X
    Categories: THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 5

เสียงนั้นคือนิวยอร์ก

 

โรเบิร์ต เดอ นิโร เคยพูดไว้ว่า ‘ผมไปปารีส ผมไปลอนดอน ผมไปโรม แต่ผมมักจะพูดเสมอว่า ไม่มีเมืองไหนเหมือนกับนิวยอร์ก มันเป็นเมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกตอนนี้เลยล่ะ มันเป็นเมืองแบบนั้นเท่านั้นเลย’ นั่นอาจเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้สึกเมื่อมาถึงนิวยอร์ก มันคือเมืองที่ผู้อพยพหลายพันคนเลือกมาอาศัย ยังไม่รวมถึงชาวอเมริกาแปดหมื่นคนที่มาตั้งรกรากที่นี่ทุกปี นิวยอร์กคล้ายจาการ์ตาในแง่นี้ มันเป็นจุดหมายปลายทางของผู้มาเยือนใหม่ที่มาเสาะหาเทพีแห่งโชคชะตา มีแบบสำรวจบอกว่าพลเมืองครึ่งหนึ่งของนิวยอร์กมาจากเมืองอื่นไม่ก็ประเทศอื่น อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่องมายเฟิร์สต์นิวยอร์กว่า ‘สิ่งที่บอกว่าคุณเป็นชาวนิวยอร์กที่แท้จริงคือการตัดสินใจในสำนึกของตนว่าจะเป็นคนนิวยอร์ก’

ทุกคนที่มาเมืองนิวยอร์กเพื่อตั้งรกรากหรือมาพักผ่อนล้วนมีเหตุผลภายใต้การตัดสินใจของตน หลายคนมองเมืองนี้ดุจดวงประทีปแห่งความหวัง เป็นสถานที่ที่พวกเขาวาดฝันว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม อย่างเหล่าศิลปินสู้ชีวิตที่ควบงานสามสี่งานไปพร้อมๆ กับออดิชันไปด้วย เหล่าผู้อพยพที่เสี่ยงดวงด้วยการเริ่มธุรกิจขายขนมปัง ฟาลาเฟล* หรือฮอตดอกข้างถนน นักศึกษาจบใหม่ผู้เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นที่หวังจะได้งานที่วอลล์สตรีต พร้อมความฝันที่จะหาเงินได้หลายแสนดอลลาร์ภายในเวลาไม่กี่ปี ขับรถสปอร์ตสัญชาติอิตาลี และซื้ออพาร์ตเมนต์ในเซ็นทรัลพาร์กเวสต์หรือไม่ก็พาร์กอเวนิว ชีวิตอย่างที่คุณเห็นในหนังนั่นแหละ ไหนจะพวกนางแบบนายแบบมือใหม่ที่ตัดสินใจย้ายมานิวยอร์ก ใช้ชีวิตในอพาร์ตเมนต์แคบๆ คอยออกไปออดิชันเพื่อที่จะได้งานเดินแบบเล็กๆ สักงาน ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้ขึ้นปกนิตยสารโว้ก

สำหรับนักเดินทาง นิวยอร์กมีเสน่ห์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งผืนฟ้าจรดตึกเมือง บ้านที่สร้างด้วยหินแดงน้ำตาล พิพิธภัณฑ์ ผู้คน รวมถึงสวนสาธารณะและทางแยกมากมาย ทุกอย่างช่างเย้ายวนใจ ทุกสิ่งร้องหาความสนใจ รวมถึงการเชยชม และแน่นอน การได้เป็นพื้นหลังในรูปถ่ายช่วงวันหยุด ไม่แปลกใจเลยที่นิวยอร์กคือหนึ่งในเมืองที่มีคนถ่ายรูปมากที่สุดในโลก และอย่างที่นักข่าวและผู้เขียนเรื่องเดอะบอนไฟเออร์แอนด์เดอะแวนิตีส์อย่างทอม วูล์ฟได้เขียนไว้ว่า ‘เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของนิวยอร์กในทันที เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ห้านาทีก็เหมือนเป็นมาห้าปี’ ทุกคนที่มาเยือนที่นี่ต่างรู้สึกมัวเมา ถูกดึงดูดให้รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ในทันที จนฝันว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ในสักวัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง การได้ใส่คำว่า ‘ชาวนิวยอร์ก’ ลงในเรซูเม่แห่งชีวิตเป็นอะไรที่เท่ที่สุดเท่าที่จะทำให้ตัวเองได้แล้ว

วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ริเวอร์ตัดสินใจหนีมาใช้ชีวิตอยู่ที่นิวยอร์ก การมาใช้ชีวิตที่นี่อาจไม่ใช่คำอธิบายที่ตรงกับสิ่งที่เขาทำในเมืองนี้เท่าใดนัก จะเรียกว่ามาหยุดพักผ่อนก็คงไม่ใช่คำที่ถูกเหมือนกัน มันไม่ใช่การหลบภัย ไม่ใช่การเนรเทศ อย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือในวันนี้เมื่อปีที่แล้วริเวอร์ตัดสินใจหนีไปจากจาการ์ตาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในตอนนั้นที่ที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดคือนิวยอร์ก เขามีวีซ่าอเมริกาที่ใช้อยู่ที่นั่นได้สามปี แถมอากา น้องชายของเขายังอาศัยอยู่ที่นั่นตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยและตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อทำงาน

ริเวอร์คุ้นเคยกับนิวยอร์กดีเพราะเขาเคยมาที่นี่บ่อยแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เรียนอยู่อีทากาซึ่งใช้เวลานั่งรถไปนิวยอร์กเพียงแค่สี่ชั่วโมง จนถึงช่วงที่เขาบินจากจาการ์ตามาที่นี่บ่อยครั้งหลังย้ายกลับอินโดนีเซีย ระหว่างทริปเหล่านี้เขาได้ค้นพบสิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือมากกว่าในการเลือกเมืองนี้เป็นหลุมหลบภัยที่เหมาะเหม็งสำหรับเขาที่ ‘หนีมาอยู่’ นั่นคือเมืองนี้ไม่เคยว่างเปล่า ไม่เคยหลับใหล ทุกๆ ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ตอนบ่าย หรือกลางดึก หรือแม้กระทั่งยามเช้าตรู่ จะมีเสียงดังอยู่เสมอ เป็นเสียงที่ประกาศตำแหน่งของตัวเองในฐานะเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เสียงฝีเท้าไวๆ ของชาวนิวยอร์กที่ผสมไปกับเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ เสียงแท็กซี่กับรถบัสเร่งความเร็วไปตามท้องถนนและบีบแตร เสียงไซเรนรถตำรวจ เสียงจากตึกอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามถนน เสียงประสานอึงอลไม่เสนาะหูของนักดนตรีข้างถนน เสียงอึกทึกครึกโครมจากไซต์ก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ และเสียงดังวุ่นวายจากพนักงานเก็บขยะที่ทำงานอย่างลวกๆ และเร่งรีบอยู่เสมอ ความชุลมุนวุ่นวายของเมืองนี้คือสิ่งเดียวที่จะช่วยกลบเสียงของช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมาที่คอยตามหลอกหลอนเขา และในเมื่อริเวอร์หาวิธีจัดการกับเสียงเหล่านั้นไม่ได้แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี เขาจึงทำได้แค่หาเสียงที่ดังกว่ามากลบมันไว้เท่านั้น

เวลาที่เสียงในหัวทำให้คุณนอนไม่หลับและคุณทำให้มันเงียบลงไม่ได้ คุณต้องหาเสียงที่ดังกว่ามาช่วยให้คุณหลับ และสำหรับริเวอร์ เสียงนั้นคือนิวยอร์ก กระนั้นกว่าเขาจะหลับได้ก็เป็นเวลาตีสองตีสาม ก่อนจะตื่นขึ้นในอีกสี่ชั่วโมงต่อมา เป็นแบบนั้นทุกคืน เช่นเดียวกับคืนนี้ ตีสองแล้ว แต่ริเวอร์ยังคงตื่นอยู่ เขานั่งอยู่ข้างเตียงและอ่านข้อความล่าสุดจากแม่ หลังแยกกับไรยาเขาก็โทรกลับหาแม่เพื่อให้เธอใจเย็นลง รู้ดีว่าแม่ผู้เป็นที่รักกระวนกระวายใจอยู่ที่บ้าน ริเวอร์ตระหนักได้ว่าการหายไปหนึ่งปีเป็นระยะเวลาที่นาน แถมตอนแรกเขายังคิดว่าเวลาหนึ่งปีนั้นน่าจะเพียงพอแล้ว แต่ดูเขาตอนนี้สิ บางทีเส้นแบ่งระหว่างอดีตกับอนาคตของเราก็ไม่อาจจำกัดความได้ด้วยการเดินไปของเวลา ความเชื่อเรื่องเวลาจะเยียวยาทุกแผลใจใช้ไม่ได้กับความเจ็บปวดทุกรูปแบบ มันไม่แน่นอนว่าเราต้องใช้เวลานานแค่ไหนหรือต้องเดินไปอีกไกลเพียงใดถึงจะทำใจยอมรับอดีตได้ ต่อให้มันจะดูเหมือนเราได้ก้าวไปยังอนาคตแล้วก็ตาม

เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วแม่เขาส่งข้อความมาอีกรอบ ไม่นานหลังจากที่เพิ่งโทรคุยกันไป ตั้งแต่ยังเด็ก แม่จะเรียกเขาว่าอาบัง ซึ่งเป็นคำที่เรียกพี่ชายในภาษาอินโดนีเซียด้วยความรักใคร่ เขาอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง

‘อาบัง แม่สวดภาวนาให้ลูกพบความสงบในจิตใจทุกวัน ดูแลตัวเองดีๆ และอย่าลืมสวดภาวนานะ ลึกๆ ในใจแม่รู้ว่าอัลลอฮ์ให้อภัยลูกแล้ว เพราะฉะนั้นลูกต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองด้วยนะบัง ลูกแม่ ถึงเวลาปล่อยมันไปแล้ว’

 

มันเป็นช่วงหน้าร้อนปี 2005 พวกเขาเป็นนักศึกษาปีสองอยู่ที่คอร์เนล และพอลชวนริเวอร์ให้ไปซานฟรานซิสโกด้วยกัน ขอร้องเหรอ บังคับให้ไปด้วยเลยต่างหาก น้องสาวคนเดียวของพอลเพิ่งเริ่มเรียนทันตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก และแม่ของพวกเขาก็มาส่งน้องด้วย ทั้งยังยืนกรานให้พอลมาเจอเธอกับน้องสาวที่ซานฟรานซิสโกให้ได้ ‘แล้วก็นะพอล แม่อยากแนะนำใครคนหนึ่งให้รู้จัก’

‘ใครเหรอแม่’

‘ลูกสาวเพื่อนแม่จากบ้านซีมาตูปัง เธอเรียนที่นี่เหมือนกัน สวย ฉลาด ลูกชอบแน่นอน’

พอลไม่ชอบเลยเวลาแม่เขาทำตัวเป็นแม่สื่อ แถมเขากำลังคบหากับสาวชาวอเมริกันจากซีแอตเทิลที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันอยู่แล้วด้วย แต่เขาปฏิเสธแม่ไม่ได้ ไม่มีใครปฏิเสธคุณแม่ชาวบาตัก* ได้

‘เงียบทำไม ตอบสิว่าลูกจะมา จองตั๋วเครื่องบินเลย ลูกต้องมาถึงภายในวันมะรืนนี้ เข้าใจไหม’ แม่เขาสั่ง

‘ก็ได้ แม่ ไปก็ไป’

พอลไม่อยากติดอยู่ที่นั่นคนเดียว เลยอ้อนวอนให้ริเวอร์ไปด้วยกัน

‘ฉันไม่เคยขออะไรนายมาก่อนเลยใช่ไหมล่ะ ฉันเป็นเพื่อนสนิทนายนะ ไปเถอะน่า’ พอลหงาย ‘การ์ดเพื่อนรัก’

‘ขอร้องล่ะ ริฟ ฉันไม่อยากติดอยู่ที่นั่น ต้องกระอักกระอ่วนแน่เลยว่ะ นายต้องไปเป็นผู้ช่วยฉันนะ ริฟ ไปเถอะพวก’

‘นายรู้ไหมว่าอะไรที่น่ากระอักกระอ่วน การที่ฉันโผล่ไปด้วยไง อุล นี่มันเรื่องในครอบครัว ใครเขาไปนัดหาคู่พร้อมผู้ช่วยกัน’

‘อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ฉันบอกแม่แล้วว่าจะพาเพื่อนไปด้วย โอเคนะ’

ริเวอร์ยอมไปตามคำขอของพอลจนได้ สองวันต่อมาทั้งคู่ก็บินไปซานฟรานซิสโก นาทีที่เครื่องลงจอดในบ่ายวันศุกร์ฟ้าใสวันนั้น พวกเขาตรงไปยังโรงแรมที่แม่พอลพักอยู่ทันทีตามที่แม่ต้องการ

‘ไปกินข้าวกลางวันกันก่อนดีกว่า’

ทั้งสองมาถึงร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยข้างในโรงแรม พวกเขาเจอแม่กับน้องสาวของพอลที่นั่น รวมถึงหญิงสาวที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวของพอล พอลจูบมือแม่และกอดน้องสาว ตอนเขาหันไปทางผู้หญิงคนนั้น เขาดูแปลกใจพอเห็นว่าเธอเป็นใคร ‘อ้าว เธอเองเหรอ อันดารา! โตขึ้นเยอะเลยนะ ยังจำตอนเธอวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นกับน้องสาวฉันได้อยู่เลย มาเรียนที่นี่เหมือนกันเหรอ’

อันดาราหัวเราะ ‘ใช่ค่ะ เรียนคณะเดียวกับทิอาน่าเลย’ เธอบอก พูดถึงน้องสาวของพอล

‘ริฟ มาเจอทุกคนสิ นี่แม่ฉัน น้องสาวฉัน แล้วก็เพื่อนน้องสาวฉัน’

‘ชื่ออะไรล่ะพ่อหนุ่ม’ แม่พอลถามเขาด้วยสำเนียงบาตักชัดเจน

‘ผมชื่อริเวอร์ครับ คุณป้า’

‘ชื่อเพราะดีนะ แถมทั้งหล่อทั้งสูง เป็นอะไรเนี่ย’

ริเวอร์ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นยังไง

‘คือแม่ฉันจะถามว่านายเป็นคนชาติพันธุ์อะไรน่ะ’ พอลอธิบาย

‘อ๋อ ผมเป็นคนปาเล็มบัง** ครับ คุณป้า’

‘อ้อ น่าเสียดาย’

ริเวอร์งงอีกรอบ

‘ถ้าเธอเป็นคนบาตักเหมือนเรา ป้าคงให้แต่งกับลูกสาวป้าแล้ว’

‘แม่ ขอล่ะ’ ทิอาน่าพูด รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ส่วนพี่ชายเธอกลับมองแล้วหัวเราะ

‘นี่ อย่ามัวแต่หัวเราะ มานั่งตรงนี้แล้วอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวว่าที่เจ้าสาวแกก็มาแล้ว’

คราวนี้ริเวอร์เป็นฝ่ายกลั้นขำขณะมองพอลนั่งลงอย่างว่าง่ายตามที่แม่สั่ง

‘สั่งอะไรมากินสิ ป้าเลี้ยงเอง ป้ารู้ว่าเด็กมหา’ลัยอย่างพวกเธอไม่มีเงินหรอก จะสั่งอะไรก็สั่งเลย’

นี่เป็นครั้งแรกที่ริเวอร์ได้เจอครอบครัวของพอล และยังเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความใจดีซึ่งเป็นธรรมชาติของแม่ชาวบาตัก แม้พวกเธอจะขึ้นชื่อเรื่องพูดจาขวานผ่าซากจนน่าตกใจก็ตาม

‘อ้าว นั่นไง มานี่สิยัยหนู มานั่งนี่’ แม่พอลลุกขึ้นแล้วโบกมือไปทางประตูร้านที่มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ พอลกระซิบริเวอร์ทันที ‘สวยใช้ได้เหมือนกันนะ แม่ฉันเทสต์ดีนะเนี่ย คิดว่าไง ริฟ ฉันจะเอายังไงกับแม่สาวอเมริกันของฉันดี’

ริเวอร์เพียงแค่หัวเราะพลางตบไหล่พอล

ในช่วงวันที่เหลือในสัปดาห์นั้น ริเวอร์ต้องตามครอบครัวของพอลไปด้วยทุกที่ แม่พอลอยากเที่ยวทั่วซานฟรานซิสโกและถ่ายรูปแบบนักท่องเที่ยวตามจุดแลนด์มาร์กต่างๆ ในเมือง อย่างโกลเดนเกต ฟิชเชอร์แมนส์วอร์ฟ นั่งเรือเฟอร์รี่ หรือแม้กระทั่งเกาะอัลคาทราซ แต่ท้ายที่สุดริเวอร์ก็ยอมแพ้ พอพวกเขาตัดสินใจไปเดินซื้อของที่ยูเนียนสแควร์

‘คุณป้าครับ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมไม่ไปเดินซื้อของด้วย เดี๋ยวผมรอที่นี่ ว่าจะหากาแฟดื่มครับ’ ริเวอร์ขออนุญาต

‘อะไรกัน ไม่อยากไปซื้อของเหรอ’

‘ครับคุณป้า ผมจะรอที่นี่ ถ้าคุณป้าไม่ว่าอะไร’ ริเวอร์กล่าวอย่างสุภาพ

‘งั้นเหรอ ตามใจ’

‘แม่ เดี๋ยวผมรออยู่นี่ด้วย ผมจะอยู่เป็นเพื่อนริเวอร์’ พอลบอก พยายามเอาตัวรอดเหมือนกัน

‘โอ้ ไม่ได้หรอก ลูกต้องไปด้วย ไม่งั้นใครจะถือถุงซื้อของให้ล่ะ ริเวอร์เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีใครอยู่เป็นเพื่อน’

ริเวอร์หัวเราะเบาๆ มองแม่พอลดึงแขนเขาไปด้วยกัน ริเวอร์นั่งตรงโต๊ะข้างหน้าต่างในคาเฟ่มาหนึ่งชั่วโมงแล้ว โดยมีกาแฟหนึ่งแก้วกับอีบุ๊กหนึ่งเล่มในมือถือเป็นเพื่อน สำหรับริเวอร์การเดินซื้อของเป็นกิจกรรมที่ทรมานที่สุดในโลกที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สมัยอยู่จาการ์ตาช่วงก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คนเดียวที่ลากริเวอร์ไปเดินซื้อของด้วยกันได้คือแม่ของเขา เพราะเขาไม่อยากทำตัวเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟัง

‘ไงคะ’

ริเวอร์เงยหน้าจากมือถือขึ้นมาเห็นอันดารายืนอยู่ตรงหน้า ‘ไงครับ ซื้อของกันเสร็จแล้วเหรอ’

‘เปล่าค่ะ พวกเขายังเดินดูของกันอยู่ แต่ฉันขอตัวออกมาก่อน บอกไปว่าอยากดื่มกาแฟน่ะค่ะ บัง* พอลดูเศร้ามากเลย’

ริเวอร์หัวเราะ ‘นึกภาพออกเลยครับ’

‘มาส** หิวไหมคะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่าค่ะ ฉันว่าพวกเขาคงอีกนาน’

‘ได้ครับ แต่คุณเรียกผมว่าริเวอร์ก็ได้ ไม่ต้องเรียกว่ามาสหรอก’

‘แต่ฉันเรียกบังพอลว่าบังนี่คะ มันเป็นเครื่องหมายของการเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า คุณแก่กว่าฉันใช่ไหมคะ’ อันดาราหยอก

‘โอเค คุณชนะ’ ริเวอร์พูดกลั้วหัวเราะ ‘ไปกันเถอะครับ’

ริเวอร์กับอันดาราเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนน ผ่านร้านขายของกับร้านอาหารมากมายในยูเนียนสแควร์ ในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจแวะลองร้านโกลเดนบอยพิซซ่า

‘มาส คุณชอบหอยกาบไหมคะ’ อันดาราถามเขาตอนอ่านเมนู

‘ชอบครับ เอิมบะก์***

‘ทีงี้ทำไมถึงเรียกฉันว่าเอิมบะก์ล่ะ’ อันดาราหัวเราะเบาๆ

เสียงหัวเราะของเธอคือจุดเริ่มต้นของยามบ่ายอันเต็มไปด้วยบทสนทนาและเสียงหัวเราะ มีแค่พวกเขาสองคนเหนือถาดพิซซ่าหน้าหอยกาบกระเทียมที่สั่งมากินด้วยกันจนพอลโทรมา

‘ไอ้เวรริฟ สนุกใหญ่เลยสินะ อยู่ไหนเนี่ย’

‘ร้านโกลเดนบอยพิซซ่า ตามมาสิ อุล’ ริเวอร์พูดแบบกลั้นขำ รู้สึกได้ถึงความห่อเหี่ยวในน้ำเสียงของเพื่อนซี้จากปลายสาย

‘อยู่ตรงไหน’ พอลถาม

‘ใกล้ๆ ร้านที่ฉันออกมาก่อนหน้านี้ เดินตรงมาเลย’

‘โอเค กำลังไป อยู่คนเดียวเหรอวะ’

‘เปล่า อันดาราก็อยู่’

‘อ้ออออ เพราะงี้เองสินะ มีสาวอยู่ด้วย นี่นายเป็นเพื่อนประสาอะไรเนี่ย ริฟ’

‘นี่ เงียบปากแล้วย้ายตูดมาได้แล้ว’ ริเวอร์หัวเราะ ‘หิวล่ะสิ เดี๋ยวสั่งพิซซ่าให้กิน’

เวลาสามวันในซานฟรานซิสโกมันสั้น แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากนั้น พอลเริ่มใช้เวลากับฟริสกา หญิงสาวที่แม่เขาพามาแนะนำมากขึ้น ส่วนริเวอร์ก็ส่งข้อความคุยกับอันดาราตลอด ยังคงเรียกกันขำๆ ว่ามาสกับเอิมบะก์ แม้พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกเลยจนกระทั่งพอลกับริเวอร์เรียนจบแล้วย้ายกลับอินโดนีเซียก็ตาม แต่จักรวาลนั้นย่อมมีวิธีของตัวเองในการนำพาผู้คนมาพบเจอและแยกจากในแบบที่เราไม่อาจเข้าใจได้

ห้าปีหลังจากสัปดาห์นั้นในซานฟรานซิสโก ริเวอร์กับพอลกำลังเล่นบาสเกตบอลในสนามหลังออฟฟิศของพวกเขา ในช่วงบ่ายแดดจ้าวันนั้น ริเวอร์ล้มลงกระแทกบล็อกปูพื้นจนปากฉีกฟันแตก พอลขับรถพาริเวอร์ไปโรงพยาบาลทั้งที่เลือดท่วมเสื้อ หลังเย็บปากเรียบร้อยแล้ว พยาบาลก็เรียกทันตแพทย์ที่อยู่เวรแบบออนคอลล์* มาตรวจฟันริเวอร์ และปรากฏว่าทันตแพทย์คนนั้นคืออันดารา

‘ตายจริง โธ่ มาส เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ถึงคราวโผล่มา เลือดก็ท่วมตัวซะเว่อร์เชียว’ อันดาราแซว ‘แถมยังเกือบฟันหลออีก’

ริเวอร์หัวเราะแม้จะเจ็บปากเวลาขยับก็ตาม ‘เราเลยได้มาเจอกันนี่ไง เอิมบะก์’

ริเวอร์กลับมาที่คลินิกทันตกรรมอีกสามรอบ รอบแรกมาครอบฟันหน้าที่แตก รอบสองมาตรวจสภาพที่ครอบฟัน รอบสามมาเพราะเหตุผลอื่น อันดาราแปลกใจที่เขามาหาเธออีก

‘มีอะไรเหรอคะมาส ที่ครอบฟันมีปัญหาหรือเปล่า’

‘ไม่มีครับ ผมแค่อยากพาคุณไปทานข้าวเย็นด้วยกัน’ ริเวอร์ยิ้มอวดฟันเรียงสวย

หนึ่งปีต่อมา ทั้งคู่แต่งงานกัน

ว่ากันว่าเราไม่มีวันรู้คุณค่าของช่วงเวลาหนึ่งๆ จนกว่ามันจะกลายเป็นความทรงจำ เขาไม่รู้เลยว่าสัปดาห์ที่ตัวเองถูกบังคับให้ไปซานฟรานซิสโกจะเป็นวันที่เขาได้พบหญิงสาวที่วันหนึ่งได้กลายมาเป็นภรรยาของเขา วันที่ทั้งสองเริ่มสะสมความทรงจำที่จะพกติดตัวไปตลอด ความทรงจำที่เขากอบกุมมันเอาไว้ใกล้ตัวแม้กระทั่งชั่วโมงที่พวกเขาพูดคุยและหัวเราะร่าระหว่างกินพิซซ่าบนถาด รอยยิ้มเขินอายของอันดารายามเธอเรียกเขาว่ามาส สีหน้าเคร่งขรึมตอนเธอรักษาฟันให้เขา ก่อนจะยิ้มอายๆ อีกครั้งตอนถามว่า ‘คุณอยากได้ยาชาธรรมดาหรืออยากให้ฉันจัดเข้าไปหนักๆ จนเมาเลยดีคะ’ ครั้งแรกที่พวกเขาจับมือกัน จูบแรก วิธีที่เธอจูบที่ครอบฟันของเขาเบาๆ ทุกคืนก่อนนอน

ริเวอร์จำได้ทุกอย่าง ทุกรายละเอียด

รวมถึงเช้าวันนั้นเมื่อสามปีก่อน ตอนที่เขาฆ่าอันดารา

 

 

* อาหารแถบตะวันออกกลาง โดยนำถั่วลูกไก่ ถั่วปากอ้า หรือทั้งสองถั่วมาบด ปั้นเป็นก้อน แล้วนำไปทอด

* หนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุมาตราเหนือ

** หนึ่งในชาติพันธุ์ในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุมาตราใต้

* คำเรียกผู้ชายแบบสุภาพภาษาอินโดนีเซีย ใช้เรียกคนที่ไม่รู้จัก พี่ชาย ลูกชายคนโต หรือสามี นิยมใช้กันในจาการ์ตาและบางส่วนของเกาะสุมาตรา

** คำเรียกผู้ชายแบบสุภาพภาษาชวาใช้เรียกคนที่ไม่รู้จัก คนที่มีอายุเยอะกว่า หรือคนโสดที่มีตำแหน่งสูงกว่า ปัจจุบันใช้กันค่อนข้างแพร่หลายในอินโดนีเซีย

*** คำเรียกผู้หญิงแบบสุภาพภาษาชวาใช้เรียกคนที่ไม่รู้จัก คนที่มีอายุเยอะกว่า หรือคนโสดที่มีตำแหน่งสูงกว่า ปัจจุบันใช้กันค่อนข้างแพร่หลายในอินโดนีเซีย

* เวรออนคอล คือการเข้าเวรโดยไม่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาล แต่สามารถโทรตามให้เข้ามาดูเคสได้

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 65)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: