บทที่ 2
เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำค้างนำพาให้เกิดน้ำท่วมภูเขา
การแอบรักคือการคุยเรื่องไม่มีสาระสำคัญอะไรกับเธอ แต่คุยเรื่องของเธอกับสายลมที่พัดผ่าน
‘บันทึกของสัตว์ประหลาดตัวน้อย’
สำหรับคำว่า ‘เพื่อนร่วมโต๊ะ’ ตั้งแต่โบราณก็เป็นอะไรที่ฟังดูคลุมเครือ
ทุกชั้นเรียนมักจะมีเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างน้อยหนึ่งคู่ นั่งไปก็รักกัน วัยเยาว์จีบกันนานนับปี แต่พัดผ่านไปเหมือนควันในพริบตา หลายปีผ่านไปติงเซี่ยนยังจำเหตุการณ์กระอักกระอ่วนที่คู่รักในชั้นเรียนสมัยนั้นต่างพาคู่รักใหม่ของตัวเองมาเจอกันในงานเลี้ยงรุ่นได้ดี แต่คิดไม่ถึงว่าที่กระอักกระอ่วนที่สุดก็คือเธอกับคุณชายที่นั่งข้างๆ เธอคนนี้
แต่นี่เป็นเรื่องที่จะกล่าวถึงทีหลัง
ตั้งแต่เย็นนั้นเป็นต้นมา ทั้งคู่ก็กลายเป็น ‘เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำค้าง’ อย่างเป็นทางการ ติงเซี่ยนแอบสังเกตดูเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง จากนั้นก็พบว่าการที่ผู้ชายคนนี้สอบได้หกร้อยเจ็ดสิบคะแนนก็ถือเป็นเทพแล้วจริงๆ เพราะในคาบเรียนเขาเอาแต่อ่านหนังสือนอกเวลา เวลาเลิกเรียนก็พิงพนักเก้าอี้คุยเล่นกับคนอื่น เลิกเรียนก็ไปเตะบอล หลังจากทำการบ้านวันนั้นๆ ในคาบทบทวนบทเรียนช่วงเย็นเสร็จก็อ่านหนังสือนอกเวลาต่อ
หนังสือที่โจวซือเยวี่ยอ่านมีหลากหลายประเภทมาก มีทุกประเภทผสมปนเปกันไปหมด ที่แปลกที่สุดก็คือเธอเคยเห็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งบนโต๊ะเขาชื่อว่า ‘Fancy Coffins to Make Yourself’
เธอแอบจดชื่อหนังสือไว้และกลับไปค้นพจนานุกรมในช่วงค่ำถึงได้รู้ว่าชื่อของหนังสือเล่มนั้นคือ ‘วิธีสร้างโลงศพเหมือนฝันให้ตัวเอง’
วันรุ่งขึ้นเธอก็เห็นหนังสืออีกเล่มบนโต๊ะเขา ชื่อว่า ‘อาหารเลิศรสในโลกมนุษย์’
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นนักชิมด้วย
ในฐานะคุณชายโจวผู้มีความรู้กว้างขวาง อ่านหนังสือหลากหลายประเภท แน่นอนว่ากลไกสมองของเขาย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างติงเซี่ยนจะเข้าใจได้
หนังสือเรื่อง ‘อาหารเลิศรสในโลกมนุษย์’ ถูกเปิดอ่านไปครึ่งหนึ่ง และวางเปิดไว้โจ่งแจ้งบนโต๊ะ ติงเซี่ยนแอบชะโงกไปดู เจอประโยคแรกก็ทำให้เธออยากจะอาเจียนทันที
‘ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร มีช่วงหนึ่งที่ชีสรสชาติหนึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย คนที่เคยกินต่างก็ลืมรสชาตินั้นไม่ได้ ดังนั้นจึงมักกลับไปที่ร้านเล็กๆ ร้านนี้เป็นประจำ แต่ไม่นานนักร้านดังกล่าวก็ถูกปิด หน้าประตูมีป้ายประกาศของทางการติดไว้ว่าในชีสนั้นใส่ปัสสาวะของหญิงสาวลงไป จึงทำให้รสชาติมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ
ในตอนนั้นทุกคนต่างพากันอาเจียนแทบจะไม่ทัน แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้คนกลับหยุดคิดถึงกลิ่นคาวนั้นไม่ได้’
ติงเซี่ยนอ่านแล้วแทบจะอาเจียน เธอใช้นิ้วมือสองนิ้วจับมุมของหนังสือพลิกไปมาอย่างรังเกียจประหนึ่งว่าหนังสือเล่มนี้เปื้อนปัสสาวะของหญิงสาว
หน้าในหนังสือเปิดไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นด้านหลังของเธอก็มีเสียงไอไม่เบาไม่หนักดังขึ้น
หญิงสาวผู้แอบ ‘ขโมย’ อ่านรีบปล่อยมือทันที หนังสือลอยกลับไปอยู่บนโต๊ะเช่นเดิม ติงเซี่ยนค่อยๆ หันหลังก็เห็นคุณชายโจวยืนเอามือสองข้างล้วงกระเป๋าอยู่ พิงกรอบประตู มองมาที่เธออย่างจะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง และเขาก็ยิ้มอยู่เช่นนี้
แม่นายไม่ได้สอนนายเหรอว่าคนที่หน้าตาดีต้องยิ้มให้น้อยหน่อย ถ้าฉันชอบนายขึ้นมา นายรับผิดชอบไหวมั้ย
“ทำไม เธอสนใจหนังสือเล่มนี้เหรอ” เขาเดินเข้ามาดึงเก้าอี้นั่งลงแล้วถามอย่างไม่ใส่ใจ
ติงเซี่ยนกระแอมทีหนึ่ง “เปล่า” พอพูดจบเธอก็เขยิบกลับไปยังที่ของตัวเอง คิดไปคิดมาก็เงยหน้าพูดใส่เขาไปอีกคำ “โรคจิต”
โจวซือเยวี่ยหัวเราะล้อเลียนเบาๆ ดูเหมือนน่าจะเข้าใจว่าเป็นเพราะเธออ่านเนื้อหาท่อนนั้น แต่ก็ขี้เกียจจะอธิบายให้เธอฟังว่าที่จริงแล้วหนังสือเล่มนี้พูดถึงอะไร ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาพยายามทำตัวเป็นอริกับเขายิ่งสนุกเป็นพิเศษ บางครั้งเขาก็อดแกล้งเธอไม่ได้
นอกจากนั้นนั่งร่วมโต๊ะกับเธอก็ไม่เรื่องมากดี เธอไม่พูดมากและไม่มีแรงกดดันอะไร แถมเธอยังเป็นคนมองโลกในแง่ดีอีกด้วย แก้โจทย์โจทย์เดียวก็ยิ้มโง่ๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน บางทีเขาเห็นแล้วก็รู้สึกขำ
โจทย์ง่ายๆ นั่นเขาแก้ได้ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นแล้ว แต่นี่เธอกลับทดในกระดาษหนึ่งหน้าเต็มๆ สุดท้ายยังคำนวณผิดอีก โง่จริงๆ
แต่ในฐานะ ‘เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำค้าง’ คุณชายโจวจึงตัดสินใจช่วยชี้แนะให้เธอ เขางอนิ้วชี้และเคาะที่โต๊ะเธอเบาๆ
“ไม่ใช่ ฉันจะบอกให้นะ นิสัยการจดทุกอย่างลงในสมุดของเธอเนี่ย ถ้ายังทำต่อไปจะถูกคัดออกจากห้องเรียนดีเร็วๆ นี้ล่ะ”
เขาเป็นคนพูดจาตรงๆ มาโดยตลอด ไม่รู้จักอ้อมค้อม กับคนอื่นอาจจะอ้อมค้อมได้นิดหน่อย แต่กับคนที่สมองไม่ดี ถ้าเขาอ้อมค้อม เธอจะเข้าใจเหรอ
โรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานยังใช้ระบบการคัดออก หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ คนที่ได้สิบอันดับสุดท้ายจะถูกคัดออกไปอยู่ห้องธรรมดา นี่ไม่ใช่การขู่ แต่เป็นกฎที่ใช้มาทุกรุ่น ที่จริงแล้วแทนที่จะเรียกว่าห้องเรียนดี ต้องเรียกว่าห้องเตรียมเรียนดีน่าจะถูกต้องกว่า สุดท้ายเมื่อคัดคนออกจนเหลือไม่เกินสี่สิบคนก็จะแบ่งเป็นสายวิทย์กับสายศิลป์ และที่เหลือถึงจะเป็นหัวกะทิของห้องเรียนดีอย่างแท้จริง
สำหรับติงเซี่ยน ที่จริงก็ค่อนข้างน่าหวาดเสียว เพราะคะแนนสอบเข้าของเธออยู่อันดับที่สามสิบแปดเท่านั้น ส่วนคุณชายน้อยคนข้างๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คะแนนของเขาแค่คาบเส้นมานิดเดียว การได้เข้ามาอยู่ห้องเรียนดีได้ก็เท่ากับเป็นการเปิดโลกสำหรับเธอแล้ว
ตอนแรกยังคิดว่าคุณลุงโจวยัดเงินเสียอีก แต่ตอนหลังเธอได้ยินคนพูดกันว่าคนที่เรียนจบมัธยมต้นที่นี่แค่สอบผ่านเกณฑ์ก็จะได้เข้าห้องเรียนดีทันที นอกจากนั้นก็ไม่มีวันถูกคัดออกด้วย
นี่มันกฎบ้าอะไร
ต่อมาเธอได้ยินว่าค่าเล่าเรียนโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานเทอมละหนึ่งหมื่นหยวน เด็กที่เรียนที่นั่นล้วนเป็นพวกคนรวยทั้งนั้น
ก็จริง ไม่อย่างนั้นคุณชายน้อยคนนี้จะเอาหนังสืออ่านนอกเวลามาจากไหนมากมายขนาดนั้น ความจริงแล้วเธอก็ชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ค่อยได้ซื้อ ทุกครั้งจะไปนั่งยองๆ อ่านฟรีที่ร้าน พออ่านจบก็เก็บเข้าที่อย่างระมัดระวัง กลัวจะโดนปรับค่าทำชำรุด
ติงเซี่ยนรู้สถานะของตนเองดี แต่เมื่อเจอคนตำหนิตรงๆ แบบนี้ เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนไหว จึงทนไม่ได้จนหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ดวงตาทั้งสองจ้องโจวซือเยวี่ยเขม็งแล้วกัดฟันกรอดพูด
“ถ้าฉันสามแปด นายก็สี่ห้า มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน”
พอเธอโมโหก็มักจะย่อคำ เกร็งคอแข็งและขึ้นเสียงทันที ดังนั้นคำว่า ‘ฉันสามแปด’* ก็หลุดออกจากปากเช่นนี้
โจวซือเยวี่ยอึ้งงันมองเธอทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าเกร็งท้องหัวเราะ ปรากฏว่ากลุ่มเพื่อนนักเรียนกลุ่มเล็กๆ ข้างๆ ต่างก็ได้ยิน สายตาสิบกว่าคู่จึงมองไปที่ติงเซี่ยนและพากันหัวเราะเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง
ส่วนโจวซือเยวี่ยก็เปลี่ยนมาหัวเราะเสียงดังอย่างขบขันไม่ไหว แถมยังพยักหน้าเห็นด้วยอีก
สุดท้ายติงเซี่ยนจึงได้สติกลับมา นอนฟุบบนโต๊ะอย่างอับอาย เอาศีรษะซุกที่ข้อพับแขน อยากจะหาหลุมมุดหนีไป
ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมาว่า “ซือเยวี่ย เพื่อนร่วมโต๊ะนายตลกดีเหมือนกันนะ”
ติงเซี่ยนทำเป็นไม่ได้ยิน ซุกหน้านิ่ง แต่ได้ยินคนข้างๆ เอ่ยคำพูดมีนัยเสียดสีด้วยน้ำเสียงเวทนา
“ขอโทษด้วยนะ อย่าถือสาเรื่องน่าขันเลยนะ”
ใครอนุญาตให้นายขำกัน
ได้รับการอนุญาตจากฉันแล้วเหรอ นายน่ะสิน่าขัน นายรู้มั้ยว่า ‘น่าขัน’ หมายความว่าอะไร
เพื่อนนักเรียนพากันหัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่โชคดีที่กริ่งเข้าเรียนดังขึ้นเสียก่อน จึงเงียบลงได้ในที่สุด
ครูวิชาคณิตศาสตร์ใส่รองเท้าส้นสูงเดินส่งเสียงก๊อกๆๆ ที่ระเบียงเข้ามาทางประตู เอาหนังสือวางที่แท่นบรรยายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“มาจ้ะ นักเรียน เปิดหนังสือบทที่สาม”
โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองติงเซี่ยนที่กำลังฟุบอยู่ หน้าแดงจนถึงลำคอ ทำไมถึงได้แดงง่ายขนาดนี้
“พอแล้ว ไม่มีคนมองเธอแล้ว ได้เวลาเรียนแล้ว” พูดไปพร้อมกับเปิดหนังสือ ‘อาหารเลิศรสในโลกมนุษย์’ ของเขา
ติงเซี่ยนเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ เผยให้เห็นดวงตาที่สดใส เธอมองไปรอบๆ หลังจากนั้นก็เห็นคุณชายน้อยคนนั้นกำลังมองเธอกึ่งยิ้ม
เธอค้อนเขาทีหนึ่ง นั่งตัวตรงแล้วหยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ในลิ้นชักออกมา เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน แต่ลิ้นชักเต็มไปด้วยสมุดจด แถมยังติดโพสต์อิตหลากสีเอาไว้มากมาย
ครูผู้หญิงบนแท่นบรรยายเขียนบนกระดานอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ลายมือสวยเหมือนเจ้าตัว
“วันนี้ครูจะสอนเรื่องอินเตอร์เซกชั่นและยูเนียน”
ติงเซี่ยนหยิบปากกาจดยิกๆ โจวซือเยวี่ยส่ายหน้า เบ้ปาก ขี้เกียจยุ่งกับเธอ ดังนั้นจึงเปิดหนังสือของตัวเอง
จบไปหนึ่งวิชา ติงเซี่ยนก็จดจนเต็มเล่มเต็มหน้าไปหมด
ไม่ทันระวังจึงทำให้เด็กสาวโต๊ะข้างหน้าหันมาเห็นเข้าและทักเธอด้วยความแปลกใจ
“ติงเซี่ยน เธอจดไวจัง เรียนคาบเดียวเขียนได้เยอะขนาดนี้?”
ต้องอย่างนี้สิ! นักเรียนดีๆ พอเห็นบันทึกของเธอก็ควรต้องตกตะลึงว่าเธอจดสิ่งที่ครูพูดได้ครบถ้วนขนาดนี้ได้อย่างไรถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ
เด็กสาวโต๊ะข้างหน้าชื่อข่งซาตี๋ สอบเข้ามาด้วยคะแนนหกร้อยแปดสิบคะแนน อยู่อันดับที่สี่สิบ ทั้งคู่เป็นเด็กสาวที่อยู่ในโซนกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน พอรู้จักกันก็สนิทกันง่าย เข้ากันได้ดี ไม่นานก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานของติงเซี่ยน
“ไปเข้าห้องน้ำด้วยกันเถอะ!” ข่งซาตี๋ชวนเธออย่างเป็นมิตร
“เอาสิ!” ติงเซี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือกันไปเข้าห้องน้ำอย่างสนิทสนม
แน่นอนว่าโจวซือเยวี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าจากประโยคของเด็กสาวที่ว่า ‘เธอจดไวจัง’ จนถึง ‘ไปเข้าห้องน้ำด้วยกันเถอะ’ ใช้เวลารวมแค่สามนาที แต่ทำไมจู่ๆ ถึงสนิทกันขึ้นมาได้อย่างนี้
แต่เขาก็ไม่ได้อยากทำความเข้าใจแต่อย่างใด
ซ่งจื่อฉีเพื่อนร่วมโต๊ะของข่งซาตี๋ก็ไม่เข้าใจ หันหลังไปถามอย่างสงสัย
“กลไกสมองของผู้หญิงมันง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ”
โจวซือเยวี่ยเหยียดขายาว หลังพิงพนักเก้าอี้ โยกเก้าอี้ไปด้านหลัง ก้มหน้าเปิดหนังสือในมือแล้วพูดโดยไม่เงยหน้า
“ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่กล้าพูดหรอกนะ” เขาเงยหน้า ใช้คางพยักพเยิดไปยังที่นั่งของติงเซี่ยน “แต่คนไม่เต็มแบบนี้ไม่มีกลไกสมองหรอก ในหัวมีเส้นสมองแค่เส้นเดียวเท่านั้นแหละ”
ซ่งจื่อฉีมองเขาอย่างแปลกใจ “ถ้าคิดแบบนี้ แสดงว่านายคงไม่ได้ชอบเธอสินะ”
โจวซือเยวี่ยยิ้มแล้วหยิบหนังสือบนโต๊ะโยนไปที่เขา “ชอบเธอ? ชอบนายยังดีซะกว่า”
ซ่งจื่อฉีเอียงศีรษะหลบ ทำให้หนังสือตกลงพื้นเสียงดังพั่บ “โอเคๆ”
ขายาวๆ ของโจวซือเยวี่ยลอดผ่านใต้โต๊ะมาเตะเก้าอี้ซ่งจื่อฉี “หันกลับไป!”
ซ่งจื่อฉีเก็บหนังสือขึ้นมาอย่างรู้ตัวและเอามาวางให้เขาอย่างดี
“เมื่อกี้เจี่ยงเฉินบอกว่าเลิกเรียนจะไปเตะบอล”
“อือ”
ซ่งจื่อฉีนอนฟุบบนโต๊ะของเขาและถามต่อ “พวกนายยังไม่ได้ถอนหมั้นกันเหรอ”
“ยัง” โจวซือเยวี่ยตอบเสียงเรียบๆ
“แล้วนายจะยังถอนอยู่มั้ย”
“ถอน” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นมาก จากนั้นเขาก็เปิดหนังสือไปอีกหน้าหนึ่ง ทำท่าราวกับกำลังตอบคำถามง่ายๆ จำพวกกินข้าวหรือยัง
“ก็จริงอยู่นะ ดูไปแล้วเธอไม่ใช่แบบที่นายชอบ จริงๆ ฉันคิดว่าสาวน้อยคนนี้ก็ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนที่เห็นที่บ้านวันนั้น แต่หลักๆ ก็คือแม่ของเธอ ความจริงเธอก็น่ารักดีนะ นายดูสิ เมื่อกี้นี้เธอ…” จากนั้นซ่งจื่อฉีก็เลียนแบบท่าทางของติงเซี่ยนเมื่อครู่ ดัดเสียงแล้วพูดขึ้น “ฉันสามแปด น่ารักออก ไม่มีพิษมีภัยเลย”
ครั้งนี้เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ปรากฏว่าพอพูดจบก็เห็นติงเซี่ยนควงแขนข่งซาตี๋ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนหน้านี้เด็กสาวยังยิ้มอยู่ วินาทีต่อมาเมื่อเห็นเขา เธอก็หน้าคว่ำทันที
ซ่งจื่อฉีหันกลับไปอย่างกระอักกระอ่วน
ติงเซี่ยนปล่อยมือข่งซาตี๋และดึงเก้าอี้ออกมานั่งด้วยสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ หลังจากนั้นก็เอาหนังสือกับเครื่องเขียนทั้งหมดที่วางไว้ข้างๆ โจวซือเยวี่ยย้ายไปวางอีกฝั่ง และขยับโต๊ะตัวเองไปยังอีกฝั่งด้วย ตรงกลางระหว่างโต๊ะเหลือช่องว่างไว้ราวกับขีดเส้นแบ่งกับเขาอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นก็ขยับเก้าอี้ไปยังอีกฝั่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่โดนของของโจวซือเยวี่ย เมื่อสบายใจแล้วก็คุยเรื่องการจดบันทึกกับข่งซาตี๋อย่างสนิทสนมต่อ
โจวซือเยวี่ยเข้าใจว่าเธอเอาอารมณ์โกรธมาลงที่เขา เขาจึงเลิกคิ้วพลางยิ้ม และจู่ๆ ก็พูดขึ้น “ซ่งจื่อฉี”
คนตรงหน้าหันมาอย่างเชื่อฟัง “ฮะ?”
โจวซือเยวี่ยดึงขาเข้ามา เก้าอี้จึงกลับมาตั้งบนพื้นเสียงดังปึง เขาปิดหนังสือในมือและโยนไปบนโต๊ะพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มแข็งๆ
“นายมาปลอบเพื่อนร่วมโต๊ะฉันหน่อย ถ้าปลอบจนเธออารมณ์ดีได้ เย็นนี้เตะบอล ฉันยอมต่อให้นายสามลูก”
ติงเซี่ยนที่กำลังคุยเรื่องจดบันทึกกับข่งซาตี๋อยู่อึ้งไป รู้สึกว่าสมองน่าจะเสื่อมไปแล้ว ขณะนั้นทำไมเธอถึงได้ยินว่า…
มา มาปลอบแฟนฉันหน่อย
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจริงๆ
“ยายสัตว์ประหลาด ขอโทษนะ”
ซ่งจื่อฉีเหมือนได้รับใบสั่งจริงๆ เขาหันกลับมาและพูดกับติงเซี่ยนด้วยสีหน้าจริงใจ ท่าทางรู้สึกผิดจนทำให้ข่งซาตี๋เห็นแล้วสงสาร
ข่งซาตี๋เขย่าแขนติงเซี่ยนที่วางอยู่บนโต๊ะและขอร้องเธอเสียงเบา “เซี่ยนเซี่ยน เธอยกโทษให้เขาเถอะนะ”
ติงเซี่ยนมองไปที่ข่งซาตี๋โดยไม่พูดอะไร ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำว่ามาปลอบแฟนฉันหน่อย ทำให้เธอรู้สึกอับอายเหลือเกิน
ไม่รอให้เธอพูด คุณชายโจวที่เปิดหนังสืออ่านอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่เงยหน้า
“เอาคำข้างหน้าออกไปแล้วพูดใหม่”
ซ่งจื่อฉีถลึงตามอง อยากถามว่ามันต้องถึงขั้นนั้นมั้ย เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายสักหน่อย แต่สีหน้าของคุณชายน้อยคนนั้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นายปลอบให้เธออารมณ์ดีก็แล้วกัน’ ซ่งจื่อฉีจึงทำปากจู๋ จากนั้นก็เอ่ยปาก
“ติงเซี่ยนเพื่อนรัก…” แต่ยังพูดไม่ทันจบ ติงเซี่ยนก็ตัดบทเสียงเบา
“มะ…ไม่ต้องแล้ว…ฉันยกโทษให้นาย”
แสงแดดร้อนระอุสาดเข้ามาทางหน้าต่าง แสงนั้นส่องลงบนตัวเธอ ผมดูสว่างเป็นประกายเงางาม ขอบหูแดงก่ำ น้ำเสียงอ่อนโยน
ซ่งจื่อฉีมองโจวซือเยวี่ยพลางยักคิ้วเล็กน้อย
ติงเซี่ยนพูดดังขึ้น กลัวว่าจะมีคนไม่ได้ยิน “ฉะ…ฉันเห็นแก่ซาตี๋นะ” เมื่อพูดจบก็รีบก้มหน้าอย่างรวดเร็ว แกล้งพลิกหนังสือบนโต๊ะมือไม้เป็นพัลวัน
ซ่งจื่อฉีพยักหน้า “ฉันเข้าใจ” เมื่อพูดจบก็จงใจชำเลืองมองโจวซือเยวี่ยพร้อมพูดขึ้นมา “ฉันจะขอบคุณเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันเป็นอย่างดี แต่ยังไงก็ตามฉันคิดว่ามีบางอย่างที่ควรอธิบายให้เธอเข้าใจ ที่บ้านซือเยวี่ยวันนั้น บางทีอาจเป็นเพราะแม่ของเธอที่ทำให้พวกเรารู้สึกแย่ๆ กับเธอ แต่ต่อจากนี้ทุกคนต้องเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน ฉันไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น ส่วนตัวฉันไม่ได้มีอคติกับเธอนะ” หลังจากนั้นก็ยิ้มให้ข่งซาตี๋และพูดอย่างสนิทสนม “มา เพื่อนร่วมโต๊ะ พวกเราหันกลับมาเถอะ”
ข่งซาตี๋หน้าแดงจากประโยคที่ว่า ‘พวกเราหันกลับมาเถอะ’ เธอจึงกอดสมุดหันกลับไปอย่างเขินอาย ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองหน้ามึน หันกลับไปมองติงเซี่ยนอีกครั้งอย่างงงๆ เพราะหน้าของเธอก็แดงเช่นกัน
นิสัยคิดเล็กคิดน้อยของผู้หญิงในวัยนั้น สำหรับผู้ชายแล้วมันช่างแปลก ยากแท้หยั่งถึง เหมือนกับท่าทางของข่งซาตี๋ในตอนนี้ ในหัวของซ่งจื่อฉีก็มีแต่คำว่า ‘ป่วย’
ยิ่งโจวซือเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ เห็นๆ อยู่ว่าตัวเขาเองเป็นคนบอกให้ซ่งจื่อฉีขอโทษติงเซี่ยน แต่ทำไมกลายเป็นว่าเห็นแก่หน้าข่งซาตี๋ ยิ่งไปกว่านั้นพอซ่งจื่อฉีขอโทษติงเซี่ยน เธอกลับหน้าแดงเสียอย่างนั้น
ตอนแรกที่เธอบอกว่าจะไม่ยอมถอนหมั้น หน้าออกจะหนาไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้หน้าบางเหมือนกระดาษเสียแล้วล่ะ
อารมณ์ในวัยเยาว์เหมือนสุรา ตอนเพิ่งเริ่มลิ้มรสไม่รู้สึกอะไร พอนานเข้าและย้อนกลับไปนึกถึงก็มักจะเจอร่องรอยของความทรงจำที่แปลกประหลาด ในตอนนั้นวัยรุ่นที่มีไอคิวค่อนข้างสูงทั้งสองคนได้แต่เพียงให้คำจำกัดความผู้หญิงไว้ว่าเป็นอะไรที่คุยกันไม่รู้เรื่อง
อากาศร้อนแสงอาทิตย์สาดส่อง โรงเรียนร้อนอบอ้าวราวกับซึ้งนึ่ง จักจั่นนอกหน้าต่างส่งเสียงร้องอย่างอารมณ์ดี ต้นไม้สูงเสียดฟ้าแย้มยิ้ม
น่าจะตั้งแต่ตอนนั้นที่ติงเซี่ยนเริ่มหันมาสนใจโจวซือเยวี่ย
แทบจะทุกชั้นเรียนล้วนมีคนสองจำพวก พวกเรียนเก่งที่เรียนอยู่ตลอดเวลา และพวกเรียนไม่เก่งที่คอยก่อกวนตลอดเวลา
ในห้องนี้ก็มีคนสองจำพวกเช่นกัน แต่เป็นพวกเรียนเก่งที่ขยันเรียน และพวกเรียนเก่งที่ไม่ตั้งใจเรียน
และโจวซือเยวี่ยเป็นพวกหลัง
หลังเลิกเรียน วันๆ เรื่องที่เขาคุยกับคนอื่นก็มีแต่เรื่องบาสเกตบอล ฟุตบอล เอ็นบีเอ* เกม บางครั้งก็คุยเรื่องทหาร โดยสรุปก็คือไม่ทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียน แต่บางครั้งพอมีคนถามโจทย์คณิตศาสตร์เขา เขาก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
เขาเก่งวิชาคณิตศาสตร์มากเป็นพิเศษ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีโจทย์ไหนที่เขาทำไม่ได้ โจทย์บางข้อแค่กวาดสายตาเขาก็รู้คำตอบแล้ว
แต่เขาขี้เกียจมาก หากเปิดเจอโจทย์เก่าที่เคยทำแล้วก็จะโยนสมุดทิ้งเลย อันที่ยังไม่เคยทำก็จะเขียนลำดับขั้นตอนการคำนวณไว้
ช่วงพักกลางวันวันนี้ข่งซาตี๋ถือกล่องอาหารมาเล่าความลับที่รู้มาจากซ่งจื่อฉีให้เธอฟัง วางตะเกียบลง ตั้งใจจะยั่วให้ติงเซี่ยนอยากรู้
“ฉันมีข่าวมาบอก เธออยากฟังมั้ย”
“ข่าวอะไรเหรอ พรุ่งนี้หยุดเหรอ”
ข่งซาตี๋ร้อง “ไอ้หยา ทำไมเธอไม่รักเรียนขนาดนี้เนี่ย ฟังนะ นี่มันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ”
สุดท้ายก็ดึงความสนใจของติงเซี่ยนได้สำเร็จจริงๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาจากกล่องข้าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางลึกลับและมีนัยซ่อนเร้นของเพื่อนก็รู้สึกว่าตัวเองมีปฏิกิริยาอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป ดังนั้นจึงกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อนและก้มหน้าต่อ เคาะตะเกียบเป็นระยะๆ แสร้งทำเป็นถามโดยไม่ตั้งใจ
“ข่าวอะไรเหรอ”
ข่งซาตี๋จงใจแกล้งเธอ “เธอตอบคำถามฉันมาข้อนึงก่อน”
ติงเซี่ยนเงยหน้าอีกครั้ง “คำถามอะไร”
ข่งซาตี๋ยิ้ม “เธอชอบโจวซือเยวี่ยใช่มั้ย”
ข้าวติดอยู่ที่คอไม่ยอมลงสักที ติงเซี่ยนไอออกมาอย่างแรง ใบหน้าเล็กๆ แดงไปหมด ข่งซาตี๋ตกใจจึงรีบส่งน้ำของตัวเองให้เธอ
“ไม่น่านะ แค่เอ่ยชื่อธรรมดาๆ เธอก็ถึงขนาดทนไม่ได้เลยเหรอ”
ติงเซี่ยนใช้เวลาอยู่นานกว่าจะไอจนกลืนข้าวในคอคำนั้นลงไปได้ จากนั้นก็เงยหน้ากินน้ำติดต่อกันหลายอึกแล้วหันหน้าไปข้างๆ
“ฉันไม่ได้ชอบเขา หน้าที่ของพวกเราตอนนี้คือเรียนหนังสือ”
เวลาพูดสายตาของเธอชำเลืองไปข้างๆ บังเอิญเห็นโจวซือเยวี่ยกับพวกเจี่ยงเฉินนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่พอดี พวกเขากำลังพูดคุยหัวเราะกันโดยมีซ่งอี๋จิ่นนั่งอยู่ด้วย
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเลือกกิน ทั้งยังกินข้าวคำใหญ่และรวดเร็ว ไม่มีโรคลูกคุณหนูติดตัวสักนิด
โจวซือเยวี่ยกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าเบื้องหน้ามีสายตาอันร้อนระอุจ้องมองมา เขาเงยหน้ากวาดตาไปรอบๆ อย่างมึนงง ทันใดนั้นสายตาทั้งคู่ก็ประสานกันกลางอากาศพอดี
ติงเซี่ยนรีบหันไปทางอื่น ปิดฝาแก้วน้ำและวางไว้ข้างๆ จากนั้นก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ แต่พอหยิบตะเกียบขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ
หลบทำไมกัน ตัวเองไม่บริสุทธิ์ใจงั้นเหรอ ยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผยไปเลยสิ สง่างามอย่างภาคภูมิ จะต้องไปกลัวใครที่ไหนกัน
ดังนั้นเธอจึงหันกลับไป ส่งยิ้มให้โจวซือเยวี่ย ยิ้มอย่างที่เธอคิดว่าเปิดเผยและตรงไปตรงมาที่สุด
โจวซือเยวี่ยอึ้งไปสักพัก จู่ๆ ก็ยักไหล่หัวเราะทีหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าคุณชายเหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าเจี่ยงเฉินที่อยู่ตรงข้ามกำลังถามว่าเขาหัวเราะอะไร โจวซือเยวี่ยที่หลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ขายาวๆ ของเขาเหยียดยาวอยู่ใต้โต๊ะ ใช้คางพยักพเยิดไปทางติงเซี่ยน เจี่ยงเฉินและซ่งจื่อฉีจึงพากันมองมาทางนี้
วินาทีต่อจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะระเบิดออกมาอย่างพร้อมเพรียงพักหนึ่ง
ติงเซี่ยนแปลกใจ กำลังจะหันไปดูก็ได้ยินข่งซาตี๋พูดอย่างลังเล “เซี่ยนเซี่ยน เธอมีผักติดฟัน”
หลายปีหลังจากนั้นมีคนถามในจือฮู[1] ว่าใจที่เหลือเพียงเศษเถ้าถ่านเป็นความรู้สึกอย่างไร
ติงเซี่ยนตอบไปว่าช่วงกลางวันที่แสงอาทิตย์สดสวย กินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียนแล้วบังเอิญเจอคนที่แอบชอบ จึงส่งยิ้มที่ตนเองคิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดให้เขา แต่เพื่อนสนิทกลับบอกว่า ‘เธอมีผักติดฟัน’
ความทรงจำมักจะมีการปรุงแต่งเสมอ
วันเวลาต่อจากนั้นไม่ว่าจะกลับมาย้อนคิดถึงตอนไหน เธอมักจะรู้สึกว่าตนเองเริ่มชอบโจวซือเยวี่ยตั้งแต่ประโยคที่ว่า ‘นายมาปลอบเพื่อนร่วมโต๊ะฉันหน่อย’
แต่เธอในตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่ขัดแย้งภายในตัวเองอย่างรุนแรง
ติงเซี่ยนหันกลับไปอย่างอับอายและโมโห เธอได้ยินคุณชายโจวส่งเสียงเย็นชาตามมา “พอแล้ว อย่าหัวเราะเลย” เขามีบารมีมาตั้งแต่กำเนิดจึงทำให้คนมักเชื่อฟังคำพูดของเขา เจี่ยงเฉินกับซ่งจื่อฉีล้วนแต่เชื่อฟังเขาเป็นพิเศษ
ตอนนั้นติงเซี่ยนแค่คิดว่าเป็นเพราะคุณลุงโจว แต่พอนานวันเข้า สุดท้ายเธอก็เข้าใจว่าต่อให้เขาบอกว่าบนดวงจันทร์มีมนุษย์ต่างดาว พวกเขาก็เชื่อ รวมถึงตัวเธอเองด้วย
โจวซือเยวี่ยในช่วงวัยรุ่น เวลาจริงจังดูแล้วเย็นชา เวลาล้อเล่นตลกขบขัน มาดก็หายไปหมด แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็มักจะมีความมั่นใจประเภท ‘ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา เขาคนเดียวก็แบกไว้ได้’ ออกมาจากตัวเขาอยู่เสมอ
เมื่อพวกเขาไปกันหมดแล้ว ข่งซาตี๋จึงบอกติงเซี่ยน “ตอนเรียนฉันได้ยินซ่งจื่อฉีพูดว่าโจวซือเยวี่ยสอบวิชาคณิตศาสตร์กลางภาคได้คะแนนเต็ม”
ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์กลางภาคปีนี้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะโจทย์ใหญ่ข้อแรก คนที่ตอบได้มีอยู่ไม่กี่คน ตอนที่ติงเซี่ยนเพิ่งเข้ามาก็ได้ยินคนคุยกันว่าสุดท้ายแล้วโจทย์ใหญ่ข้อนั้นทั้งเมืองมีแค่สี่ห้าคนที่ตอบได้
คะแนนโดยเฉลี่ยปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโดยรวมแล้วลดลง แค่ข้อสอบธรรมดาของปีที่แล้ว สอบได้คะแนนเต็มก็มีไม่กี่คนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าการที่สอบได้คะแนนเต็มในปีนี้ถือว่าเก่งมาก
ข่งซาตี๋พูดต่อไป “เขาเป็นแชมป์จินตคณิตระดับประเทศ”
ถึงว่าเวลาทำโจทย์คำนวณ เขาจะเขียนคำตอบทันทีตลอด ไม่เคยใช้เครื่องคิดเลขหรือทดในกระดาษเลย
ติงเซี่ยนถอนหายใจ “อีกหน่อยเรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องมาบอกฉันหรอกนะ”
“อ้าว? ทำไมล่ะ” ข่งซาตี๋ถามต่อ “ทนไม่ได้เหรอ”
ปกตินั่งข้างเขาก็กดดันมากพออยู่แล้ว
เธอรู้มั้ยว่าเวลาเรียน เขาไม่เคยจดบันทึกเลย
เธอรู้มั้ยว่าเขาไม่เคยฟังครูสอนเลย แต่ก็สามารถตอบครูได้อย่างคล่องแคล่ว
เธอรู้มั้ยว่าโจทย์คณิตศาสตร์ที่ฉันทดในกระดาษนานสองนานแต่ยังคำนวณผิด เขากลับเขียนฉับๆ สองทีก็เสร็จ เข้าใจความรู้สึกฉันตอนนั้นมั้ย
แต่เอาเถอะ เรื่องพวกนี้เธอไม่รู้ทั้งนั้น
ติงเซี่ยนก้มหน้า ดวงตายากจะปกปิดความสิ้นหวัง เงาร่างเล็กๆ มองดูแล้วน่าสงสารไม่ใช่น้อย เธอรู้สึกว่าตัวเองพยายามเรียน ตั้งใจเรียนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับคนอื่นที่ใช้เวลากวาดตาอ่านหนังสือแค่ไม่กี่นาทีก็เข้าใจ
ติงเซี่ยนไม่ใช่พวกมีพรสวรรค์ ผลสำเร็จและคะแนนทั้งหมดของเธอล้วนมาจากหนังสือทุกๆ เล่มที่เธออ่าน โจทย์ทุกๆ ข้อที่เธอพยายามทำ
แต่ก่อนตอนอยู่เหยียนผิง เธอเป็นลูกรักของคุณครู เพราะเธอเป็นคนอดทน มีความพยายามและตั้งใจ ทั้งเป็นเด็กดี ทั้งเชื่อฟังครู นักเรียนในเมืองส่วนใหญ่ที่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ หรือเรียนๆ เล่นๆ กันจนจบมัธยมศึกษาตอนต้นก็จะไปเรียนอาชีวะ หรือไม่ก็ไปรับจ้างทำงานกันเสียเป็นส่วนใหญ่
มีแต่เธอที่ดิ้นรนสุดชีวิตในบ่อปลานี้
เธอคิดว่าหากข้ามประตูมังกร* นี้ได้ ไก่ป่าก็จะกลายเป็นหงส์
แต่เมื่อเข้ามาในประตูมังกรนี้แล้วถึงได้รู้ว่าเธอก็เป็นแค่เพียงหัวหน้าไก่ป่าที่อยู่ปลายหางหงส์เท่านั้น
พอกินข้าวกลางวันเสร็จก็กลับไปที่ห้องเรียน
แปลกมากที่โจวซือเยวี่ยไม่ได้ไปเตะบอล แต่นั่งไขว่ห้างคุยกับคนอื่นอยู่ แสงอาทิตย์สีทองอร่ามส่องเข้ามาทางหน้าต่างและสาดไปที่ผมเขา ทำให้ผมเขาดูนุ่มลื่น น่าลูบอย่างอดไม่ได้
ไม่นานนักก็มีเพื่อนนักเรียนหญิงถือโจทย์มาถามเขา
เวลาโจวซือเยวี่ยอธิบายโจทย์กับคนอื่นก็จะทำท่าทำทาง หยิบปากกาวาดๆ วงๆ บนกระดาษ คนอื่นยังไม่ทันรู้สึกตัว เขาก็อธิบายเสร็จแล้ว
เพื่อนนักเรียนหญิงหน้าแดง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “นายพูดอีกรอบได้มั้ย” แต่เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เพื่อนนักเรียนหญิงก็กลัวจะทำให้เขารำคาญจึงรีบดึงโจทย์กลับไป “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกลับไปลองคิดดูอีกที”
โจวซือเยวี่ยพยักหน้า “อืม”
ติงเซี่ยนฟุบหน้าลงบนโต๊ะขณะทำการบ้านคณิตศาสตร์
เวลาพักเที่ยงจักจั่นที่ไต่บนต้นไม้ส่งเสียงร้องอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย บรรยากาศในโรงเรียนช่วงใกล้บ่ายมักจะเงียบสงบเป็นพิเศษ แม้แต่แสงอาทิตย์ก็ยังอบอุ่น การบ้านวิชาคณิตศาสตร์วางอยู่บนโต๊ะเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ยังไม่ได้เขียนสักตัว
ผ่านไปแวบเดียวเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้นก็ถือโจทย์มาอีกแล้ว
ติงเซี่ยนลุกขึ้นทันที ปิดสมุดและยิ้มกับเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้นอย่างเปิดเผยพร้อมกับพูดอย่างมีน้ำใจ
“พวกเราแลกที่นั่งกันเถอะ เธอมานั่งที่ฉันแล้วกัน”
พวกเราล้วนแต่เคยเป็นโรคชนิดหนึ่ง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือโรคแมรี่ ซู
หญิงสาวที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเพ้อฝันเล็กน้อย คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกในชีวิตจริง ชอบแผ่รัศมีนางเอก บางคนที่อาการหนักจะมีอาการจิตใจเปราะบางและทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจิตใจร่วมด้วย
อารมณ์ของหญิงสาวมักจะเป็นบทกลอน
เธอพูดปกป้องฉันเพียงประโยคเดียว ฉันจะรักเธอทั้งชีวิต
และความรักของวัยรุ่นก็มักจะขัดแย้งถึงขั้นสุด เมื่อวานรักเธอ วันนี้เธอคุยกับผู้หญิงคนอื่น พรุ่งนี้ฉันก็ไม่รักเธอแล้ว หรือเมื่อวานไม่รักเธอ วันนี้เธอแบ่งลูกอมจากกระเป๋ากางเกงให้ฉันครึ่งเม็ด ฉันก็ตัดสินใจว่าจะรักเธอตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
บริสุทธิ์และไม่ซับซ้อน
ในขณะนั้นติงเซี่ยนก็มีความขัดแย้งกันเช่นนี้ ในมุมหนึ่งเธอคิดว่าตัวเองไม่ได้ชอบโจวซือเยวี่ย อีกมุมหนึ่งเมื่อเห็นเขาอธิบายโจทย์ให้ผู้หญิงคนอื่นฟัง ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบ
ติงเซี่ยนคิดว่าผู้ชายแบบที่เธอชอบน่าจะเป็นผู้ชายอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษเหมือนสวี่เคอ ไม่ใช่นกยูงที่เอาแต่หยิ่งผยองแบบโจวซือเยวี่ย
แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเจ็บ
สงสัยต้องเป็นอาการแมรี่ ซูกำเริบแน่นอน
ติงเซี่ยนพูดจบก็ไม่ได้มองพวกเขาสองคนอีก เธอก้มหน้าเก็บหนังสือบนโต๊ะแล้วสละที่นั่งให้เพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้น
ห้องเรียนที่เงียบสงบในช่วงพักเที่ยงมีแสงอาทิตย์สาดเข้ามาเป็นทาง ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กของเธอที่กำลังเก็บของ
แสงและเงาราวกับประสานกันเป็นหนึ่ง
“เธอเป็นโรคอะไรขึ้นมาอีก” เสียงโจวซือเยวี่ยไม่เบาไม่ดัง แต่ในห้องเรียนที่เงียบสงบกลับฟังดูกังวานเป็นพิเศษ
มือที่กำลังเก็บของของติงเซี่ยนชะงัก กระเป๋าดินสอรูดซิปไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม เพื่อนนักเรียนรอบข้างต่างพากันหันมาอย่างพร้อมเพรียง สายตาหลายสิบคู่จับจ้องมาที่ตัวเธอ
เธอจึงอธิบายเบาๆ “พักเที่ยงนี้ฉันสละพื้นที่ให้พวกนาย นายจะได้สอนได้สะดวก”
โจวซือเยวี่ยหลังพิงพนักเก้าอี้ มองเธออย่างเสียดสีพลางหัวเราะหึๆ “ดูเธอช่างมีน้ำใจจริงนะ”
ติงเซี่ยนไม่ฟังและไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าเก็บของต่อ และยิ้มกับเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้น “เดี๋ยวเสร็จแล้ว”
เพื่อนนักเรียนหญิงมึนงง “เอ่อ ต้องสลับที่จริงๆ เหรอ”
“สลับสิ”
โจวซือเยวี่ยก้มหน้าทำโจทย์ ไม่เงยหน้าสักนิด ผมหนานุ่มของเขาเป็นประกายท่ามกลางแสงอาทิตย์ เหมือนสุนัขล่าเหยื่อเชื่องๆ ตัวหนึ่ง
“ถ้าสลับที่ก็ไม่ต้องกลับมาอีก” เขากล่าว
เดิมทีติงเซี่ยนตั้งใจว่าจะสลับที่แค่ช่วงพักเที่ยงเท่านั้น เพราะอยากจะหาที่เงียบๆ นอนสักพัก พอได้เห็นเขากวนประสาทเช่นนี้ เธอก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม มือถือหนังสือไว้สองเล่ม จะไปก็ไม่ใช่ จะไม่ไปก็ไม่เชิง
โจวซือเยวี่ยพูดจบประโยคนี้ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย แม้แต่มองจากด้านหลังศีรษะเขาก็ดูเย็นชาเป็นพิเศษ
ติงเซี่ยนกัดฟันอย่างโมโหแล้วทิ้งท้าย “เดี๋ยวฉันจะมาย้ายโต๊ะ!” พูดจบก็สะบัดหางม้าเดินไปยังที่นั่งใหม่อย่างเย่อหยิ่ง
กระดาษโจทย์โดนโจวซือเยวี่ยขีดขาดเสียงดังแควก
จักจั่นนอกหน้าต่างส่งเสียงร้องสองที
ติงเซี่ยนย้ายมานั่งที่ด้านหน้าตรงกลางแถวที่สี่ เพื่อนร่วมโต๊ะใหม่เป็นผู้ชายชื่อว่าเหอซิงเหวิน เป็นคนที่สอบกลางภาคได้ที่หนึ่งในปีนี้ หน้าตาธรรมดา ตัดผมสั้นเกรียน ผิวคล้ำ ชอบใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวยับๆ ที่ซักจนขาวโพลน ท่านั่งเขาเรียบร้อยมากเหมือนนักเรียนประถม เวลาเลิกเรียนก็ไม่ไปไหน ชอบนั่งทำโจทย์อยู่กับโต๊ะ
นี่สิที่เรียกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะ ‘ปกติ’ ไม่ใช่แบบโจวซือเยวี่ยที่เหมือนไม่ใช่คน
สิ่งเดียวที่เหอซิงเหวินไม่ปกติก็คือเขามีผมหงอก เวลามองโดยเฉพาะจากด้านหลังดูเหมือนคนแก่ แต่ก็ยังดีกว่านกยูงที่หยิ่งผยองตัวนั้น
ตอนบ่ายแก่ๆ ข่งซาตี๋เดินมาชวนติงเซี่ยนคุย ครึ่งตัวพิงที่โต๊ะเธอและพูดโน้มน้าว “ไม่กลับไปจริงเหรอ”
ในช่วงเวลาเรียนเสียงพูดคุยของเพื่อนนักเรียนดังอึกทึก แต่เสียงโจวซือเยวี่ยที่พูดคุยล้อเล่นกับคนอื่นกลับสามารถลอยผ่านผู้คนมาเข้าหูเธอจนได้
ติงเซี่ยนก้มศีรษะฟุบลงบนโต๊ะ ขีดๆ เขียนๆ กระดาษทดโดยไม่รู้ตัว สีหน้าแข็งกร้าว “ไม่กลับ”
ข่งซาตี๋ลากเสียง “โธ่…” หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษทดของเธอมาดูและส่งเสียงเบาๆ อย่างประหลาดใจ “งั้นเธอเขียนชื่อเขาทำไม”
ติงเซี่ยนตกใจ รู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาจากที่นั่งแล้วกระโจนเข้าไปหาข่งซาตี๋ คว้ากระดาษทดในมือเพื่อนมาดู
มีชื่ออะไรที่ไหน มีแต่สัญลักษณ์บ้าบอเท่านั้นเอง
ข่งซาตี๋ได้ทีจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เธอไม่บริสุทธิ์ใจ”
ติงเซี่ยนกลับลงไปนั่งอย่างใจลอยแล้วถอนหายใจยาว “เธอนี่น่ารำคาญจัง”
ข่งซาตี๋เบ้ปาก “ฉันแค่อยากจะเตือนเธอ ศาลาใกล้น้ำย่อมได้ชมจันทร์ก่อน* ถ้าทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ เธอจะเป็นคนเสียหายนะ ดูๆ แล้วเติ้งหวั่นหวั่นน่ะชอบโจวซือเยวี่ย ถึงเวลาโดนแย่งไป เธออย่ามาร้องไห้ก็แล้วกัน”
ติงเซี่ยนทำปากยื่นอย่างไม่สนใจ ใช้ปากกาขีดกระดาษอย่างแรงแล้วพูดขึ้น “รีบเอาไปเลย ถ้าเขาสองคนลงเอยกัน ถึงเวลาฉันจะไปจุดประทัดใหญ่ๆ สองพวงให้หน้าโรงเรียน ถือเป็นการขอบคุณเติ้งหวั่นหวั่นที่เสียสละตัวเองช่วยขจัดภัยให้คนอื่น!”
ข่งซาตี๋จงใจพูดต่อ “เหรอ งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบไปซื้อม้านั่ง อีกสองสามวันจะไปที่หน้าประตูโรงเรียนรอดูประทัด”
ติงเซี่ยนหันข้างไปมองเพื่อน
“ตอนนี้เขาสองคนคุยกันเข้าขาเลยล่ะ เติ้งหวั่นหวั่นยังนัดเขาไปเล่นเกมกันด้วยนะ”
“ก็ไปเล่นสิ” ติงเซี่ยนพึมพำ
ข่งซาตี๋ส่งเสียง “ชิ” เหมือนขี้เกียจเสียเวลาพูดกับเธอ จึงทิ้งไพ่ใบสุดท้าย “พรุ่งนี้รีบกลับมานั่งที่เดิม ฉันทนยายนกตัวน้อยส่งเสียงจ้อกแจ้กข้างหลังไม่ไหวแล้วจริงๆ ยังมีอีกนะ ถ้าเธอไม่รีบคว้าโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ภายในเดือนนี้ พ้นหนึ่งเดือนไปแล้ว ครูจัดที่นั่งให้ใหม่ เธอก็จะยิ่งหมดหวัง”
“ไม่ย้าย!” ติงเซี่ยนดื้อเหมือนลา ข่งซาตี๋โมโหจนแทบจะถลึงตาใส่ จากนั้นก็เห็นติงเซี่ยนค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก้มหน้าพูดเสียงเบา “ก็เขาไม่ให้ฉันกลับไป”
“โอ๊ยๆๆ พวกเธอสองคนเป็นสามีภรรยาที่ทะเลาะกันเหรอ เธอดูสิ เหมือนมั้ยเนี่ย ถ้าสลับที่ก็ไม่ต้องกลับมาอีก! ประโยคนี้แม่เธอน่าจะพูดกับพ่อเธอเป็นประจำแน่เลยใช่มั้ย ต่อมาพอพ่อเธอกลับไป แม่เธอก็ยังดูแลปรนนิบัติหาของกินของดื่มอร่อยๆ ให้ไม่ใช่เหรอ”
พอพูดเช่นนี้ ทุกครั้งแม่จะเป็นคนทนไม่ได้โทรศัพท์หาพ่อก่อนตลอด พ่อถึงจะย้ายจากบ้านเพื่อนกลับมาที่บ้าน
ติงเซี่ยนหันหน้าไปมองช้าๆ
โจวซือเยวี่ยใส่เสื้อยืดสีดำ พิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย คุยเล่นกับซ่งจื่อฉีอย่างอารมณ์ดี เวลาคุยสนุกก็เผยรอยยิ้มสบายๆ ตามปกติของเขา ฟันของเขาขาวสะอาดเรียงตัวเป็นระเบียบ เวลายิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แสงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าทางด้านหลัง ผมดกดำอาบแดดสุดท้ายของวันส่องประกายสีแดงราวกับมีรัศมีเปล่งแสงออกมาจากตัวเขา
ติงเซี่ยนนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา เธอเดินผ่านเหมือนลมพัดโดยไม่ตั้งใจ แต่สำหรับฉันกลับกลายเป็นน้ำท่วมทั้งภูเขา
มีผู้ชายเดินมาที่ประตูและเรียกโจวซือเยวี่ยให้ไปเตะบอลหลังเลิกเรียน เขายิ้มอ่อนๆ หันกลับไปตอบตกลง ผู้หญิงที่เดินผ่านข้างนอกอดไม่ได้ที่จะหันมามองข้างใน เขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัว ยังคงคุยกับซ่งจื่อฉีต่อ
ซ่งจื่อฉีเอ่ยแซว “เอ๋ๆๆๆ มีคนมาดูนายอีกแล้ว”
คุณชายน้อยเตะเก้าอี้อีกฝ่ายทีหนึ่ง “พูดเหลวไหลอะไร”
มีผู้หญิงมาดูเขาจริงๆ แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไร พวกเธอแค่อ้างว่ามาหาเพื่อนนักเรียนแล้วแอบมองเขาที่ประตูข้างหลัง สอดส่องพลางกระซิบกระซาบกันเบาๆ
“เขาคือโจวซือเยวี่ยใช่มั้ย”
ตอนแรกเพื่อนนักเรียนก็ทนรำคาญได้ แต่พอถูกถามบ่อยๆ สุดท้ายก็โพล่งขึ้นมา “ผู้ชายที่ประตูคนนั้นน่ะเหรอ ใช่แล้ว เขาคือโจวซือเยวี่ยของห้องเรา ยังไม่มีแฟน”
ผู้หญิงเหล่านั้นทุบบ่าเพื่อนนักเรียนอย่างเขินอาย “ใครถามเรื่องนี้กันล่ะ”
แต่ซ่งจื่อฉีรู้สึกว่าความคิดนั้นเขียนไว้ชัดๆ บนใบหน้าพวกเธออยู่แล้ว…
อย่างไรก็ตามโจวซือเยวี่ยก็ผูกมิตรได้กับทุกคน ปกติเขาอ่านหนังสือนอกเวลาเยอะ เจอเรื่องอะไรก็คุยได้หมด มีคนถามเขาก็ยินดีตอบ เขาดูเป็นลูกคุณหนูก็จริง แต่ไม่วางท่าแม้แต่น้อย คุยได้กับทุกคน บางทีเขาอาจคุยกับคนใบ้ที่ปากซอยได้ด้วย
เขามีเพื่อนเยอะ ดังนั้นไม่มีเธอไปคนหนึ่งก็ไม่นับว่าขาด
ติงเซี่ยนสลับที่กับเติ้งหวั่นหวั่นแล้ว เขาก็คุยเล่นกับคนอื่นอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนอะไรเลยแม้แต่น้อย มีแต่เธอที่วุ่นวายใจอยู่ตรงนี้คนเดียว
พอพูดแบบนี้ ผ่านไปไม่นานเธอก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว
สาเหตุก็คือติงเซี่ยนลืมเอาหนังสือภาษาจีนมา อยากจะใช้กับเหอซิงเหวิน แต่เหอซิงเหวินไม่สนใจเธอ ติงเซี่ยนคิดว่าเขาอาจไม่ชอบแบ่งหนังสืออ่านกับใคร จึงไม่กล้ากวนเขาอีก
เธอก็เลยนั่งโง่ๆ ตลอดคาบเรียน ระหว่างนั้นก็โดนครูเรียกชื่อหนึ่งครั้ง
ระหว่างคาบเรียน ติงเซี่ยนไปเข้าห้องน้ำ ในห้องมีการแจกหนังสือที่เพิ่งมาถึง เหอซิงเหวินหยิบของตัวเองแต่ไม่ได้หยิบเผื่อเธอแล้วก็ส่งต่อไป พอต้องใช้หนังสือตอนเรียน ติงเซี่ยนไม่รู้เลยว่ามีการแจกหนังสือเล่มนี้แล้ว พอเห็นบรรดาเพื่อนนักเรียนต่างมีหนังสือเล่มใหม่อยู่บนโต๊ะ เธอจึงถามเหอซิงเหวินอย่างประหลาดใจ
“หนังสือเล่มนี้แจกตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
“เมื่อกี้”
“นายไม่ได้ช่วยหยิบไว้ให้ฉันเหรอ”
เหอซิงเหวินคิดสักครู่ “ลืมเลย”
ยังมีอีก เวลาที่ติงเซี่ยนเหลาดินสอ เหอซิงเหวินก็บ่นขึ้นมา
“ขี้ดินสอฝุ่นเยอะมาก เธอออกไปเหลาข้างนอกสิ”
ดังนั้นติงเซี่ยนจึงได้แต่ไปยืนเหลาดินสอที่ถังขยะด้านหลังห้องเรียน ไม่มีโต๊ะทุ่นแรงจึงเหลาลำบากมาก พอไม่ระวังก็บาดมือเป็นแผล
พอเปรียบเทียบกันแบบนี้ นกยูงตัวนั้นก็ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาโดยพลัน
ปกติเขาไม่ค่อยจะสนใจใคร แต่เวลาแจกหนังสือเขาจะเก็บไว้ให้เธอเสมอ เวลาครูสั่งการบ้านแล้วเธอไม่อยู่ เขาก็จะเตือนเธอเป็นพิเศษ และไม่เคยรังเกียจขี้ดินสอของเธอ
ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกว่าโจวซือเยวี่ยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะที่ประเสริฐจริงๆ
พอจบคาบข่งซาตี๋เดินมาพูดคุยกับติงเซี่ยนอีกครั้ง ติงเซี่ยนจึงเอียงคอถาม “เธอว่าถ้าตอนนี้ฉันไปขอแลกที่นั่งคืนกับเติ้งหวั่นหวั่น เติ้งหวั่นหวั่นจะตกลงมั้ย”
ข่งซาตี๋หัวเราะใส่เธอ “เธอฝันไปเถอะ ตอนนี้พวกเขาเข้ากันได้ดีจะแย่ เวลาเรียนก็ถกปัญหาตีโจทย์กัน พอจบคาบก็คุยกันเรื่องเกม จะมีที่ให้เธอแทรกตรงไหน คนอย่างคุณชายโจวขาดสาวสวยผู้รู้ใจอย่างเธอนับว่าเป็นอะไร”
ติงเซี่ยนหน้าแดงแล้วไล่ตะเพิดข่งซาตี๋ไป รู้สึกว่าเพื่อนเธอชักจะน่ารำคาญขึ้นทุกที
ใครเป็นสาวสวยผู้รู้ใจของเขากัน เขาจะไปกินข้าว ทำการบ้าน เดินเล่นกับสาวที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับเธอ
จังหวะนั้นเสียงจักจั่นนอกหน้าต่างก็ดังขึ้น แต่สำหรับติงเซี่ยน มันไม่เพราะสักนิด หนวกหูชะมัด ใจดวงเล็กๆ ห้อยโตงเตงอยู่บนอากาศ ไม่หยุดนิ่งแม้แต่น้อย
เธอฟุบลงไปบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด คางเกยโต๊ะ ท่าทางเหมือนสุนัขเร่ร่อนที่กำลังหิวโหย ดวงตาสดใสกลอกไปมา ประเดี๋ยวมองไปที่เหอซิงเหวินทางซ้าย ประเดี๋ยวมองไปที่หัวหน้าห้องหญิงทางขวา ดูน่าสงสารไม่น้อย
จากนั้นเธอก็หันหลังเงียบๆ สายตาพุ่งไปที่แถวสุดท้าย
คุณชายน้อยคนนั้นกำลังเอามือล้วงกระเป๋าเดินเข้าห้องพร้อมซ่งจื่อฉี ผมหนานุ่มเหมือนกองหญ้า ยุ่งจนอยากจะจัดให้ แต่กลับกลายเป็นว่าความหล่อแบบสบายๆ นี้กลับมีเสน่ห์ที่สุด
ทุกคนต่างมีชายหนุ่มในใจ
แม้จะไร้สาระ แต่ใจก็ยังมุ่งปรารถนา
โจวซือเยวี่ยดึงเก้าอี้ออกมานั่ง ขาเรียวยาววางใต้โต๊ะอย่างสบายๆ ซ่งจื่อฉีหันมาและพูดโดยไม่ตั้งใจ
“ซือเยวี่ย สุดสัปดาห์นี้พวกเราไปร้านเกมกันเถอะ”
โจวซือเยวี่ยพิงพนักเก้าอี้พลางกระดิกเท้า ไม่เอ่ยตอบ
เติ้งหวั่นหวั่นที่อยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นทันที ทิ้งดินสอและพูดอย่างตื่นเต้น “งั้นก็ดีสิ! ฉันรู้จักอยู่ร้านนึง ฉันพาพวกนายไปได้นะ!”
ซ่งจื่อฉีตาลุกวาว “เอาสิ”
เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็มองมาทางโจวซือเยวี่ยอย่างพร้อมเพรียง ไม่รอให้เขาออกความเห็น ด้านหน้าก็มีคนหันมาตบโต๊ะของเติ้งหวั่นหวั่นเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เติ้งหวั่นหวั่น ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอหน่อย”
คนคนนั้นคือข่งซาตี๋
เติ้งหวั่นหวั่นยิ้มมองเธอ “มีอะไรเหรอ ซาตี๋”
ทันใดนั้นข่งซาตี๋ก็หันมองไปทางติงเซี่ยนแวบหนึ่ง ปรากฏว่าทำให้โจวซือเยวี่ยซึ่งกำลังพาดแขนบนพนักเก้าอี้รอฟังอยู่หันมองตามเธอไปโดยไม่รู้ตัว
จังหวะนั้นก็สบกับสายตาเหม่อลอยของติงเซี่ยนกลางอากาศ
ติงเซี่ยนหลบไม่ทันจึงประสานกับสายตาที่เย็นชาของโจวซือเยวี่ยตรงๆ เธอรีบหันหน้าหนีเป็นพัลวัน แต่หันแรงไปจึงชนศีรษะเหอซิงเหวินที่กำลังก้มลงเก็บดินสอพอดี
ติงเซี่ยนเจ็บจนตาลาย รีบเอามือคลึงศีรษะ
โจวซือเยวี่ยยกมุมปาก ซุ่มซ่ามจริงๆ
“ทำไมเธอน่ารำคาญแบบนี้เนี่ย”
เหอซิงเหวินแก้โจทย์ได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยังติดอยู่ตรงขั้นตอนสำคัญ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ ในใจรู้สึกหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ติงเซี่ยนดันเข้าไปซ้ำตรงจุดพอดี เขาจึงอาละวาดใส่เธอทันที
พอเหอซิงเหวินตะโกน คนทั้งห้องก็หันมามองติงเซี่ยน สาวน้อยหน้าแดงก่ำไปหมด ก้มหน้าและเอ่ยขอโทษเบาๆ “ขอโทษนะ” ท่าทางอ่อนแอ เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ
คนในชั้นส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าเหอซิงเหวินเป็นคนอย่างไร ทุกคนจึงมองติงเซี่ยนด้วยความเวทนา
มีผู้ชายคนหนึ่งทนดูต่อไปไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะพูดแทนติงเซี่ยน “เหอซิงเหวิน นายก็อย่าให้มันเกินไป เมื่อกี้นายไม่เก็บหนังสือไว้ให้ติงเซี่ยน ติงเซี่ยนยังไม่ว่านายสักคำ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ติงเซี่ยนก็ก้มศีรษะต่ำลงไปอีก ผู้ชายที่ช่วยเธอพูดชื่อว่าหลิวเสี่ยวเฟิง เขาใส่แว่น ผิวคล้ำๆ ผอมๆ เป็นคนที่แทบจะไม่มีตัวตนในห้อง แม้แต่เวลาที่ครูสอนแล้วเรียกเขาตอบคำถาม เขาก็ยังหน้าแดง
ติงเซี่ยนรู้สึกขอบคุณเขามาก ในเวลาเช่นนี้เขากลับเป็นคนแรกที่ช่วยออกมาพูดแทนเธอ แต่เป็นเพราะคำพูดของเขา เธอจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ
ความจริงแล้วในเวลานี้เธอแค่อยากจะหาหลุมมุดเข้าไป ไม่ว่าใครก็อย่าพูดอะไรเลย ไม่ว่าใครก็อย่ามองเธอเลย อย่าพยายามช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอ ช่วยทำให้เรื่องนี้สงบลงและผ่านไปอย่างรวดเร็วดีกว่า
เธอเป็นผู้หญิงขี้กลัว เวลาถูกคนมองก็จะคิดมาก ทั้งยังเป็นคนที่มีความรู้สึกค่อนข้างอ่อนไหว
และเธอก็ไม่อยากทำให้โจวซือเยวี่ยรู้สึกว่าตอนนี้เธอถูกเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่รังเกียจ
แต่หลังจากหลิวเสี่ยวเฟิงพูดจบ เหอซิงเหวินก็ยังเถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งคู่เกือบจะทะเลาะกันในห้องเรียนเพราะติงเซี่ยน
สุดท้ายซ่งจื่อฉีก็ตะโกนกึ่งล้อเล่นมาจากด้านหลัง “เหอซิงเหวิน นายอย่าแกล้งยายสัตว์ประหลาดสิ ระวังซือเยวี่ยของพวกเราจัดการนายนะ”
ความสัมพันธ์คลุมเครือในช่วงวัยรุ่นคือการล้อเล่นกึ่งจริงไม่จริงระหว่างเพื่อนนักเรียนเท่านั้น
ซ่งจื่อฉีพูดจบ เพื่อนนักเรียนในห้องต่างพากันหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเตะเก้าอี้ น้ำเสียงของคนคนนั้นยังคงเอื่อยเฉื่อยตามปกติ
“เกี่ยวอะไรกับฉัน”
ซ่งจื่อฉีเกาศีรษะด้านหลัง “ฉันล้อเล่นเฉยๆ เอง”
ท่ามกลางบรรยากาศที่โหวกเหวกโวยวายอย่างนี้ จู่ๆ ข่งซาตี๋ก็หันมาพูดกับเติ้งหวั่นหวั่น “เธอสลับที่นั่งคืนกับติงเซี่ยนเถอะ”
เติ้งหวั่นหวั่นอึ้งงันและมองโจวซือเยวี่ย
เสียงของข่งซาตี๋ออกจะแข็ง ไม่อนุญาตให้ใครเถียงได้ เมื่อพูดจบก็มองโจวซือเยวี่ยที่พิงพนักเก้าอี้อยู่และพูดต่อ
“ถ้านายไม่อยากนั่งกับเซี่ยนเซี่ยน ก็ให้เธอแลกที่นั่งกับซ่งจื่อฉี ฉันจะนั่งกับเซี่ยนเซี่ยนเอง”
ข้อเสนอนี้ถูกคัดค้านจากซ่งจื่อฉีทันที “ไม่เอา ฉันไม่นั่งกับเขา นั่งข้างเขาก็โดนบี้ตายพอดี”
ข่งซาตี๋พูดอย่างปลอบโยน “ไม่หรอก”
“นั่งข้างหลัง ฉันฟังไม่ได้ยิน!”
ข่งซาตี๋ลูบศีรษะเขาเบาๆ เหมือนลูบหัวสุนัข พูดพลางแสร้งยิ้ม “ฉันจะซื้อเครื่องช่วยฟังให้นาย”
ซ่งจื่อฉีส่ายหน้า “ฉันไม่เอาหรอก ฉันไม่ใช่คนแก่สักหน่อย”
ข่งซาตี๋กัดฟัน “โอเค งั้นนายกับโจวซือเยวี่ยนั่งข้างหน้า ฉันกับเซี่ยนเซี่ยนนั่งข้างหลัง”
ซ่งจื่อฉีเกาหัว “เกรงใจแย่เลยถ้าอย่างนั้น”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว รีบพยักหน้าก่อนที่ฉันจะโมโห ไม่งั้นฉันจะฟ้องครูว่านายเอาเกมมาโรงเรียนด้วย!”
“หา! ข่งซาตี๋ เธอนี่มัน…ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มั้ยเนี่ย”
“โอเคมั้ยล่ะ ฮะ?!”
“ฉันกลัวเธอแล้ว โอเคๆๆ!”
แต่เมื่อทั้งคู่ตกลงกันเรียบร้อย เติ้งหวั่นหวั่นที่อยู่ด้านหลังก็หน้าตึงแล้วพูดขึ้นมา “ฉันไม่ย้าย”
แต่ละคำช่างหนักแน่นมั่นคง
ข่งซาตี๋ได้ยินก็โมโห ถกแขนเสื้อจะพุ่งเข้าไปจัดการกับอีกฝ่าย แต่ถูกซ่งจื่อฉีดึงไว้
“นี่แม่ทูนหัว เธอใจเย็นๆ ก่อน…ทำไมฉันรู้สึกว่าพักนี้เธอดูเหมือนกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไร้เหตุผลไปแล้วนะ”
ข่งซาตี๋หน้าแดงพักหนึ่งขาวพักหนึ่ง ไม่สนใจเขาและพูดกับเติ้งหวั่นหวั่นตรงๆ “ตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะเธอเอาแต่เดินมาถามคำถามโจวซือเยวี่ย เซี่ยนเซี่ยนจะถูกเธอบี้ให้ไปนั่งข้างหน้าเหรอ”
เติ้งหวั่นหวั่นเบ้ปาก “ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ย้าย”
“พอแล้ว” ในที่สุดคุณชายโจวที่มองอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ นานแล้วก็เอ่ยปากอย่างราบเรียบ “เรียนก่อนเถอะ”
เมื่อกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น คุณครูก็หนีบแผนการสอนไว้ใต้รักแร้เดินเข้าประตูมาตามระเบียบ
ในที่สุดบรรดานักเรียนก็เบนความสนใจกลับมาที่หนังสือเรียนอีกครั้ง
ติงเซี่ยนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เธอขอบคุณข่งซาตี๋ที่ช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้ ไม่ปล่อยให้เธอดูแย่เกินไปต่อหน้าโจวซือเยวี่ย และขอบคุณโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานที่ทำให้เธอรู้จักกับเด็กสาวเลือดร้อนรักเพื่อนคนนี้ในช่วงเวลาที่ตัวเองลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
ในช่วงสุดสัปดาห์
ติงเซี่ยนทบทวนการบ้านทั้งสัปดาห์เสร็จเรียบร้อยก็บิดขี้เกียจ มองไปยังต้นไม้ทรุดโทรมนอกหน้าต่างต้นนั้นและคิดว่าเมื่อไรจะโค่นทิ้งเสียที เพราะมันบังแสง ตอนนี้เธอเห็นกระดานดำเป็นภาพซ้อนแล้ว
ขณะที่กำลังคิดอยู่ เยี่ยหวั่นเสียนก็ตะโกนมาจากห้องรับแขก “เซี่ยนเซี่ยน!”
เธอยืนขึ้นอย่างช้าๆ และเดินออกไป
เยี่ยหวั่นเสียนก้มลงเช็ดโต๊ะพลางพูดกับเธอโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ลูกไปรับน้องที่โรงเรียนสอนพิเศษหน่อย แม่ต้องทำกับข้าว ไปไม่ทัน”
“ค่ะ”
ติงเซี่ยนเดินไปเปลี่ยนรองเท้าที่หน้าประตูช้าๆ พลางบ่นพึมพำในใจ เมื่อกี้นี้ยังมีเวลาไปเม้าท์กับคนอื่นที่หน้าประตูบ้านอยู่เลย
บ้านไหนมีเรื่องอะไรก็ไม่รอดพ้นสายตาของคนซอยนี้
เยี่ยหวั่นเสียนเห็นท่าทางเชื่องช้าของเธอก็โมโห “เร็วเข้า! ถ้าหาน้องไม่เจอก็ไปร้านเกมใกล้ๆ หาดูนะ บางครั้งเขารอไม่ไหวก็จะไปเล่นเกม”
“เขาไปเล่นเกมอีกแล้วเหรอ”
เยี่ยหวั่นเสียนพูด “เล่นแป๊บเดียว ไม่เป็นไรหรอก”
ติงเซี่ยนยิ้มอย่างเย็นชา
แล้วก็เป็นเช่นนั้น ติงจวิ้นชงเล่นเกมกับเพื่อนอยู่ในร้านเกมละแวกนั้นจริงๆ เขากำลังเล่นเกมขับรถแข่งอย่างเมามัน ติงเซี่ยนเดินเข้าไปดึงหูน้องชาย
“ติงจวิ้นชง กลับบ้าน!”
ติงจวิ้นชงเบนศีรษะตัวเองออกไปอีกด้านและปัดมือพี่สาวออกอย่างรำคาญ “รอแป๊บนึง!”
ติงเซี่ยนถาม อารมณ์ยังไม่เสีย “อีกนานเท่าไหร่”
“สิบนาที”
“โอเค” ติงเซี่ยนเองก็พูดคุยง่าย เดินออกไปรอหน้าประตูให้เขาออกมาเอง
แต่สิบนาทีผ่านไป ติงเซี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ชะโงกเข้าไปดู เด็กนั่นไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเลยแม้แต่น้อย เธอตะโกนอีกครั้ง
“ติงจวิ้นชง!”
“อีกสิบนาที”
ผ่านไปอีกสิบนาที…
“ติงจวิ้นชง!”
“ขออีกสิบนาที ไม่งั้นกลับบ้านไปฉันจะฟ้องแม่ว่าพี่ตีฉัน”
ฮึ เจ้าเด็กบ้า
ติงเซี่ยนพุ่งเข้าไปดึงหูติงจวิ้นชงแล้วลากเขาออกมา เด็กชายกำลังบังคับพวงมาลัยรถอยู่ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมลงจากรถ
“ช่วยด้วย! พวกลักพาตัวเด็ก!”
คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างพากันหันมามอง
ติงเซี่ยนโมโหจึงตบศีรษะเขาเข้าให้ “นายเลิกโกหกสักที ฉันเป็นพี่นายนะ”
“พรูด…” ด้านหลังมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น
ติงเซี่ยนชะงัก พอหันไปมองก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ ซ่งจื่อฉีกับข่งซาตี๋ยืนอยู่ด้านริม ต่อจากนั้นคือโจวซือเยวี่ย เติ้งหวั่นหวั่น เจี่ยงเฉิน และซ่งอี๋จิ่น
พอเห็นว่ามีคนมา ติงจวิ้นชงก็รีบสะบัดตัวออกจากมือติงเซี่ยน วิ่งกลับไปเล่นเกมขับรถแข่งต่อโดยใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า
ส่วนทางด้านนี้ วัยรุ่นที่ตัวสูงที่สุดเอามือล้วงกระเป๋า สายตาข้ามผ่านคนหลายคนมองมาที่เธอ
วินาทีนั้นจู่ๆ ในใจติงเซี่ยนกลับมีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา
ที่ที่เติ้งหวั่นหวั่นยืนอยู่เดิมทีมันควรเป็นที่ของเธอ
ซ่งจื่อฉีกับเจี่ยงเฉินหัวเราะล้อเลียนสองสามประโยค แต่พอเห็นเธอไม่รับมุกก็เงียบไป
เมื่อเห็นโจวซือเยวี่ยยืนนิ่งไม่ขยับ ซ่งจื่อฉีก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงสะกิดเจี่ยงเฉินและพวกพร้อมพูดขึ้นมา
“ไปๆๆ พวกเราไปโยนลูกบาสกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะทำลายสถิติของซือเยวี่ยไม่ได้”
เจี่ยงเฉินกับซ่งอี๋จิ่นถูกซ่งจื่อฉีลากตัวไปแล้ว
ข่งซาตี๋รีบเดินมาข้างๆ ติงเซี่ยน “เมื่อวานตอนค่ำฉันว่าจะโทรหาเธอ แต่ฉันเพิ่งรู้ว่าไม่มีเบอร์โทรศัพท์เธอ วันจันทร์ไปเรียน เธอช่วยเขียนลงสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ให้ฉันหน่อยนะ”
ติงเซี่ยนไม่มีโทรศัพท์มือถือเพราะแม่ไม่ยอมซื้อให้ แต่เธอก็ไม่อยากจะบอกว่าตัวเองไม่มีโทรศัพท์ต่อหน้าเติ้งหวั่นหวั่นกับโจวซือเยวี่ย ดังนั้นจึงพยักหน้ากลบเกลื่อนไป ข่งซาตี๋เลยจากไปอย่างอารมณ์ดี
ติงเซี่ยนไม่ได้มองโจวซือเยวี่ย เธอหันกลับไปหาติงจวิ้นชง ตรงเครื่องเล่นเกมขับรถแข่งไม่เห็นเงาเขาแล้ว มองไปรอบๆ ก็ไม่เจอเจ้าปีศาจน้อย เธอจึงหน้าบึ้งด้วยความโกรธ
ปากด่าเจ้าเด็กบ้าไม่หยุด ส่วนสายตาก็สอดส่ายไปทั่ว
ทันใดนั้นก็มีคนมาลูบศีรษะเธออย่างแรง แต่จะพูดว่าลูบก็ไม่ถูก น่าจะขยี้มากกว่า เหมือนนวดแป้งยังไงยังงั้น
ใคร
ติงเซี่ยนเงยหน้าขึ้น เงาสูงใหญ่ข้างๆ ตัวเธอเดินด้วยฝีก้าวยาวๆ ผ่านเธอไปโดยไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย
เสื้อยืดสะบัดโดนแขนเธอเบาๆ มือเขาล้วงกระเป๋า แต่หูเธอจับประโยคหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้
“วันจันทร์ย้ายกลับมานะ”
เงาข้างหลังของชายวัยรุ่นผอมเพรียวเดินอย่างสง่า ท่าทางสบายๆ
ฮะ?
* สามแปด หรือซานปา มีที่มาจากวันสตรีสากลที่ตรงกับวันที่แปดมีนาคม คนมักนำมาใช้ด่าผู้หญิงที่ทำตัวเหลาะแหละ สะเพร่า บ้าๆ บอๆ ไม่สุขุม
* เอ็นบีเอ (NBA) คือลีกการแข่งขันบาสเกตบอลมืออาชีพของทวีปอเมริกาเหนือ
[1] จือฮู คือเว็บไซต์ถามตอบของจีน
* ประตูมังกร มาจากสำนวน ‘ปลาหลี่ข้ามประตูมังกร’ ซึ่งมีที่มาจากตำนานหนึ่งของจีน เล่ากันว่าปลาหลี่ (ปลาไนหรือปลาคาร์พ) ตัวหนึ่งมีความมุมานะจนสามารถกระโดดข้ามประตูมังกรได้ และได้รับพรให้กลายเป็นมังกร สำนวนนี้จึงใช้เปรียบถึงการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง มีความก้าวหน้าอย่างมาก
* ศาลาใกล้น้ำย่อมได้ชมจันทร์ก่อน อุปมาถึงการมีทำเลที่ตั้งที่ดีกว่า หรือการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกว่าย่อมทำให้มีโอกาสมากกว่าคนอื่น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.