บทที่ 2 คู่อาฆาต
ตกค่ำเมื่อกลับถึงบ้านเจียงเหม่ยซีก็พบว่าหน้าต่างบานนั้นของตึกฝั่งตรงข้ามสว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอนึกว่าตัวเองมองผิดไป ขณะที่กำลังนับชั้นใหม่อีกรอบเพื่อความมั่นใจเงาร่างสูงผอมก็ปรากฏในสายตา
เยี่ยสวี่สวมเสื้อยืดเนื้อบางกับกางเกงลำลองขายาวตัวหลวมโพรก ภาพลักษณ์นั้นแตกต่างจากตอนที่สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กส์เมื่อตอนสอบสัมภาษณ์โดยสิ้นเชิง ทว่ากลับดูไม่ต่างไปจากตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้เลย แต่ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหนก็ล้วนเหมาะกับเขามาก
ชายหนุ่มวนเวียนอยู่ภายในห้องสักพัก…ด้วยความที่อยู่ในระยะไกล ถึงแม้เจียงเหม่ยซีจะมองเห็นไม่ชัดนัก แต่อาศัยภาพฉากและการเคลื่อนไหวอันพร่ามัวก็สามารถเอามาวาดเสริมเติมแต่งในหัวจนสมบูรณ์ได้…ดื่มน้ำ ถอดนาฬิกาข้อมือ ดูโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อยืด แนวกล้ามเนื้ออันสวยงามพลันเผยออกมาอยู่ในสายตาของเจียงเหม่ยซี
เจียงเหม่ยซีไม่ทันได้ระวัง เธอที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพอดีก็สำลักออกมา หลังจากไอโขลกอย่างรุนแรงอยู่นานพอเงยหน้ามองฝั่งตรงข้ามอีกครั้งก็เห็นเยี่ยสวี่กำลังปลดเข็มขัด…
เธอรีบละสายตาอย่างร้อนตัว อดไม่ได้ที่จะลอบด่าเยี่ยสวี่ในใจว่านิสัยชอบโชว์ถอดเสื้อผ้าไม่เคยปิดม่านนี่เมื่อไรจะเปลี่ยน แต่ในหัวก็ปรากฏภาพบางอย่างในคืนนั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เศษเสี้ยวเล็กๆ ในความทรงจำค่อยๆ ปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ตามด้วยเสียงเบาๆ ที่ดังออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ…มองสักหน่อยจะเป็นไรไป ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น
ทว่าในตอนที่เธอโน้มน้าวให้ตัวเองเคลื่อนสายตากลับไปยังหน้าต่างฝั่งตรงข้ามบานนั้นอย่างยากลำบาก หน้าต่างที่เดิมทีมีไฟสว่างไสวก็มืดสนิทไปเสียแล้ว
ทำอะไรรวดเร็วจริงๆ!
เช้าวันต่อมา เจียงเหม่ยซีเพิ่งถึงบริษัทก็เห็นพนักงานหญิงที่เข้าบริษัทมาได้สองปีกำลังส่องกระจกทาลิปสติกอยู่ เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าเข้าทำงานแล้วจะแต่งหน้าไม่ได้ แต่พนักงานหญิงคนนี้เป็นหนึ่งในหญิงสาวจำนวนน้อยในบริษัทที่ไม่ค่อยแคร์ภาพลักษณ์นัก
พนักงานหญิงคนดังกล่าวเพ่งความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ปากของตัวเอง ไม่ได้ตื่นตัวเหมือนอย่างทุกวัน จนกระทั่งเจียงเหม่ยซีเดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายถึงได้สังเกตเห็นเธอก่อนจะรีบเก็บลิปสติกและกระจกมือไม้เป็นพัลวัน
เจียงเหม่ยซีอยากจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินผ่านไป แต่ตอนที่เดินไปถึงตรงหน้าพนักงานหญิงเธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลงแล้วกล่าวเตือน “ทาลิปเลอะออกมาข้างนอกแล้ว”
เธอเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็นิ่งอึ้งไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่นานนักก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง ช่างเถอะ…นานขนาดนี้แล้วเธอยังไม่ชินอีกหรือไง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเจียงเหม่ยซีจึงไม่พูดอะไร และเดินไปยังห้องทำงานของตน
ตอนที่ใกล้จะถึงประตูห้องทำงานเธอพบกับเยี่ยสวี่ที่เพิ่งออกมาจากห้องทำงานของลู่สืออวี่
เจียงเหม่ยซีขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงออกมาจากห้องทำงานของลู่สืออวี่กัน ถ้าข่าวกรองไม่ผิดพลาด ตอนนี้พวกเขาสองคนน่าจะยังไม่มีโปรเจ็กต์อะไรที่ต้องทำร่วมกัน…ดูท่าว่ายังมีคนไม่ถอดใจสินะ
เจียงเหม่ยซีมองไปยังหน้าต่างกระจกใสด้านหลังเยี่ยสวี่แวบหนึ่ง ลู่สืออวี่กำลังนั่งเอนอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารอย่างเกียจคร้านยิ้มทักทายเธอ
เธอทำเป็นมองไม่เห็น สายตากลับมาตกอยู่บนใบหน้าของเยี่ยสวี่อีกครั้ง น้ำเสียงตอนที่เอ่ยปากเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าตอนเตือนพนักงานหญิงเมื่อครู่ไม่รู้กี่เท่า “เลขาฯ หลินจยาบอกหรือยังว่าพรุ่งนี้ต้องไปตรวจสอบบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์* ที่หนานจิง”
“ผมทราบแล้ว” เยี่ยสวี่ตอบรับ
“ในเมื่อทราบแล้ว ช่วงเช้าไม่มีอะไรทำหรือไง รู้จักแบ็กกราวนด์ของบริษัทนั้นดีแล้วเหรอ การดำเนินกิจการของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์เทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ แล้วมีลักษณะพิเศษอะไรบ้างรู้ไหม สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมเป็นยังไง ลักษณะเฉพาะทางเทคนิคมีผลกระทบต่อสภาพทางการเงินหรือเปล่า”
ภายใต้สถานการณ์ปกติ สิ่งเหล่านี้ที่เจียงเหม่ยซีพูดสามารถทำให้พนักงานที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วันลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่ตอนที่เธอวางมาดเจ้านายรอดูเยี่ยสวี่หงอให้นั้นอยู่นั้น เยี่ยสวี่กลับตอบด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าเธอ “เมื่อวานตอนเย็นก่อนเลิกงานผมส่งอีเมลรายงานคุณไปแล้ว ซึ่งรวมเรื่องพวกนั้นที่คุณพูดถึงเมื่อกี้ด้วย ถ้าเมื่อวานตอนเย็นคุณกลับช้าอีกสักนิด หรือไม่วันนี้มาถึงเช้ากว่านี้สักสองสามนาทีก็น่าจะเห็นอีเมลฉบับนั้นแล้วนะครับ”
เจียงเหม่ยซีกวาดสายตามองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนังทันที เก้าโมงสองนาที เขากำลังบอกเป็นนัยว่าเธอมาสายอย่างนั้นเหรอ
นี่ทำให้เธอรู้สึกอับอายนิดหน่อย เพราะไม่ต้องหันหน้าไปก็รู้ว่าข้างหลังมีสายตากี่คู่กำลังจ้องมองพวกเราที่อยู่ทางนี้
แต่เจียงเหม่ยซีเป็นใครล่ะ เธอสบตากับเยี่ยสวี่ไม่กี่วินาทีแล้วยิ้มออกมา ในเมื่อทุกคนต่างเข้าใจว่าเธออยากจะอาศัยโปรเจ็กต์ IPO นี้จัดการกับเขา ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่คงไม่ถึงกับจัดการให้ถึงตาย แค่อบรมสั่งสอนเด็กบ้านี่ด้วยความรักนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ
ดังนั้นเธอจึงเอ่ยว่า “ดูท่าทางนายจะกระตือรือร้นกับโปรเจ็กต์นี้ดีนะ ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก พวกเรายังมีเวลาอีกนาน”
เยี่ยสวี่ที่ถูก ‘ข่มขู่’ ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “น้อมรับบัญชาครับ”
เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานก็ได้รับข้อความจากมู่ตี๋
‘น้าเล็ก หนูถามน้าหน่อยได้ไหม น้ากับเยี่ยสวี่ตกลงว่ามีเรื่องบาดหมางอะไรกันแน่ มีความแค้นฆ่าพ่อกันเหรอ เมื่อกี้ตอนที่จ้องหน้ากันไม่กี่วิฯ นั่น หนูเหมือนเห็นประกายไฟสว่างวาบเลย!’
เจียงเหม่ยซีพิมพ์ตอบกลับไป
‘ตาเธอตายยังไง เธอไม่รู้เหรอ?’
‘งั้นน้ากับเขาที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน ทำไมความสัมพันธ์ถึงได้ตึงเครียดขนาดนั้นล่ะ’
‘เธอรู้ข่าวซุบซิบมาเยอะไม่ใช่หรือไง’
‘น้าหมายถึงข่าวลือที่ว่าเยี่ยสวี่อ่อยน้าไม่สำเร็จก็เลยยั่วโมโหน้าน่ะเหรอ หนูมีสมองนะ ไม่เชื่อหรอก!’
เจียงเหม่ยซีเห็นข้อความของมู่ตี๋ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
‘ทำไมล่ะ’
‘ถึงเมื่อก่อนเราสองคนจะไม่ได้สนิทกัน แต่เขาเป็นคนดังของมหา’ลัยเรานะ เพราะงั้นเรื่องของเขาหนูก็พอรู้มาบ้าง สาวสวยๆ ที่ตามจีบเขาตลอดสี่ปีในมหา’ลัยมีนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่แม้แต่จะมองสักแวบ…อีกอย่างหนูได้ยินเพื่อนที่อยู่หอเดียวกับเขาบอกว่าหอชายของพวกเขาบางครั้งก็จะเอาหนังโป๊มาดูกัน แต่เยี่ยสวี่มักจะหลบออกไปในเวลาแบบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยดูด้วยกันกับทุกคน ดังนั้นพวกเราก็เลยสงสัยว่าเขาอาจจะไม่ชอบผู้หญิง แบบว่า…ไม่ ‘เกิดอารมณ์’ กับผู้หญิงน่ะ’
เจียงเหม่ยซีเห็นข้อความนี้ก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา
‘เป็นไปไม่ได้’
‘เอ๊ะ! ทำไมน้าเล็กถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะ’
เมื่อเห็นข้อความนี้ มือของเจียงเหม่ยซีที่กำโทรศัพท์มือถืออยู่ก็ชะงักไปโดยไม่รู้ตัว สักพักเธอถึงพิมพ์ตอบมู่ตี๋กลับไป
‘เธอคุยกับรูมเมตคนนั้นของเขาลึกเชียวนะ’
เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้อความของมู่ตี๋ไม่ได้ส่งมาอีกครั้ง เจียงเหม่ยซีเปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มทำงานด้วยความพอใจ
ตอนเลิกงาน เจียงเหม่ยซีเดินผ่านแผนกของมู่ตี๋ก็พบว่าตัวคนไม่รู้ไปไหน แต่ของที่อยู่บนโต๊ะทำให้เธอหยุดฝีเท้าลง
เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าเอากล้องส่องทางไกลแบบที่ทหารใช้มาจากไหน ในออฟฟิศต้องใช้ของแบบนี้ด้วยเหรอ?
เจียงเหม่ยซีหยิบขึ้นมาดู พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าในออฟฟิศไม่มีใครจึงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาไว้ข้างหน้าแล้วลองส่องดู นั่นทำให้เธอค้นพบว่ามันสามารถมองเห็นตัวเลขที่อยู่บนปฏิทินซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรได้อย่างชัดเจน
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เธอก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่อยู่หลังหน้าต่างบานนั้น…
ในตอนนั้นเองภาพตรงหน้าพลันมืดลง เจียงเหม่ยซีหมุนปุ่มปรับโฟกัสอย่างไม่เข้าใจ แต่ภาพยังคงมืดสนิท เธอลองปรับโฟกัสระยะให้ออกห่างวัตถุมาอีกนิด ความมืดตรงหน้าค่อยๆ มีสีสันขึ้นมา เป็นสีฟ้าอ่อน มีลายนูน เหมือนว่าวันนี้เธอเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน…
“สนุกไหมครับ” จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นมา
เจียงเหม่ยซีมือสั่น กล้องส่องทางไกลลอยออกไปจากมือ ยังดีว่าเยี่ยสวี่ที่อยู่ตรงหน้ามีปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็วจึงรับไว้ได้อย่างเบามือและมั่นคง
ดีที่ไม่มีอันตราย เจียงเหม่ยซีถอนหายใจออกมายาวๆ
เยี่ยสวี่ส่งกล้องส่องทางไกลไปตรงหน้าเธอ “ยังไม่เลิกงานเหรอครับ”
เจียงเหม่ยซีรับกล้องส่องทางไกลมาและมองเขาแวบหนึ่งอย่างนึกสงสัย “มีอะไรเหรอ”
“ข้างนอกฝนตกแล้ว”
“แล้ว?”
“คุณเลิกงานเร็วหน่อยได้ใช่ไหมครับ”
เขาถามคำถามพวกนี้ไปทำไมกัน หรือว่าจะนัดเดตกับเธอ? เจียงเหม่ยซีรีบกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างระแวงระวัง โชคดีที่ไม่มีใครอยู่
เยี่ยสวี่เหมือนจะอ่านสายตาของเธอออกจึงพูดปลอบใจ “ทุกคนไปกินข้าวกันหมดแล้ว”
เจียงเหม่ยซีลอบถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองเยี่ยสวี่อีกครั้ง เธอปวดหัว ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านวันเวลาที่น่าอกสั่นขวัญแขวนอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน เธอคิดว่าจำเป็นจะต้องกำราบเขาเอาไว้ให้ดี
“ฉันคิดว่าคำพูดที่ควรพูดฉันก็พูดไปชัดเจนหมดแล้ว อยู่ในบริษัทการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแบบปกติกับฉันมันยากนักหรือไง ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบ ทำตามคำสั่งของหัวหน้าก็คือกฎระเบียบของที่นี่! ฉันนึกว่านายเป็นคนฉลาดมาตลอด แต่ตอนนี้เห็นทีว่าฉันจะมองผิดไปแล้ว”
เจียงเหม่ยซีพอใจกับคำพูดนี้ของตัวเองเป็นอย่างมาก ทั้งแสดงออกถึงความไม่พอใจของเธอ และยังแสดงออกถึงความผิดหวังที่เธอมีต่อเขา ขณะเดียวกันก็ยังบอกเขาเป็นนัยๆ อีกครั้งว่าหากเขายังไม่รู้จักกฎระเบียบแบบนี้ต่อไป เธอก็มีความสามารถที่จะทำให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน
เยี่ยสวี่นิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมก็แค่จะบอกว่าข้างนอกฝนตกแล้ว ผมไม่ได้พกร่ม ถ้าเป็นไปได้อยากจะติดรถไปด้วย แต่ถ้านี่คือสิ่งที่คุณเรียกว่าการกระทำเกินกว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแบบปกติ’ งั้นก็ช่างเถอะครับ”
เจียงเหม่ยซีนิ่งอึ้ง เธอเข้าใจเขาผิดจริงๆ งั้นเหรอ
เยี่ยสวี่เดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามองเจียงเหม่ยซี “รู้ไหมว่าทำไมคุณถึงคิดมากขนาดนั้น”
“ทำไม” เจียงเหม่ยซีไม่คิดว่าจะหลุดปากถามออกไป
เยี่ยสวี่ยิ้ม พูดอย่างสบายอารมณ์ยิ่ง “เพราะว่าคุณร้อนตัวน่ะสิครับ”
กว่าเจียงเหม่ยซีจะได้สติคืนมาแล้วออกอาการโมโห เขาก็เดินไปไกลแล้ว
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะเริงร่าของผู้ชายดังมาจากข้างหลัง เจียงเหม่ยซีตกใจ เธอหันกลับไปมองจึงพบว่าเป็นลู่สืออวี่
“มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ต้องห่วง ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็แค่ตอนที่เขาเพิ่งบอกว่าเธอกินปูนร้อนท้องเมื่อกี้น่ะ แต่ฉันอยากรู้ว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงบอกว่าเธอกินปูนร้อนท้อง ไม่ใช่ว่าเขาอ่อยเธอฝ่ายเดียวหรอกเหรอ”
“ทำไมอายุป่านนี้แล้วนายยังไม่เข้าใจอีก ความอยากรู้อยากเห็นบางทีก็ทำร้ายคนถึงตายได้นะ”
“ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็ยังอยากถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี…เจียงเหม่ยซีตกลงว่าเธอกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่”
เจียงเหม่ยซีมองลู่สืออวี่ที่อยู่ตรงหน้า เธอเงียบไปสักพักก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลัวว่านายจะแพ้อนาถเกินไปน่ะสิ”
ลู่สืออวี่ได้ยินแล้วไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังหัวเราะออกมาเสียงดัง “เหม่ยซี…เธอไม่รู้สึกเหรอว่าตัวเองจะชอบพูดจาแรงๆ ไร้สาระแบบนี้แค่ตอนที่เธอกำลังไม่มั่นใจน่ะ”
ฝีเท้าที่เตรียมจะผละจากไปของเจียงเหม่ยซีดูละล้าละลังเล็กน้อย แต่เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับลู่สืออวี่อีกจึงรีบเดินไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว
เมื่อขึ้นรถแล้วเธอถึงสังเกตว่าในมือยังถือกล้องส่องทางไกลตัวนั้นเอาไว้อยู่
เจียงเหม่ยซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งข้อความไปหามู่ตี๋
‘กล้องส่องทางไกลบนโต๊ะเธอฉันหยิบติดมือมานะ’
‘อ๊า ไม่ได้นะ!’
‘เธอใช้ของแบบนี้ทำอะไรล่ะ’
‘คอนเสิร์ตของอาซิ่นวันพรุ่งนี้ก็ต้องพึ่งมันไงล่ะ!’
‘ยังมีเวลาไปดูคอนเสิร์ต? ดูท่าทางเธอจะว่างจังนะ ฉันกำลังคิดว่าหรือต้องเพิ่มปริมาณงานที่เหมาะสมให้กับเธอดี’
‘น้าเล็ก! คุณผู้อำนวยการ! หนูเป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณนะ!’
เจียงเหม่ยซีคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพิมพ์ตอบกลับไป
‘เธอไม่ได้ส่งของขวัญให้ฉันนานแล้ว นี่ก็ใกล้จะวันเกิดฉันพอดีเลย เอาอันนี้ก็แล้วกัน ไม่รังเกียจ’
‘น้าแน่ใจเหรอ ยังเหลืออีกตั้งครึ่งปีนะ! เอ๊ะ แปลกแฮะ น้าจะเอามันไปทำอะไรอะ แอบถ้ำมองใครเหรอ’
เจียงเหม่ยซีเก็บโทรศัพท์มือถือลงไป ไม่ได้ตอบอะไรอีก
เจียงเหม่ยซีกินของว่างระหว่างทางกลับและแวะซื้ออาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ที่ร้านขนมปังตรงทางเข้าเขตคอนโดฯ เธอเสียเวลาระหว่างทางไปไม่น้อย แต่ตอนที่กลับถึงห้องกลับพบว่าหน้าต่างของตึกฝั่งตรงข้ามบานนั้นยังคงมืดสนิท
หรือว่าจะติดฝนจริงๆ? แต่ฝนก็ไม่ได้ตกหนักขนาดนั้นสักหน่อยนี่
เจียงเหม่ยซีโยนกล้องส่องทางไกลลงบนโต๊ะ ถอดเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำ หลังจากออกมาก็มาสก์หน้าแล้วเล่นโทรศัพท์สักพัก
ในที่สุดหน้าต่างของฝั่งตรงข้ามก็สว่างขึ้นมาตอนสี่ทุ่มครึ่ง เธอรีบดึงที่มาสก์หน้าออกแล้วหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา
ผู้ชายที่อยู่ในสายตายังคงสวมเสื้อผ้าของเมื่อตอนกลางวันเหมือนตอนอยู่ที่บริษัท เขาเดินไปเดินมาพลางแกะกระดุมเสื้อเชิ้ต
เจียงเหม่ยซีหมุนปุ่มปรับโฟกัสอย่างช้าๆ ใบหน้าของเยี่ยสวี่ก็ค่อยๆ ชัดขึ้น
เขาเดินมาถึงหน้าต่าง ถอดเสื้อเชิ้ตออกแล้วโยนลงบนเตียง ทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเท่ากับก่อนหน้านี้แท้ๆ เจียงเหม่ยซีอยากจะบอกว่าเด็กบ้านี่ชอบโชว์จริงๆ
แต่ว่า…มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากคืนก่อนๆ ด้วยการช่วยเหลือจากกล้องส่องทางไกลทำให้เธอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เส้นกล้ามเนื้อที่เรียบลื่น แนวกล้ามหน้าท้องที่เห็นได้รางๆ อีกทั้งผิวพรรณที่เป็นสีน้ำนมนั่น
สำหรับบรรดาพนักงานในบริษัท รูปร่างของลู่สืออวี่นั้นก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ได้ยินว่าเขามักจะไปฟิตเนสอยู่เป็นประจำ ตอนไปสร้างทีมสัมพันธ์เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วเจียงเหม่ยซีก็สังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อของเขาได้รับการเทรนมาอย่างดี แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเด็กบ้าคนนี้จะเหนือกว่าลู่สืออวี่ไปขั้นหนึ่ง
เจียงเหม่ยซีกำลังลอบเปรียบเทียบอยู่ในใจ แต่แล้วจู่ๆ ข้างหน้าเลนส์กล้องส่องทางไกลก็มืดสนิท เธอคิดไม่ถึงว่าในขณะที่กำลังดูฉากจำกัดอายุอยู่นั้น คนบางคนที่ไม่คิดจะปิดบังอะไรจะถึงกับดึงม่านหน้าต่างลง!
หรือว่าเขาจะมองเห็นเธอ? ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่าว่าแต่เขาไม่รู้ว่าเธอพักอยู่ห้องไหนเลย เมื่อกี้เขาไม่ได้มองมาทางเธอสักแวบด้วยซ้ำ!
เจียงเหม่ยซีวางกล้องส่องทางไกลลงอย่างไม่สบอารมณ์ และเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือที่เธอวางไว้บนโต๊ะก็สั่นครืด
ทีแรกเธอนึกว่าเพื่อนร่วมโปรเจ็กต์มีธุระจึงส่งข้อความหาเธอ แต่พอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูกลับพบว่าเป็นเยี่ยสวี่
‘เมื่อกี้ผมจองแท็กซี่ให้ไปส่งผมที่สนามบินวันพรุ่งนี้ จะไปด้วยกันไหม’
ไฟลต์บินที่หลินจยาจองให้เธอกับเขาเป็นไฟลต์เช้า ตอนเช้าๆ ค่อนข้างเรียกรถยาก ถือว่าเยี่ยสวี่รอบคอบมาก แต่เมื่อเย็นนี้เธอเพิ่งปฏิเสธคำขอติดรถของอีกฝ่ายไป เวลานี้จะให้ตอบว่าไปด้วยอย่างยินดีปรีดาก็ดูเหมือนจะหน้าไม่อายไปหน่อย
ในตอนที่เจียงเหม่ยซีกำลังคิดว่าจะยอมรับความหวังดีของเขาด้วยความจำใจอย่างไรดีนั้น เยี่ยสวี่ก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง
‘อ้อ…ลืมไป การติดรถกันไปดูเหมือนว่าจะเกินว่าความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแบบปกติ ช่างเถอะครับ ต่างคนต่างไปดีกว่า’
ว่าไงนะ! นี่เขากวนประสาทเธออยู่เหรอ?
เจียงเหม่ยซีชักจะโมโหแล้ว เธอรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยมือไม้สั่น นึกอยากจะสั่งสอนเขาสักหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่ากฎระเบียบในที่ทำงาน
แต่เพิ่งจะพิมพ์ข้อความไปได้ครึ่งเดียวก็ถูกข้อความที่ส่งเข้ามาใหม่ขัดจังหวะ
‘ไม่เห็นเหรอ หลับแล้ว? งั้นราตรีสวัสดิ์ครับ’
เธอยังไม่ทันได้ตอบอะไรสักคำ ทำไมถึงราตรีสวัสดิ์ไปซะแล้วล่ะ!
เจียงเหม่ยซีกลั้นหายใจ ต่อสายโทรศัพท์ออกไปโดยตรงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีคนที่เร็วกว่าเธอ ในโทรศัพท์มีเพียงเสียงอันเฉยเมยของผู้หญิงดังขึ้นว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้…”
ผลของการไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์โกรธก็คือ…คืนนี้เจียงเหม่ยซีนอนไม่หลับแล้ว!
เจียงเหม่ยซีตาค้างอยู่จนฟ้าเกือบสว่าง
ฝนยังคงตกอยู่ แต่ว่าเบากว่าเมื่อคืนแล้ว
เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยใช้เวลาเร็วที่สุด ตอนที่หิ้วกระเป๋าเดินทางหนังแท้ใบเล็กๆ ออกมาจากห้องก็เพิ่งจะเป็นเวลาตีห้าครึ่ง
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ถนนของเขตคอนโดฯ ก็เป็นพื้นลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ว่าจะกับกระเป๋าเดินทางหนังแท้ หรือกับรองเท้าส้นสูงของเธอก็ล้วนไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ดังนั้นระยะทางแค่สั้นๆ จากหน้าประตูตึกไปจนถึงประตูใหญ่ของเขตคอนโดฯ เจียงเหม่ยซีก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงแล้ว
เมื่อมาถึงประตูของเขตคอนโดฯ เธอถึงได้พบว่าตัวเองยังคงรอคอยว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น…เช่นว่าเยี่ยสวี่จะรอเธออยู่ตรงนั้น หรือไม่แค่บังเอิญเจอกันก็ยังดี
แต่ไม่มีเลย เขาพูดจริงทำจริง หน้าทางเข้าเขตคอนโดฯ เงียบเหงาเสียจนกระทั่งนกสักตัวก็ไม่มี
หลังจากนั้นเจียงเหม่ยซีก็กางร่มแล้วลากกระเป๋าเดินทางเดินไปต่ออีกหลายสิบเมตร เธอเดินมาจนถึงสี่แยกถึงได้โบกรถ
เป็นอย่างที่คาดไว้ เธอบอร์ดดิ้งเป็นคนสุดท้ายของไฟลต์บิน
ตอนที่เธอขึ้นเครื่องบินในวินาทีสุดท้ายและกำลังหาที่นั่งของตัวเอง เยี่ยสวี่ก็กำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจฉบับหนึ่งอยู่อย่างสบายอารมณ์
เห็นเธอเร่งรีบ เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ผมนึกว่าเราจะไปรวมตัวกันที่หนานจิงเสียอีก”
เจียงเหม่ยซีมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจดเท้าแวบหนึ่ง หน้าแดงระเรื่อ กระปรี้กระเปร่า แค่ดูก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนหลับสบาย อีกทั้งเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กส์ทั้งตัวเขาก็เป็นกลีบเรียบ แม้แต่รองเท้าหนังก็ยังสะอาดไร้ฝุ่น…ดูสดใสกว่าสภาพกระเซอะกระเซิงของเธอหลายขุม
เจียงเหม่ยซีไม่ได้ต่อบทสนทนากับเขา และแน่นอนว่าไม่ได้มีสีหน้าที่ดีอะไรให้กับเขาเช่นกัน เธอหันหน้าไปและเริ่มหาที่ว่างบนช่องเก็บสัมภาระทั้งสองด้าน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาที่ว่างได้ แต่ช่องเก็บสัมภาระบนเครื่องบินค่อนข้างสูงไปหน่อยสำหรับเธอ เจียงเหม่ยซีกวาดสายตามองห้องโดยสารจากด้านหน้าไปด้านหลัง แอร์โฮสเตสสาวสวยสองคนต่างก็กำลังบริการคนอื่นๆ อยู่
เมื่อไม่มีทางเลือกก็ได้แต่คิดหาวิธีเอาเอง
กระเป๋าที่เธอเอามาไม่นับว่าหนัก จริงๆ แล้วพยายามสักหน่อยก็คงเอาขึ้นไปวางได้ แต่วันนี้เธอสวมเดรสที่ค่อนข้างพอดีตัวที่ส่วนกระโปรงไม่ได้ยาวนัก ดังนั้นการจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงก็รู้สึกน่าเขินอายเล็กน้อย
ขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามือของตัวเองเบาโหวง กระเป๋าเดินทางถูกมือคู่หนึ่งที่ยื่นมาจากข้างหลังเอายัดเข้าไปบนช่องเก็บสัมภาระอย่างคล่องแคล่ว เสร็จสิ้นกระบวนการในเวลาไม่เกินสามวินาที
เจียงเหม่ยซีอึ้งไปชั่วขณะ พอหันกลับไปอีกที เยี่ยสวี่ก็กลับไปนั่งประจำที่แล้ว
“คุณผู้หญิงคะ เครื่องบินกำลังจะขึ้นแล้ว เชิญคุณนั่งประจำที่ของตัวเองด้วยค่ะ”
เจียงเหม่ยซีนั่งลงตรงที่วางข้างๆ เยี่ยสวี่อย่างคับแค้น
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอครับ” เยี่ยสวี่ถาม
เจียงเหม่ยซีก้มหน้ารัดเข็มขัดนิรภัยพลางเอ่ย “กลับกันเลย หลับสนิทดีมากต่างหากล่ะ”
เยี่ยสวี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “งั้นก็เป็นสาเหตุที่หน้าสดสินะครับ”
เจียงเหม่ยซีเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง”
เยี่ยสวี่สบตาเธออย่างตรงไปตรงมา “หน้าบวมน่ะ”
“นี่!”
เสียงของเจียงเหม่ยซีเรียกสายตาจากผู้โดยสารตั้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง และเธอเองก็ตระหนักได้ถึงการเสียมารยาทของตนเช่นกัน เจียงเหม่ยซีสูดลมหายใจลึกๆ และกดเสียงพูดให้เบาลง “นายนึกว่าพอไม่อยู่ในบริษัทแล้วพวกเราก็ไม่ใช่หัวหน้ากับลูกน้องกันใช่ไหม แต่อย่าลืมนะ นี่เป็นเวลาทำงาน”
เยี่ยสวี่ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะพูดอย่างขอไปที “ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมง”
เจียงเหม่ยซีที่ทำอะไรได้อย่างราบรื่นเสมอมา พบว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กบ้านี่ เธอมักจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ เป็นเบี้ยล่าง และถูกทำให้โมโหจนจะบ้าตาย
“ดูดีไหมครับ” เยี่ยสวี่เก็บหนังสือพิมพ์แล้วเหลือบมองแวบหนึ่ง
เจียงเหม่ยซีละสายตาจากใบหน้าของเขา “เทียบกับฉันที่หน้าสด ก็งั้นๆ แหละ”
เยี่ยสวี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์อย่างหาได้ยาก ไม่ได้เจือการเยาะเย้ยและการเหน็บแนมไว้ในรอยยิ้มแต่อย่างใด
เจียงเหม่ยซีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เธอหยิบผ้าปิดตาออกมาจากกระเป๋าเตรียมจะสวม แต่กลับได้ยินเยี่ยสวี่ถามขึ้นว่า “กล้องส่องทางไกลใช้ดีไหมครับ”
มือของเจียงเหม่ยซีชะงัก “กล้องส่องทางไกลอะไร”
เยี่ยสวี่หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนนอนก็ควรดูอะไรที่ช่วยทำให้นอนหลับ ไม่อย่างนั้นจะตาค้างเอาง่ายๆ นะครับ”
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดถึงอะไรอยู่” เจียงเหม่ยซีพูดจบก็สวมผ้าปิดตาเป็นการจบบทสนทนา
หรือเป็นเพราะดูภาพที่ทำให้เลือดสูบฉีดก่อนนอนเธอถึงได้นอนไม่หลับจริงๆ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้เธอทั้งง่วงและเพลียมากแล้ว ไม่นานนัก ในขณะที่เกิดการสั่นไหวขึ้นเบาๆ การรับรู้ของเธอก็ค่อยๆ เลือนรางไป
ตอนที่ตื่นมาอีกครั้ง เครื่องบินก็แลนดิ้งเรียบร้อยแล้ว
เจียงเหม่ยซีเปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเป็นอันดับแรก ข้อความแรกที่เข้ามานั้นมาจากเบอร์แปลก เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายนั้นที่พวกเขาต้องมาสำรวจและวิจัย
‘แม่น้ำของซิ่นซินลึกนะ รับโปรเจ็กต์ของชาวบ้านเขา ระวังจะขึ้นฝั่งไม่ได้!’
เจียงเหม่ยซีนิ่งงันไปโดยไม่รู้ตัว…นี่คืออะไรกัน ศัตรูจะแก้แค้น ผู้หวังดีต้องการเตือน หรือว่าเป็นแค่ปาหี่น่าเบื่อ?
“ข้อความเตือนภัย?” เสียงดังมาจากเยี่ยสวี่ที่อยู่ข้างๆ
เธอหันหน้าไปมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมสายตานายถึงดีนักนะ”
“สายตาปกติ แต่ตัวสูงเป็นข้อดี”
เจียงเหม่ยซีไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับเขา เธอยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจว่าใครเป็นคนส่งข้อความพรรค์นี้มาให้เธอ ที่สำคัญคืออีกฝ่ายรู้ว่าเธอกับเขาจะมาวันนี้ด้วย
เยี่ยสวี่ราวกับอ่านความคิดของเธอออก “อาจจะเป็นคู่แข่งเจ้าใดเจ้าหนึ่งก็ได้นะครับ”
“ทำไมถึงว่าอย่างนั้น” เจียงเหม่ยซีถามลอยๆ
เยี่ยสวี่วิเคราะห์แทนเธอ “บริษัทนี้จะเข้าสู่ตลาดได้หรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับพวกเรามากนัก พวกเราแค่ทำงานรับเงินเท่านั้น ทางโบรกเกอร์ต่างหากที่ต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนคนนี้จะปะทะกับพวกเรา คงแค่ไม่อยากให้ซิ่นซินเข้าสู่ตลาดอย่างราบรื่นก็เท่านั้น”
ความจริงแล้วเพียงแค่คิดให้ถี่ถ้วนสักหน่อย ทุกคนล้วนต้องคิดถึงจุดนี้ แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของพนักงานที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทได้ไม่กี่วัน ก็เลยทำให้เธอรู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย
แต่เธอก็ยังคงตอบกลับไปว่า “เรื่องไหนๆ ก็ไม่แน่นอนเสมอไปหรอก”
ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาถึงประตูทางออกแล้ว ในกลุ่มฝูงชนที่มารับผู้โดยสารมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนว่า ‘คุณเจียง’ อยู่บนป้ายดูเด่นชัดสะดุดตาเหลือเกิน
คนที่ชูป้ายเป็นชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงมากนัก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเองก็เดาได้ว่าเธอคงเป็นคนที่เขาต้องมารับ ดังนั้นจึงโบกป้ายในมือมาทางพวกเราสองคนอย่างบ้าคลั่ง
เจียงเหม่ยซีและเยี่ยสวี่สบตากัน ไม่ได้ต่อหัวข้อสนทนาเมื่อครู่อีก ก่อนจะเดินไปหาคนคนนั้น
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 65)
Comments
comments
No tags for this post.