X
    Categories: everYกระบี่คู่หานซานทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 1 #นิยายวาย

สหายอันใด

เมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียวทะยานอยู่เหนือหมู่เมฆ ทางช้างเผือกเหนือศีรษะส่องประกายวับวาว ทะเลเมฆพลิกม้วนอยู่ใต้ฝ่าเท้า

เพราะส่วนสูงที่ต่างกัน ยามเมิ่งเสวี่ยหลี่ชูกาลมิสิ้นผ่านผันไว้เหนือหัวจึงแลดูไร้เดียงสาน่าขบขัน แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองยอดเยี่ยมเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้จี้เซียวพาเขาเหาะเหินเดินทางโต้ลม เคลื่อนเมฆขี่หมอกโดยไม่ต้องอาศัยพลังจากภายนอก ส่วนยามนี้เขาควบคุมเวทศัสตราที่จี้เซียวทิ้งไว้ให้ ดูแลบุตรของจี้เซียวตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่าย ทุกสิ่งล้วนเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์ นี่คงเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดทั้งยามเป็นมนุษย์และยามเป็นอสูรของตน

จี้เซียวที่อยู่ทางด้านหลังสองมือโอบประคองอยู่บนเอวของเขา สองร่างแนบชิดอยู่ด้วยกันราวกับอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน

เอวของเมิ่งเสวี่ยหลี่อ่อนนุ่มยืดหยุ่น แบบบางแค่นิ้วคีบ อรชรอ้อนแอ้นคล้ายผิวน้ำในสระบนยอดเขาฉางชุน สะโอดสะองไม่ต่างอันใดกับก้านบัว แม้นถูกปลาไนสะบัดหางใส่เพียงแผ่วก็ระรัวไหวสั่น ทว่าสายเส้นลื่นเรียบที่ถูกหุ้มห่ออยู่ใต้แพรพรรณอาภรณ์นั้นกลับอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

แม้สองมือของจี้เซียวจะเกาะกุมอยู่บนเอวเมิ่งเสวี่ยหลี่ แต่ใจเขากลับสงบนิ่ง ไม่สะท้านไหวสั่นหรือเกิดแรงปรารถนาเอ่อท้น เช่นนี้นับว่ามีคุณธรรมเกริกไกรยิ่ง

น่าเสียดายที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้นนานนัก หันใบหน้ากลับมาน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหากทำลายกำบังโลกได้ย่อมสามารถเด็ดดวงดาวได้ เจ้าเชื่อหรือว่าการบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียนกลางวันแสกๆ นั้นมีอยู่จริง มิใช่คำลือคำเล่าอ้างอันใด”

เอวอ่อนนุ่มยืดหยุ่นในมือขยับไหวไปมา ลมหายใจร้อนผะผ่าวพัดผ่านข้างหู ไออุ่นลอดผ่านเข้าไปภายในประหนึ่งสายลมยามวสันต์ที่เพียรพัดผ่านต้นไม้เร่งเร้าให้มันผลิดอกออกผล จี้เซียวใบหูแดงระเรื่อ หลับตา

“มิใช่คำลือคำเล่าอ้าง” จี้เซียวลืมตา น้ำเสียงยังคงสงบมั่นคง อาจทุ้มต่ำกว่ายามปกติบ้างเล็กน้อย “วันหน้าข้าจะพาเจ้าไป”

“ข้าต่างหากที่จะพาเจ้าไป ข้าใกล้บรรลุแล้ว เจ้าคงนึกไม่ถึงกระมัง”

ทางช้างเผือกเต็มฟ้า เมิ่งเสวี่ยหลี่นึกถึงกาลภาคหน้า ไว้สืบรู้สาเหตุการตายของจี้เซียวแน่ชัด เลี้ยงดูบุตรของจี้เซียวจนเติบใหญ่ ช่วยให้ปณิธานที่อีกฝ่ายวาดหวังไว้บรรลุเป็นจริง ถึงตอนนั้นเขาจะใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์แทนจี้เซียว ขึ้นไปยังนภาชั้นสูงสุด ดำสู่ใต้สมุทรที่ลึกที่สุด ทำลายกำบังกั้นขวาง ค้นหาสืบเสาะเรื่องราวสรรพสิ่งนอกโลกทั้งหลายที่ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้

จี้เซียวเค้นมือที่เกาะกุมอยู่บนเอวของเมิ่งเสวี่ยหลี่เบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่าขยับ เลิกพูดได้แล้ว”

จี้เซียวครุ่นคิดถึงคราวก่อนตอนที่ประคองร่างเมิ่งเสวี่ยหลี่ไว้ในอ้อมแขน เหาะเหินด้วยกาลมิสิ้นผ่านผัน ร่างของพวกเขาสองคนก็แนบชิดกันเช่นนี้ แต่หามีอันใดผิดปกติไม่ ทว่ายามนี้กลับแตกต่าง

ไอร้อนจากฝ่ามือของจี้เซียวที่อยู่บนเอวแทรกทะลุแพรพรรณเข้ามา ในที่สุดเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็รับรู้ถึงความผิดปกติ

“เหตุใดหัวใจเจ้าถึงเต้นเร็วนัก กลัวจะถูกข้าจับโยนลงไปอย่างนั้นหรือ”

จี้เซียวนิ่งงัน “…”

เมิ่งเสวี่ยหลี่เข้าใจว่าตนรู้จุดอ่อนของผู้เป็นศิษย์ดี “วันหน้าหากเจ้ายังคงไม่เคารพจี้เซียว ข้าจะตะโกนอ่านบทความที่เจ้าเขียนกรอกหูเจ้าดังๆ หากไม่เคารพอาจารย์ กล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะพาเจ้าขึ้นฟ้า นี่คือกฎของยอดเขาฉางชุนของเรา”

“เจ้าว่าเช่นไรก็เช่นนั้น” จี้เซียวร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ก้มหน้ามอง “…พวกเรามาถึงแล้ว”

เมิ่งเสวี่ยหลี่มองลงไปทางด้านล่าง ที่อยู่หลังเมฆหมอกคือลานขนาดยักษ์ในเมืองจงยางซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่เลาๆ เขาลดความเร็วลงทีละน้อย ค่อยๆ ไต่ระดับลง

“ไม่ขู่เจ้าแล้ว พอคุ้นเคยก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ข้ามีสหายเก่าคนหนึ่งบินเร็วกว่านี้อีก ตอนพาข้าเหินขึ้นฟ้าใหม่ๆ ข้าเองก็ลำบากไม่น้อยเหมือนกัน”

“หืม?”

“เขาพุ่งซ้ายทะลวงขวา ประเดี๋ยวหยุดประเดี๋ยวเลี้ยว ทำข้าร่วงไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนจะวนมารับข้าใหม่ เดิมข้าอ้าปากหมายจะบอกเขาว่าไม่เป็นไร เพราะไม่ว่าจะตกลงไปยังไงข้าก็ไม่ตาย แต่สุดท้ายกลับอาเจียนรดหัวเขา ฮ่าๆๆ”

“สหายเช่นไรกัน” ดูท่าคงเป็นอสูรนกยูงนิสัยมุทะลุหน้าตางดงามตนนั้นเป็นแน่ ข้าลาโลกไปได้ไม่ทันไร อสูรตนนั้นก็ใจกล้าบุกยอดเขาฉางชุน ดื่มชา กินของว่าง แกล้งปลาไนของข้า ซ้ำยังล่อลวงคู่ร่วมบำเพ็ญของข้าอีก

เมิ่งเสวี่ยหลี่คิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้ “สหายชั่วอย่างไรเล่า ข้อดีคือเขาเป็นคนเปี่ยมน้ำใจ ข้อเสียคือชอบแกล้งคน โดยเฉพาะเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนไปมากแล้ว โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา เหมือน…”

ยังไม่ทันพูดจบ ลำแสงสีฟ้าเขียวสายหนึ่งก็วาดผ่านฟากฟ้ายามรัตติกาล ในลำแสงระคนไว้ซึ่งสีชมพูแสดงดงามเยี่ยงดาวตกหางยาว

เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะลึงมองลำแสงเบื้องหน้า “เหมือน…เช่นนี้…เชวี่ยเซียนหมิง! นกยูง!” ครั้นได้สติ เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็ควบคุมแมลงปอไม้ไผ่ยักษ์ให้บินตามไปอย่างรวดเร็ว

จี้เซียวช่วยเมิ่งเสวี่ยหลี่ประคองกาลมิสิ้นผ่านผัน มือของเขาทาบทับอยู่บนมือของอีกฝ่าย คอยช่วยบังคับทิศทาง “ระวังหน่อย”

เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด เป็นไปไม่ได้ แดนสนธยาไหนเลยจะอาถรรพ์เช่นนี้ พูดถึงใครคนนั้นก็โผล่ออกมาให้เห็น

ท่ามกลางภูผาลำธารโอบล้อม ที่ราบกว้างใหญ่กลางแดนสนธยา หมู่ตำหนักสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทิ้งร้างเนิ่นนานเหล่านั้นถูกเรียกขานว่าเมืองจงยาง

รอบทุ่งกว้างร้างผู้คน เมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียวร่อนลงมาหยุดอยู่นอกเมือง ครั้งแรกไม่คุ้นเคย ครั้งที่สองคุ้นชิน คราวนี้ไม่มีเสียงอึกทึกเลื่อนลั่นจนเกิดเป็นหลุมลึกขึ้นบนพื้นอีก

เมิ่งเสวี่ยหลี่อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “เจ้าเห็นหรือไม่ ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่”

จี้เซียวจูงเขาอ้อมหินผ่านป่า “ทางนี้”

กระทั่งมาถึงริมธาร เสียงน้ำไหลเชี่ยว จู่ๆ ด้านหน้าก็ปรากฏเงาคนผู้หนึ่ง

“เสวี่ยหลี่ เจ้ากำลังตามหาข้า?”

แสงจันทร์ลอดผ่านแมกไม้ ฉายจับอยู่บนใบหน้าคนผู้นั้น เมิ่งเสวี่ยหลี่ขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงเป็นเจ้าได้ สหายของเจ้าเล่า”

จิงตี๋ยิ้มพลางเดินขึ้นหน้า “พวกเขาไปกันก่อนแล้ว ข้าอยู่ที่นี่เพื่อตามหาเจ้า คนเรามีจากมีพานพบ พวกเราสองคนนับว่าพันหลี่วาสนาพบพานจริงๆ”

จี้เซียวรู้ดีอยู่แก่ใจ เขาทำเพียงมองดูอยู่เงียบๆ ไม่เข้าไปขัดขวาง

เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม “มีวาสนาหรือ ต่อให้ชาติหน้าก็ไม่มี”

“จี้เซียวมีได้ แล้วเหตุใดข้าถึงจะมีไม่ได้ ข้าด้อยกว่าเขาตรงที่ใด”

เมิ่งเสวี่ยหลี่กลอกตาไปมา พูดด้วยอารมณ์ลึกล้ำ “เขาคือ ‘แดนมนุษย์ไร้พ่าย’ จี้เซียวเจินเหริน อายุเพียงสิบหกข้าก็ชอบเขาแล้ว แล้วไหนเลยจะชอบผู้อื่นได้อีก”

จี้เซียวกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมา ต่อให้รู้ว่าคู่ร่วมบำเพ็ญกำลังพูดโกหก เขาก็ยังอยากหัวเราะอยู่ดี

จิงตี๋ถามอีก “เช่นนั้นเจ้าชอบจี้เซียว หรือชอบฐานะแดนมนุษย์ไร้พ่ายของเขา หากวันหน้าข้าบรรลุปรมัตถ์ เป็นหนึ่งในใต้หล้า อยู่เหนือผู้คนทั้งปวง เจ้าจะชอบข้าเช่นกันใช่หรือไม่”

เมิ่งเสวี่ยหลี่หัวเราะเย็นชาออกมา โบกมือฟาดกระหม่อมอีกฝ่าย “ชอบเจ้าก็บ้าแล้ว เจ้านกยูงบัดซบ!”

‘จิงตี๋’ ตะลึง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆๆๆ ถูกเจ้าจับได้อีกแล้ว ไม่สนุกเลยสักนิด!”

รูปร่างหน้าตาของเชวี่ยเซียนหมิงแปรเปลี่ยนกลับกลาย โฉมหน้างดงามขี้เล่นแท้จริงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมิ่งเสวี่ยหลี่หันมองไปทางจี้เซียว แนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักด้วยน้ำเสียงแฝงความรู้สึกวิตกกังวลเล็กๆ “นี่คือสหายของข้า เอ่อ…นกยูง…ตัวหนึ่ง”

จี้เซียวพยักหน้า อคติที่ศิษย์พี่หูซื่อมีต่ออสูรหาได้ส่งผลอันใดต่อจี้เซียว

“นี่คือศิษย์คนโตของข้า เซียวถิงอวิ๋น” เมิ่งเสวี่ยหลี่ถามเชวี่ยเซียนหมิง “เจ้ามาได้อย่างไร”

เชวี่ยเซียนหมิงไม่ตอบ เขาพินิจพิจารณาดูเซียวถิงอวิ๋น

คนเช่นนี้ผู้ใดจะมองข้ามได้ มิใช่เพราะรูปร่างหน้าตา หากแต่เพราะบุคลิกลักษณะขัดแย้ง เขายืนอยู่ที่นั่น ไม่อาจบอกได้ว่าเขามีคุณธรรมความประพฤติสูงส่ง หรือเพียงไม่แยแสโลกกันแน่

คนในยากเห็นทะลุปรุโปร่ง คนนอกกลับเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด หลายวันมานี้เมิ่งเสวี่ยหลี่กับเซียวถิงอวิ๋นอยู่ด้วยกันตลอดทุกเช้าค่ำ ความสัมพันธ์ชิดใกล้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่เชวี่ยเซียนหมิงเห็นอีกฝ่ายจูงมือเมิ่งเสวี่ยหลี่ ให้รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาสองคนคล้ายคลุมเครือแปลกประหลาดยากจะบรรยาย หรือสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์แดนมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้?

เชวี่ยเซียนหมิงกำลังจะถาม “เจ้า…”

จู่ๆ จี้เซียวก็พูดขึ้น “พวกเจ้าไม่ได้พบกันนาน สนทนากันตามสบายเถิด” พูดจบเขาก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปในป่าลึกเพียงลำพัง เปิดโอกาสให้อสูรทั้งสอง

เมิ่งเสวี่ยหลี่บอกกับจี้เซียว “เจ้าก็อย่าไปไกลเกินไปนัก เมืองจงยางอันตราย มีอะไรก็รีบตะโกนเรียกข้า!”

เชวี่ยเซียนหมิงมองดูเมิ่งเสวี่ยหลี่ด้วยสายตาหยามเหยียด “เจ้าเป็นอาจารย์หรือเป็นแม่ไก่ปกป้องลูกไก่กันแน่”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ชูกาลมิสิ้นผ่านผันขึ้น มองไปยังธารน้ำไหลเชี่ยว คล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

เชวี่ยเซียนหมิงกล่าว “ตลอดทางที่ข้าผ่านมาได้ยินว่าหากไม่มีอันใดผิดพลาด ยามนี้คะแนนสะสมของเจ้าเหนือกว่าผู้อื่นอยู่มาก อุษาไร้เขตขัณฑ์ต้องเป็นของเจ้าแน่”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ของของคู่ร่วมบำเพ็ญของตน ข้าไหนเลยจะยอมปล่อยให้มันตกเป็นของผู้อื่น” เมิ่งเสวี่ยหลี่แทงทวนใส่ปลาตัวที่อวบอ้วนที่สุดในน้ำ ผิวน้ำแตกกระจาย

เชวี่ยเซียนหมิงถูกเมิ่งเสวี่ยหลี่ทำเปียกไปทั้งตัว เขากระโดดพลางร้องด่า “เจ้ามันเป็นยาจกจนเคยแล้ว ทั้งตัวมีแต่กลิ่นยาจก!”

เห็นสหายเก่า นิสัยดั้งเดิมของเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็กำเริบ หากมองจากจุดนี้ ที่หูซื่อบอกว่าเขาแสร้งทำตัวไร้เดียงสานั้นย่อมมิใช่เป็นการใส่ความปรักปรำกันแต่อย่างใด

“ยาจก? เจ้าไม่เคยไปเหิงทงจวี้หยวน ไม่รู้หรอกว่าคู่ร่วมบำเพ็ญของข้ามีเงินทองมากมายเพียงใด! เขามีภูเขาเงินภูเขาทองยาวเหยียดถึงหมื่นหลี่ จะใช้สักกี่ชาติก็ไม่มีวันหมด!”

“ถุยๆ! หน้าไม่อาย!”

เชวี่ยเซียนหมิงมองดูแผ่นหลังของเซียวถิงอวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์คนโตของเจ้าคนนั้นท่าทางพิลึกพิลั่น ไม่เหมือนศิษย์คนรองของเจ้าสักนิด”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าพบกับฉี่ซูแล้ว?”

“ข้าลืมไปว่าเจ้าอยู่แดนสนธยา เลยไปหาเจ้าที่ยอดเขาฉางชุน คราวที่แล้วข้าปลอมตัวเป็นนักพรตน้อย เกือบเกิดเรื่องร้ายขึ้น คราวนี้เลยคิดจะปลอมเป็นคนอื่น บังเอิญเห็นศิษย์คนรองของเจ้ากำลังลงเขา จึงแปลงกายเป็นเขา ทว่าเพราะพวกสานุศิษย์ที่วิหารถกสัจธรรมพวกนั้นน่ารักน่าเอ็นดู ข้าในร่างของอวี๋ฉี่ซูเลยเผลอเล่นอยู่กับพวกเขาเป็นนาน พอพวกเขาเห็นอวี๋ฉี่ซูตัวจริงกลับมา…ฮ่าๆๆ!”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เจ้าแกล้งผู้ที่อ่อนแอกว่า ระวังกรรมตามสนอง บำเพ็ญเพียรอยู่ดีๆ ถูกอสุนีบาตฟาดตาย”

เชวี่ยเซียนหมิงโบกมือหงุดหงิด “รู้แล้วๆ เจ้าพูดไม่รู้กี่รอบแล้ว ข้าเปลี่ยนนิสัยนานแล้วเจ้าเองก็รู้”

ถึงเขาจะชอบแกล้งมนุษย์ แต่เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งทำเอาคนเกือบตาย ถูกเมิ่งเสวี่ยหลี่สอนเรื่องกงเกวียนกำเกวียนเป็นการใหญ่ นับแต่นั้นเขาก็สำรวมตนขึ้นมาก

สองร้อยกว่าปีผ่านไป เชวี่ยเซียนหมิงลืมเรื่องราวในอดีตหมดสิ้น จำได้ก็แค่เพียงเลาๆ เท่านั้นว่าเด็กน้อยคนนั้นแซ่หู

เมิ่งเสวี่ยหลี่เก็บทวนยาวกลับ บนปลายทวนสว่างไสวมีปลากะพงอวบอ้วนสองตัว เขายื่นมันไปข้างหน้า “เอาไป เลิกพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นได้แล้ว”

เชวี่ยเซียนหมิงระแวดระวังมองดูอีกฝ่าย “เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าเลิกกินเนื้อดิบตั้งนานแล้ว”

“ข้าก็ไม่กินเหมือนกัน ถึงได้จะยืมเพลิงอสูรของเจ้าย่างมันให้สุก”

เชวี่ยเซียนหมิงตะลึงที่เห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่พูดราวกับเป็นเรื่องสามัญธรรมดา “เพลิงอสูรของข้าเพียงพ่นออกมาคราหนึ่งก็เผาภูผาผลาญลำธารได้แล้ว แต่กลับจะให้ข้าช่วยเจ้าย่างปลา?”

“ไม่ใช่ช่วยข้า” เมิ่งเสวี่ยหลี่เชิดคางบุ้ยใบ้ไปยังเงาคนที่อยู่ในป่า “เจ้าดู ศิษย์คนโตของข้าน่ามองใช่หรือไม่”

เชวี่ยเซียนหมิงพูดหยัน “เจ้ามันก็ทำตัวไม่ต่างกับแม่ไก่อวดไข่ทองคำ! น่าเสียดายที่ไข่ทองคำนั่นเจ้าไม่ได้เบ่งมันออกมาเอง”

“ข้าเป็นอาจารย์ของเขา เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นบิดาชั่วชีวิต หากข้าเป็นบิดา เจ้าก็เท่ากับเป็นอาของเขา! เด็กน้อยเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันกำลังรอกินอยู่ เจ้าเป็นอาของเขาไม่คิดจะแสดงน้ำใจบ้างหรือไร เร็วหน่อย”

“ไม่มีทาง ทำเช่นนี้เท่ากับลบหลู่เพลิงอสูร หยามเกียรติข้า หยามเกียรติชนเผ่านกยูง!”

 

ผ่านไปครึ่งถ้วยชา

“ถิงอวิ๋น มากินปลา!” เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะโกน

“หอมจริงๆ” เชวี่ยเซียนหมิงเอ่ยปาก “เจ้าไม่กินหรือ”

สามคนนั่งล้อมอยู่ริมธาร ปลาตัวอ้วนบนกิ่งไม้ถูกย่างด้วยเพลิงอสูร ทันทีที่กัดลงไปก็จะรับรู้ได้ถึงรสสัมผัสกรอบนอกนุ่มในระคนกับกลิ่นไม้หอมสดชื่น พร้อมน้ำมันไหลเยิ้มออกมาน้อยๆ

เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า ประคองส่งมันให้จี้เซียวราวกับเป็นวัตถุล้ำค่า “ถิงอวิ๋น กินดู”

จี้เซียวยื่นมือรับกิ่งไม้ หมายป้อนเมิ่งเสวี่ยหลี่คำหนึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงหน้าหลบ

เมิ่งเสวี่ยหลี่แกะเปลือกเมล็ดสน ถามเชวี่ยเซียนหมิง “จริงสิ เจ้าแปลงกายเป็นจิงตี๋ได้เช่นไร เจ้าเคยพบเขามาก่อนหรือ”

เชวี่ยเซียนหมิงกินปลาย่างทั้งหนังทั้งก้าง เขาพูดอย่างไม่แยแส “เคย ข้าพบเจอระหว่างทาง ห่างจากนี่ไปไม่ไกล ไม่รู้ว่าไปทำเรื่องชั่วอะไรไว้ถึงถูกคนจับแขวนทุบตีเล่นงานเสียน่วม ถ้าไม่ได้ข้าช่วยไว้ ดีไม่ดีอาจตายไปแล้ว”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: