้วหัวเราะ “เมื่อเดือนที่แล้วตอนที่สำนักพิมพ์ซินตุ้นวางจำหน่ายหนังสือของโค่วเหวยบนอินเตอร์เน็ตรวมแล้วยังได้ไม่เกินหนึ่งหมื่นเล่ม…วางขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์พร้อมกันทั่วประเทศ พวกที่เล็งฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกก็ไปซื้อที่ร้านหนังสือกันหมดแล้ว ใครจะรอร้านค้าออนไลน์มาส่งกัน พัสดุส่งชักช้าข้ามฟ้าข้ามภูเขากว่าจะถึง กว่าจะได้หนังสือ คนที่ซื้อจากร้านหนังสือซินหวาก่อนก็สปอยล์กันเต็มไปหมดแล้วล่ะ!!”

โค่วเหวยเป็นนักเขียนระดับเดียวกับโจ้วชวน แต่เพราะมี บ.ก. ที่ยอดเยี่ยมของสำนักพิมพ์ซินตุ้นดูแลอยู่ ชื่อเสียงและผลงานของนักเขียนจึงสมบูรณ์และเป็นรูปเป็นร่างเร็วกว่าโจ้วชวน

“…”

ชูหลี่รู้สึกปวดหัวขึ้นมา…

ความจริงแล้วในยุคอินเตอร์เน็ต การซื้อของออนไลน์สะดวกสบายอย่างมาก…แต่ข้อดีของการจ่ายเงินปุ๊บได้ของปั๊บ จับต้อง ใช้สอย และชื่นชมสิ่งของได้เดี๋ยวนั้นต้องแลกมาด้วยการขนส่งพัสดุที่ล่าช้า นี่จึงเป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ร้านค้าทั่วไปสามารถอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้

ขณะที่เหล่าเหมียวกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ชูหลี่ก็นิ่งเงียบไปตลอดทั้งบ่าย

 

จนกระทั่งตอนเย็นกลับถึงบ้าน

เมื่อเปิดประตูรั้วหน้าบ้านออก มองแวบเดียวก็เห็นชายหนุ่มในชุดนอนคนหนึ่งนั่งยองๆ กอดเข่ากระดกก้นอยู่หน้าเตาอั้งโล่ กำลังขยำกระดาษก่อนจะยัดเข้าไปในเตา…เปลวไฟกลืนกินสิ่งที่อยู่ในมือ เมื่อถูกเผาแล้วเขาก็เอามือออก ทิ้งกระดาษเหล่านั้นลงไป…

“…” ชูหลี่เดินเข้าไปหาแล้ววางกระเป๋าบนหลังของชายหนุ่มพลางถาม “ทำอะไรอยู่คะ ปาร์ตี้บาร์บีคิวเหรอ”

ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ปล่อยให้เธอเห็นตัวเองเป็นที่วางกระเป๋าหรือโต๊ะวางของประมาณนั้น

“เผาต้นฉบับ”

หญิงสาวชะงัก เมื่อมองดูอีกทีก็พบว่าเป็นกระดาษที่เธอเคยเห็นวางอยู่บนโต๊ะของชายหนุ่มจริงๆ บนกระดาษยังมีการจดบันทึกด้วยลายมือหวัดๆ ของชายหนุ่มอยู่ เธอถามด้วยความสงสัย

“เผาต้นฉบับทำไมคะ”

แค่ทิ้งไปก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ

“ต้นฉบับเต็มไปด้วยส่วนเล็กๆ น้อยๆ ที่มาประกอบเป็นโครงเรื่องกับพล็อตที่อยู่ๆ ก็แวบเข้ามาในหัวผม ของสำคัญขนาดนี้ ถ้าทิ้งลงถังขยะไปเฉยๆ แล้วถูกคนเร่ร่อนขโมยคัดลอกงานไป ใช้ความสามารถระดับประถมมาเขียนนิยายที่พล็อตเรื่องยอดเยี่ยม แต่สำนวนยอดแย่แล้วเกิดดังขึ้นมาจะทำยังไง” โจ้วชวนหยิบต้นฉบับมาอีกกอง “เพราะงั้นเผาทิ้งไปให้หมด”

“…” ชูหลี่พึมพำ “เพ้อเจ้อเป็นบ้า”

เธอถือกระเป๋าที่วางอยู่บนหลังของชายหนุ่มขึ้นมา เตรียมตัวจะเดินไปที่ห้อง ตอนนี้เองก็เห็นเขาหยิบสิ่งที่ไม่น่าจะใช่ต้นฉบับออกมา…หญิงสาวหยุดเดินครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามอง ปรากฏว่าเป็นคอลเล็กชั่นภาพวาดของแม่นางเจี่ยนที่เคยเห็นอยู่ตรงโถงทางเดินในบ้านโจ้วชวนเมื่อหลายเดือนก่อน

ชูหลี่รีบเดินกลับมา ดึงเอาคอลเล็กชั่นภาพวาดจากมือโจ้วชวนไป “นี่เป็นคอลเล็กชั่นภาพวาดที่ดีมาก คุณจะเผาทำไม…”

“ยุ่งอะไรด้วย คุณเป็นแฟนคลับที่ผันตัวเป็นแอนตี้แฟนแล้วไม่ใช่เหรอ!”

“ต่อให้เป็นแฟนคลับที่ผันตัวเป็นแอนตี้แฟนแล้ว แต่บนอินเตอร์เน็ตคอลเล็กชั่นภาพวาดนี้เป็นรุ่นลิมิเต็ดฉบับมีลายเซ็นที่คนตามหากันเยอะมาก จำได้ว่าปีนั้นฉันกับเพื่อนไม่หลับไม่นอนเพื่อนั่งรอสั่งพรีออเดอร์ แย่งชิงห้าสิบฉบับแรกที่มีลายเซ็นมาจากบรรดาแฟนคลับที่ราวกับแปลงร่างเป็นนักล่าได้!!!! คุณรู้ไหมคืนนั้นคอลเล็กชั่นภาพวาดนี้ขายไปได้กี่พันฉบับ…”

อยู่ๆ เสียงของชูหลี่ก็เงียบลง ชายหนุ่มที่นั่งยองๆ กอดเข่าอยู่หน้าเตาอั้งโล่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขยับก้นหันกลับมา

“เป็นอะไรไป”

โจ้วชวนยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ยืนสั่งสอนเขาอยู่ตรงหน้าเมื่อกี้อยู่ๆ ก็ทิ้งคอลเล็กชั่นภาพวาดลง ก้มลงกอดเขาไว้แน่นทันที…

ชายหนุ่มตกอยู่ในอ้อมกอดที่อ่อนโยนอย่างไม่ทันตั้งตัว ปลายจมูกโด่งสัมผัสผิวอ่อนนุ่มส่วนคอของเธอ

โจ้วชวน “…”

วินาทีถัดมาชูหลี่ก็ผละออกแล้วพูด “กินข้าวกับรอง บ.ก. นะ วันนี้มีล็อบสเตอร์ หอยเป๋าฮื้อ เนื้อราชามังกร” พอเธอหันหลังท่าทีซึมเซาเหงาหงอยเมื่อสักครู่ก็หายไป เธอฮัมเพลงและกระโดดโลนเต้นกลับเข้าบ้านไป

 

* สตาร์คราฟต์ เป็นชื่อเกมแนววางแผนกลยุทธ์ในการรบ (RTS) ระหว่างสามเผ่าพันธุ์ในอวกาศ เมื่อนำมาเรียกเป็นแนวนิยายจะหมายถึงนิยายแนวไซไฟ (Sci-Fi) ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร อาวุธ และสงครามอวกาศ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: