บทที่ 1
“หลงทางรึ…?”
วันนั้นของวัยเด็กคือวันที่ฉันได้รู้จักช่วงเวลาห้าปีอันโหดร้ายที่สุดในชีวิต
[นี่! ตื่นได้แล้ว ถ้าไม่รีบตื่นพ่อจะไม่อยู่เฉยแล้วนะ!]
ฉันสะดุ้งลืมตาตื่นเพราะเสียงปลุกอันน่าหนวกหูที่ดังจากมือถือ ขณะนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้า แต่ฉันต้องไปโรงเรียนกวดวิชาตอนบ่ายโมง ฉันรู้สึกผิดที่ตัวเองรีบตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เร็วเกินไป แต่ตอนนี้ก็ตาสว่างเกินกว่าจะนอนต่อแล้ว
พอเดินออกมาจากห้องนอนก็พบกับบรรยากาศอันเงียบสงัดของบ้าน หากเป็นบ้านอื่น ลูกก็คงจะเอ่ยถามว่า ‘แม่ไปไหนเหรอคะ’ หรือไม่ก็ ‘พ่อไปทำงานแล้วเหรอคะ’ ทว่าบ้านหลังนี้กลับต่างออกไป
ถ้าจะให้พูดถึงพ่อล่ะก็ พ่อน่าจะเป็นนักประวัติศาสตร์มากกว่าที่จะเป็นนักเขียนเสียอีก เพราะพ่อเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านทั้งวันเพื่อศึกษาหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้น ส่วนแม่น่ะเหรอ ตอนนี้ฉันไม่มีแม่หรอก เพราะแม่เสียชีวิตตั้งแต่ในวันที่ฉันลืมตาดูโลกแล้ว
พ่อหาเลี้ยงครอบครัวโดยการเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าค่าต้นฉบับเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด ดังนั้นบางครั้งบางคราวพ่อจึงต้องรับงานเป็นอาจารย์พิเศษตามมหาวิทยาลัย ฉันซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวจึงไม่ได้เติบโตมาอย่างยากลำบากมากนักภายใต้การดูแลเช่นนี้ของพ่อ และถึงแม้ว่าตอนที่ฉันยังเด็กฉันจะเคยเผชิญกับเรื่องสะเทือนใจมากก็ตาม แต่ตอนนี้เวลาผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันคิดว่าเรื่องสะเทือนใจในตอนนั้นได้จางหายไปแล้ว
หลังจากที่ร่างกายเคลื่อนไหวได้สักพัก ความหิวก็เริ่มมาเยือน ในห้องครัวมีอาหารเช้าที่พ่อทำเตรียมไว้ให้ มันไม่ใช่อาหารพิเศษอะไรมากมายหรอก ก็แค่เครื่องเคียงไม่กี่อย่าง ซุป ไข่ทอด แล้วก็ข้าวเปล่า มันเป็นอาหารเช้าอันแสนธรรมดาที่มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กวางอยู่ข้างๆ
‘พ่อจะกลับบ้านไม่เกินสามทุ่ม รักนะจ๊ะ ลูกสาวของพ่อ’
แม้จะเป็นข้อความที่อ่านแล้วรู้สึกเลี่ยนชอบกล แต่ตอนนี้ฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับการแสดงความรักแบบนี้ของพ่อที่เริ่มทำมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน
เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่โดดเดี่ยวเสียจริงๆ แทบไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลยนอกจากเสียงรถยนต์ที่อยู่ภายนอกอพาร์ตเมนต์ ฉันนั่งลงแล้วหยิบช้อนขึ้นมา ซุปที่อยู่ตรงหน้าเย็นชืดหมดแล้ว แต่การอุ่นซุปให้ร้อนก่อนกินก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายมากสำหรับคนเพิ่งตื่นนอน และขณะที่ฉันกำลังตักข้าวคำโตขึ้นมานั้น
โครม!
เสียงบางอย่างก็ดังมาจากห้องหนังสือของพ่อ ถ้าเป็นบ้านอื่น คนในบ้านคงคิดว่า ‘ขโมยเหรอ รีบแจ้งตำรวจดีกว่า’ แต่สำหรับบ้านของฉันนั้นแตกต่างออกไป ฉันส่ายหัว ยัดข้าวใส่ปากหนึ่งคำ แล้วลุกเดินไปยังห้องหนังสือของพ่ออย่างเหนื่อยหน่าย
โครม! โครม!
เสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง ห้องหนังสือของพ่อมีขนาดเล็กแค่สองพยอง แต่ฉันเรียกห้องนั้นว่า ‘โกดัง’ เพราะมีหนังสือมากมายเต็มไปหมด มันแคบถึงขนาดที่เข้าไปได้แค่คนเดียวแล้วก็ขยับตัวเดินไปต่อไม่ได้อีก และยังเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก เนื่องจากไม่รู้ว่ากองหนังสือเหล่านั้นจะพังลงมาเมื่อไหร่ เสียง ‘โครม’ ที่ได้ยินจึงเป็นเสียงกองหนังสือพังลงมาอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตู
“ไหนพ่อบอกว่าจะกลับมาตอนมืดไงคะ”
แต่ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง ภายในห้องอันแสนคับแคบที่รายล้อมไปด้วยหนังสือนั้นมีคนยืนอยู่ และคนคนนั้นไม่ใช่พ่อ แต่เป็นชายชาวโชซอน อายุประมาณสิบปลายๆ ใส่เสื้อคลุมยาวสีกรมท่า สวมหมวกทรงสูงสีดำ และถือดาบที่มีฝักดาบห้อยอยู่ที่เอว ทุกครั้งที่ชายผู้นั้นขยับตัว ฝักดาบที่เอวก็จะกวาดกองหนังสือล้มครืนลงมา พอเอี้ยวตัวไปทางนั้นทีทางโน้นทีก็ยิ่งทำให้หนังสือล้มลงมาเรื่อยๆ ฉันมองภาพนั้นด้วยสายตาเวทนาก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“เดี๋ยว! หยุดก่อน!”
ฉันยกช้อนที่อยู่ในมือชี้ไปที่หน้าของเขา
“อย่าเพิ่งขยับตัว!”
เขาหยุดชะงัก
“ก่อนอื่นนายต้องใจเย็น! แล้วเอาฝักดาบที่เหน็บเอวนั่นออกก่อน เห็นมั้ยว่ามันแกว่งโดนหนังสือล้มหมดแล้วไม่ใช่สิ เอาดาบเก็บใส่ฝักเสียก่อน นั่นดาบของจริงใช่มั้ย ตายแล้ว! ดาบของจริงนี่นา เก็บเดี๋ยวนี้เลย! มันอันตรายนะรู้มั้ย”
ในคำพูดที่ยืดยาวของฉัน ดูเหมือนจะมีแค่เพียงคำเดียวเท่านั้นที่เขาเข้าใจ
“เก็บรึ”
“ใช่ ฉันบอกให้เก็บดาบ มันอันตราย!”
เสียงตะโกนปนกรีดร้องของฉันทำให้เขามองไปยังดาบที่ตัวเองกำลังถืออยู่ก่อนจะเก็บดาบลงในฝักราวกับเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรถือดาบต่อหน้าผู้หญิง หรือไม่ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าสิ่งที่คุกคามตัวเองอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นแค่หนังสือเท่านั้น ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ทันใดนั้นเองขณะที่เขากำลังปลดฝักดาบออกจากเอว ฝักดาบก็ไปโดนเข้ากับกองหนังสือที่ใหญ่ที่สุดจนกองหนังสือนั้นโยกเยกและทำท่าจะพังครืนลงมา ฉันจึงรีบขว้างช้อนทิ้งแล้ววิ่งไปประคองกองหนังสือนั้นเอาไว้
“เฮ้ย!”
กองหนังสือสูงกว่าตัวฉันมาก แต่คนก่อเรื่องกลับยืนมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่! ยืนบื้ออยู่ได้ มันจะล้มแล้ว!”
อายุของเขาดูใกล้เคียงกับฉัน ฉันจึงกล้าใช้คำที่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก
“ช่วยมาจับหน่อยสิ! มันจะล้มแล้วเห็นมั้ย”
มือของเขาเริ่มขยับตามคำสั่งของฉัน จนในที่สุดกองหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโตก็ไม่ล้มลงมา ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง ส่วนเขายังคงหันไปมองรอบห้องที่ไม่คุ้นเคยด้วยสายตาที่งุนงง
“ที่นี่…”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องถามคำถามนี้ จะถามว่าที่นี่คือที่ไหนใช่มั้ย”
คิ้วของเขาขมวดแน่นราวกับไม่พอใจกับคำพูดอันแสนห้วนและไร้ซึ่งความสุภาพของฉัน ดูจากการแต่งตัวแล้ว อย่างน้อยก็คงเป็นขุนนางสมัยโชซอน คำพูดห้วนๆ ธรรมดาๆ ของผู้หญิงที่ไม่สามารถระบุชนชั้นวรรณะได้คงแสลงหูสำหรับเขาไม่น้อยสินะ
“อืม ที่นี่น่ะ” พ่อเคยสอนวิธีรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ “สวรรค์หรือโลกบนท้องฟ้าไง! หมายถึงเมืองแห่งท้องฟ้าน่ะ รู้จักเมืองแห่งท้องฟ้ามั้ย”
“เมืองแห่งท้องฟ้ารึ…”
“ดูรอบๆ ตัวสิ เคยเห็นมั้ย เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกใช่มั้ยล่ะ ไม่รู้ใช่มั้ยว่าอะไรเป็นอะไร นี่แหละคือหลักฐานที่แสดงว่าที่นี่คือเมืองแห่งท้องฟ้า”
“เมืองแห่งท้องฟ้ารึ ถ้าเช่นนั้นข้าก็สิ้นลมแล้วน่ะสิ”
“เอ่อ…จะพูดยังไงดี นายยังไม่ตาย เดี๋ยววันนี้ตอนค่ำๆ ฉันจะส่งนายกลับไปยังที่ที่นายจากมา เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้เฉยๆ ก็แล้วกัน”
“ข้าทำกระไรผิด เหตุใดท่านเทพจึงลงทัณฑ์ข้าเช่นนี้”
“เรื่องนั้นเอาไว้รอให้ท่านเทพกลับมาแล้วค่อยคุยกันเถอะนะ”
แน่นอนว่าท่านเทพก็คือพ่อของฉันเอง ถ้าพ่อรู้ว่าคนจากโชซอนเรียกท่านว่าท่านเทพ พ่อจะชอบหรือเปล่านะ
“ท่านเทพรึ ที่แห่งนี้คือเมืองแห่งท้องฟ้าของท่านเทพจริงๆ รึ”
เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดของฉัน ดังนั้นวิธีรับมือกับเรื่องนี้จึงมีเพียงแค่วิธีเดียว ฉันหันไปเปิดหน้าต่างที่มีเพียงแค่บานเดียวในห้องหนังสือ วิธีนี้เป็นวิธีสุดขั้วที่พ่อเคยบอกให้ระวังและถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรทำ แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นวิธีที่ดีมากที่จะสื่อสารให้คนที่มาจากยุคโชซอนเข้าใจ
“ดูข้างนอกโน่นสิ”
เขามองไปนอกหน้าต่างตามคำพูดของฉัน บ้านของฉันอยู่บนอพาร์ตเมนต์ชั้นสามสิบ ทันทีที่เขามองเห็นผู้คนด้านล่างที่เคลื่อนไหวราวกับกองทัพมด สีหน้าของเขาก็พลันซีดเผือด
“เป็นไปไม่ได้…”
เขาจ้องมองเบื้องล่างอยู่พักใหญ่ราวกับไม่อยากจะเชื่อ จนในที่สุดก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น อาการช็อกขนาดนี้คงจะพอให้สงบนิ่งนั่งรอพ่อจนถึงหัวค่ำได้นะ
“เอาล่ะ ใจเย็นๆ นะ อยู่แต่ในห้องนี้ อย่าไปไหน แล้วนายจะได้กลับไปยังที่เดิม คอแห้งมั้ย ที่นี่มีทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้…”
เขาเอาแต่นั่งหน้าซีดเผือดไม่ยอมพูดยอมจา ซึ่งฉันเข้าใจอาการช็อกแบบนี้เป็นอย่างดี เพราะฉันเคยสัมผัสกับอาการนี้เมื่อเก้าปีที่แล้วที่ตัวเองไปโผล่ในยุคโชซอน ฉันจึงสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง และตอนนั้นฉันอายุเพียงแค่เก้าขวบ ซึ่งเด็กกว่าเขาในตอนนี้เยอะมาก
“เฮ้อ…”
ฉันคิดจะปล่อยเขาให้นั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวออกจากห้องหนังสือ เขาก็ยืนขึ้นแล้วเรียกฉัน
“แล้วแม่นางคือใคร”
ฉันรู้สึกลำบากใจกับคำถามนี้ ที่ผ่านมาพ่อเคยพาคนจากยุคโชซอนมายังโลกปัจจุบันหลายต่อหลายคน แต่ทุกครั้งพ่อจะอยู่ด้วย ฉันจึงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวว่าฉันคือใคร เพราะพ่อได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของฉันมีเพียงแค่เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในโชซอนเมื่อวัยเด็กเพื่อให้คนเหล่านั้นรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย แต่สำหรับเขาคนนี้ ฉันไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องสมัยที่ฉันอยู่โชซอนให้ฟังสักเท่าไหร่ เพราะเขาดูมีท่าทีถือตัวว่าเป็นผู้สูงศักดิ์
“ฉัน…เป็นแค่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่”
“อาศัยอยู่ที่นี่รึ”
“รู้แค่นี้ก็พอแล้ว” ฉันพูดพลางก้มหยิบช้อนขึ้นมาจากพื้นและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ว่าแต่นายอายุเท่าไหร่เหรอ”
“สิบแปดปี”
อายุเท่าฉันเลย ฉันพยักหน้าให้กับความจริงที่เพิ่งรับรู้ แล้วเดินออกมาจากห้องหนังสือเงียบๆ พอถึงห้องครัว ก็ล้างช้อนแล้วนั่งกินข้าวต่อ
พ่อของฉันเป็นนักท่องเวลา แน่นอนว่าตระกูลของเราคือตระกูลของนักท่องเวลาที่ถ่ายทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ถ้าจะถามฉันถึงเรื่องประวัติของตระกูลตัวเองล่ะก็ ฉันไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เพราะมันคงจะไม่สนุกและไม่น่าสนใจเลยสักนิด
ฉันรู้แต่เพียงว่าผู้หญิงทุกคนในตระกูลของเราเดินทางข้ามเวลาได้ แต่จะแตกต่างจากผู้ชายในตระกูลตรงที่ไม่สามารถเดินทางย้อนกลับมาเวลาเดิมได้ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก ‘ผู้ชาย’ ในตระกูล พูดง่ายๆ ก็คือผู้หญิงในตระกูลไม่สามารถเดินทางข้ามเวลาตามอำเภอใจได้ และไม่สามารถกำหนดวันเวลาเองได้
เพราะข้อจำกัดที่ไม่เป็นธรรมนี้ฉันจึงต้องเผชิญกับเรื่องราวอันโหดร้ายในวัยเด็ก ตอนนั้นฉันอายุเก้าขวบ วันนั้นเป็นวันหยุดที่พ่อง่วนอยู่กับการทำสปาเก็ตตี้ของโปรดฉันอยู่ในครัว ส่วนฉันกำลังอ่านพระราชประวัติพระเจ้าเซจงมหาราชอยู่ในห้องนอนของตัวเอง
ในสายตาของฉันที่เป็นเด็ก พระเจ้าเซจงมหาราชนั้นเท่มาก ฉันอ่านพระราชประวัติของพระองค์จนจบพร้อมมีความปรารถนาเล็กๆ ในใจว่าอยากเจอพระองค์สักครั้ง ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าตระกูลของตัวเองเป็นตระกูลนักท่องเวลา พ่อบอกว่าถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ พ่อก็ไม่คิดที่จะบอกความจริงนี้ให้ฉันฟังไปตลอดชีวิต
ในตอนนั้นฉันเพียงแค่คิดเฉยๆ ว่าอยากเจอพระเจ้าเซจงมหาราช แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่คิดก็สามารถเปิดประตูแห่งกาลเวลาและย้อนกลับไปสู่อดีตได้ วินาทีนั้นฉันรู้สึกถึงสายลมอุ่นๆ พัดมากระทบที่ใบหูอย่างแผ่วเบา
และนั่นคือการเดินทางข้ามเวลาครั้งแรกของฉัน
ฉันได้เดินทางไปยังยุคโชซอนใน ค.ศ. 1447 และได้พบกับพระเจ้าเซจงมหาราช พระองค์ทรงเป็นคนดีอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิด พระองค์ทรงท้วมเล็กน้อยต่างจากภาพวาดในหนังสือ ท่าทางการเดินก็ดูงกเงิ่น มองเผินๆ ไม่ค่อยสะดุดตา
‘เจ้าหลงทางรึ…’
พระองค์คิดว่าฉันเป็นเด็กหลงทาง จึงให้ฉันอยู่ในความดูแลของซังกุงส่วนพระองค์ หากฉันย้อนเวลาไปยังโชซอนแล้วไม่ได้เจอกับพระองค์ ฉันอาจจะถูกขับไล่ออกจากวัง ถ้าเลวร้ายที่สุดคือถูกสอบสวนและขังคุก
พระเจ้าเซจงทรงอนุญาตให้ฉันพำนักอยู่ในวังได้ในฐานะนางในฝึกหัด ทั้งที่ฉันไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ระบุเกี่ยวกับตัวตนและชนชั้นวรรณะของตัวเองเลย ไม่เพียงแค่นั้น พระองค์ยังให้ฉันได้ร่ำเรียนหนังสือกับเหล่าองค์หญิงอีกด้วย สิ่งนี้เป็นสิทธิพิเศษที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
จนในที่สุดฉันก็ได้กลายเป็น ‘หญิงสาวแห่งโชซอน’ ไม่ได้เป็นคนธรรมดาอีกต่อไป ฉันไม่สามารถมีเพื่อนได้ แม้จะเป็นคนที่อายุเท่ากันก็ตาม แถมยังต้องใช้ภาษาในรั้วในวังซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ฉันคุ้นเคย ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบันเมื่อไหร่ จะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้นฉันต้องยอมรับในโชคชะตานี้ มันถือเป็นประสบการณ์ที่โหดร้ายยิ่งนักสำหรับเด็กนักเรียนประถมที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างฉัน
ฉันใช้ชีวิตที่โชซอนนานถึงห้าปีจนลืมชีวิตของโลกปัจจุบันที่เคยใช้มาเก้าปีไปแล้ว ฉันกลายเป็นหญิงสาวโชซอนเต็มตัว และในที่สุดพ่อก็ตามหาฉันจนเจอ แม้จะไม่รู้ว่าตามหาฉันเจอได้อย่างไร แต่พ่อก็สามารถพาฉันกลับมายังโลกปัจจุบันได้
แต่มันไม่จบเพียงเท่านั้นน่ะสิ เนื่องจากฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ฉันเกิดและเติบโตได้ ฉันใช้ภาษาเกาหลีแบบโบราณ และเขียนตัวอักษรจีนได้คล่องกว่าตัวอักษรเกาหลี และที่โชซอนฉันถูกสอนมาว่าการนิ่งเฉย ไม่แสดงตนออกนอกหน้า มีกิริยานอบน้อมนั้นคือมารยาทอันดีของผู้หญิง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตนักเรียนและเพื่อนรุ่นเดียวกันได้ สุดท้ายฉันก็โดนเพื่อนแกล้งและเรียนไม่ทันเพื่อน พ่อจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ฉันลาออก แล้วสอนหนังสือฉันที่บ้านด้วยตัวเอง นี่คือวิธีในการปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันที่ดีที่สุดสำหรับฉันที่ไปใช้ชีวิตในยุคโชซอนมาถึงห้าปี
จนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว ฉันสามารถปรับตัวได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน ฉันก็หมกมุ่นกับการสอบเทียบวุฒิการศึกษา การสวมชุดนักเรียนเป็นเพียงแค่ความฝันสำหรับฉันที่ไม่มีวันได้เป็นจริง
โครม!
จำได้ว่าเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ ไปแล้ว ครั้งนี้ก็ยังมีเสียง ‘โครม’ ดังแว่วมาจากห้องหนังสืออีกรอบ เสียงนี้ทำให้หงุดหงิดใจเสียจริง ฉันพยายามจะไม่หันไปมองทางห้องหนังสือโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงนั้น
อายุสิบแปดเป็นวัยแห่งการอยากรู้อยากเห็น แต่ฉันไม่รู้ว่าชายหนุ่มวัยสิบแปดปีที่มาจากยุคโชซอนนั้นมีความคิดความอ่านอย่างไร คนส่วนใหญ่ที่พ่อเคยพามาจากอดีตมักอยู่ในวัยกลางคน และแทบทั้งหมดจะเป็นชาวบ้านหรือทาสที่ไม่รู้แม้กระทั่งตัวหนังสือ พวกเขามายังศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดพร้อมกับพ่อ พักอยู่เพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปอย่างเงียบๆ ภาพในโลกอนาคตที่พวกเขาเห็นนั้นเขาจะจำเพียงแค่ ‘โลกแห่งท้องฟ้า’ หรือไม่ก็จำเพียงแค่ ‘ความฝัน’ เท่านั้น แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเขาเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์
เสียงดังโครมครามเงียบหายไปจนกระทั่งฉันกินข้าวจนหมด แต่ขณะที่กำลังเก็บถ้วยชามนั้น จู่ๆ ฉันก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาจนต้องทรุดลงไปนั่ง
“โอ๊ย…”
ขาเริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว แต่หัวยังปวดอยู่ ทันใดนั้นฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอาการปวดหัวนี้ต้องมีที่มาจากเขาที่อยู่ในห้องสมุดแน่นอน ฉันจึงตรงไปยังห้องสมุดทันที
พอเปิดประตู เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ ตอนนี้เขาถอดหมวกทรงสูงไว้ข้างๆ ในมือมีหนังสือเล่มหนึ่ง ดูเหมือนกำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ ฉันจึงรีบสาวเท้าเข้าไปแย่งหนังสือมาทันที
“พ่อแม่ไม่เคยสั่งเคยสอนเหรอว่าห้ามหยิบของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เขาทำหน้างุนงงกับน้ำเสียงหงุดหงิดของฉัน พอก้มอ่านชื่อหนังสือที่เขาอ่านอยู่เมื่อกี้ก็พบว่าบนปกมีตัวอักษรจีนเขียนเอาไว้ว่า ‘พงศาวดารพระเจ้าอินโจ’ ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือปกแข็งที่จัดทำขึ้นมาใหม่โดยคณะกรรมการเรียบเรียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่หนังสือที่ถูกเขียนขึ้นในยุคโชซอน ดังนั้นจึงยากสำหรับเขาในการทำความเข้าใจภาษาปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ควรอ่าน
ในช่วงที่นักท่องเวลาได้อยู่ใกล้กับคนที่มาจากอดีต ถ้าคนจากอดีตได้รู้ ‘อนาคต’ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอดีตของตัวเอง นักท่องเวลาก็จะมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง พ่อพาเขามาจากอดีตก็จริง แต่พ่อไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ดังนั้นฉันที่เป็นนักท่องเวลาที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดจึงรู้สึกปวดหัวแทนพ่อ ซึ่งพ่อมักบอกเสมอว่าอาการแบบนี้คือ ‘คำเตือน’ คือการเตือนเพื่อป้องกันไม่ให้คนในอดีตรู้ความจริง เพราะถ้าคนในอดีตรู้ความจริง มันจะส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์แน่นอน
ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องคำเตือนนั่นสักเท่าไหร่ ฉันใส่ใจแค่ว่าการกระทำของเขาทำให้ฉันต้องปวดหัว ฉันอยากชกหน้าเขาสักหมัดจริงๆ
“บอกแล้วไงว่าให้อยู่เฉยๆ!”
“ข้าขอโทษ…” เขาเอ่ยปากขอโทษพร้อมกับทำหน้าสลด
ตอนนี้เขาไม่ได้สวมหมวก ฉันจึงพบว่าใบหน้าของเขาหล่อมาก หล่อจนอยากจะรีบยื่นหนังสือกลับคืนไปให้เลยล่ะ ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่พวกบ้าผู้ชายหล่อแต่ฉันก็ลดความแข็งของน้ำเสียงลงไปอีกหลายระดับ
“ถ้าเบื่อก็อ่านหนังสือเล่มอื่นนะ อ่านแค่เล่มที่ฉันเลือกให้อ่านก็พอ”
ทันทีที่น้ำเสียงของฉันอ่อนลง เขาก็พยักหน้ารับช้าๆ
“ว่าแต่ นายอ่านหนังสือออกด้วยเหรอ”
คำถามของฉันทำให้เขาขมวดคิ้วทันที
“ข้าร่ำเรียนมาทุกตำรา จึงรู้หนังสือ ว่าแต่เจ้ารู้หนังสือด้วยรึ”
“ฉันก็ได้เรียนมาทุกตำราเหมือนกัน”
แน่นอนว่าฉันได้เรียนทุกตำราของโชซอนเมื่อตอนที่ฉันข้ามเวลาไปยุคโชซอน เมื่อสี่ปีก่อนหลังจากที่พ่อพาฉันกลับมายังยุคปัจจุบันและได้ไปโรงเรียน ฉันก็บอกกับเพื่อนๆ ว่าฉันไปเจอพระเจ้าเซจงมหาราชมา และได้เรียนทุกตำราของโชซอน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้ฉันเข้าสู่เส้นทาง ‘การโดนเพื่อนกลั่นแกล้ง’
“กษัตริย์พระองค์ก่อนคือใครเหรอ”
ที่ถามเพราะจะได้หยิบหนังสือที่อยู่ในยุคที่เขาอาศัยอยู่ออกมาให้อ่าน แม้หนังสือในยุคนั้นจะมีไม่มากนักก็ตาม
“หมายถึงพระนามหลังสวรรคตของกษัตริย์พระองค์ก่อนอย่างนั้นรึ”
“ใช่”
“เจ้าถามเรื่องนั้นทำไม”
ฉันถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะตอบ “ฉันเห็นว่านายดูเบื่อๆ ก็เลยจะหาหนังสือให้อ่านน่ะ ไม่อยากอ่านก็ตามใจ”
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยออกมา “พระเจ้ามยองจง…”
“โอเค”
ฉันรีบพูดตัดบท แล้วเริ่มหาหนังสือในกอง
“ถ้าเป็นพระเจ้ามยองจงล่ะก็…”
หากพระเจ้ามยองจงเป็นกษัตริย์องค์ก่อน เท่ากับว่าเขามาจากยุคพระเจ้าซอนโจสินะ มาคิดดูแล้ว ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พ่อหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาประวัติองค์ชายควังแฮ เขาคนนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายควังแฮแน่นอน พ่อจึงพามาถึงที่นี่
“เล่มนี้ดีกว่า” ฉันหยิบหนังสือพยากรณ์ให้ “หนังสือพยากรณ์น่าจะสนุกดีนะ”
“หนังสือพยากรณ์รึ”
“น่าจะแพร่หลายในหมู่ชาวบ้านยุคพระเจ้ามยองจง เคยอ่านมั้ย”
เขาอ่านชื่อบนปกที่เขียนด้วยตัวอักษรจีนก่อนตอบว่า
“หนังสือไร้สาระพรรค์นั้นข้าไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นหรอก”
ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดกับคำพูดของฉัน มันก็น่าหงุดหงิดอยู่หรอก มาอยู่ในสถานที่ประหลาด แถมยังได้ยินคำพูดไม่สุภาพจากผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดอีกด้วย ดูท่าทางเขาจะเป็นขุนนางที่เย่อหยิ่งอวดดีไม่น้อยเลยล่ะ ชุดก็เป็นผ้าแพรที่มีราคา มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่น่าใช่ขุนนางธรรมดา แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องกลัว เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ไม่ใช่ยุคโชซอน
“ไม่เคยอ่านหนังสือพวกนี้ แสดงว่าผ่านช่วงสงครามอิมจินที่ญี่ปุ่นเข้ามารุกรานแล้วน่ะสิ”
แล้วทันใดนั้นเองฉันก็รู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว สงครามอิมจินเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าซอนโจ แต่เขาอาศัยอยู่ในช่วงก่อนเกิดสงครามอิมจิน ก็เท่ากับว่าฉันได้ทำผิดพลาดร้ายแรงที่พูดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเขาออกไป
ฉันรีบหลับตารอคอยอาการปวดหัว แต่รอหลายวินาทีก็ยังไม่รู้สึกปวดหัวเลยสักนิด คำว่า ‘ญี่ปุ่นเข้ามารุกราน’ ที่ออกมาจากปากของฉันเป็นคำพูดที่ร้ายแรงมาก แต่แทนที่เขาจะตกใจแล้วถาม เขากลับนิ่งเฉย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาผ่านช่วงสงครามอิมจินมาแล้ว
เขาคงรู้จักสงครามที่กินเวลายาวนานเจ็ดปีเป็นอย่างดี ฉันรู้สึกผิดและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังแดงก่ำ
ยุคที่เขาอาศัยอยู่น่าจะเป็นช่วงระหว่างเกิดสงครามหรือไม่ก็ช่วงหลังสงครามแน่ๆ สงครามอันตรายจะตาย ทำไมพ่อต้องเดินทางข้ามเวลาไปยุคนั้นด้วยนะ
พ่อมักจะท่องเวลาไปยังช่วงเวลาที่ไม่มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ และจะไม่เสี่ยงพาคนที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์โดยตรงหรือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มายังยุคปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นเขาคนนี้ก็คงจะไม่น่าเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์มากนัก พ่อจึงพามา
หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมได้พักใหญ่ เขาก็นั่งลงบนพื้นห้องที่คับแคบแล้วเปิดหนังสือพยากรณ์อ่าน
“ผมทรงนี้เท่จังเลยนะ”
ฉันพยายามพูดทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัด ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ เขาเอาแต่เปิดหนังสือโดยไม่ใส่ใจฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันจึงเอื้อมมือไปแตะผมของเขาเบาๆ
หมับ!
เขาคว้าข้อมือของฉันเอาไว้ทันที อะไรกัน อายุก็เท่ากันแท้ๆ ทำเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างไปได้
“ไร้มารยาท!”
“โอ๊ย! เจ็บ…”
แต่เขากลับยิ่งบีบแรงขึ้นอีก
“เจ็บนะ! ฉันบอกว่าเจ็บไงเล่า”
ทันทีที่ฉันตะโกนด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน เขาก็ปล่อยมือออก ฉันรู้สึกเจ็บราวกับข้อมือจะหลุด
“ถ้าฉันพูดจาแรงไปก็ขอโทษด้วย แต่นายไม่เห็นต้องโกรธแล้วทำถึงขนาดนี้เลยนะ”
พอสายตาเหลือบไปเห็นดาบที่วางอยู่ข้างกาย ฉันก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวานทันที ถ้าเขาโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่จนหยิบดาบขึ้นมาล่ะก็ ฉันต้องแย่แน่ๆ
“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเสียเถอะ”
น้ำเสียงและท่าทางของเขาดูเย่อหยิ่งจองหองราวกับกำลังพูดจากับข้าทาสบริวาร ฉันจำท่าทางและน้ำเสียงแบบนี้ได้ดีในสมัยที่ฉันเป็นนางในฝึกหัด ซังกุงมักชอบทำท่าและพูดจาแบบนี้กับฉันราวกับฉันเป็นลูกสุนัขเล็กๆ ตัวหนึ่ง
ขณะที่ฉันคิดว่าน่าจะโยนหนังสือไว้ให้แก้เหงาอีกสักเล่มเพื่อไม่ให้เขาฟุ้งซ่าน
จ๊อก…
ฉันพยายามค้นหาที่มาของเสียงนั้น พอเดินเข้าไปใกล้เขาและเงี่ยหูฟัง ฉันก็ได้ยินเสียงนั้นดังอีกครั้ง
จ๊อก…จ๊อก…
ใบหน้าของเขาแดงก่ำพร้อมกับเสียงที่ดังยิ่งกว่าเดิม
“อ่ะแฮ่ม! อ่ะแฮ่ม! อ่ะแฮ่ม!” เขาพยายามกระแอมเพื่อกลบเสียง แต่ก็ไม่ได้ผล
“นาย…”
“อ่ะแฮ่ม! ข้าบอกให้เจ้าออกไป”
ตอนนั้นเองฉันจึงเข้าใจว่าความโกรธผสมความหงุดหงิดของเขานั้นมีต้นตอมาจากความหิว
“หิวเหรอ”
“อ่ะแฮ่ม!”
เขากระแอมพลางหลบตา ฉันจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ยิ่งใบหน้าของเขาแดงเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหัวเราะดังขึ้นเท่านั้น
“ข้าบอกให้เจ้าออกไปอย่างไรเล่า”
“โอเคๆ ตามฉันออกมานะ”
“เจ้าจะทำสิ่งใด”
“ก็หิวไม่ใช่เหรอ ถ้าหิวก็ต้องกินข้าวสิ รู้หรือเปล่าว่าวันนี้นายโชคดีสุดๆ ไปเลยนะ”
ไม่รู้ทำไม แต่ฉันแค่คิดว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้ฉันกับเขาสนิทกันมากขึ้น
เขาเดินตามออกมาหยุดยืนที่ห้องนั่งเล่น ส่วนฉันก็เดินไปที่ห้องครัว ตักข้าวใส่ชาม อุ่นแกงที่เหลืออยู่ให้ร้อนพร้อมใส่ต้นหอมลงไป เมื่อได้กลิ่นอาหารหอมฉุย เขาก็เดินมาที่ครัวแล้วหยุดมองที่โต๊ะอาหาร
“ยืนงงอยู่ทำไม ไม่นั่งลงล่ะ”
เขามองฉันด้วยแววตาที่เหมือนไม่รู้ว่าจะต้องนั่งตรงไหน ฉันจึงชี้ไปที่เก้าอี้
“เก้าอี้ตัวนี้ได้มาจากอาณาจักรหมิงน่ะ นายก็พอรู้จักของแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะนั่งอย่างระมัดระวัง โดยมือสองข้างพยายามจับโต๊ะเพื่อให้ร่างกายสมดุล ฉันเกือบจะหลุดขำออกมาอีกครั้ง แต่ก็กลั้นเอาไว้ได้ทัน
“ไม่รู้จะถูกปากรึเปล่านะ…” ฉันพูดพลางยื่นช้อนกับตะเกียบให้ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบ
ซู้ด… ง่ำๆๆๆ
เขาลงมือกินข้าวอย่างมูมมามราวกับไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวัน เป็นชนชั้นบรรดาศักดิ์แท้ๆ ทำไมถึงอดอยากปากแห้งแบบนี้นะ
“ค่อยๆ กินก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก อดอยากมากเลยเหรอ”
ข้าวในชามหายวับไปกับตา ซุปก็ถูกซดหมดจนแทบจะกลืนถ้วยตามเข้าไป ฉันจึงตักข้าวเพิ่มให้อีกชาม แล้วยื่นแก้วน้ำเปล่าให้ พอเห็นสายตาของเขามองแก้วน้ำด้วยความสงสัย ฉันก็รีบหาเหตุผลทันที
“ของพวกนี้มาจากอาณาจักรหมิงเหมือนกันน่ะ”
แก้วน้ำจานชามพวกนี้พ่อซื้อมาจากร้านขายสินค้าพันวอน มันก็ Made in China เหมือนกันนั่นแหละ
เขาใช้สองมือยกแก้วน้ำขึ้นมาราวกับประคองถ้วยชา แล้วดื่มน้ำในแก้วจนหมด จากนั้นก็เริ่มกินข้าวต่อ
“วันนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลยเหรอ”
เขาส่ายหัวแทนคำตอบ
“หนึ่งวันเหรอ”
เขาส่ายหัวอีกครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าที่ขาวผ่องและดวงตาที่เป็นประกายกำลังจับจ้องมาที่ฉัน
“สามวัน”
“สามวัน?! จริงเหรอ ไม่ได้กินอะไรสามวันเนี่ยนะ ทำได้ไงเนี่ย”
เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง แต่ไม่ได้กินข้าวสามวันเนี่ยนะ ดูเสื้อผ้าแล้วก็ไม่เห็นจะเหมือนคนอดอยากเลยสักนิด ที่เอวก็มีป้ายหยกหักครึ่งห้อยอยู่ด้วย
“ทำไมไม่ขายป้ายหยกนั่น แล้วเอาเงินไปซื้อข้าวกินล่ะ”
เขาก้มลงมองที่เอวของตัวเองตามคำพูดของฉัน ก่อนจะวางช้อนแล้วหยิบป้ายหยกที่หักครึ่งขึ้นมาอย่างหวงแหน
“ทุกอย่างข้าขายได้ ยกเว้นสิ่งนี้”
“ทำไมล่ะ ของสำคัญเหรอ”
“คนที่มอบสิ่งนี้ให้ข้าสำคัญสำหรับข้ามากกว่าผู้ใด มันแตกครึ่ง อีกส่วนได้หายไป ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน…”
ฟังดูแล้วไม่น่าใช่สมบัติที่สืบทอดมาจากวงศ์ตระกูล
“กินอีกมั้ย”
“ข้าไม่กินแล้ว”
พออิ่มท้องก็เริ่มกลับมาวางมาดขุนนางต่อสินะ ฉันคิดที่จะล้อเลียนเรื่องที่เขากินอย่างมูมมาม แต่ดวงตาของเขายามมองป้ายหยกหักครึ่งนั้นดูเศร้าสร้อยมากจนฉันไม่กล้า
“อยากกินอะไรตบท้ายมั้ย”
“กินอะไรตบท้ายรึ”
“หมายถึงของกินเล่นหลังอาหารน่ะ เห็นอย่างนี้ฉันก็มีฝีมือทำอาหารนะ”
“ไม่”
เขามองฉันด้วยแววตาสำรวจราวกับไม่เชื่อในฝีมือทำอาหารของฉัน ฉันเคยถูกส่งไปทำงานที่ห้องเครื่องของพระเจ้าเซจงตั้งห้าปีนะ ตลอดห้าปีนั้นฉันได้เห็นอาหารที่ขุนนางธรรมดาอย่างนายไม่เคยเห็นมาตลอดชีวิตเลยล่ะ
“ถึงจะดูไม่ได้เรื่อง แต่ฝีมือทำอาหารของฉันน่ะระดับนางในสังกัดห้องเครื่องเชียวนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”
“นางในแห่งห้องเครื่องรึ ที่นี่มีห้องเครื่องด้วยรึ”
“ห้องเครื่องก็ต้องอยู่ในวังสิ ที่นี่จะไปมีได้ยังไงล่ะ ที่ฉันต้องการจะบอกก็คือฝีมือของฉันน่ะเทียบได้กับนางใน สังกัดห้องเครื่อง ดังนั้นนายอยากกินอะไรก็ว่ามาเลย เห็นว่าอายุเท่ากันหรอกนะ ฉันเลยจะทำให้เป็นพิเศษ”
“อายุเท่ากัน เจ้ากับข้าอายุเท่ากันอย่างนั้นรึ”
“อือ” ฉันยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า
เขาคิดอะไรอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยกับฉันว่า “ข้าอยากกินไข่ต้ม”
“ไข่ต้มเนี่ยนะ ธรรมดาจัง ฉันนึกว่าจะได้ยินชื่ออาหารอะไรยากๆ หน่อยเสียอีก”
“สิ่งที่ข้าชอบมากที่สุดคือไข่ต้ม เพราะเป็นอาหารชนิดเดียวที่ท่านแม่ของข้าเคยป้อนข้า”
ฉันไม่เชื่อคำพูดของเขาจึงถามซ้ำ “คุณแม่ของนายป้อนไข่ต้มให้กินอย่างเดียวเองเหรอ”
สิ่งที่เขาชอบไม่ใช่อาหารระดับสูง แต่เป็นเพียงแค่ไข่ต้มธรรมดา ซึ่งที่บ้านฉันมีไข่อยู่แผงหนึ่งที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดเมื่อวานเย็น แล้วตอนนั้นเอง เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงราวกับหมดเรี่ยวแรง
“ท่านแม่ของข้าจากไปตั้งแต่ข้ายังเด็กมาก สิ่งที่ข้าจำได้เกี่ยวกับท่านแม่มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ท่านแม่ป้อนไข่ต้มให้ข้ากิน”
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีแม่ แต่เขาก็ยังจำเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ได้ ส่วนฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่เลยสักนิด นั่นเพราะวันที่ฉันเกิดคือวันที่แม่จากไป
“ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะ ฉันคงทำรสชาติเดียวกับคุณแม่ของนายไม่ได้หรอก ฉันก็คือฉัน”
“ข้ารู้” น้ำเสียงของเขายิ่งอ่อนแรงลง
“แต่ฉันจะทำไข่ต้มแบบที่นายไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในโชซอนให้กินเอง”
“ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนในโชซอนรึ” เขาทำสีหน้าสงสัย
“ใช่ เตรียมตัวรอได้เลย”
ฉันหยิบไข่สี่ฟองออกมาจากตู้เย็น ตั้งน้ำ แล้วเตรียมกระดาษหนาๆ ตะเกียบ และหนังยางสองเส้น ระหว่างนั้นในใจก็กังวลว่าเขาอาจจะงุนงงเมื่อเห็นเตาแก๊ส จึงชำเลืองไปมองทางโต๊ะอาหาร เขายังจ้องมองป้ายหยกที่อยู่ในมือ เขาคงจะกำลังนึกถึงแม่ที่จากไปอยู่ก็ได้
ฉันเริ่มสงสารเขาเข้าแล้ว แต่ไม่อาจอยู่ดูแลเขาจนถึงตอนที่พ่อกลับมาได้ เพราะฉันต้องไปโรงเรียนกวดวิชาทว่าการทิ้งเขาไว้คนเดียวก็ไม่ต่างไปจากระเบิดเวลา
พอไข่ต้มสุกได้ที่ ฉันปอกเปลือกแล้วใช้ตะเกียบกดลงตรงกลางไข่ จากนั้นหั่นครึ่งก็จะได้เป็น ‘ไข่ต้มรูปหัวใจ’ อันแสนพิเศษจนเขาถึงกับตกตะลึง เอาแต่จ้องมองอยู่นานสองนาน ฉันรอคอยคำวิจารณ์ของเขาผู้มาจากโชซอน แต่ก่อนที่จะได้ฟังคำวิจารณ์ เขากลับใช้ตะเกียบคีบไข่ต้มใส่ปากทันที
“เป็นไง ไข่รูปร่างแบบนี้กินแล้วอร่อยกว่าใช่มั้ยล่ะ”
เขาคีบไข่ต้มเพิ่ม แล้วเงยหน้ามองมาทางฉัน
“รสชาติไม่เหมือนของท่านแม่เลย”
ใบหน้าของเขาช่างดูเฉยเมย ฉันเดาว่ามันคือความผิดหวัง
“ก็ฉันบอกแล้วไง รสชาติใครก็รสชาติมัน จะให้ทำเหมือนใครคงไม่ได้หรอก”
เขายิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยขึ้น “รูปร่างเช่นนี้เหมือนชุดสีขาวราวหิมะของหญิงสาวผู้งดงาม”
ดวงตาของฉันเบิกกว้างกับคำชมในแบบของโชซอน แน่นอนว่ายิ้มอ่อนโยนของเขานั้นทำให้ฉันถึงกับหน้าแดงบวกกับใบหน้าอันหล่อเหลาเกินมนุษย์ ยิ่งทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว
“ไม่ต้องพูดจาให้มันซับซ้อนหรอกน่า ดีก็ว่าดี ถ้างั้นๆ ก็บอกว่างั้นๆ”
“ไม่ใช่ ข้าว่ารสชาติดี ถ้ามีเกลืออีกนิดยิ่งดีกว่านี้ แต่…เกลือเป็นของหายาก…”
ฉันหยิบกระปุกเกลือที่วางอยู่ด้านในของโต๊ะอาหารขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาทำตาโตมองดูเกลือเต็มกระปุกด้วยความประหลาดใจ
“ที่นี่มีเกลือด้วยรึ”
“ที่นี่มีเกลือเพียบเลย ราคาก็ถูกด้วยนะ”
“ราคาถูก หมายความว่าใครๆ ก็หาได้อย่างง่ายดายอย่างนั้นรึ”
“ใช่แล้ว แต่นายต้องมีเงินซื้อนะ ฉันบอกแล้วไงว่าที่นี่คือโลกแห่งท้องฟ้า บนโลกแห่งท้องฟ้าน่ะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
“ก็ใช่…”
เขาเลื่อนจานมาขอเกลือ แล้วกินไข่ต้มอย่างเอร็ดอร่อย หลังกินเสร็จ เขาก็เดินไปดูภาพถ่ายที่ติดอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่น ส่วนฉันก็ส่งข้อความหายูจิน รุ่นน้องที่เรียนห้องเดียวกันที่โรงเรียนกวดวิชาสอบเทียบวุฒิการศึกษา
[วันนี้พี่มีธุระ คงไปไม่ได้ ฝากบอกอาจารย์ด้วยนะ]
แล้วคำตอบก็ถูกส่งกลับมาในทันที
[พี่ลืมแล้วเหรอคะว่าวันนี้เป็นวันทดลองสอบเทียบวุฒิโดยใช้ผลรวมของทุกคน ครั้งนี้ใช้ผลคะแนนสอบของทุกคนรวมกันแล้วหารกัน ถ้าพี่ไม่มาสอบ คะแนนรวมของห้องเราคงออกมาน้อยแน่นอนเลยค่ะ]
“โอ๊ย…”
ฉันลืมเสียสนิทเลยว่าวันนี้มีสอบ! แต่ที่บ้านกลับมีคนจากโชซอนโผล่มา แถมพ่อก็ไม่อยู่อีก จะมีคนในโลกนี้สักกี่คนที่ต้องตื่นมาเจอเรื่องแบบนี้แต่เช้า
“นี่นาย…นายนั่นแหละ”
ฉันเดินไปหาเขาที่กำลังดูภาพถ่ายสมัยหนุ่มสาวของพ่อกับแม่ที่แขวนอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาหันมาตามเสียงเรียกก่อนจะหันกลับไปมองภาพถ่ายต่อ
“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าจิตรกรจะวาดรูปออกมาได้เหมือนจริงถึงเพียงนี้”
“อ๋อ จิตรกรมีชื่อว่า ‘กล้องถ่ายรูป’ น่ะ แต่พักเรื่องนี้ไว้ก่อน ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย…”
เขาเอาแต่จ้องมองภาพถ่ายราวกับไม่สนใจคำพูดของฉันเลย
“ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ารึ”
“หือ?”
“ดวงตากับจมูกของเจ้าเหมือนสตรีผู้นี้ นอกนั้นก็เหมือนกับชายผู้นี้”
“เอ่อ… ใช่ นั่นพ่อแม่ของฉันเอง”
เป็นครั้งแรกที่ฉันให้คนอื่นดูภาพถ่ายพ่อแม่ของฉัน หลังจบชั้นประถม ฉันก็ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนอีกเลย ดังนั้นจึงไม่เคยมีเพื่อนมาหาที่บ้าน ภาพถ่ายครอบครัวที่อยู่ในห้องนั่งเล่นจึงกลายเป็นของประดับห้องไปโดยปริยาย ดังนั้นพอมีใครสักคนพูดถึง ‘ของประดับ’ ชิ้นนี้ ความรู้สึกก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจของฉัน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกเหลือเกิน
“เช่นนั้นรึ แต่ภาพวาดภาพอื่นไม่มีท่านแม่ของเจ้าเลย มีเพียงแค่ท่านพ่อของเจ้าเท่านั้น”
“คือว่า…แม่ของฉันเสียชีวิตไปแล้วน่ะ ในวันที่ฉันเกิด”
ตอนนั้นเอง เขาก็หันกลับมามองฉัน
“ที่นี่คือโลกแห่งท้องฟ้ามิใช่รึ บนโลกแห่งท้องฟ้ามีคนตายด้วยรึเนี่ย”
มันเป็นคำถามที่ฉันไม่คาดฝัน
“คือ… คือว่า…”
เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาเสียทีนะ ฉันอยากจะจับเขาคนนี้โยนกลับเข้าไปในห้วงของกาลเวลาเสียเหลือเกิน พอฉันสับสนจนพูดอะไรไม่ออก เขาก็ยิ้มและพูดขึ้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้านึกไว้แล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมายังโลกแห่งท้องฟ้านี่ได้อย่างไรกัน ข้าเข้าใจตั้งแต่กินอาหารที่เจ้าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว ถ้าเป็นอาหารของโลกแห่งท้องฟ้าก็จะต้องต่างจากอาหารที่เจ้าทำ แต่อาหารที่เจ้าทำนั้นมันไม่ต่างไปจากอาหารที่ข้ากินในโชซอนเลย ตอนนี้เจ้าพูดออกมาตรงๆ เถิด ที่นี่คือหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างโชซอนกับอาณาจักรหมิงใช่หรือไม่ หรืออยู่ขึ้นไปทางเหนืออีก ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนั้นแต่งกายแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และที่นั่นมีสิ่งของมากมายที่แม้แต่ในอาณาจักรหมิงก็ไม่มี ถ้าที่นี่คือที่แห่งนั้น แล้วข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน จะว่าถูกจับตัวมาก็คงไม่ใช่”
“คือว่า…”
ฉันกำลังตกที่นั่งลำบาก จะบอกความจริงออกไปก็ทำไม่ได้ แต่ทันใดนั้นเองฉันก็นึกได้ว่าต้องอธิบายออกไปว่ายังไง
“เออใช่แล้ว ที่นี่คือโลกตรงกลางไง!”
“โลกตรงกลางรึ”
“ก็คือ…รอยต่อของสวรรค์ยังไงล่ะ!”
“รอยต่อสวรรค์หมายถึงสถานที่ทางหลักศาสนาอย่างนั้นรึ”
“ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา ก่อนที่จะมาโผล่ที่นี่ นายทำอะไรอยู่ จำได้มั้ย”
เขากลอกตาไปมา “กำลังถือดาบอยู่ ตั้งใจจะ…ปกป้องใครสักคน…”
“ถูกต้อง! นั่นแหละๆ ตอนนั้นนายบาดเจ็บมาก เพราะบาดเจ็บมากก็เลยมาโผล่ที่รอยต่อสวรรค์ไงล่ะ นายยังไม่ตาย แต่ถ้าจะกลับไปยังโชซอนอีกครั้งก็ต้องรอหน่อย ซึ่งระหว่างนี้นายต้องเชื่อฟังคำพูดของฉัน”
คำพูดของฉันอาจจะฟังดูน่าสงสัย หรือไม่เขาก็งุนงงจนคิดตามไม่ทัน เขาจึงนิ่งเงียบไป แต่สักพักเขาก็หันมาทางฉันแล้วถามต่อ
“ข้ายังไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่ แล้วข้าจะกลับไปอีกครั้งได้รึ”
“อือ ได้สิ แต่ต้องรอนานหน่อยนะ เพราะมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
“ปัญหารึ”
“ใช่ ฉันต้องออกไปข้างนอก แต่นายจะต้องอยู่รอที่นี่จนกว่าจะได้กลับไป”
“แล้วอย่างไรต่อรึ” เขาฟังฉันอย่างตั้งใจ
“นายจะคอยอยู่ที่นี่โดยไม่แตะต้องอะไรเลยได้มั้ยล่ะ แต่หลายชั่วโมง เอ้ย! หลายเลยนะ”
“ให้ข้าไปกับเจ้าไม่ได้รึ” เขาถามพร้อมกับเลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อย
“ไปกับฉันเนี่ยนะ”
“เจ้าคือคนที่ข้าเจอเป็นคนแรกที่นี่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะต้องอยู่กับข้าตลอดเวลาจนกว่าข้าจะได้กลับไป”
“เหรอ”
“ข้าควรไปกับเจ้า”
“เอางั้นเหรอ”
พ่อหนุ่มโชซอนคิดจะเดินวางมาดตามท้องถนนของเกาหลีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด? สำหรับฉันมันคือการแค่ออกจากอพาร์ตเมนต์แล้วขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน แต่สำหรับนายมันคือโลกที่เหลือเชื่อเลยนะ! โลกที่ช่างเหมาะกับคำโกหกของฉันที่บอกว่าที่นี่คือรอยต่อสวรรค์
“เร็วเข้า รีบออกไปกันเถิด จะได้รีบกลับมาอย่างไรเล่า”
“คะ…คือว่า…”
“รีบออกเดินทางเถิด” เขาเอ่ยเร่งฉันอีกครั้ง
สุดท้ายฉันก็ออกมาข้างนอกกับเขา แต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือเวลาอยู่ข้างนอกเขาห้ามเปิดปากพูดเด็ดขาด ซึ่งเขาก็ยอมรับเงื่อนไขอย่างว่าง่ายโดยไม่ถามถึงเหตุผล แน่นอนว่าหากเขาเปิดปากพูดออกมาแม้เพียงสักนิด เรื่องชวนปวดหัวก็จะเกิดขึ้นทันที และฉันนี่แหละที่จะต้องรับผิดชอบด้วยความรู้สึก ‘ปวดหัวอย่างรุนแรง’
แต่มีความจริงที่ฉันลืมไปอยู่หนึ่งอย่างคือฉันลืมให้เขาเปลี่ยนชุดก่อนออกมา
“ถ่ายละครย้อนยุคเหรอ”
“ไหนๆ”
“ไม่เห็นมีกล้องเลย”
“แล้วเขาแต่งชุดแบบนั้นมาทำอะไรแถวนี้ หรือถ่ายวาไรตี้โชว์”
ทันทีที่ชายหนุ่มในชุดโบราณปรากฏตัวบนท้องถนน สายตาของทุกคนก็จับจ้อง บางคนถึงขั้นหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาตั้งท่าจะถ่ายรูป ทุกครั้งที่มีคนทำแบบนั้น ฉันจะต้องหันไปตะโกนห้ามปราม
“อย่าถ่ายนะคะ! เขาไม่ใช่ดาราหรอกค่ะ ถ้าถ่ายรูปฉันจะฟ้องร้องนะคะ!”
ถ้าเป็นพวกผู้ใหญ่เมื่อได้ฟังคำเตือนก็จะหยุดแล้วยิ้มอย่างละอายใจ แต่พวกเด็กนักเรียนหรือเด็กวัยรุ่นไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกนั้นตั้งใจจะถ่ายรูปเขาต่อไปโดยไม่สนใจจะฟังคำเตือน ฉันจึงต้องเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นอีก
“อย่าถ่ายค่ะ! ห้ามถ่าย!”
นี่ฉันไม่ได้เป็นผู้จัดการดาราสักหน่อย และฉันก็ไม่ได้สนุกเพลิดเพลินกับการขับไล่สายตาและการกระทำของคนเหล่านั้นด้วย ส่วนเขาน่ะเหรอ เอาแต่หมุนตัวมองโลกมหัศจรรย์โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่กำลังมองตัวเองเลยสักนิด จนฉันที่เดินอยู่ข้างหน้าจะต้องคอยหันไปมองเพราะกลัวเขาจะพลัดหลงไป ซึ่งทุกครั้งที่หันไปมอง เขาก็จ้องมองฉันกลับด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนจนฉันต้องหันหนีทุกทีไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก สุดท้ายฉันก็ทนสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้ จึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ซึ่งแม้แต่คนขับแท็กซี่เองก็ยังอดสงสัยไม่ได้เลย
“นี่ถ่ายรายการอะไรกันเหรอหนู” ลุงคนขับมองผ่านกระจกมองหลังอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนหนูแค่อยากแต่งตัวย้อนยุคน่ะค่ะ”
โชคดีที่ลุงคนขับเป็นคนไม่ค่อยยุ่งเรื่องของลูกค้า จึงหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถโดยไม่ถามอะไรอีก
“เฮ้! อย่าทำแบบนั้นสิ!”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ฉันดูเหมือนจะช็อกกับ ‘รถยนต์’ มาก เขากำลังเอาหน้าแนบกระจกพร้อมยกมือขึ้นถูไปมา ฉันมองภาพนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ผ่านไปยี่สิบนาที แท็กซี่ก็มาถึงหน้าโรงเรียนกวดวิชาที่ฉันเรียนอยู่ วันนี้เป็นวันทดลองสอบเทียบ แน่นอนว่าสายตาของนักเรียนหลากหลายอายุต่างมองมาที่เขาตั้งแต่ทางเข้า ฉันจึงได้แต่ส่ายหน้าให้กับสายตาอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นแล้วรีบลากเขาขึ้นมาที่ชั้นสอง
“พี่มาแล้ว! ว่าแต่…นั่นใครเหรอคะ”
“เอ่อ… ยูจิน คนนี้เพื่อนพี่เอง เขามาจากเขตเมืองเก่าน่ะ”
“คนเขตเมืองเก่าต้องแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“เอ่อ…” เขาทำท่าจะแทรกการสนทนาระหว่างฉันกับยูจิน ฉันจึงรีบบอกให้ยูจินเข้าห้องสอบ แล้วลากแขนเขาไปยังห้องว่างที่อยู่สุดระเบียงชั้นสอง
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าห้ามพูดเด็ดขาด”
“แค่พูดไม่กี่คำ ข้าว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่”
“ไม่ได้! ห้ามพูดเด็ดขาด”
หากเขาได้รับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์หลังจากยุคของเขาล่ะก็ฉันจะ ‘ปวดหัวอย่างรุนแรง’ แค่คิดก็สยองแล้ว
“รออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะรีบทำข้อสอบให้เสร็จแล้วรีบออกมา บางทีนายอาจจะได้กลับไปโชซอนเร็วขึ้นก็ได้” ฉันกดไหล่เขาให้นั่งลงแล้วเน้นย้ำอีกครั้ง “ฉันบอกว่ายังไงนะจำได้มั้ย”
เขาปิดปากสนิทพร้อมมองฉันด้วยหางตาอย่างไม่พอใจ แต่ฉันไม่มีเวลามาใส่ใจหรือเล่นสงครามประสาทด้วยหรอก
“ชิ! แล้วฉันจะรีบไปรีบมา”
“…”
“โอ๊ย! นั่งบื้ออยู่ได้ ไม่ตอบรับล่ะ”
“ก็เจ้าสั่งห้ามไม่ให้ข้าพูด”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ! แล้วก็อย่าไปไหนด้วย อยู่แต่ตรงนี้ เข้าใจมั้ย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อข้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็จงไปอย่างสบายใจเถิด”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องสอบ แล้วไม่นานนัก อาจารย์ก็เดินเข้ามา
“ทุกคนทราบกันแล้วนะคะว่าการสอบครั้งนี้มีทั้งหมดสามวัน วันนี้สอบวิชาภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ พรุ่งนี้สอบวิชาวิทยาศาสตร์ สังคม และประวัติศาสตร์เกาหลี ส่วนวันสุดท้ายแบ่งสอบตามวิชาเลือก คะแนนสอบนั้นจะเอามารวมกันทั้งห้องแล้วคิดค่าเฉลี่ย”
เสียงบ่นอุบอิบของนักเรียนสูงอายุดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย อาจารย์จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกรอบ
“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ นี่ไม่ใช่ข้อสอบจริงๆ แต่เป็นแค่การทดลองสอบเฉยๆ ค่ะ ขอให้คิดว่านี่เป็นการประเมินสิ่งที่ตัวเองได้เรียนมาจนถึงตอนนี้นะคะ เอาล่ะค่ะ จะแจกกระดาษข้อสอบแล้วนะคะ”
กระดาษคำถามถูกแจกมาหมดรวดเดียวทุกวิชาที่จะต้องสอบในวันนี้ ซึ่งฉันเคยลองทำข้อสอบมาหลายครั้งแล้ว ฉันเริ่มทำข้อสอบวิชาภาษาเกาหลีก่อนเป็นอันดับแรก ข้อสอบไม่ค่อยยากสำหรับฉันสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ยากสำหรับฉันในตอนนี้ก็คือชายที่มาจากโชซอน
“คยองมิน เธอคือที่หนึ่งของห้องเรา อาจารย์เชื่อว่าครั้งนี้เธอต้องทำออกมาได้ดีเหมือนเช่นเคยนะ” อาจารย์พูดให้กำลังใจขณะเดินผ่าน ฉันจึงส่งยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะลงมือทำข้อสอบต่อ
ข้อสอบวิชาภาษาเกาหลีนั้นต้องเขียนคำตอบเยอะ จึงต้องใช้เวลามากขณะที่กำลังทำข้อสอบข้อที่เจ็ด หัวฉันก็เริ่มปวดจี๊ดๆ ตอนแรกคิดว่าตัวเองคงกดดันกับการทำข้อสอบ แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นอาการปวดแบบเดียวกับเมื่อเช้าไม่มีผิด
“อย่าบอกนะว่า…”
อย่าบอกนะว่าเขาออกมาเดินเล่น แล้วไปหยิบหนังสือประวัติศาสตร์อ่าน แต่เขาไม่น่าจะอ่านตัวอักษรของยุคปัจจุบันออก ถึงจะอ่านออกก็ไม่น่าจะวิเคราะห์ความหมายได้ เพราะอักษรเกาหลีที่พระเจ้าเซจงมหาราชประดิษฐ์ขึ้นมานั้นถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ถ้าเช่นนั้นสาเหตุของการปวดหัวนี้คืออะไรกัน
แล้วการปวดหัวที่เริ่มจากการเจ็บจี๊ดก็เริ่มรุนแรงขึ้น วินาทีนั้นฉันปวดเบ้าตาไปหมดจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น และสุดท้ายฉันก็ทำปากกาตกลงพื้น
ตุ้บ!
ฉันทำท่าจะก้มตัวลงเพื่อเก็บปากกา แต่อาจารย์ก็เดินมาหยิบปากกายื่นให้ฉันเสียก่อน
“คยองมิน วันนี้ไม่สบายรึเปล่าจ๊ะ”
อาจารย์ถามด้วยความเป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในสภาพที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว อาจารย์จึงยกมือขึ้นอังหน้าผากของฉัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ ไม่สบายขนาดนี้ยังมาอีกเหรอ”
“หนูตัวร้อนเหรอคะ…”
ครั้งนี้ฉันเอามือแตะหน้าผากของตัวเอง ตัวร้อนถึงขนาดที่ฉันเองยังตกใจ ตอนเริ่มสอบร่างกายยังปกติดีอยู่เลย แต่จู่ๆ ทำไมถึงตัวร้อนได้ขนาดนี้ ต้นเหตุที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้คือเขาคนนั้นแน่นอน!
“อาจารย์คะ… หนูขอโทษนะคะ หนูขอสอบใหม่วันหลังได้มั้ยคะ… ตอนนี้หนูทำข้อสอบไม่ไหวแล้ว…”
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสอบนะ รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ…”
หลังจากเก็บกระเป๋าอย่างไร้เรี่ยวแรง ฉันก็ล่ำลาอาจารย์ แล้วเดินไปยังห้องที่อยู่สุดระเบียง พอเดินมาถึงก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังยื่นอะไรสักอย่างให้เขาแล้วเขาก็รับมันมาพร้อมกับมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น มันต้องเป็นบุหรี่แน่ๆ
บุหรี่เริ่มถูกนำเข้ามาในเกาหลีหลังจบสงครามอิมจิน แต่กว่าจะกลายเป็นบุหรี่สมัยใหม่แบบนี้ก็ใช้เวลากว่าสามร้อยปีเลยทีเดียว
ตอนนี้ขาของฉันไร้เรี่ยวแรงราวกับจะล้มได้ทุกเมื่อ ฉันพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินเข้าไปในห้อง
“ไอ้…ไอ้นั่น…ทิ้งไปซะ…”
พอพูดจบ ดวงตาของฉันก็มืดดับไปทันที
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
เสียงอะไรบางอย่างที่ดังแว่วเข้ามาในหูทำให้ฉันค่อยๆ ลืมตา สิ่งที่มองเห็นเป็นอันดับแรกคือเพดานสีขาว พอกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นเขานั่งหลับอยู่ ฉันจึงตระหนักได้ว่าสถานที่ที่ฉันตื่นขึ้นมาในตอนนี้ก็คือโรงพยาบาล แต่พอนึกถึงภาพสุดท้ายที่เขากำลังถือบุหรี่อยู่ในมือ ฉันก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งทันที
“ฟื้นแล้วเหรอคะ” พยาบาลเดินเข้ามาหา
“ค่ะ ที่นี่ที่ไหนคะ”
“โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนาริค่ะ” โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนาริเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้โรงเรียนกวดวิชามากที่สุด
“ฉันโทรหาผู้ปกครองตามเบอร์ที่มีอยู่ในมือถือแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ… คิกๆ” ระหว่างนั้นสายตาของพยาบาลก็เหลือบมองไปที่เขาที่กำลังนั่งหลับคอพับคออ่อนในชุดย้อนยุคเต็มยศ
“คิกๆ ขอโทษนะคะ ฉันถามนักเรียนที่ใส่ชุดโบราณคนนี้แล้ว แต่เขาไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรเลยสักคำ ตอนนี้คุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะคะ”
เขาช่างรักษาสัญญาที่มีกับฉันเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ
“คือ… ฉันไม่มีแม่ค่ะ อยู่กับพ่อสองคน และตอนนี้พ่อไปทำงานที่ต่างประเทศค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ แล้วมีญาติคนไหนที่น่าจะติดต่อได้บ้างมั้ยคะ”
“ฉันมีอาแค่คนเดียวค่ะ แต่ท่านก็อยู่เมืองนอกอีก”
“แต่ถ้าจะออกจากโรงพยาบาลก็ต้องมีผู้ใหญ่มานะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการตัวเองได้ แค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลก็พอใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ น่าจะได้ แต่ว่า…”
“ฉันขอออกจากโรงพยาบาลเลยนะคะ ต้องทำยังไงบ้างคะ”
“งั้นฉันจะไปเอาเอกสารมาให้กรอก ตอนนี้คุณหมอเจ้าของไข้ออกเวรไปแล้ว เอาไว้วันหลังคุณค่อยพาคุณพ่อมาพบคุณหมออีกครั้งนะคะ”
“ฉันเป็นโรคอะไรเหรอคะ”
พยาบาลมองฉันอย่างเอ็นดูก่อนตอบว่า “ไม่ได้เป็นโรคอะไรร้ายแรงค่ะ แต่ตอนที่คุณมาถึงโรงพยาบาลทีแรกไข้ขึ้นสูงถึงสามสิบเก้าองศา พอคุณหมอตรวจเสร็จ ไข้ของคุณก็ลดลงมาจนเป็นปกติ ผลการตรวจก็ปกติดีทุกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นคุณและคุณพ่อควรมาพบคุณหมออีกครั้ง อ๊ะ แล้วนี่…”
พยาบาลยื่นกระดาษเอสี่มาให้หนึ่งแผ่น ตรงกลางมีภาษาจีนเขียนเอาไว้ด้วยลายมือขยุกขยิก “เขาไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่เขียนตัวอักษรจีนลงในกระดาษ การจับปากกาก็ดูเงอะงะเหมือนจับไม่เป็น…”
พอพูดจบ พยาบาลก็ขอตัวไปเอาเอกสาร ฉันจึงก้มลงอ่านตัวอักษรบนกระดาษ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาของเขาสินะที่ได้เขียนตัวอักษรด้วยปากกา
‘ข้าจะต้องอยู่เคียงข้างแม่นางผู้นี้’
ฉันละสายตาจากกระดาษไปมองที่เขา อยู่ๆ ก็มาโผล่ในโลกอนาคตที่แปลกประหลาด สติเขาน่าจะหลุดลอยกับสิ่งต่างๆ ที่ได้พบเห็น แต่เขากลับสงบนิ่งและรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับฉันได้เป็นอย่างดี เขาไม่ยอมพูดอะไรสักคำและเขียนตัวอักษรเหล่านี้ อยู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในอก ฉันหวังให้เขาทำตามเงื่อนไขที่ฉันตั้งขึ้น ทว่าลึกๆ แล้วฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่เขากลับทำตามเงื่อนไขนั้นอย่างเคร่งครัด
จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรหรอก ตอนพ่อไม่อยู่ ฉันต้องทำอะไรทุกอย่างคนเดียวเสมอ และฉันคิดมาตลอดว่าการที่ไม่มีเพื่อนสักคนก็ไม่เห็นเป็นไร แต่พอมีเขามานั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ และรักษาสัญญาเล็กๆ น้อยๆ ที่มีให้กันแบบนี้ ฉันจึงอยากมีเพื่อนสนิทขึ้นมาบ้าง แล้วน้ำตาก็พลันไหลรินอาบแก้ม ฉันจึงรีบเช็ดน้ำตาก่อนที่ใครจะมาเห็น
“เจ้าฟื้นแล้วรึ” แล้วตอนนั้นเองเสียงของเขาก็ดังขึ้น
“เจ้าร้องไห้? ยังเจ็บป่วยอยู่อีกรึ” ดูท่าเขาคงจะคิดว่าฉันป่วย มือของเขาเอื้อมมาสัมผัสหน้าผากของฉัน ทันทีที่มือของเขาซึ่งเต็มไปด้วยไออุ่นสัมผัสกับหน้าผากของฉัน น้ำตาก็ยิ่งไหลพราก
“เจ้าไม่มีไข้แล้วกระมัง ไยจึงร้องไห้เช่นนี้”
“ฉันบอกไม่ให้พูดเวลาอยู่ข้างนอกไง” ฉันอายมากที่เขาเห็นน้ำตาของฉัน จึงแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเพื่อกลบเกลื่อน
“ตอนนี้มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดของข้า แล้วเจ้าเองที่ห้ามไม่ให้ข้าพูดเวลาอยู่ข้างนอก แต่เจ้าไม่เคยห้ามข้าไม่ให้พูดตอนอยู่ข้างในไม่ใช่รึ แล้วตอนนี้ที่นี่คือข้างใน”
คำพูดของเขาทำให้ฉันไปต่อไม่ถูก เขาใช้ช่องโหว่ของคำพูดฉันมาย้อนเถียง
“เจ้าพูดจาได้ขนาดนี้ ท่าทางเจ้าคงหายดีแล้ว ว่าแต่ที่นี่คือที่ใดกัน มีแต่คนเจ็บป่วยอยู่เต็มไปหมด”
“ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องนั้นหรอกน่า ว่าแต่ตอนนี้กี่…”
ถ้าตอบว่าโรงพยาบาล ฉันก็ต้องอธิบายอีกว่าโรงพยาบาลคืออะไร ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ฉันต้องกลืนคำพูดลงคอแล้วมองหานาฬิกาเอง เข็มสั้นของนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องฉุกเฉินกำลังชี้ไปที่เลขสิบเอ็ด
“ห้าทุ่มแล้วเหรอ”
ถ้าเป็นปกติ พ่อจะต้องกลับมาแล้ว และตอนนี้พ่อคงจะเป็นห่วงฉันมากที่ฉันไม่อยู่บ้าน รวมไปถึงชายชาวโชซอนที่พ่อพามาด้วย แย่แล้ว ฉันรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าที่วางอยู่ข้างเตียง จึงพบว่าแบตเตอรี่หมดเกลี้ยงเลยพ่อต้องเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ
“เรารีบกลับกันเถอะ”
ทันทีที่ฉันพรวดพราดลงมาจากเตียง เขาก็เอียงคอสงสัย “เจ้าหมายถึงที่ใด”
“ที่ไหนน่ะเหรอ ก็บ้านไงล่ะ”
“บ้านรึ ไม่ได้หมายความว่าจะกลับโชซอนหรอกรึ”
“ก็ต้องกลับบ้านก่อนถึงจะกลับไปโชซอนได้ วันนี้เราอยู่ที่นี่กันทั้งวันแล้ว รีบไปกันเถอะ”
จากนั้นฉันวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ของโรงพยาบาลเอง ก่อนจะจัดการกรอกเอกสารแล้วจ่ายค่ารักษา หมดสติแค่แป๊บเดยว ค่ารักษาตั้งหนึ่งแสนสามหมื่นวอนเชียวเหรอเนี่ย เงินเก็บฉุกเฉินที่ฉันอดออมมาตั้งนานพลันหายวับไปกับตา
พอออกมาจากโรงพยาบาล ฉันก็เรียกแท็กซี่ ถนนยามค่ำคืนในโซลระยิบระยับไปด้วยแสงไฟนีออน เขาที่ได้นั่งแท็กซี่เป็นครั้งที่สองเอาแต่นั่งมองวิวด้านนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ ดูเหมือนเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่พูดหรือถามอะไรออกมา
ทว่าทันทีที่ถึงหน้าอพาร์ตเมนต์และลงจากรถเขาก็เปิดปากพูด “มีดวงดาวเต็มไปหมดเลย”
“ดาวเหรอ”
“ก็ระหว่างทางที่เราเดินทางกลับมาอย่างไรเล่า มีดวงดาวระยิบระยับเต็มไปหมด บ้านเรือนก็สูงเทียมฟ้า ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลย และข้าก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรเช่นนี้มาก่อน…”
เขาคงคิดว่าที่นี่คืออาณาจักรอะไรสักอย่าง
“เพียงแค่วันเดียว แต่ทุกสิ่งที่ข้าพบเห็นล้วนแต่ทำให้ข้าประหลาดใจ น่าเสียดายที่ข้าไม่เข้าใจอะไรเลย…”
“มีอย่างนึงที่นายได้เรียนรู้และนำกลับไปนี่นา”
“เจ้าหมายถึงอะไรรึ”
“เมื่อนายกลับไปได้ นายต้องตั้งใจใช้ชีวิตให้ดีเพื่อโชซอน นายต้องทำให้โชซอนแข็งแกร่งขึ้น นายอาจจะใช้ชีวิตในฐานะขุนนาง หรือในฐานะผู้มีอำนาจอะไรสักอย่างก็ได้เพื่อให้โชซอนกลายเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมที่สุด นี่แหละคือสิ่งที่นายได้เรียนรู้จากที่นี่”
เขายิ้มกว้างกับคำพูดของฉัน
“แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันดีใจนะที่ได้เจอนาย” ฉันยื่นมือออกไป เขาจึงมองอย่างงุนงง “แค่จับมือน่า ถ้าจะให้อธิบายก็จะยาวไปอีก”
ฉันรู้ว่าที่โชซอนชายกับหญิงจะจับมือกันไม่ได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะขุนนาง แต่ที่นี่ไม่ใช่โชซอน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ความหมายของ ‘การเชกแฮนด์’ แต่ฉันก็อยากบอกลาเขาด้วยวิธีของฉัน หากเข้าบ้านไปแล้วเจอพ่อ บางทีฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้ลาเขา เพราะเขาอาจจะถูกพ่อส่งกลับโชซอนไปเลยทันทีก็ได้
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยื่นมือมาจับมือฉัน เขย่ามือขึ้นลงแล้วปล่อย
“ข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้วใช่รึไม่”
“ใช่”
“หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนโชซอนใช่รึไม่ แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…”
“ถ้าให้พูดกันตามจริง ฉันเองก็เป็นคนโชซอนเหมือนกันนั่นแหละ”
“เจ้าถูกจับมาเป็นเชลยอยู่ที่นี่อย่างนั้นรึ”
“เชลยเหรอ ฮ่าๆๆๆ” ฉันระเบิดเสียงหัวเราะกับสิ่งที่เขาคิด “ฉันไม่ใช่เชลยหรอก แค่ฉันกับพ่ออาศัยอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น และฉันจะไม่ไปไหนไกลจากพ่อเด็ดขาด”
“หากถึงคราวออกเรือนก็ต้องห่างจากพ่อแม่อยู่ดี”
“อื้ม มันก็ใช่ แต่สำหรับที่นี่ถึงออกเรือนแล้วก็ยังอยู่กับพ่อแม่ได้นะ ที่โชซอนก็มีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
“นั่นก็ใช่… ว่าแต่หากมีโอกาสเจ้าจะไปโชซอนบ้างหรือไม่”
“ฉันจะไปโชซอนทำไมกัน ฉันไม่มีคนรู้จักอยู่ที่โชซอนซะหน่อย พอเถอะ เลิกคุยแล้วเข้าไปข้างในกันดีกว่า นายอยากกลับโชซอนเร็วๆ ไม่ใช่เหรอไง”
พอฉันทำท่าจะก้าวเดิน เขาก็จับข้อมือของฉันเอาไว้
“เจ้ามีข้า”
“หืม”
“คนที่เจ้ารู้จักในโชซอนก็มีข้าคนหนึ่ง ตอนนี้เจ้าไม่สมควรจะพูดว่าเจ้าไม่มีคนรู้จักอยู่ที่โชซอนเลยสักคนเดียว”
“คือ…”
การเดินทางข้ามกาลเวลาเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้ใครฟัง ฉันแกะมือของเขาออกแล้วยิ้มบางๆ
“ฉันไม่ไปโชซอน ฉันจะอยู่ที่นี่กับพ่อ เพราะครอบครัวของฉันมีคนเดียวก็คือพ่อ”
“พ่อคะ!”
ฉันตะโกนเรียกพ่อทันทีที่ปลดล็อกประตูดิจิตอลแล้วเปิดเข้าไป แต่ภายในบ้านยังคงสภาพเดียวกับตอนที่ฉันออกไปข้างนอกเมื่อเช้า บ้านมืดสนิท ไม่ได้เปิดไฟสักดวง เงียบเชียบมาก ไม่มีร่องรอยของการมีคนอยู่เลยแม้แต่น้อย ฉันจึงเปิดไฟห้องนั่งเล่น แล้วตรงไปยังห้องหนังสือ แต่ห้องหนังสือก็มืดสนิทเช่นกัน
พ่อไม่เคยกลับมาช้าแบบนี้เลยสักครั้ง พ่อเดินทางข้ามเวลาบ่อยมาก แต่พ่อจะกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดินโดยไม่ทำให้ฉันต้องเป็นห่วง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม นอกจากพ่อจะพาชายคนนี้มาทิ้งเอาไว้เพียงลำพังโดยที่ตัวเองไม่อยู่ด้วยแล้ว พ่อยังไม่กลับมาตามเวลาที่บอกไว้
ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทีละนิด กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพ่อ ปกติถึงแม้จะเกิดเรื่องอะไร ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะต่อให้พ่อถูกมัดหรือถูกจับขังคุก พ่อซึ่งเป็นนักท่องเวลาก็สามารถพาตัวเองกลับมายังอนาคตได้ทุกครั้ง นักท่องเวลาไม่ใช่พ่อมดหมอผี จึงไม่จำเป็นต้องมีบทสวดหรือคาถาเพื่อท่องก่อนข้ามเวลา
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เขาเดินตามมาที่ห้องหนังสือแล้วเอ่ยถาม ฉันตั้งใจจะตอบปัดไปว่าไม่มีอะไร แต่ทันใดนั้นฉันก็เหลือบไปเห็นดาบของเขาที่วางอยู่บนพื้น ทันทีที่เห็นดาบ ความคิดหนึ่งก็ผ่านหัวของฉันเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่นายจะมาที่นี่”
เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนตอบออกมา “ตอนนั้นทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา บ้านเมืองกำลังแย่…”
“ทหารญี่ปุ่นเหรอ”
ตอนนั้นเองฉันจึงได้รู้ว่าพ่อเดินทางข้ามเวลาไปยังช่วงเวลาที่เกิดสงครามอิมจิน
หลายปีก่อนพ่อเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาค้นคว้าเรื่ององค์ชายควังแฮ พ่อจึงเดินทางกลับไปกลับมาตั้งแต่ช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้าซอนโจ ช่วงองค์ชายควังแฮขึ้นครองราชย์ ไปจนถึงระยะแรกที่พระเจ้าอินโจขึ้นครองราชย์ เพราะอย่างนั้นฉันจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายควังแฮเป็นอย่างดีตามไปด้วย
“ใช่ พวกทหารญี่ปุ่น พวกมันบุกเข้ามา ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่ของข้าถูกจับไปที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ข้าจึงรีบไปยังที่แห่งนั้น เมื่อไปถึงก็พบว่าท่านพี่ของข้ากลับถูกพาไปยังที่อื่น หมู่บ้านที่ข้าพักอยู่นั้นถูกพวกทหารญี่ปุ่นปิดล้อม ข้าจึงซ่อนตัวอยู่ที่นั่นสามวันโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง”
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องไปที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยองด้วย ต่อให้อยากไปดูประวัติศาสตร์โชซอน แต่ที่นั่นไม่ใช่สถานที่พิเศษอะไรเลย ระหว่างที่ฉันกำลังคิดและปะติดปะต่อความทรงจำ คำพูดของเขาก็พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ
“แล้วระหว่างนั้นเอง พวกทหารญี่ปุ่นก็จุดไฟเผาหมู่บ้านที่ข้าแอบซ่อนตัวอยู่ ทั้งหมู่บ้านจึงกลายเป็นทะเลเพลิง”
“ทะ…ทะเลเพลิงเหรอ แล้วไงต่อ จากนั้นเป็นไงต่อ”
“ข้าออกมาจากที่ซ่อนตัว ตั้งใจจะออกไปจากหมู่บ้าน แต่ข้าบังเอิญได้ยินเสียงเด็กผู้หญิง… ใช่แล้ว เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ ระหว่างนั้นมีทหารญี่ปุ่นผู้หนึ่งขี่ม้ามาพร้อมกับชักดาบขึ้นสูง ข้าไม่สามารถอยู่เฉยได้ ข้าจึงชักดาบเข้าประจันหน้ากับทหารญี่ปุ่นผู้นั้น”
คำพูดอันน่ากลัวที่ได้ฟังจากปากของคนที่อยู่ในสงครามนั้นจริงๆ ทำให้ฉันถึงกับขนลุกและยิ่งเป็นห่วงพ่อมากขึ้น
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“ระหว่างที่ข้าประดาบกับทหารญี่ปุ่น ข้ารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่”
พ่อเป็นคนที่ส่งเขามายังโลกอนาคตอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่ใช่พ่อไม่มีทางที่คนในอดีตจะเดินทางมายังอนาคตได้เอง แต่ทำไมพ่อถึงไม่กลับมาด้วยกันล่ะ ทำไมถึงพาเขาที่กำลังต่อสู้อยู่กับทหารญี่ปุ่นมายังอนาคตเพียงแค่คนเดียว
มีกฎว่านักเดินทางท่องเวลาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอดีต พ่อเคยบอกว่านี่คือกฎของตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
‘คยองมิน ไม่ว่านักท่องเวลาจะพยายามเปลี่ยนประวัติศาสตร์สักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ ถ้านักท่องเวลาพยายามเปลี่ยนประวัติศาสตร์ นักท่องเวลาจะต้องพบเจอกับความตายเพื่อเป็นการรักษาประวัติศาสตร์ให้อยู่คงเดิม ตระกูลของเราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความตายที่ไร้เสียง’ และประวัติศาสตร์ก็จะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมเพื่อให้อนาคตดำรงอยู่ในทางของมันต่อไป’
ฉันส่ายหน้าเพื่อลบความคิดในแง่ร้ายที่เกิดขึ้นในหัวใจ พ่อส่งเขามาที่นี่ ถ้าเขาคือคนที่จะต้องตาย ไม่ว่าจะตายด้วยถูกไฟเผาหรือตายเพราะต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น พ่อคงไม่ช่วยเหลือเขาเอาไว้หรอก เพราะนั่นหมายถึงพ่อต้องแลกมันด้วยความตายของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นพ่อไม่มีทางช่วยเขาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันเลยอย่างแน่นอน พอลองคิดดูแล้ว ฉันก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือตอนนี้พ่อจะตกอยู่ในสภาพแบบไหน ป่านนี้ยังไม่กลับมา แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพ่อแน่ๆ
ฉันเดินออกมายังห้องนั่งเล่น แล้วหยิบรูปถ่ายล่าสุดที่ถ่ายกับพ่อยื่นให้เขาที่เดินตามมาด้านหลังดู
“ดูนี่หน่อยสิ คนที่อยู่ตรงนี้เขาเป็นพ่อของฉัน ตอนนั้น…นายเห็นพ่อของฉันหรือเปล่า”
“หมายถึงท่านพ่อของเจ้ารึ”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ข้าไม่แน่ใจ… ข้าจำไม่ค่อยได้นัก”
“คิดให้ดีๆ สิ! ตอนที่นายต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น พ่อของฉันอยู่ตรงนั้นแน่ๆ”
เขาเพ่งมองรูปถ่าย “ข้าไม่เห็น”
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ฉันรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถอธิบายความจริงทั้งหมดให้เขาฟังในตอนนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพ่อ พ่อต้องจับมือหรือแขนของเขาเอาไว้ถึงจะส่งมายังอนาคตได้ แต่เขากลับบอกว่าไม่เห็นพ่อ!
แล้วสุดท้ายฉันก็ร้องไห้โฮออกมา
สงครามอิมจิน หมู่บ้านที่กำลังถูกไฟเผาและถูกทหารญี่ปุ่นปิดล้อม แค่จินตนาการถึงสถานการณ์ที่พ่อไม่สามารถกลับมาได้ก็รู้สึกสยดสยองแล้ว ตอนนั้นเขาที่มองดูฉันกำลังร้องไห้กลับเอ่ยปากออกมาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“หรือว่า…ไม่จริง”
“อะไร นึกอะไรได้งั้นเหรอ” พอคิดว่าเขาต้องนึกอะไรบางอย่างได้แน่ๆ ฉันก็เช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“ท่านพ่อของเจ้าไม่ใช่คนโชซอนใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่… เอ่อใช่ พ่อเป็นคนโชซอน”
“ข้าเห็นชายผมสั้นคนหนึ่ง ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นทหารญี่ปุ่น แต่ทหารญี่ปุ่นนั่นไม่มีทางเป็นท่านพ่อของเจ้า”
“พ่อของฉันไม่ใช่ทหารญี่ปุ่น แต่พ่อไว้ผมสั้น นายนึกอะไรออกอีก”
“พอข้าทำให้ทหารญี่ปุ่นนั่นตกจากม้าได้ ข้าก็ประดาบกับมัน แล้วพอข้าหันไปมองที่เด็กผู้หญิงคนนั้นข้าก็เห็นชายผู้หนึ่งกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงเอาไว้ ชายผู้นั้นผมสั้น ใส่ชุดประหลาด และถูกดาบของทหารญี่ปุ่นแทง”
“ถูก…ถูกแทงเหรอ”
เขาไม่ตอบ คงเป็นห่วงว่าฉันจะช็อกถ้าคนคนนั้นเป็นพ่อของฉันจริงๆ “ข้าอาจจะมองพลาดก็ได้”
ฉันแน่ใจว่าพ่อต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน ใจฉันอยากจะไปที่นั่นซะเดี๋ยวนี้ ถึงผู้หญิงในตระกูลจะไม่สามารถเดินทางข้ามเวลากลับมายังโลกปัจจุบันได้ตามอำเภอใจ แต่ถ้าได้เจอพ่อ พ่อก็จะพาฉันกลับมาด้วยกัน
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
“ไม่เป็นไร ฉันจะไปโชซอน”
“โชซอน? เจ้าน่ะรึ”
“ใช่ พ่อของฉันอยู่ที่นั่น ฉันต้องไปตามหาพ่อ แล้วนายก็ต้องกลับไปโชซอนด้วยไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นไปกับฉันนี่แหละ”
เขาพยักหน้าอย่างงุนงง เพราะเมื่อครู่นี้ฉันยังบอกอยู่ปาวๆ ว่าจะไม่ไปโชซอน
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปกับเจ้า”
ฉันหยิบชุดฮันบกของแม่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าเพื่อใส่มันไปโชซอน ฉันรู้ดีว่ายุคที่ฉันจะไปนั้นกำลังเกิดสงครามอิมจิน หากใส่ชุดในยุคปัจจุบันไปคงเป็นอันตรายเพราะจะถูกกล่าวหาว่าเป็นชาวญี่ปุ่นได้
ชุดฮันบกของแม่ที่เพิ่งได้ใส่เป็นครั้งแรกช่างพอดีกับขนาดของตัวฉันอย่างน่ามหัศจรรย์ จากนั้นก็ถักเปียและผูกผ้าที่ปลายผมก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเตรียมตัวไปโชซอน เขามองฉันที่อยู่ในชุดฮันบกด้วยสีหน้าที่ตกใจ
“ทำไม แปลกเหรอ”
“นี่มันนกอึยฮงซังไม่ใช่รึ”
“นกอึยฮงซังเหรอ” คำถามของเขาทำให้ฉันสังเกตชุดฮันบกที่กำลังใส่ พ่อบอกว่าชุดนี้เป็นชุดที่แม่ใส่ในวันแต่งงาน หรือที่โชซอนไม่ใส่ฮันบกสีนี้กันนะ
“ใช่ มันเป็นชุดสำหรับหญิงที่ออกเรือนไม่ใช่รึ”
“จริงด้วยสิ” นกอึยฮงซังคือชุดที่ใส่แสดงสถานะเมื่องานแต่งงานสิ้นสุดแล้ว แต่ฉันมีชุดฮันบกให้ใส่เพียงแค่ชุดเดียวนี่นา
“นี่ก็ไม่ใช่ชุดของฉัน แต่เป็นชุดของแม่ที่เสียไปแล้ว”
“หมายถึงชุดของท่านแม่เจ้ารึ”
ฉันพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้ฉันรีบ ยังไงก็ต้องใส่”
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แต่มันก็เหมาะกับเจ้ามาก เจ้าไม่ต่างจากสตรีแห่งโชซอนเลย”
“ก็แน่อยู่แล้ว ฉันก็เป็นคนโชซอนนี่นา เลิกพูดมากแล้วรีบไปกันดีกว่า” ฉันลากเขาไปที่ห้องนั่งเล่นที่กว้างที่สุดในบ้าน “วันที่นายจากมาเป็นวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร” ฉันถามเขาอย่างระมัดระวังถึงวันนั้นที่เขามายังที่แห่งนี้
“วันที่สิบเก้า เดือนเก้า” หลังตอบคำถามฉันเขาก็มีสีหน้างุนงงและเอ่ยถามกลับ “ว่าแต่เจ้าถามทำไมรึ”
การเดินทางข้ามเวลาของผู้หญิงของตระกูลเรามักไม่มีระบบระเบียบ บางทีคิดว่าจะไปยังยุคที่เกิดสงครามอิมจิน แต่กลับไปโผล่ยุคก่อนสงคราม หรือไม่ก็อาจจะไปโผล่หลังจากปีนั้นไปแล้วหลายปี อย่างเมื่อเก้าปีก่อน ฉันแค่คิดเฉยๆ ว่าอยากเจอพระเจ้าเซจงมหาราช แต่กลับสามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังสมัยพระเจ้าเซจงมหาราชได้เฉยเลย และพ่อก็ต้องทิ้งงานทิ้งการทั้งหมดเพื่อออกเดินทางข้ามเวลาแกะรอยตามหาฉันตลอดห้าปี
แต่ถ้ามีคนในอดีตอย่างเขาอยู่ข้างๆ เช่นในตอนนี้ก็จะช่วยให้ไปยังเวลานั้นได้ง่ายขึ้น พ่อคงจะส่งเขามาที่นี่เพื่อให้เขาเป็นกุญแจให้ฉันออกตามหาพ่อแน่ๆ
“เพราะเราจะต้องกลับไปที่นั่น” ฉันเลือกที่จะอธิบายสั้นๆ แทนคำพูดอธิบายยาวเหยียด แล้วยื่นมือสองข้างให้เขา “เอาล่ะ จับมือฉันไว้”
เขาลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือมาจับ
วันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1592 ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ได้โปรดขอให้ไปถึงตามวันและจุดหมายอย่างแม่นยำด้วยเถิด
“นายต้องอธิบายให้ฉันฟัง”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร”
“ฉันหมายถึงสถานการณ์ก่อนที่นายจะมาที่นี่ ตอนนั้นหมู่บ้านถูกปิดล้อมใช่มั้ย”
“ใช่ พวกทหารญี่ปุ่นปิดล้อมที่นั่นและจุดไฟเผา”
ระหว่างที่เขาอธิบาย ฉันก็นึกถึงสถานที่ที่ต้องเดินทางไปพร้อมกับเขา สายลมอุ่นก็เริ่มพัดมาโอบล้อมบริเวณรอบๆ ฉันหลับตาทันทีที่ได้สัมผัสกับสายลมนั่น
ทันใดนั้นเองภาพของฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ของวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1592 ที่เขาบอกก็เริ่มปรากฏสู่สายตาของฉัน
หรือเป็นเพราะมือที่จับกันอยู่ ฉันจึงได้เห็นภาพที่เขาเคยเห็นมาก่อน หมู่บ้านกำลังกลายเป็นทะเลเพลิง ผู้คนกรีดร้องและวิ่งกันอลหม่าน บ้างก็กำลังค้นหาคนในครอบครัวที่หายไป โดยมีทหารญี่ปุ่นควบม้าไปทุกทิศทุกทางและกำลังเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม วินาทีที่ฉันเห็นภาพนั้น ร่างกายของฉันก็พลันสั่นสะท้าน
ระหว่างนั้นเสียงของเขาก็ดังแว่วเข้ามาในหู “เจ้า…ชื่ออะไร จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยถามแม้แต่ชื่อของเจ้า”
วินาทีนั้นฉันจึงตระหนักได้ว่าสายลมที่โอบล้อมพวกเราทั้งคู่นั้นหอบพวกเรามายังสถานที่ที่ฉันกำลังมองเห็นอยู่ในตอนนี้ ฉันจึงเอ่ยปากตอบคำถามของเขา
“คยองมิน คิมคยองมิน”
“คยองมิน…”
ตอนที่ชื่อของฉันถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของเขา สายลมอบอุ่นที่โอบล้อมพวกเราไว้ก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
บทที่ 2
ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทั่วทั้งร่างเจ็บปวดราวกับถูกทุบตีอย่างรุนแรง ร่างกายขยับเขยื้อนแทบไม่ได้เลย
พอเวลาผ่านไปเสียงที่ดังแว่วเข้ามาก็ทำให้เริ่มมีสติมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันพยายามลืมตาเพื่อมองให้ชัดว่าที่นี่คือที่ไหน และเสียงนั้นคือเสียงอะไร
ภาพตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจน ใครบางคนกำลังยืนหันหลังอยู่ ชายคนนั้นสวมหมวกทรงสูงและเสื้อคลุมสีแดงสด แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาคือใคร ฉันพยายามตั้งสติ ในหัวคิดแค่ว่าต้องรีบลุกขึ้น แล้วตอนนั้นเองได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังแว่วมาจากข้างนอก
“องค์ชายรัชทายาท หม่อมฉันพาหมอหญิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรัชทายาทเหรอ…
“เข้ามาได้”
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกล่าวตอบเสียงคนเดินเข้ามาก็ดังขึ้น ฉันพยายามเพ่งตามองและสังเกตเสื้อผ้าของพวกเขา ผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงหนึ่งคนที่กำลังเดินเข้ามานั้นสวมชุดแบบสามัญชนที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปในโชซอน
“ท่านหมอพัคไปไหนเสียเล่า” ชายชุดคลุมยาวสีแดงสดเอ่ยถามชายที่เดินเข้ามา
“ท่านหมอพัคถูกพวกทหารญี่ปุ่นจับตัวไป เหลือแต่หมอหญิง หม่อมฉันจึงพามาแทนพ่ะย่ะค่ะ”
“หมอหญิงรีบตรวจดูอาการของนางเถอะ”
“เพคะ” หมอหญิงรับคำสั่งแล้วโน้มตัวมาทางฉัน ฉันจึงพยายามเพ่งมองเธอด้วยดวงตาที่สะลึมสะลือ
“ดูเหมือนจะฟื้นแล้วเพคะ”
“ฟื้นแล้วรึ” ชายที่สวมหมวกทรงสูงและเสื้อคลุมสีแดงสดหันหน้ากลับมามอง ตอนนั้นเองฉันจึงได้รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร เขาคือ ‘ชายชาวโชซอนคนนั้น’ ไม่ผิดแน่ๆ แม้เขาจะใส่ชุดที่แตกต่างจากตอนที่เจอกับฉันที่โซลก็ตาม
“นะ…นาย…”
เขาทำให้ฉันนึกถึงพ่อ พอมองไปรอบๆ ที่นี่เหมือนเป็นห้องขนาดเล็กในบ้านที่มุงหลังคาด้วยฟาง ทั้งยังมีแต่ผู้คนที่ใส่ชุดโบราณรวมถึงเขาคนนี้ด้วย ที่นี่คือโชซอนไม่ผิดแน่
“พ่อ…” พอตั้งสติได้ ฉันก็ร้องเรียกหาพ่อทันที เขาจึงกดไหล่ของฉันเอาไว้พร้อมเอ่ยห้าม
“พักผ่อนก่อนเถิด อย่าเพิ่งขยับเลย”
“ไม่ได้… ฉันต้องตามหาพ่อ ที่นี่… ที่นี่คือ…โชซอนใช่มั้ย”
“ใช่ ที่นี่คือโชซอน”
“โชซอนเหรอ ฉันมาอยู่ที่โชซอนจริงๆ เหรอ… งั้นฉันต้องรีบตามหาพ่อ… พ่อ…”
หรือการเดินทางข้ามเวลาครั้งที่สองของฉันจะไร้ค่า ไม่สิ ถ้าไร้ค่าฉันคงพาเขามาถึงที่นี่ไม่ได้
“องค์ชายรัชทายาท พระองค์ไม่ควรประวิงเวลาอยู่ที่ฮเว-รยองอีกต่อไปนะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องออกเดินทางไปยังจังหวัดคังวอน ข้าราชบริพารของบุนโจรอท่านอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ชายอีกคนเอาแต่เรียกเขาว่า ‘องค์ชายรัชทายาท’ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีองค์ชายรัชทายาทอยู่ในบ้านมุงหลังคาด้วยฟางข้าวเก่าๆ แบบนี้
“เจ้าเลิกพูดเรื่องนี้ก่อน ตอนนี้ให้หมอหญิงตรวจนางก่อน”
“เพคะฝ่าบาท” ผู้หญิงคนนั้นจับมือของฉัน คงตั้งใจจะจับชีพจร แต่ฉันสะบัดมือของผู้หญิงคนนั้นออกและจ้องใบหน้าของผู้ชายโชซอนคนนั้น
“นาย…เป็นใคร”
“ข้าคือใครน่ะรึ”
“พระองค์คือองค์ชายรัชทายาทแห่งโชซอนอย่างไรเล่า” ชายที่อยู่ด้านหลังเป็นคนตอบคำถามฉันแทน
“นาย…เป็นองค์ชายรัชทายาทเหรอ!”
เขาพยักหน้าเบาๆ “ใช่ ข้าคือองค์ชายรัชทายาทแห่งโชซอน”
โครม!
วินาทีนั้นฉันรู้สึกเหมือนมีกองหินขนาดใหญ่หลายสิบกองหล่นลงมาที่หัว ถ้าเขาคือองค์ชายรัชทายาทผู้นำแห่งบุนโจ ก็หมายความว่า
“นายคือองค์ชายควังแฮเหรอ!” ฉันตะโกนพลางผลักเขาที่กำลังประคองฉัน วินาทีนั้นฉันลืมความเจ็บปวดที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ไปจนหมดสิ้น
จิ๊กซอว์เริ่มไล่ต่อไปทีละตัว คำพูดของเขาที่บอกว่าพี่ชายถูกจับตัวไปที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง เขาจึงตามไปที่ฮเว-รยอง ซึ่งพ่อของฉันเคยเล่าให้ฟังว่าช่วงสงครามอิมจิน องค์ชายอิมแฮพี่ชายขององค์ชายควังแฮถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไปที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง
“ใช่ ข้าคือองค์ชายรัชทายาทควังแฮ” พ่อหนุ่มโชซอนตอบคำถามฉัน ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าองค์ชายควังแฮ
ฉันเข้าใจเรื่องที่พ่อเข้าไปเกี่ยวพันกับเขา เพราะพ่อค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายควังแฮมาหลายปีแล้ว แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงส่งเขาไปยังปี 2013 พ่อไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด พ่อไม่ใช่คนที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับประวัติศาสตร์เพื่อช่วยองค์ชายควังแฮที่กำลังต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น เพราะพ่อเคยย้ำเรื่องนี้กับฉันอย่างเด็ดขาด
แต่พ่อเป็นคนส่งองค์ชายควังแฮไปที่อนาคตแน่ๆ ถ้าไม่ใช่พ่อแล้วใครจะส่งเขาไปได้ล่ะ
ใช่แล้ว พ่อ!
ฉันรีบลุกเพื่อไปตามหาพ่อ ทันใดนั้นเขาก็รีบลุกตาม
“เจ้าจะไปไหนรึ”
“ฉันจะไปตามหาพ่อ!”
“ท่านพ่อของเจ้าน่ะรึ”
“ใช่ ฉันมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ พ่อของฉันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งที่นี่แน่นอน”
“ข้าจะช่วยตามหาเอง เจ้าพักผ่อนที่นี่เสียก่อนเถิด”
“ฉันไม่พัก!” ฉันปักใจเชื่อไปแล้วว่าที่พ่อไม่สามารถกลับมาได้เป็นเพราะพ่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ฉันเป็นห่วงท่านมาก จึงตะโกนออกไปสุดเสียง ชายหญิงที่ยืนอยู่ถึงกับตกตะลึงสุดขีด
อ๊ะ! จริงสิ เขาเป็นองค์ชายรัชทายาทนี่นา!
องค์ชายรัชทายาทควังแฮ ที่โชซอนจะมีใครกล้าตะโกนใส่หน้าองค์ชายรัชทายาทอย่างไร้สติแบบนี้ แต่ฉันไม่มีเวลามาคิดถึงอะไรพวกนี้แล้ว
“ฉันจะออกไปตามหาพ่อของฉันเอง เพราะมีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้จักพ่อของฉันไม่ใช่เหรอ”
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ หรือว่าสถานการณ์ข้างนอกมันเลวร้ายมาก ถ้าอย่างนั้นฉันยิ่งต้องรีบออกไปตามหาพ่อ พ่อต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้
ระหว่างนั้นชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็รีบพูดแทรกขึ้นมา “เร่งรีบหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านขันทีลี” องค์ชายควังแฮยกมือขึ้นข้างหนึ่งโบก ห้ามไม่ให้พูดต่อ ฉันจึงได้รู้ว่าชายที่สวมชุดธรรมดาคนนี้คือขันที
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านสองคนดูแลแม่นางผู้นี้ด้วย”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่พระองค์ต้องรีบเสด็จไปคังวอน…”
“เจ้าไม่เห็นรึว่าตอนนี้ยังควบคุมเพลิงไม่ได้ ข้าจะไปที่นั่นก็ต่อเมื่อข้าแก้ไขสถานการณ์ของที่นี่ได้ และราษฎรของที่นี่ปลอดภัยดีแล้ว”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ไม่รู้ว่าทหารญี่ปุ่นที่ขึ้นเหนือไปจะย้อนกลับลงมาทางใต้และมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ โชคดีที่พระองค์ปลอดภัยกลับมา พระองค์รีบเดินทางออกจากฮเว-รยองไปยังจังหวัดคังวอนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ขันทีเร่ง องค์ชายควังแฮก็หันไปมองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าในฐานะองค์ชายรัชทายาทผู้ได้รับคำสั่งจากเสด็จพ่อให้เป็นผู้นำของบุนโจ มีหน้าที่ดูแลปกป้องราษฎร ข้าไม่อาจทิ้งราษฎรของข้าเพื่อหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ ข้าทำไม่ได้เด็ดขาด”
“พระองค์!”
“อย่างไรเสียข้าก็ต้องไปจังหวัดคังวอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เขาสง่างามน่าเกรงขามจนไม่อยากจะเชื่อว่าเขาอายุเท่ากับฉัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาประทับใจกับท่าทางของเขา ฉันต้องตามหาพ่อ ฉันใช้โอกาสที่เขาเถียงกับขันทีรีบวิ่งออกมา แต่ทันทีที่ออกมาด้านนอกก็พบกับควันหนาแน่นปกคลุมไปทั่วสารทิศ
“แค่กๆ”
ฉันมองรอบๆ บ้านมุงหลังคาฟางที่ฉันฟื้นขึ้นมานั้นเป็นบ้านหลังเดียวที่ไม่ถูกไฟไหม้ บางทีอาจเป็นเพราะองค์ชายรัชทายาทประทับอยู่ก็ได้
“คยองมิน!” องค์ชายควังแฮก้าวยาวๆ ออกมาพร้อมตะโกนเรียกฉัน
“สภาพเช่นนี้เจ้าหาไม่เจอหรอก เจ้าต้องพักเสียก่อน แล้วข้าจะช่วยหาท่านพ่อของเจ้าให้เอง”
เขาพูดจามีเหตุผล ควันปกคลุมไปทั่วบริเวณขนาดนี้ การตามหาพ่อคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เสียงตะโกนของผู้คนดังระงมไปทั่ว ทว่าฉันตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
“หน้าที่ของฉันคือการตามหาพ่อ ส่วนหน้าที่ของนายคือการดูแลราษฎรไม่ใช่เหรอ” ฉันพูดตรงประเด็นจนทำให้เขาเถียงไม่ออก
หลังจากนั้นสักพักเขาจึงได้พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจ้าต้องให้คำมั่นกับข้าก่อน หากหาท่านพ่อของเจ้าเจอแล้ว เจ้าต้องกลับมาที่นี่”
“ได้สิ ฉันสัญญา”
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในใจกลางของสงคราม
พวกผู้หญิงกับเด็กต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ บ้างก็กอดศพของคนในครอบครัวและกรีดร้องด้วยความเศร้าโศก ส่วนพวกผู้ชายก็วิ่งวุ่นดับไฟ บ้างก็วิ่งไปมาพลางตะโกนเรียกชื่อคนในครอบครัวที่หายตัวไป ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
“แค่กๆ”
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งมองทางข้างหน้าไม่เห็น เพราะควันปกคลุมราวกับหมอก บ้านส่วนใหญ่ของที่นี่มุงหลังคาด้วยฟางข้าว เมื่อถูกไฟไหม้จึงทำให้เกิดควันหนาทึบมาก
“พ่อ! พ่อคะ แค่กๆ” ควันบดบังทัศนวิสัยไปจนหมด ฉันสำลักควันทุกครั้งที่ตะโกนเรียกพ่อ
“แม่นางขอรับ” ทหารชั้นผู้น้อยที่องค์ชายควังแฮสั่งให้ตามมาเอ่ยเรียกฉัน “แม่นางตามหาท่านพ่อท่ามกลางควันเช่นนี้คงไม่ดีแน่ แม่นางลองไปยังที่ที่วางศพกองเอาไว้ดีกว่าขอรับ”
“ที่วางศพเหรอ”
“พวกเขาวางศพเอาไว้หน้าลานที่ว่าการขอรับ ท่านน่าจะไปหาท่านพ่อจากที่นั่นก่อน…”
“พ่อของฉันยังไม่ตาย! ทำไมต้องให้ฉันไปหาพ่อที่นั่นด้วย!” ฉันตวาดออกไปด้วยความโกรธจนนายทหารถึงกับสะดุ้ง
“ไม่ได้…ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่คิดว่าอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้ขอรับ…”
“ฉันบอกแล้วไงว่าพ่อของฉันยังไม่ตาย!”
คำพูดของนายทหารยิ่งเพิ่มความไม่สบายใจให้ฉันเป็นทวีคูณ ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปในกลุ่มควันโดยไม่ฟังเสียงร้องห้าม
“แม่นาง!”
ทหารร้องเรียก แต่ฉันไม่ฟัง ฉันรู้ว่ามีคนตายมากมายที่นี่ แต่ฉันไม่พอใจที่พวกเขาคิดว่าพ่อจะเป็นหนึ่งในศพที่ตายอยู่ตรงนั้น นอกจากนี้พ่อก็ไม่ใช่คนที่จะตายไปโดยทิ้งฉันเอาไว้ข้างหลังแบบนี้ ยิ่งท่ามกลางสงครามอิมจินในปี 1592 ยิ่งเป็นไปไม่ได้!
“พ่อคะ! พ่อ! นี่คยองมินเองค่ะ! พ่ออยู่ที่ไหนคะ แค่กๆๆๆ…”
ทุกครั้งที่วิ่งไปด้วยตะโกนไปด้วย ควันก็เข้ามาในปากจนหายใจไม่สะดวกและแสบคอไปหมด แต่ฉันไม่มีเวลาจะมาสนใจอาการพวกนี้
“อินนา! อินนา!”
เสียงร้องหาครอบครัวที่หายไปเหมือนกับฉันดังขึ้นไม่ไกลออกไปนัก แต่ควันทำให้ฉันไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก เห็นแค่รางๆ ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวและหมวกทรงสูงสีดำเหมือนผู้มีบรรดาศักดิ์ เขาดักเรียกทหารสองนายที่เดินผ่านไปก่อนจะละล่ำละลักถาม
“เห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณแปดเก้าขวบบ้างหรือไม่”
“เด็กผู้หญิงอายุประมาณนั้นข้าพบอยู่สองคนขอรับ”
“เด็กคนนั้นสวมชอโกรีที่มีแขนเสื้อสลับสี มันเป็นชุดที่ค่อนข้างมีราคา ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้คงมีไม่กี่คนที่ใส่ชุดแบบนี้ ลองนึกดูดีๆ เถิด”
“ชอโกรีที่มีแขนเสื้อสลับสี… อ๊ะ! นึกออกแล้ว มีบุรุษผู้หนึ่งพูดภาษาเดียวกับพวกเราแต่หน้าตาเหมือนพวกญี่ปุ่น เขาช่วยเด็กผู้หญิงสวมชอโกรีแบบนั้นเอาไว้ขอรับ แล้วเขาพูดว่า…คยองมิน… เหมือนจะเรียกเด็กคนนั้นว่าอย่างนี้น่ะขอรับ”
คยองมินเหรอ!
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของทหารนายนั้น ฉันก็รีบวิ่งไปหา
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะคะ! ใครพูดว่า ‘คยองมิน’ เหรอคะ”
ทหารนายนั้นหันมามองฉันอย่างงงๆ “อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ขอรับ… หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ขอรับ…”
“ตอนนี้คนนั้นอยู่ที่ไหนคะ/เด็กผู้หญิงคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ใดรึ” ฉันกับผู้ชายคนนั้นถามขึ้นพร้อมกัน
“มีที่พักสำหรับคนบาดเจ็บอยู่ตรงด้านหน้าโน้นขอรับ บางทีอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้ขอรับ”
“คนบาดเจ็บเหรอ/เด็กคนนั้นบาดเจ็บรึ” เราสองคนพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
“ข้าว่าไปดูให้แน่ใจ ดีกว่ามาเสียเวลาซักไซ้ไล่ถามนะขอรับ”
ชายสวมหมวกทรงสูงรีบตะโกนเรียก ‘อินนา!’ แล้ววิ่งไป ฉันจึงวิ่งตามเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนที่พูดว่า ‘คยองมิน’ จะต้องเป็นพ่อแน่ๆ
วิ่งมาได้สักพักก็พบกับลานที่มีคนเจ็บนอนเรียงรายเต็มไปหมด เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว แต่มีเพียงหมอหญิงแค่สองคนที่วิ่งวุ่นดูแลคนเจ็บ
“อินนา! อินนา!”
ชายคนนั้นแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคนบาดเจ็บเพื่อค้นหาลูกสาว ส่วนฉันเองก็เริ่มมองหาพ่อจากคนบาดเจ็บเหล่านั้นเช่นกัน
“พ่อคะ! พ่อ!”
“โอ๊ย… โอ๊ย…”
“โอ๊ย ข้าจะตายอยู่แล้ว…”
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย… ฮือ…”
มีแต่คนบาดเจ็บเต็มไปหมด มีตั้งแต่คนที่บาดเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงคนที่บาดเจ็บสาหัสจนใกล้หมดลม ฉันกลัวเหลือเกินที่จะเจอพ่อในสภาพแบบนั้น
“คยองมิน!”
ตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ พอหันไปมองก็พบองค์ชายควังแฮยืนอยู่กับพวกทหาร ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดแล้วว่าทำไมเขาถึงได้ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันยังคงมองหาพ่อต่อไปโดยไม่ได้ตอบคำเขา
“ท่านพ่อ!” ตอนนั้นเองฉันก็พลันได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงดังแทรกเสียงครวญครางของผู้คน
“อินนา!”
“ท่านพ่อ…” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งรีบลุกแล้ววิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ชายสวมหมวกทรงสูงที่วิ่งมาพร้อมกับฉัน
“ท่านพ่อ! ฮือๆ”
“อินนา! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน เจ้าตามแม่ไปที่อึยจูแล้วไม่ใช่รึ แล้วเหตุใดเจ้า… ไม่เป็นไรนะลูก โชคดีแล้ว โชคดีที่สุด โชคดีแล้วที่เจ้าปลอดภัย”
“ท่านพ่อ…”
ฉันมองภาพพ่อลูกคู่นั้นแล้วน้ำตารื้นด้วยเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะฉันก็กำลังตามหาพ่ออยู่เช่นกัน ระหว่างนั้นใครบางคนก็มาแตะที่ไหล่ฉัน
“เจ้ายัง…หาท่านพ่อไม่เจออีกรึ”
ฉันถอนหายใจแล้วหันไปมององค์ชายเพื่อจะตอบว่ายังหาไม่เจอ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ ชายคนนั้นถูกคลุมด้วยเสื่อที่ทำจากฟาง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าเพราะนอนหันหลังอยู่ แต่ทรงผมแบบนั้น แค่มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าเขามีทรงผมที่แตกต่างจากชาวโชซอนโดยสิ้นเชิง ฉันทิ้งองค์ชายควังแฮเอาไว้ แล้วรีบวิ่งไปคุกเข่าข้างๆ ผู้ชายคนนั้นทันที
“พะ…พ่อคะ”
ฉันเลิกเสื่อที่คลุมตัวออกแล้วร้องเรียกพ่อ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ร่างนอนแน่นิ่งราวกับไม่มีลมหายใจ ฉันจึงยื่นมือออกไปพลิกร่างนั้นให้หันมาทางฉัน
“…” วินาทีที่เห็นใบหน้านั้นชัดๆ ฉันก็แทบสิ้นสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดที่แห้งเกรอะกรัง ชายคนนี้คือพ่อของฉัน คิมยองชัน
“คยองมิน” องค์ชายควังแฮรีบวิ่งเข้ามาประคองฉันที่ทำท่าจะเป็นลม เขาเองก็เคยเห็นใบหน้าของพ่อผ่านภาพถ่าย จึงรู้ทันทีว่านี่คือผู้เป็นพ่อของฉัน
“พ่อ… พ่อ…”
“ขันทีลีไปตามหมอหญิงมาเร็วเข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
พอตั้งสติได้ ฉันก็เอาแต่เขย่าตัวพ่อเพื่อให้พ่อฟื้นขึ้นมา “พ่อ… พ่อต้องไม่เป็นแบบนี้! พ่อคะ! พ่อจะตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด! พ่อคะ! พ่อ!”
แต่ทำยังไงพ่อก็ไม่ยอมลืมตา ยิ่งเป็นอย่างนั้นฉันก็ยิ่งกลัวมากขึ้น และพยายามเขย่าตัวพ่ออย่างแรงเพื่อให้พ่อฟื้นขึ้นมา
องค์ชายควังแฮพยายามห้ามฉันเอาไว้ “ใจเย็น ตั้งสติหน่อยสิ คยองมิน” เขาใช้นิ้วมืออังที่ปลายจมูกของพ่อ แล้วเอ่ยกับฉัน “ท่านพ่อของเจ้ายังมีลมหายใจอยู่”
“ยังไม่ตายเหรอ พ่อ… พ่อคะ พ่อยังไม่ตายจริงๆ ใช่มั้ย”
หมอหญิงวิ่งตรงมาทางพวกเรา องค์ชายควังแฮประคองฉันให้ลุกขึ้นเพื่อหลีกทางให้ หมอหญิงนั่งลงแล้วเริ่มจับชีพจรพร้อมสังเกตอาการของพ่อ “เสียเลือดมากจากบาดแผลของคมดาบจึงทำให้หมดสติเพคะ”
“แล้วต้องทำอย่างไร ข้าถามว่าต้องทำอย่างไร!”
“ท่านหมอพัคไม่อยู่ หม่อมฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเพคะว่าต้องทำอย่างไรดี…”
“ข้าถามว่าต้องทำอย่างไร!”
องค์ชายควังแฮตวาดถามหมอหญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมอหญิงก็ได้แต่หมอบแล้วพูดว่า “เอ่อ…ต้องพาไปยังที่ที่ปลอดภัยก่อนเพคะ ต้องห้ามเลือดเสียก่อน แต่หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะรอดหรือไม่นะเพคะ”
“ไม่จริง…”
ฉันฟังคำพูดของหมอหญิงแล้วหมดแรงล้มลงในอ้อมกอดขององค์ชายควังแฮ หายใจไม่ทั่วท้อง ในหัวของฉันว่างเปล่าไปหมด ต้องช่วยพ่อให้ได้ แต่ฉันรู้ดีว่าการช่วยชีวิตคนถูกแทงถูกฟันในยุคโชซอนนั้นเป็นไปได้ยาก ยุคนี้แค่ใช้น้ำผึ้งราดบริเวณแผลเพื่อรักษาแบบฉุกเฉินเท่านั้น พ่อคงจะไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีในยุคนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นมีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้นคือการกลับไปยังอนาคต ฉันต้องพาพ่อกลับไปยังปี 2013 ที่พวกเราเดินทางมา ฉันมั่นใจว่าการทำอย่างนี้จะช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ได้แน่ แต่ก่อนที่จะกลับไปได้นั้นพ่อจะต้องฟื้นเสียก่อน แล้วฉันกับพ่อก็จะออกไปจากยุคนี้ได้
“คยองมินฟื้นสิ!” องค์ชายควังแฮร้องเรียกฉันที่ก้มหน้านิ่งไป เขาคงคิดว่าฉันช็อกที่ได้เห็นพ่อบาดเจ็บจนเป็นลมไปเลยสินะ ฉันเงยหน้ามองเขา ‘องค์ชายรัชทายาทแห่งโชซอน’ ที่พึ่งหนึ่งเดียวของฉันในโชซอนก็มีแค่เขาซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทเท่านั้น
“ฉันต้องช่วยพ่อให้ได้ แต่ว่า…ต้องทำให้พ่อฟื้นเสียก่อน ช่วยฉันด้วยนะ ขอร้องล่ะ…”
“ข้ารู้” เขาตอบรับแล้วหันไปออกคำสั่งกับขันทีลี
“รีบย้ายชายผู้นี้ไปที่บ้านพักเสียก่อน แล้วหมอหญิง เจ้าต้องรักษาให้ดีที่สุดจนเขาหายเป็นปกติ”
“เพคะฝ่าบาท”
พ่อถูกย้ายไปยังบ้านพักตามคำสั่งขององค์ชายควังแฮ โดยมีหมอหญิงดูแลรักษาบาดแผลของพ่อที่นั่น บาดแผลของพ่อสาหัสกว่าที่ฉันเห็นนัก บาดแผลเริ่มจากไหล่ด้านขวาฉีกขาดเป็นเส้นทแยงมุมไปยังหลัง นี่พ่อคงบาดเจ็บมาสักพักแล้ว เพราะเลือดหยุดไหลจนแข็งเกรอะกรัง
พอเช็ดเลือดที่เปรอะตามใบหน้าออก ฉันก็ได้เห็นใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำของพ่อ ไม่ต้องเป็นหมอก็พอเดาออกว่าพ่ออยู่ในสภาพที่แย่มากแล้ว
“พ่อ… ฮือๆ พ่อฟื้นสิคะ เราจะได้กลับบ้านกัน หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วค่ะ”
ครอบครัวของฉันบนโลกใบนี้มีแค่พ่อกับฉัน มีแค่เพียงเราสองคนเท่านั้น ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง พ่อเป็นนักท่องเวลา ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแค่ไหนก็สามารถหลบหนีมาได้
“พ่อของเด็กสาวที่ฝ่าบาทช่วยเหลือไว้อยากพบพระองค์สักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อขันทีลีพูดจบ องค์ชายควังแฮที่นั่งอยู่ด้านหลังของฉันก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก ตอนนี้ในห้องคับแคบจึงเหลือเพียงแค่ฉันกับพ่อ และหมอหญิง
“พ่อจะฟื้นมั้ยคะ จะฟื้นภายในวันนี้หรือเปล่าคะ”
หมอหญิงทำหน้าหนักใจกับคำถามของฉัน เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ฉันจึงเอาแต่จับมือของพ่อเอาไว้และเลิกคาดหวังคำตอบ แล้วทันใดนั้นเองน้ำตาของฉันก็หยดลงที่หลังมือของพ่อ ก่อนที่พ่อจะลืมตาขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์
“พ่อคะ” ฉันเอ่ยเรียก เปลือกตาของพ่อกะพริบอยู่หลายครั้ง “พ่อคะ ฟื้นแล้วเหรอคะ พ่อมองเห็นหนูมั้ยคะ หนูคยองมินไง!”
“คยองมิน…”
“ค่ะคยองมินเอง พ่อฟื้นแล้ว” คำตอบของฉันทำให้พ่อลืมตามองฉันอีกครั้ง
“เด็กคนนั้น… เด็กผู้หญิงคนนั้นปลอดภัยมั้ย”
“เด็กผู้หญิงคนนั้นได้เจอกับครอบครัวแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พ่อทำแบบนั้นทำไมกันคะ”
“ไม่รู้สิ… พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน พอได้ยิน… เสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้น พ่อก็นึกถึงตอนที่ลูกหายไปเมื่อเก้าปีก่อน พ่อเห็นแล้วนึกถึงลูก”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ค่ะ พ่อเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับประวัติศาสตร์ เพราะองค์ชายควังแฮใช่มั้ยคะ ทำไมพ่อถึงได้ส่งองค์ชายควังแฮไปยังโลกปัจจุบันล่ะคะ”
จังหวะที่ฉันเรียกชื่อองค์ชายควังแฮตามอำเภอใจ หมอหญิงก็มองฉันตาแข็งก่อนจะพูดขอตัว “ข้าจะไปเอายาสมุนไพรมาให้นะเจ้าคะ”
เธอทิ้งพวกเราพ่อลูกเอาไว้แล้วออกไปจากห้อง ทันทีที่ฉันแน่ใจว่าเธอออกไปแล้ว ฉันจึงได้หันมาคุยกับพ่ออีกครั้ง
“รีบกลับกันเถอะค่ะ เราไปโรงพยาบาลกันดีกว่า ถ้าไปโรงพยาบาลพ่ออาจจะหายก็ได้นะคะ”
“คยองมิน… อ๊อก!” จู่ๆ พ่อก็เริ่มอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีแดงฉาน
“พ่อคะ!”
“พ่อ… คงกลับไปไม่ได้แล้ว”
“กลับไปไม่ได้เหรอคะ ตอนนี้พ่อยังไหวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ รีบกลับกันเถอะค่ะ กลับกันเถอะนะคะ พ่อ!” ไม่ว่าฉันจะพูดยังไงพ่อก็ไม่สนใจคำพูดของฉันเลย
“พ่อ… มีความจริงที่ยังไม่ได้บอกลูก พ่อรู้อยู่แล้วว่าพ่อต้องตายก่อนลูกอายุยี่สิบ”
“ก่อนหนูอายุยี่สิบเหรอคะ พ่อพูดอะไรอยู่คะ”
“เพียงแค่พ่อไม่รู้มาก่อนว่ามันจะเป็นวันนี้…”
พ่ออาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง ครั้งนี้ฉันคิดว่าไม่ควรจะชักช้าไปกว่านี้แล้วจึงจับมือพ่อแล้วพูดกับพ่อ “กลับกันเถอะค่ะ ขอร้องล่ะค่ะ”
“คยองมิน… พ่อขอโทษ ตอนนี้พ่อคงส่งลูกกลับไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น…”
คำพูดนั้นเหมือนกับฟ้าพังทลายลงมา พ่อยกมือขึ้นแตะแก้มของฉัน
“ลูกรัก… พ่อไม่อยากให้ลูกเสียใจกับการตายของพ่อ…”
“พ่อ…”
สายลมเริ่มพัดมา สายลมนี้เหมือนเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างกาลเวลา ตอนนี้พ่อตั้งใจจะส่งฉันกลับไปยังโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน
“หนูไม่กลับ! พ่อคะ เรากลับด้วยกันเถอะนะคะ หนูจะไม่ทิ้งพ่อไว้ที่นี่เด็ดขาด!”
“พ่อขอโทษ…”
“พ่อ! ได้โปรด!” ฉันอ้อนวอนและยืนยันว่าจะไม่ทิ้งพ่อเอาไว้ที่นี่แล้วกลับไปคนเดียวเด็ดขาด
“พลังเฮือกสุดท้ายของพ่อ… จะส่งลูก…” พ่อหลับตาลงทั้งที่ยังพูดไม่จบ ในเวลาเดียวกันมือของพ่อที่แตะแก้มของฉันอยู่ก็ตกลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“พ่อ!”
ฉันวางมือลงบนตัวพ่อ แต่มือของฉันกลับจับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย ร่างของฉันค่อยๆ โปร่งใส สายลมค่อยๆ ดูดร่างของฉันไป
“ไม่เอา! หนูไม่ทิ้งพ่อเด็ดขาด! พ่อ!”
เสียงตะโกนของฉันทำให้องค์ชายควังแฮรีบวิ่งเข้ามา ภาพที่ร่างของฉันค่อยๆ เลือนหายไปข้างๆ ร่างของพ่อทำให้เขาถึงกับตกตะลึง
“คยองมิน!”
เขาตะโกนเรียกพร้อมยื่นมือมาคว้าตัวฉันเอาไว้ แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามจะไขว่คว้า ร่างของฉันก็ยิ่งเลือนหายจนสุดท้ายเขาก็คว้าได้แต่อากาศที่ว่างเปล่า มือของฉันไม่สามารถสัมผัสตัวพ่อได้ และมือของเขาก็ไม่สามารถคว้าร่างของฉันไว้ได้เช่นกัน
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน!”
เขาตะโกนสุดเสียงมาทางร่างของฉันที่จับต้องไม่ได้ ร่างของฉันถูกผลักเข้าไปใจกลางของลมที่หมุนวนอยู่ด้านหลังตัวเขา แล้วฉันก็ไปจากโชซอนโดยไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้เลย
คิมยองชัน พ่อของฉันเสียชีวิตในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1592 ที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง
“Hello?”
“…”
“Who’s there?”
“Hi เอ่อ…นั่นคนเกาหลีใช่มั้ยคะ”
ชื่อที่อยู่ในสมุดโทรศัพท์เล่มเก่าของพ่อคือ ‘คิมยองอา’ อาของฉันเอง อาที่ฉันเคยได้ยินแต่เรื่องที่พ่อเล่าว่าแต่งงานกับคนต่างชาติแล้วย้ายไปอยู่อเมริกา
“นั่น…ใครคะ” เสียงผู้หญิงตอบกลับด้วยภาษาเกาหลีผ่านมาทางปลายสาย
“เอ่อ…สวัสดีค่ะ หนูชื่อคิมคยองมินค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักหนูหรือเปล่า แต่ว่า…”
“คยองมินเหรอ คยองมินใช่มั้ย คยองมินลูกสาวพี่ชายของฉันใช่หรือเปล่า”
โชคดีที่ไม่ต้องเท้าความกันนาน
“ค่ะ หนูคยองมินค่ะ สวัสดีค่ะคุณอา”
“จริงสิ หลังจากได้ภาพถ่ายของเธอในวัยเด็กมาหนึ่งใบก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ให้ตายสิ ตอนนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“สิบแปดปีแล้วค่ะ”
“อายุเท่าลูกชายของฉันเลย อ้อ แล้วมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมคนที่โทรมาหาฉันถึงเป็นเธอ ไม่ใช่พี่ชายฉันล่ะ”
“คือ…คือว่า…” พ่อเสียชีวิตแล้ว “พ่อ… พ่อ…”
ฉันตั้งใจจะบอกข่าวให้อารับรู้อย่างใจเย็นที่สุด แต่วินาทีที่ตั้งใจจะบอกข่าวการเสียชีวิตของพ่อกลับมีอะไรบางอย่างมาจุกที่ลำคอทำให้เอ่ยออกมาไม่ได้
“คยองมิน เกิดอะไรขึ้น”
“พ่อ… เสียแล้วค่ะ”
ฉันโทรศัพท์หาอาในฤดูหนาว ปี 2013 แต่พ่อของฉันเสียชีวิตในฤดูหนาว ปี 1592
หลังจากนั้นสามวัน อาบินมาจากอเมริกา
“โอ๊ย เธอหน้าเหมือนพี่ยองชันมากเลย”
พอถึงบ้าน อาก็เดินสำรวจห้องหนังสือของพ่อก่อนเป็นอันดับแรก
“ตอนที่แม่ของเธอเสีย ฉันก็ยังกังวลว่าพี่ยองชันจะเลี้ยงทารกแรกเกิดได้ยังไง”
หลังจากเดินดูห้องหนังสือเสร็จ อาก็ออกมาที่ห้องนั่งเล่น
“เธอเองก็คงลำบากมากสินะ พ่อของเธอเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนเป็นนักเรียนก็เอาแต่อวดว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษเดินทางข้ามเวลาได้ วันทั้งวันก็เอาแต่เดินทางไปยุคโน้นยุคนี้ บางทีก็ไม่กลับบ้านตั้งหลายวัน ฉันเองก็อิจฉา บางทีก็โมโหด้วย มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเดินทางข้ามเวลาไปยุคไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ ส่วนผู้หญิงเดินทางข้ามเวลาได้ก็จริง แต่ไม่สามารถกลับมาได้ตามอำเภอใจ”
อาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนปกติ ตั้งใจจะปลอบใจฉันงั้นเหรอ หรืออาจจะเป็นสไตล์อเมริกัน หรือว่าสองพี่น้องอยู่ห่างไกลกันเป็นเวลานานจนแทบไม่รู้สึกเสียใจที่ต้องจากกัน ความจริงอาคือญาติเพียงคนเดียวของฉัน แต่อากลับดูนิ่งเฉยมากกับการเสียชีวิตของพ่อ แน่นอนว่าความเศร้าที่ฉันรู้สึกนั้นต้องมากกว่าความเศร้าของอาอยู่แล้ว แต่ทำไมความเศร้าของอามันช่างน้อยจนแทบไม่มีเลยแบบนี้ล่ะ
“ดื่มกาแฟหน่อยมั้ยคะ”
“มีอเมริกาโน่มั้ย”
“มีแต่กาแฟสำเร็จรูปค่ะ”
“ถ้างั้นฉันขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ฉันไม่ค่อยชอบกาแฟพวกนั้นเท่าไหร่น่ะ”
ปกติแล้วในสถานการณ์แบบนี้ควรดื่มอะไรก็ได้ตามที่เจ้าของบ้านจะเสิร์ฟไม่ใช่เหรอ อาที่ฉันเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกในชีวิตนั้นมีคำพูดเท่านั้นที่เป็นภาษาเกาหลี แต่ท่าทางและพฤติกรรมเหมือนคนต่างชาติไม่มีผิด
“จริงสิ แล้วต่อไปนี้จะอยู่ยังไง ยังเรียนไฮสกูลอยู่ใช่มั้ย” อายกน้ำขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถาม
“ตอนนี้กำลังเตรียมสอบเทียบวุฒิอยู่ค่ะ”
“ไม่ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนหรอกเหรอ”
“ค่ะ” ฉันตอบคำไปสั้นๆ
“แล้วตอนนี้เรียนไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”
“ได้รับใบประกาศจบมัธยมตอนต้นแล้วค่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปเรียนต่อไฮสกูลที่อเมริกาได้เลยสินะ”
“อะไรนะคะ”
“ก่อนมานี่ฉันคุยกับเจอร์รี่อาเขยของเธอว่า ตอนนี้เธอไม่มีใครแล้ว เธอคงต้องย้ายมาอยู่กับพวกเราที่อเมริกา อย่างน้อยก็ให้เรียนจบไฮสกูล หลังจากนั้นเธอจะเรียนต่อมหา’ลัยหรือทำงานก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตไป ฉันเป็นพลเมืองของอเมริกาแล้วก็คงไม่ยากที่เธอจะได้วีซ่า เพราะอย่างนั้นไปอยู่กับฉันที่อเมริกาเถอะนะ”
“หนู…”
“ทำไม หรือว่าเสียดายที่ต้องห่างกับเพื่อนๆ”
เพื่อนเหรอ ไม่รู้ทำไมพออาพูดคำว่า ‘เพื่อน’ ใบหน้าของเขาคนนั้น ไม่ใช่สิ ใบหน้าขององค์ชายควังแฮก็แวบเข้ามาในสมอง ฉันกับเขาอายุเท่ากัน แต่กลับเป็นเพื่อนกันไม่ได้ เพราะในยุคโชซอนนั้นชายหญิงเป็นเพื่อนกันได้ยาก แต่ตอนที่ฉันไปหาพ่อที่โชซอน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาก็ช่วยเหลือฉันเป็นอย่างดี แบบนี้จะเรียกว่าเพื่อนได้มั้ยนะ
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“งั้นก็ดีเลย ฉันได้ยินมาว่าคุณตาคุณยายของเธอก็เสียชีวิตหมดแล้ว เธอยังพอมีญาติฝั่งแม่คนอื่นอีกบ้างรึเปล่า”
“ญาติฝั่งแม่ไม่มีแล้วค่ะ”
“งั้นเหรอ เฮ้อ คงไม่มีใครเข้าใจเรื่องพี่ยองชันตายโดยไม่มีศพหรอกนะ โลกนี้มีแค่เธอกับฉันเท่านั้นแหละที่เข้าใจ”
ฟังจากคำพูดและน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนว่าอาจะเกลียดชังการเกิดมาในตระกูลของ ‘นักท่องเวลา’ ไม่น้อยเลยทีเดียว
“คุณอาเคยท่องเวลามั้ยคะ”
“เคยสิ เป็นความทรงจำที่เลวร้ายมากเลยล่ะ”
เลวร้ายเหรอ มันคือคำที่คุ้นเคยสำหรับฉันมาก เพราะไม่นานมานี้ฉันก็เพิ่งสูญเสียพ่อไปจากการท่องเวลา
“ผู้หญิงสามารถไปได้ แต่ไม่สามารถกลับมาได้ เพราะอย่างนั้นตอนพวกเรายังเด็ก พ่อของเธอทะเลาะกับฉัน ก็เลยเอาฉันไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งในยุคโครยอ และอีกหนึ่งอาทิตย์ก็ค่อยมาพาตัวฉันกลับไป หลังจากนั้นฉันไม่ตามพ่อของเธอไปท่องเวลาอีกเลย การที่ฉันซึ่งยังเป็นเด็กถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยุคโครยอมันทำให้ฉันช็อกมาก ฉันคิดว่าการเดินทางข้ามเวลาคือการสาปแช่งที่โหดร้ายสำหรับผู้หญิงในตระกูลเราเลย”
“ค่ะ…”
“แต่โชคดีที่ลูกชายกับลูกสาวของฉันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นนักท่องเวลา อาจจะเพราะเป็นลูกครึ่งก็ได้ เธอเองก็เหมือนกัน น่าจะไปเริ่มต้นใหม่ที่อเมริกา อายุขนาดเธอคงจะตัดขาดโชคชะตาของตระกูลนี้ได้”
“แต่ว่าอาคะ ถ้าหนูแต่งงานแล้วมีลูก ลูกของหนูอาจจะเป็นนักท่องเวลาก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ”
“แน่นอน แล้วจนถึงตอนนี้พ่อของเธอบอกอะไรเธอไว้บ้างล่ะ”
ฉันเริ่มไม่ค่อยชอบที่อาวิจารณ์พ่อของฉันจนเกินขอบเขต ฉันพอจะเข้าใจว่าอามีความทรงจำที่เลวร้ายมากเกี่ยวกับการท่องเวลา แต่ก็ไม่ควรอคติถึงขนาดนี้
“พ่อบอกเฉพาะสิ่งที่หนูสงสัยค่ะ”
“งั้นเหรอ งั้นก็ลืมไปเสียเถอะนะ แล้วบ้านนี้คือบ้านเช่าใช่มั้ย พรุ่งนี้ไปหาเจ้าของบ้านกับฉันเพื่อขอคืนบ้าน ไม่สิ ต้องไปแจ้งความก่อนว่าพ่อของเธอเป็นบุคคลหายสาบสูญ แล้วพอถึงเวลาที่กำหนดก็จะกลายเป็นบุคคลที่เสียชีวิตไปเอง กฎหมายเกาหลีกับอเมริกาน่าจะคล้ายๆ กัน เหมือนตอนพ่อของฉันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน”
“พ่อของคุณอา หมายถึงคุณปู่เหรอคะ คุณปู่เองก็หายตัวไปเหมือนกันเหรอคะ”
“ไม่ได้หายตัวไปแต่เสียชีวิตที่ไหนสักแห่งในประวัติศาสตร์ต่างหาก ดังนั้นฉันถึงได้บอกว่าตระกูลของเราเหมือนถูกสาปแช่งยังไงล่ะ น่าขำมั้ย บอกว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็เข้าไปแทรกแซงจนได้และผลตอบแทนของการกระทำเหล่านั้นก็คือความตายในขณะที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว มนุษย์น่ะทั้งโง่และเซ่อแบบนี้สินะ ฉันน่ะอยากกลับอเมริกาจะแย่อยู่แล้ว”
แล้วอาก็พูดสแลงภาษาอังกฤษที่ฉันไม่รู้ความหมาย แต่ฉันเดาว่ามันไม่น่าจะเป็นความหมายที่ดีสักเท่าไหร่
“ฉันพักอยู่ที่โรงแรมนาริ นี่คือหมายเลขห้องพัก แต่ถ้ามีเรื่องด่วนก็ติดต่อได้ตลอดนะ แล้วพรุ่งนี้เที่ยงฉันจะมาหาอีก เธอไม่ได้ออกไปไหนใช่มั้ย”
“ไม่ไปค่ะ หนูอยู่บ้านตลอด”
“โอเค ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้ ล็อกประตูบ้านให้ดีๆ ล่ะ”
หลังจากอาไปแล้ว บ้านก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง น้ำตาของฉันพลันไหลรินอาบแก้มทันที ฉันรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาพลางคิดว่าตอนนี้ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่จะทำอะไรดีล่ะ
พอเดินไปที่ครัวแล้วเปิดหม้อหุงข้าว ฉันก็เพิ่งได้รู้ว่าตั้งแต่ที่เขาคนนั้นมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน ฉันก็ไม่ได้กินข้าวที่บ้านอีกเลย ส่วนใหญ่จะซื้ออาหารจากร้านฟาสต์ฟู้ดกินแบบง่ายๆ
ฉันตักข้าวใส่ชามแล้วเทน้ำตามลงไปเพื่อทำข้าวต้มแบบง่ายๆ แต่พอตักข้าวเข้าปาก ภาพของเขาคนนั้นที่กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อสามวันก่อนก็แวบเข้ามาในสมอง
เขานั่งถือป้ายหยกหักครึ่งอยู่ตรงนี้ แล้วบอกว่าแม่ของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก ใช่แล้ว พระสนมกงบินแห่งตระกูลคิมคือพระราชมารดาขององค์ชายควังแฮ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อองค์ชายอายุได้สองชันษา ทั้งฉันและเขาต่างก็จำเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เหมือนกัน ฉันพยายามหาจุดเหมือนของฉันกับเขา แล้วเริ่มปลอบใจตัวเองท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้
‘หลังขึ้นเป็นกษัตริย์ องค์ชายควังแฮก็ถูกโค่นบัลลังก์จากกบฏอินโจแล้วถูกเนรเทศไปที่เกาะเชจู พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายสิบปีจนสิ้นพระชนม์ ณ ที่แห่งนั้น พระองค์ยังคงเชื่อว่าจะได้คืนสู่ตำแหน่งเดิมจนกระทั่งวินาทีที่สิ้นพระชนม์’
เมื่อเทียบกับชีวิตขององค์ชายควังแฮ ชีวิตของฉันยังดีกว่าเยอะ แต่อีกด้านหนึ่ง เขาได้อยู่กับคนที่เรียกว่าครอบครัว ซึ่งนั่นทำให้ฉันคิดว่าชีวิตของเขาดีกว่าชีวิตของฉัน
‘เจ้ามีข้า’
คำพูดที่เขาบอกกับฉัน
‘คนที่เจ้ารู้จักในโชซอนก็มีข้าคนหนึ่ง ตอนนี้เจ้าไม่สมควรจะพูดว่าเจ้าไม่มีคนรู้จักอยู่ที่โชซอนเลยสักคนเดียว’
ถ้าฉันเป็นคนโชซอนที่อาศัยอยู่ในสมัยนั้นจริงๆ… ไม่รู้ทำไมคำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ แต่ในโลกแห่งความจริงฉันไม่ใช่คนโชซอน ฉันจึงต้องเอาชนะความเศร้า ความเหงา และความเจ็บปวดเพียงลำพัง ทั้งในตอนนี้ ทั้งในอนาคต ชั่วนิรันดร์ จนกว่าฉันจะตายไปจากยุคนี้… จากที่นี่…
ฤดูใบไม้ผลิ ปี 1599 (ปีที่ 32 ของพระเจ้าซอนโจ) เมืองยอนชอน จังหวัดคยองกี
“จริงรึ ที่เจ้าพูดออกมาเป็นเรื่องจริงรึ”
“เจ้าค่ะ ข้าจะปดคุณหนูไปด้วยเหตุใดล่ะเจ้าคะ ข้าได้ยินกับหูเลยนะเจ้าคะว่าองค์ชายรัชทายาทออกเดินทางไปพระราชวังชั่วคราวจังหวัดฮวังแฮเมื่อวานนี้ อีกไม่นานน่าจะผ่านมาทางยอนชอนเจ้าค่ะ”
“ไปถึงจังหวัดฮวังแฮอันไกลโพ้นนั่นเลยหรือ”
“จริงสิ คุณหนูเจ้าคะ พระมเหสียังประทับอยู่ในพระราชวังชั่วคราวไม่ใช่รึเจ้าคะ ดูท่าทางน่าจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างกับพระมเหสีนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นหรือ แต่ข้าก็เคยได้ยินจากท่านพ่อมาว่าองค์ชายรัชทายาทอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่หากต้องออกเดินทางไกลเช่นนี้…”
หญิงสาววัยสิบหกปีกำลังเงี่ยหูฟังคำพูดของสาวใช้อย่างตั้งอกตั้งใจ นางมีดวงตาที่เปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่ายังเพิ่งเป็นสาวแรกรุ่น นางได้ยินมาว่าองค์ชายควังแฮที่กลับมาจากจังหวัดชอนราจะไปเข้าเฝ้าพระมเหสีที่พระราชวังชั่วคราวจังหวัดฮวังแฮ ดังนั้นนางจึงตื่นเต้นมาก เพราะจะได้เห็นองค์ชายควังแฮ องค์ชายรัชทายาทแห่งเมืองหลวงผู้นั้น
“ไปเตรียมตัวเร็วเข้า”
“เตรียมอะไรเจ้าคะ”
“ถ้าอยากเห็นองค์ชายรัชทายาท ก็ต้องแอบไปในช่วงที่ท่านพ่อไม่อยู่ไม่ใช่รึ”
“คุณหนู! นายท่านก็ต้องไปต้อนรับองค์ชายรัชทายาทอยู่แล้ว ถ้าคุณหนูแอบหนีไปดูองค์ชายโดยไม่ให้เตะตานายท่าน คุณหนูก็ต้องแอบดูอยู่ไกลๆ เลยนะเจ้าคะ อย่าไปเลยเจ้าค่ะ ข้าว่าคุณหนูลองไปขอร้องนายท่านดีกว่านะเจ้าคะ บางทีคุณหนูอาจจะได้เป็นพระสนมขององค์ชายรัชทายาทก็ได้เจ้าค่ะ นายท่านเองก็รู้ใจคุณหนูดี”
“ข้าไม่มั่นใจ…” ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับผลแอปเปิ้ลสุกเมื่อได้ยินคำว่า ‘พระสนม’
ชื่อของหญิงสาวผู้นี้คือคิมอินนา ลูกสาวคนที่สองของคิมเจนัม เจ้าเมืองยอนชอน นางคือเด็กน้อยที่เกือบถูกทหารญี่ปุ่นสังหารที่ฮเว-รยองเมื่อเจ็ดปีก่อนในระหว่างที่กำลังลี้ภัยไปยังจังหวัดฮวังแฮ
ตอนนั้นนางยังเด็กมาก แต่นางก็จำบุรุษที่อุ้มนางเอาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะเสียชีวิตด้วยคมดาบของทหารญี่ปุ่น รวมทั้งบุรุษที่ยืนถือดาบอยู่ตรงหน้านางได้ดี ซึ่งนางเพิ่งมารู้ความจริงจากคำบอกเล่าของท่านพ่อทีหลังว่าบุรุษที่ยืนถือดาบช่วยนางนั้นคือองค์ชายรัชทายาทควังแฮ
อินนาคลายถุงผ้าไหมใบเล็กที่พกติดตัวอยู่เสมอ ในถุงผ้านั้นมีป้ายหยกครึ่งหนึ่งขององค์ชายควังแฮ สิ่งนี้เหมือนตัวแทนขององค์ชาย นางหยิบป้ายหยกขึ้นมาชื่นชมอย่างทะนุถนอม
“รีบไปกันเถิด”
“เจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้รีบจัดเสื้อนอกให้อินนาสวมใส่ก่อนจะเดินตามออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน
“ฟังดูแล้ว แสดงว่าท่านพี่ยังลืมนางผู้นั้นไม่ได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
องค์ชายควังแฮกำลังขี่ม้าเคียงคู่กับองค์ชายจองวอน พระโอรสองค์ที่สามของพระสนมอินบินแห่งตระกูลคิม ซึ่งเป็นพระสนมที่พระเจ้าซอนโจโปรดปรานมากที่สุด และเขายังเป็นพระโอรสหนึ่งเดียวของพระสนมอินบินที่มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายควังแฮอีกด้วย
“เจ้าถามข้าว่ายังลืมนางไม่ได้ใช่หรือไม่อย่างนั้นรึ ฟังแล้วเหมือนข้ากำลังโอบกอดนางผู้นั้นเอาไว้ในใจเลยนะ” องค์ชายควังแฮหัวเราะ
“ตามที่ท่านพี่เล่าให้หม่อมฉันฟัง เรื่องมันก็นานมากแล้ว แต่ท่านพี่ก็ยังคงพูดถึงนางอยู่เรื่อยมาราวกับเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ราวกับนางยังคงอยู่ตรงนี้เลยขอรับ”
“ไม่รู้สิ… ถ้านางยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนนี้อาจจะกลายเป็นภรรยาของใครสักคนไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ต้องทำใจใช่หรือไม่”
องค์ชายควังแฮในวัยยี่สิบห้าชันษาได้ใช้ชีวิตปีสุดท้ายของช่วงวัยสิบชันษาในสงคราม เขาสง่างามมากขึ้นและดูสมเป็นชายชาตรีมากขึ้น หากเทียบกันแล้วองค์ชายจองวอนในวัยยี่สิบชันษาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนี้มีรูปร่างผอมบางกว่ามาก
“แม้จะกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว แต่ทว่าท่านพี่ก็ยังคงลืมนางไม่ได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ฮ่าๆๆๆ ข้าก็แค่อยากรู้ว่านางเป็นเช่นไรบ้าง กำลังใช้ชีวิตสุขสบายดีอยู่ที่แห่งใดก็เท่านั้นเอง”
“หม่อมฉันอยากเห็นนางผู้นั้นขอรับ”
คำพูดเหนือความคาดหมายขององค์ชายจองวอนทำให้องค์ชายควังแฮถึงกับหูผึ่ง “เจ้าอยากเจอนางอย่างนั้นรึ”
“ก็ท่านพี่พูดถึงนางมาตั้งแต่ที่หม่อมฉันยังเป็นเด็ก ว่านางตะโกนใส่ท่านพี่ทั้งที่รู้ว่าเป็นองค์ชายรัชทายาท หม่อมฉันก็เลยอยากรู้ว่านางผู้นั้นจะหน้าตาเป็นเช่นไร เหตุใดถึงได้กล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนั้น”
“หากข้าทำให้เจ้าพบนางได้ ข้าก็อยากทำ…”
องค์ชายจองวอนลอบมองใบหน้าขององค์ชายควังแฮ “มีโลกที่สว่างไสวจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นยามค่ำคืนอยู่ด้วยหรือขอรับ”
นี่เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งที่องค์ชายควังแฮเคยเล่าให้องค์ชายจองวอนฟัง แต่องค์ชายควังแฮเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ให้ชัดแจ้งได้
“เวลาผ่านไปนานมาก นานจนข้าก็จำโลกนั้นไม่แม่นยำเสียแล้ว บางทีแสงที่ข้าเห็นในตอนนั้นอาจจะไม่ใช่แสงดาวก็เป็นได้ แต่หลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นแสงไฟที่เปล่งประกายและสว่างไสวเพียงนั้นจากที่ใดอีกเลย”
“บางทีท่านพี่อาจมองผิดไปก็ได้นะขอรับ”
“มองผิดรึ ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่…อย่างที่เจ้าบอก นางผู้นั้นอยู่ในใจข้าเนิ่นนานจนข้าทุกข์ทรมาน”
“เพราะอย่างนั้นน้องชายคนนี้ของท่านพี่จึงเติบโตมาพร้อมกับเรื่องเล่าของนาง และรู้สึกเหมือนรู้จักนางมาตลอดชีวิต”
องค์ชายควังแฮยิ้มชอบใจกับคำพูดของผู้เป็นน้องชาย
“ท่านพี่ หม่อมฉันมีเรื่องบางอย่างจะขอร้อง”
“อะไรรึ”
“พอกลับไปยังเมืองหลวง หม่อมฉันอยากให้ท่านพี่ช่วยสอนล่าสัตว์ขอรับ”
“เจ้าขอร้องในเรื่องที่ข้าให้ไม่ได้” องค์ชายควังแฮยิ้มขมขื่น
พระสนมอินบินผู้เป็นพระมารดาขององค์ชายจองวอนได้รับความรักอย่างมากมายจากพระเจ้าซอนโจ นางจึงสร้างเรื่องราวต่างๆ มาใส่ร้ายองค์ชายควังแฮอยู่เรื่อยมา เวลาอยู่ในเมืองหลวง องค์ชายควังแฮแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ราวกับตายทั้งเป็น แล้วจะให้ออกไปล่าสัตว์อย่างนั้นรึ ถ้าหากองค์ชายรัชทายาทไปล่าสัตว์ทั้งที่บ้านเมืองเพิ่งเสร็จสิ้นสงคราม พระสนมอินบินคงไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
“หม่อมฉันเป็นคนขอร้องให้ท่านพี่ช่วยสอนหม่อมฉันเอง ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ หม่อมฉันบอกท่านแม่เอาไว้แล้ว ส่วนเสด็จพ่อ หม่อมฉันคิดเอาไว้ว่าจะไปกราบทูลด้วยตัวเอง เสด็จพ่อคงประทานอนุญาต ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกข้าราชบริพารก็คงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์หรอกขอรับ”
“ดี ถ้าเช่นนั้นกลับจากเข้าเฝ้าพระมเหสีที่ซูอันแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที”
“ท่านพี่ ถ้าเช่นนั้น…หม่อมฉันขอคุยอีกเรื่องได้หรือไม่ขอรับ”
“เรื่องอะไรรึ”
“ก็เรื่องอาณาจักรมหัศจรรย์แห่งนั้นอย่างไรเล่าขอรับ จริงหรือที่แม่นางของอาณาจักรนั้นสามารถโต้แย้งกับบุรุษอย่างเราๆ ได้”
“ฮ่าๆๆๆ น้องข้า นี่คือเหตุผลที่ทำให้เจ้ามากับข้าจนถึงจังหวัดฮวังแฮหรือไร เจ้ามาเพื่อฟังเรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนของข้าสินะ”
“หม่อมฉันไม่อยากโกหกท่านพี่ หม่อมฉันอยากฟังเรื่องนี้จริงๆ ไม่ว่าจะฟังเรื่องนี้บ่อยแค่ไหน หม่อมฉันก็ไม่เบื่อเลยขอรับ”
“ก็ดีเหมือนกัน การเดินทางครั้งนี้จะได้ไม่น่าเบื่อ”
องค์ชายควังแฮหัวเราะออกมาเสียงดังจนองค์ชายจองวอนเองก็หัวเราะตามไปด้วย ทั้งสองและกลุ่มทหารขี่ม้ามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยมีแสงอาทิตย์อบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิส่องสว่าง
[นี่! ยังไม่รีบตื่นอีกเหรอ ถ้าไม่ตื่นตอนนี้พ่อจะไม่ทนแล้วนะ!]
ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุก มันยังเป็นเสียงสนุกสนานของพ่อ ฉันปิดเสียงปลุกแล้วลุกจากเตียงด้วยความอ่อนเพลียเนื่องจากความฝันเมื่อคืนทำให้วุ่นวายใจจนนอนหลับไม่สนิท
ฉันเห็นองค์ชายควังแฮในฝัน เขาหัวเราะกับใครสักคนและกำลังคุยเรื่องที่ได้เจอกับฉัน แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่สำหรับเขาแล้วการได้พบฉันคือความทรงจำอันแสนมหัศจรรย์ ทว่าสำหรับฉันแล้วมันคือเรื่องจริงที่สูญเสียพ่อไป แล้วมันก็ยากเหลือเกินที่ต้องยอมรับว่านั่นคือความจริง เวลามองบ้านที่ไร้ร่างและเงาของพ่อ หัวใจของฉันก็พลันเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด
ฉันเข้ามาในห้องหนังสือของพ่อ แล้วมองหนังสือที่อัดแน่นอยู่เต็มไปหมดเหล่านั้น
ถ้าต้องไปอยู่ที่อเมริกา… ฉันจะต้องจัดการกับของพวกนี้ยังไงดี
ฉันไม่แน่ใจว่าการโทรหาอานั้นเป็นเรื่องที่ดีรึเปล่า แต่การมีผู้ใหญ่สักคนคิดที่จะดูแลฉันมันถือเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าผู้ใหญ่คนนั้นจะเป็นญาติที่แปลกหน้าสำหรับฉันก็ตาม
ฉันหยิบหนังสือที่องค์ชายควังแฮทำหล่นไว้เมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา แล้วเสียงในตอนนั้นก็ดังแว่วเข้ามาจนทำให้ใบหน้าฉันเกิดรอยยิ้มบางๆ
‘แสดงว่าผ่านสงครามอิมจินที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานมาแล้วสินะ’
น่าขำตัวเองที่พูดจาไร้สาระออกไปโดยไม่รู้ว่าเขาคือองค์ชายควังแฮ แต่แล้วรอยยิ้มก็กลับกลายเป็นน้ำตา ฉันจึงเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วกวาดตามองไปรอบห้อง หนังสือของพ่อนั้นมีพงศาวดารของราชวงศ์โชซอนอยู่หลายเล่มเหมือนกัน ความจริงฉันไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่ แต่ตอนที่ฉันอายุสิบห้า จู่ๆ พ่อก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายควังแฮให้ฉันฟัง ซึ่งเรื่องแรกเกี่ยวกับองค์ชายควังแฮที่พ่อเล่าให้ฟังคือเรื่องกบฏอินโจ
‘คยองมิน ในสมัยโชซอนมีการยึดราชบัลลังก์และสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่อยู่สองครั้ง คือกบฏจุงจงและกบฏอินโจ รู้มั้ยว่าข้อแตกต่างของการยึดราชบัลลังก์สองครั้งนี้คืออะไร ตอนกบฏจุงจงนั้นทุกคนไม่สามารถอดทนต่อนิสัยป่าเถื่อนขององค์ชายรัชทายาทยอนซันได้ พวกขุนนางและข้าราชบริพารทุกคนจึงพากันขับไล่ และเลือกองค์ชายจินซองแดขึ้นมาสถาปนาเป็นพระเจ้าจุงจง แต่สำหรับกบฏอินโจนั้นไม่เหมือนกัน’
‘ยังไงคะพ่อ’
‘ราษฎรไม่ว่าใครก็ไม่คิดจะขับไล่องค์ชายรัชทายาทควังแฮเลย เพราะพระองค์จิตใจดีมีเมตตา ไม่ได้โหดร้าย แต่เป็นเพราะพระเจ้าอินโจใช้อำนาจของพวกขุนนางฝ่ายตะวันตกที่ไม่พอใจขุนนางฝ่ายเหนือซึ่งเป็นฐานการเมืองขององค์ชายรัชทายาทควังแฮ พระเจ้าอินโจจึงรวบรวมขุนนางฝ่ายตะวันตกที่ไม่พอใจก่อกบฏครั้งนี้ขึ้น องค์ชายรัชทายาทควังแฮจึงพ่ายแพ้ เป็นผลทำให้ถูกเนรเทศไปยังเกาะเชจูจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ และสุดท้ายโชซอน… ก็กลายเป็นโลกของขุนนางฝ่ายตะวันตก พระเจ้าอินโจไม่กล้าหือกับพวกขุนนางฝ่ายตะวันตกที่ช่วยเหลือตัวเอง อำนาจของโชซอนจึงตกอยู่ในมือของขุนนางฝ่ายตะวันตก จึงเป็นสาเหตุให้โชซอนเริ่มเสื่อมลง’
พ่อกระตือรือร้นเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายควังแฮเท่านั้น
‘หนึ่งในข้ออ้างที่พระเจ้าอินโจกับขุนนางฝ่ายตะวันตกใช้ขับไล่องค์ชายควังแฮออกจากบัลลังก์ก็คือการใส่ร้ายป้ายสีว่าองค์ชายนั้นปลดพระพันปีอินมกออกกลายเป็นสามัญชนและสั่งประหารพระนาง แต่องค์ชายจะฆ่าพระพันปีอินมกทำไมกัน เพราะตอนนั้นที่องค์ชายขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ บรรยากาศทางการเมืองดีมาก พระพันปีอินมกเป็นพระมารดาเลี้ยงขององค์ชายที่อายุน้อยกว่าองค์ชายถึงเก้าปี ซึ่งองค์ชายก็ไม่น่าเป็นคนใจคอโหดร้ายแบบนั้น…’
‘พ่อได้เดินทางข้ามเวลาไปดูให้เห็นกับตาหรือยังคะ’
‘ไปสิ พ่อไปดูมาแล้ว พ่ออยู่ในวังด้วยนะในวันที่พระพันปีอินมกถูกถอดจากตำแหน่ง วันนั้นองค์ชายควังแฮโมโหมากจนน่าตกใจ ให้ตายเถอะ องค์ชายควังแฮที่สุขุมและเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนั้น… พ่อว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่พ่อเห็น’
ตอนนั้นฉันยังเด็กจึงตอบพ่อไปโดยไม่ได้คิดอะไรว่า
‘ถ้าพ่อไปถามองค์ชายด้วยตัวเองก็น่าจะได้นี่คะ’
ตอนนั้นพ่อหัวเราะแล้วตอบฉัน
‘ไม่ได้หรอก คยองมิน พ่อเดินทางข้ามเวลาได้ เข้าไปสู่ยุคสมัยนั้นได้ สามารถเห็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วยตาสองตา สามารถพูดคุยกับผู้คนในยุคนั้นได้ แต่พ่อไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่มีผลต่อประวัติศาสตร์ได้ เพราะนั่นคือหนึ่งในขอบเขตของนักท่องเวลา’
‘ขอบเขตของนักท่องเวลา…’
แล้วสาเหตุที่พ่อต้องเผชิญหน้ากับความตายในปี 1592 นั้นคืออะไรกันล่ะ
ติ๊งต่อง…
เสียงกริ่งทำให้ฉันหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด ที่อินเตอร์โฟนปรากฏภาพของอากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู พอฉันกดปลดล็อก อาก็เดินเข้ามาพร้อมถุงที่เต็มไปด้วยขนมปัง แยมและเนย
“เดาว่าเธอยังไม่ได้กินอาหารเช้า” อาวางของที่ซื้อมาบนโต๊ะอาหาร “ตอนเช้ากินขนมปังได้มั้ย”
“ได้ค่ะ”
“โชคดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นค่อยไปกินข้าวกลางวันกันข้างนอกก็แล้วกัน ระหว่างทางฉันแวะแจ้งความว่าพ่อของเธอหายตัวไปที่สถานีตำรวจเอาไว้แล้ว ตำรวจบอกว่าคงต้องมีการสอบสวนกันเสียก่อน สมัยนี้ต่างจากสมัยก่อนมากเลยนะ มีการสอบสวนด้วย แต่ที่อเมริกาก็คงเป็นอย่างนี้เหมือนกัน”
“เอ่อ…คุณอาคะ เรื่องที่คุณอาพูดเมื่อวาน ที่บอกว่าคุณปู่ก็เสียชีวิตตอนท่องเวลา…”
“ใช่ รู้สึกจะยุคโครยอน่ะ ปลายยุคโครยอ”
“แล้วทำไมถึงบอกว่าตระกูลเราโดนสาปแช่งล่ะคะ”
อาหยุดมือที่กำลังทาแยมลงบนขนมปังแล้วเงยหน้ามองฉัน “ไม่ใช่แค่ปู่ของเธอหรอกนะ ทั้งคุณทวด แล้วก็คุณปู่ทวดต่างก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางข้ามเวลาทั้งนั้น”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ ฉันเคยได้ยินเรื่องคุณทวดกับคุณปู่ทวดมาจากคุณปู่น่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นทั้งที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่ขัดขวางพ่อล่ะคะ จริงๆ หากขัดขวางไม่ให้ไปก็น่าจะได้นี่คะ”
“พ่อของเธอเคยบอกอะไรไว้บ้างล่ะ ฟังให้ดีนะ คยองมิน ถ้าเธอเดินทางข้ามเวลากลับไปช่วงก่อนที่พ่อเธอจะตาย เธอว่าเธอจะขัดขวางความตายของเขาได้มั้ย”
“คือว่า…”
“เธอบอกฉันทางโทรศัพท์แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าตอนที่เธอไปน่ะ พ่อของเธอกำลังจะตาย มันก็แบบนั้นแหละ นักท่องเวลาสามารถเดินทางไปในวันนั้นๆ ได้ แต่ไม่สามารถหยุดเวลาได้ และยิ่งเรื่องที่เกี่ยวพันกับตัวเองโดยตรงก็จะมีแต่ส่งผลเสียกับตัวเอง เหมือนกับว่าต้องใช้พลังเยอะอะไรทำนองนั้น ดังนั้นพ่อเธอจึงส่งเธอกลับมาที่นี่ก่อนที่เขาจะตายยังไงล่ะ นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้วได้ ซึ่งจะเรียกมันว่าขอบเขตของนักท่องเวลาก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น หากหนูไม่สามารถขัดขวางการตายของพ่อได้…เท่ากับว่าหนูคงจะไม่ได้พบพ่ออีกแล้วใช่มั้ยคะ”
“อยากเจอพ่อเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะเธอเห็นเต็มสองตาแล้วไงว่าพ่อตายไปแล้ว กรณีนี้ถึงเธอจะเป็นนักท่องเวลา แต่เธอรู้อยู่แล้วว่ามีการตายเกิดขึ้น เธอจึงไม่สามารถเผชิญหน้ากับพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม”
“ถ้าอย่างนั้นหนูสามารถเห็นภาพตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ได้อีกครั้งมั้ยคะ” น้ำเสียงของฉันสะอื้นขึ้นมานิดหน่อย อาจึงพูดเหมือนตักเตือนฉัน
“มันก็ทำได้ แต่…ฉันไม่อยากบอกวิธีนั้นกับเธอ”
“แสดงว่ามีวิธีใช่มั้ยคะ บอกหนูหน่อยนะคะ!”
อารินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่ฉันรู้มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือใช้ ‘การบิดเบือนของเวลา’ ”
“การบิดเบือนของเวลาเหรอคะ”
“ใช่ คือการหวังให้เจอกันโดยบังเอิญน่ะ บางทีอาจจะรอแค่วินาทีเดียว หรือสิบนาทีก็ได้ แต่เธอต้องไปอยู่ในสถานที่นั้นที่พ่อจะปรากฏตัวเสียก่อน จากนั้นใช้การบิดเบือนของเวลาเพื่อพบกัน ‘โดยบังเอิญ’ แม้จะเป็นเพียงแค่แป๊บเดียว แต่เธอก็จะสามารถเห็นพ่อได้ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าการบิดเบือนที่ว่านี้น่ะ นักท่องกาลเวลาอย่างพวกเราจะทำให้เกิดขึ้นได้ยังไง ถึงแม้เธอจะไปอยู่ในเวลาและสถานที่เดียวกันกับพ่อ แต่หากไม่เกิดการบิดเบือนของกาลเวลา เธอก็จะไม่ได้เจอเขา ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้ใช่มั้ยว่าเธอต้องเดินทางไปอดีตเสียก่อนถึงจะทำแบบนี้ได้ และถ้าเธอเดินทางไปอดีตแล้ว เธอก็อาจจะกลับมายังโลกปัจจุบันไม่ได้อีก อาจจะถูกขังอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล อย่าลืมว่าพ่อของเธอตายไปแล้วนะ ไม่มีใครพาเธอกลับมาที่นี่ได้อีกแล้ว เธอคงไม่คิดจะเดินทางไปอดีตเพียงเพื่อเวลาแค่วินาทีเดียวหรือแค่สิบนาทีหรอกนะ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าเป็นวิธีที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่รู้เลยว่าพ่อไปที่ไหนและเมื่อไหร่บ้าง ในฐานะที่ฉันเป็นผู้หญิง ตัวฉันเองก็มีขอบเขตที่ไม่สามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังช่วงเวลาที่ฉันกำหนดได้ ดังนั้นถ้าจะใช้ ‘การบิดเบือนเวลา’ เพื่อไปเจอพ่อจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“แล้ววิธีที่สองล่ะคะ”
“วิธีที่สองน่ะเหรอ เธอก็ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ประวัติศาสตร์’ ยังไงล่ะ”
“ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เหรอคะ”
“ใช่ เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เธอสามารถเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ได้ ความจริงฉันเองก็ได้แต่ฟังมา แต่ไม่รู้หรอกนะว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือมีแค่ผู้หญิงตระกูลเราเท่านั้นที่ทำสิ่งนี้ได้”
“คุณอาช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยได้มั้ยคะ”
“การเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ก็คือเธอต้องย้อนกลับไปในอดีตแล้วอยู่ที่แห่งนั้นไปนานแสนนาน แล้วเธอก็จะถูกกลืนเข้าไปในประวัติศาสตร์เอง”
“แล้วหนูจะได้เจอพ่อใช่มั้ยคะ”
“ใช่ เพราะเธอที่อยู่ในยุคนี้จะหายไป แล้วกลายเป็นเธอที่อยู่ในอดีตแทน พูดง่ายๆ ก็คือเธอจะเกิดใหม่อีกครั้งด้วยการเป็นคนในอดีตและเธอก็จะสามารถเจอกับพ่อเธอที่เป็นนักข้ามเวลาได้ในฐานะที่เธอเป็นคนในอดีต”
“หนูไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ”
อาถอนหายใจยาวก่อนจะอธิบายต่อ “ถ้างั้นฟังให้ดีนะ เธอรู้ใช่มั้ยว่าแม่ของเธอเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุทางการรักษา”
“ค่ะ”
“เธอเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมพ่อของเธอถึงไม่พาเธอย้อนเวลากลับไปหาแม่เลยสักครั้ง”
“หนูไม่เคยสงสัยเรื่องนี้เลยสักครั้งค่ะ” ถึงแม้จะไม่มีแม่อยู่ข้างกายตั้งแต่เกิดมา แต่พ่อก็มอบความรักให้ฉันมากมายจนฉันไม่รู้สึกถึงที่ว่างเปล่าของแม่เลย
“เอาล่ะ ฉันจะอธิบายให้ฟังนะ พี่ชายอาจจะไม่เคยบอกให้เธอรู้ งั้นฉันจะบอกให้เธอรู้เอง ฟังให้ดีๆ ล่ะ คยองมิน ตอนนี้เธออายุสิบแปดใช่มั้ย ตั้งแต่วันที่เธอเกิดมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสิบแปดปีแล้ว จึงเคยมีเธอในทุกช่วงของเวลาสิบแปดปีนี้ ซึ่งมันก็คือทฤษฎีนี้ พ่อของเธอไม่สามารถเดินทางข้ามเวลากลับไปยังเวลาที่แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะในเวลานั้นก็มีพ่อของเธออีกคนมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะคิดถึงแค่ไหน พ่อของเธอก็ข้ามเวลาไปไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม”
น้ำเสียงของอาฟังดูเศร้าสร้อย แต่สิ่งที่ฉันสงสัยไม่ใช่แม่ที่เห็นเพียงแค่ในรูปถ่ายมาตั้งแต่เกิด สำหรับฉันนั้น คนที่สำคัญคือพ่อที่เลี้ยงดูฉันและมอบความรักให้ฉันไม่มีที่สิ้นสุด ฉันสงสัยแค่วิธีที่จะทำให้ฉันได้เจอพ่ออีกครั้งเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นที่คุณอาพูดหมายความว่าหนูไม่สามารถกลับไปยังช่วงก่อนพ่อเสียชีวิตในระยะไม่กี่วันใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ถ้าเธอย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่เธอจะเกิดได้ไม่นาน เรื่องราวมันจะเปลี่ยนไปเลยนะ ว่าแต่ช่วงไม่นานมานี้พ่อของเธอไปที่ยุคไหนบ่อยๆ ล่ะ”
“พ่อศึกษาเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายควังแฮอยู่ค่ะ ดังนั้นน่าจะเป็นช่วงสมัยปลายรัชสมัยพระเจ้าซอนโจไปจนถึงสมัยองค์ชายควังแฮกับสมัยพระเจ้าอินโจขึ้นครองราชย์ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปลายรัชสมัยพระเจ้าซอนโจ”
“ค่ะ”
“เธอจะต้องเดินทางข้ามเวลาคนเดียวไปยังยุคนั้นซึ่งเป็นยุคที่เธอไม่มีตัวตนอยู่ แล้วเธอก็ต้องอาศัยอยู่ที่นั่นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ อย่างน้อยเธอต้องอยู่ในอดีตประมาณสิบปี ถ้าทำอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะได้เจอกับพ่อ โอ๊ยตาย! นี่ฉันพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”
อาตั้งใจจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อหยุดการสนทนา แต่ฉันรีบชิงถามต่อ “แล้วยังไงต่อคะ ถ้าทำแบบนั้นหนูจะได้เจอกับพ่อจริงๆ ใช่มั้ยคะ”
“ก็อาจจะ… เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ดังนั้นเธออาจจะได้เจอพ่อ บางทีถ้าพ่อรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น เขาอาจจะเดินทางข้ามเวลาไปเพื่อเจอเธอก็ได้”
“แสดงว่าหนูจะได้เจอพ่ออยู่ตลอดใช่มั้ยคะ”
เป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับฉันที่ยังไม่หายช็อกกับการเสียชีวิตของพ่อเมื่อหลายวันก่อน
“ไม่มีใครสามารถขัดขวางความตายได้หรอกนะ เพราะอย่างนั้นเธอรู้ใช่มั้ยว่าการที่เธอบอกเรื่องความตายที่จะเกิดขึ้นกับพ่อเธอล่วงหน้านั้นมันจะหมายความว่ายังไง”
ฉันพยักหน้า เพราะฉันรู้ดี ถ้าฉันบอกความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้จนทำให้ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นกับฉัน แต่มันอาจหมายถึงความตายด้วย ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อตอนพบองค์ชายครั้งแรกนั้น ฉันยังจำได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ฉันคิดว่าถ้าความเจ็บปวดนั้นมันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ฉันอาจตายไปจากโลกนี้ก็ได้
“ถ้าเธอเดินทางไปยังอดีต แล้วปรับตัวอาศัยอยู่ที่นั่นโดยปกติ มันก็อาจจะไม่เกิดปัญหาหรอก แต่ถ้าคำพูดเพียงแค่คำเดียวของเธอมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ล่ะก็ เธออาจจะตายก่อนได้พบกับพ่อก็ได้นะ เธอไม่สามารถพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตได้แม้แต่คำเดียว ซึ่งฉันไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้หรอกนะ เพราะมันไม่มีอะไรมารับรองได้อย่างแน่นอนว่าเธอจะได้พบกับพ่อจริงๆ”
การคัดค้านของอาไม่ได้ลอยมาเข้าหูของฉันเลย วินาทีนั้นฉันนึกถึงแต่ช่วงเวลาที่พ่อเคยเข้าไปในอดีต ฉันจำวันที่แม่นยำไม่ได้ รู้แต่ว่าเพราะพ่อศึกษาเรื่ององค์ชายควังแฮมาหลายปี จึงทำให้พ่อไปๆ มาๆ ในยุคปลายรัชสมัยพระเจ้าซอนโจไปจนถึงช่วงที่พระเจ้าอินโจขึ้นครองราชย์เท่านั้นเอง ฉันเสียใจที่ไม่เคยถามพ่อว่าท่านไปที่ไหนและตอนไหนบ้าง แต่เสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ตอนนี้ฉันต้องคิดแค่วิธีที่จะทำให้พบพ่ออีกครั้งเท่านั้นก็พอ
อ๊ะ! นึกออกอยู่เรื่องนึง
พ่อเคยบอกไว้ว่าพ่ออยู่ในพระราชวังด้วยตอนที่พระนางอินมกถูกคุมขังที่พระราชวังคยองอุน ถ้าอย่างนั้น หากนับจากวันนั้น ฉันต้องย้อนกลับไปที่นั่นอย่างน้อยสิบปี ฉันก็จะสามารถเจอกับพ่อได้ แน่นอนว่าบางทีฉันอาจไม่สามารถเจอกับพ่อในวันที่พระนางอินมกถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าฉันอาศัยอยู่ในวังตลอดเวลา โอกาสที่ฉันจะได้เจอกับพ่ออีกครั้งก็จะมีสูงมากขึ้น
ตั้งสิบปี… แค่ฟังก็นานแล้ว ระหว่างเวลาอันยาวนานนั้นฉันต้องอยู่แต่ในวังอย่างเดียว แล้วฉันจะทำได้เหรอ
ตอนที่เดินทางไปยังรัชสมัยพระเจ้าเซจงมหาราช ฉันสามารถอยู่ในวังได้เพราะความช่วยเหลือของพระเจ้าเซจงมหาราชที่เจอฉันเข้าโดยบังเอิญ แต่ตอนนี้ต่างจากตอนนั้น ตอนนี้ฉันอายุสิบแปดปีแล้ว ฉันเป็นนางในฝึกหัดไม่ได้แล้ว ต้องเป็นนางในอย่างเต็มตัว ฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีใดที่ทำให้ฉันในอายุเท่านี้อาศัยอยู่ในวังได้
‘เจ้ามีข้า คนที่เจ้ารู้จักในโชซอนก็มีข้าคนหนึ่ง ตอนนี้เจ้าไม่สมควรจะพูดว่าเจ้าไม่มีคนรู้จักอยู่ที่โชซอนเลยสักคนเดียว’
ฉันมีองค์ชายควังแฮอยู่ไง!
ถ้าฉันขอร้องเขาจะได้มั้ยนะ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่พระนางอินมกถูกคุมขังอยู่ที่วังคยองอุน ตอนนั้นพระราชาของโชซอนก็คือองค์ชายควังแฮนี่นา
องค์ชายควังแฮกับฉันรู้จักกัน ถ้าหากขอร้องเขาให้ฉันสามารถพักอาศัยอยู่ในวังได้ บางทีฉันอาจจะได้เจอกับพ่อก็ได้ บางทีอาจจะได้บอกพ่อเป็นนัยๆ เกี่ยวกับ ‘ความตาย’ ที่จะเกิดขึ้นกับพ่อ
แล้วพ่ออาจจะไม่ตายก็ได้…
แต่ดูเหมือนอาจะรู้ความในใจของฉัน อาจึงพูดขวางเอาไว้
“หยุดความคิดนั้นไปเลยนะ เธอยังเด็ก คงจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมด ฉันจะขออธิบายให้ฟังอีกครั้งว่าการที่เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์นั่นหมายความว่าถึงเธอจะได้เจอกับพ่อ แต่เธอจะไม่สามารถหลุดไปจากยุคสมัยนั้นได้ เข้าใจมั้ยว่าฉันหมายถึงอะไร หมายถึงเธอจะต้องอยู่และตายที่นั่น”
ฉันรู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่ถ้าใช้ชีวิตอยู่คนเดียวลำพังโดยไม่มีพ่อไปตลอดชีวิต ฉันขอไปอยู่ที่โชซอนเสียดีกว่า ใช่แล้ว นี่เป็นความคิดของฉันในตอนนี้ ถ้าได้เจอกับพ่อที่นั่นก็เหมือนกับได้อยู่โดยได้เจอกับพ่อไปตลอด
ถ้าฉันไปในยุคโชซอน… ถ้าไปที่นั่นล่ะ…
เพียงแค่คิดเท่านั้น ในตัวฉันก็เริ่มมีปฏิกิริยารุนแรงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ปฏิกิริยานั้นทำให้ฉันสับสน มันไม่ได้เป็นสายลมอุ่นๆ แต่เป็นลมพัดอย่างรุนแรงแล้วค่อยๆ ดูดกลืนร่างกายของฉัน
อาสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง จึงร้องตะโกน “คยองมิน! เธอ!”
“คุณอา…”
“ไม่ได้นะ! อย่าคิดทำอะไรตื้นๆ แบบนี้! มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก! คนในตระกูลเราทุกคนคิดว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ก็ต้องล้มเหลวและตายกันทุกคน! รีบหยุดมันเร็วเข้า! หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ตะ แต่ว่า…”
ตอนนี้หยุดไม่ได้แล้ว อะไรสักอย่างที่รุนแรงอยู่ในใจของฉันกำลังเคลื่อนที่ หัวใจที่ปรารถนาจะเจอพ่ออีกครั้งกำลังพาฉันไปที่ไหนสักแห่ง แต่มันแปลกอยู่หนึ่งอย่าง ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าฉันจะไปยังช่วงไหนของโชซอน และไปถึงที่นั่นวันไหน
“คิมคยองมิน!”
อาตะโกนเรียกชื่อฉันที่กำลังถูกกระแสลมแรงดูดกลืนเข้าไป แต่รอบตัวฉันมันหมุนเร็วมาก เร็วจนกระชากสติของฉันไปด้วย
(ติดตามต่อในทดลองอ่านบทต่อไป)
Comments
comments
No tags for this post.