บทที่ 1
ปลายเดือนสิงหาคม เมืองไห่เฉิงเผชิญกับการมาเยือนของพายุฝนฟ้าคะนองครั้งสุดท้าย เมฆดำกดทับอยู่เบื้องบน ท้องฟ้ามืดลงเร็วกว่าวันก่อนหน้า
ประตูห้องนอนสำรองถูกเปิดออก อู๋อิงหวาน้าสะใภ้ถือผ้าขนหนูเช็ดน้ำไปพลางบ่นเสียงดังไปพลาง “ฝนตกหนักขนาดนี้ไม่รู้จักไปเก็บผ้าที่ดาดฟ้า! ขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่กลัวเฉาซะด้วย!”
ชีอิ้งนั่งอยู่ด้านหน้าของบานหน้าต่างไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่อิริยาบถก็ไม่เปลี่ยนแปลง
อวี๋จั๋วที่เอนตัวอยู่บนโซฟาเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน “เธอไม่ได้ยิน แม่ตะโกนใส่เธอไปจะมีประโยชน์อะไร”
อู๋อิงหวาเดินข้ามห้องไปฟาดศีรษะลูกชายหนึ่งที “เธอหูหนวกแล้วแกก็หูหนวกด้วยเหรอ เอาแต่เล่นเกม เดี๋ยวแกก็จะขึ้น ม.ปลาย ปีหนึ่งอยู่แล้วนะ ยังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเหมือนตอน ม.ต้น อยู่ได้”
อวี๋จั๋วถูกฟาดเข้าหนึ่งทีก็มีสีหน้าไม่พอใจ ลูบคลำหัวที่ถูกตีสักพักจึงลุกขึ้นวิ่งกลับห้องตัวเองแล้วเหวี่ยงประตูปิด
อู๋อิงหวาโมโหฮึดฮัด หันศีรษะไปก็เห็นชีอิ้งยังคงนั่งอยู่ข้างหน้าหน้าต่างโดยรักษาอิริยาบถเดิมไว้ เงาหลังแบบบางของเด็กสาวตัดกับสายฝนที่ตกหนักนอกหน้าต่าง พลันทำให้เกิดความเงียบเหงาอ้างว้างประการหนึ่ง เมื่อนึกถึงสิ่งที่หลานสาวคนนี้ประสบพบเจอ ความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจก็สลายไปครึ่งหนึ่งทันใด
อู๋อิงหวาเดินเข้าไปเคาะโต๊ะ
ชีอิ้งค่อยหันมา เมื่อเห็นว่าเป็นน้าสะใภ้ นัยน์ตาที่กระจ่างใสและอ่อนโยนก็เป็นประกายวาบ ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้มอย่างระมัดระวังออกมา
อู๋อิงหวาถูกรอยยิ้มนี้ของหลานสาวทิ่มแทงจนหัวใจชาวูบ ลอบทอดถอนใจอยู่ข้างในพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ตัวอักษร พิมพ์เสร็จก็ส่งให้อีกฝ่ายดู
สายตาของชีอิ้งจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่ส่องสว่าง
อู๋อิงหวา : ‘มีพายุฝน คืนนี้คุณน้าของหนูคงไม่กลับมาแล้ว เข้านอนเร็วหน่อย’
ชีอิ้งในชาติที่แล้วไม่รู้หนังสือ
ทว่าหลังได้รับความทรงจำของร่างกายนี้กลับคืนมาแล้ว ความรู้ที่เธอไม่อาจจับต้องมาก่อนเหล่านั้นก็เหมือนจะสามารถรับรู้ได้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน และทำให้เธอได้รู้จักกับโลกใบนี้ใหม่ทั้งหมด
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เธอเห็นโทรศัพท์มือถือก็ยังคงอดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาไม่ได้ สิ่งของที่เล็กขนาดนี้ไม่เพียงแต่ส่องสว่างได้เท่านั้น แต่ยังมีภาพที่ดูสมจริงราวกับมีชีวิตอีกด้วย ช่างน่ามหัศจรรย์มากจริงๆ
ชีอิ้งพยักหน้าให้น้าสะใภ้อย่างสงบเสงี่ยม
อู๋อิงหวาจึงค่อยๆ ปิดประตูห้องแล้วจากไป
ชีอิ้งทอดสายตามองนอกหน้าต่างต่อไป พายุฝนค่อยๆ รุนแรงขึ้น ต้นไม้ใหญ่ที่ข้างทางถูกพัดโหมจนเอนซ้ายเอียงขวา ไฟจากรถราที่สัญจรฝ่าฝนกะพริบถี่รัว ขับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า
ด้านนอกจะต้องหนวกหูมากแน่ๆ แต่เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
จะมีก็เพียงเสียงหึ่งๆ ดังอยู่ในหูเป็นบางครั้ง
เธอมาถึงโลกนี้ได้สองเดือนกว่าแล้ว
แรกเริ่มชีอิ้งนึกว่าเป็นความฝัน วันที่ได้รู้ข่าวว่าท่านแม่ทัพสู้ศึกตายในสนามรบ เธอพาดผ้าไหมขาวไว้กับขื่อห้อง ติดตามท่านแม่ทัพไปแล้วแท้ๆ
เธอยังจำความรู้สึกของการขาดอากาศหายใจและความเจ็บปวดก่อนตายได้ จำได้แม้กระทั่งในตอนที่แสงตะวันสีทองลับขอบฟ้าสาดลงบนต้นเหอฮวน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับกลายเป็นเด็กสาวหูหนวกอายุสิบเจ็ดคนนี้ กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ความทรงจำที่แปลกปลอมกวาดม้วนเธอราวกับกระแสน้ำ
เด็กสาวคนนี้ชื่อว่าชีอิ้งเหมือนกันกับเธอ ครึ่งปีก่อนสูญเสียพ่อแม่ไปจึงกินยานอนหลับด้วยความสิ้นหวัง หลังจากช่วยชีวิตกลับมาแล้ว แก่นข้างในก็เปลี่ยนคน
น่าจะเป็นเพราะการรับรู้ของร่างกายนี้ ทุกครั้งที่เธอหวนนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ของเด็กสาวคนนี้ หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกเข็มแทง บีบบังคับให้เธอต้องตัดขาดความทรงจำกลางคัน
ชีอิ้งคิดว่าเด็กสาวคนนี้จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าโศกมาก
เธอรับรู้มันได้จากความทรงจำ โลกใบนี้เดิมเป็นสถานที่แปลกหน้าสำหรับเธอจู่ๆ ก็พลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคยไปทั่วทุกที่
ครั้งแรกที่ได้เห็นโทรทัศน์เธอกลับไม่ประหลาดใจเลยสักนิด แต่สุดท้ายพอขึ้นเตียงนอนแล้ว ตอนนั้นเองค่อยรู้สึกอัศจรรย์ใจไล่หลัง
เธอก็เหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยนี้ มีเพียงอย่างเดียวที่เธอยังไม่สามารถปรับตัวได้คืออาการหูหนวกและสูญเสียเสียงพูดจากเหตุไม่คาดฝัน อีกทั้งเหตุไม่คาดฝันนี้ก็เป็นตัวการหลักที่ทำให้พ่อแม่เจ้าของร่างเดิมเสียชีวิต
พ่อของเจ้าของร่างเดิมเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด หลังเข้าบุกจับกุมคดีค้ายาแล้วเขาก็ถูกกลุ่มอาชญากรแก้แค้น อาชญากรลักพาตัวเจ้าของร่างเดิมและผู้เป็นแม่ไป ในระหว่างขั้นตอนช่วยเหลือตัวประกัน อาชญากรที่คลุ้มคลั่งก็จุดชนวนระเบิดขึ้น แม้กลุ่มอาชญากรจะต้องโทษประหารทั้งหมด แต่พ่อแม่เจ้าของร่างเดิมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียชีวิต มีแค่เจ้าของร่างเดิมที่รอดมาคนเดียว
หลังจัดการเรื่องงานศพเสร็จแล้ว เจ้าของร่างเดิมก็ได้อวี๋เฉิงน้าชายรับมาอาศัยอยู่ที่เมืองไห่เฉิง แต่เด็กสาวไม่สามารถยอมรับการเสียชีวิตของพ่อแม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะจากไป
ช่วงที่ชีอิ้งเพิ่งฟื้นขึ้นมา น้าชายกับน้าสะใภ้แทบจะเฝ้าเธออยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยกลัวว่าเธอจะทำเรื่องแบบนี้ซ้ำอีก จนกระทั่งจิตแพทย์ให้เธอทำแบบทดสอบ ผลปรากฏว่าสภาพทางจิตใจของเด็กสาวดีพร้อมแล้ว น้าชายจึงค่อยรับชีอิ้งจากสถานพักฟื้นกลับมาที่บ้าน
น้าชายดีต่อเธอ น้าสะใภ้ถึงจะอารมณ์ร้อนแต่ก็เป็นคนปากร้ายใจดี แม้แต่อวี๋จั๋วน้องชายจอมต่อต้านคนนั้นก็มักจะเคาะประตูเข้ามาคอยเฝ้าดูเธอทุกๆ หนึ่งชั่วโมง
นี่เป็นความใกล้ชิดฉันญาติพี่น้องที่ชีอิ้งไม่เคยได้รับมาก่อน
เธอเป็นเด็กกำพร้าในช่วงกลียุค เติบโตมาอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงท่ามกลางความไม่สงบของสงคราม ในปีที่อายุสิบสี่ขณะอพยพลี้ภัยก็ถูกโจรในภูเขาจับตัวขึ้นป้อมภูเขาไป เดิมทีเธอคิดจะกระแทกศีรษะให้ตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ไว้ ทว่าท่านแม่ทัพกลับมาเยือนดั่งเทพจากสวรรค์แล้วช่วยเธอออกมา
ท่านแม่ทัพสวมชุดเกราะสีดำขลับ นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าแผงคอสีดำ ถามเธอเสียงเรียบว่า ‘มีที่ไปหรือไม่’
เธอส่ายศีรษะทั้งน้ำตา ท่านแม่ทัพจึงโน้มตัวยื่นมือมาโอบรอบเอวอุ้มเธอพาดขวางขึ้นม้า นับแต่นั้นเป็นต้นมาจวนแม่ทัพก็กลายเป็นบ้านของเธอ
ท่านแม่ทัพยังไม่ได้สู่ขอภรรยาเอก จวนแม่ทัพที่ใหญ่โตมโหฬารจึงมีเธอเพียงแค่คนเดียว ท่านแม่ทัพรับเธอเป็นอนุภรรยา แม้จะรบทัพจับศึกตลอดปีไม่ค่อยได้กลับมา แต่เขาก็กำชับคนทุกระดับชั้นในจวนให้ปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี
เธอมอบทั้งใจและกายให้กับท่านแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น เธอได้ยินว่าราษฎรทั่วทั้งใต้หล้ายกย่องสรรเสริญเทพสงครามในดวงใจเธออย่างไร แต่นึกไม่ถึงว่าเทพสงครามก็มีวันที่สู้ศึกตายในสนามรบ
ท่านแม่ทัพเคยรักเธอหรือไม่
ชีอิ้งไม่รู้
แต่เธอรักท่านแม่ทัพ
ชีวิตของเธอเป็นท่านแม่ทัพที่ให้มา ท่านแม่ทัพตายแล้วเธอก็ไม่มีอะไรติดค้างในโลกนี้อีกต่อไป ได้แต่หวังว่าหลังจากตายแล้วจะโชคดีได้ฝังตามท่านแม่ทัพไป หากได้ตายร่วมหลุมก็นับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าสวรรค์ไม่เพียงไม่ยอมให้เธอตาย แต่ยังส่งโลกที่สงบสุขสวยงามปราศจากสงครามมาให้ด้วย ที่นี่อะไรก็ดีไปหมด เพียงแต่ไม่มีท่านแม่ทัพ
พายุฝนฟ้าคะนองดำเนินต่อไปอีกหลายวัน เมื่อฟ้าโปร่งโล่งหมดจดก็ห่างจากเปิดเทอมเพียงแค่สองวัน
ช่วงสั้นๆ ก่อนหน้านี้ อวี๋เฉิงน้าชายได้จัดการตามขั้นตอนย้ายโรงเรียนให้ชีอิ้งเรียบร้อยแล้ว เขาย้ายเธอที่เทอมนี้กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสองมาอยู่ที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับที่อวี๋จั๋วเข้าเรียนมัธยมปลายปีแรกด้วย
ชีอิ้งไม่รู้ว่าเธอควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดีเมื่อต้องเผชิญกับโลกที่ทุกอย่างแปลกใหม่และไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ทั้งรู้สึกลังเลและไม่แน่ใจ
กล่าวตามหลักการทั่วไป ชีอิ้งในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะไปเรียนหนังสือในโรงเรียนมัธยมปลายธรรมดา
ในเมื่อเธอไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ โรงเรียนคนหูหนวกดูจะเหมาะสมกับเธอมากกว่า แต่จิตแพทย์กลับแนะนำว่าสภาพแวดล้อมที่ปกติเหมาะสมต่อการฟื้นฟูและการรักษาของชีอิ้ง เธอจำเป็นต้องพบปะกับผู้คน และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอต้องการมิตรภาพจากคนในวัยเดียวกัน
อาการหูหนวกของเธอเกิดจากการบาดเจ็บภายนอก เข้ารับการรักษาไม่กี่ครั้งก็อาจฟื้นคืนได้ครบถ้วน แต่การสูญเสียความสามารถในการพูดเป็นบาดแผลที่เกิดจากความกระทบกระเทือนทางจิตใจ วิธีรักษาทางการแพทย์อาจช่วยได้ไม่มากนัก ทำได้เพียงค่อยๆ ขจัดอุปสรรคและฟื้นฟูไปอย่างช้าๆ
หลังเกิดเหตุพ่อของชีอิ้งก็ได้รับพิจารณาให้เป็นผู้พลีชีพ* ชีอิ้งจึงกลายเป็น ‘บุตรธิดาของผู้พลีชีพ’ มีเส้นสายจากทางตำรวจ ขั้นตอนในการย้ายเข้าเรียนของชีอิ้งจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย แม้แต่ครูใหญ่ก็ยังได้รับการกำชับเป็นพิเศษจากผู้นำของสำนักงานประจำเมือง พวกเขาหวังว่าบุตรธิดาของผู้พลีชีพจะได้รับการให้เกียรติและมิตรภาพจากที่นี่ เรื่องอย่างการข่มเหงรังแกและการปฏิบัติอย่างเพิกเฉยจะต้องไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด
เมื่อครูใหญ่รับทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาก็คัดเลือกครูประจำชั้นของมัธยมปลายปีสองอยู่หลายรอบว่าจะให้เธอไปอยู่ในความดูแลของห้องใด สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกมัธยมปลายปีสองห้องสองที่นักเรียนล้วนมีผลการเรียนดี สิ่งแวดล้อมในห้องดี นักเรียนเกเรน้อย เป็นห้องเรียนที่ภาพรวมดีเด่นและครูประจำชั้นเองก็มีความก้าวหน้าทางการสอนติดต่อกันมาสองปีแล้ว…
เลือกห้องสองต้องไม่เลวแน่!
หลิวชิ่งหวาครูประจำชั้นมัธยมปลายปีสองห้องสองถูกครูใหญ่เรียกไปจับเข่าคุยที่ห้องทำงานนานถึงหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็กำหมัดรับคำว่า ‘จะต้องทำให้นักเรียนชีอิ้งได้รับความอบอุ่นราวกับครอบครัวจากที่นี่ให้ได้!’
วันเปิดเทอม อวี๋เฉิงขับรถไปส่งอวี๋จั๋วและชีอิ้งถึงโรงเรียน
หลายวันมานี้อวี๋เฉิงกำชับกับอวี๋จั๋วไม่หยุดหย่อนว่าอยู่ที่โรงเรียนเขาจะต้องปกป้องพี่สาวให้ดี เลิกคาบแล้วถ้าไม่เข้าห้องน้ำก็ให้ไปที่ห้องสองดูว่าพี่สาวถูกรังแกหรือเปล่า
สองพ่อลูกรู้ว่าชีอิ้งไม่ได้ยินจึงพูดเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“พี่สาวแกหน้าตาดี แถมยังพูดไม่ได้ นิสัยก็เก็บเนื้อเก็บตัว นักเรียนชายพวกนั้นชอบรังแกผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ แกจะขี้ขลาดไม่ได้ ไม่งั้นจะให้แกเรียนเทควันโดมาหลายปีเพื่ออะไร”
“ที่แท้ผมก็เรียนเทควันโดมาเพื่อมีเรื่องชกต่อยนี่เอง! งั้นครั้งก่อนที่ผมมีเรื่องจนครูเรียกผู้ปกครอง ทำไมพ่อถึงตีผมต่อหน้าครูล่ะ”
“มีเรื่องชกต่อยเพื่อพี่สาวแกได้ แต่อย่างอื่นไม่ได้”
“…”
เมื่อมาถึงโรงเรียนอวี๋เฉิงก็เปิดประตูแล้วลงจากรถ ชีอิ้งสะพายกระเป๋านักเรียน สวมเสื้อนักเรียนสีน้ำเงินสลับขาว ผมสีดำขลับรวบเป็นหางม้า แก้มของเธอใหญ่เพียงฝ่ามือ ดวงตาคู่งามกระจ่างใส ริมฝีปากบางเม้มเป็นวงโค้งตื้นๆ กรามเรียวคม สวยราวกับดอกเฉียงเวยตูมรอคอยการผลิบาน
อวี๋เฉิงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความ
อวี๋เฉิง : ‘ถ้ามีใครรังแกหนู ไปหาคุณครูก่อน จากนั้นให้คุณครูโทรมาหาน้า จำเบอร์โทรศัพท์น้าได้ใช่ไหม’
ชีอิ้งพยักหน้า อวี๋เฉิงเห็นแล้วจึงพิมพ์ข้อความต่อไปอีก
อวี๋เฉิง : ‘เสี่ยว* จั๋วอยู่ปีหนึ่งห้องเจ็ด ห้องเรียนที่ตรงหัวมุมชั้นหนึ่ง มีเรื่องอะไรก็ไปหาเขาได้’
ชีอิ้งพยักหน้ารับอีกครั้ง อวี๋เฉิงยังจะพิมพ์ข้อความต่ออีก แต่อวี๋จั๋วคว้าสายกระเป๋านักเรียนของชีอิ้งแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “ไปๆ จะสายแล้ว พ่อกลับไปเถอะน่า ทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นไปได้”
ชีอิ้งโดนอวี๋จั๋วลากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันมาโบกมือให้อวี๋เฉิงอย่างสงบเสงี่ยม
อวี๋เฉิงยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล มองดูใบหน้าสะสวยของหลานสาวแล้วพลันนึกถึงพี่สาวของตนเอง เขาทอดถอนใจอยู่หลายครั้งคราจนกระทั่งชีอิ้งเดินหายลับไปจึงค่อยกลับขึ้นรถไปในที่สุด
เพิ่งจะปิดประตูรถได้สักพัก เสียงดังกระหึ่มเสียดหูจากที่ไกลๆ ก็ดังใกล้เข้ามา จากนั้นก็เป็นเสียงเบรกหยุดอย่างกะทันหันตรงหน้าประตูโรงเรียน
เสียงเบรกรถรุนแรงมากจนคนที่เดินผ่านไปมายังนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้คนต่างพากันมองหาต้นเหตุ แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงเรียนก็ตระหนกตกใจรีบวิ่งเข้ามาดู
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์สีดำแดง สวมเสื้อยืดสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง ผมเผ้าถูกลมเป่าจนกระเซอะกระเซิง เขาพาดเสื้อนักเรียนไว้บนบ่า ในปากเคี้ยวหมากฝรั่ง หันหัวไปเป่าปากใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ใบหน้าไม่ยี่หระ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอันธพาล
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหมือนจะรู้ว่าเขาคือใครจึงไม่กล้าห้าม ถอยหลังกลับไป
เด็กหนุ่มถือเสื้อนักเรียนเดินเข้าประตูโรงเรียนไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อวี๋เฉิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า
โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่งมีเด็กเกเรที่แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีแบบนี้ได้อย่างไรกัน
นักเรียนหญิงจำนวนหนึ่งเดินผ่านข้างรถ ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ
“ลูกพี่กับรถมอเตอร์ไซค์ของลูกพี่หล่อมาก! โอ๊ยยย อยากลูบอะ”
“ลูบคนหรือลูบรถ?”
“…อยากหมดเลย”
“เงียบไปเลย! ขืนเซวียม่านชิงมาได้ยินเข้าจะตีเธอตายเอา”
“เชอะ! จี้รั่งไม่ได้ชอบยายนั่นสักหน่อย ฉันเห็นในโอเพนแชต* ของรุ่นว่าตอนปิดเทอมหน้าร้อนเซวียม่านชิงจัดปาร์ตี้วันเกิดยิ่งใหญ่อลังการให้จี้รั่ง แต่ปรากฏว่าจี้รั่งไม่ได้ไปงานด้วยซ้ำ”
“แต่ก็ในโอเพนแชตไม่ใช่เหรอที่บอกว่าจี้รั่งถูกจับไปพร้อมกลุ่มนักแข่งรถเพราะแข่งรถกันอะ แล้วดูสิ ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขายังอยู่ดีหรือไง แถมกล้าขี่รถมาโรงเรียนอีก นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าโอเพนแชตนั่นเชื่อถือไม่ได้!”
“ก็ไม่แน่นา บ้านลูกพี่มีเงินอะ ขอแค่เขาไม่ได้ฆ่าคนหรือวางเพลิง จะแก้ไขเรื่องอะไรไม่ได้บ้างล่ะ”
นักเรียนหญิงกลุ่มนั้นเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ คิ้วของอวี๋เฉิงขมวดจนแทบจะหนีบดินสอได้ นี่มันอะไรกันเนี่ย เด็กสมัยนี้มาเพื่อเรียนหนังสือหรือว่ามาเพื่อหาคู่กันนะ!
คงต้องบอกให้อวี๋จั๋วเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกสักหน่อย อย่าปล่อยให้นักเรียนแย่ๆ เหล่านี้มายุ่งกับชีอิ้ง
ส่วนชีอิ้งนั้นเขากลับไม่ห่วงสักนิด
อิ้งอิ้งหลานของเขาออกจะเชื่อฟัง เธอจะต้องอยู่ห่างจากเด็กเกเรพวกนี้อยู่แล้ว!
เชิงอรรถ
* ผู้พลีชีพ เกียรติคุณที่รัฐบาลจีนแต่งตั้งให้กับพลเมืองที่เสียชีวิตเพื่อทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
* เสี่ยว มักวางไว้หน้าแซ่หรือชื่อเพื่อใช้เป็นชื่อเรียกบุคคล แสดงความสนิทสนม
* โอเพ่นแชต (Open Chat) แพลตฟอร์มห้องแชตรูปแบบหนึ่ง ลักษณะเป็นห้องแชตขนาดใหญ่รองรับสมาชิกในห้องแชตได้หลายพันคน มีแอดมินคอยควบคุมดูแล สมาชิกในห้องแชตสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
Comments
comments
No tags for this post.