ตอนที่ 5
อาร์เธอร์
ผมเพิ่งมารู้สึกตอนที่นั่งรถไฟกลับบ้านว่าผมทำพลาดอย่างไม่อาจกลับไปแก้ไขได้แบบจริงจัง ผมได้เจอกับผู้ชายที่ดูดีที่สุดพร้อมแก้มสีอมส้มที่สุด และที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ผมคิดจริงๆ นะว่าเขาก็ชอบผมเหมือนกัน รอยยิ้มนั่นน่ะมันไม่ใช่รอยยิ้มเวลาได้พวกพ้อง มันคือรอยยิ้มแบบประตูที่เปิดกว้าง แต่ตอนนี้ประตูนั้นปิดโครม ล็อก ปิดตายไปแล้ว ผมจะไม่ได้เจอฮัดสันอีก ผมจะไม่มีวันได้จูบริมฝีปากที่เหมือนเอ็มมา วัตสันของเขา นี่แหละชีวิตของผม โสดตลอดกาล
อยากให้ตัวเองกล้าขอเบอร์นายตอนนั้นจัง
เจสซี่คิดผิดมหันต์ที่บอกว่าผมอ่ะโคตรเทพ ความจริงแล้วความกล้าของผมเท่ากับศูนย์ เรื่องจีบก็ศูนย์ ผมยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีเซ็กซ์ ไม่เคยจูบกับใคร แค่เกือบจะก็ไม่เคย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรจนกระทั่งตอนนี้ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติเพราะถึงยังไงอีธานกับเจสซี่ก็อยู่บนเรือลำเดียวกับผม แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนผมกำลังออดิชันเข้าแสดงละครบรอดเวย์ทั้งๆ ที่ไม่เคยฝึกแถมประวัติการทำงานก็ว่างเปล่า ไม่มีความพร้อม ขาดคุณสมบัติ เป็นอะไรที่เกินความสามารถของผมจริงๆ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมั่นใจเกินไปหน่อยตลอดทางกลับบ้าน ผมลงจากรถไฟที่ถนนเจ็ดสิบสองและก้าวเข้าสู่ความวุ่นวายของผู้คน รถแท็กซี่ รถเข็น และเสียงจอแจ บ้านผมห่างจากสถานีรถไฟไปสามช่วงตึก ผมใช้เวลาเดินไปกับการอ่านโพสต์ตามหาคนไปเรื่อยๆ
พอเปิดประตูเข้าบ้านปุ๊บ “อาร์ธ ลูกเหรอ”
ผมวางกระเป๋าแล็ปท็อปลงบนโต๊ะอาหารที่ถูกใช้เป็นทั้งโต๊ะนั่งเล่นและโต๊ะกินข้าว อพาร์ตเมนต์ของลุงทวดมิลตันมีสองห้องนอน ซึ่งน่าจะถือว่าใหญ่แล้วสำหรับนิวยอร์ก ถึงงั้นก็เถอะ มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมัมมี่ในโลงหินอยู่ดี ผมเข้าใจเลยว่าทำไมลุงมิลตันถึงใช้เวลาทั้งหน้าร้อนอยู่ที่เกาะมาร์ธาส์วินยาร์ด
ผมเดินตามเสียงพ่อไปและเจอเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือพร้อมแก้วกาแฟและแล็ปท็อป
“พ่อมาทำอะไรในห้องผมเนี่ย”
พ่อผมส่ายหน้าดูเหมือนจะงงเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ “ไม่รู้สิ เปลี่ยนบรรยากาศมั้ง”
“กลัวม้าล่ะสิ”
“พ่อชอบม้านะ แค่ไม่เข้าใจเฉยๆ ว่าทำไมลุงมิลตันของลูกถึงมีภาพวาดม้าตั้งยี่สิบสองอัน” พ่อผมบอก “ตาของพวกมันมองตามลูกไปทุกที่เลยใช่มั้ยล่ะ พ่อไม่ได้จินตนาการไปเองใช่มั้ย”
“พ่อไม่ได้จินตนาการไปเองหรอก”
“พ่อแค่อยากจะแบบว่า…เอาแว่นกันแดดมาติดให้ ไม่ก็ทำอะไรสักอย่าง”
“ความคิดดี แม่คงปลื้มตายเลย”
เรายิ้มให้กันอยู่ครู่หนึ่ง บางครั้งผมกับพ่อก็เหมือนเด็กสองคนที่นั่งอยู่หลังห้องเรียน หมายความว่าบางครั้งเราก็ขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วปาใส่หัวแม่บ้าง อันนี้พูดแบบเปรียบเทียบเฉยๆ นะ
ผมแอบมองแล็ปท็อปของพ่อ “งานฟรีแลนซ์เหรอ”
“เปล่า แค่แก้อะไรนิดหน่อย” พ่อผมเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ ตอนอยู่จอร์เจีย พ่อผมเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ที่ทำเงินได้จริงๆ จนบริษัทที่พ่ออยู่ต้องลดจำนวนพนักงานไปตอนช่วงก่อนวันคริสมาสต์นั่นแหละ ตอนนี้พ่อเลยเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ที่แก้นู่นนี่นั่นไปเรื่อย
สิ่งที่ผมได้รู้จากการอาศัยอยู่ในโลงหินคือเสียงสามารถเดินทางข้ามกำแพงได้ เพราะงั้นบางคืนผมจะได้ยินเสียงแม่แว้ดใส่พ่อเรื่องที่พ่อไม่ยอมหางานเป็นจริงเป็นจัง และพ่อก็จะพึมพำตอบว่ามันยากแค่ไหนที่ต้องหางานที่จอร์เจียในขณะที่ตัวเองอยู่นิวยอร์ก ซึ่งมักจะจบด้วยการที่แม่ย้ำว่าพ่ออยากจะกลับไปตอนไหนก็ได้ตามสบาย
เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่ากระอักกระอ่วนเลยสักนิด
“เอ้อ พ่อคิดยังไงเรื่องการโพสต์ตามหาคนในเคร็กส์ลิสต์เหรอ” ผมโพล่งขึ้นมา
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงถามออกไปแบบนั้น ผมจะไม่บอกพ่อแม่ผมเรื่องที่ที่ทำการไปรษณีย์แน่ๆ ล่ะ เหมือนตอนที่ผมไม่บอกทั้งสองคนเรื่องที่ผมแอบชอบโคดี้ ไฟน์แมนอย่างเศร้าๆ หรือที่เศร้ากว่าอย่างตอนที่ผมแอบชอบน้องชายเจสซี่ซึ่งอายุห่างกันจิ๊ดเดียว หรือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ แต่คนเราก็หลุดปากกันได้
“แบบโพสต์ส่วนตัวน่ะเหรอ”
“อ่า ช่าย แต่ไม่ใช่แบบ คุณต้องรักหมาและชอบเดินเล่นบนชายหาด มันออกแนว…” ผมพยักหน้า “โอเค มันก็เหมือนโพสต์หาแมวหายนั่นแหละ เพียงแต่แมวตัวนั้นคือหนุ่มน่ารักที่บังเอิญเจอที่ที่ทำการไปรษณีย์ แต่เป็นหนุ่มน่ารักในร่างมนุษย์นะ ไม่ใช่แมวจริงๆ”
“เข้าใจ” พ่อพูด “สรุปคือลูกอยากโพสต์ตามหาหนุ่มที่เจอที่ที่ทำการไปรษณีย์สินะ”
“เปล่า! ผมไม่รู้” ผมส่ายหน้า “จูเลียตกับนัมราตาแนะนำให้ผมทำงั้น แต่นานแน่กว่าจะได้ผล ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเขาเข้ามาอ่านอะไรแบบนี้กันรึเปล่า”
พ่อพยักหน้าช้าๆ “กว่าจะได้ผลต้องนานแน่ล่ะ”
“ใช่เลย ไอเดียโง่ๆ โอเค…”
“มันไม่ใช่ไอเดียโง่ๆ หรอก เราน่าจะลองโพสต์ดูนะ”
“เขาไม่เห็นหรอก”
“อาจจะเห็นก็ได้ มันคุ้มที่จะลองนี่ ใช่มั้ย” พ่อผมเปิดหน้าต่างเว็บใหม่
“โอเค ไม่เอา ไม่ๆๆ เคร็กส์ลิสต์ไม่ใช่กิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนะ”
แต่พ่อผมเริ่มพิมพ์ไปแล้ว และแค่มองพ่อขบกรามแบบนี้ก็รู้เลยว่าพ่อผมเอาด้วยเต็มที่
“พ่อ”
เสียงประตูอพาร์ตเมนต์เปิด ตามมาด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นไม้แข็งๆ แล้วแม่ก็มายืนอยู่ตรงประตูห้องผมในไม่กี่นาทีต่อมา
พ่อไม่เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอด้วยซ้ำ “กลับเร็วนะ”
“หกโมงครึ่งแล้ว”
อยู่ดีๆ ทุกคนก็เงียบ ไม่ใช่เงียบแบบธรรมดาด้วย แต่เป็นเงียบแบบระเบิดปรมาณูเตรียมยิง
ผมเลยพุ่งใส่ซะเลย “เรากำลังจะโพสต์หาผู้ชายที่ผมเจอที่ที่ทำการไปรษณีย์ในเคร็กส์ลิสต์กัน”
“เคร็กส์ลิสต์เหรอ” แม่หรี่ตา “อาร์เธอร์ ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ คือ นอกจากมันจะไม่ได้อะไรขึ้นมาแถมเขาไม่มีทางเห็นมันน่ะ…”
พ่อเกาเครา “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะไม่เห็นมันล่ะ”
“เพราะผู้ชายแบบนั้นไม่เข้าเว็บเคร็กส์ลิสต์กันหรอก”
“ผู้ชายอย่างลูกไม่เข้าเว็บเคร็กส์ลิสต์หรอก” แม่พูด “แม่จะไม่ยอมให้ลูกโดนฆาตกรแทงตายหรอกนะ”
ผมหัวเราะสั้นๆ “โอเค ผมว่าเรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก อาจจะเจอรูปของลับไรงี้ แต่โดนฆาตกรแทง…”
“อู้ว โอเค ในฐานะที่แม่เป็นแม่ของลูก ไอ้รูปของลับนี่แม่ก็ห้าม”
“ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไปขอรูปของลับใครสักหน่อย!”
“ถ้าลูกโพสต์ในเคร็กส์ลิสต์ ก็เท่ากับลูกขอรูปของลับนั่นแหละ”
พ่อเหล่มองแม่ทางหางตา “มาร่า คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าคุณน่ะออกจะ…”
“อะไร ไมเคิล ฉันออกจะอะไร”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าคุณออกจะคิดมากเกินไปหน่อย แค่นิดนึงน่ะ”
“เพราะฉันไม่อยากให้ลูกชายวัยสิบหกของเราเที่ยวส่องตามมุมมืดของอินเตอร์เน็ต…”
“ผมจะสิบเจ็ดแล้วนะ!”
“เคร็กส์ลิสต์เนี่ยนะ” พ่อยิ้ม “คุณคิดว่าเคร็กลิสต์คือมุมมืดของอินเตอร์เน็ตเหรอ…”
“เหอะ อย่างกับคุณรู้อย่างนั้นแหละ” แม่ตะคอก
พ่อดูสับสน “พูดแบบนั้นหมายความว่าไง…”
“โอเค พอได้แล้ว” ผมแทรกขึ้นมา “ผมไม่ทำแหงอยู่แล้วล่ะ ผมไม่เสียเวลาตามหาผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่คุยกันได้ห้าวิหรอก โอเคนะ ทุกคนใจเย็นก่อนได้มั้ย”
ผมมองแม่แล้วหันไปมองพ่อแล้วกลับไปมองแม่อีกรอบ แต่เหมือนทั้งคู่มองไม่เห็นผมด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ทำเป็นไม่มองกันอยู่
ผมเลยเดินออกมา คว้าแล็ปท็อป เชิญตัวละครลงจากเวทีได้
ใจผมเต้นรัวจนแทบสะดุด ผมไม่ชอบเลย พวกเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ คือผมก็เคยเห็นพ่อกับแม่เหวี่ยงใส่กันบ้าง พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์นะ แต่ปกติทั้งสองคนจะทำเป็นล้อเล่นกลบเกลื่อนไปได้ แต่เดี๋ยวนี้ ขนาดเวลาทำเป็นล้อกันเล่นยังดูเหมือนเป็นการสงบศึกชั่วคราวมากกว่าเลย
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วหลับตาลง แต่เชื่อเถอะว่าตอนนี้ผมถูกจับตามองอยู่ พวกม้าน่ะ ถ้าจะให้ละเอียดกว่านี้ คือผมกำลังถูกจับตามองโดยรูปภาพสีน้ำมันอันเท่ายักษ์ที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะ เดาว่าน่าจะเป็นภาพพอร์เทรตวัยหนุ่มของโบแจ็ค ฮอร์สแมน ที่ลีโอนาร์โด ดาวินชีวาดด้วยตัวเอง
เสียงแม่เล็ดลอดออกมาจากห้องผม “…ถึงบ้านเร็ว โทษทีนะ ฉันจัดตารางเวลาประชุมทางโทรศัพท์ใหม่ไปสองครั้งเพื่อจะ…”
“อืม ก็อย่างที่บอก…” เสียงพ่ออ่อนลง “…ถึงเร็ว”
“โอย ขอทีเถอะ ล้อเล่นรึเปล่า นั่นไม่ใช่…”
“คุณคิดมากเกิน…”
“เอาล่ะ ไมเคิล รู้มั้ยว่าคุณต้องหยุดทำอะไร คุณต้องหยุดใช้เวลาทั้งวันไปกับการนุ่งบ็อกเซอร์เล่นเกมคอมพิวเตอร์แล้วตามฉันมาให้…”
ผมเปิดแล็ปท็อป เข้าไอทูนส์ เปิดอัลบั้มละครเพลงสปริงอเวคเคนนิงที่ร้องโดยนักแสดงชุดแรก ผมกดนิ้วลงบนปุ่ม F12 ให้เสียงดังขึ้นสุดเท่าที่มันจะดังได้
“มาร่า ขอล่ะ…”
แล้วผมก็ปล่อยให้เสียงของโจนาธาน กรอฟฟ์กลืนเสียงพวกเขาไป
หนุ่มน่ารักมีไว้ทำอะไรแบบนี้นี่แหละ
ตอนที่ 6
เบน
ผมอยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเปอร์โตริโกเวลาอยู่ข้างนอกในโลกกว้างได้เท่ากับที่ผมรู้สึกเวลาอยู่บ้าน
ตอนมอต้น เพื่อนบางคนหาว่าผมไม่ใช่คนเปอร์โตริโกจริงๆ เพราะผิวขาวแถมยังรู้วลีภาษาสเปนพื้นฐานแค่ไม่กี่คำ อย่างพวกเต อาโมกับโคโม เอสตาส วันนั้นผมเล่าให้พ่อฟังและขอร้องให้พ่อติดโน้ตคำศัพท์บนข้าวของต่างๆ ในอพาร์ตเมนต์ ผมจะได้รู้ภาษาสเปนแล้วไม่โดนแกล้งอีก พ่อผมยินดีจะช่วย แต่พ่อก็อธิบายให้ผมเข้าใจว่าการเป็นคนเปอร์โตริโกไม่ได้อยู่ที่สีผิวหรือความรู้ภาษาสเปน มันอยู่ที่สายเลือดและครอบครัว ผมชอบนะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ต้องแนะนำตัวเองแบบนี้อยู่ตลอด “ไง ฉันชื่อเบน ฉันเป็นคนเปอร์โตริโก” พ่อผมผิวเข้มสุดในบ้าน ถึงจะยังถือว่าผิวสีอ่อนอยู่ก็เถอะ เหมือนคนผิวขาวมีผิวแทน และทุกคนคิดว่าที่จริงแล้วผมควรจะดูเหมือนพ่อ ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเรื่องที่พ่อเป็นคนเปอร์โตริโกเลยสักคน
ถ้าเพียงแต่ทุกคนจะได้เห็นเวลาผมอยู่บ้าน เวลาที่ผมทำสุดยอดซอสโซฟรีโต ผมฟังเพลงของลานา เดล เรย์ สบายใจตอนที่ผสมผักชี พริกไทย หัวหอมใหญ่ กระเทียม กับออริกาโนสดที่เพื่อนร่วมงานของแม่ให้มาเข้าด้วยกัน พ่อผมเตรียมสลัดใส่จานให้พวกเราก่อน แล้วโปะข้าวกับถั่วแระตามลงไป พ่อใส่ข้าวติดก้นหม้อให้เยอะหน่อยเพราะผมชอบข้าวกรอบๆ มาตั้งแต่เด็ก น่าจะเป็นเพราะมันกรุบๆ เหมือนขนมที่ชอบกิน แม่เอาพุดดิ้งมะพร้าวใส่เตาอบและพวกเราก็พร้อมแล้ว
แม่สะกิดไหล่ผมและพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยินเพราะกำลังฟังเพลง แม่ดึงหูฟังของผมออกข้างหนึ่ง “ลูกเป็นอะไรของลูกน่ะ” ผมสีเข้มของแม่ปัดอยู่บนไหล่ข้างหนึ่ง กลิ่นเหมือนแชมพูแตงกวาเพราะแม่เพิ่งอาบน้ำหลังจากทำงานเสร็จ แม่ผมเป็นคนทำบัญชีที่บลิงก์ฟิตเนส และถึงแม่จะทำงานในออฟฟิศทั้งวัน กลิ่นเหงื่อก็ยังติดตัวแม่อย่างกับหนุ่มเล่นบาร์โหน แม่เลยอาบน้ำทันทีที่ถึงบ้านตลอด
“เป็นวันที่หนักใช้ได้เลย” ผมตอบ
“เพราะฮัดสันเหรอ” พ่อถาม
“ปิ๊งป่อง”
พ่อผมส่ายหน้าขณะล้างหม้อกับกระทะก่อนเราจะกินข้าวกัน ถ้วยชามจะได้ไม่ดูกองเป็นภูเขามากไปตอนท้องเราอิ่ม ปู่เป็นคนสอนทริกนี้ให้พ่อ ฟองสบู่เต็มมือพ่อเลย
“ดิเอโก เร็วหน่อย หิวจะตายแล้ว” แม่ยื่นพวกมีดกับส้อมให้ผม “เบนิโต จัดโต๊ะซะ สวดมนต์เสร็จแล้วเล่าให้ฟังด้วย”
ผมจัดส้อมกับมีดลงบนผ้ารองจานส่วนตัวของแต่ละคนที่ซื้อมาแบบไม่คิดจากร้านตรงหัวมุมช่วงที่สถานะทางการเงินของบ้านเราดีกว่าตอนนี้นิดหน่อย ของแม่เป็นทรงนกฮูก สัตว์ตัวโปรดของแม่ ของพ่อเป็นผ้าถักลินินลายขาวดำที่พ่อชอบเขี่ยๆ เกาๆ มันเล่นระหว่างรอเรากินข้าวเสร็จ ของผมเป็นลายทีเร็กซ์พยายามดื่มน้ำจากน้ำตกที่ไม่ได้ทำให้ผมยิ้มอีกเลยตั้งแต่เลิกกับฮัดสัน
พวกเรานั่งชิดกันมาก พ่อกับแม่ไม่เคยนั่งคนละฟากตรงหัวโต๊ะเลยสักครั้ง แม่บอกว่ามันดูผู้ดีเกินไป เหมือนเรากำลังกินเลี้ยงสังสรรค์ในห้องอาหารของปราสาทที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่ในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอนที่อบอุ่นสบายสุดๆ และพ่อก็ไม่ชอบอยู่ห่างจากแม่ด้วย
เราจับมือกันแล้วแม่ก็กล่าวสวด พ่อแม่ผมเป็นคนมีศรัทธาสูง และเราเชื่อว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับศาสนา พวกเราไม่ใช่คาทอลิกหัวเก่าที่ใช้ชีวิตตามไบเบิลแต่ทำเมินคำสอนบางบทตามใจชอบเพราะมันขัดกับความเกลียดชังที่ออกมาจากปากของตัวเอง เราเป็นคาทอลิกที่คิดว่าผู้คนไม่ควรตกนรกแค่เพราะไม่ได้ชอบเพศตรงข้าม และพ่อแม่ผมเชื่อแบบนั้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะบอกว่าผมเป็นเกย์ซะอีก พ่อกับแม่สวดมนต์ให้พระเจ้าเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนผมจะมาร่วมด้วยแค่ตอนมื้อเย็น เย็นนี้ แม่ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารบนโต๊ะ สำหรับคุณย่าที่ล้มตอนลงจากรถกับคุณป้าที่ดูแลคุณย่าอยู่ สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนจำนวนพอเหมาะของพ่อที่ร้านขายยาสะดวกซื้อดเวนรี้ด และสำหรับสวัสดิภาพของทุกคน
“โอเค” แม่ประกบมือเข้าด้วยกัน “เรื่องฮัดสัน เขาทำไมเหรอ”
ผมชอบที่พ่อแม่ผมเป็นคนพูดอะไรตรงๆ แต่ก็ให้พื้นที่ส่วนตัวกับผมด้วย “ผมพยายามช่วยเขาตอนเรียนแล้วเขาก็โมโหใส่ผม”
พ่อหรี่ตา “นึกว่าลูกเคยบอกว่าเขาไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องซะอีก”
“เขาไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว” ผมพูด แล้วพ่อก็อารมณ์เย็นลง สองปีก่อนผมโดนปล้นหน้าร้านขายของชำแล้วพ่อกับแม่ก็ขังผมด้วยเคอร์ฟิวแบบเข้มงวด เหมือนผมโดนลงโทษเพราะตัวเองเป็นเหยื่อของอาชญากรรม แต่ผมรู้ว่าการที่พ่อสอนผมให้เขวี้ยงหมัดแล้วหนีน่ะมาจากความรักล้วนๆ ถึงงั้นก็เถอะ ผมเสียหน้าร้อนนั้นไปเฉยๆ แถมหน้าร้อนก็ไม่ได้มาถึงเร็วเหมือนวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย “เขาตะคอกใส่ผมต่อหน้าทุกคน แต่ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับไป”
“ดีแล้ว” แม่พูด
“และดีแล้วที่ลูกสามารถจัดการเขาได้ถ้าต้องทำจริงๆ”
“แน่ล่ะ” มีครั้งหนึ่งผมดึงฮัดสันมากดกับกำแพงแล้วจูบเขาเพราะเราเคยเห็นคู่รักชายหญิงทำกันในหนังแล้วอยากรู้ว่าถ้าคู่รักชายชายทำบ้างจะเป็นยังไง เราล้มทั้งคู่ และถึงเราจะหนักเท่ากันก็เถอะ ฮัดสันพยุงผมขึ้นแทบไม่ได้
“เอาล่ะ พวกคนเถื่อน” แม่ส่ายหน้าเพราะแม่ไม่ชอบพูดเรื่องความรุนแรง แม่ไม่ชอบหนังแอ็กชั่นด้วยซ้ำ ซึ่งพ่อกับผมก็โอเคมาก เพราะแม่ชอบถามคำถามเป็นหมื่นเวลาดูหนังทั้งๆ ที่เราก็เพิ่งจะเคยดูด้วยกัน “หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเร็วๆ นี้นะ”
“ผมไม่หวังเลยสักนิด”
ผมพยายามใช้เวลากับมื้อเย็นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะการอยู่คนเดียวตอนนี้ทำให้ผมหงุดหงิดจริงๆ แม่เล่าให้เราฟังเรื่องรายการวิทยุระทึกขวัญช่องใหม่ที่แม่ฟังอยู่ช่วงนี้ แม่บอกว่าแต่ละตอนมันเข้มข้นมากจนแม่อยากให้ซีรี่ส์นี้จบสักที แม่จะได้หายใจหายคอและไม่ต้องมานั่งลุ้นอีก พ่อเล่าว่าเมื่อตอนบ่ายมีพ่อลูกคู่หนึ่งมาซื้อถุงยางอนามัยพร้อมกันโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็มาด้วย
“มีอะไรมาเล่าบ้างมั้ย เบนิโต แม่กลับมามีบทรึยัง” แม่ถาม
คนกลุ่มเดียวที่รู้ว่าผมแต่งนิยายเรื่องนั้นคือดีแลน ฮัดสัน แฮเรียต และพ่อกับแม่ ปีนี้ผมไม่มีเงินซื้อของขวัญวันแม่ให้แม่ ผมเลยเอาแม่มาแต่งลงนิยายแทนด้วยบทของจอมเวทหญิงที่ไม่มีวันแก่และร่ายคาถาแห่งความสงบสุข ผมพริ้นต์บทนั้นออกมา แต่ดันรู้สึกไม่มั่นใจในวินาทีสุดท้าย ผมเลยเล่าให้แม่ฟังว่าตัวละครของแม่ทำอะไรบ้างแทนที่จะให้แม่อ่านเอง ผมเขียนเรื่องนี้ไปไกลมากแล้ว เลยกังวลว่าถ้าได้คอมเมนต์ไม่ดีกลับมาจะหมดใจแต่งต่อ
“ยังเลย อิสซาเบลผู้รักสงบต้องอยู่แต่ในหอคอยของเธอ จะให้มีคาถาแห่งความสงบสุขในสงครามระหว่างจอมเวทไปมากกว่านี้ไม่ได้”
“บางทีพวกเขาอาจจะเข้าใจกันได้ก็ได้นะถ้าคุยกันดีๆ”
“แม่ ไม่ได้สิ” ผมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ช่วงนี้แล็ปท็อปผมไม่ค่อยดีเลย ใช้ไปยี่สิบนาทีเครื่องก็ร้อนแล้ว”
“ถ้าลูกสอบผ่านเรียนเสริมฤดูร้อน เราอาจจะซื้อเครื่องใหม่ให้ก็ได้นะ”
“ไม่” พ่อพูด “รางวัลที่สอบผ่านเรียนเสริมฤดูร้อนได้คือการที่ลูกไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
“ให้ผมแต่งนิยายอยู่บ้านดีกว่าออกไปโดนปล้นข้างนอกใช่มั้ยล่ะ”
“เอางี้เลยเหรอ” พ่อพูด “แต่ก็เข้าใจพูดนะ เฮคเตอร์นักต่อรองสอนลูกมาดี” เฮคเตอร์นักต่อรองบทน้อยกว่าตัวละครของแม่อีก
“หาเครื่องใหม่ในเคร็กส์ลิสต์ก็ได้นี่” แม่บอก
ผมว่าการหาซื้อแล็ปท็อปในเคร็กส์ลิสต์น่ะเป็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแล้ว แต่บ่นไม่ได้หรอก
“แฟรงกี้ได้แฟนจากเคร็กส์ลิสต์ด้วยนะ” พ่อพูด
“แฟรงกี้ไหนเหรอ แฟรงกี้ที่เป็นพนักงานหรือแฟรงกี้คนส่งไปรษณีย์” ผมถาม
“แฟรงกี้ที่เป็นพนักงาน รอดรีเกซน่ะ เขาเล่าให้พ่อฟังเรื่องเพจในเคร็กลิสต์ที่เอาไว้ตามหาคนที่เคยเจอหรือเกือบได้เจอกัน เหมือนจะเรียกว่าโพสต์ตามเจอคนมั้งนะ” พ่อมองผมกับแม่เหมือนเราจะเข้าใจสิ่งที่พ่อพูดอย่างนั้นแหละ พ่อยักไหล่ “แฟรงกี้เจอโลล่าครั้งแรกบนรถไฟแต่เขาลงจากรถก่อนที่จะได้แลกเบอร์กัน เพื่อนเขาบอกให้ลองเช็กในเคร็กส์ลิสต์ดู แล้วเขาก็เจอโพสต์ของโลล่า ตอนนี้คบกันได้สองอาทิตย์แล้ว”
“ดีจังเลยนะ” แม่พูด
“น่าประทับใจ” ผมพูด
เคร็กส์ลิสต์เหมือนเป็นตัวแทนของจักรวาลที่ออกมาทำงานเลย บางทีจักรวาลอาจจะกำลังพูดผ่านพ่อผมอยู่ก็ได้ว่าให้ผมลองดูบ้าง ลองดูว่าอาร์เธอร์ในเวอร์ชั่นโลล่าของผมจะพยายามตามหาผมรึเปล่า ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ผมต้องไปเช็กอะไรหน่อย” ผมพูด
“แล้วของหวานล่ะ” แม่ถาม
ผมชะงักและเกือบนั่งลงตามเดิม แต่สุดท้ายก็เดินต่อ ของหวานไม่หายไปไหนหรอก ความรู้สึกในอกของผมคือถ้าไม่เช็กตอนนี้มีหวังได้ระเบิดแน่ ผมปิดประตูห้องนอนและนั่งลงบนเตียงพร้อมแล็ปท็อปใกล้พังที่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาเรื่องเคร็กส์ลิสต์ ผมรู้สึกถึงความหวังชวนตื่นเต้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ เหมือนตอนที่ผมกับฮัดสันแชทคุยกันเป็นครั้งแรก เหมือนตอนที่อาร์เธอร์ทักผมแล้วเราก็จีบกันและคุยเรื่องจักรวาล
ผมเข้าเคร็กส์ลิสต์และเจอโพสต์ตามหาคน ไม่ใช่โพสต์ตามเจอคนซะหน่อยพ่อ โธ่ แล้วผมก็ดูตรงลิสต์ชายหาชายในแมนฮัตตัน การเลื่อนหาโพสต์อย่างมีความหวังในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว และผมก็ชักจะอยากตั้งกลุ่มสนับสนุนผู้คนที่มีเรื่องน่าเสียดายและเรื่องราวฝันเฟื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีโอกาสได้แก้ไขอีกขึ้นมา
ผมปิดแล็ปท็อป
ผมว่าเรื่องอาร์เธอร์คงจบแค่นี้แหละ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.