บทที่ 7
เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว หิมะตกอย่างไม่ลืมหูลืมตามาตลอดหนึ่งสัปดาห์แล้ว อุณหภูมิจึงลดต่ำลงไปมาก ทุกครั้งที่หายใจจะมีไอสีขาวออกมาทางจมูก
พออากาศเป็นแบบนี้ พวกนางในของตำหนักพระสนมอินบินก็แสร้งทำเป็นสนิทสนมและแวะมาหาฉันที่ทเวซอนคันอยู่บ่อยๆ เพราะที่นี่มีเตาและช่องใส่ไฟที่ให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ พวกนางจึงพากันเข้ามาหลบหนาวแม้จะไม่มีสำรับให้ยกมาก็ตามที
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแวะมาหลบหนาวของพวกนางในก็คือมียอง ปกติมียองจะมาหามาพูดคุยกับฉันบ่อยๆ แต่ตอนนี้มียองทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่นางในจากต่างตำหนักจะมาเดินเข้าๆ ออกๆ ดังนั้นมียองจึงแอบมาหาฉันที่ที่พักในตอนกลางคืนแทน ด้วยเหตุนี้ฉัน มียองและอุนจีจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปในที่สุด
“ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้องค์ชายรัชทายาทจะกลับมาที่วังนะเจ้าคะ”
ข่าวน่ายินดีที่มียองบอกทำให้ฉันถึงกับหูผึ่ง
“จริงรึ”
“เจ้าค่ะ องค์ชายรัชทายาทจะเสด็จมาเข้าร่วมพิธีฮวังคัมเจแทนฝ่าบาทที่ทรงประชวรอยู่เจ้าค่ะ”
มียองตื่นเต้นที่จะได้เห็นฮน ฉันเองก็เหมือนกัน แต่ฉันยังไม่สามารถเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฮนให้มียองกับอุนจีฟังได้
“ฮวังคัมหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าคะ” คำถามที่คาดไม่ถึงนี้ออกมาจากปากของอุนจี
“เจ้าไม่เคยเห็นฮวังคัมรึ”
“ไม่เคยเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าสีเหลืองทอง รูปร่างหน้าตาเหมือนกับลูกพลับหรือไม่เจ้าคะ”
“มันคือส้มชนิดหนึ่งน่ะ”
แล้วมียองก็พูดแทรกขึ้น
“เมื่อก่อนพี่สาวเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง จึงได้กินฮวังคัมบ่อยๆ แต่ตอนนี้คงไม่ค่อยได้กินแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากกินฮวังคัมอีก ยังจำรสชาติหวานฉ่ำได้ขึ้นใจเลยเจ้าค่ะ”
มียองกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ฉันจึงรู้สึกอยากกินตาม แต่ที่นี่คือยุคโชซอน ส้มไม่ใช่ของที่จะหากินได้ง่ายๆ พรุ่งนี้ฮนจะกลับมาที่วัง และฮวังคัมก็จะถูกถวายแก่เขาที่เป็นรัชทายาท ถ้ามีโอกาสฉันจะลองขอฮวังคัมจากเขาดู
วันรุ่งขึ้นฮนก็กลับมาถึง
ฮนจะเข้าวังเฉพาะเวลามีพิธีสำคัญ ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมาเขากลับมาแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ดังนั้นการมาของเขาจึงเป็นที่สนใจไปทั่ววัง เช่นตอนนี้องค์ชายรัชทายาทเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ องค์ชายรัชทายาทกำลังเสวยอยู่ องค์ชายรัชทายาทกำลังประทับอยู่ที่พระตำหนัก เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าฉันได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้จากนางในที่เข้ามาหลบหนาวในทเวซอนคัน
หลังจากพิธีฮวังคัมเจที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เสร็จสิ้นลง เขาก็ต้องกลับทันที และวันที่เขาสัญญากับฉันว่าจะกลับมานั้นคือวันขึ้นปีใหม่ ฉันจึงไม่คาดหวังที่จะได้เจอกับเขาในครั้งนี้ ทว่าลึกๆ ก็แอบหวังที่จะได้เจอเขาบ้าง
คืนนั้นหิมะตกหนักมาก ฉันมองหิมะสีขาวแล้วก็ได้แต่คิดว่าบางทีฮนอาจจะมาหาฉันเหมือนวันที่พวกเราพบกันอีกครั้งก็ได้ แต่แล้วการปรากฏตัวของมียองก็ทำลายความหวังนั้นของฉัน
“หิมะตกเยอะเลยนะเจ้าคะ”
คืนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่มียองมา เพราะฉันรอการปรากฏตัวของฮน ฉันจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าองค์ชายรัชทายาทผู้สูงส่งคงจะไม่เดินฝ่าหิมะมาหานางในหรอก
“ที่นี่อุ่นจริงๆ เจ้าค่ะ อุนจีคงมาจุดไฟเอาไว้ให้ก่อนกลับใช่หรือไม่เจ้าคะ ว่าแต่อุนจีจะหยุดถึงเมื่อไหร่เจ้าคะ”
“พรุ่งนี้น่ะ มะรืนถึงจะมา”
“ได้ยินมาว่าลูกชายคนโตเป็นหวัดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“น่าจะอย่างนั้นนะ”
มียองถูมือทั้งสองข้างแล้วสอดเอาไว้ใต้ผ้าห่ม “พี่สาวเองก็ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ ได้ยินมาว่ามีคนตายเพราะเป็นหวัดด้วยเจ้าค่ะ”
ฉันนึกได้ว่ามียองแวะไปแถวตำหนักของฮนแทบทุกวันในช่วงที่ฮนอยู่ที่วัง ฉันจึงคิดว่ามียองอาจจะแวะไปแอบดูเขามาแล้ว
“วันนี้เจ้าแวะไปตำหนักองค์ชายรัชทายาทมาหรือเปล่า”
ทันใดนั้นแก้มทั้งสองข้างของมียองก็แดงก่ำ
“เจ้าค่ะ”
“ได้เห็นไหม”
“ไม่เจ้าค่ะ” มียองส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ไฟก็ดับหมดแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งยังมีพวกนางในเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วย บางทีอาจจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงบรรทมเร็วก็ได้นะเจ้าคะ”
มียองทำหน้าเศร้า
“มียอง หิมะตกหนักมาก อย่ากลับเลย ค้างที่นี่ดีกว่า”
“ข้าก็อยากค้าง แต่คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หิมะตกหนักมาก พรุ่งนี้คงมีงานให้ทำเยอะมากแต่เช้าเจ้าค่ะ พี่สาวเองก็รีบพักผ่อนนะเจ้าคะ ข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”
มียองหยิบผ้ามาคลุมหัวก่อนจะลุกขึ้น
“พรุ่งนี้จะมาไหม”
“หิมะตกหนักขนาดนี้คงจะยากเจ้าค่ะ ข้ามาตอนเย็นของวันที่อุนจีกลับมาดีกว่าเจ้าค่ะ แล้วตอนนั้นพวกเรามา… อะไรนะเจ้าคะ เมา…”
“เม้าท์มอยหรือ”
“เจ้าค่ะ เม้าท์มอย เม้าท์มอยกันเจ้าค่ะ!”
“ได้ กลับดีๆ นะ”
“เจ้าค่ะพี่สาว”
ทันทีที่มียองเปิดประตู ลมเย็นก็พัดโชยเข้ามา ฉันเดินออกไปส่งมียองด้านนอก แล้วยืนมองจนมียองเดินลับตาไป
“คยองมิน”
ยามนั้นเอง เสียงหนึ่งที่เรียกชื่อฉันก็ทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมอง ฮนกำลังยืนยิ้มอยู่ ฉันจึงรีบหันไปมองรอบๆ อย่างตกใจ คนที่จะเดินไปเดินมาข้างนอกในวันที่อากาศหนาวเหน็บแบบนี้มีแต่พวกนางในที่เข้าเวรยามของวังเท่านั้น และถ้ามียองเดินย้อนกลับมาเพราะลืมของ คงจะเป็นเรื่องแน่ๆ เพราะมียองรู้จักใบหน้าขององค์ชายรัชทายาทเป็นอย่างดี
“มาได้อย่างไรกัน”
แม้อากาศจะหนาวเหน็บจนทำให้มือและเท้าชาไปหมด แต่หัวใจของฉันกลับอบอุ่น
“คือว่าข้า…”
เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง อากาศที่หนาวเหน็บทำให้เขาถูมือไปมา
“เข้ามาข้างในก่อนดีกว่า”
ฉันเห็นดังนั้นจึงเดินนำหน้าเข้าไปในที่พัก ที่พักของฉันแคบมากถึงขนาดที่ว่านั่งกันสามคนก็เต็มแล้ว ทันทีที่ฮนซึ่งเป็นชายร่างสูงใหญ่เข้ามา ห้องจึงยิ่งดูคับแคบกว่าเดิม
ฉันหยิบผ้าห่มออกมายื่นให้เขา “คงจะหนาวมากสินะ”
เขาจับผ้าห่มแค่ฝั่งเดียว ส่วนอีกฝั่งที่เหลือก็ยื่นให้ฉัน ตอนนี้เราอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน บรรยากาศจึงดูเคอะเขินแปลกๆ
ฮนมองสำรวจรอบๆ เขาคงจะเพิ่งเคยเข้ามาในที่พักของนางในเป็นครั้งแรก ทุกอย่างจึงดูแปลกตาสำหรับเขา
“เล็กมากใช่ไหม”
“สำหรับสตรีอยู่คนเดียวเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“หมายถึงมาที่วังนี่รึ”
“ไม่ใช่ เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว”
เขามองฉันอย่างคาดไม่ถึง นี่เขาไม่รู้จริงๆ เหรอว่าพวกนางในรู้ทุกความเคลื่อนไหวขององค์ชายรัชทายาท
“ที่ถามก็คือมาที่พักของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่นานนักหรอก ข้าเห็นนางในคนนั้นเข้ามา ข้าจึงยืนรออยู่ด้านนอก”
หมายความว่าเขายืนรออยู่ด้านนอกตลอดเวลาที่มียองนั่งคุยกับฉัน?!
“นางในผู้นั้นเร็วกว่าข้าไปก้าวหนึ่ง”
“เจ้าก็เลยยืนรออยู่ข้างนอกน่ะหรือ”
เขาพยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ
“ถ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร หิมะมันตกหนักมากเลยนะ”
“เป็นห่วงข้ารึ”
“ก็ต้องเป็นห่วงสิ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีคนเป็นหวัดถึงขั้นตายเลยนะ ดังนั้นอย่ามายืนตากหิมะรอข้าแบบนี้อีก”
แต่แล้วฉันก็รู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นออกไป ถ้าเขาไม่มาอีกจะทำยังไงล่ะ
“ข้าเข้าใจแล้ว หลังจากนี้ถ้าข้าอยากพบเจ้า ข้าจะไปหาเจ้าที่ตำหนักพระสนมอินบิน”
เขาคงไม่ได้หมายความว่าเขาที่เป็นถึงรัชทายาทจะไปที่ตำหนักของพระสนมอินบิน แล้วบอกว่าอยากเจอนางในคนหนึ่งหรอกนะ
เมื่อฉันทำหน้าตกใจ เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา ฉันจึงได้รู้ว่าเขาล้อเล่น “ฮน!”
พอเห็นฉันโมโหเขาก็ยิ่งหัวเราะดังขึ้นอีก ฉันจึงกลัวใครมาได้ยินเข้า จึงรีบบอกให้เขาเบาเสียงลง
“เงียบหน่อย ได้ยินไปถึงข้างนอกแล้ว”
แต่เขายังคงหัวเราะไม่หยุด ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักขององค์ชายรัชทายาท แต่เป็นที่พักของนางใน ที่ที่ไม่ควรจะมีเสียงหัวเราะขององค์ชายรัชทายาทดังออกมา จริงๆ แล้วไม่ควรจะมีเสียงของบุรุษดังออกมาด้วยซ้ำ
“ข้าบอกให้หยุดหัวเราะยังไงเล่า”
สุดท้ายตอนที่ฉันยื่นมือออกไปเพื่อจะปิดปากของเขา เขากลับรวบข้อมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ และในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะของเขาก็เงียบลงทันที ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวกำลังร้อนผ่าว ฉันเพิ่งเคยเห็นสายตาแบบนี้ของเขาเป็นครั้งแรก ฉันเคยคิดว่าสายตาของเขาที่มองฉันนั้นเหมือนเดิมเสมอ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างแตกต่างไป ฉันรู้สึกกดดันและเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก
ใบหน้าของเขาค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ทีละนิด ตอนนี้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะกลัวว่าลมหายใจจะไปสัมผัสเข้ากับใบหน้าของเขา
แล้วจู่ๆ ฉันก็นึกถึงสถานการณ์หนึ่งที่คล้ายกับสถานการณ์ในตอนนี้ ภาพใบหน้าขององค์ชายจองวอนค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของฉัน วินาทีนั้นฉันจึงได้สติสะบัดมือแล้วผลักหน้าอกของเขาออกไป เขาจึงยอมแต่โดยดีแล้วลุกขึ้น
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องกลับตำหนักของข้าแล้ว”
“ฮน”
ฉันกลัวว่าเขาจะโกรธที่ฉันผลักเขาออก แต่ดวงตาของเขาที่กำลังมองฉันอยู่นั้นกำลังยิ้ม โชคดีจัง โชคดีที่เขาไม่โกรธ ทว่าหัวใจของฉันในเวลานี้กลับสับสนอย่างบอกไม่ถูก
“ตอนปีใหม่จะมาอีกไหม”
ถ้าเขามาตอนปีใหม่ เราจะเจอกันที่ไหน เขาจะมาที่พักของฉันอีกหรือเปล่า แล้วตอนนั้นหิมะจะตกเหมือนตอนนี้ไหม แล้วฉันจะพาเขาเข้ามาในที่พักของฉันอีกไหม
“คงอย่างนั้น”
เขาไม่รับปาก ฉันจึงเสียใจเล็กๆ
“เจ้าต้องการอะไรหรือไม่”
“หมายความว่าอย่างไรรึ”
“เท่าที่ข้าดู ของใช้ของเจ้ามีแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะจัดหามาให้เจ้า”
ฉันไม่ต้องการอะไรหรอก แต่ฉันรู้สึกดีที่เขาใส่ใจฉัน “ข้าไม่ต้องการอะไรหรอก ยกเว้น…”
แล้วตอนนั้นเองบางสิ่งบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของฉัน “ฮวังคัม”
“ฮวังคัมรึ” เขาถามซ้ำราวกับคาดไม่ถึง
“ใช่ ฮวังคัม จะมีพิธีฮวังคัมเจไม่ใช่รึ ข้าอยากกินมาก แต่นางในอย่างข้าคงจะไม่ได้กินง่ายๆ”
“ข้ารู้แล้ว”
แล้วคืนนั้นเขาก็กลับไปโดยทิ้งรอยยิ้มอันอบอุ่นเอาไว้ในที่พักของฉัน
เช้าวันรุ่งขึ้น หิมะที่ตกลงมาราวกับฟ้ารั่วก็หยุดตก นางในจึงพากันรวมตัวกวาดหิมะตามลานต่างๆ ในตำหนัก พอเสร็จงานพวกนางก็เข้ามาหลบหนาวที่ทเวซอนคันในสภาพที่หน้าและมือแดงก่ำ
“เวลาอย่างนี้ข้าอยากทำงานที่ทเวซอนคันนัก” นางในคนหนึ่งยื่นมือออกไปอังตรงช่องใส่ฟืนพลางกล่าว
ฉันได้แต่ยิ้ม ถ้าพ้นฤดูหนาวไปก็ไม่มีใครแวะมาที่นี่ถ้าไม่ได้ยกสำรับมา ตลอดระยะเวลาสั้นๆ ที่นางในพวกนี้เข้ามาคลายหนาวที่นี่นั้น มันก็ทำให้ชีวิตของฉันคลายเหงาขึ้นบ้าง
“ให้ตายสิ! พวกเจ้ามาทำอะไรกันตรงนี้ องค์ชายรัชทายาทเสด็จมา ยังไม่รีบไปเตรียมของว่างต้อนรับพระองค์อีก”
ทันทีที่จองซังกุงปรากฏตัว พวกนางในก็แตกกระเจิง
“องค์…องค์ชายรัชทายาทมาหรือเจ้าคะ!”
ดูเหมือนว่าฮนจะมาที่นี่ ความสัมพันธ์ของพระสนมอินบินกับฮนไม่ค่อยดีนัก เริ่มต้นมาตั้งแต่รุ่นแม่ มีข่าวลือว่าความจริงแล้วพระสนมกงบินแม่ของฮนไม่ได้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะคำสาปแช่งของพระสนมอินบิน ซึ่งพระเจ้าซอนโจสั่งห้ามไม่ให้ใครพูดถึงข่าวลือนี้อีก และพอมาถึงรุ่นลูก ฮนกับองค์ชายชินซอง ลูกของพระสนมอินบินก็มาเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท
ดังนั้นแม้พระสนมกงบินจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างฮนกับพระสนมอินบินก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย และเหตุผลที่ทำให้ฮนมาปรากฏตัวที่ตำหนักของพระสนมอินบินแต่เช้าตรู่แบบนี้คืออะไรกัน
‘หลังจากนี้ถ้าข้าอยากพบเจ้า ข้าจะไปหาเจ้าที่ตำหนักพระสนมอินบิน’
คำพูดของฮนลอยเข้ามาในหัวฉัน หรือฮนมาที่นี่เพื่อเจอฉัน ถ้าเขามาพร้อมกับองค์ชายจองวอนก็พอเข้าใจได้อยู่ เพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดีมาก แต่ดูเหมือนคราวนี้องค์ชายจองวอนจะไม่ได้มาด้วย ฉันที่อยู่แต่ที่นี่จึงไม่มีทางรู้เลยว่าข้างนอกเป็นยังไงกันบ้าง
งานทุกอย่างในวันนี้ของฉันสิ้นสุดลงเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ฉันต้องรอให้ไฟมอดดับจนหมดเสียก่อนจึงจะกลับที่พักได้ ช่างเป็นงานที่น่าเบื่อมาก จริงๆ แล้วแค่ราดน้ำลงไปไฟก็จะดับลงทันที แต่ช่วงนี้อากาศหนาวมาก หากดับไฟด้วยน้ำเย็น ช่องใส่ฟืนก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง แล้ววันรุ่งขึ้นจะติดไฟลำบาก ฉันจึงค่อยๆ ใช้ไม้เขี่ยถ่านที่มีไฟคุอยู่โดยพยายามจะไม่ใส่ใจใบหน้าที่เปื้อนเขม่าจนดำ
ขณะที่ความมืดมิดเริ่มมาเยือน จองซังกุงก็เปิดประตูเข้ามา ฉันจึงรีบลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพ
“ท่านซังกุง”
แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นขันทีคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก
“นางเป็นคนสุดท้ายเจ้าค่ะ”
พอจองซังกุงพูดจบ ขันทีก็มองฉันแล้วอมยิ้ม “นางในคนนี้เป็นคนสุดท้ายแล้วสินะ”
เมื่อได้ฟังเสียง ฉันก็จำได้ว่าเขาคือใคร เขาคือขันทีคนที่ให้ฉันเหยียบหลังขึ้นไปนั่งบนหลังม้าในวันที่ฉันกับฮนได้พบกันอีกครั้ง เขาเป็นขันทีของตำหนักองค์ชายรัชทายาท ฉันรู้สึกกลัวมาก ไม่อยากให้เขาจำฉันได้ อีกทั้งยังรู้สึกผิดที่เหยียบหลังของเขาด้วย
แล้วขันทีก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ฉัน แม้ตอนนี้จะมืดแล้ว แต่มองแค่ปราดเดียวฉันก็รู้ว่ามันคือฮวังคัม
“องค์ชายรัชทายาทรับสั่งให้นำมาแจกนางในทุกคนของตำหนักนี้คนละผล”
ฮนเนี่ยนะแจกฮวังคัมแก่พวกนางในของตำหนักพระสนมอินบิน พอเห็นฉันลังเลที่จะรับ จองซังกุงก็อธิบายเพิ่มเติม
“เมื่อตอนเช้าองค์ชายรัชทายาทเสด็จมาประทานฮวังคัมให้แก่นางในทุกคนเพื่อตอบแทนที่ดูแลพระสนมอินบินเป็นอย่างดีน่ะ เจ้ารีบรับไปสิ”
องค์รัชทายาทประทานฮวังคัมให้เป็นรางวัลแก่พวกนางในของตำหนักพระสนมอินบิน มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก แต่คงมีข้ออ้างนี้เพียงข้อเดียวที่เขาจะสามารถนำฮวังคัมมาให้ฉันได้ เขาใส่ใจกับคำขอร้องของฉันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ และนอกจากฉันจะได้กินฮวังคัมแล้ว นางในทุกคนในตำหนักนี้ยังได้กินฮวังคัมกันถ้วนหน้าอีกด้วย เขาช่างมีน้ำใจดีจริงๆ
จองซังกุงคงเห็นว่าฉันยืนนิ่งไม่ยอมยื่นมือออกมารับจึงกล่าวขึ้นว่า “ดูท่าทางนางคงไม่ชอบฮวังคัมนะเจ้าคะ เอามาให้ข้าก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะเอาไปให้นางในคนอื่นแทน”
ฉันจึงรีบตั้งสติ “ข้าชอบฮวังคัมเจ้าค่ะ! ชอบมากเลยด้วย”
จองซังกุงมองฉันอย่างหมั่นไส้ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป ฉันมองฮวังคัมที่ฮนส่งมาให้ด้วยความพอใจ แม้จะมีแค่ลูกเดียว แต่แค่นี้ก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว
พอแน่ใจว่าจองซังกุงเดินพ้นไปแล้ว ขันทีก็หันไปมองรอบๆ ก่อนจะยื่นถุงผ้าสีขาวให้ฉัน “รีบรับนี่ไปด้วย”
ฉันรับถุงผ้าที่หนักอึ้งใบนั้นมาอย่างงุนงง
“จากองค์ชายรัชทายาท”
“อะไรหรือเจ้าคะ”
“ก็ฮวังคัมอย่างไรเล่า”
“ฮวังคัมหรือเจ้าคะ”
“องค์รัชทายาทรับสั่งให้แจกฮวังคัมแก่นางในของตำหนักนี้คนละหนึ่งผล แต่พระองค์รับสั่งว่าสำหรับเจ้าแล้วผลเดียวคงไม่พอ”
หน้าของฉันร้อนผ่าว เขาช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นจริงๆ ที่ที่พักของฉันยังมีอุนจีและมียองที่แวะเวียนมาหาบ่อยๆ ส้มลูกเดียวคงไม่พอสำหรับคนสามคนแน่ๆ
“ข้าขอตัวก่อน”
พอขันทีจากไปแล้ว ฉันก็มองดูถุงฮวังคัมอยู่เนิ่นนานด้วยความซาบซึ้งใจ
ปีใหม่ที่สดใสของปี 1602
จนถึงตอนนี้พระเจ้าซอนโจก็ยังไม่หายจากไข้หวัด แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้นพระตำหนักของพระองค์ก็ไม่เคยขาดเสียงหัวเราะ ตอนแรกฉันคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากจงผู้น่ารักน่าเอ็นดู เพราะพระเจ้าซอนโจโปรดปรานจงมากถึงขนาดรับสั่งว่าจะอบรมสั่งสอนจงด้วยตัวเองนับจากปีนี้เป็นต้นไป แต่พวกนางในกลับวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่พระองค์มีแต่เสียงหัวเราะนั่นเป็นเพราะหลังจากการไว้ทุกข์ให้พระนางอึยอินจบลงในฤดูใบไม้ผลิ พระองค์ก็จะได้เข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระมเหสีองค์ใหม่ที่มีอายุเพียงสิบเก้าปี
แต่เรื่องนี้กลับมีความหมายแตกต่างออกไปสำหรับฉันที่เคยอ่านเรื่องพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าซอนโจกับพระมเหสีอินมกจากหนังสือประวัติศาสตร์ ฉันรู้สึกสงสารที่เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายอายุเกินห้าสิบ และยิ่งไปกว่านั้นคลื่นน้อยใหญ่มากมายในวังกำลังรอถาโถมใส่นางอยู่ในอนาคต
ตามประวัติศาสตร์ที่ฉันได้อ่านมายังบอกว่าอีกสิบสองปีข้างหน้าฮนจะขับไล่พระมเหสีอินมกออกจากวังและฆ่าน้องชายต่างมารดา ซึ่งฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนที่จิตใจดีอย่างฮนจะทำเรื่องโหดร้ายอย่างนั้นได้อย่างไร
เวลาสิบสองปีเป็นเวลาอีกยาวไกล วันเวลาเหล่านั้นจะหล่อหลอมให้ฮนเปลี่ยนเป็นพระราชาผู้โหดร้าย ไร้ความปรานีและน่ากลัวเหมือนที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หรือเปล่า แล้วฉันในตอนนั้นจะต่างจากตอนนี้มากสักแค่ไหน และฉันยังสามารถเรียกชื่อของเขาได้สบายๆ เหมือนตอนนี้หรือไม่กันนะ
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความปรารถนาหนึ่งเดียวของฉันคือการได้พบพ่อ แม้จะไม่สามารถออกไปจากยุคนี้ได้เหมือนอย่างที่อาบอกไว้ แต่พ่ออาจจะมาหาฉันบ่อยๆ และพ่ออาจพาฉันกลับไปด้วยก็ได้ ฉันก็ไม่อยากจะทิ้งชีวิตเอาไว้ที่ทเวซอนคันแห่งตำหนักพระสนมอินบิน
วันปีใหม่ ฮนเดินทางมาจากคอนวอนรึงเพื่อเข้าเฝ้าและถวายความเคารพพระเจ้าซอนโจผู้เป็นพระราชบิดาเนื่องในวันขึ้นปีใหม่และเพื่อร่วมพิธีมังควอล-รเยด้วย ซึ่งเขามีกำหนดการพักที่พระราชวังเป็นเวลาสี่วัน
ฉันเอาแต่คิดว่าตลอดสี่วันนี้ฉันจะได้เจอฮนเมื่อไหร่บ้าง แต่ตารางของฮนผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทก็แน่นจนแทบไม่มีเวลาว่างเลย มีอยู่ทางเดียวที่เราจะสามารถพบกันได้ก็คือการที่เขาจะแอบมาหาฉันตอนกลางคืนเหมือนครั้งก่อน
พอคิดอย่างนั้น ฉันก็เกิดความลำบากใจ ถ้าเขามาหาฉันที่นี่เหมือนคราวก่อน ฉันควรจะให้เขาเข้ามาข้างในหรือไม่ ตอนที่นั่งเล่นกับมียองและอุนจี ฉันไม่เคยใส่ใจเลยว่าที่พักของฉันจะแคบหรือกว้าง แต่พอนั่งอยู่กับเขา ฉันกลับรู้สึกว่าที่พักแคบลงไปถนัดตา และรู้สึกขัดเขินมากที่ต้องอยู่กับเขาเพียงลำพังสองคน ถ้าเขาจู่โจมอย่างกะทันหันเหมือนครั้งก่อน ฉันจะต้องรับมืออย่างไร
วันแรกของการกลับมาที่พระราชวัง ฮนมาถึงดึกมาก ฉันพยายามจะไม่ใส่ใจ แต่ก็ยังไม่ยอมดับเทียนในห้อง ทั้งที่เพียงแค่ครอบฝาครอบแสงเทียนก็จะดับลงทันที แต่ฉันกลับนอนมองแสงเทียนราวกับคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งดึก ภายในพระราชวังก็ยิ่งเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงสายลมเย็นๆ ของฤดูหนาว สุดท้ายฉันก็ต้องครอบฝาครอบเพื่อดับเทียน ทันทีแสงไฟดับลง เงาของคนก็สะท้อนมาจากภายนอก ฉันรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูเพราะคิดว่าเจ้าของเงานั้นคือฮน
“ฮน!”
แต่คนที่กำลังยืนทำหน้าหมองหม่นกลับไม่ใช่ฮน
“องค์ชายจองวอน?”
เมื่อครู่เขาจะได้ยินที่ฉันตะโกนเรียกชื่อฮนหรือเปล่า เขายิ่งเข้าใจผิดคิดว่าฉันมีใจให้ฮน ทั้งที่ฉันปฏิเสธไปว่าจะไม่เป็นสตรีของฮน แต่ฉันกลับตะโกนเรียกชื่อฮนอย่างดีใจ
“เจ้ารอองค์ชายรัชทายาทอยู่รึ” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ”
“ข้าเพิ่งมาได้ไม่นาน” เขาตอบคำถามห้วนๆ พร้อมเบนหน้าไปทางอื่น
“แล้วมาที่นี่ด้วยเหตุใด…”
ยังไม่ทันที่ฉันจะถามจบ องค์ชายจองวอนก็วางห่อผ้าลงบนพื้นไม้กระดาน มันเป็นถุงผ้าที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับถุงผ้าใส่ฮวังคัมที่ขันทีนำมาให้เมื่อคราวก่อน
“นี่คืออะไรหรือเพคะ”
“ฮวังคัม”
ฉันเปิดห่อผ้าออก ข้างในเต็มไปด้วยฮวังคัมสีเหลืองทองนับไม่ถ้วน
“ฝ่าบาทพระราชทานให้หรือเพคะ”
“ใช่” เขายังตอบห้วนๆ เหมือนเดิมราวกับยังคงไม่พอใจอยู่
“แล้วเหตุใดจึงนำมาประทานให้หม่อมฉันล่ะเพคะ”
“จงไม่กินฮวังคัมอีกต่อไปแล้ว”
“จงชอบฮวังคัมมากเลยนะเพคะ”
“ทุกครั้งที่เห็นฮวังคัม จงก็จะพูดถึงเจ้า ข้าจึงไม่ให้ฮวังคัมกับจงอีก”
ดูเหมือนว่าจงจะยังไม่ลืมฉัน ฉันคิดถึงจงจริงๆ
“ก็เลยเอาฮวังคัมนี่มาให้หม่อมฉันหรือเพคะ”
“เจ้าชอบฮวังคัมไม่ใช่รึ ข้าจึงเอามาให้เจ้า”
สมัยที่ฉันอยู่กับจง องค์ชายจองวอนมักเอาฮวังคัมมาให้จงบ่อยๆ แล้วฉันกับจงก็จะแบ่งกันกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งเขาจะมองเราสองคนแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
“หม่อมฉันชอบเพคะ แต่ถึงอย่างนั้นหม่อมฉันก็คงไม่สามารถรับฮวังคัมล้ำค่าพวกนี้ได้”
“ก็คิดเสียว่าจงมอบให้เจ้าสิ จงเองคงต้องการเช่นนั้น”
องค์ชายจองวอนหันหลังกลับเพื่อจบการสนทนา แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักราวกับเห็นอะไรบางอย่าง พอฉันหันไปมองตามสายตาของเขาก็เห็นขันทีของฮนยืนอยู่ ฉันไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สีหน้าของเขาดูตกใจเมื่อได้เห็นองค์ชายจองวอนที่นี่ พอเขาเดินเข้ามาทำความเคารพ องค์ชายจองวอนก็พยักหน้าอย่างขอไปที
“ขันทีชเวแห่งตำหนักองค์ชายรัชทายาท” องค์ชายจองวอนพูดเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไป
ขันทีชเวจึงเดินมาหาฉัน “เจ้ายังไม่นอนอีกรึ”
“ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”
“องค์ชายรัชทายาท…” ขันทีชเวหันไปมองรอบๆ ก่อนจะพูดต่อ “พระองค์เรียกหาเจ้า”
“ข้ารึเจ้าคะ”
“ใช่ พระองค์รับสั่งว่าหากเจ้าหลับแล้วก็ไม่ต้องปลุก แต่เจ้าจะให้ข้าไปกราบทูลพระองค์ว่าเจ้าหลับแล้วก็ได้นะ”
“ที่ใดหรือเจ้าคะ” ฉันรีบตอบออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิด ราวกับกลัวขันทีชเวจะเปลี่ยนใจ
ฮนอยู่ในสวนของพระราชวัง
เขากำลังยืนมองดวงจันทร์ของวันปีใหม่ที่สว่างสดใสเป็นพิเศษ เขาสวมชุดที่ทำจากขนนกสีขาวและสวมอิกซอนควัน พอได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็หันมายิ้มให้ และทันทีที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ เขาก็จับมือฉัน ฉันจึงหันมองรอบๆ เพราะกลัวใครจะเห็น ทว่าโชคดีที่ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย
“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้วเสียอีก”
เขาพูดราวกับกระซิบที่ข้างหูของฉัน ไอสีขาวที่ออกมาจากปากของเขาทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้ที่หูจนหัวเราะออกมา แต่แล้วพอนึกขึ้นได้ว่าอาจมีใครได้ยิน ฉันจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“เจ้าหยุดหัวเราะทำไมรึ”
“ถ้าคนอื่นมาได้ยินเสียงจะทำอย่างไรล่ะ”
“เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เพราะบริเวณนี้ไม่มีใคร”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ข้าบอกว่าอยากชมจันทร์เงียบๆ จึงไม่มีใครกล้ามารบกวนข้า และขันทีชเวก็ยืนดูลาดเลาให้อยู่”
“ว่าแต่ขันทีชเวจะคิดอย่างไรที่เจ้าเรียกนางในอย่างข้ามาพบในยามวิกาล”
“ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย”
คำตอบสมกับเป็นองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์ชายรัชทายาทไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับความคิดของขันที
“คนที่ข้าคิดถึงคือเจ้าต่างหาก”
“ฮน!” ฉันตกใจกับสิ่งที่เขาพูด
“ชู่ว…ลดเสียงลงหน่อย” เขากอดฉันจากทางด้านหลังแล้วซบหน้าลงบนไหล่ขวาของฉัน “ประเดี๋ยวขันทีชเวจะได้ยิน”
ฉันพยายามดิ้นแต่เขากลับจับไหล่ของฉันแน่น พอเบี่ยงหน้าไปมองใบหน้าของเขาที่ซบอยู่ตรงไหล่ขวาก็พบว่าเขากำลังมองดวงจันทร์อยู่
“หลายปีมานี้ สงครามทำให้ข้าต้องตระเวนไปทั่วสารทิศ ทุกครั้งที่ข้าเดินทาง ข้าจะแหงนมองดวงจันทร์แทบทุกคืน แม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ข้าก็ยังแหงนมองดวงจันทร์เสมอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
“…” แน่นอนว่าฉันไม่มีทางรู้
“เพราะข้าจะได้ไม่ลืมที่ที่เจ้าอาศัยอยู่”
“ที่ที่ข้าอาศัยอยู่หรือ”
“ใช่”
ทำไมเขาจึงไม่อยากลืมโลกอนาคตที่เขาได้พบเจอเพียงแค่หนึ่งวันล่ะ
“ข้าได้เห็นดินแดนที่แม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็มีแสงระยิบระยับราวกับแสงของดวงดาว หากข้าลืมสิ่งนั้นก็เท่ากับว่า…ข้าได้ลืมเจ้าไปด้วย”
เขากำลังบอกว่าสาเหตุที่เขามองดวงจันทร์ทุกคืน แม้จะเป็นในช่วงที่สงครามร้อนระอุก็เพื่อจะได้ไม่ลืมฉัน
“อยากกลับไปที่นั่นอีกครั้งไหม”
“ความจริงตอนนี้ข้าจำที่แห่งนั้นไม่ค่อยได้แล้ว แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือเจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าด้วยรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อน เหตุใดเจ้ายังคงเหมือนเดิม ตอนนั้นเจ้าได้บอกกับข้าว่าที่แห่งนั้นคือสวรรค์ที่อยู่กลางท้องฟ้า แต่ข้าไม่เชื่อเจ้า ข้าคิดว่าที่แห่งนั้นคือดินแดนหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือ พอได้กลับมายังโชซอน ข้าก็ได้หาตำราประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวของดินแดนต่างๆ มาอ่านมากมาย แต่ก็ไม่พบว่าดินแดนแห่งไหนจะเหมือนกับที่แห่งนั้น…”
ฉันค่อยๆ ยกมือของฮนที่วางอยู่บนไหล่ของฉันออก แล้วหันไปหาเขา
“เรื่องนั้นสำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ใช่สิ และรูปร่างหน้าตาของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิบปีก่อนอีกด้วย”
สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ฉันมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนเดิม แต่ฉันจะอธิบายเรื่องการเดินทางข้ามเวลาให้เขาฟังว่าอย่างไรดี
“เจ้าจงลืมที่แห่งนั้นไปเสียเถิด เพราะทั้งข้าและเจ้าไม่สามารถกลับไปที่แห่งนั้นได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ก็คือตอนพบเจ้าครั้งแรกข้ามีอายุสิบแปดปี และในตอนนี้ข้ามีอายุยี่สิบปี”
“ตอนนี้เจ้าอายุยี่สิบปีรึ”
“ใช่”
ฮนถามซ้ำด้วยความตกใจ แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา
“หัวเราะทำไม”
“ข้านึกถึงตอนพบเจ้าครั้งแรก ตอนนั้นเจ้าพูดจาโอ้อวดว่าเจ้าอายุสิบแปดเท่ากับข้า”
“แล้วอย่างไร ตอนนี้เจ้าอายุมากกว่าข้าหลายปี อีกทั้งยังเป็นองค์ชายรัชทายาท หรือจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าองค์ชายรัชทายาทล่ะ องค์ชายรัชทายาทเพคะ”
“ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”
ท่าทางสงบนิ่งของฮนทำให้ฉันยิ่งอารมณ์เสีย
“เพคะองค์ชายรัชทายาท หม่อมฉันขอทูลลานะเพคะ”
ฉันแกล้งทำความเคารพแล้วหันหลังให้ เขาจึงคว้าเอวของฉันเอาไว้ แล้วยกตัวฉันลอยขึ้นก่อนจะวางลง ฉันมองเขาอย่างตกใจ แต่เขากำลังยิ้มแป้น
“ฮน! แกล้งข้าอีกแล้ว”
“เจ้าอยากเรียกข้าว่าองค์ชายรัชทายาทจริงๆ รึ”
ไม่
ถ้าตอบออกไปได้อย่างนี้คงดีไม่น้อย ฉันจึงเพียงแค่ใช้สายตาตอบ ไม่ได้ตอบออกมาจากปากโดยตรง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่านางในคิม”
“ข้าไม่ชอบให้เรียกแบบนั้น” ฉันตอบออกมาอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวฉันเองก็ยังตกใจ
“จริงรึ เจ้าจะเรียกข้าว่าองค์ชายรัชทายาท ดังนั้นข้าก็ควรจะเรียกเจ้าว่านางในสิ”
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับว่าพวกเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกต่อไป
“เจ้าก็เหมือนกันกับข้าไม่ใช่หรือ ไม่มีใครเรียกชื่อของเจ้าเลยสักคน ข้าก็เช่นกัน ที่นี่ไม่มีใครเรียกชื่อข้าเลย ทั้งซังกุง ทั้งพวกนางใน อาจจะมีบ้างที่พวกเขาเรียก แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับข้าเลย”
ฉันพยักหน้าอย่างช้าๆ ราวกับรู้ว่าฮนกำลังจะสื่ออะไร
“ถ้าเช่นนั้นข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์กันแบบไหนรึ”
“สหาย”
“สหายรึ…”
เขาถอนหายใจแล้วทอดสายตาไปยังต้นไม้ สีหน้าของเขาทำให้ฉันกลัวว่าเขาจะคิดไม่ซื่อกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของเราสองคน
“เราสองคนเป็นสหายกันไม่ใช่หรือ ถึงแม้ตอนนี้อายุของพวกเราจะต่างกันมาก อีกทั้งสถานะยังแตกต่างกันด้วย แต่เราก็เรียกชื่อกันและกัน ถ้าไม่ใช่สหาย แล้วจะให้เป็นอะไรเล่า”
เขาหันกลับมามองฉันอีกครั้ง “เจ้าอยากเป็นแค่สหายเท่านั้นรึ”
“หืม?”
“ข้าถามว่าเจ้าอยากเป็นแค่สหายกับข้ารึ”
ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมฮนถึงถามแบบนั้นออกมา เราเป็นเพื่อนกัน ยังมีคำที่เหมาะสมกับความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้ไปกว่าคำนี้อีกหรือถ้าไม่ใช่เพื่อนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นเพียงแค่ ‘องค์ชายรัชทายาท’ กับ ‘นางใน’ เท่านั้น หรือเขาต้องการให้ความสัมพันธ์เป็นแบบนี้
เราสองคนได้แต่มองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเขา ฉันรู้ดีว่าในยุคโชซอนนี้ องค์ชายรัชทายาทกับนางในไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ แต่ฉันก็หวังว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น ในโลกอนาคตที่ฉันจากมานั้นฉันไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฉันจึงหวังให้เขาเป็นเพื่อนในยุคนี้ เพื่อนที่คอยดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน คอยอยู่เคียงข้างกันเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ฉันไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์รูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนเลยสักครั้ง ดังนั้นคำถามที่เขาถามมาจึงทำให้ฉันสับสน หัวใจของฉันเต้นระรัวโดยไม่รู้สาเหตุ
และทันใดนั้นเองเขาก็ถอนหายใจยาวออกมา
“คยองมิน”
ฉันตกใจกับชื่อของตัวเองที่ดังออกมาจากปากของเขา
“มันไม่สำคัญหรอกนะว่าข้ากับเจ้าจะอายุเท่ากันหรือไม่ ตอนนี้ถ้าเจ้าอายุยี่สิบปีก็หมายความว่าเจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว”
สาเหตุที่ทำให้เขาพูดถึงอายุของฉันในขณะนี้คืออะไรกัน
“ใช่ แล้วอย่างไรรึ”
ฉันเอียงคอถาม แต่เขากลับเงียบไปสักพัก
“แล้วถ้าข้าต้องการความสัมพันธ์แบบอื่นที่ไม่ใช่แค่เป็นสหายกับเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร”
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.