บทที่ 3
ฉันไม่ได้วาดภาพช่วงค่ำของตัวเองไว้แบบนี้เลย
ดึกแล้ว สำนักงานใหญ่ของอินเทคแทบว่างเปล่า ฉันยังมีงานที่ต้องทำซึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกสี่หรือห้าชั่วโมง และท้องไส้ฉันก็คำรามเสียงดังจนฉันชักสงสัยว่ามันกำลังจะเริ่มกินตัวเองแล้ว
“ฉิบหายแล้ว” ฉันกระซิบเมื่อตระหนักว่าจริงๆ แล้วฉันซวยมากขนาดไหน
หนึ่ง เพราะสิ่งสุดท้ายที่ฉันกินเข้าไปคือสลัดผักใบเขียวเหี่ยวๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ แม้ตอนนั้นมันจะดูเป็นความคิดที่มีเหตุผลที่สุดก็ตาม เพราะงานแต่งกำลังจะมีขึ้นในอีกแค่สี่สัปดาห์เท่านั้น สอง ฉันไม่มีขนมติดตัวอยู่เลยและไม่มีเหรียญไว้หยอดตู้ข้างล่างด้วย และสาม สไลด์พาวเวอร์พ้อยต์บนหน้าจอแล็ปท็อปของฉันยังคงกะพริบใส่ฉันในสภาพกึ่งว่างเปล่า
ฉันวางมือลงบนแป้นพิมพ์ ลังเลอยู่เหนือปุ่มอยู่หนึ่งนาทีเต็ม
ข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ ดึงความสนใจของฉันไป ชื่อของโรซีกะพริบวาบอยู่บนหน้าจอ ฉันปลดล็อก แล้วภาพหนึ่งก็แสดงขึ้นมาทันที
มันเป็นภาพกาแฟแฟลตไวท์นุ่มๆ ด้านบนราดด้วยฟองนมที่ทำเป็นลวดลายดอกกุหลาบสวยงาม ข้างๆ กันมีบราวนี่ทริปเปิ้ลช็อกโกแลตแวววาวอวดอยู่ใต้แสงไฟอย่างออกนอกหน้า
โรซี : มาไหม
เธอไม่จำเป็นต้องบอกชัดเจนหรือส่งที่อยู่ให้ฉันเลย ขนมเลิศรสนั่นต้องเป็นของร้านอะราวนด์เดอะคอร์เนอร์อย่างแน่นอน ร้านกาแฟสุดโปรดของเราในเมือง ฉันเริ่มน้ำลายสอทันทีที่นึกภาพตัวเองไปอยู่ในที่หลบภัยซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยกาเฟอีนบนถนนเมดิสันอเวนิวแห่งนั้น
ฉันกลั้นเสียงครางและตอบกลับไป
ลิน่า : ก็อยากนะ แต่ฉันติดงานอยู่
จุดสามจุดปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
โรซี : แน่ใจนะ ฉันจองที่ไว้ให้แล้ว
ก่อนที่ฉันจะทันได้พิมพ์ตอบ ก็มีอีกข้อความโผล่ขึ้นมา
โรซี : ฉันได้บราวนี่ชิ้นสุดท้ายมา แต่จะแบ่งให้ ตราบใดที่เธอรีบมาด่วนจี๋ ใจฉันไม่ได้แกร่งดั่งหินผาขนาดนั้น
ฉันถอนหายใจ ก็ยังดีกว่าความเป็นจริงที่ต้องนั่งทำงานล่วงเวลาในคืนวันพุธอย่างแน่นอน แต่…
ลิน่า : ฉันไปไม่ได้ ฉันกำลังจัดการเรื่องงานวันเปิดบ้านที่ฉันบอกเธอไง ว่าแต่ฉันจะลบรูปนั้นแล้วนะ ยั่วเกิน
โรซี : โอ ไม่นะ เธอบอกฉันแค่ว่าเธอหนีมันไม่พ้นแล้ว งานจัดเมื่อไร
ลิน่า : ทันทีที่ฉันกลับมาจากสเปน *อีโมจิเจ้าสาว* *อีโมจิกะโหลก*
โรซี : ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอต้องทำด้วย งานเธอไม่ได้ท่วมหัวอยู่แล้วหรือไง
ใช่เลย นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันควรจะทำ งานที่ฉันถูกจ้างมาให้ทำไง ไม่ใช่มาจัดงานเปิดบ้านต้อนรับที่จะใช้เป็นข้ออ้างอวดกับคนใส่สูทเป็นโขยงที่ฉันต้องคอยป้อนอาหาร ดูแล และทำตัวเป็นมิตรด้วยเป็นพิเศษ ไม่ว่านั่นจะหมายความว่าอย่างไรก็ตาม แต่การบ่นก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันคืบหน้าไปไหน
ลิน่า : *อีโมจิไม่ขำ* มันก็อย่างงี้ล่ะนะ
โรซี : เออ ก็นะ ตอนนี้ฉันชักไม่ชอบเจฟฟ์ขนาดนั้นแล้วล่ะ
ลิน่า : นึกว่าเธอบอกว่าเขาเป็นพ่อหมาป่าเฒ่าเสียอีก *อีโมจิยิ้มกริ่ม*
โรซี : ฉันพูดแบบกลางๆ ย่ะ แต่เขาก็ดูดีสำหรับคนวัยห้าสิบแล้วก็ยังเป็นไอ้ทุเรศได้ เธอก็รู้ว่าฉันจะมองว่าพวกนั้นน่าหลงใหลเป็นพิเศษ
ลิน่า : เธอก็เป็นงั้นจริง โรซี เท็ดนั่นน่ะเป็นไอ้หน้าตูดของแท้ ดีใจที่พวกเธอสองคนไม่ได้คบกันแล้ว
โรซี : *อีโมจิอุนจิ*
ไร้ซึ่งการส่งข้อความเข้ามาเป็นระยะเวลานานพอที่ฉันจะคิดว่าบทสนทนาของเราจบลงแล้ว ก็ดี ฉันต้องลงมือทำงานงี่เง่านี้…
โทรศัพท์ฉันส่งเสียงอีกครั้ง
โรซี : โทษที สามีเจ้าของร้านเพิ่งโผล่มา ฉันเลยเสียสมาธิ #จะเป็นลม
โรซี : เขาหล่อจัง เขาเอาดอกไม้มาให้ภรรยาสัปดาห์ละครั้งด้วยนะ *อีโมจิหน้าร้องไห้*
ลิน่า : โรซาลิน ฉันกำลังพยายามทำงานอยู่นะ ถ่ายรูปมาให้ฉันดูพรุ่งนี้
โรซี : โทษที ว่าแต่เธอได้คุยกับแอรอนหรือยัง *อีโมจิหน้าครุ่นคิด* เขายังรออยู่หรือเปล่า
ฉันไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อยที่จะต้องยอมรับว่าท้องไส้ของฉันทิ้งดิ่งเมื่อเธอเอ่ยถึงอะไรบางอย่างที่ฉันยังไม่ยอมให้ตัวเองได้คิดถึงอย่างไม่คาดฝันแบบนี้
คนโกหก ช่วงสองวันมานี้ให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังรอคอยให้ระเบิดทิ้งโครมลงมาในตอนที่ฉันไม่ทันตั้งตัวอย่างถึงที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
ไม่…แอรอนไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะเป็นคู่เดตไปงานแต่งไร้สาระอะไรนั่นเลยตั้งแต่วันจันทร์ โรซีก็ไม่ได้พูดเช่นกันเพราะเราแทบไม่ได้เจอกันเลยจากตารางที่แน่นเอี้ยดของเราสองคน
ลิน่า : ฉันไม่รู้เลยว่าเธอหมายถึงอะไร เขากำลังรออะไรอยู่งั้นเรอะ
โรซี : …
ลิน่า : อะไรอย่างการปลูกถ่ายหัวใจหรือไง ฉันได้ยินมาว่าเขาไม่มีนะ
โรซี : ฮ่า ตลกมาก เธอน่าจะเก็บมุกนี้ไว้เล่นตอนเธอสองคนคุยกันนะ
ลิน่า : เราจะไม่คุยกัน
โรซี : ใช่เลย เธอสองคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจ้องกันและกันอย่างเร่าร้อน *อีโมจิไฟลุก*
สีระเรื่อแผ่ขึ้นมาที่แก้มของฉันโดยที่ฉันไม่ต้องการ
ลิน่า : หมายความว่ายังไงยะ
โรซี : เธอก็รู้ว่าหมายความว่ายังไง
ลิน่า : ว่าฉันอยากจุดไฟเผาเขาบนกองฟืนเหมือนแม่มดงั้นเรอะ ถ้างั้นก็โอเค
โรซี : เขาก็อาจจะอยู่ทำงานดึกเหมือนกันนะ
ลิน่า : แล้วไง
โรซี : แล้ว…เธอก็อาจจะไปที่ห้องทำงานของเขาแล้วถลึงตาจ้องเขาในแบบที่ฉันแน่ใจว่าเขาชอบสุดๆ ได้ตลอดน่ะสิ
เดี๋ยวๆ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย
ฉันขยับตัวบนเก้าอี้อย่างอึดอัดขณะจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความพรั่นพรึง
ลิน่า : เธอกำลังพูดบ้าอะไรอยู่ไม่ทราบ นี่กินช็อกโกแลตเยอะไปอีกแล้วใช่ไหม เธอก็รู้ว่ามันทำให้เธอหลอน *อีโมจิช็อก*
โรซี : เชิญบ่ายเบี่ยงไปเถอะ
ลิน่า : ไม่ได้บ่ายเบี่ยง ตอนนี้แค่เป็นห่วงสุขภาพเธอจริงๆ
โรซี : *อีโมจิกลอกตา*
นี่ถือเป็นเรื่องใหม่แฮะ เพื่อนฉันไม่เคยพูดตรงๆ ถึงเรื่องไร้สาระอะไรก็ตามที่เธอคิดว่าตัวเองเห็นเลย แต่เธอก็ยังคงหย่อนความเห็นไว้ตรงโน้นตรงนี้บ้างนานๆ ที
‘บรรยากาศดุดันร้อนฉ่า’ เธอเคยพูดแบบนั้นหนหนึ่ง ซึ่งฉันก็พ่นลมหายใจแรงๆ จนน้ำพุ่งออกมาจากจมูกนิดหน่อย
ฉันคิดว่าการสังเกตการณ์ของเธอมันน่าขันขนาดนั้นเลยล่ะ
ในความเห็นอันถ่อมตัวของฉัน ละครน้ำเน่าทั้งหลายแหล่ที่เธอดูนั้นเริ่มจะทำให้การรับรู้ความเป็นจริงของเธอเลอะเลือนแล้ว ให้ตาย แล้วในหมู่พวกเราสองคนซึ่งฉันก็เป็นคนสเปนด้วยนะ ฉันนั่งดูละครน้ำเน่ากับคุณยายของฉันมาตั้งแต่เล็ก แต่ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในละครพรรค์นั้นแน่นอน ไม่มีบรรยากาศดุดันร้อนฉ่าอะไรระหว่างแอรอน แบล็กฟอร์ดกับฉันทั้งนั้น ฉันไม่ได้ถลึงตาจ้องเขาในแบบที่เขาชอบสุดๆ แอรอนไม่ได้ชอบอะไรทั้งนั้น เขาทำแบบนั้นไม่ได้ตราบใดที่เขาไม่มีหัวใจ
ลิน่า : เอาล่ะ ฉันมีงานต้องทำ เพราะงั้นฉันจะปล่อยให้เธอกลับไปจิบกาแฟล่ะ แล้วก็หยุดปล้นเคาน์เตอร์ขนมซะทีนะ ฉันเป็นห่วง
โรซี : โอเค โอเค ฉันจะหยุด…ไปก่อนตอนนี้ *อีโมจิหัวใจ* โชคดีนะ!
ลิน่า : *อีโมจิหัวใจ* *อีโมจิไฟลุก*
ฉันล็อกหน้าจอโทรศัพท์และวางคว่ำลงบนโต๊ะ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกพลัง
ได้เวลาเปิดงานแล้ว
ภาพบราวนี่ช็อกโกแลตผุดขึ้นมาในหัวฉัน
…จู่โจมฉัน
ไม่นะ ลิน่า
การคิดถึงบราวนี่หรืออาหารใดก็แล้วแต่ไม่ได้ช่วยอะไร ฉันจำเป็นต้องทำให้ตัวเองเชื่อว่าฉันไม่หิว
“ฉันไม่หิว” ฉันพูดออกมาดังๆ พลางเกล้าผมสีน้ำตาลเข้มเป็นมวย “ท้องฉันอิ่ม แน่นไปด้วยของอร่อยๆ ทุกชนิด อย่างทาโก้ หรือพิซซ่า หรือบราวนี่ กาแฟกับ…”
ท้องฉันส่งเสียงโครกคราก ไม่ไยดีต่อการฝึกสร้างมโนภาพของฉันแม้แต่น้อย ทั้งยังรุกล้ำเข้ามาในสมองของฉันด้วยความทรงจำจากร้านอะราวนด์เดอะคอร์เนอร์ กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟอบ รสชาติแรกที่โจมตีเข้ามาหลังกัดบราวนี่ที่ทำจากช็อกโกแลตสามชนิดเข้าไปหนึ่งคำ เสียงอุ่นนมด้วยไอน้ำของเครื่องทำกาแฟ
เสียงบ่นจากท้องจอมเอะอะของฉันดังขึ้นมาอีกรอบ
ฉันถอนหายใจ ปัดภาพในหัวเหล่านั้นออกไปอย่างไม่เต็มใจนักและม้วนแขนเสื้อคาร์ดิแกนตัวบางที่ฉันต้องใส่เวลาอยู่ในตึกนี้ขึ้น ต้องขอบคุณแอร์ที่เปิดเสียสุดในช่วงหน้าร้อน
“โอเค ท้องจ๋า ช่วยฉันหน่อยนะ” ฉันพึมพำกับตัวเองราวกับถ้อยคำพวกนั้นจะสามารถสร้างความแตกต่างได้จริง
“พรุ่งนี้ฉันจะพาเราไปอะราวนด์เดอะคอร์เนอร์นะ ส่วนตอนนี้เธอต้องอยู่เงียบๆ และปล่อยให้ฉันทำงานก่อน โอเคไหม”
“โอเค”
เสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ในห้องทำงาน ประหนึ่งท้องของฉันเป็นคนตอบ
แต่ฉันไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
“ประหลาดอยู่นะ” เสียงทุ้มต่ำเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง “แต่ผมเดาว่ามันก็เข้ากับบุคลิกของคุณดี”
ฉันหลับตาลง ไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นก็รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังโทนเสียงเข้มนั้น
ยายบ้า โรซาลิน เกรแฮม เธอเรียกเทพปีศาจตนนี้เข้ามาในห้องทำงานของฉัน เธอจะต้องชดใช้ด้วยช็อกโกแลต
ฉันสบถเสียงแผ่ว แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนที่ได้ยินฉันกระตุ้นพลังตัวเองอยู่แล้ว ฉันบังคับใบหน้าไม่ให้แสดงอารมณ์ใดๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ
“ประหลาดงั้นเรอะ ฉันชอบคิดว่ามันน่ารักมากกว่านะ”
“ไม่เลย” เขาตอบอย่างรวดเร็ว เร็วเกินไปด้วยซ้ำ “เวลาคุณพูดเกินคำสองคำ มันก็ออกจะน่ากลัวนิดหน่อย นี่คุณพูดกับตัวเองเป็นประโยคๆ เลย”
ฉันคว้าสิ่งที่แรกที่เจอบนโต๊ะ สิ่งนั้นคือปากกาไฮไลต์แท่งหนึ่ง ฉันสูดหายใจเข้าแล้วก็ออก
“ขอโทษนะ แบล็กฟอร์ด แต่ฉันไม่มีเวลามานั่งจับผิดนิสัยประหลาดๆ ของฉันตอนนี้หรอก” ฉันว่าพลางชูปากกาไฮไลต์ขึ้น “คุณต้องการอะไรหรือเปล่า”
ฉันมองดูเขาขณะที่เขายืนอยู่ใต้กรอบประตูห้องทำงานของฉันโดยมีแล็ปท็อปเหน็บอยู่ใต้แขน คิ้วสีเข้มข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้น
“อะไรคืออะราวนด์เดอะคอร์เนอร์” เขาสงสัย เริ่มเดินมาทางฉัน
ฉันหายใจออกช้าๆ เมินคำถามนั้น และจ้องมองขายาวๆ ของเขาก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะ จากนั้นฉันก็ต้องมองดูเขาเดินอ้อมมาหยุดอยู่ทางด้านซ้ายมือ
ฉันหมุนเก้าอี้ทำงานหันไปเผชิญหน้ากับเขา “ขอโทษนะ แต่มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”
สายตาของเขาเลื่อนไปยังหน้าจอแล็ปท็อปด้านหลังฉัน ร่างใหญ่ของเขาโน้มลงมา
ฉันเอนหลังบนเก้าอี้เมื่อตระหนักว่าร่างกายของเขาอยู่ใกล้หน้าของฉันแค่ไหน และมันดูใหญ่กว่าเดิมขนาดไหนเมื่ออยู่ในระยะประชิดเช่นนี้ “นี่” คำนั้นเปล่งออกมาด้วยเสียงสั่นเครือเกินกว่าที่ฉันจะอยากให้มันเป็น “คุณกำลังทำอะไรน่ะ”
เขาวางมือซ้ายลงบนโต๊ะของฉันและส่งเสียงฮึมฮัม เสียงแผ่วค่อยนั้นฟังดูใกล้พอๆ กับตัวเขานั่นแหละ ตรงหน้าฉันเลย
“แบล็กฟอร์ด” ฉันเรียกช้าๆ พลางมองดูสายตาของเขาไล่อ่านสไลด์พาวเวอร์พ้อยต์บนหน้าจอแล็ปท็อปของฉัน มันเป็นตารางคร่าวๆ ที่ฉันทำไว้สำหรับงานเปิดบ้านอินเทค
ฉันรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือทำไมเขาถึงเมินฉัน…นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเขาพยายามทำตัวทุเรศที่สุดกับฉันน่ะนะ
“แบล็กฟอร์ด ฉันกำลังพูดกับคุณอยู่นะ”
เขาส่งเสียงฮึมฮัมอีกครั้ง จมอยู่ในห้วงความคิด ไอ้เสียงบ้านั่นฟังดูแผ่วเบาและสมกับเป็นชายเสียเหลือเกิน
และน่ารำคาญด้วย ฉันเตือนตัวเอง
ฉันกลืนก้อนที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นในลำคออย่างน่าอัศจรรย์ลงไป
จากนั้นในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “คุณมีเท่านี้เองเรอะ”
เขาวางแล็ปท็อปของตัวเองไว้ข้างเครื่องของฉันบนโต๊ะอย่างใจลอย
ดวงตาฉันหรี่ลง
“แปดโมง พบปะทักทาย” แขนล่ำหนาข้างหนึ่งพาดผ่านหน้าฉันไปชี้ที่หน้าจอ
ฉันเบียดตัวเองแนบชิดสนิทแน่นกับพนักเก้าอี้พลางมองดูกล้ามต้นแขนของเขาขยับอยู่ใต้เนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตเรียบๆ ที่เขาสวมอยู่
แอรอนอ่านออกเสียงสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอฉันต่อพร้อมกับชี้นิ้วไปด้วยในทุกข้อ “เก้าโมง กล่าวแนะนำกลยุทธ์ทางธุรกิจของอินเทค”
สายตาฉันเลื่อนขึ้นไปถึงไหล่ของเขา
“สิบโมง พักดื่มกาแฟ…จนถึงสิบเอ็ดโมง นั่นต้องใช้กาแฟปริมาณมหาศาลแน่ สิบเอ็ดโมง กิจกรรมก่อนมื้อเที่ยง ไม่ได้ลงรายละเอียด”
ฉันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าท่อนแขนของเขาเต็มแน่นอยู่ในแขนเสื้ออย่างพอดิบพอดีชนิดที่ว่าฟิตเป๊ะขนาดไหน กล้ามเนื้อของเขาแนบสนิทกับเนื้อผ้าบางๆ และไม่เหลือพื้นที่ให้จินตนาการมากนัก
“เที่ยง พักรับประทานมื้อกลางวัน…จนถึงบ่ายสองโมง งานเลี้ยงใหญ่เลยนะเนี่ย โอ๊ะ แล้วก็มีพักดื่มกาแฟอีกรอบตอนบ่ายสามโมงด้วย” แขนที่ฉันเพ่งสมาธิจ้องอยู่นั้นหยุดชะงักกลางอากาศก่อนจะทิ้งตัวลง
ฉันหน้าแดงพลางเตือนตัวเองว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อจ้องเขาตาค้างหรือกล้ามเนื้อที่ฉันสังเกตเห็นภายใต้เสื้อผ้าอันน่าเบื่อของเขา
“นี่เลวร้ายกว่าที่ผมคิดเสียอีก ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลย”
ฉันหลุดจากภวังค์ เงยหน้าขึ้นมองเขา “ขอโทษที อะไรนะ”
แอรอนเอียงคอ แต่แล้วก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างสะดุดตาเขาเข้า สายตาฉันมองตามมือของเขาที่เอื้อมผ่านข้ามโต๊ะฉันไป
“งานแบบนี้” เขาเอ่ยออกมา จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมาด้ามหนึ่งท่ามกลางกองปากกาที่ฉันวางไว้เกลื่อนกลาด “คุณไม่เคยจัดมาก่อน แล้วก็ดูจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” เขาหย่อนมันลงในที่ใส่ปากการูปต้นกระบองเพชรของฉัน
“ฉันมีประสบการณ์กับเวิร์กช็อปนิดหน่อย” ฉันงึมงำขณะมองตามนิ้วของเขาซึ่งหยิบปากกาด้ามที่สองขึ้นมาแบบเดิม “แต่ก็แค่จัดให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่เคยจัดให้ว่าที่ลูกค้า” จากนั้นก็ด้ามที่สาม “ขอโทษนะ คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย”
“โอเค” เขาตอบเรียบๆ พลางคว้าดินสอแท่งโปรดของฉันที่เป็นสีชมพูมีขนนกสีสดใสสีเดียวกันอันหนึ่งติดอยู่ด้านบน เขามองมันแปลกๆ คิ้วทั้งสองข้างเลิกขึ้น “ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นล่ะนะ” เขาใช้ดินสอชี้มาที่ฉัน “นี่น่ะ ถามจริง”
ฉันกระชากมันมาจากมือของเขา “มันช่วยให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น” ฉันใส่มันลงในที่ใส่ปากกา “ขัดรสนิยมของคุณหรือไง คุณโรบอต”
แอรอนไม่ตอบ มือของเขากลับเอื้อมไปหาแฟ้มสองแฟ้มที่ฉันตั้งซ้อนกันไว้…โอเค ก็ได้ ฉันโยนๆ มันไว้ตรงไหนสักแห่งทางขวามือของฉัน
“ผมรู้จักพวกงานทำนองนี้” เขาว่า ก่อนหยิบแฟ้มขึ้นมาจัดเรียงให้ตรงอยู่บนมุมโต๊ะของฉัน “ผมเคยจัดอยู่สองสามงานก่อนมาทำงานที่อินเทค” ตามด้วยการเอื้อมไปหาสมุดแพลนเนอร์ของฉันซึ่งวางคว่ำอยู่ในกองอีเหละเขละขละที่ฉันเริ่มจะตระหนักแล้วว่าเป็นพื้นที่ทำงานของฉันเอง เขาถือมันไว้ในมือขนาดเท่าอุ้งมือสัตว์นั้น “เราแค่ต้องลงมือให้เร็ว มีเวลาวางแผนไม่มากแล้ว”
เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว
“เรา?” ฉันคว้าสมุดแพลนเนอร์ของตัวเองมาจากมือของเขา “ไม่มีเราอะไรทั้งนั้น” ฉันแค่นเสียง “แล้วคุณก็ช่วยเลิกยุ่งกับข้าวของของฉันสักทีได้ไหม นี่คุณกำลังพยายามทำอะไรอยู่เนี่ย”
มือที่อยู่ไม่สุขของเขาขยับอีกครั้ง คราวนี้อ้อมไปหลังเก้าอี้ แอรอนเกือบหนีบฉันไว้ระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้แล้วขณะที่ศีรษะของเขาอ้อยอิ่งอยู่เหนือหัว อีกทั้งยังคอยสอดส่ายสายตามองดูข้าวของของฉัน
ฉันรอคอยคำตอบพลางมองดูโครงหน้าของเขาและพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่รับรู้ถึงไออุ่นที่ฉันรู้สึกได้ว่าแผ่กรุ่นมาจากตัวเขา
“คุณไม่มีทางโฟกัสได้เลย โต๊ะรกขนาดนี้” ในที่สุดเขาก็บอกฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมเลยกำลังจัดใหม่”
ปากฉันอ้าค้าง “ฉันโฟกัสได้ปกติดีจนกระทั่งคุณเข้ามานี่แหละ”
“ผมขอดูรายชื่อผู้เข้าร่วมงานที่เจฟฟ์ร่างมาให้หน่อยได้ไหม” นิ้วของเขาลอยอยู่เหนือปุ่มบนแป้นพิมพ์แล็ปท็อปของฉัน ก่อนเปิดหน้าต่างขึ้นมาหน้าหนึ่ง
ระหว่างนั้นฉันก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่ม…อุ่นขึ้น อึดอัด แต่อย่างน้อยเขาก็เลิกแตะต้องข้าวของของฉันล่ะนะ
“โอ้ นี่ไง” เขาดูเหมือนกำลังกวาดตาอ่านเอกสาร ขณะที่ฉันทำเพียงแค่จ้องมองใบหน้าของเขาพร้อมกับเริ่มรู้สึกทนไม่ไหวกับความใกล้ชิดนี้
พระเจ้า
“เอาล่ะ” เขาว่าต่อ “คนไม่เยอะเท่าไร ดังนั้นอย่างน้อยก็ดูแลเรื่องอาหารจัดเลี้ยงได้ค่อนข้างง่ายหน่อย ในส่วนของ…แผนงานที่คุณเตรียมมา แบบนั้นใช้ไม่ได้หรอก”
ฉันทิ้งมือลงบนตักพลันรู้สึกว่าความสะพรึงแผ่ซ่านอยู่ในท้อง ชวนให้ฉันสงสัยขึ้นมาว่าฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร
“ฉันไม่ได้ขอความเห็นของคุณ แต่ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ” ฉันเอ่ยอย่างอ่อนแรงพลางเอื้อมไปหาแล็ปท็อปแล้วดึงมันเข้ามาใกล้ขึ้น “ทีนี้ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันจะกลับไปทำต่อล่ะ”
แอรอนก้มลงมองพอดีกับที่ฉันช้อนตาขึ้นมองเขา
เขามองมาทั่วหน้าฉันอย่างค้นหาอยู่ชั่วแวบหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเวลาหนึ่งนาทีเต็ม…ที่แสนอึดอัด
เขาก้าวถอยไปทางด้านหลังแล้วโผล่มาทางด้านข้างของฉันอีกข้างหนึ่ง เขาโน้มตัวลง ท่อนแขนอันกำยำทั้งสองข้างเท้าโต๊ะไว้ ซึ่งฉันอาจจะจ้องนานไปชั่ววินาที แล้วเขาก็เปิดแล็ปท็อปของตัวเอง
“แอรอน” ฉันเรียกเขา โดยหวังว่ามันจะเป็นการเรียกครั้งสุดท้ายในคืนนี้ “คุณไม่จำเป็นต้องช่วยฉันหรอก ถ้าคุณกำลังพยายามทำแบบนั้นอยู่นะ” ท่อนสุดท้ายนั้นฉันกระซิบงึมงำ
ฉันเลื่อนเก้าอี้เข้าหาโต๊ะพลางมองดูเขาพิมพ์พาสเวิร์ดของตัวเอง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่โฟกัสไปที่ไหล่กว้างน่าโมโหนั่นซึ่งอยู่ในระยะสายตาฉันพอดีขณะที่เขาโน้มตัวอยู่เหนือโต๊ะไม้
สวรรค์โปรด ฉันต้องหยุด…มองดูเขาเสียที
เห็นได้ชัดว่าสมองที่หิวโหยของฉันกำลังทำตัวให้เป็นปกติได้อย่างยากลำบาก และนี่ก็เป็นความผิดของเขา ฉันอยากให้เขาไปให้พ้นๆ อย่างด่วนจี๋ ในระยะห่างตามปกติเขาก็น่ารำคาญสุดๆ อยู่แล้ว และมาตอนนี้ เขาอยู่…ตรงนี้เลย ยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่
“ผมมีบางอย่างที่เราเอามาใช้ได้” นิ้วของแอรอนลื่นไหลอยู่เหนือแป้นเม้าส์บนแล็ปท็อประหว่างที่เขาหาสิ่งที่ฉันเดาว่าเป็นเอกสารที่เขากำลังพูดถึงอยู่ “ก่อนออกจากที่ทำงานเก่า พวกเขาให้ผมรวบรวมลิสต์ออกมา เป็นคู่มืออะไรทำนองนั้น น่าจะอยู่แถวนี้ รอเดี๋ยว”
แอรอนพิมพ์และคลิกต่อไป ขณะที่ฉันเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นทุกวินาที ทั้งกับตัวเอง กับเขา กับ…ก็แค่กับทุกอย่างเลย
“แอรอน” ฉันเอ่ยขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เอกสารพีดีเอฟกะพริบเปิดบนหน้าจอของเขาในที่สุด ฉันทำเสียงอ่อนลงพลางคิดว่าบางทีการทำตัวดีที่สุดเท่าที่จะทำได้กับเขาอาจเป็นวิธีจัดการกับเรื่องนี้ก็เป็นได้
“มันดึกแล้ว แล้วคุณก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย คุณนำทางให้ฉันแล้ว ทีนี้คุณก็ไปได้แล้วค่ะ” ฉันชี้ไปที่ประตู “ขอบคุณ”
นิ้วที่ฉันยังคงจ้องอยู่เคาะลงบนปุ่มด้วยท่วงท่าสง่างามอีกหนึ่งครั้ง
“มันรวมทุกอย่างไว้อย่างละนิดอย่างละหน่อย ตัวอย่างเวิร์กช็อป แนวคิดหลักสำหรับกิจกรรมและไดนามิกกลุ่ม มีแม้แต่จุดประสงค์ที่ควรคำนึงถึงตลอดด้วย เราไล่ดูตามนี้ได้”
‘เรา’ คำนั้นอีกแล้ว
“ฉันทำเองได้ แบล็กฟอร์ด”
“ผมช่วยได้”
“คุณอาจจะช่วยได้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องช่วย ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมคุณถึงเกิดนึกครึ้มพันผ้าคลุมสีแดงเหมือนพ่อหนุ่มเนิร์ดคลาร์ก เคนต์บินเข้ามาในนี้แล้วช่วยกอบกู้โลก แต่ไม่ต้อง ขอบคุณ คุณอาจดูคล้ายเขานิดหน่อย แต่ฉันไม่ใช่สาวน้อยที่กำลังตกอยู่ในอันตราย”
ส่วนที่แย่ที่สุดก็คือฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆ นั่นแหละ แต่สิ่งที่ฉันทำใจยอมรับไม่ได้เลยก็คือแอรอนคือคนที่ยินดีจะเสนอความช่วยเหลือนั้นให้
เขายืดตัวตรง “พ่อหนุ่มเนิร์ดคลาร์ก เคนต์งั้นเรอะ” คิ้วเขาขมวดมุ่น “นั่นถือว่าเป็นคำชมหรือเปล่า”
ฉันหุบปากทันที
“ไม่ใช่” ฉันกลอกตา แม้เขาอาจจะพูดถูกอยู่หน่อยๆ ก็ตาม
เขาแบบว่าดูคล้ายชายผู้อยู่เบื้องหลังตัวตนลับของซูเปอร์แมนอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่คนที่มีผ้าคลุมนะ แต่เป็นคนที่สวมสูท ทำงานเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น และออกจะดู…เซ็กซี่เล็กน้อยสำหรับพนักงานออฟฟิศ ไม่ใช่ว่าฉันจะยอมรับออกไปดังๆ หรอกนะ ไม่แม้แต่กับโรซี
แอรอนพิจารณาใบหน้าฉันอยู่สองวินาที
“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” เขาพูดขณะที่มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างเล็กน้อยที่สุดจนแทบจะมองไม่เห็น
ไอ้คู่แฝดคลาร์ก เคนต์จอมโอหัง
“คือมันไม่ใช่คำชมน่ะ” ฉันเอื้อมไปจับเม้าส์ คลิกเปิดแฟ้มขึ้นมาสุ่มๆ “ถ้าเป็นธอร์หรือกัปตันอเมริกาเหรอ ก็อาจเป็นคำชม แต่คุณไม่ใช่คริส อีกอย่างเดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจซูเปอร์แมนกันแล้วค่ะ คุณเคนต์”
แอรอนทำท่าเหมือนคิดตามคำพูดของฉันอยู่ชั่วครู่ “แต่ก็ฟังเหมือนคุณยังสนใจอยู่นะ”
ระหว่างที่ฉันเมินคำกล่าวนั้น แอรอนก็เดินไปทางด้านหลังฉัน จากนั้นฉันก็มองเขาเดินข้ามห้องทำงานไปยังโต๊ะที่เป็นของชายอีกคนที่ฉันใช้ห้องร่วมด้วยแต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกลับไปตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนแล้ว แอรอนใช้มือข้างหนึ่งคว้าเก้าอี้ของชายคนนั้นแล้วลากมาทางฉัน
ฉันกอดอกขณะที่เขาลากเก้าอี้ตัวนั้นมาอยู่ข้างเก้าอี้ของฉัน ก่อนทิ้งร่างอันใหญ่โตของตัวเองลงไปจนมันลั่นเอี๊ยดและทำท่าจะพังเอาง่ายๆ
“คุณกำลังทำอะไรเนี่ย” ฉันถาม
“คุณถามผมไปแล้ว” เขาจ้องฉันด้วยสายตาเบื่อหน่าย “ดูเหมือนว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ”
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือของคุณ แบล็กฟอร์ด”
เขาถอนหายใจ “ผมว่าผมเดจาวูอีกแล้ว”
“คุณ” ฉันตะกุกตะกัก จากนั้นจึงส่งเสียงเย้ยหยันอีกครั้ง “ฉัน…เฮอะ”
“คาตาลิน่า” เขาเอ่ย
ฉันล่ะเกลียดเสียงเรียกชื่อของฉันที่ออกจากริมฝีปากของเขาในจังหวะนั้นจริงๆ
“คุณต้องการความช่วยเหลือ ผมเลยช่วยประหยัดเวลาให้เราทั้งคู่ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าคุณจะไม่มีวันขอความช่วยเหลือ”
เขาก็คิดถูก ฉันคงไม่มีทางขอให้แอรอนทำอะไรทั้งนั้น ในเมื่อฉันรู้ว่าเขาคิดกับฉันอย่างไร จะในด้านส่วนตัว หรือด้านหน้าที่การงานก็ไม่สำคัญ ฉันรู้ตัวดีว่าเขาคิดกับฉันอย่างไรตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ฉันเคยได้ยินเขาพูดเองเมื่อหลายเดือนก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าฉันไปได้ยินเข้าก็ตาม ดังนั้น ไม่ล่ะ ฉันขอไม่รับอะไรจากเขาทั้งนั้น ต่อให้นั่นจะทำให้ฉันกลายเป็นพวกอาฆาตแค้นไปด้วยเหมือนกัน เหมือนอย่างที่เขาเป็น ฉันก็ยอม
แอรอนเอนหลังและวางมือลงบนที่วางแขนทั้งสองข้างของเก้าอี้ เสื้อเชิ้ตตึงเปรี๊ยะจากการเคลื่อนไหวนั้นทำให้เนื้อผ้ายืดออกจนน่าดูเกินกว่าที่สายตาของฉันจะไม่เผลอเลื่อนตามไป
ให้ตาย ตาฉันกะพริบปิดชั่ววินาทีหนึ่ง ฉันหิว แล้วฉันก็เหนื่อยกับการรับมือกับเรื่องทั้งหมดนี้ อีกทั้งยังทรยศสองตาของตัวเอง และว่ากันตามตรงฉันก็แค่สับสนไปหมด ณ จุดจุดนี้
“เลิกดื้อเสียทีเถอะน่า” เขาว่า
ดื้อ ทำไมล่ะ เพราะฉันไม่ได้ขอให้เขาช่วย แต่ฉันก็ควรจะรับไว้ตอนที่เขาตัดสินใจจะเสนอตัวเข้ามาช่วยงั้นหรือ
ตอนนี้ฉันเดือดขึ้นมาเลย นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ฉันอ้าปากโดยไม่คิด “เพราะอย่างนี้คุณถึงไม่พูดอะไรเลยระหว่างประชุมนั่นที่ฉันโดนโยนทุกอย่างนี้กับเรื่องอื่นๆ ใส่งั้นเรอะ เพราะฉันไม่ได้ขอให้ช่วยงั้นเรอะ เพราะฉันดื้อเกินกว่าจะยอมรับมันหรือไง”
ศีรษะของแอรอนผงะไปข้างหลังเล็กน้อย เขาคงกำลังตกใจที่ฉันยอมรับออกมา
ฉันนึกเสียใจทันทีที่พูดออกไป จริงๆ นะ แต่มันก็โพล่งออกไปราวกับถ้อยคำเหล่านั้นโดนเค้นออกมาจากตัวฉัน
อะไรบางอย่างฉายแวบผ่านสีหน้าจริงจังของเขา “ผมไม่ยักรู้ว่าคุณอยากให้ผมเข้าไปยุ่ง”
ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครยุ่งเลย ไม่แม้แต่เฮคเตอร์ คนที่ฉันเกือบนับเป็นคนในครอบครัว จนถึงตอนนี้ฉันก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ใช่ ฉันยิ่งกว่าคุ้นชินดีเสียอีกกับความจริงที่ว่าในสถานการณ์ทำนองนี้มันก็มักจะมีคนอยู่สองกลุ่ม พวกคนที่เชื่อว่าการไม่พูดอะไรจะทำให้พวกเขาเป็นกลางกับพวกคนที่เลือกข้าง และบ่อยครั้งก็มักเป็นข้างที่ผิด แน่นอน มันไม่ได้ไร้พิษสงเหมือนความเห็นอันด้อยค่าไม่เคารพคนอื่นที่เจอรัลด์พูดเสมอไป บางครั้งมันก็เลวร้ายกว่านั้นมากๆ ฉันรู้ ฉันเคยประสบด้วยตัวเองเมื่อนานมาแล้ว
ฉันส่ายหน้า ขับไล่ความทรงจำนั้นออกไป “แล้วมันจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเหรอ แอรอน ถ้าฉันขอให้คุณเข้ามาก้าวก่ายน่ะ” ฉันถามเขา ราวกับเขามีหนทางแก้ไขอยู่ในมือทั้งที่แท้จริงแล้วไม่มี ฉันมองดูเขา รู้สึกหัวใจเต้นรัวด้วยความพรั่นพรึง “หรือถ้าฉันบอกคุณว่าฉันเหนื่อยที่ต้องขอแล้ว คุณจะเข้ามายุ่งหรือเปล่าล่ะ”
แอรอนใคร่ครวญดูฉันเงียบๆ เขามองมาทั่วใบหน้าฉันอย่างเกือบระแวดระวัง
แก้มฉันร้อนขึ้นภายใต้สายตาพินิจพิเคราะห์ของเขา ทำให้ฉันยิ่งนึกเสียใจที่พูดออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
“ลืมไปเถอะว่าฉันเคยพูดอะไร โอเคไหม” ฉันเฉมองไปทางอื่น รู้สึกผิดหวังและโกรธตัวเองที่ไปเกรี้ยวกราดใส่แอรอน ในบรรดาคนทั้งหมด ทั้งที่เขาไม่ได้ติดค้างอะไรฉันเลย ไม่แม้แต่อย่างเดียว “ยังไงฉันก็ติดแหง็กอยู่กับงานนี้อยู่ดี มันไม่สำคัญหรอกว่าติดได้ยังไงหรือทำไม” หรือการที่มันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย
แอรอนยืดตัวตรงขึ้น แล้วเอนตัวมาทางฉันเพียงเสี้ยวองศา เขาสูดหายใจเข้าลึกขณะที่ดูเหมือนว่าฉันจะกลั้นหายใจไว้ รอให้เขาพูดอะไรก็ตามที่กลั่นอยู่ในสมองของเขา
“คุณไม่เคยต้องให้ใครมาสู้ในสงครามของคุณ คาตาลิน่า นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ผมเคารพที่สุดในตัวคุณ”
ถ้อยคำของเขาส่งผลบางอย่างกับหน้าอกฉัน บางอย่างที่สร้างแรงบีบรัดจนฉันรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา
แอรอนไม่เคยพูดอะไรทำนองนี้ ไม่ว่าจะกับใคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่กับฉัน
ฉันอ้าปากเตรียมจะบอกเขาว่ามันไม่สำคัญหรอก บอกว่าฉันไม่สนใจ บอกไปว่าเราแค่เลิกคุยเรื่องนี้กันก็ได้ แต่เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นหยุดฉันไว้
“อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยคิดว่าคุณจะเป็นคนที่นั่งหงอและไม่พยายามสุดฝีมือเมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย ไม่ว่าสาเหตุมันจะยุติธรรมหรือไม่ก็ตาม” เขากล่าวพลางหันกลับไปหาแล็ปท็อปของตัวเอง “เพราะฉะนั้น จะยังไงต่อล่ะ”
กรามฉันขบสนิทแน่น
ฉัน…ฉันไม่ได้นั่งหงอเสียหน่อย ฉันไม่ได้กลัวสิ่งนี้ ฉันรู้ว่าฉันทำได้ ฉันแค่…ให้ตาย ฉันแค่ล้ามาก มันยากนะที่จะหาแรงบันดาลใจในยามที่อะไรๆ มันชวนให้หมดแรงขนาดนี้ “ฉันไม่ได้…”
“จะยังไงต่อล่ะ คาตาลิน่า” นิ้วของเขาเคลื่อนไหวไปบนแป้นเม้าส์ของแล็ปท็อปอย่างคล่องแคล่ว “จะคร่ำครวญหรือลงมือทำ”
“ฉันไม่ได้คร่ำครวญเสียหน่อย” ฉันเคือง
ไอ้คู่แฝดคลาร์ก เคนต์จอมทุเรศ
“งั้นเราก็ลงมือทำกัน” เขาโต้กลับ
ฉันมองเขาอย่างเต็มตา ซึมซับภาพกรามของเขาที่ขบเป็นสันด้วยความมุ่งมั่น บางทีอาจเพราะความหงุดหงิดด้วยเช่นกัน
“ไม่มีเราอะไรทั้งนั้น” ฉันกระซิบออกมา
เขาส่ายหน้า และฉันก็สาบานเลยว่าริมฝีปากเขาเผยเงายิ้มอยู่รางๆ ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง
“ผมสาบานกับพระเจ้าเลย…” เขาเงยหน้าขึ้น ราวกับอ้อนวอนขอความอดทนจากสวรรค์ “คุณจะรับความช่วยเหลือนี้ เป็นอันจบ” เขาก้มลงเหลือบดูนาฬิกาข้อมือตัวเองพลางถอนหายใจ “ผมไม่มีเวลามานั่งโน้มน้าวคุณทั้งวันหรอกนะ” สีหน้าบึ้งตึงกลับมาแล้ว เขาคืนร่างเป็นแอรอนคนเดิมที่ฉันรู้จัก “เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว”
แอรอนหน้าบึ้งคนนี้สิที่ฉันรู้สึกสบายใจด้วย ซึ่งเขาจะไม่เที่ยวพูดอะไรโง่ๆ ไปทั่วอย่างเช่นว่าเขาเคารพฉันหรอก
ทีนี้ก็ถึงตาฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดบ้าง ขณะที่ฉันรู้สึกตัวได้ด้วยความเจ็บใจที่ว่าฉันไม่ได้กำลังเตะโด่งแอรอน แบล็กฟอร์ดออกจากห้องทำงานของฉันอีกต่อไปแล้ว
“ผมก็ดื้อพอๆ กับคุณนั่นแหละ” เขาพึมพำพลางพิมพ์บางอย่างลงบนแล็ปท็อป “คุณก็รู้”
ฉันหันกลับไปสนใจหน้าจอแล็ปท็อปของตัวเองและตัดสินใจปล่อยให้เราตกลงทำสัญญาสงบศึกพิลึกๆ นี้กัน แค่เพื่อชื่อเสียงของอินเทค เพื่อสุขภาพจิตของฉันเองด้วย เพราะเขากำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า
ฉันเดาว่าเราคงกลายเป็นไอ้งี่เง่าหน้าเป็นตูดสองคนที่ยอมทนกันและกันไปหนึ่งคืนล่ะมั้ง
“ก็ได้ ฉันจะยอมให้คุณช่วยฉัน ถ้าคุณตั้งใจขนาดนั้น” ฉันบอกเขา พยายามไม่โฟกัสก้อนอารมณ์อุ่นๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่องท้องของฉัน
ก้อนที่ให้ความรู้สึกเหมือนความซาบซึ้งเอามากๆ
เขาชำเลืองมองฉันเร็วๆ ดวงตาฉายแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก “เราจะต้องเริ่มจากศูนย์กันเลย เปิดหน้าว่างขึ้นมาหน้าหนึ่งสิ”
ฉันมองไปทางอื่น พยายามโฟกัสที่หน้าจอของฉัน
เราอยู่กันเงียบๆ สองสามนาทีก่อนที่หางตาของฉันจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว หลังจากนั้นครู่เดียวเขาก็วางบางอย่างลงบนโต๊ะของฉัน ตรงกลางระหว่างเราพอดี
“นี่” ฉันได้ยินเขาพูดอยู่ข้างๆ
ฉันก้มลงมอง สายตาปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่ห่ออยู่ในกระดาษไข เป็นทรงสี่เหลี่ยมยาวประมาณสามสี่นิ้ว
“อะไรน่ะ” ฉันถามก่อนเลื่อนสายตาไปมองหน้าเขา
“กราโนล่าบาร์” เขาตอบโดยไม่มองฉันพลางพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ของตัวเอง “คุณหิว กินซะ”
ฉันมองดูมือทั้งสองข้างของตัวเองยื่นออกไปหาขนมแท่งนั้นโดยอัตโนมัติ ฉันเพ่งมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์หลังแกะห่อกระดาษนั้นออกแล้ว ขนมทำเอง ต้องใช่แน่ๆ เมื่อดูจากสภาพที่ข้าวโอ๊ตอบ ผลไม้แห้ง และถั่วโดนประกอบร่างรวมกัน
ฉันได้ยินเสียงทอดถอนใจยาวนานของแอรอน “ถ้าคุณถามผมว่ามันใส่ยาพิษไว้หรือเปล่าล่ะก็ ผมสาบานเลย…”
“เปล่า” ฉันงึมงำ จากนั้นก็ส่ายหน้า รู้สึกถึงความอึดอัดแปลกๆ ในอกอีกครั้ง ฉันจึงเอาขนมเข้าปาก กัดลงไป และ…กราโนล่าบาร์สวรรค์ชั้นเจ็ด ฉันร้องครางด้วยความสุขี
“เห็นแก่พระเจ้าเถอะ” ชายที่นั่งอยู่ทางขวาของฉันกระซิบพึมพำ
ฉันยักไหล่ สวาปามสิ่งมหัศจรรย์น่าทึ่งที่อุดมไปด้วยน้ำตาลและถั่วนั้นลงไปจนหมด “โทษที คำนั้นควรค่ากับเสียงครางน่ะ”
ฉันมองดูเขาส่ายหน้าระหว่างที่เขาโฟกัสอยู่กับเอกสารบนหน้าจอ ขณะที่ฉันศึกษาโครงหน้าของเขาอยู่ ความรู้สึกแปลกพิลึกไม่คุ้นชินก็ก่อตัวขึ้น และมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ฉันชื่นชมทักษะการอบขนมอันคาดไม่ถึงของเขาด้วย มันเป็นสิ่งอื่น เป็นอะไรที่อบอุ่นซาบซ่านที่ฉันสัมผัสได้รางๆ แวบหนึ่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ แต่เวลานี้ฉันอยากเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเสียจริง
ฉันรู้สึกซาบซึ้ง
แอรอน แบล็กฟอร์ด คู่แฝดคลาร์ก เคนต์จอมบึ้งตึงกำลังอยู่ในห้องทำงานของฉัน ช่วยฉัน อีกทั้งยังเอาขนมที่เขาทำเองให้ฉันกิน และฉันก็ดีใจ ถึงขั้นรู้สึกขอบคุณเลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะ” คำพูดนั้นเล็ดลอดออกจากริมฝีปากฉัน
แอรอนหันมาเผชิญหน้ากับฉัน แล้วฉันก็เห็นเขาผ่อนคลายลงชั่วแวบหนึ่ง แต่แล้วสายตาเขาก็พลันจ้องไปที่หน้าจอของฉันก่อนจะส่งเสียงเย้ยหยัน
“คุณยังไม่เปิดหน้าว่างอีกเรอะ”
“โอเย้”* ฉันหลุดท้วงเป็นภาษาสเปน “คุณไม่ต้องจู้จี้ขนาดนี้ก็ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเหมือนคุณนี่ คุณเคนต์”
คิ้วของเขาเลิกขึ้นทั้งสองข้าง และเขาก็ดูไม่ได้ประทับใจเลย “ตรงกันข้ามเลย บางคนมีพลังขั้วตรงข้ามด้วยซ้ำ”
“ฮ่า” ฉันกลอกตา “ตลกมาก”
สายตาเขาหันกลับไปหาหน้าจอของตัวเอง “หน้าว่าง และเปิดวันนี้ด้วย ถ้านั่นไม่เป็นการขอที่มากเกินไปล่ะก็”
ค่ำคืนนี้ต้องยาวนานแน่ๆ
* Oye เป็นคำอุทานภาษาสเปน หมายถึงเฮ้ เฮ้ย หรือฟังนะ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.