บทที่ 9
ชูหลี่ผู้ไม่รู้อะไรเลยว่าเพื่อนที่ดีของเธอได้ปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมอย่างไรบ้าง เธอรีบกลับไปสำนักพิมพ์อย่างดีอกดีใจ และก็มาถึงในช่วงพักเที่ยงพอดี…ทุกคนต่างนั่งอยู่ในห้องทำงานและทานอาหารที่สั่งมา บ้างก็คุยเรื่อยเปื่อยกับคนอื่นทางคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ทำงานเพื่อให้งานเดินหน้าเล็กน้อย ชูหลี่ก้าวเข้ามาพร้อมกับทักทายทุกคน…
เธอรู้สึกเพียงแค่ว่าวันนี้ทุกคนดูน่ารักเป็นพิเศษ แม้แต่ปลานกแก้วและปลาซักเกอร์ที่เลี้ยงไว้ในตู้ปลาหน้าห้องก็ทอประกายความน่ารักออกมา
เธอรีบเดินไปยังหน้าโต๊ะทำงานของหัวหน้า บ.ก. เปิดกระเป๋าของตนเอง กำลังจะหยิบสัญญาออกมาเพื่อรายงานข่าวดีต่ออวี๋เหยาว่าโจ้วชวนได้เซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ทันได้พูดอะไร อวี๋เหยาก็เอ่ยปากถามออกมาก่อน
“ทำไมเธอถึงเพิ่งมาล่ะ”
เอ่อ…ชูหลี่ตะลึงไปชั่วขณะ ในมือของเธอคีบสัญญาไว้แน่น ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังด้านนอก “ฉันออกไปทำงานนอกสถานที่ค่ะ หัวหน้า บ.ก. ไม่ได้บอกหรอกเหรอคะว่าเหลือเวลาแค่สัปดาห์เดียวในการเซ็นสัญญา ไม่อย่างนั้นจะเริ่มระงับสัญญา ฉันเลยต้องไปพบโจ้วชวนจนกว่าเขาจะเต็มใจเซ็นสัญญา วันนี้ก็เลยไปที่บ้านโจ้วชวนอีก ที่มาสายเพราะ…”
อาจารย์โจ้วชวนนัดฉันไว้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งเพื่อไปเซ็นสัญญาค่ะ
ชูหลี่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เหล่าเหมียวที่อยู่ด้านหลังเธอก็คอยพูดเยาะเย้ยขึ้นมา “ผลก็คือไปเสียเที่ยวใช่ไหมล่ะ”
เมื่อเหล่าเหมียวพูดออกมา เสี่ยวเหนี่ยวซึ่งเป็น บ.ก. คนใหม่ก่อนหน้าเธอก็เงยหน้าขึ้นจากการสั่งอาหารดีลิเวอรี่พลางทอดถอนใจออกมาเบาๆ
“วันๆ เอาแต่วิ่งไปวิ่งมา ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน น่าจะรับมืออาจารย์โจ้วไม่ไหวหรือเปล่า แต่ได้ออกไปทำงานนอกสถานที่นี่ดีจริงๆ เลยนะ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยฉันก็ชอบออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ที่สุดเลย ไม่ต้องประชุม แถมบางครั้งยังแอบนอนตื่นสายได้ด้วย…”
ชูหลี่ “…”
เธอตกตะลึง รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ฟังแล้วน่าอึดอัดใจยิ่งนัก จึงหันกลับมาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
ในจังหวะนี้ บ.ก. ฝ่ายศิลป์เหล่าหลี่ก็พูดต่อว่า “ถ้าเราเริ่มทำงานในตอนบ่ายได้ ตอนเช้าฉันอาจมีเวลาไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน…ภรรยาฉันมักจะบ่นว่าฉันออกเช้าเกินไป ตอนลูกๆ กำลังกินข้าวเช้าก็ต้องออกจากบ้านแล้ว รู้สึกยังไม่ได้ทำหน้าที่พ่อเลย”
เหล่าเหมียวพูด “เหอๆๆๆ ช่างน่าสงสารเสียจริง!!!”
เสี่ยวเหนี่ยวหันไปหาชูหลี่พร้อมกับยิ้มกว้าง “หลังจากที่ได้ทำงานแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปทำงานนอกสถานที่อีกเลย น่าอิจฉาเธอจังเลยนะ ชูหลี่”
จากนั้นเสี่ยวเหนี่ยวก็หยุดไปชั่วขณะ เธอยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วพูดเสียงเบาว่า “โอ๊ะ” พร้อมกับกล่าวขอโทษ “ฉันแค่พูดถึงความขี้เกียจสมัยเรียนเฉยๆ น่ะ ไม่ได้แนะให้เธอใช้มาเป็นข้ออ้างในการนอนตื่นสายและเอามาใช้กับการทำงานที่บริษัทนะ…ต่างก็ยุ่งกันทุกคน จะกล้าอู้งานไม่ยอมมาทำงานได้ยังไง” เธอพูดไปยิ้มไป
อาเซี่ยงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเสี่ยวเหนี่ยวเงยหน้าขึ้นมามอง เสี่ยวเหนี่ยวจึงเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและยิงคำถามไปที่อาเซี่ยง
“ใช่ไหมอาเซี่ยง”
อาเซี่ยงยิ้มออกมาซื่อๆ โดยไม่มีความเห็นอันใด
เหล่าเหมียวพูดกับชูหลี่ “สัญญาล่ะ”
ในเวลานี้พวกเขาต่างโจมตีชูหลี่จนในหัวของเธอนั้นว่างเปล่า ทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ โดยไม่ทันได้โต้ตอบเลยแม้แต่น้อย…และในตอนนี้เองอวี๋เหยาก็ยิ้มออกมา ก่อนที่ชูหลี่จะเอ่ยปาก อวี๋เหยาก็พูดกึ่งหยอกล้อ
“เหล่าเหมียว คุณก็อย่าไปบังคับเร่งเร้าชูหลี่มากเกินไป สัญญาฉบับนี้ส่งให้คุณไปจัดการ คุณใช้เวลาตั้งครึ่งเดือน แต่ก็ยังทำให้โจ้วชวนยอมเซ็นสัญญาไม่ได้ ชูหลี่เพิ่งเข้ามาทำงานเอง ทำไมต้องไปคาดหวังว่าเธอจะทำได้สำเร็จภายในสี่วัน…อีกอย่างนะชูหลี่ จะออกไปทำงานนอกสถานที่ไม่จำเป็นต้องออกไปทั้งเช้า เพราะเธอยังมีภาระงานอื่นต้องทำอยู่ ไม่ได้มีแค่เรื่องของโจ้วชวนให้จัดการ”
อวี๋เหยาพูดพร้อมกับมองไปที่ชูหลี่ ขณะที่ชูหลี่กำลังจะบอกว่าเธอได้นำสัญญาที่เซ็นเรียบร้อยกลับมาแล้ว แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นจังหวะที่เหล่าเหมียวแสดงอาการแข็งทื่อออกมา เธอจึงตกตะลึงไปประมาณสิบวินาที…ก่อนที่จะปล่อยนิ้วที่กำลังคีบแฟ้มสัญญาทันที ทำให้แฟ้มสัญญาตกลงไปในกระเป๋าตามเดิม
…เปรียบเสมือนสัตว์กินพืชตัวน้อย เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามก็เลือกที่จะกลืนสิ่งที่พูดออกมาไม่ได้กลับเข้าท้องไป
ชูหลี่ยืดตัวตรง วางกระเป๋าไว้บนที่นั่ง จากนั้นก็หันหน้าไปทางอวี๋เหยากล่าวคำขอโทษและยิ้มให้กับเธอ
“ขออภัยด้วยค่ะ หัวหน้า บ.ก. ฉันจะพยายามพูดเกลี้ยกล่อมโจ้วชวนค่ะ พรุ่งนี้จะไม่เข้างานสายอีกแล้วค่ะ”
ระหว่างที่ชูหลี่กำลังพูดอยู่นั้น ทั้งห้องทำงานก็เงียบไป เหล่าเหมียวหมุนเก้าอี้จึงทำให้เกิดเสียงกึกๆ ขึ้นเล็กน้อย คนอื่นๆ ทานมื้อกลางวันของตนเอง…เมื่อเธอหันไปทางทุกคน สีหน้าของพวกเขาต่างเพลิดเพลินกับมื้อกลางวันอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…”
ชูหลี่ยิ้มพลางพูดออกมาเบาๆ “ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน” พร้อมกับเดินออกจากห้องทำงานไป เมื่อออกมาด้านนอกประตูก็เดินมายังทางเดินที่อยู่ไกลจากห้องทำงาน…ได้ยินเสียงรองเท้าของตนกระทบกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนขึ้น จึงหยุดเดินและมองไปยังด้านหลัง
จากนั้นเธอก็ก้มลงไปมองขาของตน และตอนนี้เธอก็ยังสั่นอยู่หน่อยๆ ในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘ทำไม’ ‘เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง’ และ ‘เกิดอะไรขึ้น’ หญิงสาวใช้มือที่สั่นเทาหยิบโทรศัพท์ออกมา กดดูข้อความที่ยังคงบันทึกไว้ ‘พรุ่งนี้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งนำสัญญาเข้ามาด้วย ถ้าเลยเวลาจะไม่รอ’ เธอลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะกดโทรออกไปหาปลายสาย เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงสามครั้งก็มีคนรับสายอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล”
“สวัสดีค่ะท่านเทพโจ้วชวน ชูหลี่นะคะ คือว่า…ที่เป็น บ.ก. จากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยที่ได้นำสัญญาไปให้เซ็นเมื่อเช้านี้ค่ะ”
ปลายสายมีเสียงของสุนัขเห่าออกมา “โฮ่งๆ” ด้วยเสียงอันดัง สถานการณ์แลดูวุ่นวายมาก ชูหลี่อดทนรอได้สักพัก จากนั้นชายหนุ่มที่ปลายสายก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มีเรื่องอะไร”
ชูหลี่บีบโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือเบาๆ “สวัสดีค่ะ อาจารย์ ต้องขออภัยที่รบกวนอีกครั้งนะคะ คือแบบนี้ค่ะ ฉันเพิ่งกลับมาถึงที่สำนักพิมพ์ ก็ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะขอความกรุณาเก็บเรื่องที่เราเซ็นสัญญาในวันนี้ไว้เป็นความลับไปจนถึงอาทิตย์หน้าจะได้หรือเปล่าคะ…”
“คุณคิดจะทำอะไร”
“…” ชูหลี่หลับตาลง “ดูเหมือนว่าจะไม่สะดวกเริ่มงานในทันทีค่ะ ฉันกลัวนิดหน่อย…ไม่ใช่ เอ่อ! ฉันขอร้องล่ะค่ะ ได้ไหมคะ”
ปลายสายเริ่มตกอยู่ในความเงียบงัน
ในที่ที่ชูหลี่ไม่สามารถมองเห็นได้ โจ้วชวนเลิกคิ้วขึ้นและยกโทรศัพท์มือถือออกห่างจากข้างหูแล้วหรี่ตามอง ราวกับว่าเขามองเห็นอีกฝ่ายกำลังชักกระตุกด้วยความตื่นตกใจอะไรบางอย่างอยู่ในขณะนี้…
พูดจาสะเปะสะปะ น้ำเสียงฟังดูแล้วช่างน่าสงสาร เป็นอะไรไปเนี่ย
เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำตัวลิงโลดอยู่หรอกเหรอ
โจ้วชวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเขาเข้าคิวคิวหลักเพื่อดูอะไรบางอย่าง ก็เห็นในลิสต์รายชื่อเพื่อนที่เป็นรูปโพรไฟล์ของเหล่าเหมียวปรากฏโพสต์ข้อความขึ้นมา หยุดดูครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว
อีกด้านหนึ่ง
ขณะที่ชูหลี่รอนานเป็นชาติอย่างหงุดหงิดใจอยู่นั้น ในที่สุดปลายสายก็ตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ว่า ‘ตามใจคุณแล้วกัน ไม่ว่าพวกคุณจะเล่นกลอะไร ขอแค่อย่ามากระทบผมก็พอ’ หลังจากนั้นเขาก็ได้วางสายไป
…ชูหลี่จ้องมองโทรศัพท์ที่ถูกวางสายไปแล้ว เธอกดกลับมาที่หน้าจอหลักแล้วเหม่อลอยอยู่ประมาณสี่ห้านาที หลังจากนั้นจึงเรียกสติกลับคืนมาแล้วเร่งฝีเท้าไปล้างมือที่ห้องน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าตนเพิ่งเข้าห้องน้ำมา ปรับสีหน้าและอารมณ์ให้ดีขึ้นตรงหน้ากระจกและรีบเดินกลับไปยังห้องทำงานอีกครั้ง
หลังจากนั้นสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยก็ให้พนักงานเริ่มทำงานในตอนเช้าเวลาเก้าโมงครึ่ง หลังจากที่ได้รับคำเตือนจากอวี๋เหยาแล้ว ตอนเช้าของทุกวันชูหลี่จะมาถึงที่ทำงานประมาณสิบโมงห้าสิบนาที ไม่เร็วและไม่สายจนเกินไป เธอทำประหนึ่งว่าไปบ้านโจ้วชวนมาแล้วกลับมาที่ทำงาน และรายงานความคืบหน้าเหมือนถูกเชือดกลับมา…แต่แท้จริงแล้วสัญญาที่เซ็นเรียบร้อยฉบับนั้นอยู่ในกระเป๋าที่เธอแบกไปมาอย่างไม่มีปัญหาใดๆ
ในที่สุดสัปดาห์แรกแห่งการทำงานก็จบลง
วันหยุดสุดสัปดาห์หญิงสาวนอนอยู่ในห้อง และทำใจปล่อยวางทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าร้ายใคร…พูดตรงๆ ก็คือไม่รู้จะคุยกับใคร เพราะเดิมทีแล้วเธออยากจะระบายเรื่องที่น่าอึดอัดใจเกี่ยวกับพวกคนในที่ทำงานให้ Mr. L ฟังตั้งแต่คืนวันพุธ แต่น่าแปลกที่พบว่าในคิวคิวไม่มีรายชื่อเขาอยู่ เธอเลยคิดว่าตนถูกบล็อกหรืออย่างไร เมื่อลองสอบถามคนที่อยู่รอบกายซึ่งเป็นเพื่อนร่วมกันที่รวมแล้วมีแค่สามคน ท้ายที่สุดก็ได้คำตอบจากเพื่อนคนหนึ่งว่า ‘ช่วงนี้ไม่เห็น Mr. L ตอบกลับมาเลย’
ชูหลี่อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าตนกำลังซวยและตกอยู่ในช่วงเคราะห์หามยามร้าย
เพื่อนร่วมงานต่างพุ่งเป้ามาที่เธออย่างน่าแปลกใจ แม้แต่เพื่อนที่รู้จักกันมาสามปีกว่าซึ่งไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันยังบล็อกเธออย่างน่าประหลาด ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้สึกงุนงงต่อการถูกทั้งโลกทอดทิ้ง
เฮ้อ…
ความรู้สึกพังทลาย
ชีวิตช่างไร้ความหมาย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชูหลี่ไม่รู้คือไม่ใช่แค่เธอเพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาอันยากลำบากนี้
ตั้งแต่คืนวันพุธ ณ ที่พักในเขตพื้นที่หรูใจกลางเมือง G ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่กระวนกระวายใจเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็มเช่นกัน
ในคืนวันพุธ เมื่อโจ้วชวนเขียนนิยายออนไลน์เสร็จ เขาดูข่าวบนอินเตอร์เน็ตอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเห็นข่าวแปลกๆ ก็อยากจะแชร์ จึงกรอกรหัสเพื่อเข้าสู่ระบบในบัญชี ‘Mr. L ที่หายไป’ จากนั้นก็เปิดดูลิสต์รายชื่อเพื่อน ในวินาทีแรกเขาหารูปโพรไฟล์ของเจ้าลิงไม่เจอ ทำเอาตกใจไปชั่วขณะ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเกิดเรื่องไม่ลงรอยกัน จึงลบรายชื่อเธอทิ้งไปแล้ว
…ลบไปแล้ว ก็ถือว่าตัดปัญหาไปอย่างถาวร
ลบไปก็ดีเหมือนกัน
เขาพยายามเมินเฉยต่อลิงก์ที่คัดลอกไว้เพื่อเตรียมแชร์ให้ใครบางคนอ่าน หันไปเปิดข้อความที่ยังไม่ได้อ่านจำนวนมากแทน จากนั้นก็พบว่าคนที่ทิ้งข้อความไว้ล้วนแต่เป็นเพื่อนของเขาและเจ้าลิง…
ผีที่อยู่ด้านหลังเธอ : นาย L เจ้าลิงถามว่านายไปไหนเสียแล้ว…เกิดอะไรขึ้นกับนายหรือเปล่า ลบรายชื่อเธอทิ้งแล้วเหรอ ทะเลาะกันเหรอ เธอบอกว่าพวกนายไม่ได้ทะเลาะกันนี่นา!
ดอกไม้ป่า : เกิดอะไรขึ้นระหว่างนายกับเจ้าลิง
สบายสบายในสายลม : เจ้าลิงหานายอยู่ เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาย หรือว่านายจะโดนแฮกไปแล้ว
สบายสบายในสายลม : ออนไลน์อยู่หรือเปล่า
สบายสบายในสายลม : เจ้าลิงร้องไห้น่าสังเวชมาก แทบพลิกแผ่นดินหาสามีของเธอแล้วตอนนี้
โจ้วชวน “…”
ร้องไห้กับผีอะไรล่ะ
กำลังดีใจกอดสัญญาของโจ้วชวนจนนอนไม่หลับอยู่น่ะสิ
เมื่อจ้องไปที่คำว่า ‘สามี’ คำนี้ทำให้โจ้วชวนเบะปากและเกิดความรู้สึกเสียวฟัน
เขาหัวเราะออกมาครู่หนึ่ง ก่อนจะยกขาขึ้นกระดิกไปมาแล้วพึมพำกับตนเอง “มีคนวิ่งเต้นแทนเธอเต็มเลยนะ”
จากนั้นก็ออกจากบัญชีคิวคิวสำรองและเข้าบัญชีหลัก เปิดดูรายชื่อที่ออนไลน์ แล้วเข้าไปคุยกับเจียงอวี่เฉิงพร้อมกับแชร์ลิงก์ให้ พอได้รับการตอบกลับเป็น ‘???’ โจ้วชวนจึงเริ่มการสนทนากับเพื่อนของเขา…
ทว่าการพูดคุยกับเจียงอวี่เฉิงนั้นไม่สามารถหยุดความรู้สึกในสามวันนี้ได้เลย ทุกวันที่เจียงอวี่เฉิงเขียนนิยายออนไลน์เสร็จก็จะเห็นโจ้วชวนทิ้งข้อความไว้เป็นสิบข้อความ เป็นข้อความประเภทรายงานตนเอง เช่น ‘ตื่นแล้ว’ ‘เที่ยงนี้กินอะไรมา’ ‘ตอนเย็นอยากกินอะไร’ ‘ข่าวนี้น่าสนใจ ฮ่าๆๆๆๆๆ’ ‘นายดูนักเขียนประหลาดคนนี้สิ หาเรื่องแฟนคลับอีกแล้ว’ ‘ขอให้มาตุภูมิแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองหมื่นปีหมื่นๆ ปี’ และอีกหลากหลายเรื่องราว…
เจียงอวี่เฉิงอกจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
จนกระทั่งเมื่อถึงตอนเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวแล้วระเบิดมันออกมา…
โจ้วชวน : แกงเนื้อสันนอกที่ฉันกินเย็นนี้รสชาติแย่จนกลืนไม่ลง ทำไมร้านยังอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เจ๊งสักที
เจียงอวี่เฉิง : …พี่ใหญ่? นายจะเอะอะทำไม วันนี้เย็นนายจะกินอะไร ฉันไม่ได้ไปหารด้วยสักหน่อย และนายก็ไม่ได้เชิญฉันไปกินข้าวด้วย!!!!
โจ้วชวน : …
โจ้วชวน : ฉันก็แค่พูดเฉยๆ
โจ้วชวน : น่าเบื่ออะ ทำไมนายถึงโหดร้ายแบบนี้
เจียงอวี่เฉิง : เบื่อก็ไปเขียนนิยายนู่นไป มีคนอ่านไม่รู้กี่คนกำลังรอให้ท่านเทพโจ้วชวนลงนิยายใหม่ ยิ่งลงเพิ่มก็ยิ่งทำให้พวกเขาดีใจ…ทำไมต้องมาคุยเรื่องไร้สาระกับฉันด้วย ฉันไม่ได้จ่ายค่าต้นฉบับให้นายสักหน่อย
โจ้วชวน : ทำไมนายถึงได้ใจแคบนักนะ ถ้าเอาจำนวนตัวอักษรที่เคยคุยกับนายไว้มารวมกัน พันตัวอักษรก็เพียงพอที่จะซื้อบ้านในเมือง G ได้เป็นหลังแล้ว
เจียงอวี่เฉิง : อย่างน้อยคำพูดที่นายพิมพ์มาตั้งแต่คืนวันพุธมาจนถึงตอนนี้ ก็สามารถซื้อบ้านหนึ่งหลังที่มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และห้องหนังสือได้เลยแหละ
เจียงอวี่เฉิง : เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่เนี่ย
เจียงอวี่เฉิง : …นายอย่ามาตกหลุมรักฉันเลย ฉันกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว กระผมเป็นเพียงนักเขียนที่เคยดัง คงไม่เข้าตาท่านหรอก ว่าไหมขอรับ
โจ้วชวน : ???
โจ้วชวน : รสนิยมทางเพศของฉันยังเหมือนเดิม ฉันก็แค่เบื่อๆ น่ะ
เจียงอวี่เฉิง : ถ้างั้นระหว่างที่ฉันกับนายรู้จักกันมาสามปีสิบเดือนสิบเอ็ดวัน นายไม่เคยมาก่อกวนฉันเลย เงียบเป็นเป่าสาก นายใช้ชีวิตยังไง
เมื่อเจียงอวี่เฉิงถาม อีกฝ่ายหนึ่งเงียบไปนาน ไม่ยอมตอบกลับมา
และที่เจียงอวี่เฉิงไม่รู้ก็คือมือทั้งคู่ของโจ้วชวนได้ละออกจากแป้นพิมพ์และจ้องไปที่หน้าจอด้วยความงุนงง…
เขารู้คำตอบที่เจียงอวี่เฉิงถามดี…ระหว่างที่รู้จักกับเจียงอวี่เฉิงมาสามปีสิบเดือนสิบเอ็ดวัน เขาไม่เคยไปก่อกวนเจียงอวี่เฉิงเลย เงียบเป็นเป่าสาก แต่ครั้งนี้กลับหาเรื่องไปก่อกวนอีกฝ่ายเสียแล้ว เพียงเพราะว่าสามวันก่อนหน้านี้ เธอคนนั้นเพิ่งถูกเขาบล็อกไปกับมือ
โจ้วชวน “…”
เฮ้อ…น่าเบื่อชะมัด
นักเขียนมือเทพผู้หมดอาลัยตายอยาก
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมกราคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.