บทที่ 1
การตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างเป็นเรื่องที่ปกรณ์หรือแมนคุ้นชิน
หนุ่มตี๋อินเตอร์หน้าหล่อตัวสูงในวันนี้มีความพิเศษอยู่หน่อยตรงที่เจ้าตัวยอมมัดผมเผ้าที่ยาวประบ่าเอาไว้อย่างเรียบร้อย เสื้อยืดที่เอาแต่ใส่สีเดิมซ้ำๆ วันนี้ก็หอมฟุ้งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาซักผ้าแบบผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม ซ้ำร้ายยังรีดจนเรียบกริบอีกต่างหาก กางเกงยีนเข่าขาดก็เป็นกางเกงยีนแบบสุภาพสีน้ำเงินเข้มไร้ริ้วรอยปะชุน มีก็แต่รองเท้ากีฬาคู่เก่งสุดรักของเจ้าตัวเท่านั้นที่ยังคงเป็นรองเท้ามอมแมมคู่เดิม
ส่วนสูงที่โดดเด่นของเจ้าตัวทำให้ปกรณ์มองเห็นได้ไกลกว่าคนอื่น ตาคมปลายหางตาเฉียงขึ้นเอาแต่มองผ่านศีรษะคนไปทั่ว เขาเหลียวซ้ายแลขวาทีท่าร้อนรน สักพักก็หันไปมองประตูบานเลื่อนของอาคารสนามบิน
จับจ้องไม่วางตา จ้องเอ๊าจ้องเอา
มันเป็นประตูที่แปลก?
ก็ไม่นะ ประตูบานนั้นก็เป็นแค่ประตูเลื่อนอัตโนมัติทั่วๆ ไปนั่นแหละ งั้นแล้วทำไมดวงตาคมกริบของปกรณ์ถึงยังจ้องเขม็งล่ะ ยิ่งตอนที่เจ้าตัวได้ยินเสียงประกาศไฟลต์บินของตัวเองด้วยแล้ว หน้าหล่อๆ ก็หงิกหนักทันควัน
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย หรือจะไม่ไปดีวะ” ปกรณ์อารมณ์เสียมาก เขาเริ่มเดินวนไปวนมาเป็นเสือติดจั่น ซ้ำยังเป็นเสือขี้โมโหเสียด้วย
นางฟ้าของเขา…นางฟ้าสุดดวงใจของเขาจะไม่ยอมมาส่งเขาขึ้นเครื่อง!
ปกรณ์เริ่มตาขวาง โกรธจนอยากระเบิดออกมาให้เป็นลูกไฟ!
“เฮ้ยแมน กูว่าใจเย็นๆ ก่อนเถอะเพื่อน”
อาทหรือชื่อเต็มคืออาทิตย์ เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่ทนนิสัยขี้โมโหของปกรณ์ไหวรีบดึงแขนเสื้อของคนเจียนคลั่ง
“นั่นๆ เจ้าหน้าที่สนามบินมองมาแล้ว เดี๋ยวก็โดนจับไปโรงพักหรอก”
“จับสิดี มาจับกูเลย กูไม่ไปอังกฤษแล้ว โทรศัพท์กูอยู่ไหน เอามานี่ กูจะโทรถามแอ๊นท์ว่าทำไมป่านนี้ถึงยังไม่โผล่มาส่งกู”
“ใจเย็นนนนน หายใจลึกๆ เข้าไว้ไอ้แมน นับหนึ่งพุท นับสองโธ นับสามพุท นับสี่โธ คาล์มดาวน์ไว้เพื่อน สงบไว้ ใจร่มๆ”
หลายครั้งอาทิตย์เองก็สงสัยนะว่าตนเป็นเพื่อนกับคนขี้โมโหอย่างปกรณ์ได้ยังไง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่มีเรื่องติดแฟนตัวเป็นตังเมแบบนี้ เรื่องอื่นของหมอนี่ก็นับว่าเพอร์เฟ็กต์ทุกอย่าง
พวกเขาทั้งคู่ทำงานอยู่ที่บริษัทฟลิ้นสโตน เป็นงานที่เกี่ยวกับการทำสื่อโฆษณาระดับแนวหน้าในเวลานี้ ตัวของอาทิตย์นั้นเป็นครีเอทีฟควบตำแหน่งน้องชายของหุ้นส่วนบริษัท ส่วนไอ้ขี้โมโหที่กำลังคลั่งรักเพราะรักแฟนมากคนนี้เป็นผู้กำกับโฆษณาที่กำลังเนื้อหอม
หอมขนาดไหนน่ะเหรอ
ก็ขนาดอาทิตย์เองยังงงว่าไอ้คนนิสัยไม่ดีคนนี้ทำไมเวลาทำงานถึงได้ทำได้ดี๊ดี กวาดรางวัลเป็นว่าเล่น จนตอนนี้ได้รับงานให้ไปถ่ายโฆษณาชุดใหญ่ไกลถึงประเทศอังกฤษ ทำเอารุ่นพี่ตัวเก๋าในบริษัทถึงกับมองหมอนี่ตาขวาง
“ไม่ต้องชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟนักหรอกน่า ยังไงซะยายแอ๊นท์ต้องมาแน่ อย่าลืมสิว่ามึงเล่นย้ำมาตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ทุกวัน”
“อะไรวะ”
“กูย้ำกับแอ๊นท์ทุกวันว่ากูจะไปวันนี้ ตอนนี้ เวลานี้”
“งั้นถ้ามึงย้ำขนาดนี้ยายแอ๊นท์ก็ต้องมาแน่ๆ ดังนั้นอย่าเพิ่งหัวเสียเลยเพื่อน”
เอาจริงๆ นะ อาทิตย์อยากยกมือไหว้มันเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้จะโมโหอะไรกันนัก สักวันเถอะเส้นเลือดในสมองจะแตก แล้วดูสิไม่อายชาวบ้านหรือไงเนี่ย อาทิตย์ซึ่งอายสายตาคนอื่นมาพักใหญ่แล้วรีบเอียงหน้ามากระซิบเตือนสติ
“อย่าให้เสียมาดผู้กำกับโฆษณามือรางวัลสิวะ ลูกน้องในทีมกลัวมึงจนตัวสั่นแล้ว”
“หึ!” พ่อหนุ่มหล่อทำเสียงขึ้นจมูก “เป็นเพราะมึงไอ้อาท มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากไป มึงเลยไปบอกให้แอ๊นท์มาบังคับกู มึงไม่สงสารกูเลยใช่ไหม บริษัทมึงไม่ได้มีแค่กูเป็นผู้กำกับอยู่คนเดียวนะโว้ย เอาคนอื่นไปก็ได้ ใครไปก็เหมือนกัน”
โดนกล่าวหาแบบนี้อาทิตย์ก็อยากทึ้งผมอีกฝ่ายเผื่อจะได้สติขึ้นมาบ้าง
“ไอ้แมน! ไอ้ง่าว! โอกาสดีๆ แต่ดันอยากจะโยนให้คนอื่นมารับแทน คิดได้นะมึง คิดออกมาได้!” อาทิตย์ชักทนไม่ไหว “ฟังนะเพื่อนรัก ถ้ามึงขืนทำแบบนั้นขึ้นมาจริง ยายแอ๊นท์สุดที่รักของมึงได้ทิ้งมึงแน่ ทุกวันนี้ถ้ามึงไม่ทำงานเก่ง คนที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างมึงมีเหรอที่ผู้หญิงน่ารักอย่างยายแอ๊นท์จะยอมคบด้วย”
ปกรณ์อึ้ง
“กูไม่อยากพูดแทงใจมึงเลยพับผ่า ทีนี้ก็ช่วยหยุดงี่เง่าแล้วก็เตรียมตัวเข้าเกตสักที”
“ไม่ กูจะรอแอ๊นท์”
“แต่นี่มันได้เวลาแล้ว อย่าทำตัวเป็นเด็กสิ ไป! เข้าไป”
พอถูกรุนหลังปกรณ์ก็ขืนตัวไม่ยอมอย่างดื้อด้าน ผิดตรงไหนที่เขาเป็นคนรักแฟนมาก ไม่อยากห่างแฟนสักวันน่ะ
“พวกมึงทุกคนช่วยกันลากไอ้แมนเข้าไปที” อาทิตย์หันไปสั่งลูกน้อง เพราะเขาไม่ใช่แค่ครีเอทีฟธรรมดา แต่เขายังเป็นน้องชายของหุ้นส่วนบริษัทด้วย
แต่ละคนไม่อยากทำแต่ก็ขัดอาทิตย์ไม่ได้ ในขณะที่ปกรณ์กำลังถูกลากเข้าสู่ประตูด้านใน เสียงเล็กหวานใสฟังแล้วสดชื่นหัวใจก็ดังลอยตรงมา
“แมนจ๊ะ”
“แอ๊นท์ของแมนนนนน”
“เสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนคนเป็นไบโพลาร์เลยนะมึง” อาทิตย์โบกมือบอกลูกน้องให้ปล่อยร่างสูง ยืนมองคู่รักหนุ่มหล่อสาวสวยอ้าแขนกอดกันกลมประหนึ่งนกยวนยางที่ไม่ยอมพรากจากไกล อาทิตย์ถอนหายใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าพระพรหมคิดอะไรอยู่ตอนดลบันดาลให้สองคนนี้มารักกัน
“แอ๊นท์ทำไมมาช้าจัง ถ้าแมนตกเครื่องจะทำยังไง” ปกรณ์ทำเสียงสอง กระเง้ากระงอดลากหญิงสาวตัวเล็กที่มาหยุดยืนหอบตรงหน้าเขาเข้าไปในมุมที่เป็นการส่วนตัวเพื่อบอกลา
“วันนี้ที่ร้านมีปัญหากับลูกค้า แอ๊นท์ต้องอยู่เคลียร์ กลัวมากเลยว่าจะมาไม่ทันส่งแมน”
“ไม่รู้ล่ะ แมนรอแอ๊นท์นานมากกกก แอ๊นท์ต้องกู๊ดบายจุ๊บที่แก้มแมนทั้งสองข้างด้วย”
“บ้า คนเยอะแยะ”
“ไม่คิดถึงแมนเหรอ จุ๊บเร็วๆ เลยที่รัก”
สาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ในอ้อมแขนของหนุ่มตัวสูงได้แต่ทุบแขนคนรักด้วยความขัดเขิน แล้วต่อให้ตากลมหวานจะแสร้งจ้องใส่ดุๆ คนตัวสูงก็ยังคงทำปากบึน ยกมือจิ้มแก้มสากย้ำๆ
“เร็วๆ สิค้าบบบบ”
อาริสาเขย่งเท้า เธอหอมแก้มซ้ายหอมแก้มขวาของคนรัก จากนั้นถึงได้ยกมือโบกลมใส่ใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวด้วยความขัดเขิน
“คนบ้าอะไรเนี่ย ขืนคนรู้จักแอ๊นท์มาเห็นได้เอาไปล้อแอ๊นท์ตายเลย”
“ถ้าคนไหนกล้าล้อให้มาบอกแมนนะ แมนจะได้ไปขอบคุณ”
“อีตาบ๊อง!”
สมกับที่รักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ยังทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน อาริสามองแฟนหนุ่มที่ก้มมองเธอตาหวานเชื่อม เธอยกนิ้วชี้ขึ้น ถือโอกาสกำราบเขาในที
“ไปโน่นก็ห้ามไปทำตาหวานใส่ใครเข้าล่ะ ถ้าแอ๊นท์รู้นะ แอ๊นท์จะตีแมนให้หัวแบะ”
“แอ๊นท์ก็เหมือนกัน ห้ามไปเที่ยวที่ไหนคนเดียวนะ แล้วก็ห้ามให้ใครมาจีบด้วย แล้วก็ต้องโทรหาแมน ไม่ๆๆ วิดีโอคอลล์หาแมนนะ ต้องทำทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น แล้วก็ก่อนนอน”
“ให้โทรหาถี่ขนาดนี้แล้วแมนจะเอาเวลาไหนทำงาน” อาริสาหัวเราะ “ไปได้แล้วจ้ะ เดินทางปลอดภัย ถึงแล้วก็โทรบอกแอ๊นท์ด้วยนะ”
“อนุญาตให้แอ๊นท์รับสายจากผู้ชายได้แค่สายของแมนเท่านั้นนะ ห้ามนอกใจนะ แค่คิดหนึ่งวินาทีก็ไม่ได้”
“โอ๊ยแมน! แอ๊นท์ไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจซะหน่อย” อาริสาหัวเราะขัน เธอรู้ดีว่าเขารักเธอมาก บางทีอาจจะมากกว่าที่เธอรักเขาด้วยซ้ำถึงได้เอาแต่ย้ำ ย้ำ และย้ำกับเธอแค่เรื่องพวกนี้
“ไม่รู้ล่ะ ยื่นมือมา” ปกรณ์แบมือมาตรงหน้า สำทับอีกครั้งเมื่อเธอยังทำหน้างง “มือซ้ายนะแอ๊นท์ แมนไม่เอามือขวา”
“แมนจะทำอะไรจ๊ะ จะดูดวงให้แอ๊นท์เหรอ”
“ดวงน่ะเอาไว้ดูตอนที่แม่ของแมนกับแม่ของแอ๊นท์ไปขอฤกษ์แต่งงานก็พอ แมนน่ะขอมือซ้ายแอ๊นท์เพื่อทำแค่นี้ไปก่อน”
“ว้าย! แมนทำอะไรน่ะ!”
“แมนไม่อยู่เฝ้าแอ๊นท์ก็เลยต้องให้แหวนวงนี้เฝ้าแทนไงครับ” ร่างสูงดันแหวนแพลทตินั่มที่ใส่ติดนิ้วก้อยมาตลอดสอดไว้ที่นิ้วนางของหญิงสาว ปากก็ย้ำอย่างเอาแต่ใจตัว “ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ห้ามถอดออกเด็ดขาด แล้วหลังจากที่แมนกลับมาเราค่อยหมั้นกันอย่างเป็นทางการอีกที เอาล่ะ แมนต้องไปจริงๆ แล้ว”
ปกรณ์ถอนใจอย่างอาวรณ์ แขนแกร่งสวมกอดร่างนิ่ม สูดกลิ่นหอมอ่อนที่เรือนผมของเธอ
ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจของเธอกับเขาต่างคนต่างเต้นกันไม่เป็นส่ำ ไม่รู้ว่าที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้นั้นเกิดจากตื่นเต้นหรือว่าตกใจกับการหมั้นหมายอย่างสายฟ้าแลบ คำตอบนี้คงมีแค่คนทั้งสองเท่านั้นที่รู้ ปกรณ์คลายอ้อมแขนออกแล้วก็เดินจากไป
อาริสาก้มมองที่นิ้วนางข้างซ้าย เธอได้แต่ใช้ปลายนิ้วลูบเรือนแหวนนั้นอย่างเหม่อลอย
“แล้วแกก็ปล่อยให้ตาแมนหวานใจแกหมั้นแกกลางสนามบินเนี่ยเหรอ ช่อดอกไม้ก็ไม่มี ลูกโป่งสักลูกก็ยังไม่ลงทุน!”
“จะตะโกนทำไมเนี่ย นั่งกันอยู่แค่นี้” อาริสาสะดุ้งโหยง อยากตีเพื่อนจอมโวยวาย
วันนี้ไม่มีนัดต้องทำอะไร ร้านกาแฟของเธอก็เลยกลายเป็นแหล่งนัดพบของแก๊งเพื่อนสาวที่คบกันมานานมาก คนแรกที่ทำเสียงหลงไปเมื่อครู่นี้ชื่อมัชฌิมา ชื่อเล่นว่าปอ ส่วนคนที่กำลังจับมือซ้ายเธอแล้วชูขึ้นสูงๆ นั้นชื่อจีรดา ชื่อเล่นว่าจิ๊บ
“หึ นั่นยังไม่เซอร์ไพรส์เท่ากับนายแมนใช้แหวนวงนี้หมั้นแก”
จีรดาเป็นทันตแพทย์และเป็นคนที่มีความจำดีที่สุดในกลุ่ม เจ้าหล่อนยังไม่ยอมปล่อยมืออาริสา เอาแต่ชูให้เพื่อนเห็นแล้วจิ้มนิ้วที่เรือนแหวนแพลทตินั่มที่อาริสาเพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ
“ฉันจำได้ว่าแหวนวงนี้แมนมันใส่ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาจีบยายแอ๊นท์ ดูสิเพชรสักเม็ดยังไม่มีเลย ไร้ซึ่งความโรแมนติก”
“ไม่ต้องทำเสียงระอาเลย แมนเขาให้ฉันก็เพราะเขาเป็นคนเปิดเผยจริงใจ ไม่ใช่คนที่จะเข้ามาแล้วผ่านไป แมนน่ะเป็นคนรักจริงใจมั่นคง”
“อวยเว่อออออร์”
มัชฌิมาเบะปากใส่หลังอาริสาเอ่ยจบ แต่เธอรู้ว่ารายนี้ไม่ได้อิจฉา ที่เจ้าตัวห่อลิ้นยานคางขนาดนี้น่ะเพราะหมั่นไส้เธอล้วนๆ อาริสามองเพื่อนทั้งสองคนแล้วถือโอกาสดึงมือที่ถูกจีรดากุมไว้หลวมๆ กลับมา
“นี่พวกแกใจคอจะให้แฟนฉันเอาโคตรเพชรมาหมั้นฉันเหรอ”
“ถ้าได้ก็ดีสิ จะได้สมกับเป็นว่าที่คุณนายบริษัทโฆษณา” พูดพลางจีรดาก็ทำท่ากรีดนิ้วเหมือนคุณนายไฮซ้อตามหน้าหนังสือพิมพ์
“คุณนายอะไรกัน แมนก็แค่ลูกจ้าง คนที่เป็นทายาทชัดๆ เลยน่ะเป็นอาทต่างหาก”
“ถ้าฝีมือดีขนาดนี้สักวันหมอนั่นต้องออกมาทำเองแหละ หรือไม่อาทมันก็ต้องพยายามรั้งไว้ อาจจะให้หุ้นบริษัทสักหน่อย ในละครเกาหลีก็มีให้เห็น”
“นั่นละคร แต่นี่เป็นชีวิตจริง”
“อ้าวนี่ชีวิตจริงหรอกเหรอ เห็นรักกันซะโอเวอร์อย่างกับบทละคร” จีรดาแกล้งกระเซ้า
“พอเลยยายจิ๊บ” อาริสาตีไหล่เพื่อน เจ้าของสถานที่มองเก้าอี้ที่เหลืออีกตัวซึ่งยังคงว่างอยู่ “ว่าแต่ทำไมพิมยังไม่มาอีกล่ะ จิ๊บกับปอแน่ใจนะว่าพิมนัดให้มาที่ร้านของฉัน”
“ปอมันเป็นคนนัด” จีรดาโยนให้เพื่อนที่นั่งข้างกัน
“ขอเม้าท์” มัชฌิมาผลักจานผลไม้ออกห่างตัว ตั้งท่าจะเริ่มอ้าปาก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงริงโทนโทรศัพท์เครื่องหรูที่ตั้งเอาไว้ก็ดังขัดขึ้นมาก่อน
สายตาสามคู่พร้อมใจมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบ โดยเฉพาะมัชฌิมาที่ทำตาโต เจ้าตัวหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้เพื่อนๆ ดูเป็นหลักฐาน
“ไอ้พิมโทรมา มาทายกันว่านางจะมาหรือนางจะเท”
บทที่ 2
“อะไรนะ! อกหัก!”
อาริสาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง พิมมาลาเนี่ยนะอกหัก เพื่อนที่สวยและเซ็กซี่แสนซนที่สุดในแก๊งของพวกเธอเนี่ยนะถูกผู้ชายทิ้ง?! แถมยังอาการหนักด้วย?!
“นี่แหละคือเรื่องที่ฉันอยากเม้าท์” มัชฌิมาสารภาพด้วยสีหน้ากังวล เจ้าตัวเร่งความเร็วรถให้เพิ่มขึ้น ใจคงบินล่วงหน้าไปหาพิมมาลาที่บ้านแล้วเรียบร้อย
“ปอรู้ แล้วแกล่ะจิ๊บ แกเองก็รู้มาก่อนแล้วใช่ไหม” อาริสาหันไปคาดคั้นเพื่อนอีกคน
“ไม่มากหรอก ฉันรู้นี้ดดดดเดียว”
“ก็แปลว่ารู้” อาริสาอยากงอนมาก อยากงอนใส่พวกนี้สุดๆ คนที่เพิ่งมีคู่หมั้นมาหมาดๆ สะบัดหน้าหันไปกอดอก ทำแก้มป่องแถมให้ด้วย
“แอ๊นท์ อย่างอนสิ” จีรดาซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังรีบบีบไหล่มนของอาริสาเป็นเชิงโอ๋ “นะๆๆ ไม่งอนเนอะคนสวย”
“จะงอน! ใจฉันไม่กว้างหรอกนะ เพื่อนทั้งคนมีแฟนแต่ไม่ยอมบอกฉันสักคำเลย” ว่าแล้วเธอก็ตบคอนโซลรถ “จอดตรงนี้ ฉันไม่ไปเยี่ยมมันแล้ว มันจะอกหักก็ให้มันหักไป ฉันไม่ใช่เพื่อนตายของมันแล้วนี่”
“โถ น้อยใจ”
“ปอ จิ๊บ ถ้าเป็นพวกแกมาโดนอย่างฉันแบบนี้ พวกแกจะไม่น้อยใจเลยเหรอ”
เธอหันไปถามสารถีจำเป็นกับผู้โดยสารตอนหลัง คนทั้งสองสีหน้าจืดเจื่อนกันทั้งคู่ แล้วก็เป็นจีรดาที่สารภาพเสียงอ่อย
“ไม่ใช่นะ ตอนเริ่มคบกันพวกฉันไม่รู้ มารู้ก็ตอนที่มันโดนทางนั้นทิ้งแล้วต่างหาก จะว่าไปตอนนั้นพอฉันกับยายปอรู้ก็โมโหไอ้พิมอยู่นิดๆ”
“งั้นตอนเลิกกันทำไมไม่บอกฉัน!”
“ก็ฉันเห็นแกกำลังยุ่งๆ อยู่เรื่องร้าน แล้วก็หวานใจแกน่ะไม่อยากให้ฉันบอกแก” มัชฌิมาตอบอึกๆ อักๆ ขณะที่คนไม่รู้เรื่องขมวดคิ้วมุ่น ขัดใจเป็นที่สุดที่ตนเองพลาดเรื่องสำคัญของกลุ่มไปได้
“อย่างที่ปอมันบอกแหละ” จีรดาเองก็พยักหน้ายืนยัน ซ้ำยังเพิ่มเหตุผลมาสนับสนุนด้วยว่า “แฟนแกน่ะเขากลัวว่าแกจะเข้าไปสืบเรื่องแฟนของไอ้พิมแล้วไม่มีเวลาให้เขา โธ่! อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ แกลืมไปแล้วรึไงตอนที่ฉันเป็นแฟนกับพี่ติน่ะ แกไปสืบเรื่องเขาว่าเป็นคนยังไงจนคนทั้งกระทรวงการต่างประเทศนึกว่าแกแอบชอบแฟนฉันกันหมด ทีนี้หวานใจแกก็เลยกลัว แฟนไอ้พิมคนนี้น่ะทั้งหล่อทั้งรวย สาวๆ ตอมกันเกรียวเลย แมนมันก็กลัวว่าแกจะเผลอชอบเขาไปด้วย หมอนั่นเลยบังคับให้พวกเราปิดบังแก”
“ก็ฉันเป็นห่วงเพื่อนนี่ กลัวจะถูกหลอก แล้วนี่พวกแกไม่ได้กรองก่อนเหรอว่าแฟนยายพิมเป็นคนแบบไหน ดูสิโดนหักอกจนได้” เสียสถาบันสาวสวยของพวกเธอสี่คนมาก ตั้งแต่ตั้งแก๊งกันมาก็มีแต่หักอกผู้ชายมาตลอด มาตอนนี้ดันมาโดนคนอื่นหักอกเสียได้ ทำลายสถิตินางฟ้าไกลเกินเอื้อมของพวกเธอแล้วเห็นไหม!
“มันเล่นของยาก” มัชฌิมาเองก็ยอมรับ “ถ้าเป็นฉันจีบหมอนี่ก็คงจีบไม่ติดด้วยซ้ำ รายนี้เล่นด้วยยากมาก แต่พวกเราก็รู้นิสัยไอ้พิมนี่ว่ามันพราวด์แค่ไหนเรื่องผู้ชาย กับคนนี้มันคิดว่ามันทำได้ ตอนสารภาพกับพวกฉันว่ารักเขาไปเต็มเปาน่ะน้ำตางี้ไหลทะลักอย่างกับเขื่อนแตก พวกฉันถึงโมโหไงว่าตอนคบกับเขาทำไมไม่บอกไม่เล่าให้ฟังกันบ้างเลยจะได้ช่วยยั้งๆ ไม่ให้มันจมดิ่งขนาดนี้”
“หลงขนาดนั้นเชียว” อาริสาเลิกคิ้วเรียวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ “หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเลยเหรอ”
“เรียกว่าหวังแต่งกับคนนี้ที่สุดก็ได้” มัชฌิมาซึ่งสนิทกับพิมมาลาที่สุดสันนิษฐาน “ยอมทางนั้นไปซะทุกอย่าง ชี้นกชี้ไม้อะไรก็เชื่อไปหมด”
“น่าสนใจแฮะ ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันล่ะ แล้วฉันรู้จักหรือเปล่า”
“ถ้าแกไม่รู้จัก ฉันว่าแกต้องกลับมาจากกลางเขาหรือไม่ก็ยอดดอยแน่นอน” จีรดาหัวเราะคิกคัก น้ำเสียงก็ดูมีเลศนัย “ผู้ชายคนนี้น่ะโซฮอตมาหลายปีแล้ว”
“อย่างงั้นเชียว” อาริสาตาโต
“แกว่าพี่ติที่ฉันเพิ่งเลิกไปน่ะหล่อไหมล่ะ”
“หล่อและดูดีมาก หน้าที่การงานก็ไม่เลว”
“แต่คนที่ไอ้พิมไปหลงหัวปักหัวปำน่ะดีกว่าพี่ติอีกสิบเท่า”
“ถามจริง!”
“จริงจ้า!” เพื่อนเธอประสานเสียงพร้อมกัน แล้วจึงเป็นจีรดาที่ขอเป็นคนอธิบาย
“คือผู้ชายคนนี้น่ะสมาร์ต แมน รูปหล่อ พ่อรวย จบนอก สุภาพบุรุษ การศึกษาสูง และที่สำคัญคือ…”
“พูดๆๆๆ”
“ลูกโทนจ้า เป็นลูกโทนคนเดียวของตระกูลด้วย!”
เพอร์เฟ็กต์! อย่างนี้ผู้ชายคนนี้ก็เป็นผู้รับมรดกเพียงคนเดียวเลยน่ะสิ
“อย่าให้ไอ้แมนได้เห็นสีหน้าแกตอนนี้เชียวนะ ไม่งั้นหมอนั่นได้คลั่งหาว่าแกคิดจะนอกใจมันแน่”
“โอ๊ย!” เธอร้องเสียงหลง “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจนะ แค่ชื่นชมคุณสมบัติหน่อยเดียวเอง”
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเพื่อนพิมของเธอถึงได้อาการหนักขนาดนี้ แถมยังปิดบังเธอไว้ด้วย หึ! ได้ของแรร์แล้วกั๊กเพื่อนฝูง เพื่อนใจแคบเอ๊ย!
ในตอนนี้รถมินิคูเปอร์สีเหลืองสดของมัชฌิมาก็เลี้ยวผ่านประตูหมู่บ้านที่พิมมาลาพักอาศัย ขณะที่บทสนทนาเกี่ยวกับผู้ชายเนื้อหอมคนนั้นก็มาถึงจุดไคลแมกซ์
“ภิมุข ภูเบศอรรถพงศ์ แกเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า” จีรดาชะโงกหน้าถามเธอที่ตอนนี้ทำตาโตขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อหู
“ภูเบศอรรถพงศ์?”
“เยส”
“ลูกชายคนเดียว?”
“of course”
“โอ้มายก็อด! นี่จิ๊บกับปอจะบอกว่านายภิมุข ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงแพรรัมภาสุดยอดไฮโซเป็นคนหักอกไอ้พิม?!”
“ใช่จ้า” จีรดาตอบรับเสียงใสพร้อมกับที่มัชฌิมาก็จอดรถหน้าประตูรั้วบ้านของพิมมาลาพอดิบพอดี ซึ่งการมาที่บ้านหลังนี้ก็ทำให้พวกเธอรู้ว่าสภาพของพิมมาลานั้นดูไม่จืด
“เราจะช่วยพิมยังไงดีล่ะ” อาริสาหันไปถามเพื่อนอย่างหนักใจ เธอยกมือขึ้นบีบจมูก เหม็นกลิ่นเหล้าเหลือทน
ตอนนี้พวกเธอทั้งสามคนต่างก็ยืนล้อมวงกันอยู่ข้างเตียงนอนเจ้าหญิงของพิมมาลา เพื่อนสนิทที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในแก๊ง
เมื่อยี่สิบนาทีก่อนยายนี่ยังไม่สิ้นฤทธิ์แบบนี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีของพิมมาลาก็ว่าได้ที่พวกเธอมาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นยายนี่คงไม่ใช่แค่นอนสลบหมดสติ แต่คงนอนตายจมกองเลือดไปแล้ว!
คิดแล้วอาริสาก็ยังขนลุกไม่หาย ภาพตอนที่จีรดาซึ่งเดินนำหน้าเธอจู่ๆ ก็วิ่งพรวดเข้าไปคว้ามีดปอกผลไม้ในมือของคนขี้เมาซึ่งนั่งโงนเงนบนพื้นที่มีขวดเหล้าที่ดื่มจนหมดกลิ้งระเนระนาดอยู่เกลื่อนกลาด จีรดาคว้าแขนพิมมาลาได้ก็ยื้อมีดกันไปมา ซ้ายทีขวาทีหวาดเสียวเป็นที่สุด อาริสากลัวเหลือเกินว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งพลาดจนถูกมีดแทง ส่วนมัชฌิมาก็ร้องเสียงหลง ได้แต่สั่งทว่าไม่กล้าเข้าไปช่วย
‘กรี๊ดดดด ไอ้จิ๊บแกอย่าปล่อยมือนะ! ไอ้พิมแกอย่าทำแบบนี้ แกบ้าไปแล้วเหรอ แกทำแบบนี้ผู้ชายคนนั้นเขาก็ไม่กลับมาหรอก!’
อาริสาเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของมัชฌิมา เท่าที่ฟังยายสองคนนี้เล่ามาตลอดทาง อาริสาเองก็เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นไม่มีทางกลับมาแล้ว
‘จริงของปอมันนะ พิมแกต้องตั้งสติก่อน’ เธอเองก็ช่วยโน้มน้าว ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนหวังดึงสติเพื่อน
‘ตั้งสติเหรอ’ พิมมาลาน้ำตาร่วงเป็นสาย ‘ฉันอยากตาย ฉันจะทำให้เขาได้รู้ว่าฉันรักเขามากแค่ไหน แม้แต่ชีวิตของฉันก็ให้เขาได้ คืนมีดมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!’
‘ไม่ให้!’ จีรดาซึ่งแย่งมีดปอกผลไม้ได้สำเร็จรีบวิ่งพรวดไปยืนอีกฟากหนึ่งของห้อง
พิมมาลาน้ำตาร่วงเผาะ แววตาชอกช้ำ ใบหน้าแห้งกร้าน ผมดำที่เคยพลิ้วสลวยบัดนี้ยุ่งเหยิง ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าหดหู่ ไม่เหลือสภาพผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งเก๋อีกแล้ว ทุกคนไม่เคยนึกฝันว่าพิมมาลาจะมีวันนี้ ต่างก็พูดไม่ออก ส่วนพิมมาลาก็ได้แต่คร่ำครวญ
‘ไม่คืนใช่ไหม ได้! ฉันไม่เอามีดก็ได้ พวกแกห้ามฉันไม่ได้หรอก!’
สายตาของพิมมาลาตกอยู่ที่ขวดเหล้าใกล้มือ เจ้าหล่อนเอื้อมมือคว้าคอขวดตั้งท่าจะฟาดกับพื้นห้องหวังใช้เศษขวดเหล้าเป็นอาวุธประหัตประหารตัวเอง
‘ไม่นะ!’ มัชฌิมาซึ่งอยู่ใกล้พิมมาลามากที่สุดรีบโถมตัวเข้าใส่ หวุดหวิดเกือบไม่ทัน ปากก็ร้องลั่น จับพิมมาลาเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน ‘อีพิม! อีบ้า! ชีวิตของแกไม่มีค่าเลยเหรอไง!’
พิมมาลาถูกเขย่าจนมึนไปหมด ทั้งความเศร้า ทั้งแอลกอฮอล์ อาริสาซึ่งยืนมองอยู่ห่างๆ รีบเอ่ยปากเตือนเพื่อน ‘ปออย่าเขย่าไอ้พิม ปอหยุดก่อน!’
‘ไม่หยุด มันควรได้สติสักที’
‘แต่ว่า…’
‘ได้สติหรือยัง แกจะฆ่าตัวตายอีกไหม จะทำร้ายตัวเองอีกไหม ตอบมา!’ มัชฌิมาเขย่าเพื่อนรักไม่ออมแรง
‘ปอพอก่อน สีหน้าพิมไม่ดีแล้ว’
‘ฉันไม่หยุด ตราบใดที่มันยังไม่ได้สติฉันไม่มีวันหยุดเด็ดขาด’
‘แต่ว่า…’
‘หรือแกคิดจะเข้าข้างมันเหรอแอ๊นท์’
‘เปล่านะไม่ใช่ ฉันแค่จะเตือนแกว่า…’
‘อุแหวะ’
‘กรี๊ดดดดด อีพิม อีเลว แกอ้วกใส่ฉัน’ มัชฌิมาร้องเสียงหลง
อาริสาได้แต่พูดอย่างจนปัญญา ‘ฉันถึงได้บอกให้แกหยุดเขย่าตัวมันไงปอ’
พออาเจียนใส่มัชฌิมาจนหมด พิมมาลาก็สลบเหมือด พวกเธอที่เหลือสามคนได้แต่มองเจ้าหล่อนตาปริบๆ โดยเฉพาะมัชฌิมาที่กรีดเสียงจนคอแห้ง ทว่ากลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก็ทำให้เจ้าตัวได้แต่ข่มใจไม่เอามีดสับพิมมาลาเป็นชิ้นๆ ซึ่งอาริสาก็ได้แต่มองมัชฌิมาด้วยความเห็นใจ
กว่าจะลากพิมมาลาขึ้นไปนอนดีๆ บนเตียงได้ก็เล่นเอาเหนื่อยกันไปหมด อาริสามองสภาพเพื่อน หากเธอต้องอกหักเธอจะขอไม่อกหักแบบอนาถอย่างนี้ เธอจะต้องเตรียมการอกหักไว้ให้ดี เอาให้น่าสงสารแบบน่าทะนุถนอมน่าจะดีที่สุด
“ประชุมด่วน” พอทุกอย่างเรียบร้อย มัชฌิมาซึ่งหายไปเช็ดคราบอาหารก็หันมาอัพเกรดตัวเองเป็นผู้นำกลุ่ม กวักมือเรียกพวกเธอสองคนให้ไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก
ท่ามกลางภูเขาขยะที่มีแต่ขวดเหล้า นิสัยรักสะอาดทำให้อาริสาทนไม่ไหว เธอเดินไปคุ้ยหาถุงขยะในครัวเท่าที่จะหาได้ จากนั้นก็เริ่มต้นเก็บกวาดขวดเหล้าในห้องของเพื่อน มัชฌิมากับจีรดามองเธอเดินวุ่นไปทั่ว อาริสาโบกมือเป็นเชิงให้สัญญาณกับเพื่อน เอ้า! จะพูดอะไรก็พูดมาเลย
“ในเมื่อมันกล้าหักอกยายพิมจนอาการหนักขนาดนี้ได้ เราก็ต้องทำให้หมอนั่นสำนึกซะบ้างว่าเวลาอกถูกหักน่ะมันเป็นยังไง” มัชฌิมามองเสื้อกุชชี่ตัวโปรดที่เลอะคราบอาเจียน “ตัวนี้คอลเล็กชั่นใหม่ด้วยนะ ตอนซื้อมาโดนอาปาด่าตั้งเป็นชั่วโมง ฮึ้ย!”
“นี่โกรธแทนยายพิมหรือโกรธแทนกุชชี่ยะ” จีรดาหมั่นไส้ “ตัวนี้แกใส่บ่อยมากเลยนะ ว่าจะล้อแล้ว”
“มันใช่เวลาพูดเล่นเหรอยายจิ๊บ”
“โอเค ฉันผิดเองจ้า เอาผ้าไปเช็ดตรงซอกคอกับหน้าอกแกสักหน่อยเถอะ นั่นใช่เส้นมาม่าหรือเปล่า”
“อี๋!” คนเลอะคราบอาหารร้องลั่น “ฉันไปหาเสื้อใหม่ๆ ในตู้ของยายพิมดีกว่า ถ้าไม่หอมฟุ้งฉันไม่ออกจากบ้านมันจริงๆ ด้วย”
“ก่อนจะไปอาบน้ำแกช่วยพูดให้จบก่อน” จีรดาใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอีกผืนช่วยเช็ดต้นแขนให้เพื่อน “โอ้โห ผิวดีอีกแล้ว นี่เติมวิตามินมาเหรอ”
“คนที่กระทรวงรู้จักคุณหมอผิวหนังที่เพิ่งเปิดคลินิกความงามน่ะ ก็เลยแนะนำฉันมาอีกที”
“ดีอ่า”
“เอาไว้ไอ้พิมดีขึ้นฉันจะลองไปเลียบๆ เคียงๆ ขอโปรโมชั่นดีๆ มาให้พวกแกสามคนก็แล้วกัน จะสวยก็ต้องสวยกันแบบยกแก๊ง”
อาริสารีบพยักหน้า “ของฉันขอแบบคอร์สเจ้าสาวนะ”
แต่เดี๋ยวนะ เวลานี้มันใช่เวลามาถามหาวิธีเพิ่มความสวยกันเหรอ
แก๊งของพวกเธอแบ่งกันเป็นสี่แบบ พิมมาลาสาวสวยที่สุดในแก๊งนั้นเป็นสาวโหมดเซ็กซี่แสนซน เจ้าหล่อนเปิดโมเดลลิ่งกับนางแบบรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน มัชฌิมาสาวหมวยขาวอวบอยู่ในโหมดอึ๋มและนวลเนียนที่สุดในแก๊ง เจ้าหล่อนทำงานเป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข จีรดาผู้หญิงหุ่นดีที่สุด โฉบเฉี่ยวที่สุด และมั่นใจที่สุดเป็นทันตแพทย์ และเธอ…อาริสา เพื่อนตัวเล็กรูปร่างบอบบาง ผู้ชายเห็นก็อยากถนอมไว้ในอุ้งมือ เปิดร้านกาแฟ
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนเห็นตรงกันว่าจะแก้แค้น เราก็ต้องหาคนที่เหมาะสมกับปฏิบัติการนี้ซะก่อน” ในฐานะผู้ตั้งตนเป็นหัวหน้าแก๊ง มัชฌิมาก็เลยนั่งอยู่หัวโต๊ะ ตอนนี้ตัวหอมฟุ้ง วงหน้ารูปไข่ก็เลยค่อยมีรอยยิ้มหมายมาด
“แล้วแกจะไปหาใครล่ะ” อาริสาถามคำถามที่สำคัญที่สุด “คนคนนั้นต้องเป็นคนที่นายภิมุขไม่รู้ว่ารู้จักกับพวกเราและก็ต้องสวยเซ็กซี่แบบยายพิม ว้าว! แค่คิดเรื่องแก้แค้นฉันก็คันไม้คันมือแล้วล่ะ”
“นั่นสิ จะไปหาได้ที่ไหนนะ” จีรดาเคาะโต๊ะ “สวยแบบพิมพ์นิยมอย่างยายพิม แบบที่ผู้ชายรวยๆ จะชอบ…อืม…ต้องเซ็กซี่ด้วยแต่ต้องไม่ดูโลว์ด้วย ดูแพงได้ยิ่งดี อืม…เฮ้ย!”
“ร้องทำไม ฉันตกใจหมดเลย” คนขวัญบินอยากตีเพื่อน ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วที่อาริสาไม่ชอบเสียงดังๆ เอะอะโวยวาย
“ก็ฉันนึกได้แล้วนี่ว่าจะหาผู้หญิงแบบนั้นมาจากที่ไหน” จีรดาพูดอย่างมีความหมายพลางหันไปขยิบตากับมัชฌิมาที่ค่อยๆ ยิ้มกว้าง
“ใครล่ะใคร ทำไมพวกแกทำหน้าเหมือนรู้คำตอบแล้ว ทำไมฉันยังนึกไม่ออกล่ะ นี่ๆ บอกหน่อยสิ เฉลยมาเถอะ”
โอ๋ย ตื่นเต้น คันไม้คันมือสุดๆ เรื่องนี้ไม่เหมือนการแอบไปพิจารณาแฟนเพื่อนเป็นการส่วนตัวนะ แต่มันลึกล้ำกว่านั้น สนุกกว่านั้น ซับซ้อนกว่านั้น นี่มันเป็นปฏิบัติการหักอกผู้ชายเลยนะ
คนผิวขาวตัวเล็กตัวน้อยมองเพื่อนที่นั่งอยู่ทางซ้ายที มองเพื่อนที่นั่งอยู่ทางขวาที นิ้วเรียวสวยประสานกันที่หน้าอกอย่างตื่นเต้น ตากลมโตสีดำเหมือนเม็ดเกาลัดเวลานี้เปล่งประกายวาววับ ซอยเท้าเร่งเร้า
“บอกฉันมาน้า บอกช้านนนน”
“ก็แกไง นังแอ๊นท์!”
“โอ้ๆ ฉันเหรอ ฉัน…เฮ้ย! ไม่นะ!”
คนอยากรู้ส่ายหน้าอย่างช็อกสุดขีดทันทีที่ได้รับคำตอบ อาริสาปัดนิ้วชี้ของเพื่อนทั้งสองที่ชี้มายังตัวเธอราวกับมันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดเท่าที่เคยพบ ผู้หญิงอ่อนหวาน เรียบร้อย ใสซื่อ (ต่อหน้าพ่อกับแม่และคู่หมั้น) อย่างเธอเนี่ยนะจะแปลงร่างเป็นสาวสุดเซ็กซี่แบบยายพิมได้?!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.