X
    Categories: THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 3

แล้วพวกเขาก็เดินไปด้วยกันในฐานะคนแปลกหน้า

 

จิตใจของมนุษย์มักจะชอบฉายภาพฉากเดิมๆ ในอดีตซ้ำไปซ้ำมา จินตนาการถึงเหตุการณ์สมมติที่ต่างกันไป เป็นเหตุการณ์สมมติที่เกิดจากคำว่า ‘ถ้าหาก’ อันตามมาด้วยผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบ ในทางจิตวิทยา สิ่งนี้เรียกว่า ‘การคิดสวนทางกับความเป็นจริง’ เราจะนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วครุ่นคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำในสิ่งที่ต่างออกไป และพยายามจินตนาการว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน

จิตใจของเราจะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นในยามที่เรารอดจากอุบัติเหตุนับไม่ถ้วนไปได้อย่างหวุดหวิด เพียงเพราะดันไปเลือกใช้เส้นทางที่ต่างจากเดิม หรือตอนที่เราพลาดการเลื่อนตำแหน่งเพราะทำพลาดไปครั้งหนึ่งตอนพรีเซนต์งาน เราจะคิดว่าตอนนี้เราจะเป็นยังไงถ้าตอนนั้นเตรียมตัวดีกว่านี้ หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการบังเอิญเจอเพื่อนเก่าเพราะพวกคุณทั้งสองคนตัดสินใจไปร้านเดียวกันในเวลาเดียวกัน

ในบางกรณี การคิดสวนทางกับความเป็นจริงก็ทำให้เราเข้าใจความหมายของชีวิตและรู้สึกซาบซึ้งกับมัน โดยเฉพาะหลังจากที่เรารอดจากโศกนาฏกรรมมาได้ ในกรณีอื่นๆ การคิดสวนทางกับความเป็นจริงคือประสบการณ์การเรียนรู้โดยธรรมชาติที่สอนให้เราไม่ทำพลาดซ้ำสอง

ในขณะที่คนอื่นใช้การคิดสวนทางกับความเป็นจริงเป็นหนทางในการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง บรรดานักเขียนมักใช้กระบวนการนี้เป็นเครื่องมือในการ ‘สร้าง’ อนาคตขึ้นมา อย่างน้อยก็ในต้นฉบับล่ะนะ นักเขียนจะใช้การคิดสวนทางกับความเป็นจริงที่ว่านี้ตลอดเวลา ตลอดเวลาจริงๆ การคิดสวนทางกับความเป็นจริงอาจเป็นแค่นิสัยความเคยชินสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเขียน

นั่นคือสิ่งที่ไรยากำลังทำระหว่างกลับแพนเค้กในกระทะสำหรับมื้อเช้าของวันนี้ แต่หัวข้อของการคิดสวนกับความเป็นจริงของเธอไม่ใช่ตัวละครหรือพล็อตสำหรับต้นฉบับที่กำลังแต่ง ถ้าคุณเรียกข้อความประโยคเดียวว่าต้นฉบับได้ล่ะก็นะ หัวข้อนั้นคือเธอกับริเวอร์ ถ้าหากเธอไม่ได้เข้าไปในห้องมืดๆ ห้องนั้น ถ้าเมื่อวานตอนบ่ายเธอไม่ได้ไปที่เซ็นทรัลพาร์ก ถ้าหากริเวอร์ไม่เข้ามาหาเธอตอนต่างคนต่างเห็นอีกฝ่าย แล้วถ้าหากริเวอร์ปฏิเสธคำขอของเธอล่ะ

ความหลงใหลคือสิ่งที่ทำให้นักเขียนเดินหน้าต่อไปได้ นักเขียนจะแต่งเรื่องราวออกมาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาหลงใหลในบางสิ่งบางอย่างที่จะกลายเป็นแก่นสำคัญของเรื่องราวนั้นๆ และนั่นคือที่ไรยารู้สึกตอนเจอริเวอร์ เธอหลงใหลเขา ไม่ใช่เพราะว่าเธอโดนลักษณะนิสัยของเขาสะกดหรือเพราะเหตุผลรักๆ ใคร่ๆ ใดๆ เธอแค่สนใจใคร่รู้ในตัวเขามากๆ เลยต่างหาก ไรยารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีเรื่องราวซ่อนอยู่ข้างใน

‘ผมจะไปรับคุณพรุ่งนี้ตอนเก้าโมง’ ริเวอร์ตอบเธอแบบนั้นตอนบ่ายเมื่อวานหลังจากมองไรยาอยู่ห้าวินาทีด้วยสีหน้าที่ยากจะหยั่งถึงเหมือนเคย

‘แป๊บหนึ่งนะคะ เดี๋ยวฉันจดที่อยู่ให้’ ไรยาบอก หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ต

‘ไม่เป็นไรครับ คุณอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเอรินใช่ไหม เพื่อนของอากา? ผมรู้ว่าอยู่ที่ไหน’

ก่อนไรยาจะทันได้ตอบอะไร ริเวอร์ก็หันหลังเดินจากไปแล้ว ไรยามองเขาด้วยความงุนงง จนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

ในตอนนี้ ขณะที่ไรยาเทน้ำเชื่อมเมเปิลลงบนแพนเค้กที่จัดลงจาน เธอก็มองนาฬิกา อีกสิบห้านาทีจะเก้าโมงแล้ว แต่เขาเป็นคนตรงเวลา อีกแป๊บเดียวเขาคงมาถึง

“อรุณสวัสดิ์” เอรินบอกตอนเดินเข้ามาในครัว มือขยี้ตาคลายความง่วงงุน เธอแปลกใจที่เห็นไรยาแต่งตัวเรียบร้อยในเสื้อสเว็ตเตอร์กับกางเกงยีน “แต่งตัวแล้วเหรอ จะไปไหนอะ”

“ไปเดินเล่นน่ะสิที่รัก ล่าแรงบันดาลใจเพิ่มสักหน่อย” ไรยาพูด พยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่รู้ทำไมเธอถึงยังไม่อยากบอกเอรินว่าจะไปเจอใคร

“ว้าว! สปิริตแรงกล้ามาก”

“ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าวันนี้จะไปได้สวย รู้สึกว่าวันนี้จะได้เจอแรงบันดาลใจแน่ๆ” ไรยากล่าว เธอดูเวลาอีกรอบ จะเก้าโมงแล้ว

“ว้าว ในที่สุด! ดีใจด้วยนะ!” เอรินพูด ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “เออนี่ อากาได้ติดต่อเธอมาบ้างไหม”

“ติดต่อมาแล้ว เมื่อวานน่ะ เขาถามว่าข้อเท้าฉันดีขึ้นหรือยัง”

“ที่จริงเขาชวนเราไปกินข้าวกลางวันบ่ายนี้ด้วยนะ เธอจะมาใช่ไหม”

“อืม ไม่น่านะ ฉันว่าจะอุทิศวันนี้ทั้งวันให้กับการค้นคว้าน่ะ” ไรยาตอบด้วยสีหน้าลังเล

“ตอนสักประมาณบ่ายโมงตรงก็ยังไม่เสร็จเหรอ หรือบ่ายสอง มื้อกลางวันตอนสายไง”

“ฉันยังไม่รู้เลยที่รัก สัญญาไม่ได้จริงๆ ถ้าได้ไอเดียใหม่ขึ้นมา ฉันก็อยากจะเขียนมันลงไปทันที ต้องรีบกินตอนที่ยังร้อน จะให้ขาดตอนไม่ได้”

อยากรู้ความลับของนักเขียนไหม การพูดถึงงานเขียนหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนถือเป็นข้ออ้างชั้นเยี่ยมในการเลี่ยงนัดที่ไม่ได้อยากไป ปกติคนชวนจะไม่ถามอะไรต่อด้วยซ้ำเพราะพวกเขาไม่เข้าใจกระบวนการสร้างสรรค์แนวนี้

“งั้นก็ได้ เดี๋ยวบอกอากาให้”

เห็นไหมล่ะ

หลังไรยากินข้าวเช้าเสร็จ เธอก็เห็นว่าเลยเก้าโมงมาสองนาทีแล้ว ตอนหยิบกระเป๋า เธอมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนที่ติดกับถนน ก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ตรงข้ามอพาร์ตเมนต์ในเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำตาลเข้มกับหมวกกันหนาวสีเทา เขากำลังสูบบุหรี่ที่คีบไว้ระหว่างนิ้วมือข้างขวา ส่วนมือซ้ายถือสมุดสเก็ตช์ ถึงจะอยู่สูงขึ้นมาหลายชั้น ไรยาก็รู้ว่าเขาคือริเวอร์ และนั่นทำให้เธอยิ้ม

“ริน ฉันไปก่อนนะ!” ไรยาบอก รีบเดินออกจากอพาร์ตเมนต์แล้วตรงไปยังลิฟต์ พอลงไปถึงชั้นจี เธอก็เจอริเวอร์

“หวัดดีค่ะ”

“ไงครับ โทษที ผมว่าจะกดกริ่งแต่อยากสูบบุหรี่ให้เสร็จก่อน” ริเวอร์สูดควันเข้าปากเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบี้มวนบุหรี่ลงบนขอบถังขยะแล้วโยนมันเข้าไปข้างใน

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเห็นคุณจากหน้าต่างห้องเลยรีบลงมา วันนี้เราจะไปไหนดีคะ”

“คุณอยากไปไหนล่ะ”

“ฉันขอติดไปด้วยเฉยๆ เพราะงั้นฉันจะไปที่ที่คุณอยากไปค่ะ แล้วแต่คุณเลย”

ริเวอร์พยักหน้าแล้วชี้ไปทางทิศใต้ “ทางนี้ครับ” ไรยาก้าวตามเขาไปตามถนนทางเดินจนถึงรถไฟใต้ดิน ทั้งสองนั่งรถไฟสายเอ็นไปยังสถานีตรงถนนที่ 23 พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลย เพราะริเวอร์เป็นคนเงียบๆ หรือไม่รู้จะพูดอะไร ไรยาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ระหว่างพวกเขามีเพียงลมหายใจเป็นควันขาวจากอากาศที่หนาวเหน็บ

ไรยารู้ว่านี่มันบ้าไปหน่อย แค่หน่อยเดียวเท่านั้น คือก็อาจจะไม่หน่อยแหละ เธอชวนผู้ชายที่แทบไม่รู้จักไปเดินเล่นด้วยกัน เธอชวนผู้ชายที่ยังไม่เปิดเผยที่มาที่ไปของตัวเอง แบบนี้มันบ้าใช่ไหมล่ะ แต่เขาดูไม่มีพิษภัยนี่นา เขาไม่มีพิษภัยใช่ไหมนะ ไรยาถามตัวเองซ้ำๆ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ข้าง ‘คนแปลกหน้า’ คนนี้ในรถไฟใต้ดิน และจนกระทั่งในตอนนี้ตอนที่เธอก้าวเท้าตามเขาไปด้วยความเต็มอกเต็มใจ เขาก็ยังไม่เคยทำตัวประหลาดหรือแสดงความก้าวร้าวเลย

แล้วพวกเขาก็มาถึง ณ ฝั่งตรงข้ามเมดิสันสแควร์พาร์ก ตรงแยกบรอดเวย์กับฟิฟธ์อเวนิว ตึกแฟลตไอออนอันโด่งดังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

“คุณอยากวาดตึกนี้เหรอคะ” ไรยาถาม

ริเวอร์พยักหน้า “เดินดูรอบๆ กันก่อนเถอะครับ แล้วค่อยหาที่นั่งกัน”

ขณะที่ไรยาเดินตามเขาไปรอบๆ ตึกแฟลตไอออน ริเวอร์มักจะเงยหน้าขึ้นสังเกตลักษณะอันซับซ้อนของตัวตึก

“คุณรู้ไหมว่าตอนที่ตึกนี้สร้างเสร็จในปี 1902 มันกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในนิวยอร์ก มีถึงยี่สิบชั้น ทั้งงดงามและพิสดาร แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการใช้งานในมุมมองด้านสถาปัตย์”

คำพูดมากมายเกี่ยวกับตึกนี้พรั่งพรูออกมาจากปากริเวอร์อย่างง่ายดายจนไรยาไปไม่เป็น หนุ่มพูดน้อยคนนี้ไม่ได้พูดน้อยขนาดนั้นสักหน่อย

“จริงๆ แล้วมีอีกหลายตึกที่มีรูปทรงคล้ายแฟลตไอออน อย่างโรงแรมบราวน์พาเลซที่เดนเวอร์ โคลัมบัสทาวเวอร์ที่ซานฟรานซิสโก ริงก์เลอร์สแอนเน็กซ์ที่พอร์ตแลนด์ ส่วนที่โทรอนโตมีกูเดอร์แฮม โอ้ นี่ คุณหนาวไหม” ริเวอร์ถามพอเห็นว่าไรยายกแขนขึ้นกอดตัวเองเพื่อป้องกันลมหนาวของนิวยอร์กหลังจากทั้งสองเดินวนรอบตึกกลับมาที่เดิม ตรงจุดเริ่มต้น

“ไปนั่งข้างในกันดีกว่าครับ” เขาพูดก่อนไรยาจะให้คำตอบแล้วเดินนำไปทันที โดยรู้ว่าไรยาจะตามมา

ริเวอร์พาเธอไปคาเฟ่ลาวาซซาในอีตตาลี* สถานที่ทำการที่ใกล้จุดที่ทั้งสองยืนอยู่ที่สุด

“แต่คุณจะมองไม่เห็นแฟลตไอออนจากในร้านนะคะ ริฟ” ไรยาบอก

“ไม่เป็นไรครับ เราควรทำให้ร่างกายคุณอุ่นขึ้นก่อน” ถึงริเวอร์จะพูดแบบนั้นโดยแทบไม่ได้มองเธอเลย มันก็ยังส่งผลบางอย่างต่อใจของเธอ เธอส่ายหน้าราวกับพยายามขับไล่ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว หนึ่งในคำสาปของการเป็นนักเขียนคือการชอบหาความหมายจากคำพูดธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงเลย หรือจากคำพูดถ่อมตัวเหล่านั้น

ลาวาซซาเช้านี้แทบไม่มีคน มีลูกค้านั่งอยู่แค่สองโต๊ะ ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากันแล้วสั่งกาแฟร้อนสองที่

หลังเอามือถือออกมาวางบนโต๊ะ ริเวอร์ก็เปิดสมุดสเก็ตช์ทันที เขาหยิบดินสอจากกระเป๋ากางเกงแล้วลงมือวาด เมินไรยาไปโดยสมบูรณ์แบบ

เขาคงวาดเอาจากความทรงจำ ไรยาคิดกับตัวเอง เธอเลือกที่จะจมอยู่กับความคิดของตัวเองแทนที่จะซักไซ้ริเวอร์อย่างที่ทำไปเมื่อวันก่อน เธอก้มดูประโยคที่คิดขึ้นได้เมื่อวานนี้

 

‘ว่ากันว่าปารีสคือเมืองแห่งความรัก แต่สำหรับฉัน นิวยอร์กเหมาะกับฉายานั้นมากกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักเมืองนี้ อย่างที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักในเมืองนี้

ตามด้วยความว่างเปล่า

ในทุกการสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะกับสื่อหรือนักอ่าน ไรยามักจะบอกว่าส่วนที่ยากที่สุดของการแต่งนิยายคือประโยคเปิดเรื่อง มันเป็นดั่งจุดยึดเหนี่ยวของเนื้อเรื่องและประกายไฟที่เชิญชวนให้นักอ่านอ่านต่อ ส่วนนี้สำคัญมากถึงขั้นที่มีบทความมากมายถกกันถึงประโยคเริ่มเรื่องของงานวรรณกรรมไหนที่ควรค่าแก่การอ่านต่อ

‘พวกเขายิงเด็กสาวผิวขาวก่อน’ โทนี่ มอร์ริสันเขียนประโยคนี้ลงใน ‘พาราไดซ์’ ‘ครอบครัวแสนสุขนั้นเหมือนกันหมด ส่วนครอบครัวที่ไม่มีความสุขต่างก็ไม่มีความสุขในแบบของตัวเอง’ ลีโอ ตอลสตอยเขียนใน ‘อันนา คาเรนินา’ ‘หลายปีต่อมาเมื่อเผชิญหน้ากับหน่วยยิงเป้า พันเอกเอาเรเลียโน บวนเดียต้องย้อนนึกถึงช่วงบ่ายอันห่างไกลตอนพ่อของเขาพาไปดูน้ำแข็ง’ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซเปิดเรื่องในผลงานชิ้นเอกอย่าง ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว’ ด้วยประโยคนี้ หรือแม้แต่ ‘โลลิตา แสงสว่างแห่งชีวิตข้า เพลิงแห่งราคะ’ ที่เป็นประโยคเริ่มในนิยายของวลาดิเมียร์ นาโบคอฟ ที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่จนถึงทุกวันนี้

แต่อยากรู้อะไรไหม นั่นคือคำโกหกคำโตที่สุดที่ฉันเคยพูดออกสื่อเลยล่ะ ไรยาสารภาพกับตัวเอง แม้การเขียนประโยคเปิดจะเป็นส่วนสำคัญของต้นฉบับ แต่มันเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของการดิ้นรนต่อสู้อันยาวนานในการเขียนต่อให้จบ มันไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของความยากลำบากนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ก็นะ ไรยาคิด ดูฉันตอนนี้สิ เมื่อวานเธอเพิ่งฉลองให้กับ ‘การค้นพบ’ ประโยคเริ่มเรื่องใหม่ แต่แล้วเธอก็หลงทางอีกครั้ง บ้าเอ๊ย ฉันไม่มีหัวข้อเรื่องด้วยซ้ำ มีแค่ประโยคห่วยๆ สองประโยค

“เดี๋ยวผมมา” ริเวอร์บอก เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป และเช่นเคย โดยเฉพาะในครั้งนี้ ไรยาเริ่มจะชินกับนิสัยแปลกประหลาดของเขาแล้วจริงๆ ริเวอร์เดินออกจากคาเฟ่ไปโดยไม่สนใจใครพร้อมสมุดสเก็ตช์กับดินสอ ไรยามองเห็นริเวอร์ยืนพิงกำแพงและวาดรูปต่อจากทางหน้าต่าง

ผู้ชายคนนี้…ไรยาไม่อาจสรรหาคำใดมาบรรยายตัวเขาได้จริงๆ ลึกลับเหรอ หรือน่าหลงใหล หรือแปลก หรือน่าสนใจ ไรยาเริ่มรู้สึกว่าตัวเธอเองนี่แหละที่ประหลาด เธอรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างเถอะ ชื่อเขา เรื่องที่เขาชอบวาดรูป เรื่องที่เขาทำงานเป็นสถาปนิกที่จาการ์ตา มีน้องชายชื่ออากา คนที่ไรยาเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน หมดแล้ว เธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้เลย แต่เธอกลับอยู่ตรงนี้ เดินตามเขาไปไหนมาไหนราวกับลูกหมาหลงทาง

ในวินาทีนั้นเอง มือถือของริเวอร์ก็ดังและสั่นขึ้นมา ซึ่งไรยามองเห็นชื่อที่กะพริบอยู่บนหน้าจอได้อย่างชัดเจน

 

* Eataly คือตลาดรวมศูนย์อาหารอิตาเลียนขนาดใหญ่ ภายในพื้นที่มีทั้งร้านอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ ร้านค้าขายสินค้าปลีกต่างๆ ไปจนถึงโรงเรียนสอนทำอาหาร ก่อตั้งขึ้นโดย Oscar Farinetti มีสาขาทั้งในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา บราซิล แคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เป็นต้น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: