บทที่ 2 ทั่วหล้าล้วนหิมะ แดนมนุษย์ไร้พ่าย
จี้เซียวเจินเหรินสิ้นอายุขัย
สำนักกระบี่หานซานจัดพิธีเซ่นไหว้ ตั้งแท่นบูชาไว้ยังศาลบรรพชน ผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางหมื่นหลี่ เพื่อมาร่วมงานศพรวมตัวฟังเสียงระฆังมรณะอยู่ที่เชิงเขาหานซาน ผู้ที่มีชื่อเสียงลำดับต้นๆ จำนวนร้อยกว่าคนถูกพาขึ้นเขาร่วมประกอบพิธีกรรมยังศาลบรรพชน
เดือนสิบเอ็ดลมเหนือโถมกระหน่ำ หิมะท่วมหานซาน แผ่นฟ้าผืนพสุธาล้วนแต่งอาภรณ์ไว้ทุกข์
หิมะที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้หล่นร่วงตามเสียงระฆัง หลิวเสี่ยวไหวเนื้อตัวสั่นสะท้านตามจิตใต้สำนึก ภายใต้อาภรณ์นักพรตมือทั้งสองข้างสอดไขว้อยู่ในแขนเสื้อ เขาเร่งชักเท้าออกเดิน
หลังผ่านพ้นสะพานแขวนฝูคง กองหิมะหนาหนักก็เริ่มละลายลงทีละน้อย เผยให้เห็นเส้นทางเขาที่ปูลาดไว้ด้วยแผ่นหินเปียกชื้น เส้นทางบนยอดเขาคดเคี้ยววกวน มีสายลมอบอุ่นพัดปะทะใบหน้าเป็นระยะๆ ธรรมชาติเขียวชอุ่มปรากฏต่อสายตา
หลิวเสี่ยวไหวถูมือทั้งสองข้างพลางเอ่ย “อุ่นดีจริงๆ”
ปลายสะพานแขวน บนหลักศิลาก้อนหนึ่งมีอักษรสองคำสลักไว้…ฉางชุน
ในที่สุดก็มาถึงยอดเขาฉางชุนของจี้เซียวเจินเหรินเสียที
ประตูอารามที่อยู่ตรงหน้าเสมือนหนึ่งทางเข้าไปยังโลกอีกใบ บันไดหินมีตะไคร่เขียวปกคลุมลามหายเข้าไปในดงพุ่มพฤกษ์เขียวชอุ่มบุปผาตระการ ดอกซิ่ง ดอกหลี บานสะพรั่งราวเมฆาแลหยาดพิรุณ
หลิวเสี่ยวไหวหันกลับไปมอง อีกฟากของสะพานแขวนฝูคงที่ส่ายไหวไปมาจะเห็นก็แต่พายุหิมะ เทือกเขาทั้งหมดล้วนขาวโพลน
ภาพอัศจรรย์เช่นนี้ แม้จะเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งเขาก็ยังอดเจริญตาเจริญใจไปกับทัศนียภาพดังกล่าวไม่ได้
เพราะสิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ธรรมชาติประทานให้ มิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับการสรรค์สร้างของสวรรค์และพิภพ ต้นไม้ใบหญ้าบนยอดเขาฉางชุนทุกต้นล้วนเติบโตงดงามได้ด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับที่มิอาจมองเห็น มีค่ายเวทร่ายซ้อนเป็นชั้นๆ หมุนโคจรอยู่เงียบๆ มิต้องหิมะหรือสายฝน วันคืนอบอุ่นเฉกวสันตฤดู
หานซานเป็นดินแดนที่เหน็บหนาวเย็นยะเยือก หิมะน้ำแข็งไม่มีวันละลายตลอดปี เดิมจี้เซียวเจินเหรินอาศัยอยู่ในเรือนพำนักเรียบง่ายเหนือยอดผาเจียเทียนอันสูงตระหง่าน
ทว่าคู่ร่วมบำเพ็ญของเขากลับเป็นโรคกลัวอากาศหนาว หลังทั้งคู่ร่วมบำเพ็ญอยู่ด้วยกัน เพื่อให้คู่ร่วมบำเพ็ญเบิกบานใจ จี้เซียวจึงได้สร้างเรือนพำนักขึ้นอีกแห่ง เลือกยอดเขาโดดเดี่ยวอบอวลไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ตั้งค่ายเวท ดึงน้ำพุร้อน ฝืนการผันแปรของสภาพอากาศให้ที่นี่อากาศอบอุ่นชั่วนิรันดร์
หลิวเสี่ยวไหวได้ยินศิษย์พี่ของเขาบอกว่าค่ายเวทเหนือยอดเขาต้องใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดถึงสามหมื่นก้อนถึงจะรักษาสภาพเช่นนี้ไว้ได้ทั้งปี ศิลาศักดิ์สิทธิ์สามหมื่นก้อนนั้นมีจำนวนมากเพียงใด เขาเองก็นึกไม่ออก เขาเป็นแค่เด็กพรมน้ำกวาดลานคนหนึ่งเท่านั้น ทุกเดือนได้ศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นเลวสามก้อนจากฝ่ายการกิจเขาก็พึงพอใจยิ่งแล้ว
มรรคากระบี่ของจี้เซียวเจินเหริน ‘แดนมนุษย์ไร้พ่าย’ ร้ายกาจเพียงใด ตัวเขาเองก็ยากจะจินตนาการ ที่ว่ากันว่าแบ่งภูผาผ่ามหาสมุทร สุดแผ่นฟ้าจรดผืนปฐพีนั้นกลายเป็นคำเล่าลือไกลโพ้น ด้วยจี้เซียวไม่ชักกระบี่นานแล้ว
ยอดเขาฉางชุนบานสะพรั่งไปด้วยร้อยบุปผา สายลมอบอุ่นละมุนละไม น้ำพุไหลริน ทุกสิ่งอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าล้วนมองเห็นสัมผัสได้ หลิวเสี่ยวไหวคิด คนที่จะทำเช่นนี้ได้คงมีเพียงผู้บำเพ็ญพรตที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้วเท่านั้นกระมัง
คู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวน่าจะเรียกได้ว่า…สุดยอดความโชคดีของผู้บำเพ็ญพรต
ยามมีชีวิตอยู่จี้เซียวไม่เคยรับศิษย์ และยิ่งไม่มีทายาทสืบสายเลือด มีเพียงคู่ร่วมบำเพ็ญคนเดียวเท่านั้น
คู่ร่วมบำเพ็ญของเขานามเมิ่งเสวี่ยหลี่ อายุลวง สิบเก้า เป็นเพียงผู้เดียวบนหานซานที่ไม่รู้จักวิธีจับกระบี่และใช้กระบี่ไม่เป็น
ท่าทีของสำนักกระบี่หานซานที่มีต่ออาวุโสแซ่เมิ่งผู้นี้เรียกได้ว่าเย็นชายิ่งนัก
ผู้บำเพ็ญพรตอายุยืนยาว เดิมคู่ร่วมบำเพ็ญคือสหายร่วมช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน มรรคาสูงส่ง ความรักเสื่อมทราม
ต่อให้จี้เซียวต้องการมีคู่ร่วมบำเพ็ญจริงก็ควรเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ไม่ธรรมดา เลือกรับเอานักพรตหญิง องค์หญิงเผ่ามาร หรือองค์ชายเผ่าอสูร เพื่อหานซาน เพื่อสันติสุขแห่งสามภพ เพื่อความเป็นอยู่ของผู้คนนับหมื่นพัน…ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมีสาเหตุเพื่ออะไรสักอย่าง
ทว่าเมื่อสามปีก่อนในวันพายุหิมะโถมกระหน่ำ เขาพาคนผู้หนึ่งกลับมา ประกาศต่อทั่วหล้าว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่คือคู่ร่วมบำเพ็ญร่วมใช้โชคชะตาเดียวกับเขา
พิธีร่วมคู่บำเพ็ญเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ ระฆังเคาะเก้ากังวาน มีผู้มาร่วมแสดงความยินดีจากทั่วทุกสารทิศ
ไท่ซั่งจั่งเหล่า ปรมาจารย์แห่งหานซานปลีกสันโดษนานปีไม่ใส่ใจวิถีความเป็นไปทางโลก พอได้ยินเสียงระฆังมงคลก้องดังก็เรียกผู้เป็นเจ้าสำนักมาถาม ‘จี้เซียวมีใจมุ่งมั่นอยู่ในมรรคาวิถีมาแต่เล็ก ใครเล่าจะไปนึกว่าสุดท้ายเขากลับแปดเปื้อนธุลีแดง พื้นๆ หาไม่แล้วคงมีหวังที่จะได้ก้าวเป็นผู้สำเร็จมรรคผลขึ้นสู่แดนสวรรค์เป็นคนแรกของโลกใบนี้’
ทุกคนแอบเห็นพ้อง แม้เรื่องขึ้นสู่แดนสวรรค์จะเป็นเพียงตำนาน ทว่าทุกคนต่างเชื่อว่าหากจะมีผู้ใดทำได้ล่ะก็ คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นจี้เซียว
เมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘ธุลีแดง’ ไม่มีข้อดีอันใดแม้แต่น้อย สามปีก่อนเขาอายุสิบหก หลังชักนำปราณเข้าร่างได้ไม่นาน คุณสมบัติทั้งทางกายและสติปัญญาก็เทียบเคียงได้กับศิษย์นอกของหานซาน
มรรคากระบี่หานซานอยู่บนวิถีแห่งความมุมานะ เต็มไปด้วยข้อบัญญัติเคร่งครัด เมิ่งเสวี่ยหลี่กลัวหนาวชอบอากาศอบอุ่น นิสัยเกียจคร้าน ไม่เข้ากับลีลาท่วงทำนองแห่งหานซานเลยแม้แต่น้อย
ศิษย์ทั้งหลายด้วยเพราะนับถือจี้เซียว จึงไม่กล้าแสดงท่าทีหมิ่นเกียรติเมิ่งเสวี่ยหลี่อย่างเปิดเผย ทำเพียงจุดธูปอธิษฐานลับหลัง หวังว่าสำนึกผิดชอบชั่วดีของเจินเหรินจะกลับมาเป็นปกติ
ทว่าในสายตาของเด็กพรมน้ำกวาดลานเพียงหนึ่งเดียวของยอดเขาฉางชุน หลิวเสี่ยวไหวรู้สึกว่าอาวุโสเมิ่งผู้นี้หาได้กำเริบเสิบสานถือดีว่าเป็นที่โปรดปรานอย่างที่ภายนอกเล่าลือกันไม่
ทุกวันอาวุโสเมิ่งผู้นี้ทำก็แค่เลี้ยงปลาปลูกต้นไม้ ไม่ฝึกกระบี่นั่งสมาธิ หากจะถามว่ามีความผิดอันใด อย่างมากก็แค่บรรลุได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงเท่านั้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดครั้นแพร่สะพัดออกไปถึงกลายเป็นมีโทษมหันต์สมควรตายได้
ยามยิ้มดวงตาของอาวุโสเมิ่งจะแคบเรียวจนแทบมองไม่เห็น บางคราวถึงกับเอ่ยปากบอก ‘ขอบใจ ลำบากเจ้าแล้ว’ กับเขา ท่วงท่าอ่อนน้อมไม่ว่าจะกับผู้รับใช้ หัวหน้าฝ่ายการกิจ หรือแม้แต่เจ้าสำนักก็ไม่มีอันใดแตกต่าง
ครั้นคิดถึงจุดนี้หลิวเสี่ยวไหวก็นึกรันทด ภายใต้สภาวการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ภายภาคหน้าอาวุโสเมิ่งต้องทำเช่นไร แล้วยอดเขาฉางชุนเล่า
ขณะกำลังคิดสับสนวุ่นวาย หลิวเสี่ยวไหวก็เดินมาถึงสวนดอกไม้ ภายในสวนเขียวชอุ่มต้นไม้หนาทึบ เงาร่างเล็กๆ สีม่วงอ่อนปรากฏอยู่ท่ามกลางพุ่มพฤกษ์เขียวอ่อนเข้ม หลิวเสี่ยวไหวหยุดความคิดสับสน เดินตรงเข้าไปแสดงคารวะทักทาย
ที่ริมสระน้ำ ชายในอาภรณ์ผ้าดิ้นสีม่วงอ่อนกำลังนั่งเอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ท่วงท่ามิสำรวม อาภรณ์ผ้าดิ้นวับวาวเป็นประกายไม่คล้ายผู้บำเพ็ญพรต หากเหมือนคุณชายน้อยตระกูลมั่งคั่งในแดนมนุษย์
เขากำลังแกะเปลือกเมล็ดสน นัยน์ตางดงามละเอียดอ่อน นิ้วทั้งสิบเรียวยาวขาวนวลไม่ต่างอันใดกับดอกบัวที่ผลิบานอยู่ในสระ
หลิวเสี่ยวไหวพูดเสียงแผ่ว “อาวุโสเมิ่ง เจินเหรินเจ้าสำนักเชิญท่านไปศาลบรรพชนเข้าร่วมพิธีไว้อาลัย”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงระฆังก็ดังลอยมาแต่ไกล เสียงระฆังมรณะดังก้อง ฝูงสกุณาบินแตกตื่นตกใจ
เมิ่งเสวี่ยหลี่เงยหน้า สีหน้าฉงนสนเท่ห์ แสงสะท้อนจากในสระส่องประกายระยิบระยับอยู่บนใบหน้า เกิดเป็นสีสันหลายหลากแปลกตา
หลิวเสี่ยวไหวคิดเอ่ยปากขอผู้อาวุโสได้โปรดระงับความโศกเศร้า แต่สุดท้ายกลับอึกๆ อักๆ พูดอะไรไม่ออก อาวุโสเมิ่งคงไม่ร่ำไห้ออกมากระมัง
“กินเมล็ดสนหรือไม่” เมิ่งเสวี่ยหลี่ถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“เอ๋?” หลิวเสี่ยวไหวตะลึงงัน “ไม่ ไม่กิน”
เมล็ดสนหนึ่งกำมือถูกเมิ่งเสวี่ยหลี่โยนลงไปในสระน้ำ ไม่ต่างอันใดกับกลีบบุปผาหล่นร่วง ปลาไนสีแดงทองสามตัวแย่งอาหารกันอยู่ท่ามกลางใบบัวสีเขียว
นักพรตน้อยกล่าวด้วยสีหน้าวิตกกังวล “เจ้าสำนักเชิญท่าน…”
“ขอข้าสวมเสื้อเพิ่มอีกชั้นก่อนแล้วจะตามไป เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอนำทาง” เมิ่งเสวี่ยหลี่พูด
นักพรตน้อยเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาแสดงคารวะก่อนถอยจากไป
ตูม!
ครั้นปลาไนในสระกินเมล็ดสนหมด พวกมันก็กระโจนสะบัดหาง น้ำในสระแตกกระจายเป็นฟองฝอย
“กระโจนอันใดกัน หรือพวกเจ้าเองก็เชื่อว่าจี้เซียวสิ้นแล้ว?” เมิ่งเสวี่ยหลี่ลุกขึ้นปัดอาภรณ์ยาวบนตัว เปลือกเมล็ดสนหล่นกระทบพื้นดังกราว
ปลาไนพ่นฟองอย่างไร้เดียงสา
หนึ่งเดือนก่อนหน้าจี้เซียวเจินเหรินออกจากการกักตน มุ่งหน้าไปยังแดนนอกพิภพเพื่อผนึกพญามารที่กลับมาเกิดใหม่ คืนก่อนเดินทางเขาได้แวะมาหาเมิ่งเสวี่ยหลี่
‘ข้ามีของชิ้นหนึ่งจะมอบให้เจ้า รอข้ากลับมา’
กระดิ่งเตือนภัยในใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ดังระรัว ‘คำพูดเช่นนี้อัปมงคลยิ่งนัก มีของล้ำค่าอันใด มิสู้มอบให้กับข้าเสียตอนนี้’
จี้เซียวขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายไม่เข้าใจ เขาขี่เมฆจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจ็ดวันก่อนเจ้าสำนักหานซานเดินทางมายอดเขาฉางชุนด้วยตนเองพร้อมกับข่าวร้าย แดนนอกพิภพพังทลาย จี้เซียวกับพญามารที่กลับมาเกิดใหม่ตนนั้นดับสิ้นไปพร้อมกัน ร่างแหลกสลายไม่พบแม้แต่โครงกระดูก
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ ‘ข้าไม่เชื่อ’
มาวันนี้ที่หานซานจัดพิธีเซ่นไหว้จี้เซียว เสียงระฆังมรณะทุ้มต่ำราวกับกำลังบอกเขาว่าเรื่องถึงยามนี้แล้ว มิได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่
เมิ่งเสวี่ยหลี่ค้อมกายมองดูผิวน้ำ
“สามปีร่วมบำเพ็ญ…อย่างน้อยก็ควรมีไมตรีจิตอะไรบ้าง แต่เขากลับเลอะเลือนบอกตายก็คือตาย…ไม่ว่าอย่างไรก็สมควรมีคำอธิบายอะไรให้ข้าบ้าง”
หากปลาไนเหล่านั้นพูดได้ พวกมันต้องสบถด่าผู้เป็นเจ้าของว่าหน้าไม่อาย…
ไมตรีจิตเหลวไหล สามปีพบหน้ากันแค่สามครั้ง จี้เซียวมีหรือจะจำได้ว่าเจ้าหน้าตาเช่นไร ต่อให้คนทั้งหานซานตายหมดสิ้น ก็ไม่มีทางที่คู่ร่วมบำเพ็ญจอมปลอมเช่นเจ้าจะมีโอกาสได้เสนอหน้า
ผู้คนทั่วหล้าล้วนอิจฉาในวาสนาของเมิ่งเสวี่ยหลี่ ‘ฉางชุนนิรันดร์’ คืออนุสรณ์สถานในน้ำใจของจี้เซียว
อันที่จริงจี้เซียวกักตนครั้งหนึ่งนานเป็นปีๆ ยอดเขาฉางชุนว่างเปล่าเงียบสงัด เด็กพรมน้ำกวาดลานเพียงหนึ่งเดียวก็ขี้ขลาดราวกับหนูตัวจ้อย เมิ่งเสวี่ยหลี่เฝ้าอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวลำพัง หากมีมนุษย์ที่สามารถสนทนาด้วยได้ เขาไหนเลยจะมานั่งพูดคุยอยู่กับปลาเช่นนี้
หลังเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญ พวกเขาทั้งสองก็ต่างใช้ชีวิตตามวิถีทางของตน จี้เซียวหมกมุ่นอยู่กับการฝึกเพียรบำเพ็ญเหมือนดังเก่า ส่วนเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เอาแต่เล่นอยู่กับตัวเอง ค่อยๆ เรียนรู้วิธีสร้างสุขให้กับตน หากจี้เซียวยังไม่ตาย วันเวลาเนิ่นนานนับร้อยปีคงได้แต่ผ่านพ้นไปเช่นนี้
เมิ่งเสวี่ยหลี่เดินข้ามสะพานแขวนพร้อมประคองเตาอุ่นมือไว้เหนืออก ทิ้งหลักศิลาสลักอักษรคำว่า ‘ฉางชุน’ ไว้เบื้องหลัง
สายลมเหน็บหนาวพัดโถม สองแก้มก็พลันเย็นเยียบ เขาเงยหน้ามองดูละอองหิมะโปรยปราย
หากค้อมมองจากท้องฟ้าเบื้องบนลงมาย่อมเห็นว่าทุกหนแห่งล้วนขาวโพลนหมดสิ้น มีเพียงยอดเขาฉางชุนเท่านั้นที่เขียวชอุ่มสะดุดตาราวกับกรงอุ่นงดงามขนาดมหึมา
ค่ายเวทที่ห้อมล้อมท้องนภาเหนือยอดเขาไม่ต่างอันใดกับชามกระจกคว่ำ มันเปล่งรัศมีออกมาจางๆ
ตลอดสามปีมานี้เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่เคยรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศภายนอก สารทวสันต์ผลัดเปลี่ยนเวียนผัน ครั้นเห็นศิลานับพันกลับกลายเป็นขาวโพลน ป่าเขาหยดน้ำจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งใสเป็นครั้งแรก เขาก็ให้รู้สึกเหมือนตนอยู่คนละภพกับผู้อื่น
เมิ่งเสวี่ยหลี่อารมณ์ดี เขาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนทางเขาไปตามเสียงระฆังเสียงท่องบทสวด ไม่ว่าพบเจออะไรก็ล้วนให้รู้สึกแปลกตา
ออกห่างจากยอดเขาฉางชุนไปทีละน้อย ในที่สุดเขาก็มองเห็นเงาคน บนทางเขามีศิษย์นอกสำนักสวมอาภรณ์นักพรตเดินผ่านไปเป็นครั้งคราว บ้างก็พกกระบี่ไว้บนเอว บ้างก็ประคองธูปเทียนไม่ก็ผลไม้ จังหวะย่างก้าวเร่งรีบ สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่กลับไม่อาจรับรู้ถึงความโศกาอาดูรใดๆ แม้เพียงน้อย
ตอนได้ยินข่าวร้ายครั้งแรก ศิษย์ที่นับถือจี้เซียวเจินเหรินจำนวนนับไม่ถ้วนต่างน้ำตาอาบแก้ม หลังเจ็ดวันผ่านพ้น ทุกคนกลับกลายเป็นสงบนิ่งหนักแน่นไม่ไหวหวั่น
ทุกสิ่งเป็นไปตามคำสั่งสอนของเจ้าสำนักหานซาน หานซานที่สูญเสียจี้เซียวไปต้องสมัครสมานสามัคคี ทำตัวให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น จะมาทำเสียกระบวนให้ผู้คนภายนอกคิดว่ายามนี้พลังชีวิตของหานซานบอบช้ำ อ่อนแอรังแกกันได้โดยง่ายไม่ได้เป็นอันขาด
สำหรับสำนักกระบี่หานซานแล้ว ในเวลานี้เรียกได้ว่าพวกเขากำลังทำสงครามดุเดือดที่ไม่อาจใช้ดาบกระบี่อยู่
จากยอดเขาฉางชุนไปศาลบรรพชน ระหว่างทางเมิ่งเสวี่ยหลี่ต้องเดินผ่านผาเจียเทียน
ว่ากันว่าบนยอดผาคือเรือนพำนักของจี้เซียวก่อนมีคู่ร่วมบำเพ็ญ ทุกวันล้วนมีศิษย์เดินทางไปแสดงคารวะ อาศัยพายุหิมะหนาวสะท้านลับคมใจกระบี่ สัมผัสจิตกระบี่ของจี้เซียวเจินเหรินที่ยังหลงเหลืออยู่
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่กลัวหนาว แน่นอนย่อมมิปรารถนาหาเรื่องลำบากใส่ตน จึงเลือกเดินไปตามเส้นทางข้ามเขาที่อยู่ทางด้านหน้า
โชคดีที่บริเวณไหล่เขามีเส้นทางสายเปลี่ยวเล็กๆ อยู่สายหนึ่ง เป็นเส้นทางไม้คับแคบสูงชันลัดเลาะไปตามผนังผา ด้านหนึ่งของบันไดไม้ถูกฝังเข้าไปกับผนังหิน ส่วนอีกด้านแขวนค้างอยู่กลางอากาศ
เส้นทางเล็กๆ ร้างผู้คน จู่ๆ เขาก็หยุดเดิน บนรอยแยกระหว่างหินผา เหมยป่าต้นหนึ่งยืนกิ่งก้านส่ายไหวอยู่กลางสายลม ดอกตูมรอแย้ม
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยื่นมือไปหักกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งแล้วสะบัดหิมะที่เกาะอยู่บนกิ่ง พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้นจากอีกด้านของเส้นทางไม้คับแคบ
“อาวุโสเมิ่ง!” หลิวเสี่ยวไหวที่รายงานข่าวให้เขารู้เมื่อครู่วิ่งตรงเข้ามาพูดด้วยความดีใจ “ข้าตกใจหมด นึกว่าท่านหลงทางเสียแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ เจ้าสำนักเร่งแล้ว!”
นักพรตน้อยหอบหายใจ ใบหน้าเยาว์วัยแดงระเรื่อน่ารักน่าใคร่ เขาเอื้อมมือหมายดึงแขนเมิ่งเสวี่ยหลี่
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม ยื่นกิ่งเหมยในมือให้นักพรตน้อยคล้ายประสงค์จะมอบมันให้อีกฝ่าย
นักพรตน้อยยื่นมือรับโดยไม่ลังเล ทันทีที่ปลายนิ้วแตะถูกกิ่งเหมย เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็พลิกฝ่ามือกลับกิ่งเหมยจากล่างขึ้นบน หุ้มห่อมันไว้ใต้ปราณคมกริบ โจมตีใส่จุดชีพจรบนข้อมือของอีกฝ่าย
นักพรตน้อยร้องเจ็บปวดออกมาคราหนึ่ง ตกใจชักเท้าถอยหลัง แค่พริบตาร่างก็ทะยานไปไกลถึงสามจั้ง แขนเสื้อม้วนตลบหิมะปลิวว่อน
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยั้งมือทันทีที่แตะถูกอีกฝ่าย เขายืนสงบนิ่งลดฝ่ามือลง กลีบเหมยสีแดงหล่นร่วงแหลกสลายอยู่ข้างเท้า
“เจ้ามิใช่เสี่ยวไหว”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.