บทที่ 8 พันหลี่จิตมุ่งมาดปรารถนา ภูผาเมฆาหมื่นทับซ้อน
ยามนี้ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในร้านล้วนแต่เป็นศิษย์สายตรงของสองสำนัก ตอนนั้นพวกเขาล้วนเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่พิลาปร่ำไห้อยู่ในศาลบรรพชนเขาหานซานเองกับตา
ทุกคนต่างเจ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง เล่าเรื่องคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวให้เด็กหนุ่มฟัง
พวกเขาบ้างก็บอกว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่แกร่งกร้าวหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี จิตปฏิพัทธ์ผูกพันล้ำลึก บ้างก็บอกว่าเขาไร้เดียงสาเกินไป
เด็กหนุ่มฟังอยู่เงียบๆ สุดท้ายก็พูดออกมาเบาๆ “เหลวไหล”
เพราะอาการไอทำให้เสียงเขาแหบพร่า คนอื่นเห็นเพียงเขาขยับปากแต่กลับฟังไม่ถนัดว่าเขาพูดอะไร
อาทิตย์อัสดง แสงสายัณห์สาดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายใน เด็กหนุ่มนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสีทองจางๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าซีดเผือดแดงระเรื่อน้อยๆ
เขาก็คือจี้เซียว
ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายระหว่างความเป็นความตาย กายธรรมของจี้เซียวถูกทำลายหมดสิ้น จึงได้แต่ถอดจิตออกจากร่างเนื้อเดินทางล่องลอยพันหลี่ ครั้นได้พบเด็กหนุ่มใกล้ตายเขาจึงเข้ายึดร่าง
การเข้ายึดร่างของผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะต้องค้นหาคนใกล้ตายที่ไร้ญาติขาดมิตร ลมหายใจใกล้สิ้นสุด ถึงจะนับได้ว่าไม่แปดเปื้อนผลกรรม ร่างนี้มีราศีบนตัวเหมาะกับเขาถึงแปดอักษร* โรคร้ายรุมเร้าถึงไขกระดูก อายุขัยหมดสิ้นในคืนนั้น เดิมนับว่าเหมาะสมยิ่งยวด ทว่าเพราะจิตของเขาแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่แต่เดิมยากจะรับไหว ไม่ต่างอันใดกับกระบี่คมกริบที่เก็บกลับเข้าฝักกระบี่ซึ่งเจียระไนจนเปราะบาง ยากจะเลี่ยงมิให้กระทบจนบิ่นแตก
จี้เซียวใช้พลังจิตชำระร่างของอีกฝ่าย การสร้างร่างสถิตวิญญาณกระบี่เป็นเฉกเดียวกับการตีกระบี่ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่จางหาย ปอดของเขาราวกับถูกมีดกรีด ได้แต่กระแอมกระไอออกมาอย่างมิอาจกลั้น
ทว่าเทียบกับการตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว การแบกรับความเจ็บปวดถือเป็นการลิ้มลองรับรู้สิ่งพิเศษของชีวิตประการหนึ่ง
ทุกคนยังคงพูดถึงเรื่องของเมิ่งเสวี่ยหลี่
เห็นทุกคนยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเลเช่นนั้น จางซู่หยวนตัดสินใจดึงพวกเขากลับเข้าเรื่องใหม่อีกคราว
“เรื่องนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้า แค่รับฟังเฉยๆ ก็พอ เจ้าไม่มีทางเข้าเป็นศิษย์ยอดเขาฉางชุนได้ หานซานยังมีอีกห้ายอดเขา ประมุขยอดเขาแต่ละคนล้วนเก่งกล้าสามารถ ได้ยินว่าปีนี้เจินเหรินเจ้าสำนักตั้งใจจะรับศิษย์ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจได้รับการถ่ายทอดวิชาจากท่านเจ้าสำนักโดยตรงก็เป็นได้” เขาตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ เอ่ยวาจาล้อเล่น “หากทันตอนที่อาวุโสไท่ซั่งจั่งเหล่าเสร็จสิ้นการกักตนออกมารับศิษย์ เช่นนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ วันหน้าพวกเราล้วนต้องเรียกเจ้า ‘อาจารย์อา’ แล้ว”
อันที่จริงว่ากันตามกฎแล้ว ก่อนเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในของหานซาน ทุกคนต้องผ่านการทดสอบจากวิหารถกสัจธรรมก่อน ประมุขยอดเขารับศิษย์ก็แค่พิจารณาคุณสมบัติเท่านั้น เวลานี้เพราะมีหมิงเยวี่ยหูจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างๆ พวกเขาจึงพยายามวาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต หมายให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีต่อหานซานมากขึ้นไปอีก
หลี่เหวยพูดต่อ “ต่อให้ไม่ไปยอดเขาหลักของหานซาน ยอดเขาจ้งปี้ของพวกเราก็ไม่เลว เจ้ามิใช่นับถือจี้เซียวเจินเหรินเป็นที่สุดหรือไร อาจารย์ข้ากับอริยกระบี่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ! ภายในตำหนักกลางบนยอดเขาของพวกเรามีงานวิจิตรอักษรของอริยกระบี่แขวนไว้ หากได้อยู่ที่นั่นเจ้าย่อมสามารถชื่นชมมันได้ทุกวัน เป็นบทกวีสองประโยค บรรจงเขียนขึ้นด้วยอักษรชั้นยอด…พันหลี่มุ่งมาดปรารถนา ภูผาเมฆาหมื่นทับซ้อน กระบี่…กระบี่อะไรนะ…”
ขณะที่เขากำลังเล่าอย่างออกรส จู่ๆ เสียงก็แผ่วลงไปเสียเฉยๆ เสียดายก็แต่เขาเคยไปตำหนักกลางแค่เพียงไม่กี่ครั้ง จึงจำบทกวีท่อนหลังไม่ได้ ภายใต้การจับจ้องของคนสำนักหมิงเยวี่ยหู ใบหน้าของหลี่เหวยกลับกลายเป็นแดงก่ำ
“ด้วยกระบี่ไร้จิตใจ เคลื่อนไหวหยุดยั้งไซร้คือข้าเอง” จี้เซียวช่วยกู้หน้าให้อีกฝ่าย
“ใช่ๆ!” หลี่เหวยประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“…เคยได้ยินมาก่อน”
“แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังเคยได้ยิน นั่นก็แสดงว่าเจ้ามีวาสนาผูกพันกับสำนักของพวกเราไม่น้อย สมควรเป็นศิษย์หานซาน”
จี้เซียวนึกอับจน บทกวีสองประโยคนั้น แท้จริงข้าเป็นคนเขียน
อาจารย์ของเจ้าลอกเลียนลายมือขโมยตราประทับข้า ทว่าเขาอายุยังน้อย ข้าจึงไม่อาจคิดบัญชีอันใด…
พอนึกขึ้นมาจี้เซียวก็หายใจติดขัด ไอออกมาเบาๆ อย่างมิอาจกลั้น
เห็นเด็กหนุ่มจดจำบทกวีเขาหานซานได้แม่นยำราวกับนับสมบัติในบ้านตน ท่องกลับไปกลับมาได้คล่องแคล่วราวกับสายน้ำเช่นนั้น จิงตี๋ก็มั่นใจได้ทันทีว่าคงไม่มีทางชักจูงอีกฝ่ายให้เปลี่ยนใจได้ เซ้าซี้ไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะเสียหน้าเปล่าๆ แม้ในใจจะนึกเสียดายแต่ใบหน้ากลับยิ้มกล่าว
“ยามนี้ไม่เช้าแล้ว ข้ามิควรรบกวนสหายทั้งสามเดินทางอีก พวกข้าขอตัว”
ผู้บำเพ็ญพรตทั้งสามของหานซานปรารถนาจะเห็นศิษย์สำนักหมิงเยวี่ยหูหายลับไปใจจะขาด ด้วยเพราะกลัวว่าหากพวกเขายังอยู่ต่ออีกเพียงครู่ ดีไม่ดีพวกเขาอาจแปลงกายเป็น ‘ศิษย์พี่หญิงโฉมสะคราญอบอุ่นอ่อนโยน’ ล่อลวงเด็กหนุ่มไร้เดียงสาไปอีก
การรับสานุศิษย์ครานี้นับว่าน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก พวกเขาต่างมีรอยยิ้มสุกใส
“สหายจิงตี๋เดินทางปลอดภัย พวกข้าไม่ส่งแล้ว แม้นมีวาสนา พวกเราค่อยพบพานกันอีก!”
จิงตี๋กลับมิโกรธ ครั้นนำพาศิษย์คนอื่นๆ เดินไปถึงหน้าประตูเขาก็หันกลับมายิ้ม “ไม่จำเป็นต้องรอวาสนา ที่แดนสนธยาฮั่นไห่พวกเราย่อมต้องได้พบกันอีก ยามวสันต์ปีหน้าพวกเราค่อยมาดูกันว่าอุษาไร้เขตขัณฑ์จะตกเป็นของผู้ใด…”
ครั้นพูดจบ เงาคนก็หายลับไปไกล
หลี่เหวยและเหอหมิงฟาดฝ่ามือลงกับโต๊ะด้วยความโมโห
จางซู่หยวนกลับไม่ถือสา เขาหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่ม “สองสามวันมานี้พวกเรารีบเร่งเดินทาง ลำบากเจ้าไม่น้อย หากเหน็ดเหนื่อยเจ้าก็อย่าได้ฝืน พวกเราหยุดพักกันสักคืนก่อนก็ได้”
จี้เซียวส่ายหน้า “ไม่ลำบาก พวกเรารีบกลับเขากันเถอะ”
พวกเขาสามคนตกตะลึงแอบคิดในใจ เด็กหนุ่มผู้นี้ร่างกายอ่อนแอ รอนแรมเดินทางนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่กับพวกเขามาตลอด แต่กลับไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นบวกกับนิสัยจิตใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น วันหน้าย่อมพัฒนาตนได้อย่างไร้ขอบเขตแน่
โชคดีที่สำนักหมิงเยวี่ยหูได้แต่กลับไปมือเปล่า ขอบคุณดวงวิญญาณของจี้เซียวเจินเหรินในปรภพที่คอยปกป้อง!
จี้เซียวไม่รู้ว่ามีคนกำลังขอบคุณตัวเองอยู่ ยามได้ยินคนข้างๆ พูดถึงกระบี่วิเศษที่เขาใช้ แดนสนธยาที่เขาเป็นคนเปิด คู่ร่วมบำเพ็ญบนยอดเขาของเขา เขาก็ให้รู้สึกเหมือนตนเองกำลังฟังเรื่องเล่าอยู่
ไม่ว่าฝันอะไรแม้นตื่นลืมตาทุกอย่างล้วนกลับกลายเป็นว่างเปล่า ไม่ต่างอันใดกับเมฆหมอกผ่านตา เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของเขากลับเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขาฝังอุษาไร้เขตขัณฑ์ไว้บนยอดเขาฉางชุนเพื่อสะกดมิให้เมิ่งเสวี่ยหลี่ออกจากที่นั่น ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครทำร้ายอีกฝ่ายได้แม้เพียงเส้นผม
แล้วเหตุใดที่ศาลบรรพชนถึงมีการแต่งเรื่อง ‘ปณิธานก่อนวายชนม์’ ให้อีกฝ่ายต้องไปแดนสนธยาฮั่นไห่ด้วย…
หรือมีคนบีบบังคับรังแกเขา
ภาพต่างๆ นานาปรากฏขึ้นในหัวของจี้เซียว ประเดี๋ยวก็ภาพเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ปราศจากค่ายเวท ‘ฉางชุนนิรันดร์’ คุ้มครอง นั่งตัวสั่นงันงกขดตัวเป็นก้อนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ประเดี๋ยวก็เห็นภาพเมิ่งเสวี่ยหลี่ถูกขับออกจากหานซาน ร้อยปีหลังจากนั้นบำเพ็ญเพียรบรรลุ ออกสังหารผู้คนในแดนมนุษย์ด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
ความรู้สึกที่เขามีต่อเมิ่งเสวี่ยหลี่ค่อนข้างซับซ้อนสับสน ทั้งกลัวคนอื่นจะรังแกคู่ร่วมบำเพ็ญของตน ทั้งเกรงว่าคู่ร่วมบำเพ็ญของตนจะไปรังแกผู้อื่น
ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ อาจเห็นการร่วมบำเพ็ญเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าท่ามกลางชีวิตบำเพ็ญเพียรยาวนานของจี้เซียว เมิ่งเสวี่ยหลี่ยึดพื้นที่ในใจเขาไปเพียงหนึ่งในพันส่วนเท่านั้น
บังเอิญพบพานอสูรร้ายใกล้ตาย ในใจนึกเวทนาสงสารจึงยื่นมือช่วยเหลือ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หนึ่งในพันมีหรือจะไม่พอ
บนโลกยังมีเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านี้อีกมากนัก จวบจนกายธรรมถูกทำลายหมดสิ้น เขาถึงยอมรับว่าตนทำเพื่อสำนักอย่างสุดความสามารถแล้ว ก้มหน้าเงยหน้ามิมีอันใดให้ต้องละอาย
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่เล่า
ก่อนหน้าเขาสาบานว่าจะปกป้องคุ้มครองอีกฝ่ายให้ปลอดภัยไปชั่วนิรันดร์ กินอยู่อันใดไม่ต้องวิตกกังวล
แต่สุดท้ายกลับมิอาจปฏิบัติตามคำมั่น แน่นอนว่าเขาย่อมนึกละอายแก่ใจ
ดังนั้นหนึ่งในพันส่วนนั้นจึงกลายเป็นจำนวนที่แปรเปลี่ยนได้
จี้เซียวเดินอยู่ใต้อาทิตย์อัสดงอย่างเงียบเหงา นึกถึงวันแรกที่พบเจอเมิ่งเสวี่ยหลี่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.