บทที่ 5
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าอีก”
“คือว่า…หม่อมฉันคิดเอาไว้นานแล้วว่ามีเรื่องอยากกราบทูลเมื่อได้พบกับองค์ชายรัชทายาทเพคะ”
“เจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้ารึ ข้าไม่เคยรู้จักเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องอันใดถึงต้องคุยกับข้าด้วยเล่า”
“ถึงพระองค์จะจำเด็กน้อยคนนั้นไม่ได้ แต่เด็กน้อยคนนั้น…จำพระองค์ได้เสมอเพคะ”
“เจ้าน่ะรึ”
บรรยากาศแบบนี้…มันอะไรกันนะ
“พี่สาว จงอยากไปส้วม”
จงพูดพลางดึงชายกระโปรงของฉัน ฉันจึงต้องรีบออกไปจากตรงนั้นโดยไม่ทันได้ยินบทสนทนาขององค์ชายควังแฮกับหญิงสาวคนนั้นจนจบ
พอถึงวันแรกของปี พิธีคัดเลือกคู่อภิเษกก็จบลง โดยหญิงสาวที่ได้รับเลือกก็คือธิดาของคิมเจนัมจากตระกูลคิม นางอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ซึ่งพระราชพิธีอภิเษกสมรสได้ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในต้นฤดูร้อนปีหน้าหลังเสร็จสิ้นพิธีไว้ทุกข์ของพระมเหสีอึยอินแล้ว
ทันทีที่นางถูกเลือกอย่างเป็นทางการ ก็เกิดการซุบซิบขึ้นในหมู่นางใน บ้างบอกว่านางน่าสงสารที่ต้องแต่งงานกับชายอายุคราวพ่อ บ้างก็บอกว่านางน่าอิจฉาที่จะได้เป็นพระมเหสีผู้มีอำนาจ บ้างก็บอกว่าพ่อของนางกระหายอำนาจถึงกับต้องเอาลูกสาวมาเป็นพระมเหสี
แต่ประเด็นสำคัญของการซุบซิบก็คือนางคือผู้หญิงจากตระกูลคิมคนแรกที่จะได้เป็นพระมเหสี นางในพูดกันว่าในตอนแรกที่ชื่อของนางอยู่ในทำเนียบคนที่เข้าคัดเลือก พระเจ้าซอนโจไม่คิดที่จะเลือกนางเสียด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าถูกคัดออกเป็นคนแรกเลยทีเดียว ด้วยความที่มาจากตระกูลคิม ทว่าพอถึงเวลาคัดตัวก็มีกลิ่นหอมลอยมาทันทีที่พระเจ้าซอนโจตรัสถามว่านี่คือกลิ่นอะไร นางก็ตอบว่าคือกลิ่นของตัวนางเอง ซึ่งนั่นทำให้พระเจ้าซอนโจสนพระทัยในตัวนางมากขึ้นทันที
ต่อให้นั่งก้มหน้า นางก็ดูสวยโดดเด่นกว่าใคร หญิงผู้มีใบหน้างดงาม มาพร้อมกับกลิ่นกายที่หอมหวน จึงทำให้หัวใจของพระเจ้าซอนโจซึ่งอายุเข้าสู่วัยชราเริ่มหวั่นไหว
ส่วนทางด้านองค์ชายควังแฮผู้ซึ่งน่าจะไม่พอใจยิ่งกว่าใครๆ กลับนิ่งเฉย เขาตั้งอกตั้งใจไว้ทุกข์ให้พระมเหสีอึยอินนานหลายเดือนถึงจะกลับเข้าวังสักครั้ง
“พี่สาว!”
หลายวันก่อนจงคิดถึงเสด็จปู่ จึงเอาบทกลอนที่ตนเองเขียนไปถวาย เสด็จปู่จึงพระราชทานว่าวให้มาเป็นของรางวัล
“ไปเล่นว่าวกัน ว่าว!”
องค์ชายจองวอนที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดค้านขึ้นมาทันที “ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ใครเขาเล่นว่าวกัน”
แต่พักหลังนี้จงสนิทสนมกับพ่อมากขึ้น เขาจึงกล้าที่จะต่อรอง “เสด็จปู่พระราชทานมา ก็แสดงว่าข้าเล่นได้นะขอรับ ท่านพ่อ”
ยิ่งโต จงก็ยิ่งมีแววฉลาดมากขึ้น
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ เอาไปเก็บเสีย”
“แต่…เสด็จปู่ทรงอนุญาตแล้วนะขอรับ” แล้วจงก็เริ่มร้องไห้ ฉันจึงสงสารจับใจ
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ฝ่าบาทเป็นคนพระราชทานนะเพคะ”
“ข้าบอกว่าไม่ได้ยังไงเล่า เอาไปเก็บ” องค์ชายจองวอนเริ่มโมโห
“ขนาดไว้ทุกข์ยังคัดเลือกคู่อภิเษกได้ แค่เล่นว่าวก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนะเพคะ”
ฉันหยิบเอาเหตุผลนี้ขึ้นมาอ้าง องค์ชายจองวอนจึงหันมองรอบๆ ก่อนตวาดเสียงดัง
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าคำพูดของเจ้าอาจทำให้ต้องพระอาญาได้ หากใครมาได้ยินเข้าล่ะก็…”
“ก็แค่ตายไม่ใช่หรือเพคะ”
แน่นอนว่าฉันยังไม่อยากตายหรอก แต่ฉันแค่คิดจะต่อปากต่อคำกับองค์ชายจองวอนเท่านั้น ฉันรู้จักนิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างดี เขาเป็นคนดีมาก แต่ปัญหาคือเขาไม่ยอมเผยด้านดีของเขาให้พระชายาและลูกๆ ของเขาได้เห็น
“จง”
“พี่สาว”
ฉันส่งยิ้มให้องค์ชายจองวอน แล้วหันไปถามจง “ตอนที่เสด็จปู่ทรงอนุญาตให้เล่นว่าวได้ ท่านพ่ออยู่ตรงนั้นด้วยไหม”
“อยู่สิ” จงตอบพลางพยักหน้ายืนยัน องค์ชายจองวอนจึงเม้มปากแน่นราวกับยอมแพ้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ก็ได้ ข้าอนุญาต”
สวนกว้างกลางพระราชวังชั่วคราวกลายเป็นโลกสีขาวโพลนเพราะหิมะตกลงมาเมื่อหลายวันก่อน
“ข้าเองก็ไม่ได้เล่นว่าวมานานมากแล้วจริงๆ…”
การทำให้ว่าวลอยอยู่บนท้องฟ้ากลายเป็นหน้าที่ของฉันไปเสียแล้ว จงคิดว่าใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็คงทำให้ว่าวลอยขึ้นไปอยู่สูงบนฟ้าได้จึงจ้องมองตาแป๋ว แต่ฉันนี่แหละที่ยังงงอยู่ ฉันจะเอาว่าวขึ้นไปได้ยังไง ฉันกลัวจะทำให้จงผิดหวังเหลือเกิน
ระหว่างนั้นองค์ชายจองวอนที่ยืนมองอยู่ก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
“เจ้าเคยเล่นว่าวแน่รึ”
“แน่เพคะ หม่อมฉันเล่นว่าวกับพ่อทุกฤดูหนาวเลยนะเพคะ”
แน่นอนว่าไม่ใช่ในวัง แต่เป็นริมแม่น้ำฮันต่างหาก
“เร็วเข้า! เร็วๆ สิพี่สาว!”
องค์ชายจองวอนเอามือไพล่หลังแล้วจ้องมอง ฉันจับว่าวแล้วเริ่มวิ่งอย่างมั่นใจ แต่ว่าวกลับลอยสูงแค่หัวเข่าแล้วร่วงลงมาภายในไม่กี่วินาที ฉันจึงหยิบว่าวขึ้นมาแล้ววิ่งอีกครั้ง แต่ว่าวก็ยังไม่ยอมลอยขึ้น ฉันวิ่งแล้ววิ่งอีกจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า รอยยิ้มจึงค่อยๆ หายไปจากใบหน้าของจง
“ถ้าเจ้าลำบากให้ขันทีทำแทนก็ได้”
“เพราะลมต่างหากเพคะ อีกสักประเดี๋ยวลมก็จะเปลี่ยนทิศทางแล้ว ว่าวก็จะลอยขึ้นเพคะ”
องค์ชายจองวอนไม่มีทางที่จะมาวิ่งเพื่อทำให้ว่าวลอยเด็ดขาด เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของยุคนี้
ฉันเริ่มวิ่งอีกครั้งพร้อมแกว่งแขนไปมา แต่ว่าวก็ไม่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างที่ใจคิดเลยสักนิด แล้วทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฉันก็เจ็บจี๊ดตรงแผลเป็นที่หัวไหล่ที่เคยถูกเสือทำร้าย ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะอากาศหนาว แต่มันกลับเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
“โอ๊ย!”
เมื่อความเจ็บมาถึงขีดสุด ฉันก็หยุดวิ่งแล้วทรุดลงไปกับพื้น
“เจ้าเป็นอะไรรึ”
องค์ชายจองวอนรีบเดินมาทางฉัน แต่ฉันรีบลุกขึ้นพร้อมปฏิเสธ
“ไม่เป็นอะไรเพคะ”
แต่แล้วฉันก็ทรุดลงอีกครั้ง
“ระวังหน่อยสิ!”
องค์ชายจองวอนยื่นมือมาคว้าตัวฉันเอาไว้จนเราล้มลงไปทั้งคู่ พอตั้งสติได้ก็พบว่าร่างขององค์ชายจองวอนกำลังทับอยู่บนร่างของฉัน
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฉันเป็นหรือไม่เป็นอะไร แต่ปัญหาคือร่างของเรากำลังแนบชิดกันต่างหาก
“คือ…คือว่า…”
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่าปัญหาตอนนี้คืออะไร
“หนาวเพคะ”
ฉันตอบออกไปแบบนั้นเพราะหลังของฉันกำลังแนบกับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะต้องการแก้เขินที่เขากำลังทับร่างของฉันอยู่ ทันใดนั้นเองใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงก่ำ เขารีบลุกขึ้นทันที
“ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร…”
ฉันปัดหิมะที่เลอะตามตัวและทำท่าจะลุกขึ้น องค์ชายจองวอนจึงยื่นมือออกมา ฉันจับมือของเขาแล้วลุกขึ้น ระหว่างนั้นเสียงร้องไห้ของจงก็ดังขึ้น พอฉันหันไปมองก็พบว่าว่าวของจงพังหมดแล้ว
“ทำอย่างไรดีเพคะ ฝ่าบาทพระราชทานให้แท้ๆ”
“สักวันมันก็ต้องพังอยู่ดี เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“แต่ว่า…” ฉันหันไปมองจงที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร และในระหว่างนั้นเอง
“นี่มันคืออะไรหรือเพคะ!”
เสียงแข็งกร้าวดังขึ้น จงหยุดร้องไห้แล้วหันไปมอง ท่านแม่ของจงกำลังยืนมองด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
“ชายา”
องค์ชายจองวอนเรียกแทนการทักทาย คนที่พระชายาเดินปรี่เข้ามาหากลับไม่ใช่องค์ชายจองวอนหรือจง แต่เป็นฉัน ฉันจึงก้มหน้าลง แม้ฉันจะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่การที่องค์ชายจองวอนมาช่วยจับฉันจนล้มทับกันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก ซึ่งไม่รู้ว่านางเดินเข้ามาเห็นตั้งแต่ตอนไหน
“ซังกุงพระพี่เลี้ยง” นางเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกมาก
“เจ้าเข้ามาในวังด้วยเหตุอันใดหรือชายา”
“ทำไมหรือเพคะ ในเมื่อพระสวามีและโอรสของหม่อมฉันอยู่ที่นี่ เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือเพคะ แล้วอีกอย่างที่วังนี้ก็เป็นที่ประทับของฝ่าบาท”
สงครามเย็นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกคนในวังนี้ล้วนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ขององค์ชายจองวอนกับพระชายานั้นไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่จะมายิ้มแย้มแล้วพูดคุยสนทนากัน
“แสดงว่าเจ้ามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออย่างนั้นรึ”
“เพคะ มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ และพระองค์ตรัสว่าได้พระราชทานว่าวให้จงด้วย หม่อมฉันอยากเห็นว่าวตัวนั้นจึงไปที่ตำหนักของจง แต่จงไม่อยู่ ส่วนท่านหม่อมฉันก็นึกว่าท่านไปคุมการก่อสร้างที่พระราชวังชังด็อกเสียอีกเพคะ”
“หลายวันก่อนหิมะตกหนักมากจึงพักการก่อสร้างชั่วคราว”
“เช่นนั้นหรือเพคะ” พระชายายังคงยิ้มเหมือนเดิม แต่เป็นรอยยิ้มที่เลือดเย็นสิ้นดี “อ้อ ท่านพ่อของหม่อมฉันเปรยๆ ว่าอยากพบท่านบ้างเพคะ ท่านบอกว่านานแล้วที่ไม่ได้พบหน้ากัน”
“รู้แล้ว อีกสองสามวันข้าจะไปหาท่านพ่อของเจ้า”
“อย่าดีกว่าเพคะ ไปพร้อมกับหม่อมฉันวันนี้ดีกว่า เพราะหม่อมฉันมีเรื่องต้องคุยกับท่าน”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องซังกุงพระพี่เลี้ยงคนใหม่อย่างไรเล่าเพคะ”
ซังกุงพระพี่เลี้ยงคนใหม่งั้นเหรอ
“ซังกุงพระพี่เลี้ยงคนใหม่รึ”
“ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วเพคะ ดังนั้น…” พระชายาหันกลับมามองฉัน
“คิมซังกุง ที่ผ่านมาเจ้าดูแลจงได้ดี แต่เจ้าจะต้องออกจากวังไปภายในวันนี้ เจ้าคงไม่เสียใจหรอกนะที่ข้าทำเช่นนี้”
บางทีคนแรกที่นั่งนับวันรอคอยให้ฉันออกจากวังคงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นยูซังกุง เพราะยูซังกุงไม่ชอบใจฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว นางโยนห่อผ้าให้ฉันราวกับรอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน
“เจ้าคงไม่ต้องใช้ชุดของซังกุงแล้ว ดังนั้นถอดชุดนั้นออก แล้วใส่ชุดในห่อผ้านี่แทน”
ฉันอยากพูดตอกกลับน้ำเสียงอันเย้ยหยันนี้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ของฉันคือถูกไล่ออกจากวัง ฉันจึงไม่อาจพูดหรือทำอะไรอย่างที่ใจคิดได้ ฉันจึงทำได้แค่เพียงหยิบห่อผ้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นแกะดู
กรุ๊งกริ๊ง…
ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเสียงของเงิน แต่พอเปิดออกดูกลับพบว่ามันเป็นเครื่องประดับติดหน้าอก
“นี่มัน…”
“พระชายามอบให้เจ้าเป็นพิเศษ และยังฝากมาบอกด้วยว่านี่คือสิ่งตอบแทนที่ช่วยดูแลท่านชายจงผู้สูงส่งของพวกเรา…”
ยูซังกุงเน้นคำว่า ‘ผู้สูงส่ง’ ฉันจึงละสายตาจากห่อผ้าขึ้นไปมองนาง
“มีอะไรจะพูดรึ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ช่วยออกไปก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะได้เปลี่ยนชุด”
“ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกนอกวัง”
ทันทีที่ยูซังกุงออกไป ฉันก็ทรุดนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้อนาคตช่างมืดมนเสียจริง
ทันทีที่องค์ชายจองวอนฟังคำพูดของพระชายาเมื่อตอนกลางวัน เขาก็รีบไปที่ไหนสักแห่ง บางทีอาจจะไปแก้ไขสถานการณ์ที่พระชายาก่อเอาไว้ก็ได้ ซึ่งระหว่างนั้นพระชายาก็ลากจงออกไป โดยที่จงไม่รู้ว่าจะไม่ได้เจอกับฉันอีกแล้ว
‘พี่สาว…’
ฉันรู้สึกปวดใจมากเพราะฉันสนิทกับจงมากและอยู่กับจงแทบตลอดเวลา แน่นอนว่าสักวันหนึ่งฉันกับจงต้องจากกัน แต่ไม่คิดว่าจะกะทันหันขนาดนี้
แล้วอีกอย่าง ฉันยังไม่ได้พบกับองค์ชายควังแฮ แม้จะแอบเห็นเขาบ่อยๆ แต่ฉันไม่มีความกล้าที่จะไปปรากฏตัวต่อหน้าเขา เวลาจึงผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ สุดท้ายการที่ฉันโดนไล่ออกจากวังแบบนี้ทั้งหมดอาจเป็นเพราะฉันคนเดียว
ฉันเปิดถุงผ้านั่นอีกครั้ง ฉันไม่รู้หรอกว่าเครื่องประดับพวกนี้มีค่ามากแค่ไหน แต่คงพอสำหรับการออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นอกวังและคงต้องหางานทำด้วย แล้วในยุคนี้สตรีจะทำงานอะไรได้บ้างล่ะ พอคิดถึงการใช้ชีวิตนอกวัง น้ำตาก็ไหลพรากออกมา ฉันพยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่สุดท้ายฉันก็ร้องไห้โฮออกมา มันมืดมนจริงๆ ทำไมระหว่างที่อยู่ในวังนี้ ฉันถึงไม่คิดวางแผนเผื่อจะถูกไล่ออกไปนอกวังเลยสักครั้ง
สุดท้ายทุกอย่างคือความผิดของฉัน ถึงแม้ว่าองค์ชายจองวอนจะห้าม หรือรูปร่างและบุคลิกขององค์ชายควังแฮจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ฉันก็น่าจะออกไปพบกับองค์ชายควังแฮตั้งแต่แรก ฉันควรปรากฏตัวต่อหน้าเขา ถ้าเขาได้เจอฉันแล้ว เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้จักหรือเมินใส่ฉัน ฉันก็จะได้วางแผนหาวิธีการดำเนินชีวิตในทางอื่นได้แต่เนิ่นๆ และอย่างน้อยก็ถือว่าฉันก็ได้ลอง ‘พยายาม’ แล้ว
“ฮือ… ฮือ…”
ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ฉันจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับโชซอนที่ไม่คุ้นเคย
หลังจากที่ร้องไห้อยู่พักใหญ่ เสียงวิ่งอย่างรีบเร่งก็ดังขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมอง ประตูก็ถูกเปิดออก อากาศอันหนาวเหน็บแทรกเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงจันทร์
“อ๊ะ!”
การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันขององค์ชายจองวอนทำให้ฉันถึงกับตกใจ
“เจ้ายังไม่ไป…”
เขาถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกแล้วเดินเข้ามาในห้อง พอมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน เขายื่นมือข้างหนึ่งมาจับข้อมือของฉันและยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาจับที่แก้มของฉัน
“ร้องไห้รึ” เขาลูบแก้มของฉันที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาอย่างอ่อนโยน
“คือว่า…”
ฉันไม่อยากตอบไปตรงๆ ว่าตัวเองร้องไห้เพราะไม่อยากออกจากวัง ขณะที่ฉันคิดหาคำตอบที่เหมาะอยู่นั้น เขาก็ดึงฉันเข้าไปกอด
“องค์…องค์ชายจองวอน”
“เจ้าอย่าจากไปไหนเลย อยู่ที่นี่เถอะนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ฉันพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ยิ่งทำอย่างนั้นแขนอันแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งกอดฉันแน่นขึ้น แน่นจนฉันได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเขา ตั้งแต่เกิดมาฉันเพิ่งเคยถูกผู้ชายกอดแบบนี้เป็นครั้งแรก หัวใจของฉันจึงเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะเช่นกัน
เขา…ชอบฉันงั้นเหรอ
เสียงหายใจขององค์ชายจองวอนดังอยู่ใกล้มากจนฉันคิดว่าเราสองคนไม่ควรอยู่ในสภาพนี้
“ปล่อยเถอะเพคะ”
ฉันพูดพลางผลักเขาออก แต่ทันใดนั้นเองริมฝีปากของเขาก็เคลื่อนลงมาประกบที่ริมฝีปากของฉัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยน แต่ฉันก็ผลักเขาออกไปอย่างเต็มแรง
เขาชอบฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จริงอยู่ว่าในยุคโชซอนไม่ว่าจะชอบใครก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ ไม่เปิดเผยออกมา แต่จนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยสังเกตและรู้สึกมาก่อนว่าเขามีใจให้ฉัน
“คือว่า…คือว่าเรื่องนี้…”
คงไม่มีสตรีคนไหนในแผ่นดินโชซอนที่จะปฏิเสธองค์ชายที่มีพ่อเป็นถึงพระราชาของแผ่นดิน อีกทั้งลูกชายของเขาจะได้เป็นพระราชาในอนาคตอีกด้วย แต่ความจริงก็คือฉันไม่ได้เป็นสตรีในยุคโชซอน
องค์ชายจองวอนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ มือทั้งสองของเขากำลังกำแน่น สายตาของเขากำลังจับจ้องไปทางอื่น
“องค์…องค์ชายจองวอน…” ฉันเรียกเขาเพื่อเตือนสติ
“ข้าขอโทษ เจ้าลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียเถิด” เขาหันมามองฉันด้วยดวงตาอันเศร้าสร้อย “ล้วนมีแต่เรื่องที่ทำให้ข้าต้องขอโทษเจ้าทั้งนั้น”
“…”
“ข้าอยากทำทุกอย่างตามประเพณี”
ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูด
“เจ้าจะมาเป็นสตรีของข้าได้หรือไม่”
“หา?!”
ถ้าพูดตรงๆ ก็คือเขาขอฉันเป็นเมียงั้นเหรอ!
“หม่อมฉันเนี่ยนะเพคะ นี่มันเรื่องอะไรกันเพคะ”
มันกะทันหันเกินไปจนฉันคิดอะไรไม่ออก
“ถ้าเจ้ามาเป็นสตรีของข้า ข้าจะได้ฝากฝังเจ้าให้ดูแลจงตลอดไป”
ถ้าเป็นสตรีของเขา ฉันก็จะได้ดูแลจง นี่เป็นวิธีที่จะทำให้ฉันอยู่ในวังได้อย่างนั้นเหรอ เขากำลังหว่านล้อมฉันโดยนำจงมาอ้าง เขาเป็นคนดี แต่ประเด็นก็คือฉันไม่ได้รักเขา
“ขอประทานอภัยนะเพคะ” ครั้งนี้ฉันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษเขา
“หม่อมฉันคงไม่สามารถเป็นสตรีของพระองค์ได้ ที่หม่อมฉันต้องมาเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยงก็เพราะหม่อมฉันอยากอาศัยอยู่ในวังนี้ พระองค์ก็ทราบไม่ใช่หรือเพคะ ว่าเหตุใดหม่อมฉันถึงอยากอยู่ในวังนี้…” ก็เพื่อได้พบกับองค์ชายควังแฮ
“พระองค์จะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้ใช่ไหมเพคะ”
คำสัญญาที่จะทำให้ฉันได้พบกับองค์ชายควังแฮ แต่ฉันเห็นสายตาปฏิเสธของเขา ตอนนี้เหมือนฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา
ถ้าลองคิดดูตามความเป็นจริง ฉันได้เป็นสตรีขององค์ชายจองวอน ฉันก็จะได้อยู่ในวังตลอดไป และจะได้พบกับองค์ชายควังแฮได้ง่ายขึ้น และถ้าพบกับองค์ชายควังแฮในฐานะสตรีขององค์ชายจองวอน มันก็จะไม่ทำให้องค์ชายควังแฮตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่ฉันไม่สามารถเป็นสตรีของคนที่ฉันไม่ได้รักได้
“ขอประทานอภัยด้วยนะเพคะที่หม่อมฉันพูดออกไปอย่างนั้น แต่พระองค์จะรักษาคำมั่นใช่ไหมเพคะ”
ฉันพยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับมาเป็นเหมือนปกติ
“ยังมีวิธีอื่นที่จะทำให้หม่อมฉันได้อยู่ในวังต่อไปได้ไหมเพคะ หม่อมฉันเคยมีประสบการณ์ทำอาหารในห้องเครื่องมาบ้าง อาจจะพอทำงานที่ห้องเครื่องได้นะเพคะ”
“แล้วอย่างไร”
“เพคะ?”
“จุดประสงค์ของเจ้าคือการพบองค์ชายรัชทายาทเท่านั้นหรือ” สายตาของเขาในตอนนี้ต่างไปจากเดิม มันเต็มไปด้วยความโมโหและขุ่นเคืองใจ
“หม่อมฉันเคยบอกไปแล้วว่าหม่อมฉันต้องพบองค์ชายรัชทายาทให้ได้เพคะ”
“แต่เจ้าไม่เคยบอกเหตุผลกับข้าว่าเพราะเหตุใด เจ้าบอกข้าในตอนนี้ได้หรือไม่”
ถึงฉันจะบอกไป เขาก็ไม่เข้าใจหรอก เพราะเขาเพียงแค่ฟังเรื่องราวของฉันมาจากองค์ชายควังแฮ แต่เขาไม่เคยไปเห็นโลกอนาคตเลย เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าฉันมาอาศัยอยู่ที่วังนี้เพื่อรอพบพ่อที่จะมาปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ขอเพียงแค่หม่อมฉันได้พบกับองค์ชายรัชทายาทเท่านั้น พอถึงตอนนั้นพระองค์ก็จะได้ทราบเองเพคะว่าเป็นเพราะเหตุใด”
เขาเม้มปากแน่นเมื่อได้ฟังคำอธิบายที่พูดซ้ำไปซ้ำมาของฉัน
“องค์ชายรัชทายาทลืมเจ้าไปแล้ว”
คำพูดของเขาเหมือนคมดาบกำลังกรีดลงมาที่ร่างกายของฉัน แม้คำพูดนี้จะไม่ได้ออกมาจากปากขององค์ชายควังแฮ หากแต่ฉันกลับเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“อาจจะเป็นเพราะ…เรื่องมันนานมาแล้วกระมังเพคะ” น้ำตาของฉันพานจะไหลออกมา
“จริงอยู่ว่าข้าได้ฟังเรื่องของเจ้ามาจากองค์ชายรัชทายาท แต่มันดูเป็นเหมือนความทรงจำในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว องค์ชายรัชทายาทคงจะลืมเลือนมันไปแล้ว”
“…”
“ทั้งที่เป็นอย่างนี้เจ้ายังอยากอยู่ที่วังนี้อีกรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าอยู่ที่วังนี้ในฐานะนางใน เจ้าจะไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ชั่วชีวิต”
“หม่อมฉันทราบเพคะว่าหม่อมฉันจะไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นหม่อมฉันก็อยากอยู่ในวังแห่งนี้เพคะ” ฉันยืนกรานอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เพราะเหตุใดเล่า! ไยเจ้าจึงไม่ยอมพูดความจริงออกมาเสียที” องค์ชายจองวอนตะโกนด้วยความโมโหอีกครั้ง “เจ้ามีใจให้องค์ชายรัชทายาท เจ้าจึงอยากอยู่ในวังเพื่อพบองค์ชายรัชทายาทใช่หรือไม่”
ฉันอึ้งงันกับคำพูดนี้
องค์ชายจองวอนกำลังเข้าใจผิด หรือเขาคิดว่าที่ฉันปฏิเสธไม่ยอมเป็นสตรีของเขาก็เพราะฉันมีใจให้องค์ชายควังแฮ ฉันต้องรีบบอกไปว่าไม่ใช่เพื่อไม่ให้เขาเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร เขาก็เดินไปเปิดประตู อากาศอันหนาวเหน็บแทรกซึมเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“คืนนี้เจ้าไม่ต้องออกนอกวัง ข้าจะหาหนทางอื่นเพื่อให้เจ้าได้อยู่ในวังนี้ได้ต่อไป”
เขาพูดโดยไม่หันหลังกลับมามอง ก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตู พร้อมกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในคราแรกมืดดับลง
ฉันแยกจากจงได้สามวันแล้ว ไม่รู้ว่าองค์ชายจองวอนใช้วิธีไหนถึงทำให้ฉันสามารถอยู่ในวังต่อไปได้ ฉันได้กินข้าวครบสามมื้อโดยไม่ต้องทำงาน ยูซังกุงจึงแสดงท่าทางไม่พอใจใส่ฉันอยู่ตลอดเวลา
แต่ฉันรู้สึกไม่สบายใจกับสถานะของตัวเองที่ยังไม่ถูกกำหนด ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ไม่สบายใจก็คือมันทำให้โอกาสที่ฉันจะได้พบกับองค์ชายควังแฮถูกเลื่อนออกไปอีก ฉันจะต้องเจอเขาแล้วแน่ใจด้วยตัวเองว่าเขายังจำฉันได้หรือลืมฉันไปแล้ว
แต่ตอนนี้องค์ชายควังแฮไม่ได้อยู่ในวัง ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจึงจะครบกำหนดการไว้ทุกข์ให้พระนางอึยอินแล้วเขาก็จะได้กลับมา โดยในระหว่างนี้เขาไปๆ มาๆ เป็นครั้งคราว ซึ่งฉันที่อยู่ในสถานะที่ระบุไม่ได้นี้ไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะมาเมื่อไหร่
“คิมซังกุง เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่”
เสียงของยูซังกุงทำให้ฉันรีบลุกขึ้นแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
“ข้าจะเข้าไปนะ”
ยูซังกุงเดินเข้ามาแล้วมองฉันที่กำลังยืนทำความเคารพอย่างนอบน้อม ตอนที่เป็นซังกุงพระพี่เลี้ยงของจง เวลายูซังกุงเดินเข้ามา ฉันไม่เคยลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพนางเลย ด้วยเหตุผลที่ว่าฉันกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลจง แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในสถานะที่ยังระบุไม่ได้ ฉันยังคงต้องพึ่งพาคนอื่น ดังนั้นฉันจึงต้องทำตัวสุภาพนอบน้อมเข้าไว้ ซึ่งนั่นทำให้ยูซังกุงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ตามข้ามา”
“จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ตำหนักของพระสนมอินบิน”
พระสนมอินบินแห่งตระกูลคิมก็คือแม่แท้ๆ ขององค์ชายจองวอนนั่นเอง
“มัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบตามมาอีก”
ยูซังกุงหันมาเร่ง ฉันจึงรีบเดินตามยูซังกุงไป
ทางฝั่งตะวันออกของพระราชวังชั่วคราวแห่งนี้เป็นที่ตั้งของตำหนักของเหล่าองค์ชายรวมถึงองค์ชายรัชทายาท ส่วนทางฝั่งตะวันตกเป็นพื้นที่ของพวกสตรี ตำหนักของพระมเหสีและพระสนมทั้งหลายจึงตั้งอยู่ที่นี่ซึ่งตำหนักของพระสนมอินบินนั้นตั้งอยู่ข้างๆ พระตำหนักของพระมเหสี
“พระสนมเพคะ ยูซังกุงมาแล้วเพคะ”
“เข้ามาได้”
น้ำเสียงอันน่าเกรงขามดังออกมาจากด้านใน เมื่อประตูถูกเปิดออก ยูซังกุงก็เดินนำหน้าเข้าไปข้างในทันที
สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ด้านในสุด สวมวิกผมที่มีขนาดใหญ่กว่าใบหน้าของตัวเองถึงสี่เท่า ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเครื่องประดับที่สวมใส่นั้นมีราคาแพงมาก ฉันจึงแน่ใจว่านางต้องเป็นพระสนมอินบินอย่างแน่นอน
“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”
พอยูซังกุงทำความเคารพ ฉันก็ทำตาม
“นั่งสิ”
“เพคะพระสนม”
ยูซังกุงนั่งลง แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องนั่งด้านหลังหรือด้านข้างของยูซังกุง จนยูซังกุงต้องหันมากระซิบเบาๆ ว่าให้นั่งด้านหลังตัวเอง
“น่าแปลกจริงนะ เจ้าดูเหมือนไม่รู้มารยาทในวังเอาเสียเลย”
“ขออภัยด้วยเพคะ คือว่า…นางมาจากนอกวังเพคะ…”
ฉันไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้เอาซะเลย จึงได้แต่มองพระสนมกับยูซังกุงสลับกันไปมา แล้วทันใดนั้นเอง
“ใครอนุญาตให้เจ้ามอง!”
เสียงตวาดของพระสนมทำให้ฉันรีบก้มหัวลงด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนคนที่ตกใจยิ่งกว่าฉันจะเป็นยูซังกุง นางก้มหมอบจนหน้าแนบกับพื้นพร้อมรีบกล่าวขอโทษขอโพย
“ขอประทานอภัยเพคะ! เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบขออภัยพระสนมอีก!”
ฉันก้มหมอบตามคำสั่งของยูซังกุง แต่ทันใดนั้นน้ำเสียงของพระสนมก็เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานอีกครั้งอย่างน่ามหัศจรรย์
“ถ้าเจ้าอยากอยู่ในวังนี้ต่อไป เจ้าจะต้องมีมารยาทและปฏิบัติตามกฎ ยูซังกุง เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับนางผู้นี้”
“เพคะพระสนม”
ยูซังกุงออกไปแล้ว ฉันจึงต้องเผชิญหน้ากับพระสนมเพียงลำพัง แต่จะเรียกว่าเผชิญหน้าก็ไม่ถูกนัก เพราะตอนนี้ฉันกำลังก้มหมอบต่ำจนหน้าแทบจะแนบไปกับพื้นอยู่แล้ว
“องค์ชายจองวอนเป็นโอรสของข้าก็จริง แต่เขามักจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงลำพังและไม่เผยความในใจให้ผู้อื่นล่วงรู้ เขาปกครองทุกคนได้เป็นอย่างดีโดยมีทั้งให้รางวัลและให้บทลงโทษ แต่เขากลับชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมาก เขาบอกว่าที่จงทำตัวเรียบร้อยมากขึ้นก็เป็นเพราะเจ้า เขาขอร้องให้เจ้าอยู่ในวังนี้ต่อทั้งที่ชายาของเขาได้ไล่เจ้าออกไปจากวังแล้ว ข้าจึงแปลกใจยิ่งนัก”
หลังจากที่พระสนมกงบินซึ่งเป็นพระมารดาแท้ๆ ขององค์ชายควังแฮเสียชีวิตไป พระสนมอินบินก็กลายเป็นพระสนมที่พระเจ้าซอนโจโปรดปรานมากที่สุด และมีอำนาจมากที่สุดเหนือพระสนมองค์ใด
“องค์ชายจองวอนขอให้เจ้ามาอยู่กับข้า แต่ข้าไม่ต้องการซังกุงเพิ่ม และข้ากับลูกสะใภ้ของข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ข้าจึงไม่อยากทำร้ายจิตใจนาง แต่ข้าก็ไม่อยากปฏิเสธคำขอร้องขององค์ชายจองวอน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอร้องข้า ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะส่งเจ้าไปเป็นนางในของห้องเครื่อง”
คำว่า ‘นางในของห้องเครื่อง’ ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมา แต่ทันทีที่สบสายตาอันเฉียบคมของพระสนมอินบิน ฉันก็ต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง
“จากที่องค์ชายจองวอนว่าไว้ เจ้ามีฝีมือด้านการปรุงอาหาร ข้าจึงอยากพิสูจน์เรื่องนั้นโดยการส่งเจ้าไปที่นั่น ลองแสดงฝีมือการทำอาหารที่ถูกพระทัยฝ่าบาทให้ข้าดูหน่อยนะ”
หลังคำพูดนั้นจบลง ในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ฉันไม่รู้ว่านี่คือคำสั่งที่ไม่ต้องการคำตอบ หรือคำถามที่ต้องการคำตอบรับ หลังจากลังเลอยู่นานก็ตัดสินใจกล่าวขอบคุณออกไป
“ขอบพระทัยเพคะ”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงได้ใจดีกับเจ้า ทั้งที่ข้าไม่รู้แม้แต่หัวนอนปลายเท้าของเจ้าเลย”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่นางคือ ‘แม่มดอินบิน’ ที่คนในวังต่างรู้ดี
“พระสนมกงบินที่ตายไปแล้วก็เคยเป็นนางในของห้องเครื่องมาก่อน ถ้านางถูกซ่อนเอาไว้ในห้องเครื่องและไม่เป็นที่เตะตาใครๆ เลยตลอดชีวิตก็คงดีสินะ…”
ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพูดถึงพระสนมกงบินพระมารดาขององค์ชายควังแฮทำไม แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับพระสนมกงบินนั้นไม่ดีเท่าไหร่นัก หากไม่มีพระสนมกงบิน คนที่จะคลอดพระโอรสองค์โตให้กับพระเจ้าซอนโจคงเป็นพระสนมอินบิน และมีความเป็นไปได้สูงที่พระโอรสองค์นั้นจะได้เป็นองค์ชายรัชทายาท แต่ประวัติศาสตร์ได้เลือกองค์ชายควังแฮ
“เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าห้องเครื่องมีงานยุ่งทั้งวัน”
ห้องเครื่องคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและกลิ่นหอมหวนของอาหาร
“คังซังกุงอยู่ที่ใด”
ยูซังกุงถามนางในคนหนึ่งที่เดินผ่านมา คังซังกุงคือซังกุงสูงสุดประจำห้องเครื่อง อายุราวๆ ห้าสิบปี นางกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารเพื่อให้ทันขึ้นสำรับในมื้อถัดไป
“ตายจริง นั่นยูซังกุงจากตำหนักองค์ชายจองวอนนี่เจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะคังซังกุง”
ทั้งคู่เป็นซังกุงเหมือนกัน แต่คนหนึ่งเป็นซังกุงสูงสุด ส่วนอีกคนคือซังกุงส่วนพระองค์ขององค์ชายในพระสนม แม้ยูซังกุงจะอายุมากกว่า แต่ก็พูดคุยอย่างสุภาพนอบน้อม คังซังกุงคนนี้ทำให้ฉันนึกถึง ‘คังซังกุง’ ที่เคยอบรมสั่งสอนฉันอย่างเข้มงวดในห้องเครื่องสมัยพระเจ้าเซจง หน้าก็ดูคุ้นๆ จะใช่คนเดียวกันรึเปล่านะ
“นางผู้นี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าค่ะคังซังกุง”
“แต่เหตุใดนางจึงสวมชุดของซังกุงล่ะเจ้าคะ” คังซังกุงตำหนิอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าจะรีบสั่งให้ถอดออกเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
“แล้วรู้หรือไม่เจ้าคะ” สายตาของคังซังกุงหันมาทางฉัน “ผู้ที่เคยเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง แต่ภายหลังต้องกลายมาเป็นนางใน จะโดนคนในวังรังเกียจมาก”
คำพูดนั้นทำให้พวกนางในของห้องเครื่องหันมามองฉันแล้วกระซิบกระซาบกัน ฉันคิดว่าฉันจะโดนรังเกียจก็เพราะคำพูดของคังซังกุงนี่แหละ
“ถือว่านางยังโชคดีนะเจ้าคะ เพราะนางเกือบจะต้องออกจากวังแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างไรก็ตามห้องเครื่องไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาดูถูกได้ง่ายๆ ยิ่งจากซังกุงกลายมาเป็นนางในแบบนี้ หากทำงานของที่นี่ได้ไม่ดีพอ ก็ต้องถูกปลดไปเป็นทาสนะเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นแล้วแต่คังซังกุงตัดสินใจเลยเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าจากนี้ไปฉันไม่ใช่ซังกุงพระพี่เลี้ยงของตำหนักองค์ชายจองวอนอีกแล้ว ดังนั้นต่อให้กลายไปเป็นทาส หรือถูกไล่ออกนอกวัง มันก็ไม่เกี่ยวกับยูซังกุงเลยสักนิดเดียว
คังซังกุงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเรียกนางในฝึกหัดคนหนึ่งมาสั่งงาน
“เจ้าพานางผู้นี้ไปยังที่พักที จัดแจงให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วให้พามาหาข้าอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะคังซังกุง”
สถานที่ที่ฉันเดินตามนางในฝึกหัดมานั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องเครื่องมากนัก ที่นี่มีอาคารที่พักของนางในเรียงรายอยู่ แต่นางในฝึกหัดพาฉันเดินเลยออกไปอีก มันไม่ใช่อาคารที่มีหลายห้อง แต่เป็นกระท่อมเล็กๆ ที่มีห้องครัวเชื่อมอยู่ ดูแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่มีใครอาศัยอยู่นานแล้ว
“ที่นี่คือที่พักของข้าใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
นางในฝึกหัดตอบพร้อมพยักหน้า แล้วตอนนั้นเองประตูที่พักก็ถูกเปิดออก หญิงในชุดสีน้ำเงินเดินออกมาพร้อมถือกะละมังใส่น้ำกับผ้าถูพื้นในมือ ทันทีที่เห็นฉันกับนางในฝึกหัดนางก็ก้มหัวเพื่อทำความเคารพ
“ท่านซังกุง ท่านนางใน”
แค่เห็นชุดของนางก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่านางคือทาส
“ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ ได้ยินมาว่าห้องเครื่องยุ่งมากมิใช่หรือเจ้าคะ”
“คังซังกุงสั่งให้ข้าพานางในคนใหม่มายังที่พักน่ะ”
“นางในคนใหม่รึเจ้าคะ อยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
นางมองเลยฉันไปเพื่อมองหานางในคนใหม่ เพราะชุดที่ฉันสวมใส่ยังคงเป็นชุดของซังกุง นางจึงไม่รู้ สุดท้ายฉันก็ต้องรีบออกตัว
“ข้าเองเจ้าค่ะ ข้าคือนางในคนใหม่”
“ท่านเป็นซังกุงไม่ใช่รึเจ้าคะ”
“เคยเป็นซังกุง แต่ตั้งแต่นี้ไปคือนางในเจ้าค่ะ”
“อ๋อ เจ้าค่ะ” นางทำท่าทางสับสนก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพฉันอีกครั้ง “ข้าเป็นทาสสังกัดที่พักแห่งนี้เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะคอยดูแลท่านนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ว่าแต่ชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”
“อุนจีเจ้าค่ะ”
“อายุล่ะเจ้าคะ”
“ปีนี้อายุยี่สิบสี่แล้วเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องเรียกว่าพี่อุนจี…” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ อุนจีก็รีบโบกไม้โบกมือพร้อมตะโกนลั่น
“อย่าพูดจาอย่างนั้นนะเจ้าคะ ข้าเป็นเพียงทาสผู้ต่ำต้อย ไม่ต้องพูดจายกย่องข้าอย่างนั้นหรอกเจ้าค่ะ เรียกว่าอุนจีก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าอายุน้อยกว่า”
“โอ๊ย! ไม่ได้เจ้าค่ะ หากนางในหรือซังกุงท่านอื่นรู้เรื่องนี้ ข้าโดนไล่ออกจากวังแน่เลยเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ได้นะเจ้าคะ ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ”
“รู้แล้วๆ ถ้าเช่นนั้นข้าเรียกว่าอุนจีนะเจ้าคะ”
หลังจากที่นางในฝึกหัดยืนฟังอยู่นาน นางก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “รีบไปเตรียมตัว แล้วกลับไปห้องเครื่องเถิดเจ้าค่ะ”
“ได้ ข้าขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”
ฉันเดินเข้าไปในที่พักแล้วคลายห่อผ้าที่ถือมา ในใจคิดว่าจะต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปหาคังซังกุงแต่แล้วบางอย่างในห่อผ้าก็สะดุดสายตาของฉัน มันคือภาพที่จงวาดใบหน้าของฉันด้วยพู่กัน แม้จะบิดเบี้ยว นี่เป็นของเพียงอย่างเดียวที่ฉันเอามาด้วยตอนออกมาจากตำหนักของจง ฉันจะมีโอกาสได้เจอกับจงอีกไหมนะ ถ้าอยากเจอจงก็ต้องไปที่ตำหนักขององค์ชายจองวอน แต่ถ้าได้เจอพระชายาขององค์ชายจองวอน ครั้งนี้ฉันอาจถูกไล่ออกจากวังจริงๆ ก็ได้ ซึ่งฉันจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ฉันจะต้องอยู่เพื่อพบองค์ชายควังแฮ
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันทำงานในห้องเครื่อง ทั้งซังกุงสูงสุดของห้องเครื่องและพวกนางในในห้องเครื่องทุกคนคงจะเกลียดฉันหมด เพราะนางในฝึกหัดจะเข้าวังมาตั้งแต่อายุน้อยๆ ทุกคนต้องทำงานเบ็ดเตล็ดทุกอย่างกว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง แล้วอดีตซังกุงที่เกือบถูกไล่ออกจากวังอย่างฉันกลับได้มาทำงานในห้องเครื่องหน้าตาเฉย ไม่ว่าใครก็ต้องหมั่นไส้เป็นธรรมดา
วันนี้ทั้งวันฉันล้างแต่ต้นหอม ล้างแล้วล้างอีก ในวังนี้คงมีคนกิน ‘ต้นหอม’ มากมายสินะ ถึงต้องล้างกันเยอะแยะขนาดนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังล้างต้นหอมที่ต้องเก็บไว้กินนานหนึ่งปี บางคนอาจคิดว่าแค่นั่งล้างต้นหอมมันจะยากลำบากอะไรกัน แต่ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูหนาว การนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ข้างนอกแล้วเอามือจุ่มน้ำเย็นทั้งวันมันเป็นเรื่องที่ทรมานจริงๆ
“ให้ข้านวดตัวให้ไหมเจ้าคะ” อุนจีเอ่ยถามหลังจากที่ฉันกลับมายังที่พัก
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร”
“โอ๊ย หากท่านยังพูดจาแบบนี้กับข้าอยู่ ข้าจะลำบากนะเจ้าคะ ไม่ต้องใช้คำพูดสุภาพกับข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“เอ่อ…เอาอย่างนั้นหรือ”
สำหรับฉันการพูดจาสุภาพหรือไม่สุภาพนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่หากคนอื่นมาได้ยินเข้า อุนจีอาจจะถูกไล่ออกจากวังได้
“เจ้าค่ะ อย่างนั้นล่ะเจ้าค่ะ”
“ว่าแต่ดึกแล้วเจ้ายังไม่ออกจากวังอีกรึ”
“ยังเหลือเวลาอีกสักครู่เจ้าค่ะ ถ้าเลยเวลานั้นไปแล้วข้าจะออกจากวังไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ต้องออกจากวังทุกวันเลยรึ”
“ในสิบวัน ข้าจะออกจากวังได้สามวันเจ้าค่ะ วันไหนที่ข้าออกจากวัง ลูกชายคนเล็กของข้าจะไม่ยอมหลับยอมนอน นั่งรอข้าจนดึกดื่นเลยเจ้าค่ะ”
“มีลูกชายด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ สองคน เจ้าคนเล็กอายุสามขวบ ส่วนคนโตอายุหกขวบเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึ”
ทาสส่วนหนึ่งจะแต่งงานแล้ว ทาสหญิงที่ถูกเลือกเข้ามาทำงานในวังนั้นจะอยู่ในระดับต่ำที่สุด และรับหน้าที่ทำงานเบ็ดเตล็ดทุกอย่างที่ซังกุง นางใน หรือนางในฝึกหัดไม่ทำกัน
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะมาแต่เช้าเลยเจ้าค่ะ”
“อือ ไปเถอะ”
จู่ๆ อุนจีที่เปิดประตูก็ร้องด้วยความตกใจ “ตายแล้ว!”
แล้วเสียงกระแอมที่คุ้นหูก็ดังมาจากด้านนอก องค์ชายจองวอนไม่ผิดแน่ๆ
“เอ่อ ท่านเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ ที่นี่คือที่พักของพวกนางในนะเจ้าคะ”
อุนจีคงจะคิดว่าชายผู้นั้นคือขุนนางระดับสูง นางคงจะไม่เคยเห็นหน้าขององค์ชายจองวอน ฉันจึงรีบเดินออกมา
“องค์ชายจองวอนเพคะ”
“องค์…องค์ชายจองวอน โอรสของพระสนมอินบิน? แย่แล้ว! หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ได้แต่ทำงานด้านหลัง จึงไม่เคยได้พบเห็นท่านเลย ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ”
“อ่ะแฮ่ม เจ้าออกไปก่อน”
“เพคะ”
ทันทีที่อุนจีออกไปแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะนั่งลงที่ปลายไม้กระดานแคบๆ หน้าที่พัก ฉันนั่งลงตรงปลายไม้กระดานฝั่งตรงข้ามกับเขา
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรเพคะ”
“การหาตัวเจ้าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”
บทสนทนาเริ่มด้วยบรรยากาศขัดเขิน
“ท่านมายังที่พักของพวกนางในได้ด้วยหรือเพคะ”
เขากระแอมขึ้นมาเบาๆ ฉันจึงหัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะทำไม”
“ไม่มีเหตุผลเพคะ” ฉันหัวเราะกับการกระแอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาไปเสียแล้ว
“งานในห้องเครื่องทำให้เจ้าลำบากหรือไม่”
“ลำบากมากเพคะ” ฉันแกล้งตอบติดตลกออกไปเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เขากลับทำหน้าตกใจ
“ถ้าลำบาก ข้าจะพาไปอยู่ที่อื่น…”
“หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอกเพคะ ที่ลำบากก็เป็นเพราะวันนี้เพิ่งทำงานเป็นวันแรก หม่อมฉันยังไม่คุ้นชิน ก็เลยลำบาก แต่ถ้าทำไปสักพัก ก็คงจะลำบากน้อยลงเพคะ”
“อย่างนั้นหรอกรึ”
พอเข้าใจความหมายในสิ่งที่ฉันพูด เขาก็ยิ้มบางๆ
“ขอบคุณนะเพคะ”
“เจ้าหมายถึงสิ่งใด”
“ก็ขอบคุณที่ทำให้หม่อมฉันอยู่ในวังนี้ต่อไปได้ยังไงล่ะเพคะ”
“เจ้าชอบที่จะได้อยู่ในวังนี้ต่อไปรึ”
“นั่นเป็นเป้าหมายในการอยู่ที่โชซอนของหม่อมฉันเพคะ”
“ข้าไม่รู้นะ แต่ว่า…” เขาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ ก็ลุกขึ้น “วันนี้อากาศหนาวนัก เจ้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
ทั้งที่พูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมไปไหน พอคิดได้ว่าเขาอาจจะรอให้ฉันเข้าไปข้างในก่อน ฉันจึงลุกขึ้น
“ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าอยากมาพูดคุยกับเจ้าบ้างในบางครั้ง…”
“ถ้าในฐานะสหาย พระองค์จะมาเมื่อไหร่ก็ได้เพคะ”
ใบหน้าของเขาดูเศร้าสร้อยลงไปในทันที “หัวใจของเจ้า…มอบให้ข้าไม่ได้เลยหรือ”
“ขออภัยเพคะ”
เขารับฟังคำขอโทษจากฉันแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ภายใต้แสงจันทร์ เขาเป็นคนดี ทั้งที่ฉันปฏิเสธหัวใจของเขา แต่เขาก็ยังไปขอร้องพระสนมอินบินผู้เป็นแม่ให้ฉันได้อยู่ในวังต่อ ฉันรู้สึกผิดต่อหัวใจของเขาที่มีให้ฉันเหลือเกิน
หน้าที่ของฉันยังคงเป็นการล้างผักเหมือนเดิม และสิ่งที่เหมือนเดิมอีกหนึ่งอย่างก็คือไม่มีใครในนี้คุยกับฉันเลย
วันแรกเริ่มต้นด้วยการล้างต้นหอม พอวันถัดมาก็ล้างผักทุกชนิด นางในฝึกหัดส่วนใหญ่จะช่วยเหลือนางในที่ตัวเองสังกัดอยู่ แต่ฉันเป็นนางในที่ไม่มีนางในฝึกหัดในสังกัด จึงต้องทำทุกอย่างเองคนเดียว จนเวลาผ่านไปครึ่งเดือน ผักทุกชนิดในวังก็ได้ผ่านมือของฉันมาหมดแล้ว
ฤดูใบไม้ผลิของปีถัดมา อากาศก็เริ่มคลายความเย็นลง งานที่ฉันต้องรับผิดชอบก็เปลี่ยนไป นั่นคือการจัดสำรับอาหาร ในตอนแรกฉันดีใจมากที่ได้รับการปลดแอกจากการล้างผักเสียที แต่แล้วความดีใจก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะการจัดสำรับอาหารไม่ใช่งานง่ายๆ ทุกสำรับในวังนี้ต้องผ่านการจัดการจากฉันทั้งหมด การก้มหลังทั้งวันเพื่อจัดเรียงสำรับให้ถูกต้องนั้นทำเอาร่างของฉันแทบแหลก ถ้าฉันเผลอวางช้อนผิดตำแหน่งเพียงแค่คันเดียว คังซังกุงก็จะตวาดลั่น
บทลงโทษที่คังซังกุงมักใช้ลงโทษฉันคือการให้อดอาหารหนึ่งมื้อ ซึ่งถือเป็นการลงโทษที่ทรมานมากจริงๆ ทำงานหนักมาทั้งวัน แต่ไม่ได้กินข้าวเย็นเพียงเพราะความผิดแค่เล็กน้อย แม้ที่นี่จะไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่ฉันก็พอจะเดาได้ว่าน้ำหนักของฉันลดลงไปประมาณห้าถึงหกกิโลกรัม ฉันกลัวว่าฉันอาจได้เป็นนางในคนแรกในประวัติศาสตร์ของโชซอนที่ตายเพราะการอดอาหารจริงๆ
ผ่านมาหนึ่งเดือน วันหนึ่งฉันถูกทำโทษให้อดข้าวด้วยเหตุผลที่ว่าวางตำแหน่งของเครื่องเคียงผิด พอตกกลางคืน ฉันจึงแอบออกจากที่พักไปยังห้องเครื่อง เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเกิดขององค์หญิงองค์หนึ่ง ห้องเครื่องจึงทำชีรูต็อกปริมาณมากเพื่อแจกบรรดาเชื้อพระวงศ์ ถ้าฉันแอบกินไปนิดนึงคงไม่มีใครรู้หรอก
“ตายจริง เจ้า…”
ทันทีที่มาถึงห้องเครื่องก็เห็นนางในของห้องเครื่องสองคนกำลังนั่งอยู่
“มาเห็นตอนกลางคืนแบบนี้ อย่างกับขอทานเลยนะ”
“วันนี้ไม่ได้กินข้าวเย็นอีกแล้วรึ”
ฉันล้มเลิกความตั้งใจที่จะแอบกินขนมทันที แต่ขณะที่ฉันกำลังจะเดินกลับที่พักของตัวเองนั้น พวกนางในที่ไม่เคยพูดคุยกับฉันเลยก็เดินเข้ามาใกล้ฉันและพูดด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
“เดี๋ยวก่อนสิ ได้ยินมาว่าเจ้าคือนางในที่พระสนมอินบินแนะนำให้มาทำงานในห้องเครื่องใช่หรือไม่”
“ฝีมือการทำอาหารของเจ้าคงดีมากเลยสินะ”
คำชมที่ไม่เคยได้ยินหลุดออกจากปากของพวกนาง
“จู่ๆ ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
“พูดแบบไหนรึ”
“พวกเราเป็นนางในเหมือนกันนี่นา ก็ต้องช่วยเหลือกันสิ ใช่หรือไม่เล่า”
“…” พวกนางพูดดีกับฉันจนน่าสงสัย
“นางในที่ต้องเตรียมอาหารว่างมื้อค่ำสำหรับตำหนักพระสนมอินบินขาดไปหนึ่งคน”
“เจ้าเป็นนางในที่พระสนมอินบินแนะนำมานี่ เจ้าน่าจะรู้ไม่ใช่รึว่าพระสนมอินบินโปรดอาหารว่างแบบไหน”
ฟังคำพูดของพวกนางแล้ว ฉันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมถึงยอมพูดจากับฉันอย่างสนิทสนม คงกำลังคิดหนักอยู่ว่าจะทำอาหารว่างเป็นอะไรดี
“ข้าไม่แน่ใจ ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่หรอก”
ฉันไม่ใช่นางในของพระสนมอินบิน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ
“แค่บอกเฉยๆ ก็ได้ว่าทำอะไรดี”
“…”
“เจ้าช่วยพวกข้าหน่อยไม่ได้รึ”
ฉันไม่อยากช่วยคนที่เมินใส่ฉัน แต่คำพูดของนางในคนหนึ่งกลับทำให้หัวใจของคนหิวข้าวอย่างฉันต้องหวั่นไหว
“ถ้าวัตถุดิบเหลือ เจ้าจะแบ่งเอาไปกินบ้างก็ได้นะ”
“วันนี้คังซังกุงสั่งให้เจ้าอดอาหารเย็นมิใช่หรือไร”
“ถ้าเจ้าช่วย พวกข้าก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีหรือไม่”
“งั้นรึ” ฉันคงจะหิวมากจนตาลายไปแล้ว และเห็นคนที่เคยใจดำกลายเป็นนางฟ้าไปในชั่วพริบตา
“จะช่วยพวกข้ารึไม่”
จ๊อก…เสียงจากกระเพาะร้องตอบมาก่อนเสียงจากปากเสียอีก
“ก็ได้” ฉันพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “วัตถุดิบมีอะไรบ้างล่ะ”
“เนื้อไก่ ไข่ แล้วก็ฮยอนกูจา”
ทันใดนั้นเองอาหารชนิดหนึ่งก็แวบผ่านเข้ามาในหัว
“ได้ แค่นั้นก็พอแล้ว”
ฉันสมัครใจทำอาหารด้วยตัวเองโดยลืมความจริงไปข้อหนึ่ง การช่วยเหลือคนที่ไม่จริงใจกับเราในเวลาปกตินั้นเป็นเรื่องอันตรายมากหากอยู่ในวัง หลังจากช่วยพวกนางเสร็จ ฉันก็ได้กินสตรอเบอรี่อย่างจุใจ
แต่พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ห้องเครื่องก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
“คนที่ทำอาหารว่างมื้อค่ำสำหรับตำหนักของพระสนมอินบินเมื่อคืนคือใครกัน!”
คังซังกุงเรียกนางในทุกคนของห้องเครื่องมารวมตัวกันแล้วตะโกนถาม โดยข้างกายของคังซังกุงมีพวกขันทีและพวกทหารยืนอยู่ด้วย
“ยังไม่รีบออกมาอีกรึ!” เสียงตวาดของคังซังกุงทำให้นางในสองคนนั้นค่อยๆ ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วก้มหน้าลง
“คยองมินเจ้าค่ะ คยองมินเป็นคนทำอาหารว่างมื้อค่ำส่งไปยังตำหนักของพระสนมอินบินเจ้าค่ะ”
“คยองมินออกมาเดี๋ยวนี้!”
ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าคืออะไร แต่ก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ
“ข้าเป็นคนทำอาหารมื้อนั้นเองเจ้าค่ะ”
“เด็กคนนั้นเจ้าค่ะ”
ทันทีที่คังซังกุงหันไปบอก ขันทีก็สั่งทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที “จับนางไว้!”
“หา?!” ฉันถูกทหารล็อกตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา “ข้าทำอะไรผิดไปหรือเจ้าคะ ข้าขอทราบเหตุผลด้วย!”
“นางคนนี้! เจ้ารู้ดีใช่หรือไม่ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จมาประทับที่ตำหนักพระสนมอินบิน เจ้าจึงใส่ยาพิษลงในอาหารว่างที่ฝ่าบาทเสวย!”
“ยาพิษหรือเจ้าคะ! ข้าไม่ได้ทำ…ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ! ข้าไม่มีทางทำอย่างนั้นเด็ดขาด!”
“ใต้เท้าเจ้าคะ” คังซังกุงดูเหมือนยังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่จึงหันไปพูดกับขันที “นางเป็นคนที่พระสนมอินบินแนะนำให้เข้ามาทำงานในห้องเครื่องนะเจ้าคะ มันไม่แปลกหรือเจ้าคะที่นางจะใส่ยาพิษลงในอาหารว่างสำหรับตำหนักพระสนม”
“เรื่องนั้นถ้าตรวจสอบแล้วก็จะรู้เอง แต่ความจริงที่แน่นอนก็คือหลังจากที่ฝ่าบาทเสวยอาหารนั้นไปก็ทรงพระกาสะทั้งคืน พอรุ่งเช้าถึงกับทรงอาเจียนออกมาเป็นพระโลหิต”
พระเจ้าซอนโจถึงกับอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างนั้นเหรอ!
“ลากตัวไปเดี๋ยวนี้!”
ค่อนวันแล้วที่ถูกขังอยู่ในคุก ข้อดีอย่างหนึ่งของการอยู่ในนี้คือมีอาหารให้กิน แน่นอนว่าเป็นอาหารง่ายๆ อย่างข้าวต้มกับถั่วงอกซึ่งไม่ใช่อาหารดีๆ ที่หากินได้จากห้องเครื่อง แต่ฉันก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะมันทำให้ท้องของฉันอิ่ม
แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี พระเจ้าซอนโจอาเจียนออกมาเป็นเลือดงั้นเหรอ ฉันกับนางในสองคนนั้นได้กินวัตถุดิบของอาหารว่างนั้นทั้งหมด ถ้ามียาพิษ ฉันกับพวกนางก็ต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดด้วยสิ
อาหารว่างที่ฉันทำให้พระสนมอินบินคือสลัดสตรอเบอรี่ป่ากับอกไก่และไข่ต้ม เพราะฉันคิดว่าอาหารว่างมื้อค่ำไม่ควรเป็นอาหารหนักท้อง ควรเป็นอาหารที่กินแล้วไม่ทำให้อ้วน วัตถุดิบก็มีแค่สามอย่างเอง นอกนั้นก็เป็นน้ำสลัดที่ฉันปรุงขึ้นมาใหม่
หรือสภาพร่างกายของพระเจ้าซอนโจนั้นไม่ดี แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วพระเจ้าซอนโจยังไม่สวรรคตตอนนี้นี่ ขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงเล็กๆ ก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของกำแพง
“พี่สาว…”
มียองเหรอ
ฉันรีบลุกแล้วเดินตรงไปยังรูหน้าต่างขนาดเล็กที่อยู่สูงกว่าความสูงของฉัน แต่ด้วยความสูงของหน้าต่างทำให้ฉันไม่สามารถเห็นใบหน้าของมียองได้ ฉันจึงยื่นมือออกไปทางหน้าต่างแทน
“ตรงนี้ๆ มียอง”
“พี่สาว!” มียองจับมือของฉันแน่น “เหตุใดพี่สาวถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ”
“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข่าวลือแพร่ไปทั่ววังเลยเจ้าค่ะ ตอนแรกข้านึกว่าพี่ออกจากวังไปแล้วเสียอีก ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ห้องเครื่อง… เหตุใดถึงไม่บอกข้าเลยล่ะเจ้าคะ”
“งานยุ่งทุกวันจนข้าไม่มีเวลาออกจากห้องเครื่องเลย ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่ไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปจริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไม่เชื่อข้ารึ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ! แต่ทุกคนบอกว่าพี่ใส่ยาพิษลงไปเจ้าค่ะ”
“ข้าอยู่แต่ในนี้เลยไม่รู้อะไรมากนัก ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรบ้าง”
“ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่าฝ่าบาทเสวยอาหารที่พี่ทำแล้วทรงพระกาสะทั้งคืนเจ้าค่ะ จากนั้นรุ่งขึ้นก็ทรงอาเจียนออกมาเป็นพระโลหิตเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นนะเจ้าคะ ตอนนี้หมอหลวงยังคอยดูพระอาการอยู่ตลอดเวลาด้วย… นอกนั้นข้าก็ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”
“มียอง ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปจริงๆ นะ”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ ข้าเชื่อคำพูดของพี่ ทุกอย่างจะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ”
น้ำเสียงเจือร้องไห้ของมียองดังมาจากอีกฝั่งของกำแพง ฟังจากเสียงร้องไห้นั้นแล้ว ฉันได้แต่คิดว่าสถานการณ์คงไม่ดีขึ้นง่ายๆ อย่างแน่นอน
แล้วคืนวันนั้นการไต่สวนก็เริ่มต้นขึ้น ศาลไต่สวนพิเศษถูกจัดขึ้นที่สวนของพระราชวังชั่วคราวแห่งนี้ ฉันถูกจับให้นั่งอยู่ตรงกลาง ทั้งที่ไม่คิดจะหนีเลย แต่แขนและขาของฉันถูกมัดแน่นติดกับเก้าอี้ไม้ คบเพลิงที่ถูกจุดวางเอาไว้ทั่วยิ่งกระตุ้นความกลัวของฉันขึ้นไปอีก
กลุ่มขุนนางเดินมายืนข้างๆ ฉัน ทางซ้ายสามคน ทางขวาสามคน ชุดขุนนางที่พวกเขาใส่เป็นชุดสีแดง อายุอานามของแต่ละคนก็ดูเลยวัยกลางคนมาแล้ว จึงเดาได้ว่าจะต้องเป็นขุนนางระดับสูงแน่นอน
“ชื่อของคนร้ายคือคิมคยองมินใช่หรือไม่”
ฉันตั้งใจจะไม่ตอบคำถามนี้ เพราะถ้าฉันตอบไปเท่ากับว่าฉันยอมรับคำนำหน้าชื่อที่เรียกว่าฉันเป็น ‘คนร้าย’
“ตอบคำถามเดี๋ยวนี้!”
พอเห็นฉันลังเลใจที่จะตอบคำถาม ทหารนายหนึ่งที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็รีบเดินมาข้างฉัน ในมือของทหารนายนั้นถือท่อนไม้ที่มีรูปร่างเหมือนกระบอง แล้วตอนนั้นเอง
“องค์ชายจองวอนเสด็จ!”
คนที่เข้ามาในศาลไต่สวนพิเศษเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นองค์ชายจองวอน เขามีสีหน้าตื่นตระหนกเป็นอย่างมากทันทีที่เข้ามา เขาจ้องหน้าฉันอยู่สักพักก่อนจะนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วขุนนางที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของเขาก็โค้งทำความเคารพเขาอย่างสุภาพ
“จะเริ่มการไต่สวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แล้วการไต่สวนก็ดำเนินต่อ
“แม้กระทั่งชื่อของตนเองเจ้ายังไม่ยอมตอบ หรือต้องให้ขัดและบิดขาเจ้าก่อนถึงจะตอบได้!”
ทันใดนั้นองค์ชายจองวอนจึงหันไปมองขุนนางคนนั้นแล้วพูดว่า “ใต้เท้า นางเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยเท่านั้น”
“ผู้ต้องสงสัยหรือพ่ะย่ะค่ะ หลักฐานมีอยู่ทนโท่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หลักฐานเช่นนั้นรึ”
“ก็การที่ฝ่าบาททรงอาเจียนออกมาเป็นพระโลหิต หากไม่ใช่หลักฐานแล้วจะเป็นอะไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยว่าเจ้าใส่ยาพิษอะไรลงไป จากนี้ไปเจ้าจะไม่สามารถเปิดปากพูดได้อีกเลย”
คนที่องค์ชายจองวอนเรียกว่าใต้เท้าคือบย็องโจพันซอ หรือผู้พิพากษาในสมัยโชซอน องค์ชายจองวอนยกมือข้างหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาขอยุติการต่อปากต่อคำ การไต่สวนจึงดำเนินต่อ
“ชื่อของคนร้ายคือคิมคยองมินใช่หรือไม่”
ฉันจ้องมององค์ชายจองวอน ก่อนจะหันไปตอบบย็องโจพันซอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ข้าชื่อคิมคยองมิน แต่ข้าไม่ใช่คนร้ายเจ้าค่ะ”
“หน็อย!” บย็องโจพันซอเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง “เมื่อคืนวานเจ้าเป็นคนทำอาหารว่างมื้อค่ำส่งไปยังตำหนักของพระสนมอินบินใช่หรือไม่เล่า!”
“เจ้าค่ะ ข้าเป็นคนทำ”
“แล้ววัตถุดิบที่เจ้าใส่ไปในอาหารมีอะไรบ้าง”
“เนื้อไก่ ไข่ต้ม และฮยอนกูจาสักสิบกว่าลูกเจ้าค่ะ นอกจากนั้นข้านำซีอิ๊ว น้ำมันงาป่า และเกลืออีกนิดหน่อยผสมเข้าด้วยกันเพื่อทำซอสเจ้าค่ะ”
“ซะ…ซอสอย่างนั้นรึ”
“ซอสเจ้าค่ะ ซอสก็คือเครื่องปรุงรสเจ้าค่ะ”
“นั่นปะไร! ซอสนั่นต้องเป็นชื่อของยาพิษอย่างแน่นอน แล้วเจ้ารับหน้าที่ทำงานอะไรในห้องเครื่อง”
“ข้าเพิ่งมาอยู่ในห้องเครื่องได้ไม่กี่เดือน ส่วนใหญ่ทำงานเบ็ดเตล็ดเจ้าค่ะ”
“นางในที่ทำงานเบ็ดเตล็ดจะทำอาหารว่างให้ฝ่าบาทเสวยได้อย่างไรกัน”
“วันนั้นข้าไม่รู้มาก่อนว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่ตำหนักของพระสนมอินบิน ข้านึกว่าอาหารว่างนั้นเป็นของพระสนมอินบินเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้ามาทำอาหารว่างได้อย่างไรกัน”
“คือว่า…”
ฉันนึกถึงนางในสองคนนั้นก่อนเป็นอันดับแรก พวกนางขอร้องให้ฉันช่วย หรือพวกนางจะรู้ว่าพระเจ้าซอนโจเสด็จมาประทับที่ตำหนักของพระสนมอินบิน แต่ถ้าตั้งใจก่อเรื่องให้ฉันลำบากก็ไม่น่าจะมานั่งกินอาหารที่เหลืออยู่ด้วยกันและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ถ้าเรื่องนี้โยงไปถึงพวกนางล่ะก็ เรื่องราวคงบานปลายมากกว่านี้
“ยังไม่รีบตอบออกมาตามตรงอีกรึ!”
ฉันตกใจกับการเร่งรัดของบย็องโจพันซอจึงหันไปมององค์ชายจองวอน บางทีเขาอาจจะมาที่นี่เพื่อช่วยฉัน แต่ตอนนี้ไม่มีหลักฐานเลยสักชิ้นที่จะแก้ต่างให้ฉันได้
“ข้าเข้ามาเป็นนางในของห้องเครื่องได้ก็เพราะบุญคุณของพระสนมอินบินเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจึงรอโอกาสที่จะได้ตอบแทนเมตตาของพระสนมอินบินอยู่เสมอ เมื่อคืนพระสนมอินบินอยากรับอาหารว่างมื้อค่ำ ข้าจึงลงมือทำอาหารว่างด้วยตนเองโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตท่านซังกุงก่อนเจ้าค่ะ”
“โกหก เจ้าโกหก!”
“ใต้เท้า ท่านหมอหลวงฮอยังไม่ส่งผลการตรวจมาเลย ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนตัดสินความจะดีกว่า” องค์ชายจองวอนแย้งขึ้นมา
“คนร้ายต้องถูกลงทัณฑ์นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องทำให้นางเปิดปากพูดให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” บย็องโจพันซอยังคงไม่ยอม สีหน้าขององค์ชายจองวอนจึงเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
“บิดขานางเดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่คำสั่งดังขึ้น ทหารชั้นผู้น้อยสองนายก็ถือไม้ที่ดูเหมือนชะแลงมาขนาบข้างฉัน
“ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษนะเจ้าคะ!”
ทหารนายหนึ่งเอาชะแลงไม้มาใส่ลงตรงระหว่างขาของฉัน ส่วนทหารอีกนายก็เอาก้อนหินที่ใหญ่และแบนมาวางบนหัวเข่าของฉัน และขณะที่ทหารกำลังจะงัดชะแลงนั้น
“ช้าก่อน!”
เสียงตะโกนดังขึ้น หัวใจของฉันที่แทบจะหยุดเต้นไปแล้วกลับมาเต้นได้อีกครั้ง หมอฮอจุนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา องค์ชายจองวอนจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ท่านหมอฮอ ตอนนี้ท่านควรอยู่ดูแลเสด็จพ่อไม่ใช่รึ”
หมอฮอจุนทำความเคารพองค์ชายจองวอนก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่ยาพิษ! นั่นไม่ใช่ยาพิษพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ยาพิษอย่างนั้นรึ เป็นเรื่องจริงรึ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชายจองวอน”
“ถ้าไม่ใช่ยาพิษ แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ทรงอาเจียนออกมาเป็นพระโลหิตได้เล่า!” บย็องโจพันซอตะโกนถามอย่างใส่อารมณ์
“การที่ทรงอาเจียนออกมาเป็นพระโลหิตนั้นเกี่ยวพันกับการพระกาสะทั้งคืนขอรับ ปกติฝ่าบาทพระกาสะทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศหนาวเหน็บ แต่เมื่อคืนทรงเสวยอาหารที่มีธาตุเย็นเข้าไปจึงทำให้พระกาสะรุนแรงกว่าเดิม มิหนำซ้ำนางในของตำหนักยังลืมจุดไฟเพื่อคลายความหนาว ดังนั้นอาการที่แฝงอยู่ในพระวรกายจึงกำเริบขึ้นมาขอรับ โชคดีที่ตอนนี้พระองค์เสวยพระโอสถไปแล้วจึงทำให้พระอาการดีขึ้นขอรับ”
หมอฮอจุนอธิบายให้บย็องโจพันซอฟัง
“แสดงว่า…เสด็จพ่อทรงปลอดภัยดีใช่หรือไม่” องค์ชายจองวอนถามหมอฮอจุนเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่คำยืนยันออกมาจากปากหมอฮอจุน ฉันก็ถึงกับน้ำตาร่วง ฉันไม่มีความผิด พระเจ้าซอนโจอายุมากแล้วจึงไอเป็นเรื่องปกติ และยิ่งได้รับอาหารธาตุเย็นเข้าไป บวกกับพักอยู่ในห้องที่ไม่จุดไฟให้ความอบอุ่น จึงทำให้อาการไอรุนแรงขึ้น ผลก็คือทำให้ไอออกมาเป็นเลือด
“แต่ถึงอย่างไรคนร้ายก็ทำอาหารธาตุเย็นให้เสวย…”
“ใต้เท้าขอรับ ฝ่าบาทเรียกใต้เท้าให้ไปเข้าเฝ้าขอรับ”
พอได้ฟังดังนั้น บย็องโจพันซอก็หยุดพูดแล้วรีบออกไปจากศาลไต่สวนพิเศษทันที ทหารสองนายก็รีบเอาชะแลงไม้และหินออกจากตัวฉัน
“พระสนมอินบินก็เรียกหาองค์ชายจองวอนเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หมอฮอจุนหันไปพูดกับองค์ชายจองวอน
“ข้ารู้แล้ว” องค์ชายจองวอนตอบสั้นๆ แล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างฉัน จากนั้นก็ไล่ขุนนางและทหารที่อยู่แถวนั้นออกไปให้หมด
ตอนนี้ในศาลไต่สวนพิเศษจึงเหลือเพียงแค่องค์ชายจองวอนกับฉันที่ถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ องค์ชายจองวอนมองฉันด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย ก่อนจะย่อตัวลงแล้วคลายเชือกที่มัดฉันออก แม้ไม่มีสิ่งใดพันธนาการร่างกายของฉันแล้วแต่องค์ชายจองวอนก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น เขาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง
“องค์ชายจองวอนเพคะ…” ฉันเรียกเขาเบาๆ
“เป็นเพราะข้า…”
“…”
“ข้าขอร้องท่านแม่ให้ส่งเจ้าไปที่ห้องเครื่อง ดังนั้นข้า…”
เขาคิดว่าที่ฉันโดนทรมานแบบนี้ทั้งหมดเป็นเพราะเขา แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันได้อยู่ในวังนี้ มันจะเป็นความผิดของเขาได้ยังไงกัน
“ไม่เลยเพคะ ไม่ใช่เพราะองค์ชายเลย หม่อมฉันแค่โชคร้ายเท่านั้นเอง หม่อมฉันคงไม่เหมาะกับการช่วยเหลือคนอื่น เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือมีนางในสองคนมาขอร้องหม่อมฉันเมื่อคืนวานว่าให้ช่วยทำอาหารว่างมื้อค่ำให้พระสนมอินบิน หม่อมฉันก็เลยยอมช่วย เรื่องมันจึงเกิดขึ้นเพคะ”
“คยองมิน…” องค์ชายจองวอนเงยหน้าขึ้นมองฉัน
“แต่ตอนนี้หม่อมฉันพ้นมลทินแล้วเพคะ ดังนั้นองค์ชายไม่ต้องขอโทษหม่อมฉันนะเพคะ”
ยิ่งองค์ชายจองวอนขอโทษฉัน หัวใจของฉันก็ยิ่งหม่นหมอง บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันรู้ว่าใจของเขาคิดอย่างไรกับฉัน แต่ฉันไม่สามารถรับหัวใจนั้นของเขามาได้
บทที่ 6
หลังเหตุการณ์ ‘ไอเป็นเลือด’ ของพระเจ้าซอนโจ ฉันก็ถูกไล่ออกจากห้องเครื่อง โดยยังไม่ได้ถูกกำหนดว่าจะให้ไปทำงานที่ไหน แต่ที่พักของฉันยังคงเป็นที่เดิม
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังการไต่สวน พระสนมอินบินเรียกฉันเข้าไปพบ
“การที่ข้าส่งเจ้าไปที่ห้องเครื่องนั้นทุกอย่างล้วนมีเหตุผล”
ฉันพยายามนั่งก้มหน้านิ่งให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่มีอะไรไปขัดใจ ‘แม่มดอินบิน’
“โชคดีจริงๆ ที่ฝ่าบาททรงมอบเรื่องเมื่อวานให้เป็นหน้าที่ของข้า และข้าก็จัดการได้เป็นอย่างดี หากเจ้าพูดอะไรผิดไปแม้แต่น้อยที่ศาลพิเศษนั่น ไม่เพียงแต่เจ้าที่จะเจ็บตัว แม้แต่องค์ชายจองวอนก็จะเจ็บตัวไปด้วย”
ฉันไม่เข้าใจคำพูดของนางเลย ฉันได้เข้าไปทำงานในห้องเครื่องก็เพราะนาง ถ้าฉันเข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์วางยาพิษ คนที่จะต้องปวดหัวกับเรื่องนี้ก็คือนาง แต่มันเกี่ยวอะไรกับองค์ชายจองวอนที่จะต้องบาดเจ็บตามไปด้วยล่ะ ความสงสัยทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมา แต่พอสบตานาง ฉันก็รีบก้มหน้าลงเหมือนเดิม
“องค์ชายจองวอนยืนกรานต่อหน้าฝ่าบาทว่าจะสอบสวนและคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทั้งแม่ทั้งลูกต่างก็บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พวกเราสองคนแม่ลูกจึงกลายเป็นเหยื่อชั้นดีให้ราชสำนักใส่ร้ายป้ายสี”
พระสนมอินบินผู้เป็นแม่กับองค์ชายจองวอนผู้เป็นลูกชายออกหน้าแก้ไขเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง หลายคนอาจคิดว่าพระสนมอินบินสั่งให้ฉันวางยาฝ่าบาท องค์ชายจองวอนจึงต้องออกหน้าเพื่อปกปิดความผิดของแม่ ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจคำพูดของพระสนมอินบินแล้ว
“เงยหน้าขึ้นมาสิ”
ฉันรีบเงยหน้าขึ้นทันที แต่สายตาก็ยังจ้องมองพื้นอยู่เหมือนเดิม ฉันไม่ชอบสบตากับนาง เพราะมันทำให้ฉันขนลุกโดยไม่รู้ตัว องค์ชายจองวอนเป็นคนดีและใจดี แต่นางซึ่งเป็นแม่ของเขาต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง ฉันชักจะสงสัยความสนิทสนมระหว่างสองแม่ลูกคู่นี้เสียแล้ว
“ข้านึกว่าเจ้าจะมีสีหน้าที่แย่มาก แต่สีหน้าของเจ้าในตอนนี้ยังดูดีนะ” นางมองฉันแล้วยิ้มเยาะ
“ข้ายังไม่ได้ใส่ชื่อของเจ้าเข้าไปในรายชื่อนางใน เพราะข้าคิดอยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง เจ้าคงทำงานในห้องเครื่องไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่อย่างไรเสียข้าก็จะให้เจ้ามีสิทธิ์ได้เลือก”
ฉันเหลือบตาขึ้นมาสบตานางแวบหนึ่ง
“องค์ชายจองวอน ลูกชายของข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า ดูท่าเขาจะถูกใจเจ้าจริงๆ ที่ผ่านมาข้ายังไม่กล้าทำตามความต้องการของเขามากเพราะยังเกรงใจลูกสะใภ้อยู่ จึงยังไม่เอาชื่อของเจ้าไปใส่ไว้ในรายชื่อของนางใน แต่เรื่องเมื่อวานทำให้ข้าไม่ต้องลำบากใจอีกต่อไป เจ้าชื่อคยองมินใช่หรือไม่”
“เพคะพระสนม”
“ข้าจะให้เจ้าเป็นสนมของลูกชายข้า เจ้าจะว่าอย่างไร”
ฉันตกใจมาก นางเองก็แปลกใจที่ฉันมีท่าทีแบบนี้
“เจ้าจะต้องอยู่ในวังและกลายเป็นสตรีที่มือของชายอื่นก็ไม่อาจสัมผัสได้ไปจนตาย เจ้าว่าดีหรือไม่”
“คือ…”
“เจ้าไม่ชอบรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจเป็นสนมขององค์ชายจองวอนหรอกเพคะ”
“นึกไม่ถึงเลยนะว่าสตรีอย่างเจ้าจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ เจ้าปฏิเสธด้วยมารยาท แต่ใจของเจ้าตกลงใช่หรือไม่”
“หม่อมฉัน…”
“หากเจ้าไม่ต้องการจริงๆ ข้าก็จะเอาชื่อของเจ้าไปไว้ในรายชื่อของนางใน และจะทำให้เจ้าอยู่ในวังนี้ในฐานะนางในอย่างเป็นทางการ และหากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่สามารถออกจากวังนี้ได้เลยจนกระทั่งตาย เจ้ายินยอมที่จะเป็นเช่นนั้นรึ”
แม้จะไม่สามารถออกจากวังนี้ได้จนกระทั่งตาย แต่เพื่อให้ได้เจอกับพ่อและเพื่อให้ได้เจอกับองค์ชายควังแฮอีกแค่ครั้งเดียว ฉันจะยอมอยู่ในวังนี้ และยิ่งไปกว่านั้นฉันนึกไม่ออกเลยว่าฉันจะใช้ชีวิตอยู่นอกวังในสมัยโชซอนนี้ได้ยังไง หลังจากฉันไตร่ตรองดีแล้ว ฉันจึงตอบออกไปอย่างฉะฉาน
“เพคะ หม่อมฉันอยากเป็นนางในเพคะ หม่อมฉันอยากเป็นนางในและอยู่ในวังนี้เพคะ พระสนม”
ทันใดนั้นพระสนมอินบินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
“ดีเลย จองซังกุงอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“เพคะพระสนม”
ซังกุงวัยกลางคนที่อยู่ด้านนอกรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“จากนี้ไปนางผู้นี้จะเป็นนางในที่ตำหนักของข้า ช่วยแจ้งแก่ซังกุงปกครองด้วยว่านางผู้นี้มาจากบ้านของพี่ชายข้า ให้นำชื่อของนางใส่ไปในรายชื่อนางในด้วย”
“เพคะพระสนม”
“แต่ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนางอีก ส่งนางไปทำงานในที่ที่ข้าไม่ต้องพบเห็นนางอีก”
“เพคะพระสนม”
พอพูดจบ พระสนมอินบินก็เบือนหน้าหนี จองซังกุงจึงส่งสัญญาณด้วยสายตาให้ฉันตามออกไป ฉันทำความเคารพก่อนจะเดินตามจองซองกุงออกจากตำหนัก
ทันทีที่ออกมาด้านนอก จองซังกุงก็มองฉันด้วยหางตา
“เจ้าเป็นนางในห้องเครื่องรึ”
“เจ้าค่ะท่านซังกุง”
“เจ้าคือคนที่มีเรื่องมีราวเมื่อวานใช่หรือไม่”
ฉันไม่ตอบคำถามนี้ เพราะสายตาของนางบ่งบอกว่ารู้เรื่องดีอยู่แล้ว
“ดีล่ะ พระสนมเองก็บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปเจ้าไปทำงานที่ทเวซอนคันของตำหนักแห่งนี้แล้วกัน”
ทเวซอนคันเป็นที่ที่อยู่ตรงกลางของกระบวนการการนำอาหารเข้าและออก ที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งในตำหนักเท่านั้น จะพูดว่าเป็นห้องครัวขนาดเล็กสำหรับเตรียมสำรับก็ได้ อาหารที่ทำจากห้องเครื่องจะต้องมาพักที่นี่ก่อนที่จะถูกลำเลียงไปถวายให้เจ้านาย หากอาหารเย็นชืดลงเมื่อตอนที่มาถึงที่นี่ก็จะต้องอุ่นให้ร้อน ดังนั้นที่นี่จึงมีเตาและฟืนมากมาย ซึ่งสถานที่ที่ฉันเห็นองค์ชายควังแฮเป็นครั้งแรกหลังจากมาโชซอนก็คือที่ทเวซอนคันของตำหนักพระมเหสีนี่แหละ
ถ้าฉันต้องทำงานที่ทเวซอนคันก็เท่ากับว่าฉันต้องติดแหง็กอยู่กับช่องใส่ฟืนทั้งวัน แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะฉันก็ไม่ได้อยากทำงานที่ต้องเผชิญหน้ากับ ‘แม่มดอินบิน’ เหมือนกัน
หิมะแรกตกในเดือนสิบเอ็ดของปีนั้น ระหว่างที่นางในกำลังวิ่งวุ่นวายเพราะหิมะแรกที่ตกลงมาโดยไม่รู้ตัวนั้น ฉันก็เฝ้าทเวซอนคันซึ่งเป็นที่ทำงานของฉันอยู่ ที่ทเวซอนคันมีช่องใส่ฟืนที่ต้องจุดไฟเอาไว้อยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ที่แห่งนี้ก็อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา
พวกนางในของตำหนักพระสนมอินบินรู้ดีว่าฉันถูกพระสนมอินบินเพ่งเล็งอยู่ ดังนั้นพวกนางในจึงหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ฉัน ทั้งที่รู้ว่าที่นี่อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่พวกนางก็ยังไม่อยากจะเข้ามาหลบหนาวที่นี่เลย เพราะอย่างนั้นฉันจึงค่อนข้างเบื่อและเหงาอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีที่มียองหมั่นแวะมาหาฉันอยู่เสมอ
“พี่สาว!”
ที่นี่อยู่ลับตาคน มียองจึงเข้าออกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“ว่างแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ ยังไม่ถึงเวลาสำรับเที่ยงของพระสนมน่ะ ในเวลาแบบนี้พระสนมชอบชากับขนมมากกว่าข้าว ตอนนี้จึงยังไม่มีงานให้ข้าทำ แล้วเจ้าไม่มีงานต้องทำรึ”
“วันนี้องค์ชายอิมแฮออกไปล่าสัตว์เจ้าค่ะ ข้าก็เลยมาที่นี่ได้”
“ล่าสัตว์รึ”
“เจ้าค่ะ ว่ากันว่าถ้าออกไปล่าสัตว์ในวันแรกที่หิมะของปีตก ก็จะจับกวางตัวเมียตัวใหญ่ได้เจ้าค่ะ”
“แต่การไว้ทุกข์ให้พระมเหสียังไม่เสร็จสิ้นนี่”
“แหม องค์ชายอิมแฮใส่ใจเรื่องแบบนั้นเสียที่ไหนล่ะเจ้าคะ แล้วข้าก็เอานี่มาให้พี่สาวด้วย…”
สิ่งที่มียองยื่นให้อย่างระแวดระวังก็คือไข่ไก่
“ไข่รึ” ฉันรับไข่ไก่มาด้วยความดีใจ
“ไข่ต้มแล้ว ข้าได้มาฟองเดียวเจ้าค่ะ เลยเอามาให้พี่สาว”
“แล้วเจ้าไม่กินรึ”
“ข้าน่ะมีโอกาสได้ไข่ไก่บ่อยไปเจ้าค่ะ”
“นี่เป็นข้อดีที่เจ้าได้อยู่สังกัดตำหนักขององค์ชายอิมแฮสินะ”
“เจ้าค่ะ ที่ตำหนักนั้นมีอาหารมากมายเลยเจ้าค่ะ นี่เป็นความลับนะเจ้าคะ องค์ชายอิมแฮมักแอบไปเอาอาหารจากซาแจคัม บ่อยมากเลยเจ้าค่ะ พวกนางในที่ตำหนักก็เลยอิ่มหมีพีมันตามไปด้วย”
“ถ้าโดนจับได้จะไม่เกิดเรื่องใหญ่รึ”
“เห็นท่านซังกุงบอกว่าฝ่าบาทก็ทราบเรื่องทั้งหมด แต่ปกติองค์ชายอิมแฮก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฝ่าบาทคงจะทำเป็นไม่รู้เรื่องน่ะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึ” ฉันปอกเปลือกไข่ออกแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้าจะทำอะไรน่ามหัศจรรย์ให้เจ้าดูดีไหม”
“มหัศจรรย์หรือเจ้าคะ”
“ใช่ รอประเดี๋ยวนะ”
หลังจากที่ปอกเปลือกไข่ออกจนหมด ฉันก็ใช้ตะเกียบ เศษด้าย และเปลือกไผ่บางๆ ในทเวซอนคันมาทำเป็นโครง และเอาไข่ที่ปอกเปลือกไว้แล้วใส่ไว้ด้านในเพื่อให้ไข่ต้มเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจ แน่นอนว่ามียองไม่รู้ความหมายของรูปหัวใจหรอก
“ทำอะไรเจ้าคะ”
“รออีกประเดี๋ยวนะ ต้องใช้เวลาหน่อย”
แล้วตอนนั้นเอง ประตูทเวซอนคันก็ถูกเปิดออกพร้อมกับจองซังกุงที่เดินเข้ามา
“ตายจริง เจ้าเป็นใคร”
“ข้าน้อยเป็นนางในของตำหนักองค์ชายอิมแฮเจ้าค่ะ”
“เหตุใดนางในตำหนักองค์ชายอิมแฮจึงมาอยู่ตรงนี้ได้”
มียองทำท่าทางเลิ่กลั่ก ฉันจึงออกตัวแทน “สหายของข้าเองเจ้าค่ะ”
“สหายเจ้ารึ”
พอได้ยินคำว่า ‘สหาย’ จองซังกุงก็พยักหน้าโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม
“พวกเจ้าคิดว่าทเวซอนคันของตำหนักนี้เป็นที่เล่นของพวกนางในรึไงกัน ออกไปได้แล้ว”
“เอ่อ เจ้าค่ะ ท่านซังกุง”
ทันทีที่มียองออกไปแล้ว จองซังกุงก็ปรายตามาทางฉัน
“เจ้ามัวแต่ชักช้าอะไรอยู่ สำรับมาจากห้องเครื่องแล้วมิใช่รึ”
“จองซังกุงเจ้าคะ ส่วนใหญ่เวลานี้พระสนมอินบินจะรับชาและขนมที่มาจากแซงควาบังเจ้าค่ะ”
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเถียง แต่เพราะพระสนมอินบินทำอย่างนี้จนเป็นกิจวัตรประจำวันจริงๆ
“แล้วอย่างไร หมายความว่าเจ้าไม่มีงานต้องทำรึ”
การตอบโต้อย่างเย็นชาย้อนกลับมาหาฉันอย่างรวดเร็ว “ขออภัยเจ้าค่ะ”
“เตรียมตัวเร็วเข้า วันนี้องค์ชายจองวอนจะมาเสวยด้วย” พอพูดจบ จองซังกุงก็ออกไป
องค์ชายจองวอนมางั้นเหรอ ทเวซอนคันเป็นสถานที่ที่อยู่ในมุมหนึ่งเงียบๆ ของตำหนัก จึงแทบไม่รู้ข่าวเลยว่าใครจะไปจะมา
ฉันมาอยู่ที่ทเวซอนคันได้เดือนหนึ่งแล้ว แต่ไม่เคยได้พบองค์ชายจองวอนเลย แน่นอนว่าองค์ชายจองวอนจะต้องมาที่นี่บ่อยๆ เพราะที่นี่คือตำหนักของแม่ของเขา เขาจะรู้หรือเปล่านะว่าฉันทำงานอยู่ที่นี่ ฉันคิดว่าอย่างน้อยเขาน่าจะมาเยี่ยมฉันที่ที่พักของฉันสักครั้งก็ยังดี แต่เขากลับไม่มาเลย เป็นไปได้ยังไงกัน หรือพระสนมอินบินจะบอกเขาไปแล้วว่าฉันไม่ต้องการเป็นสนมของเขา
คิดไปคิดมา วันนี้องค์ชายจองวอนจะมากินข้าวกับพระสนมอินบิน ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องใส่ใจกับการทำงานเสียหน่อย ฉันรีบไปเติมฟืนทันที หากอาหารมาถึง อุณหภูมิของเตาจะได้พอดีเพื่ออุ่นอาหาร
ขณะกำลังเขี่ยไฟอยู่นั้น นางในของห้องเครื่องก็ยกอาหารเข้ามาสามสำรับ พอเห็นปริมาณอาหารที่มากมาย ฉันก็เอ่ยถาม
“วันนี้องค์ชายจองวอนมาเสวยกับพระสนม แต่เหตุใดจึงมีสำรับถึงสามสำรับล่ะ”
จงมาด้วยเหรอ ตอนนี้ฉันนึกออกแค่จงเท่านั้น ฉันไม่ได้พบจงมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ทั้งพระสนมอินบินและองค์ชายจองวอนคงไม่ยอมบอกความจริงกับจงว่าฉันอยู่ที่ทเวซอนคันของตำหนักนี้ จงคงจะลืมฉันไปแล้ว แม้จะเสียใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าความจำของเด็กนั้นสั้นนัก ฉันเองยังจำเรื่องสมัยที่อยู่กับจงไม่ค่อยชัดเจนเลย แล้วจงเป็นเด็กตัวเล็กแค่นั้น จะไปจำได้ยังไง แต่ถ้าจงมาฉันก็อยากจะไปแอบดูเหมือนกัน จงคงโตขึ้นมาก ฉันคิดถึงจงจัง
“เจ้ายังไม่รู้อีกรึ”
“คนที่วันๆ เอาแต่จับเจ่าอยู่แต่ในทเวซอนคันจะไปรู้อะไรกัน”
“วันนี้องค์ชายรัชทายาทเสด็จมาด้วย”
สงสัยฉันจะหูฝาดไป องค์ชายควังแฮยังไม่กลับมาสักหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะมาที่ตำหนักของพระสนมอินบิน
“องค์ชายรัชทายาทรึ”
“ใช่ แต่องค์ชายรัชทายาทไม่เคยดื่มน้ำสักอึกที่ตำหนักพระสนมอินบินเลยนะ”
“คงคิดว่าในน้ำจะมียาพิษกระมัง”
พวกนางในห้องเครื่องพากันหัวเราะคิกคัก
“ปกติแล้วพระสนมอินบินรับอาหารอย่างกับแมวดม”
“องค์ชายจองวอนก็เสวยน้อยมาก ยิ่งองค์ชายรัชทายาทมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย อาหารคงเหลือมากมายสินะ”
อาหารที่เหลือจากสำรับของเจ้านายนั้นจะเป็นของนางในห้องเครื่องทั้งหมด หากพระสนมอินบิน องค์ชายจองวอน และองค์ชายควังแฮนั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน มันคงไม่ใช่การร่วมโต๊ะอาหารที่ครื้นเครงอย่างแน่นอน คงไม่มีใครแตะต้องอาหาร แล้วอาหารก็จะเหลือ ซึ่งการที่อาหารถูกเตรียมเอาไว้มากมายก็เพื่อให้ครบสำรับพอเป็นพิธีเท่านั้น
“เจ้าอย่าคิดที่จะเอาอาหารเหลือไปแอบกินคนเดียวเชียวนะ”
“พวกข้าไม่ได้เตรียมอาหารอย่างเอาใจใส่มาครึ่งค่อนวันเพื่อมาให้นางในแห่งทเวซอนคันอย่างเจ้าชุบมือเปิบหรอกนะ”
พอพูดจบ พวกนางในห้องเครื่องก็ออกไปรอข้างนอก แล้วจองซังกุงก็เดินเข้ามา
“เจ้าจ้องสำรับตาไม่กะพริบเชียวนะ หรือคิดจะใส่ยาพิษอีก”
ป้าคนนี้จับผิดฉันยิ่งกว่ายูซังกุงเสียอีก ชอบพูดถึงเรื่องยาพิษอยู่เรื่อย ฉันอยากจะพูดจาตอกกลับไปใจจะขาด แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ฉันต้องถูกไล่ออกจากวังแน่ๆ
พอจองซังกุงออกไป ฉันก็จ้องมองไปที่สำรับที่กำลังถูกอุ่นให้ร้อน
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่องค์ชายควังแฮจะต้องมากินข้าวกับพระสนมอินบินผู้เป็นปฏิปักษ์กับตัวเอง แต่ไม่ว่าเขาจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ฉันที่ต้องจับเจ่าอยู่แต่ในทเวซอนคันทั้งวันคงไม่มีโอกาสออกไปเจอกับเขาแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องในตอนนั้นที่ฉันเจอกับเขา สำหรับเขามันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี การนำเรื่องเมื่อสิบปีก่อนมาพูดเพื่อให้ตัวเองได้รับการช่วยเหลือคงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรพูดในครั้งแรกที่เจอกัน
ฉันถอดใจแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ตอนนั้นเองไข่ต้มที่มียองเอามาให้เตะตาฉัน ตอนนี้รูปร่างของไข่ต้มกลายเป็นรูปหัวใจแล้ว มันทำให้ฉันนึกถึงวันนั้นที่ได้เจอกับองค์ชายควังแฮครั้งแรก มันเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าเขายังจำวันแรกที่ได้เจอฉันแม้มันอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ฉันจึงตัดสินใจหยิบไข่ต้มฟองนั้นขึ้นมาทันที
“ว่าแล้ว”
สำรับถูกยกลงมาในสภาพที่แทบจะไม่มีใครแตะต้องเลย พวกนางในห้องเครื่องจึงมองอย่างพึงพอใจ แต่ฉันกลับรู้สึกแตกต่างออกไป เพราะไข่ต้มรูปหัวใจยังคงวางอยู่ที่เดิม ฉันไม่อยากให้ไข่ต้มฟองนี้เตะตาคนอื่นที่ไม่ใช่องค์ชายควังแฮ ฉันจึงวางไข่ต้มแทรกลงในอาหารอื่น แต่มันยังคงวางอยู่ที่เดิม เขาได้เห็นไข่ต้มรูปร่างประหลาดนี้หรือเปล่านะ หรือเขาไม่ได้ใส่ใจอาหารในสำรับนี้เลย
สำรับถูกยกเข้ามาไม่นาน พวกนางในห้องเครื่องก็ยกออกไป
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าไปก่อนนะ ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”
ทันทีที่พวกนางในห้องเครื่องยกสำรับออกไป ฉันก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองคาดหวัง ซึ่งตอนนี้ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ฉันถอนหายใจยาว แล้วมองไปที่ด้านนอกประตูที่เปิดอ้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หิมะแรกยังคงตกอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไป หิมะก็ยิ่งทับถมสูงขึ้น ตอนนี้ในใจของฉันถูกหิมะทับถมสูงเช่นกัน
ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวคงมีโอกาสอื่นมาอีก นึกแล้วก็ขำตัวเองที่คาดหวังอะไรกับไข่ต้มแค่ฟองเดียว สำหรับเขาก็เป็นเพียงแค่ไข่ต้มที่เคยกินเพียงครั้งเดียวเมื่อสิบปีก่อน
เย็นวันนั้น หลังสำรับเย็นของพระสนมอินบินเสร็จสิ้นลง ฉันก็ได้รู้ว่าการมายังตำหนักพระสนมอินบินขององค์ชายควังแฮนั้นเพราะพระสนมอินบินเป็นคนเชิญ หลังจากเสร็จสิ้นการไว้ทุกข์ให้กับพระนางอึยอินในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พระสนมอินบินก็ต้องเผชิญหน้ากับพระมเหสีองค์ใหม่ นางคงอยากสำรวจท่าทีขององค์ชายควังแฮซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทโดยใช้มื้ออาหารเป็นข้ออ้าง องค์ชายควังแฮเองก็คงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำเชิญของพระสนมผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในวังในตอนนี้ และนางก็ไม่เปิดโอกาสให้องค์ชายควังแฮปฏิเสธคำเชิญของตัวเองโดยการให้องค์ชายจองวอนเป็นคนพามาด้วยตัวเอง สุดท้ายองค์ชายควังแฮก็ต้องมาที่ตำหนักของนางอย่างเสียไม่ได้
หลังจากดับไฟที่ช่องใส่ฟืนในทเวซอนคันจนหมด ฉันก็กลับไปยังที่พักของตัวเอง แต่วันนี้ฉันรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงมากกว่าทุกวัน พอถามตัวเองว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่ ฉันก็ถึงกับหดหู่ใจขึ้นมา ฉันเองก็ไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเขาจำฉันไม่ได้
‘องค์ชายรัชทายาทลืมเจ้าไปแล้ว’
องค์ชายควังแฮคงลืมฉันไปแล้วตามที่องค์ชายจองวอนบอกจริงๆ
“เฮ้อ…”
ฉันถอนหายใจยาวกว่าปกติ ตอนนี้เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่างานในทเวซอนคันนั้นยากลำบาก ระหว่างนั้นฉันก็มองเห็นเงาของใครคนหนึ่งบริเวณต้นพลับที่อยู่ข้างๆ ที่พักของฉัน เขาสวมเสื้อคลุมยาวกับหมวกทรงสูงสีดำ ฉันคิดว่าเป็นองค์ชายจองวอนจึงเดินออกไปหา แต่แล้วฉันก็ถึงกับตกตะลึง เพราะเขาไม่ใช่องค์ชายจองวอน
องค์ชายควังแฮ…
ฉันคิดว่าเขาคงออกจากวังไปแล้วหลังอาหารมื้อกลางวัน แต่ตอนนี้เขากลับยืนอยู่ตรงนี้ ตรงที่พักของฉัน คนที่ฉันอยากเจอกำลังอยู่ตรงหน้าฉัน และยิ่งไปกว่านั้นเขาอยู่เพียงลำพัง โอกาสแบบนี้คือสิ่งที่ฉันคาดหวังไว้ตลอดช่วงเวลาสองปีที่อยู่ในวัง
ฉันยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี จะเดินเข้าไปหาโดยที่ไม่เอ่ยทัก หรือจะเอ่ยทักทายก่อนแล้วค่อยเดินไปหา แต่แล้วเสียงเดินของฉันก็ทำให้เขาหันมามอง
แสงจากคบไฟสาดส่องจนบริเวณนี้สว่างไสว ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปทีละก้าว แต่สีหน้าของเขาดูเรียบเฉยมาก เขาอาจจะจำฉันไม่ได้ทั้งเสื้อผ้า ทั้งผมเผ้า สภาพของฉันในตอนนี้เป็นเพียงแค่นางในธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่คิดอย่างนั้น ฉันจึงลำบากใจ ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาก่อนดี เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ฉันต้องก้มทำความเคารพเขาหรือเปล่า หรือฉันควรจะพูดจาแบบเดิมเหมือนตอนที่เจอกับเขาครั้งแรก
แต่แล้วฉันก็รู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะกังวลใจ เพราะยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา เขารู้ว่าฉันคือใคร เขาจำฉันได้!
สำหรับเขา เวลาผ่านไปสิบปี
สำหรับฉัน เวลาผ่านไปเพียงแค่สองปีเท่านั้น
เขาก้าวข้ามช่วงเวลาอันยาวนานนั้นโดยที่ยังจำฉันได้ รอยยิ้มนั้นกำลังบ่งบอกว่าดีใจที่ได้เจอฉัน และเมื่อยืนเผชิญหน้ากัน เราทั้งสองก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
คำพูดขององค์ชายจองวอนไม่ใช่ความจริง องค์ชายควังแฮยังจำฉันได้
พอเขาหยุดหัวเราะ ฉันก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเขา มือข้างนี้ที่ฉันเคยยื่นไปทักทายเป็นครั้งสุดท้ายในปี 2013 ซึ่งเป็นอนาคตอันไกลโพ้นหากนับจากตอนนี้
“จำได้ไหม”
เขาทอดสายตามองมือของฉันก่อนจะยื่นมือออกมาจับมือเหมือนในตอนนั้น แล้วฉันก็ขยับมือที่ประสานกันขึ้นลงไปมา
“นาย เอ้ย! เจ้าเคยถามข้าว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
แม้ฉันจะเคยพูดจาแบบคนในโลกอนาคตกับเขาเมื่อสองปีก่อน แต่นี่คือยุคโชซอน ฉันจึงต้องใช้คำพูดในแบบที่คนยุคนี้พูดกัน
“ใช่” เขาเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก
“นี่คือการทักทายกันในที่ที่ข้าเคยอยู่ เป็นการทักทายกันทั้งตอนพบกันและตอนจากกัน”
“ตอนพบกันและตอนจากลารึ ถ้าเช่นนั้นการทักทายที่เราทำกันอยู่ในตอนนี้มีความหมายว่าอย่างไรล่ะ”
ฉันยิ้มกว้างก่อนจะตอบออกไป “เป็นการทักทายที่ได้พบกันอีกครั้ง และยินดีที่ได้พบกัน”
“คยองมิน…”
น้ำเสียงของเขาฟังดูภูมิฐานมากขึ้น ต่างจากเมื่อสิบปีก่อน แต่เขาที่ยืนอยู่ต่อหน้าฉันยังคงเป็นเขาที่ฉันได้เจอตอนที่เราอายุเท่ากัน ตอนที่เราอายุสิบแปดปี
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง องค์ชายรัชทายาท”
วันที่หิมะแรกตกในฤดูหนาว ปี 1601 ฉันได้พบกับองค์ชายควังแฮอีกครั้ง
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง องค์ชายรัชทายาท”
มือของเขาที่ฉันจับอยู่ในตอนนี้ช่างใหญ่โตและแข็งแรงกว่ามือของเขาที่ฉันเคยจับครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน เมื่อฉันมองด้วยความสงสัยว่าเขารู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนทำไข่ต้มนั้น เขาก็ตอบออกมาเองราวกับอ่านใจของฉันออก
“คนที่สามารถทำไข่ต้มรูปร่างหายากเช่นนั้นมีแค่เจ้าเพียงผู้เดียว”
“เห็นไข่ต้มก็เลยรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่เช่นนั้นรึ”
“ตอนแรกข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ ข้าจึงให้ขันทีของข้าไปสืบดูที่ห้องเครื่องว่าใครเป็นคนที่ทำไข่ต้มนี้”
“แล้วอย่างไรต่อ”
ฉันไม่ใช่นางในของห้องเครื่อง แต่เป็นนางในของทเวซอนคันต่างหาก
“ไม่พบตัวคนทำ แต่ซังกุงสูงสุดของห้องเครื่องได้เล่าให้ขันทีฟังว่าช่วงที่ผ่านมามีนางในคนหนึ่งได้สร้างเรื่องประหลาดเอาไว้ และนางในผู้นั้นมีชื่อว่าคยองมิน”
คังซังกุงแห่งห้องเครื่องอาจคิดว่าที่องค์ชายควังแฮส่งขันทีไปตามหาฉันที่ห้องเครื่องเป็นเพราะเรื่องที่พระเจ้าซอนโจไอออกมาเป็นเลือดก็ได้
“แล้วอย่างไรอีก”
“ข้าจึงแวะมาหาเจ้าที่นี่”
“แล้วเจ้าไม่ต้องกลับไปอยู่นอกวังหรือ”
“ต้องไปสิ” องค์ชายควังแฮพูดพร้อมยิ้มอย่างมั่นใจ “สิบปีแล้วนะ”
“ถ้าจะให้พูดกันตามตรงก็เก้าปี แต่ความจริง…ข้าเข้ามาอยู่ในวังนี้ได้สองปีแล้ว”
“สองปีรึ เจ้าเข้ามาอยู่ในวังนี้ได้สองปีแล้วรึ”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม ฉันจึงรู้สึกผิดที่มาอยู่ในวังนี้ได้เกือบสองปีแล้ว แต่ไม่ยอมปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า ไม่มาพบข้า” น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความเสียใจเล็กน้อย
“คือว่า…”
“เจ้าเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อใด และเริ่มเป็นนางในเมื่อใด”
คำถามของเขาพรั่งพรูออกมา
“ค่อยๆ ถามทีละคำถามสิ ใจเย็นนะ”
“ใจเย็นรึ เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไรกัน ทั้งที่เจ้าอยู่ใกล้กับข้ามากขนาดนี้ แต่ข้าไม่รู้เลย”
“เพราะข้าตั้งใจจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าต่างหาก”
“ตั้งใจรึ”
“เพราะเจ้าเป็นองค์รัชทายาท ส่วนข้าเป็นนางใน เจ้าก็รู้ว่าสถานะขององค์ชายรัชทายาทกับนางในนั้นแตกต่างกันมาก หากข้าที่เป็นแค่นางในปรากฏตัวแล้วบอกว่ารู้จักเจ้า เจ้าอาจจะจำข้าไม่ได้ หรือคนในวังอาจจะคิดว่าข้าโอหังที่ตีตัวเสมอ เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดไหม”
เขานิ่งเงียบไปราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“แต่ก็ขอบใจนะที่เจ้ายังไม่ลืมข้า ทั้งที่ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว”
“ข้าไม่เคยลืมเจ้าแม้สักวันเดียว ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหายตัวไปต่อหน้าข้าราวกับสายลม”
“ยังจำวันนั้นได้อยู่หรือ แต่ต่อไปจะไม่มีการหายตัวไปอย่างนั้นอีกแล้ว เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว”
เขาขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปหรือส่วนสูงของเขาที่สูงขึ้น บรรยากาศตอนนี้จึงดูเคอะเขิน ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาคือองค์ชายรัชทายาทควังแฮ แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้นเขากลับปฏิบัติตัวกับฉันราวกับเป็นเพื่อนที่เพิ่งจากกันเมื่อวาน แต่ฉันจะสามารถพูดจาสบายๆ แบบนี้กับเขาที่เป็นรัชทายาทไปจนถึงเมื่อไหร่กัน
“เจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้าสินะ เหมือนเจ้าจะไม่เชื่อที่ข้าเคยบอกว่าข้าจะไม่ลืมเจ้า”
“ไม่ใช่ ข้าเชื่อ แต่เรื่องมันนานมากแล้ว บางครั้งข้าจึงแอบสงสัยว่าเจ้าจะลืมหรือไม่ แต่พอได้เจอกันแบบนี้ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าจำข้าได้”
“เจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า”
คำที่เขาเน้นเป็นครั้งที่สองมันก็ไม่ต่างไปจากความจริงเลย ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาฉันคิดว่าเขาลืมฉันไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงเลี่ยงที่จะเจอเขาโดยตรง
“ข้ามีที่ที่อยากให้เจ้าไปกับข้า”
“ที่ใดรึ”
เขาดึงมือของฉันเพื่อที่จะพาไปที่ไหนสักแห่ง แล้วตอนนั้นเองเขาก็ปล่อยมือออก ฉันจึงมองตามสายตาของเขาไป องค์ชายจองวอนกำลังยืนจ้องมองเราสองคนอยู่
“บู” องค์ชายควังแฮเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งขององค์ชายจองวอน
“องค์รัชทายาทมาทำอะไรที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”
“กระหม่อมเจอขันทีชเว เขาบอกว่าองค์รัชทายาทมาที่นี่ เหตุใดถึงยังอยู่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายควังแฮตอบคำถามขององค์ชายจองวอนด้วยน้ำเสียงสดใส “บู ข้าหานางเจอแล้ว ข้าเจอนางแล้ว”
‘นาง’ ที่องค์ชายควังแฮพูดถึงคือฉันแน่นอน แต่สีหน้าขององค์ชายจองวอนกลับมืดมนลง
“เจ้าเคยบอกข้าว่าข้าคงไม่สามารถเจอนางได้อีก และเจ้ายังบอกอีกว่าข้าอาจจะเกิดภาพหลอนจากสงคราม แต่เจ้าดูนี่สิ ข้าเจอนางแล้ว”
ขณะที่องค์ชายควังแฮพูดออกมาอย่างภูมิใจ แต่สีหน้าขององค์ชายจองวอนนั้นไม่ได้แจ่มใสเอาเสียเลย ฉันมองใบหน้าขององค์ชายจองวอนแล้วได้แต่สงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมองค์ชายจองวอนถึงบอกกับองค์ชายควังแฮว่าเขาจะไม่สามารถหาฉันพบ
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายจองวอนมองมาที่ฉัน
“ข้ารับคำแสดงความยินดีจากเจ้า และข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าด้วย”
คำพูดขององค์ชายควังแฮทำให้องค์ชายจองวอนละสายตาจากฉัน แล้วหันไปมององค์ชายควังแฮอีกครั้ง
“นางเป็นนางในของทเวซอนคันแห่งตำหนักพระสนมอินบิน แต่วันนี้ข้าจะพานางออกไปนอกวังหนึ่งวัน ยามเย็นของวันพรุ่งข้าจะพานางกลับมาส่งที่ประตูฝั่งตะวันตก ขอให้เจ้าส่งนายทหารมารอรับนางเพื่อมาส่งที่ที่พักของนางด้วย”
พอพูดจบ องค์ชายควังแฮก็ดึงมือของฉันเพื่อที่จะพาเดินต่อ แต่องค์ชายจองวอนกลับเดินมาขวางทางเอาไว้
“องค์ชายรัชทายาทจะพานางไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาไว้ข้าเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ข้ารีบ”
แล้วองค์ชายควังแฮก็ดึงมือฉันเดินออกไปโดยไม่สนใจองค์ชายจองวอนอีก
สถานที่ที่องค์ชายควังแฮพาฉันมาก็คือประตูเล็กๆ หลังวัง ปกติบริเวณนี้จะมีทหารสองนายเฝ้ายามอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่คืนนี้กลับไม่มีใครอยู่เลย องค์ชายควังแฮเปิดประตูบานนั้นอย่างคุ้นเคย
ที่ด้านนอกประตูหลังมีขันทีใส่ชุดนอกเครื่องแบบคนหนึ่งยืนรออยู่ พอเขาทำความเคารพองค์ชายควังแฮแล้วจูงม้าหนึ่งตัวมาให้ องค์ชายควังแฮก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนม้าอย่างคล่องแคล่วก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ฉันจึงรู้ได้ทันทีว่าฉันจะต้องขึ้นไปนั่งบนม้าตัวนั้นด้วย
“ข้าขี่ม้าไม่เป็นหรอกนะ”
“ดังนั้นเจ้าจึงต้องไปกับข้าอย่างไรเล่า”
“จะไปที่ใด เดินไปไม่ได้หรือ”
ระหว่างนั้นเององค์ชายควังแฮก็ส่งสายตาให้ขันที ขันทีจึงเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราแล้วย่อตัวลง ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าขันทีย่อตัวลงทำไม แล้ววินาทีนั้นองค์ชายควังแฮก็จับข้อมือของฉันแล้วดึง ฉันจึงจำเป็นต้องเหยียบหลังขันทีอย่างไม่ตั้งใจ
“ว้าย!”
ร่างของฉันถูกยกขึ้นไปนั่งตรงด้านหน้าของเขาโดยที่ขาทั้งสองถูกรวบไปอยู่ข้างเดียวกัน เขามองสีหน้าที่ตกใจของฉันแล้วหัวเราะคิกคัก
“จับให้ดีล่ะ”
เขาเริ่มควบม้าออกไป ความเร็วถูกเร่งขึ้นเรื่อยๆ ดึกดื่นขนาดนี้ถนนยามค่ำคืนในเมืองหลวงไม่มีผู้คนผ่านไปมาเลยแม้แต่คนเดียว เขาจึงควบม้าด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีใครคอยห้ามปราม ฉันรู้สึกเหมือนจะตกลงมาอยู่ตลอดเวลา
“ขอร้องล่ะ! ช้าลงหน่อย!”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าให้เจ้าจับแน่นๆ”
พอเห็นว่าฉันกลัว เขาก็ยิ่งชอบใจ สุดท้ายฉันจึงต้องใช้สองแขนโอบกอดหน้าอกกว้างๆ ของเขาแน่น
เขาควบม้าขึ้นไปทางเหนือโดยหยุดแวะให้ม้าพักกินน้ำสองครั้ง รอบด้านมืดมิดไปหมดจนฉันไม่รู้เลยว่าเขากำลังพาฉันไปที่ไหน แล้วฉันก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะแสงแดดที่สาดส่อง ระหว่างนั้นม้ากำลังวิ่งขึ้นเนินช้าๆ
“เจ้าตื่นแล้วรึ”
เขามองฉันที่ขยี้ตาตื่นอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทั้งที่ขี่ม้าทั้งคืน แต่น่าแปลกใจที่เขาดูไม่เหนื่อยเลย แล้วตอนนั้นเองเขาก็หยุดม้า
“จากนี้ก็เดินไปได้แล้ว”
การหลับไม่สนิทและนั่งบนหลังม้าทั้งคืนทำให้ฉันรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย เขากระโดดลงจากหลังม้า แล้วจับเอวของฉันเพื่ออุ้มลงจากม้า ทันทีที่เท้าแตะพื้น ฉันก็หันมองดูรอบๆ ที่นี่คือเนินเขาที่มีป่าไม้เขียวชอุ่ม
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“ถ้าถึงแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
แววตาของเขาดูหม่นหมองลง ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่ก็เดินขึ้นเนินเขาไป
ผ่านไปประมาณสิบนาทีเราสองคนก็มาถึงยอดเขาที่มีหลุมศพหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
“ที่นี่คือสุสานของใครกัน”
เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าแผ่นหินจารึกหลุมศพโดยไม่พูดอะไร ความอยากรู้ทำให้ฉันรีบเดินตามไป บนแผ่นหินจารึกนั้นมีตัวอักษรแกะสลักในแนวตั้งเพื่อบอกให้รู้ว่าหลุมฝังศพนี้เป็นของใคร
‘สุสานของผู้ไร้นามแห่งตระกูลคิม’
วินาทีที่อ่านตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนหินจารึก ลำคอของฉันแห้งผาก ความรู้สึกต่างๆ พรั่งพรูออกมา
“ข้าขอโทษด้วย… ข้าไม่รู้จักชื่อ จึงไม่สามารถจารึกชื่อลงไปได้ แต่ในวันครบรอบการตายของทุกปีข้าจะส่งคนมาทำพิธีเซ่นไหว้”
เจ้าของหลุมศพนี้คือคิมยองชัน พ่อของฉันเอง พ่อของฉันเสียชีวิตที่หมู่บ้านฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ในปี 1592 ที่สงครามอิมจินกำลังคุกรุ่น โดยก่อนที่จะเสียชีวิต พ่อได้ส่งฉันกลับไปยังอนาคต แม้ในยุคนี้พ่อจะเป็นบุคคลที่เสียชีวิต แต่สำหรับในยุคที่ฉันจากมานั้นพ่อกลายเป็นบุคคลที่หายสาบสูญ นั่นแหละคือชีวิตของพ่อฉัน
ฉันน้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม ก่อนจะทรุดลงนั่งหน้าหลุมฝังศพอย่างไร้เรี่ยวแรง เขายื่นมือมาเพื่อจะประคอง แต่ฉันดันมือของเขาออกไปเบาๆ
“พ่อ… ฮือ…”
ฉันตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าจะเสี่ยงอันตรายสักแค่ไหน ฉันก็ต้องเจอพ่อให้ได้ ต่อให้จะต้องใช้ลมหายใจของฉันแลกมา ฉันก็จะต้องเจอพ่ออีกครั้ง
ระหว่างที่ฉันร้องไห้และให้คำสัญญากับตัวเองนั้น มืออันอบอุ่นขององค์ชายควังแฮก็แตะลงบนไหล่ของฉันเบาๆ
ฉันร้องไห้ต่อเนื่องจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างของฉันบวมเป่ง ฉันไม่อยากให้เขาเห็นสภาพตาของฉันตอนนี้ จึงเอาแต่ก้มหน้าแล้วเดินตามหลังเขาไป
“ว้าย!”
ทันทีที่ฉันก้าวพลาดจนเกือบจะล้ม เขาก็หันมาคว้าตัวฉันเอาไว้ได้ทัน ฉันจึงรีบเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าเขาจะล้อเรื่องดวงตาที่บวมเป่งเหมือนกบ แต่เขากลับเชยคางของฉันขึ้นโดยไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ เขาไม่พูดไม่ถามอะไร เอาแต่สังเกตใบหน้าของฉัน ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ปล่อยมือแล้วเริ่มเดินต่อ
พอเดินมาถึงจุดที่ผูกม้าเอาไว้ เขากลับเดินเลยม้าไปเด็ดใบไม้หลายใบมาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ก่อนจะยื่นมาให้ฉัน
“เอาไปประคบดวงตา มันช่วยบรรเทาอาการบวมได้”
คำพูดที่นึกไม่ถึงทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมอง “มันคืออะไรหรือ”
“ถึงข้าจะไม่ใช่หมอหลวง แต่ข้าก็เคยเรียนเรื่องพวกนี้มาจากพวกหมอหลวงในช่วงสงครามอิมจิน”
ฉันนำใบไม้มาประคบดวงตาข้างหนึ่งก่อน
“อย่าเพิ่งเอาออกจากตาจนกว่าอาการจะดีขึ้น พอถึงวัง ตาของเจ้าก็จะดีขึ้นพอประมาณ”
พอฟังคำนั้นฉันก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นมา
“แล้วเจ้าก็ต้องไปอยู่นอกวังใช่ไหม”
ฉันพูดคำธรรมดาออกจากปากแล้วก็สับสนเอง ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้ใส่ชุดขององค์ชายรัชทายาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท นอกจากนั้นตอนนี้เขายังอายุมากกว่าฉันอีกด้วย
“…เพคะ”
คำว่า ‘เพคะ’ ของฉันทำให้เขาระเบิดหัวเราะออกมา
“เจ้าคิดว่าข้าลืมหรือว่าตนเองเป็นใคร”
“ก็ข้าต้องอยู่ที่วังในฐานะนางในไปจนตาย จะให้ข้าพูดจาสบายๆ กับเจ้าไปตลอดหรือไร”
“ได้ฟังคำว่า ‘เพคะ’ จากปากเจ้า ก็ฟังดูไม่เลวเหมือนกัน แต่เวลาอยู่กันสองคน ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดจาสบายๆ กับข้าและเรียกชื่อเดิมของข้าได้”
ชื่อเดิมของเขาก็คือ ‘ฮน’
ฉันรู้จักชื่อของเขาดี เพราะตอนที่พ่อหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเรื่ององค์ชายควังแฮ ฉันได้ยินชื่อของเขาบ่อยมากราวกับเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นนางในของโชซอน จะเรียกชื่อขององค์ชายรัชทายาทพล่อยๆ ไม่ได้ และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะต้องอาศัยอยู่ในยุคโชซอนไปชั่วชีวิตเลยหรือเปล่า ดังนั้นการแบ่งชนชั้นวรรณะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่ฉันจะต้องทำความคุ้นเคย
“จริงรึ เรียกชื่อได้ด้วยรึ”
ฉันถามให้แน่ใจ เพราะเขาคือองค์ชายรัชทายาทที่จะกลายเป็นพระราชาในอนาคต
“บุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
“ถ้าเช่นนั้น…อืม” ฉันตั้งสติก่อนจะเรียกชื่อเดิมของเขา “ฮน”
ทันทีที่ชื่อของเขาดังออกมาจากปากของฉัน ใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อ เขาเองก็คงอยากมีเพื่อนที่คอยเรียกชื่อเหมือนคนปกติทั่วไป
“ต่อไปเวลาเราอยู่กันแค่สองคนแบบนี้ ข้าจะเรียกเจ้าว่าฮนนะ”
ฉันยืนยันความต้องการของเขาอีกครั้ง เขาจึงพยักหน้าและเริ่มจูงม้าลงเนิน
“ท่านแม่ของข้าก็เรียกข้าเหมือนที่เจ้าเรียก” จู่ๆ เขาพูดถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา
พระสนมกงบิน แม่ของเขาจากโลกใบนี้ไปด้วยอาการป่วยตอนที่เขาอายุได้เพียงสองขวบ
“แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเรียกชื่อของข้าอีก ไม่ใช่สิ ไม่มีใครสามารถเรียกได้ต่างหาก หลังจากที่ข้าได้เป็นรัชทายาท แม้กระทั่งเสด็จพ่อก็ไม่เรียกชื่อข้า แต่การที่มีใครสักคนเรียกชื่อ มันมีความหมายมากกว่าไม่ใช่รึ”
“ถูกต้อง ก็ชื่อตั้งเอาไว้ให้เรียกนี่นา”
เขาหยุดเดินอีกครั้งแล้วหันมามองฉัน
“และตอนนี้เจ้าก็เรียกชื่อของข้า เจ้ารู้ไหมว่าในวังน่ะแม้แต่หายใจยังยากลำบากเลย”
ฉันไม่เข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่ายังไง
เรากลับมาถึงวังในตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ฮนมาส่งฉันที่ประตูทางฝั่งตะวันตก ซึ่งองค์ชายจองวอนกำลังยืนรอพวกเราอยู่
“ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะมาด้วยตนเอง” ฮนดูประหลาดใจที่องค์ชายจองวอนมารอรับฉันด้วยตัวเอง “ข้าจะกลับเข้าวังในช่วงวันขึ้นปีใหม่”
หลังจากให้สัญญากับฉัน ฮนก็กระโดดขึ้นหลังม้า ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วควบม้าออกไป
ในใจของฉันตอนนี้เต็มไปด้วยความยินดีที่ได้พบเขาอีกครั้ง และการพบครั้งนี้ก็พัฒนาไปจนถึงการได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อเดิม มันทำให้ฉันรู้สึกดีมาก แต่ในปีหน้าหลังจากที่การไว้ทุกข์ของพระนางอึยอินสิ้นสุดลงแล้วเขาก็จะกลับมาอยู่ที่วัง และเรื่องมากมายก็จะเปลี่ยนแปลงไป มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากขอร้องเขาหลังจากที่เขากลับมาก็คือให้เขาช่วยปลดปล่อยฉันออกจากการปกครองของพระสนมอินบิน ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าอำนาจขององค์ชายรัชทายาทนั้นมีแค่ไหน แต่การช่วยฉันออกมาจากตำหนักของพระสนมอินบินคงจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
แล้วตอนนั้นเองฉันก็เพิ่งนึกได้ว่าองค์ชายจองวอนกำลังยืนอยู่ข้างหลัง
“ขึ้นเกี้ยวเถอะ”
“เดินไปไม่ได้หรือเพคะ”
ฉันถามพลางมองสีหน้าที่มืดมนของเขา แต่เขายกมือขึ้นโดยไม่พูดอะไร แล้วบ่าวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมผ้าคลุมในมือ ฉันจึงต้องจำใจหยิบผ้านั้นมาคลุมหัวเอาไว้
ในเวลาโพล้เพล้แบบนี้ บริเวณประตูฝั่งตะวันตกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย พ่อค้าแม่ขายกำลังเก็บแผงร้านค้าเพื่อกลับบ้าน ฉันรีบปรับจังหวะการเดินให้ทันองค์ชายจองวอน
“เหตุใดถึงได้พูดปดกับหม่อมฉันล่ะเพคะ”
เขาชายตามองฉันครู่หนึ่งก่อนจะมองตรงแล้วเดินต่อ
“เมื่อเก้าปีก่อนคือช่วงที่สงครามกำลังร้อนระอุที่สุด ตอนนั้นองค์ชายชินซองพี่ชายร่วมมารดาของข้าสิ้นพระชนม์ ข้าจึงตามเสด็จเสด็จพ่อไปที่อึยจู องค์ชายรัชทายาทซึ่งเป็นผู้นำในการรบก็ได้ไปที่อึยจูเช่นกัน”
อยู่ๆ เขาก็พูดถึงเรื่องราวสมัยสงคราม ตามประวัติศาสตร์นั้นวันหนึ่งของฤดูหนาวปี 1592 องค์ชายชินซองในวัยสิบหกชันษาซึ่งประทับอยู่ที่อึยจูได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน
“ตอนนั้นเป็นช่วงดึกที่มีเสียงนกฮูกร้องเป็นระยะ ขณะที่ข้ากำลังจัดเตรียมสถานที่ตั้งพระศพ องค์ชายรัชทายาทก็มาเล่าเรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งให้ข้าฟัง”
เขาหยุดแล้วหันมามอง ฉันรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวนางนั้นที่เขาพูดถึงก็คือฉัน ก่อนที่เขาจะออกเดินอีกครั้งแล้วพูดต่อ
“ในตอนนั้นข้าคิดว่าองค์ชายรัชทายาทเล่าเรื่องนั้นก็เพื่อปลอบโยนข้าผู้ที่กำลังเศร้าโศกกับการสูญเสียพี่ชาย เพราะพอข้าได้ฟังเรื่องเล่านั้น ข้าก็ลืมความโศกเศร้าไปเสียสนิท มันเป็นเรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ไม่เคยพบเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกเรื่องราวนั้นว่าเป็นความหวังของข้าได้หรือไม่…”
ถ้าเรื่องราวของฉันที่องค์ชายจองวอนได้ฟังเมื่อสิบปีก่อนคือความหวังสำหรับเขา แล้วเรื่องราวของฉันเป็นอย่างไรสำหรับฮนกันล่ะ หญิงสาวในดินแดนอันน่าอัศจรรย์นั้นคือความหวัง ความฝัน หรือความจริง…
“เมื่อเวลาผ่านไป เจ้ากลับไม่ได้เป็นเพียงแค่หญิงสาวในเรื่องเล่าอีกต่อไป ข้ารู้สึกเหมือนตัวตนของเจ้าหายใจอยู่ตรงหน้าข้า ดังนั้นยามที่เห็นเจ้าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสายลมในวันที่ข้าออกไปล่าสัตว์ แค่มองปราดเดียวข้าก็รู้ว่านั่นคือเจ้า”
“แล้วเหตุใดถึงต้องพูดปดกับหม่อมฉันด้วยล่ะเพคะ”
ครั้งนี้เขาหันมาหาฉัน “เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าพบกับองค์ชายรัชทายาทน่ะสิ”
“เพราะเหตุใดหรือเพคะ”
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือจึงได้ถามเช่นนี้” เขาถามฉันกลับ
“หม่อมฉันไม่ทราบหรอกเพคะ ได้โปรดบอกหม่อมฉันเถิดเพคะ ว่าเหตุใดจึงไม่อยากให้หม่อมฉันพบกับองค์ชายรัชทายาท”
เขาตอบฉันอย่างไม่ลังเลใจเลยสักนิด “ถ้าเจ้าได้พบกับองค์ชายรัชทายาทอีกครั้ง เจ้าก็จะต้องกลายเป็นสตรีของพระองค์”
ฉันคิดว่าเขากำลังเข้าใจผิดเพราะเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฮน แน่นอนว่าในสมัยโชซอนนั้นหญิงชายไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ แต่ฉันคิดว่าฮนกับฉันเป็นอย่างนั้นได้ ฮนคือคนที่ได้เห็นฉันทั้งที่โชซอนและที่โลกอนาคต และเขายังอนุญาตให้ฉันเรียกชื่อเดิมของเขา ฉันจึงคิดว่านั่นเหมือนกับเขายอมรับฉันในฐานะเพื่อน
“องค์ชายกำลังเข้าใจผิดนะเพคะ”
“เข้าใจผิดรึ”
“เพคะ เข้าใจผิด หม่อมฉันจะไม่กลายเป็นสตรีขององค์ชายรัชทายาทเพคะ เราสองคนเป็นสหายกันเพคะ”
“สหายรึ”
องค์ชายจองวอนหัวเราะเบาๆ จริงอยู่ที่ฉันชอบฮน แต่มันคือการชอบในอีกความหมายหนึ่งที่ไม่ใช่ในแบบที่องค์ชายจองวอนคิด
“เพคะ สหายมันคือคำที่จำกัดความสัมพันธ์ของฉันกับองค์ชายรัชทายาทได้ดีที่สุดเพคะ”
“เจ้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
“อะไรหรือเพคะ”
“หญิงชายไม่สามารถเป็นสหายกันได้หรอก”
คำพูดของเขานั้นถูกต้องตามหลักความคิดและความเชื่อในยุคโชซอน เมื่อการยืนกรานของฉันไม่เป็นผล ฉันจึงหยุดพูด เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถคลายความเข้าใจผิดขององค์ชายจองวอนได้
“ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมานั้นจะถูกต้อง แต่ชายไม่อาจเป็นสหายกับหญิงที่ตนมีใจได้หรอก”
ทว่าคำพูดขององค์ชายจองวอนที่ยืนยันหนักแน่นนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฉันได้เช่นกัน
(ติดตามต่อในทดลองอ่านบทต่อไป)
Comments
comments
No tags for this post.