บทที่ 7
ขณะนั้นโจ้วชวนจมูกแดงก่ำ ประกอบกับตอนที่เชิดคางอันสวยงามขึ้นมาแล้วพูดแบบมีจริตหญิงว่า ‘ยังไม่คู่ควรมาล้างเท้าให้ผมเลย’ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน
ชูหลี่ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านั้น จึงรีบเดินก้มหน้างุดออกไปอย่างรวดเร็ว
โจ้วชวนยืนอยู่ตรงทางเข้าและมองดูหญิงสาวที่น่าสงสารเดินจากไป รอจนกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ จึงละสายตาและพูดเหน็บแนมเจ้าสุนัขตัวโตที่ยืนเกาะอยู่ตรงประตูรั้วเหล็ก
“ไปก็ไปแล้ว ยังจะมองอะไรอีก เข้ามา”
สุนัขตัวโตกระโดดลงมาอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกันนั้นเจ้าของของมันก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อเดินผ่านโถงทางเดิน ชายผู้นี้ก็ถีบกองขยะเก่าๆ ที่เอนเอียงไปมา และขณะที่เดินผ่านโต๊ะวางชุดน้ำชา เขาก็เขี่ยกระดาษใบเล็กๆ ที่มีหมายเลขโทรศัพท์และคิวคิวของใครบางคนลงถังขยะอย่างง่ายดาย
เอ้อร์โก่วตามเข้ามา จากนั้นก็ใช้จมูกดอมดมไปทั่ว เจ้าสุนัขตัวโตเอาหัวมุดลงไปในถังขยะแล้วดึงหัวออกมา จากนั้นยกขาขึ้นและคุ้ยถังขยะด้วยอุ้งเท้า…
โจ้วชวน “…”
เขาจ้องเจ้าสุนัขอย่างนิ่งเฉยอยู่สามวินาที และในวินาทีนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นอำมหิตพร้อมกับคว้าหูของเจ้าสุนัขตัวโตเอาไว้แน่น
“แค่รับสินบนเป็นซาลาเปาลูกเดียว ถึงกับทำให้แกไปไม่เป็นเลยหรือไง! เจ้าหมาบ้านที่กินอาหารนอกเป็นกะละมัง ค่าอาหารที่ฉันซื้อมาประเคนให้ในแต่ละเดือนซื้อซาลาเปาให้แกได้เป็นตัน!”
เอ้อร์โก่วดึงหัวของมันออกมาจากมือชายหนุ่มและสะบัดหัวไปมา อุ้งเท้าใหญ่โตนั้นเหยียบบนกระดาษแผ่นเล็กๆ…โจ้วชวนเหลือบตามองและก้มลงหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา เขาเพ่งมองมันอย่างจริงจัง นี่ไม่ใช่นามบัตรทั่วไป เป็นการเขียนทั้งเบอร์โทรศัพท์และเบอร์คิวคิวด้วยมือล้วนๆ
ไม่มีนามบัตรที่ดูจริงใจกว่านี้หรือไง หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงพนักงานชั่วคราวของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย
เดี๋ยวนะ ที่แท้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยส่งพนักงานชั่วคราวมาเล่นละครตบตาฉัน?
…ช่างกล้านักนะพวกคนเลว!
ด้วยพลังแห่งจินตนาการที่ล้นเหลือทำให้ไฟแห่งความโกรธในดวงตาลุกโชนขึ้นในชั่วพริบตา เขาโยนแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วหันหลังไปเก็บขยะและล้างมือ หลังจากล้างมือก็เดินกลับไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเปิดเอกสารดูตัวอักษรที่นำมาซึ่งความฮึกเหิมในการทำงานและเปลวไฟแห่งความโกรธ…
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมงแล้ว
ขณะที่โจ้วชวนกำลังยืดเส้นยืดสาย หางตาเขาบังเอิญเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษบนโต๊ะที่เขาวางไว้ในตอนเช้า…เขานิ่งมองไปยังกระดาษเป็นเวลาสามวินาที หลังจากนั้นก็ตัดสินใจว่าไม่อยากจะมานั่งเสียใจไปตลอดชีวิตกับสิ่งที่ไม่ได้ลงมือทำ…เขาจึงหยิบกระดาษแผ่นนั้น ก่อนจะกดเปิดคิวคิวสองหน้าต่างซ้ายขวาขึ้นมาในเวลาเดียวกันเพื่อเพิ่มเพื่อน
ปลายนิ้วเรียวกดบนแป้นพิมพ์ เมื่อคลิกเม้าส์ที่คำว่า ‘ค้นหา’ ก็เกิดเสียงดัง ‘คลิก’ ที่คมชัดและไพเราะ และทันทีที่ผลการค้นหาปรากฏขึ้น ชายหนุ่มเหลือบมองรูปโพรไฟล์คิวคิวที่แสนคุ้นเคยและอุทานขึ้นมาอย่างงงงวย
“เอ๋?” ตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อย เพื่อเพ่งมองให้ชัดอีกครั้ง…
‘ผลการค้นหา : มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา’
โจ้วชวนจับเม้าส์และนั่งนิ่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาสามสิบวินาที ในวินาทีที่สามสิบเอ็ด ใบหน้าอันหล่อเหลาและร้ายกาจของชายหนุ่มเริ่มชาและซีดเผือดลงในทันที เขาจึงขยับเม้าส์ไปยังเดสก์ท็อปคิวคิวทางด้านซ้ายแล้วเปิดดูอีกที…พอเปิดดูแล้วก็พบว่ามีรูปโพรไฟล์และลักษณะที่ตรงกันทุกประการ กล่องข้อความการสนทนายังไม่ทันได้ปิด สักพักก็มีข้อความส่งเข้ามาพร้อมไฟสีน้ำเงินกะพริบแบบรัวๆ…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : โธ่เอ๊ย! โดนปฏิเสธอีกแล้ว!!!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ให้ฉันย้ำอีกครั้งหนึ่งนะว่าหมาที่นักเขียนบางคนเลี้ยงยังดูเป็นมิตรกว่าอีก!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ทำไมในช่วงต้นปีนี้ถึงโกหกนักเขียนยากนัก เอ๊ะ? ฉันแสดงความจริงใจมากที่สุดในชีวิตฉันแล้วนะ ขอร้องให้เขาเซ็นสัญญาตีพิมพ์ให้! แถมยังซื้อซาลาเปาไปให้ด้วย! เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ซื้ออาหารเข้าไปให้ผู้ชายน่ะ! ไม่เพียงแต่ไม่ขอบคุณ หนำซ้ำยังพูดว่าซาลาเปาของฉันไม่คู่ควรที่จะมาแลกกับค่าลิขสิทธิ์เป็นแสน!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นั่นเป็นเรื่องของซาลาเปาเหรอ มันเป็นเรื่องหัวใจของหญิงสาวอย่างฉันต่างหากล่ะ!!!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : หัวใจของหญิงสาวอย่างเรามันไม่มีค่านี่!!!
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : QAQ กลับไปที่ห้องทำงานก็ยังจะโดนชายตุ้งติ้งโต๊ะข้างๆ หัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่งอีก แล้วยังมีหน้ามาถามฉันอีกนะว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า…นายว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาอีกดีไหม หรือจะลองเอาโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าที่ดูดีขึ้นมาหน่อยไปฝากเขาสักชามดี
โจ้วชวนพิมพ์ตอบกลับเธอแค่ ‘…’ จากนั้นก็กดส่งไป ในช่องการสนทนาบนหน้าจอจึงปรากฏเพียง
Mr. L ที่หายไป : …
โจ้วชวน “…”
เขาตกใจสุดขีดจนมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกอย่างรวดเร็ว
วันนี้ชูหลี่พบว่า Mr. L ที่ส่งข้อความมาให้เธอเพียง ‘…’ หายตัวไปในช่วงประมาณบ่ายสามโมงอย่างลึกลับ
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือในขณะเดียวกันนั้น ในเขตพื้นที่หรูใจกลางเมือง G มีนักเขียนที่เพิ่งแตะระดับยอดพีระมิดคนหนึ่งกำลังคิดไม่ตกเรื่องของเธอ เขานั่งโง่ๆ กอดหมาอยู่บนโซฟา มีท่าทีซังกะตายทั้งวัน ในหัวสมองว่างเปล่า ไม่มีเรื่องของตัวเลขสักตัว ราวกับว่าเขาพลาดค่าลิขสิทธิ์ไปเป็นหลักพันล้าน
พอนึกถึงเรื่องที่ตนเองคุยกับผู้ดูแลระบบเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอเพิ่งได้งานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งแล้วแดกดันนักเขียนคนหนึ่งซึ่งไม่เคยพบหน้า เขาเองก็รู้สึกตลกในความโชคร้ายของเธอแล้วพูดต่างๆ นานาว่า ‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ในวงการนักเขียนก็มีพวกบ้าอยู่เยอะแยะเลย’ ‘เธอเพิ่งจะรู้เหรอว่าในเวยป๋อมีไว้ให้แสดงละคร นักเขียนที่ขู่เข็ญทำคนอกสั่นขวัญผวาคนนั้น…’ อะไรเทือกๆ นั้น…
ในเวยป๋อต่างจากความจริงอะไรกัน หรือว่าสาวน้อยคนนี้กำลังด่าเราอยู่
เราเองก็ดันเห็นดีเห็นงามคุยกับเธออย่างมีความสุข พากันเยาะเย้ยตัวเองอยู่อย่างงั้นเหรอ
“…”
มุมปากของนักเขียนหนุ่มชักกระตุก เขาลูบหูที่ยืดยาวของเอ้อร์โก่วไปมาเพื่อปลอบประโลมหัวใจอันปวดร้าวของตน
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนชูหลี่ก็เริ่มหาวและกำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะซื้ออาหารเช้าอะไรไปให้สาวน้อยซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์ดี ขณะเดียวกันนักเขียนหนุ่มก็ได้รวบรวมความกล้าที่จะเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
เขาเปิดคอมพิวเตอร์ ทำเป็นไม่มองว่าตนเองมีไอดีสำรองอยู่ ชายหนุ่มเข้าสู่ระบบด้วยไอดีหลัก และดีใจที่ได้เห็นว่านักเขียนมือเทพเจียงอวี่เฉิงกำลังออนไลน์อยู่…เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เคยเป็นนักเขียนมือเทพผู้อยู่ปลายยอดพีระมิด ส่วนใหญ่จะเขียนแนวสยองขวัญสืบสวนสอบสวน นับได้ว่าเป็นพี่ชายและเพื่อนที่ดีของโจ้วชวน เพียงแต่ว่าพักนี้นิยายแนวสยองขวัญสืบสวนสอบสวนไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าไร ธีมหลักที่เขาเขียนออกมานั้นค่อนข้างขายได้ยาก ทำให้ความนิยมของผู้อ่านลดลงไปบ้าง…โจ้วชวนใช้ฟังก์ชันการสั่นในช่องแชตสั่นทักอีกฝ่ายถึงสองครั้ง ส่วนอีกฝ่ายส่งมาเพียงเครื่องหมายคำถามที่สั้นและกระชับ…
โจ้วชวน : เกิดเรื่องแล้ว
อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปสามสี่วินาที
เจียงอวี่เฉิง : อะไร ในที่สุดนักอ่านก็เห็นธาตุแท้ของนายแล้วเหรอ
โจ้วชวน : ไม่ใช่…เห็นเหินอะไรกันล่ะ ฉันแสดงออกจะเก่ง เป็นองค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยก
โจ้วชวน : ออสการ์ติดรางวัลตุ๊กตาทองฉันไว้หนึ่งรางวัล
โจ้วชวน : …เข้าเรื่องเลยละกัน นายยังจำเรื่องที่ฉันรวบรวมงานเขียนให้เกม ‘X’ ที่เป็นข่าวดังแล้วก็ได้เข้าไปอยู่ในวงการโดจินได้ไหม ตอนที่ปลอมตัวเป็นนักเขียนโนเนมแต่งบทบรรยายให้เข้ากับภาพที่นักวาดวาดขึ้นมา และยังมีผู้ดูแลระบบซื่อบื้ออีกคนหนึ่ง
เจียงอวี่เฉิง : จำได้สิ จำได้แม่นเลยว่าท่านเทพโจ้วชวนเหมือนพวกเพี้ยนๆ ที่เคยพูดกับฉันว่า ‘ฉันแค่เขียนไม่กี่พันตัวอักษรอย่างสบายๆ คนพวกนั้นก็ตกตะลึงจนยกให้ฉันเป็นเทพ’ ‘ผู้ดูแลระบบตัวน้อยอนุมัติโพสต์ฉันแล้ว แหะๆๆๆ’ ‘พวกเขาตกใจกันมากที่ AB เป็นคู่จิ้นกันจริงๆ ฮ่าๆๆๆ พวกโง่ บทพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบทที่ฉันสร้างขึ้นมา แค่ฉันพยักหน้า ไม่ว่า AB จะเป็นคู่จิ้นระหว่างคนกับหมาตัวหนึ่งก็เป็นได้ทั้งนั้น’…เรื่องพวกนี้นายเคยพูดมันขึ้นมา แล้วคนที่นายเรียกว่า ‘ผู้ดูแลระบบตัวน้อย’ คือผู้ดูแลคนไหนน่ะ
โจ้วชวน : เป็นเธอ
เจียงอวี่เฉิง : ยังไงนะ เกิดอะไรขึ้น นายมีความรักบนโลกออนไลน์กับเธอเหรอ
โจ้วชวน : รักอะไรกัน เธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ฉันไม่ได้บ้านะ เหมือนโชคชะตานำพามาให้เจอกัน บังเอิญมากที่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบได้กลายมาเป็น บ.ก. ของฉันไปแล้ว ตอนเช้าเธอเพิ่งมาที่บ้านแล้วก็เอาซาลาเปามาให้สองลูก บอกกับฉันว่าดื่มกาแฟในตอนที่ท้องว่างไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วยังพยายามให้ฉันเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ที่เสนอจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกที่สี่หมื่นห้าพันเล่ม
โจ้วชวน : สุขภาพของฉันจะดีหรือเปล่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอ
โจ้วชวน : แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก
โจ้วชวน : ประเด็นหลักมันอยู่ที่สัญญาฉบับนั้น
เจียงอวี่เฉิง : ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้ ฉันก็มีแฟนคลับที่ติดตามกันมานานได้เข้าไปทำงานที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ฮ่าๆๆๆ ไม่แน่ว่าพวกเขาทั้งสองอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันก็ได้!
โจ้วชวน : ว้าว แฟนคลับคนนั้นของนายชื่ออะไรเหรอ
เจียงอวี่เฉิง : นายไม่รู้จักหรอก ถามไปก็เท่านั้น นายเพิ่งบอกว่าอะไรนะ นายกับผู้ดูแลระบบคนนั้นรักกันบนโลกออนไลน์มานานถึงสามปีแล้วเหรอ! แล้วเธอยังโน้มน้าวให้นายเซ็นสัญญาแย่ๆ ที่มีจำนวนการตีพิมพ์แค่สี่หมื่นห้าพันเล่มด้วย?! เล่มไหน ใช่ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ที่นายตั้งใจไว้ว่าถ้าจำนวนการตีพิมพ์ไม่ถึงแสนจะไม่เซ็นสัญญาหรือเปล่า พระเจ้า?!
โจ้วชวน : ก่อนอื่นคือเราไม่ได้มีความรักบนโลกออนไลน์ เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์และสวยงามระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง อีกอย่างเธอไม่รู้ว่าฉันคือ Mr. L แต่สัญญา ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ที่กำลังจะเซ็นก็ไม่ได้แย่ สุดท้ายเธอเห็นคอลเล็กชั่นภาพวาดฉบับลิมิเต็ดอีดิชั่นของแม่นางเจี่ยนตรงโถงทางเดินก่อนออกจากบ้าน ตอนนั้นเราอดหลับอดนอนแย่งมันมาด้วยกัน ฉันกลัวว่าเธอจะคว้ามันมาไม่ได้…โอ๊ย ไม่พูดละ พอพูดถึงตรงนี้แล้วฉันไม่ควรใจอ่อนทำความดี นายว่ากรรมมันจะตามมาหรือยัง…แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญคือท่าทีฉันมันเลวร้ายจนทำให้เธอต้องหอบสัญญาการตีพิมพ์สี่หมื่นห้าพันเล่มนั้นเดินออกไปจนลับตา
เจียงอวี่เฉิง : กับจำนวนการตีพิมพ์แค่นี้ จริงๆ ก็สมควรแล้วที่เธอจะเดินออกไป ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรเลย…ในเมื่อเธอไม่รู้สักหน่อยว่านายคือ Mr. L แล้วนายจะตื่นตกใจไปทำไม
โจ้วชวน : ความจริงน่ะ ต่อให้ปิดไว้ยังไงก็ไม่มิดหรอก ฉันกลัวว่าเธอจะมารู้ทีหลัง พอนึกถึงวันนี้ที่ไม่ให้เกียรติเธอและหยาบคายจนน่ารังเกียจจนเธอต้องเดินออกไป ฉันคงจะเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า ‘บ๊ายบาย หลายปีที่เคยรัก แม่นางเจี่ยนขององค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยก’ ให้ตัวเอง จากนั้นมันก็จะอยู่ในร้านหนังสือชั้นนำ และเป็นหนังสืออีบุ๊กที่อยู่ในรายการหนังสือขายดี
เจียงอวี่เฉิง : ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!
โจ้วชวน : …หัวเราะพอหรือยัง นี่เห็นฉันเล่าเรื่องตลกให้ฟังเหรอ
เจียงอวี่เฉิง : กำลังอยากนอนอยู่พอดี ขำจนหายง่วงเลย
โจ้วชวน : ถามนายหน่อยว่าจะทำยังไงดี!
เจียงอวี่เฉิง : อะไรคือทำยังไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ก็เซ็นน่ะสิ!!!
โจ้วชวน : สัญญาที่จำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกอยู่ที่สี่หมื่นห้าพันอะนะ! สี่หมื่นห้าพัน! ถ้าเป็นนาย นายจะเซ็นเหรอ นี่นายกำลังพูดภาษาคนอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เจียงอวี่เฉิง : จะตีพิมพ์เท่าไรแต่ก็ยังไม่ได้หมายถึงการขายนี่ ตราบใดที่สามารถขายได้ ค่าลิขสิทธิ์นายจะลดลงไหม อีกทั้งกำลังพูดถึงลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนมังงะและลิขสิทธิ์เกมอยู่ไม่ใช่เหรอ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดก็เป็นเลขเจ็ดหลัก จะว่ายังไงถ้านายได้ค่าตีพิมพ์เป็นแสนๆ หยวนอีก
โจ้วชวน : ทำไมนายถึงมีข้ออ้างเหมือนกันกับเธอ สมรู้ร่วมคิดกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ค่าลิขสิทธิ์การตีพิมพ์ไม่ใช่ประเด็น เงินนั่นยังไม่พอค่าอาหารสุนัขของเจ้าเอ้อร์โก่วเลย…นายรู้ดีว่าฉันต้องการอะไร
เจียงอวี่เฉิง : อ๋อ ไม่อยากอยู่ตรงก้นพีระมิดแล้วใช่หรือเปล่า อยากจะปีนเขาว่างั้น ก๊ากๆ
โจ้วชวน : เมื่อฉันกำลังมีช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ กลับต้องมาเป็นฐานให้นายเหยียบขึ้นไปข้างบน มันน่าโมโหชะมัด
เจียงอวี่เฉิง : ฮ่าๆๆๆๆๆ นายกำลังมีช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ งั้นก็เลิกทำหนังสือเล่มนี้ ค่อยขยันทำเล่มหน้าแล้วขี่คอฉันขึ้นยอดพีระมิด ฉันจะไม่ไปไหนแน่นอน!
เจียงอวี่เฉิง : ที่นายดื้อดึงอยู่แบบนี้ไม่ได้อยากให้ฉันเกลี้ยกล่อมให้เซ็นสัญญาหรอกเหรอ ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่นายเลี้ยงไว้ตั้งสามปี หรือว่านายไม่สนใจอะไรเลย ถ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยโกรธขึ้นมาแล้วกลายเป็นก็อตซิลล่า นายจะทำยังไง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เซ็นๆ ไปเถอะ
เจียงอวี่เฉิง : อีกอย่างหนึ่ง สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยมีระดับ ต่อให้เซ็นก็ไม่เป็นผลเสียต่อการก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดของนายหรอก
โจ้วชวน : เซ็นกับผีอะไร นายไปเถอะไป
เจียงอวี่เฉิงที่พึ่งพาอะไรไม่ได้เลยก็ออกจากการสนทนาไป ส่วนโจ้วชวนปิดคอมฯ พร้อมกับจิตใจที่สับสนวุ่นวายมากกว่าเดิม
เขาลุกขึ้นไปอาบน้ำและลงไปนอนบนเตียงรอบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งไขว่ห้างพร้อมกับกระดิกขาแล้วจ้องไปยังกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนด้วยมือและเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นตัวหนังสือ เขาใจลอย…เป็นแบบนี้อยู่สองชั่วโมง กระทั่งใกล้ถึงตอนตีสอง ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยประโยคนั้นของเจียงอวี่เฉิง ‘ฮ่าๆๆๆๆๆ นายกำลังมีช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ งั้นก็เลิกทำหนังสือเล่มนี้ ค่อยขยันทำเล่มหน้า’…
โจ้วชวน “…”
ที่อวี่เฉิงพูดมาก็ถูก?
ไม่ ที่เขาพูดมามันไม่ถูก นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่ คาดหวังให้เธอช่วยกดอนุมัติตัวเองในปีนั้น?
แต่ฉันยังมีหนังสือเล่มต่อไปให้ทำอีกมากมาย และถ้าจะช่วยเธอด้วยความรู้สึกส่วนตัวก็ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร…
โจ้วชวนคิดวกวนไปมาจนดึกดื่น ในที่สุดก็เอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว บนหน้าจอโทรศัพท์นั้นส่องสว่างปรากฏให้เห็นตัวเลขเพื่อให้ใส่รหัสผ่านเข้ามือถือ เขาจึงพิมพ์ข้อความ
‘พรุ่งนี้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งนำสัญญาเข้ามาด้วย’
คิดแล้วคิดอีก พูดแบบนี้ยังเท่ไม่พอ จึงเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค
‘ถ้าเลยเวลาจะไม่รอ’
แล้วจึงกดส่งไป ขณะที่ข้อความกำลังถูกส่งไปก็ได้ยินเสียงเตือนว่าส่งข้อความไปถึงแล้วดัง ‘ติ๊ง’ ชายหนุ่มที่กำลังนั่งไขว่ห้างพร้อมกระดิกเท้าหยุดการกระทำ…และตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปในตอนนี้ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว ต้องคิดให้ดี ทันใดนั้นเขาก็โยนโทรศัพท์อย่างรวดเร็วแล้วพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะเอาหมอนทุบหัวตนเองอย่างแรง!
เสียงดัง ‘ตุ้บ!’
ดังมากจนเจ้าสุนัขที่นอนหลับใหลอยู่ในคอกสะดุ้งตื่นตกใจ มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาง่วงงุน และมองไปที่เจ้าของซึ่งกำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่งอย่างงุนงง…หืม?
บทที่ 8
วันต่อมา
โจ้วชวนลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาแปดโมงเช้า
เขาอาบน้ำสระผมตอนเก้าโมงแล้วลองนั่งโพสท่าหน้ากระจก หันไปมาก่อนจะเหลือบมองเห็นตนเองในกระจกอย่างไม่ตั้งใจ จึงคว้าหวีลองทำทรงหน้าม้าแสกข้างอย่างจริงจังและขยับเช็กไปมาเล็กน้อย แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ากำลังทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง จึงโยนหวีออกไปด้วยความโกรธเคือง
ตอนสิบโมงครึ่ง เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างผ่อนคลายและจามออกมา
สิบโมงสี่สิบห้า เขายืนขึ้นเหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะวิ่งไปทำกาแฟให้ตนเอง
เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นตอนสิบเอ็ดโมงตรง หางตาของเขากระตุก โจ้วชวนยืนขึ้นพร้อมกับถือถ้วยกาแฟ เมื่อเดินมาถึงหน้าเครื่องควบคุมการปิด-เปิดประตูตรงโถงทางเข้า เขาหยุดฝีเท้าที่ก้าวไวลงชั่วครู่ จากนั้นจึงเปิดประตูรั้วเหล็กด้านนอก…ถึงขั้นเปิดประตูเล็กด้านข้างประตูรั้วเหล็กเอาไว้ให้ด้วย แล้วมองดูเจ้าสุนัขอลาสกัน มาลามิวต์ด้วยสายตาที่เย็นชา มันส่ายหางแล้วมุดหัวอยู่ตรงซอกประตู ราวกับรีรอไม่ไหวที่จะเบียดตัวออกไปด้านนอก ไม่ต่างกับเจ้าปลาไหลอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าสุนัขก็กลับเข้ามาพร้อมกับคนคนหนึ่งที่ตามมาด้านหลัง…
เธอเปิดประตูอย่างเงียบๆ โจ้วชวนเบิกตาขึ้น นี่นับเป็นครั้งแรกในช่วงหลายวันมานี้ที่เขาตั้งใจมองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างจริงจัง ความสูงของเธอเลยไหล่ของโจ้วชวนไปเพียงเล็กน้อย หญิงสาวไว้ผมสั้น ดูสวยงามในแบบที่ยากจะหาเจอในหมู่ผู้คน และยังมีนัยน์ตาคู่หนึ่งของเธอที่ดำขลับแต่กลับเปล่งประกายสดใส ซึ่งเป็นอะไรที่หาดูได้ยากเช่นกัน ในเวลานี้เธอกอดสัญญาที่เขียนไว้ว่า ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ไว้ที่อกอย่างระแวดระวัง
…นี่คือผู้ดูแลระบบซื่อบื้อและหัวรั้นคนนั้น
…โจ้วชวนผู้คงมิตรภาพอันบริสุทธิ์เป็นระยะเวลาสามปีกับเธอ สวมเสื้อกั๊กที่ดูเหมาะเจาะกับเขา
เขานิ่งเงียบไป ก่อนเริ่มขยับริมฝีปากเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “โจ๊กล่ะ”
ชูหลี่ “?”
โจ้วชวนก้มหน้ามองกาแฟดำที่เพิ่งชงเสร็จในมือ ริมฝีปากของเขากระตุก “ช่างเถอะ”
ชูหลี่ “???”
“เข้ามาสิ”
โจ้วชวนหลีกทางให้เธอ เขายังคงมีใบหน้าบึ้งตึงไร้ชีวิตชีวาและมองมายังชูหลี่ด้วยสายตาที่เฉยเมย เธอมีท่าทีไม่สบายใจกว่าเดิม ก่อนจะก้มศีรษะและเข้ามาในบ้าน เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วจึงนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางที่ดูเชื่อฟัง…แม้การกระทำทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เธอก็ยังกอดแฟ้มเอกสารไว้อยู่ตลอดเวลา ราวกับว่ากำลังหวงแหนของล้ำค่าอะไรสักอย่าง จนกระทั่งโจ้วชวนพูดเตือนให้เธอวางแฟ้มเอกสารลง
ชูหลี่เงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตะลึงงัน ราวกับไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้…ถ้าเมื่อครู่นี้โจ้วชวนไม่จ้องมองมา เธอก็เกือบจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อยืนยันว่าข้อความที่ได้รับเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาอันสวยงามที่เกิดขึ้นจากการที่เธอหมกมุ่นมากจนเกินไป
“คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
“ผมบอกว่าวางแฟ้มเอกสารลง ฮัดเช้ย!”
“อาจารย์ยังไม่หายเป็นหวัดเหรอคะ”
“คุณซื้อยามาให้ผมแล้วเหรอ”
“หือ?”
“งั้นก็อย่าถาม”
…คนที่ท่าทางดูซื่อบื้อคนนี้คือคนเดียวกับที่ประกาศกร้าวว่าจะตั้งใจทำหนังสือชั้นดีวางขาย เพื่อที่จะได้ตีพิมพ์สองแสนเล่ม?
จะทำได้ไหมนะ
โจ้วชวนปวดหัวเมื่อรู้ว่าตนเอาคนขายฝันอย่างเธอมานั่งอยู่ในใจเสียแล้ว ช่างงี่เง่าเสียจริง เขาวางแก้วกาแฟลงพร้อมกับเอามือกุมขมับ ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาอีกตัว
“ถ้าคุณไม่วางมันลง ผมจะเซ็นสัญญาให้คุณได้ยังไง”
ชูหลี่กะพริบตาด้วยท่าทีเหมือนเคลิ้มฝัน…และไม่กี่วินาทีถัดมา นัยน์ตาสีดำนั้นก็เปล่งประกายราวกับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน
“คุณตกลงจะเซ็นสัญญาให้ฉันจริงๆ เหรอคะ”
“ใช่”
หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จแล้วก็จะมาพูดคุยกันดีๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เคยบาดหมางกัน
“ทำไมเหรอคะ”
เพราะโชคไม่ดีที่หลักฐานต่างๆ ที่เคยทำไว้มันดันตกอยู่ในมือเธอ แล้วมันก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของฉันด้วย
โจ้วชวนทุกข์ใจมาก แต่ภายนอกกลับแสร้งทำหน้าตาย “เพราะผมคิดว่าสิ่งที่คุณพูดเมื่อวานนี้มีเหตุผล ผมไม่ได้กังวลกับการขายหนังสือ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ เป็นผลงานที่ผมภาคภูมิใจจริงๆ…และผมก็มั่นใจในศักยภาพของตัวเองและความสามารถในการจัดจำหน่ายของสำนักพิมพ์ของคุณ (หมายถึงความสามารถขององค์กรในการส่งสินค้าไปยังจุดขายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านหนังสือ แผงขายหนังสือ ร้านขายอีบุ๊ก เทียนเมาและเถาเป่า* เป็นต้น เมื่อมีความสามารถในการกระจายสินค้าได้ดี ย่อมทำให้สินค้าครอบคลุมมากยิ่งขึ้น) บอกตามตรง พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผมรู้สึกว่าไม่น่าจะต้องไปใส่ใจกับจำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรก อย่างที่คุณว่า ถ้าหนังสือขายดีก็เพิ่มจำนวนการตีพิมพ์ได้อย่างน้อยครั้งถึงสองครั้ง ขายได้เท่าไรก็ตีพิมพ์เท่านั้น ผมเองก็ได้ค่าลิขสิทธิ์ตามนั้น”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ดีมากเลยค่ะที่ท่านหาคำตอบได้แล้ว!!!”
ชูหลี่แสดงท่าทีเหมือนเคลิ้มฝันอีกครั้ง เธอตื่นเต้นเสียจนเผลอเรียกโจ้วชวนว่า ‘ท่าน’ จากนั้นจึงยื่นแฟ้มที่กอดไว้จนร้อนส่งให้ชายหนุ่ม มองดูเขาเปิดปากกาหมึกซึม ขณะที่กำลังจะจรดปลายปากกาลงไปนั้น…
“อาจารย์คะ คุณถนัดซ้ายเหรอคะ”
โจ้วชวนตะลึงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมามองมือซ้ายที่ถือปากกาอยู่ ยิ้มเยาะราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้มือขวาถือปากกาด้วยท่าทีอันเงียบสงบ เขาเซ็นชื่อตนเองลงไปตรงตำแหน่งลงนามในเอกสารด้วยลายมือที่งดงาม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา”
ถ้าหากชายคนนี้ไม่เป็นหวัด เสียงเขาจะต้องเพราะมากแน่นอน
หลังจากที่เขาเซ็นสัญญาเสร็จก็โยนปากกาลง แล้วยื่นสัญญาคืนให้กับชูหลี่ เธอไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะพูดเกลี้ยกล่อมให้โจ้วชวนยอมเซ็นสัญญาฉบับนี้ได้จริงๆ!
เมื่อโจ้วชวนปิดแฟ้มแล้วส่งคืนให้เธอ เธอก็รับแฟ้มเอกสารมา ไม่รู้จะตอบแทนเขาด้วยสิ่งใดนอกจากคำขอบคุณ
“อาจารย์คะ ฉันควรจะขอบคุณคุณยังไงดี”
โจ้วชวนยืนขึ้นพร้อมกับยืดตัวตรง เมื่อได้ยินที่เธอพูดก็หันหน้าไปมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาและพูดอย่างแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร”
ที่บอกว่าโจ๊กชามหนึ่งก็แค่พูดขึ้นมาลอยๆ ใช่ไหม ยายสาวน้อยที่แสนจะเย็นชา
ชูหลี่ไม่รู้เลยว่าแค่โจ๊กชามเดียวกลับทำให้เธอกลายเป็นพวกเย็นชาขึ้นมาทันที เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับก้มโค้งคำนับให้เขาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไปจากสถานที่ที่ได้มาเยือนถึงสามวันติดด้วยท่าทีลิงโลดใจ ขณะที่กำลังจะเดินจากไปนั้น เธอได้ลูบหัวเจ้าสุนัขที่อยู่ด้านหลังและยังเกาโคนหูให้มันด้วย…เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปด้านในประตูที่ยังคงเปิดกว้าง ก็เห็นชายผู้หนึ่งนั่งไขว่ห้างพิงอยู่บนโซฟาและกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่…
เมื่อเห็นไหล่กว้างๆ ที่อยู่ตรงประตูห้องโถงทางเข้า ชูหลี่ก็ตัดสินใจกับตนเองอย่างลับๆ และตั้งปณิธานกับเขาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องช่วยโจ้วชวนขายหนังสือเล่มนี้ให้ดีเป็นเทน้ำเทท่าให้ได้
…ส่วนตัวโจ้วชวนเองไม่ได้รู้เรื่องที่เธอตัดสินใจอะไรและไม่ได้สนใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขานั่งไขว่ห้างพร้อมกับกระดิกเท้า และกดสั่งโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าจากแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารมาทาน
ระหว่างทางกลับบริษัท ชูหลี่ก็วิ่งเร็วจี๋ราวกับจะบินได้อย่างไรอย่างนั้น
ขณะนั่งอยู่บนรถโดยสารประจำทาง มุมปากของเธอไม่ได้เหยียดยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อคนเราเจอเรื่องบางอย่างย่อมอยากแบ่งปันกับใครสักคน เธอจึงเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วทิ้งข้อความไว้ให้กับบางคนที่ถูกเรียกว่า ‘บุคคลหายที่สาบสูญ’ ที่ไม่ได้ตอบกลับมาเป็นเวลาสิบชั่วโมง…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ท่านเทพคนนั้นตอบตกลงแล้ว! ในที่สุดตอนนี้ก็เล่าให้นายฟังได้แล้วว่านักเขียนมือเทพคนนั้นก็คือโจ้วชวน! ใช่ นายไม่ได้ตาฝาดไปหรอก เขาคือโจ้วชวน!!! ฉันไปหาเขาตั้งหลายครั้งด้วยความจริงใจ ในที่สุดก็ใช้ความจริงใจและพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาจนชนะใจท่านเทพโจ้วชวนได้ และสุดท้ายเขาก็ตอบตกลงเซ็นสัญญาที่เหมือนกับสัญญาต้มตุ๋นหลอกเอาเงินฉบับนี้! โอ้ พระเจ้า! ฉันดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ตอนนี้นั่งอยู่บนรถเมล์ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเป็นซย่าอวี่เหอ* ที่ตายแล้วเกิดใหม่ เมื่อกี้ฉันเกือบจะคุกเข่าลงต่อหน้าเขาแล้วร้องไห้โฮพร้อมกับพูดออกมาว่า “ขอบคุณนะคะพ่อ”
ข้อความถูกส่งไปแล้ว
ครั้งนี้อีกฝ่ายเงียบไปนานมาก เมื่อเขาหายไปนานจนทำให้ชูหลี่คิดว่าเขาเป็นบุคคลที่หายสาบสูญไปแล้วจริงๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็สั่น เธอจึงรีบหยิบขึ้นมาดู…
Mr. L ที่หายไป : ถ้างั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับเธอด้วยจริงๆ
Mr. L ที่หายไป : นึกไม่ถึงเลยว่าจะจับโจ้วชวนได้แล้ว
ในเวลานี้ชูหลี่ยังคงตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข เธอทั้งตื่นตกใจและดีใจไปพร้อมกัน แต่กลับรู้สึกว่าวิธีการพูดของ Mr. L แปลกไปจากเดิมเล็กน้อย เธอหัวเราะออกมารัวๆ แล้วขอให้ Mr. L เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้าเขาตอบตกลง เธอจะให้รูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของโจ้วชวนแก่เขา
บรรยากาศในการแชตสนทนาครั้งนี้ราวกับมีกลุ่มหมอกขาวขมุกขมัว ทำให้รู้สึกวุ่นวายใจเสียจริง
ชายหนุ่มละนิ้วออกจากแป้นพิมพ์โทรศัพท์และออกจากแอพพลิเคชั่นแชต จากนั้นก็เปิดกล้องหน้าในโทรศัพท์ จึงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏบนหน้าจอ เขาในตอนนี้ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าได้เลย
รูปถ่ายพร้อมลายเซ็น?
ฉันมีเป็นหมื่นๆ ใบ ถ้ามันทำให้เธอมีความสุขขนาดนั้น ก็เอาไปติดไว้ให้เต็มบนหัวเตียงแบบไม่ซ้ำเลยก็ได้นะ
“…”
…แค่คิดว่าได้เป็นฐานรองเท้าให้ผู้คนเหยียบย่ำไปสู่จุดสูงสุดของยอดพีระมิดด้วยผลงานชิ้นเอกของตนก็ทำให้รู้สึกแย่เสียจริง แม้กระทั่งยาสูบที่ทำให้คนมีความสุขก็ช่วยให้รอดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆ นี้ไม่ได้
ชายคนนั้นเปิดแอพพลิเคชั่นแชตต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือและเริ่มอ่านรายชื่อเพื่อนอยู่พักหนึ่ง ขณะที่กำลังดูรายชื่อก็ขบคิดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า…แกล้งใครสักคนให้มีความสุขดีกว่า
ระหว่างที่กำลังเลือกอยู่นั้น นิ้วก็ไปหยุดตรงรายชื่อ ‘มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา’ มือเขากำลังสั่นเทา…
ก่อนจะทำการบล็อกเธอ
* เถาเป่า คือเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก อยู่ในเครือของ Alibaba Group
* ซย่าอวี่เหอ เป็นตัวละครจากละครจีนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ โดยเป็นองค์หญิงตัวจริงในเรื่อง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.